Tuesday, March 27, 2007

ตอนที่ 13

บ้านไอ้ชัชแม้จะอยู่ต่างจังหวัด แต่มันอยู่ในตัวเมือง ของผมนั้นอยู่นอกเมือง ก็เป็นโรงงานนี่ครับ จะอยู่ในเมืองไปทำไม อยู่นอกเมืองสะดวกกว่า ดังนั้นสภาพแวดล้อมแบบชนบทเช่นบ้านของผมเป็นสิ่งที่ไอ้ชัชไม่ค่อยคุ้นเท่าไร ส่วนไอ้นัยนี่ตอนนี่ไม่รู้เหมือนกันว่าบ้านพ่อแม่มันเป็นอย่างไร เพราะมันไม่ค่อยเล่าอะไรเกี่ยวกับบ้านต่างจังหวัดของมัน ส่วนใหญ่จะเล่าเฉพาะเรื่องบ้านอามันที่กรุงเทพฯเท่านั้น ก็เลยไม่รู้ว่าบ้านต่างจังหวัดของมันนั้นอยู่ในเมืองหรืออยู่นอกเมือง แต่ผมเข้าใจเอาเองว่าน่าจะอยู่ในตัวเมืองทำธุรกิจหรือทำการค้าอะไรสักอย่างมากกว่า

จะว่าไปบ้านที่ผมอยู่มันก็บ้านนอกดีๆนี่เอง แต่ว่าบ้านผมทันสมัยกว่าคนแถวนั้นหน่อยเพราะว่าเป็นคนทำการค้า เข้าเมืองบ่อยๆ ตัวบ้านผมเป็นบ้านสองชั้นครึ่งตึกครึ่งไม้ ชั้นล่างเป็นก่ออิฐโบกปูน ข้างบนเป็นไม้ ถ้าเป็นบ้านชาวบ้านในชนบททั่วไปก็บ้านไม้ล้วนๆ ชั้นเดียว คือบ้านแบบไทยน่ะครับ บ้านชั้นเดียวใต้ถุนสูง มีเงินหน่อยก็สองชั้นแบบในเมือง แต่เป็นไม้ทั้งหมด สมัยนั้นบ้านไม้ถูกกว่าบ้านตึกครับ เพราะเอาไม้แผ่นพวกไม้เนื้อแข็งมาทำฝาบ้าน อย่าไปนึกถึงบ้านไม้สักหรือเรือนทรงไทยในหนังนะครับ คนละเรื่องกัน

ที่จริงผมก็อายไอ้นัยมันเหมือนกันนะครับ เพราะบ้านผมไม่ได้ตกแต่งอะไรเลย เครื่องเรือนวางๆก็ใช้ได้แล้ว บ้านมันแต่งเสียสวย ส่วนบ้านไอ้ชัชไม่เคยเห็น เพราะไม่เคยไป แต่มันบอกว่าเป็นบ้านแบบตึกแถวในเมืองทั่วๆไป

หลังจากไหว้ทักทายแม่ผมแล้ว ผมก็พาไอ้สองตัวนี่ไปดูห้องนอน ห้องนอนอยู่ชั้นสองครับ อยู่กับพี่ชาย ชื่อเอ๊ด คือถ้ากลับมาบ้านทั้งคู่ตอนปิดเทอมก็พักกันห้องนี้แหละครับ แต่ว่าตอนนี้เอ๊ดยังไม่กลับ มันเรียน ม.2 แล้วครับ เรียนอยู่โรงเรียนรัฐบาลในกรุงเทพฯ ไม่ได้อยู่โรงเรียนประจำแบบผม เดิมก็เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกันนี่แหละครับ แต่พอขึ้น ม. 1 ก็ย้ายไปเรียนโรงเรียนอื่น ซึ่งดีกว่า (พ่อว่างั้นนะ) แต่ไม่มีแผนกประจำ เพราะเป็นโรงเรียนไปกลับ พ่อเลยฝากให้อยู่กับเพื่อนของพ่อ ส่วนผมนั้นอยู่ที่เดิมไป

เมื่อเอ๊ดยังไม่กลับบ้าน ผมก็ยึดห้องทั้งห้องไว้เสียเลย หาฟูกมาปูเพิ่มที่พื้นอีก 2 ที่ แค่นี้ก็นอนได้แล้ว 3 คน ยังนึกไว้ในใจว่าถึงเอ๊ดกลับมา ผมก็คงยึดห้องนี้ไว้อยู่ดี แล้วไล่เอ๊ดให้ไปนอนห้องพ่อ

ห้องนอนของผมอยู่ด้านหลังของตัวบ้าน หน้าต่างจึงไม่ได้หันหน้าเข้าถนน แต่หันออกด้านหลังของบ้านซึ่งเป็นป่าละเมาะ ทิวทัศน์ก็ไม่เลวครับ

“แปลกดี ไม่เคยอยู่บ้านนอกแบบนี้” ชัชบอก แต่คำว่าบ้านนอกของมันนั้นไม่ได้แฝงน้ำเสียงชื่นชมเลยสักนิด ผมเลยตบหัวมันเบาๆ

“ถ้ามึงไม่ชอบบ้านนอกก็นั่งรถเมล์กลับเข้ากรุงเทพฯเองก็แล้วกัน” แล้วผมก็ลดเสียงลง พูดเบาๆ “กูจะได้อยู่กับไอ้นัยสองคน”

“อ๋าย ไม่ได้สิ” ชัชว่า “ยังไงกูก็ต้องอยู่ที่นี่แหละ กลับกรุงเทพฯก็ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน เพราะพ่อยังไม่มารับ ที่สำคัญ...” มันหยุดพูด

“นอนที่ป้ายรถเมล์ดิ กูเคยเห็นคนนอน” นัยพูดหน้าตายสอดขึ้นมา

“ที่สำคัญอะไร” ผมถามชัชถึงข้อความที่ยังพูดไม่จบ รู้แล้วล่ะต้องไม่ใช่เรื่องดี

ชัชทำหน้าเจ้าเล่ห์ “กลัวพวกมึงจะแอบทำอะไรกันโดยที่กูไม่รู้ส่ะสิ ม่ายด้ายยยย กูต้องอยู่ร่วมสนุกด้วย”

“ไอ้เปรต ถ้าอยากอยู่ก็ไม่ต้องวิจารณ์มาก”

“แค่บอกว่าบ้านนอก วิจารณ์นิดเดียวเองยังไม่มากสักหน่อย” ชัชยังไม่วายกวนต่อ ไอ้นัยเลยเอาม้วนกระดาษทิชชู่ที่ใช้จนเกือบหมดม้วนแล้วและวางอยู่บนโต๊ะในห้องยัดเข้าปากมัน แล้วหัวเราะฮุฮุ

ไม่อยากบอกเลยครับ ว่าภาพของไอ้นัยตอนเอาม้วนทิชชู่ยัดปากไอ้ชัชนั้น มันยังตราตรึงในความทรงจำของผมมาจนทุกวันนี้ จากเด็กที่เงียบๆ ไม่เป็นตัวของตัวเอง วันนั้นเองที่ผมเห็นด้านที่ขี้เล่น มีอารมณ์ขัน
และมีความเป็นตัวของตัวเองของมัน อยู่ที่โรงเรียนไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้เลย ในบรรดาความทรงจำเกี่ยวกับไอ้นัย ภาพนี้เป็นภาพที่ผมรักมากที่สุดภาพหนึ่ง หลังจากนี้แม้เราจะโตด้วยกัน และเห็นความขี้เล่นอะไรของมันอีกหลายๆอย่าง แต่ก็ยังไม่มีความทรงจำใดประทับใจเท่ากับภาพนี้

ชัชมองไอ้นัยอย่างประหลาดใจ ทำหน้าคล้ายกับจะบอกว่า มึงเล่นแบบนี้เป็นด้วยหรือวะ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่พยายามเอาม้วนทิชชู่ยัดปากไอ้นัยบ้างเป็นการแก้แค้น ไอ้นัยเบือนหน้าหลบ

“แน่ะ วันนี้มึงหลบด้วยนะ ไอ้นัย” ไอ้ชัชพูด จริงสินะ ทุกทีใครแกล้งอะไรมันมันยอมเพื่อนหมด

“เอาละ พอแล้ว” ผมห้าม “ข้างบนร้อน วางของแล้วลงไปนั่งข้างล่างกันดีกว่า หายเหนื่อยแล้วเดี๋ยวจะพาพวกเอ็งเที่ยว”

บ้านชนบทสมัยนั้นไม่ติดแอร์กันหรอกครับ ใช้เปิดหน้าต่างเปิดพัดลมเอา กลางวันข้างบนจะร้อนอบอ้าวหน่อย ส่วนกลางคืนเย็นสบาย เปิดหน้าต่างกว้างๆ แม้หน้าร้อนก็แทบไม่ต้องเปิดพัดลม เพราะบ้านนอกลมแรง

บ่ายวันนั้น ผมพามันขี่จักรยานไปเที่ยวรอบๆหมู่บ้านที่ผมอยู่ จักรยานมีแค่ 2 คัน ดังนั้นจึงต้องมีคนหนึ่งซ้อนท้าย ชัชตัวเล็กกว่าเพื่อน เลยให้มันซ้อนท้ายผม ส่วนไอ้นัยขี่จักรยานไม่ค่อยแข็ง ก็ให้มันขี่คนเดียว

เราขี่จักรยานไปตามถนนใหญ่ จากนั้นเลี้ยวเข้าถนนในหมู่บ้าน ลัดเลาะไปตามถนนลูกรังซึ่งแตกแขนงออกไปตามบ้านต่างๆ ถ้าในตัวหมู่บ้าน บ้านเรือนจะรวมตัวกันอยู่เป็นกระจุก แต่พอพ้นตัวหมู่บ้านออกไปก็เป็นที่ทำการเกษตรแล้ว เป็นนา เป็นสวน บ้านเรือนกระจายกันอยู่ห่างๆ

ผมทักทายเพื่อนในหมู่บ้านไปด้วยตามรายทาง เพื่อนผมที่ต่างจังหวัดไม่ค่อยเยอะหรอกครับ เพราะส่วนใหญ่อยู่กรุงเทพฯ เรียนประจำตั้งแต่เด็ก เพื่อนที่นี่จะเจอกันเฉพาะตอนปิดเทอมเท่านั้น

“เพื่อนเยอะนะมึง” ไอ้ชัชพูดขึ้นเมื่อพวกเราขี่รถพ้นหมู่บ้านออกมาในท้องทุ่งแล้ว

“ก็ไม่มากหรอก ไม่ค่อยสนิทกันมากนัก เพื่อนที่กรุงเทพเยอะกว่า” ผมว่า

ไอ้นัยพยายามขี่รถเข้ามาใกล้ๆ เพื่อฟังการสนทนา เต่เนื่องจากมันขี่ไม่แข็ง จึงเลื้อยไปเลื้อยมา หวิดจะชนผมล้มหลายครั้ง ผมต้องรีบหักหลบ ไอ้ชัชตกใจ กลัวจนหล่นจากรถ รีบกอดเอวผมแน่น

“นัย มึงขี่ห่างๆหน่อยได้ไหมวะ มันเสียวไส้” ชัชร้องบอกไอ้นัย

“กูก็อยากจะขี่ห่างๆหรอกว้อย แต่มันเซไปเอง” ไอ้นัยพูด ว่าแล้วก็เซมาอีก ผมรีบหักหลบอีกครั้ง

ชัชร้องลั่น คราวนี้ไม่กอดเอวผมอย่างเดียว ตะปบไปที่หว่างขาผมกำไว้แน่น

“เฮ้ย นั่นควยกู” ผมว่า แต่ก็ปล่อยให้มันจับอย่างนั้นแหละครับ เพราะแถวนั้นเป็นทุ่งโล่ง ไม่มีคนเห็น อีกอย่าง ผมกับมันแก้ผ้าเห็นกันจนเคย มากกว่าจับก็ยังทำ อิอิ จะไปกลัวมันจับทำไม

“จับไว้แล้วอุ่นใจหน่อย” มันพูด ไม่เห็นจะเกี่ยวกันตรงไหนเลย

“ขี่ไป เสียวไป” ไอ้นัยพูดขึ้นมา ไอ้ชัชได้ยินก็รีบรูดซิป ควักดอของผมซึ่งตอนนั้นเริ่มแข็งแล้วออกมาชมโลก

“มึงจะเอามันออกมาทำไม” ผมดุไอ้ชัช “เก็บเข้าไป”

แต่ไอ้ชัชไม่ยอมเก็บ พูดหน้าทะเล้น “ยังงี้แหละ เย็นดี มึงจะเก็บไว้ทำไมในกางเกงให้มันอบอ้าว จริงมั้ยไอ้นัย”

“ฮื่อ” ไอ้นัยตอบรับ

แล้วเราก็ขี่จักรยานกันไปโดยมีไอ้ชัชคอยชักว่าวให้ผม

“เฮ้ย พอแล้ว เดี๋ยวน้ำแตกเลอะกางเกง” ผมบอกไอ้ชัช หลังจากที่ชักว่าวไปได้สักครู่ จนน้ำใกล้จะแตก

1 comment:

INo said...

ทำไมไม่หักลงกลางทุ่งแถวนั้นเลยคร้าบ เคยลองอยู่ครั้งนึงถึงจะรู้สึกหยาบไปหน่อย แต่ก้อได้อารมดีน่ะ แหะๆ