Tuesday, April 24, 2012

ภาคสี่ ตอนที่ 58



“เอาเถอะ ถ้าไม่สบายใจก็ไม่ต้องเล่า” ผมคล้อยตาม แต่ก็เดาได้ว่าคงเป็นเรื่องความตึงเครียดในครอบครัวอันเนื่องจากอาการป่วยของพ่อ ได้แต่รู้สึกเห็นใจแต่ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร ที่ทำได้ก็เพียงช่วยปลอบใจหรือทำอะไรบ้าๆบอๆให้จุ๋มขำ

แม้ว่าจุ๋มจะพยายามไม่ทำลายบรรยากาศดีๆในช่วงปีใหม่ แต่ในที่สุดก็มีคนทำลายบรรยากาศจนได้ เพราะในวันต่อมานั้นเอง ผมก็ได้พบกับตี๋ที่คณะเทคโนในตอนพักเที่ยง ตี๋เข้ามาหาผมถึงในชมรม

“เฮ้ย ไอ้ตี๋ เป็นไงบ้างวะ มาทำอะไรแถวนี้” ผมถามอย่างแปลกใจ ช่วงที่ผมและตี๋เรียนปีสองนี้เราเจอกันยิ่งน้อยกว่าตอนเรียนอยู่ชั้นปีหนึ่ง เพราะต่างคนต่างก็เรียนอยู่แต่ในคณะของตนเอง มีเจอกันบ้างก็ในหอสมุดหรือบางครั้งก็เจอกันที่หน้าประตูมหาวิทยาลัย แต่แม้ว่านานๆจะพบกันสักครั้งแต่มิตรภาพของเราก็ยังคงเป็นเช่นเดิม จะว่าไปมันก็เป็นมิตรภาพที่ค่อนข้างแปลก เพราะว่าความสนิทสนมของเราไม่จำเป็นต้องเดินตัวติดกันในแบบเพื่อนสนิทวัยรุ่นทั่วไปที่มักไปไหนไปด้วยกัน

“ก็มาหามึงนั่นแหละ” ตี๋พูด

“มีอะไรวะ” ผมถาม ชักรู้สึกแปลกๆอยู่ในใจ เพราะการมาและท่าทีของตี๋ดูผิดปกติ

“ไอ้เล็กมันติดต่อมึงบ้างหรือเปล่า” ตี๋ถาม

“เล็กไหน” ผมงง “เพื่อนกูชื่อเล็กมีตั้งโหล”

“ไอ้เล็กที่เรียนกับเราตอน ม.๑ ไง คนที่นั่งอยู่ข้างหน้าไอ้หัวหน้าดิษฐ์” ตี๋อธิบาย

“อ้อ รู้แล้ว” ผมตอบ ไอ้เล็กคนนี้ในสอบได้คณะเดียวกับตี๋ในปีนี้ จึงเป็นทั้งเพื่อนและรุ่นน้องของตี๋ไปพร้อมๆกัน เมื่อต้นเทอมแรกของปีนี้ผมยังเจอมันหลายครั้ง “ไอ้เล็กปีหนึ่งคณะมึง”

“เออ นั่นแหละ” ตี๋รับพร้อมกับถามย้ำอีก “มันติดต่อมึงบ้างหรือเปล่า”

“เปล่านี่ ทำไมต้องติดต่อกูล่ะ” ผมชักรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ค่อยดีเสียแล้ว “ไอ้เล็กมันเป็นอะไรหรือเปล่า”

“ออกมาคุยข้างนอกได้ไหม” ตี๋ถาม

ผมพยักหน้า พลางเดินออกมาข้างนอกชมรมพร้อมกับตี๋เพื่อหามุมสงบคุยกัน

“มีเรื่องอะไรวะ” ผมถามอีก

“ตั้งแต่หลังปีใหม่มาไอ้เล็กมันไม่ได้มาเรียนเลย” ตี๋พูด

“มันเป็นไรไป” ผมรีบถาม

“เอ้อ...” ตี๋อ้ำอึ้ง ไม่เล่าต่อ

“โอ๊ย มึงจะเล่าหรือไม่เล่าวะ ทำไมลีลาเยอะยังงี้” ผมชักรำคาญ

“เรื่องมันยาว” ตี๋พูดเสียงอึกอักอีก เหมือนกับอยากจะเล่าแต่ก็พูดไม่ออก

“ถ้ามันยาวมากกูขอไปเอาเสื่อมาก่อน จะได้ปูแล้วนอนฟัง มึงก็คิดเรียบเรียงเรื่องไปก่อนก็แล้วกัน” ผมประชดมัน “นี่ถ้าถ่ายหนังอยู่ก็คงเจ๊ง เปลืองฟิล์มฉิบหาย”

“ไอ้เปรต ใจร้อนจริง” ตี๋อดหัวเราะไม่ได้ แต่แล้วก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งเครียดต่อ “คือยังงี้ ไอ้เล็กมันมีแฟนแล้ว ก็เป็นเพื่อนปีหนึ่งในคณะนั่นแหละ ท่าทางมันจริงจังมาก”

ตี๋หยุดคิดนิดหนึ่ง แล้วเล่าต่อโดยไม่รอให้ผมขัดอีก

“ตอนก่อนปีใหม่มันบอกกูว่าจะพาแฟนไปแนะนำให้ที่บ้านมันรู้จัก กูห้ามแล้วมันก็ไม่ฟัง ช่วงหยุดปีใหม่มันโทรมาหากู บอกว่าที่บ้านมันมีเรื่อง ขอมาพักด้วยสักสองสามวัน แต่มึงก็รู้ว่ากูก็อาศัยเขาอยู่ มันไม่ใช่บ้านกู กูก็ไม่รู้จะช่วยมันยังไง จากนั้นมันก็หายไป นี่หลังปีใหม่ยังไม่กลับมาเรียนเลย”

“โอ้โฮ พาแฟนไปแนะนำให้ที่บ้านรู้จัก สวีทเว้ยเฮ้ย” ผมอุทาน แต่ก็ยังงงเพราะเรื่องราวไม่ค่อยเป็นเหตุเป็นผลเท่าไร “แล้วมึงห้ามมันทำไม เกิดเรื่องอะไรขึ้นมันถึงได้มาขอพักกับมึง”

“ก็... เอ้อ” ตี๋มองผมนิดหนึ่งแล้วหลบสายตา พูดอย่างไม่ค่อยเต็มเสียงนัก “แฟนมันเป็นผู้ชายน่ะสิ”

ผมอึ้ง เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง ดูไม่ออกเลยว่าเล็กเป็นสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์เดียวกับผม

“เฮ้ย...” ผมอุทานเบาๆ “เป็นไปได้ไง”

“จริง มันเป็นโฮโม” ตี๋พูดไม่เต็มเสียงอีก แถมเบือนสายตาไปทางอื่น ไม่มองหน้าผม “ที่ร้ายกว่านั้นแม่งสองคนคบกันแบบเปิดเผยเลย กลุ่มเพื่อนสนิทของมันรู้กันทั้งนั้นว่าไอ้สองคนนี้คบกันเป็นแฟน กูยังรู้เลย ที่แย่ก็คือมันไม่ยอมปิดบังนี่แหละ ตอนปีใหม่ไอ้เล็กพา เอ้อ... ไปเที่ยวที่บ้าน แล้วพ่อแม่มันเกิดรู้ความจริงขึ้นมา เลยกลายเป็นเรื่องใหญ่”

“หมายความว่าไอ้เล็กมันกล้าถึงขนาดเอาแฟนมันไปที่บ้านแล้วบอกว่าเป็นแฟนมันเหรอ” ผมถาม รู้สึกอึดอัด วางตัวไม่ถูก เมื่อต้องคุยเรื่องแบบนี้กับตี๋

“กูก็ไม่แน่ใจ ตอนคุยกับมันมันพูดจาสับสน ยังไม่ชัดว่าที่พ่อแม่มันรู้เรื่องเพราะมันบอกเองหรือเพราะอะไร แต่ที่แน่ๆก็คือหลังจากที่พ่อแม่มันรู้แล้วก็บ้านแตก มันถูกไล่ออกจากบ้าน” ตี๋สรุป

“ตายห่า...” ผมอุทาน รู้สึกจุกวูบอยู่ในอก “แล้วแฟน... เอ้อ... เพื่อนมันเป็นไง”

“ก็หายตัวไปด้วย ยังไม่มาเรียนเหมือนกัน กูถามเพื่อนๆมันแล้ว ทั้งคู่ไม่ได้ติดต่อกับใครเลย มีไอ้เล็กติดต่อกูคนเดียวและก็เพียงครั้งเดียว แล้วก็หายไป” ตี๋เล่า “มันสองคนโดนเช็คชื่อขาดเรียนหลายวิชาหลายคาบแล้ว พวกเพื่อนสนิทของมันพยายามปิดบังอาจารย์ให้มัน นี่ถ้ามันยังไม่กลับมาก็ไม่รู้ว่าเรื่องจะเป็นยังไงต่อ”

ในยุคนั้นพวกเกย์หรือเก้งกวางไม่เปิดเผยตัว ที่เปิดเผยตัวก็มีแต่พวกที่พยายามทำตัวเป็นหญิงหรือที่เรียกกันว่ากะเทย ผมย้อนนึกไปถึงช่วงเวลาที่เรียน ม.๑ จำได้ว่าเล็กมีท่าทางนิ่มๆ หวานๆ นิดหน่อย ดูขี้อายด้วยซ้ำ ผมไม่เคยนึกสงสัยเลย นึกไม่ถึงว่าเพียงไม่กี่ปี เล็กที่ดูขี้อายจะกลายเป็นแรงได้ขนาดนี้

“ไม่มีอะไรไอ้อู กูแค่มาถามข่าวคราวดู เผื่อว่ามันอาจพยายามติดต่อเพื่อนสมัยมัธยมบ้าง” ตี๋ถอนหายใจ “กูไม่ค่อยสบายใจที่ช่วยมันไม่ได้ หากกูให้มันพักด้วยมันอาจจะไม่ต้องเตลิดจนหายตัวไป”

“ปกติกูไม่ค่อยให้เบอร์โทรที่หอแก่ใคร เล็กมันไม่มีเบอร์กูหรอก ถึงอยากติดต่อกูก็คงติดต่อไม่ได้” ผมอธิบาย แล้วพูดปลอบใจตี๋ “กูรู้ว่ามึงมีความจำเป็น ไม่ใช่มึงแล้งน้ำใจ มึงอย่าโทษตัวเองเลย”

ผมรู้ดีว่าที่ญาติที่มันอาศัยอยู่ด้วยดุยังกะอะไร ยังจำได้ว่าไอ้ตี๋เคยถูกตีแทบตาย แต่ถึงกระนั้นตี๋ก็คงรู้สึกผิดที่ช่วยเล็กไม่ได้จึงพยายามออกตามหา

“งั้นกูกลับละนะ” ตี๋กล่าวลา

“อ้อ เดี๋ยว ถามอะไรหน่อยสิ” ผมรั้ง “ไอ้เล็กมันคิดยังไงของมันถึงได้เปิดเผยเสียขนาดนั้น แล้วเพื่อนที่คณะมองมันยังไง”

“ตอน ม.ปลายไม่ได้เรียนกับมัน ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นไง แต่เท่าที่เห็นในมหาวิทยาลัยมันก็เปิดเผยตัวมาแต่แรกเข้ามาแล้ว รุ่นพี่ชวนมันไปตีหม้อมันก็บอกไปว่าไม่ชอบผู้หญิง” ตี๋ตอบ “กับเพื่อนและรุ่นพี่ในคณะ บางคนก็แอนตี้มัน บางคนก็คบมันได้ คือ... จะพูดยังไงละ มันไม่แคร์สายตาคนอื่นเฉพาะเรื่องนี้ อย่างอื่นมันก็นิสัยดี กูก็อธิบายนิสัยมันไม่ถูกเหมือนกัน แต่กูว่าที่มันเปิดเผยตัวขนาดนี้ทำให้มันลำบาก... เฮ้อ...”

ตี๋พูดทิ้งท้าย ถอนหายใจ แล้วเดินลงบันไดจากไป ส่วนผมเองก็เดินกลับเข้าไปในชมรม การสนทนาในวันนั้นทำให้ผมรู้สึกวุ่นวายใจเล็กน้อย รู้สึกสงสารเล็กที่ต้องเผชิญกับมรสุมในชีวิต อีกใจหนึ่งก็อดทึ่งในความกล้าหาญของเล็กไม่ได้ ผมพยายามทำความเข้าใจมันแต่ก็ไม่เข้าใจ ผมไม่รู้ว่าอะไรทำให้มันเชื่อมั่นในตนเองขนาดนั้น อาจเป็นเพราะมันซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตนเองก็ได้ แต่ผลก็ออกมาแล้วว่าความกล้าหาญนี้ไม่ได้ก่อผลดีอะไรเลย สุดท้ายก็ตายเปล่า...

- - -

วันเสาร์

อากาศในช่วงหลังปีใหม่เย็นสบาย โดยเฉพาะอากาศยามเช้าชวนให้ขี้เกียจอย่างมาก เช้าวันเสาร์เป็นวันที่ผมควรนอนตื่นสาย ขี้เกียจได้ตามสบาย แต่ผมก็ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปสอนพิเศษ

เสียงกริ่งประตูบ้านดังลั่น คนกดก็คือผมนั่นเอง

“นั่นใคร” มีเสียงงุ้งงิ้งดังลอดประตูออกมา

“พี่เอง” ผมหัวเราะ แล้วพูดกับประตู “ก็รู้อยู่ว่าพี่มาเวลานี้ ยังจะถามอีก”

“มีของฝากหรือเปล่า ถ้าไม่มีไม่ให้เข้า” เสียงงุ้งงิ้งนั้นดังลอดประตูออกมาอีก

“อ๋อ ที่แท้งกของฝากนั่นเอง” ผมขำมุขของป้อม “ถ้าไม่เปิดประตูให้พี่แล้วป้อมจะรู้เหรอว่าพี่มีอะไรมาฝาก”

บานประตูเล็กเปิดออกทันที เห็นป้อมยืนยิ้มแฉ่งอยู่หลังประตู

“ไหน มีอะไรบ้าง” ป้อมถามอย่างกระตือรือร้น

ผมรีบเบียดป้อมเข้าไปในประตูทันที

“ฮุฮุ เข้ามาได้แล้ว ของฝากไม่มี เสียใจด้วย” ผมหัวเราะเยาะ

“ไม่ต้องมาหลอก” ป้อมยิ้มอารมณ์ดี “ถุงในมือเห็นๆอยู่”

“นี่เหรอ” ผมยกถุงในมือขึ้น “นี่พี่เอามาฝากเพื่อนที่มหาวิทยาลัยต่างหาก ไม่ได้เอามาฝากคุณชาย”

“ไม่เชื่อ” ป้อมพูด พลางกระโดดเข้ามาแย่งถุงในมือผม “ได้แล้ว ฮ่ะฮ่ะ”

ป้อมจู่โจมโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว จึงแย่งถุงในมือไปได้ แต่ผมไม่ยอมให้ป้อมได้ถุงไปง่ายๆ จึงรวบตัวป้อมเอาไว้

“เอาถุงคืนมา ชะชะ เล่นทีเผลอ” ผมหัวเราะ

ป้อมดิ้นอยู่ในวงแขนของผม แม้ว่าป้อมตัวเตี้ยกว่าผมแต่ก็แรงเยอะเอาการ ดิ้นจนผมแทบรัดไว้ไม่อยู่ ผมมัวแต่ผมกลัวป้อมหลุดไปได้จึงออกแรงรัดป้อมเต็มที่ เราสองจึงกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่หน้าบ้านนั่นเอง

สุดท้ายป้อมดิ้นไม่หลุดก็หยุดดิ้น กว่าจะหยุดได้ก็เล่นเอาเหงื่อซึม

“อะอะ ยอมแล้ว” ป้อมพูด

เมื่อป้อมหยุดดิ้นผมก็คลายแรงที่รัดป้อม แต่ยังไม่ปล่อยป้อมออกจากวงแขน ใบหน้าของผมอยู่เหนือบ่าของป้อม ใบหูของป้อมสัมผัสกับจมูกของผม ไรผมของป้อมก็เสียดสีกับแก้มของผม ผมคล้ายอยู่ในภวังค์ไปชั่ววูบ ความทรงจำเก่าๆหวนกลับมา จนผมชักไม่แน่ใจว่าร่างที่ผมกอดอยู่นี้เป็นใครกันแน่...

ป้อมไม่สลัดหลุดจากวงแขนของผม แต่กลับยืนนิ่ง ผมจมอยู่ในภวังค์เพียงครู่เดียวสติก็กลับคืนมาเพราะผมเริ่มรู้สึกว่าร่างกายมีอาการผิดปกติ ผมรีบคลายวงแขนปล่อยให้ป้อมเป็นอิสระ ป้อมหันมามองหน้าผม ทำสีหน้าแปลกๆอธิบายไม่ถูก

“เอ้อ...” ผมทำลายความเงียบ “ที่จริงขนมในถุงเป็นของฝากคุณชายนั่นแหละ พี่ล้อเล่น ป้อมแกะดูได้เลย”

ป้อมเองก็ดูเหมือนกับจมอยู่ในภวังค์ไปครู่หนึ่ง เมื่อได้ยินคำพูดของผมจึงรีบเปิดถุงออกดู

“เฮ้” ป้อมอุทาน พลางหยิบของในถุงออกมา เป็นพวกกล้วยฉาบ เผือกฉาบ มันฉาบ ดูแล้วคล้ายกับว่าผมกลับจากตลาดหนองมนมากกว่ากลับมาจากบ้าน “เผือกฉาบ ชอบ ชอบ”

ของกินเหล่านี้ผมไปซื้อมาใหม่จากมาบุญครอง ของกินคราวที่แล้วโดนจุ๋มทักเรื่องฉลาก คราวนี้ผมจึงเลือกซื้อขนมที่ไม่มีฉลากระบุที่มา นับว่าโชคดีที่มีขนมถูกใจป้อมอยู่อย่างหนึ่ง

“นึกว่าจะชอบแต่พวกเค้ก โดนัทเสียอีก ชอบกินขนมไทยเหมือนกันเหรอเรา” ผมหัวเราะ

“ฮึ ไม่คิดว่าป้อมจะชอบแล้วเอามาฝากป้อมทำไม” ป้อมย้อน “จะแกล้งป้อมหรือไง”

“เปล่า ไม่ได้แกล้ง คือพี่ซื้ออย่างที่พี่ชอบน่ะ” ผมกวน “ถ้าป้อมไม่กินพี่จะได้กินเสียเองไง”

ป้อมต่อยแขนผมเบาๆแล้วหัวเราะ จากนั้นเราก็เดินคุยกันเข้าไปในบ้าน วันนี้ดูป้อมอารมณ์ดี คุยไม่หยุดปาก จนมาถึงโต๊ะเรียนแล้วป้อมก็ยังคุยนั่นคุยนี่ไม่หยุด ผมมองหน้าป้อม เห็นใบหน้าของป้อมแดงสดใส เวลาป้อมยิ้มหรือหัวเราะดูน่ารักมาก... น่ารักอย่างที่ผมไม่เคยสังเกตมาก่อน

“พอแล้ว ไม่คุย ไม่คุยแล้ว” ผมปรามป้อม “มัวแต่คุยไม่ได้เรียนกันพอดี”

“ไม่เอา จะคุย” ป้อมงอแง “เรื่องที่ป้อมอยากเล่ายังไม่หมดเลย”

“เราเรียนกันสักช่วงก่อน เดี๋ยวพักแล้วค่อยคุยต่อ” ผมต่อรอง “ป้อมมีเรื่องเล่าสักล้านเรื่องได้มั้ง หากจะคุยคงต้องคุยสักสามปี”

“เฮอะ มาว่าป้อม” ป้อมแค่นเสียงแล้วต่อยผมอีกแก้เขิน “แต่เอายังงั้นก็ได้”

ป้อมยอมตามผม ไม่งอแงอีก จากนั้นเราจึงเริ่มเรียนกัน

- - -

ผมสอนพิเศษให้แก่ป้อมจนถึงปลายเดือนมกราคมก็หยุดสอน เพราะทั้งผมและป้อมต่างก็ต้องการเวลาสำหรับเตรียมตัวสอบปลายภาค ภาระของผมในช่วงนั้นเยอะมาก ทั้งการสอนป้อมและการเรียนของตนเอง ไหนยังจะต้องอ่านตำรารามฯอีกด้วย เรื่องของเล็กที่ผ่านเข้ามาจึงมีผลต่อจิตใจของผมเพียงช่วงสั้นเท่านั้น หลังจากนั้นเมื่อผมไม่ได้ข่าวคราวของเล็กอีก ผมก็ค่อยๆลืมมันไป

กว่าผมจะสอบปลายภาคเสร็จก็เป็นเวลาช่วงต้นเดือนมีนาคมแล้ว หลังจากนี้ไปก็จะได้พักช่วงหนึ่ง ประมาณเกือบๆหนึ่งเดือน ต่อจากนั้นก็จะเป็นการเรียนในภาคฤดูร้อนหรือที่เรียกกันว่าเรียนซัมเมอร์ ตามปกตินักศึกษาคณะเทคโนจะเรียนภาคฤดูร้อนในช่วงปลายปีสองกันมาก เพราะรุ่นพี่มักสอนรุ่นน้องต่อๆกันมาว่าควรเรียนตอนซัมเมอร์ปีสองเอาไว้กันเหนียว หมายความว่าเรียนรายวิชาตุนเอาไว้ ตอนเรียนปีสี่จะได้สบาย เหลือรายวิชาที่ต้องเรียนน้อยลง หรือบางคนอาจมีปัญหาไม่คาดหมาย เช่น เรียนบางวิชาไม่ผ่าน ก็จะได้เอาเวลาที่ว่างตอนปีสี่นี้มาสะสางให้เรียบร้อย ส่วนที่ว่าทำไมจึงมาสำคัญเฉพาะภาคฤดูร้อนตอนปีสองก็เพราะว่าปีอื่นๆไม่มีโอกาสเรียนนั่นเอง ตอนปลายปีหนึ่งก็มัวแต่สอบเอนทรานซ์ใหม่กัน ปลายปีสามก็ต้องฝึกงาน ส่วนปลายปีสี่ก็เสี่ยงเกินไป

สำหรับผมนั้นก็วางแผนลงทะเบียนเรียนภาคฤดูร้อนเช่นกัน วิชาที่ลงจะเป็นวิชาที่เรียกกันขำๆว่าวิชาไวตามิน หรือที่ฝรั่งเรียกว่าวิชามิกกี้เมาส์ ผมว่าวิชาไวตามินนี่ชื่อก็ให้คำอธิบายได้ตรงดี คือไวตามินเป็นสารที่กินเสริมเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง วิชาไวตามินก็เช่นกัน เป็นวิชาที่เลือกเรียนเสริมเพื่อให้ใบเกรดแข็งแรงขึ้น วิชาที่นักศึกษาเลือกให้เป็นวิชาไวตามินต้องเรียนง่าย อาจารย์ใจดี ให้เกรดง่าย เรียนแล้วต้องได้ A หรืออย่างแย่ก็ต้องได้ B ซึ่งพวกนักศึกษาจะรู้กันเองว่าควรเลือกเรียนวิชาใดและเลือกเรียนกับอาจารย์คนไหน

หลังจากที่สอบปลายภาคสองเสร็จ ผมก็รีบกลับบ้านต่างจังหวัดทันที ผมมีเวลาอยู่ที่บ้านไม่นานนักเพราะว่าหลังจากนั้นยังมีสอบที่รามคำแหงอีก พร้อมกันนั้นก็ต้องสอนป้อมต่ออีกด้วย ทีแรกผมจะขอหยุดสอนป้อมในช่วงเดือนมีนาคม ไปสอนอีกทีในตอนเดือนเมษายนไปเลย แต่ป้อมไม่ยอม ป้อมงอแงมากจนผมใจอ่อน ในที่สุดก็ต้องต่อรองกันว่าเดือนมีนาคมผมจะสอนแต่ว่าขอสอนน้อยลง โดยสอนแต่คณิตศาสตร์อย่างเดียว ซึ่งป้อมก็ยอมตกลงโดยดี

เมื่อผมกลับถึงบ้าน เอ๊ดก็เพิ่งมาถึงบ้านเช่นกัน ตอนนั้นเอ๊ดเรียนจบแล้ว คือสอบเสร็จแล้ว และคาดว่าน่าจะผ่านทั้งหมดโดยไม่มีปัญหาอะไร ดังนั้นเอ๊ดจึงลงมาหางานทำ ดูพ่อกับแม่ตื่นเต้นกับการกลับบ้านของเอ๊ดในครั้งนี้เป็นพิเศษ คงอาจเป็นเพราะว่าเอ๊ดกลับมาในฐานะของว่าที่บัณฑิตก็เป็นได้เนื่องจากเอ๊ดเป็นลูกชายคนโตของครอบครัว

“เอ๊ด ตอนนี้ก็จบแล้ว คิดยังไงต่อ” พ่อถามเอ๊ดในการสนทนาระหว่างมื้ออาหารเย็น วันนั้นเป็นอีกวันหนึ่งที่เราสี่คนพ่อแม่ลูกกินอาหารเย็นร่วมกัน “ที่จริงวันนี้เราน่าจะเข้าไปหาอะไรกินกันในเมืองนะ พิเศษสักวันหนึ่ง”

“นั่นสิ” แม่เห็นด้วย “เมื่อบ่ายก็ไม่ทันคิด ไม่อย่างนั้นวันนี้เราไปกินในเมืองดีกว่า”

“กินที่บ้านก็ดีแล้วแม่ เข้าไปกินในเมือง เสียเวลา เปลืองเงินอีก” เอ๊ดไม่ค่อยเห็นด้วย เอ๊ดก็เป็นแบบนี้เอง มีนิสัยประหยัดมาแต่ไหนแต่ไร “ยังไม่จบจริงเสียหน่อย ยังมีขั้นตอนอีก”

“โอ๊ย จะเปลืองอะไรนักหนา นานทีปีหน” แม่พูด “งั้นไปพรุ่งนี้ก็แล้วกัน จบไม่จริงก็ไปได้”

“แล้วเอ๊ดคิดยังไงต่อ” พ่อถามอีก

“เอ๊ดอยากทำงาน เรื่องเรียนคงเอาไว้ก่อนดีกว่า” เอ๊ดตอบ รู้ดีว่าพ่อหมายถึงเรื่องอะไร “ช่วงนี้เอ๊ดคงต้องเข้ากรุงเทพฯบ่อยหน่อยเพราะต้องไปสัมภาษณ์งานตามนัด”

“สัมภาษณ์เยอะเลยเหรอ” พ่อถาม

“ก็เยอะ” เอ๊ดตอบ แล้วก็อธิบายต่อ “เอ๊ดสมัครไว้หลายที่น่ะ ที่สมัครไว้เยอะเพราะอยากมีโอกาสเลือกงานที่ถูกใจด้วย เค้าเลือกเรา เราก็เลือกเค้า”

“วิ่งขึ้นล่องกรุงเทพฯบ่อยๆก็เหนื่อยแย่” แม่พูด “ทำไมไม่ไปพักกับอูสักช่วงล่ะ สัมภาษณ์เสร็จทั้งหมดแล้วค่อยกลับบ้าน”

“ไม่ได้สัมภาษณ์ทุกวันน่ะสิแม่ บางทีสัมภาษณ์วันหนึ่งแล้วเว้นไปหลายวัน วันที่ว่างก็ไม่รู้จะไปไหน สู้กลับบ้านดีกว่า” เอ๊ดตอบ

เนื่องจากตลาดงานด้านวิศวกรรมในยุคนั้นมีความต้องการสูง ดังนั้นผู้ที่จบวิศวะแทบไม่ต้องเดินหางานเลย คือหมายถึงแทบไม่ต้องไปสมัครงานด้วยตนเอง แค่ส่งจดหมายแนะนำตนเองพร้อมแนบรายละเอียดก็ใช้ได้แล้ว หลังจากนั้นก็รอนัดหมายเพื่อสัมภาษณ์ แถมยังมีโอกาสเลือกงานที่ถูกใจอีกด้วย พูดง่ายๆก็คือเล่นตัวได้พอสมควร

“เห็นมั้ย ถ้ามีบ้านที่กรุงเทพฯสักหลังก็ดี เอ๊ดก็ไม่ต้องลำบากไปๆมาๆแบบนี้” แม่บ่น




<ตำนานสยามสแควร์>

เนื่องจากชีวิตของผมผูกพันกับสยามสแควร์มาตั้งแต่เด็กจนโต มีเรื่องราว ความรัก และความหลังมากมายกับสถานที่แห่งนี้ ประกอบกับต่อไปสยามสแควร์อาจเปลี่ยนสภาพไปกลายเป็นศูนย์การค้าแบบคอมเพล็กซ์แทน โรงหนัง ลิโด และสกาลา อาจถูกรื้อไป ดังนั้นผมจึงขอเสนอภาพพร้อมเรื่องราวประกอบในชุดตำนานสยามสแควร์ ภาพชุดนี้คงยาวหลายตอน ผมก็ยังเตรียมภาพและเรื่องไม่หมด คงทำไปเรื่อยๆตามสถานการณ์ ยังบอกไม่ได้ว่าจะมีทั้งหมดกี่ภาพ เริ่มต้นคงเท้าความไปไกลหน่อย จากนั้นจะค่อยๆเข้าใกล้ปัจจุบันมากขึ้นเรื่อยๆ

ย้อนอดีตไปในสมัยรัชกาลที่ ๓ พื้นที่บริเวณสยามสแควร์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไปจนถึงราชประสงค์ เป็นผืนนากว้าง สภาพพื้นที่เป็นที่ลุ่มผสมหนองน้ำ ผู้ที่พักอาศัยอยู่แถวนี้เป็นครอบครัวชาวไทยล้านช้างที่ถูกกวาดต้อนมาเมื่อครั้งกบฎเจ้าอนุวงศ์ที่อาศัยทำนาเพียงไม่กี่ครอบครัว การคมนาคมไม่สะดวก การเดินทางจากบริเวณนี้เข้าถึงพระนครมีเพียงทางเรือโดยอาศัยคลองแสนแสบที่ขุดในรัชกาลที่ ๓ นั่นเอง

เนื่องด้วยสภาพพื้นที่ย่านนั้นเป็นหนองน้ำมีน้ำขัง จึงมีดอกบัวพันธุ์ต่างๆขึ้นอยู่มากมาย ว่ากันว่างดงามมาก จนในปี พ.ศ. ๒๓๙๖ ในสมัยรัชกาลที่ ๔ รัชกาลที่สี่ทรงมีพระราชดำริที่จะทำสถานที่แห่งนี้ให้เป็นสถานที่สำราญพระราชอิริยาบท จึงโปรดให้ขุดเป็นสระใหญ่สองสระ ปลูกบัวพันธุ์ต่างๆ สระใหญ่ด้านเหนือเรียกว่าสระใน ใช้เป็นที่เสด็จประพาส สระใหญ่ด้านใต้เรียกสระนอก ราษฎรสามารถเที่ยวชมได้ ตรงกลางระหว่างสองสระใหญ่มีเกาะแก่งจำลอง และขุดคลองขึ้นสายหนึ่งเรียกว่าคลองอรชรเอาไว้ใช้ไขน้ำเข้าสระบัวและเป็นเส้นทางสัญจรเข้าออก และสร้างที่ประทับขึ้น ประกอบด้วยพระที่นั่ง พลับพลา และโรงครัว เรือนข้าราชบริพาร และพระราชทานนามว่าวังสระปทุม (สระปทุมแปลว่าสระบัว) และพระราชทานนามพื้นที่บริเวณนั้นว่าตำบลปทุมวัน พื้นที่ของสระปทุมในยุคนั้นน่าจะกินเนื้อที่จากเซ็นทรัลเวิลด์ไปจนถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติในปัจจุบัน

ต่อมารัชกาลที่สี่โปรดให้สร้างวัดขึ้นมาแห่งหนึ่งทางด้านตะวันตกของสระปทุม พระราชทานชื่อว่าวัดปทุมวนาราม ทั้งวังสระปทุมและวัดสร้างเสร็จสมบูรณ์ประมาณ ปี พ.ศ. ๒๔๐๐

จากภาพ ภาพบนเป็นภาพวัดปทุมวนารามเมื่อครั้งมีการฉลองวัด ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๐๐ ส่วนภาพกลางและภาพล่างเป็นภาพวัดปทุมวนารามในปัจจุบันที่ตั้งอยู่ระหว่างกลางของเซ็นทรัลเวิลด์และสยามพารากอน สองยุคเวลาต่างกันประมาณ ๑๕๐ ปี โดยเฉพาะภาพบนและภาพกลาง ถ่ายจากด้านเดียวกัน แม้ว่าจะคนละตำแหน่งกันก็ตาม แต่ก็พอเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างยุคสมัยได้

Saturday, April 14, 2012

ภาคสี่ ตอนที่ 57




ย่างเข้าสู่ปีที่ ๘

สงกรานต์ปี ๒๕๕๕ นี้ก็เป็นวาระที่นิยายเรื่องนี้ดำเนินมาจนครบ ๗ ปีเต็มแล้ว

นับจากช่วงสงกรานต์ในปี พ.ศ. ๒๕๔๘ เป็นต้นมา เวลา ๗ ปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในความรู้สึกด้านหนึ่ง มันรวดเร็วราวกับว่าผมเพิ่งเริ่มเขียนภาคหนึ่ง ตอนที่ ๑ เมื่อไม่นานมานี้เอง แต่ในความรู้สึกอีกด้านหนึ่งมันก็เป็นเวลาที่นานพอดู จากอูในวัยเด็กประถม เติบโตกลายเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ผ่านเรื่องราวต่างๆในชีวิตมากมาย ทั้งสุขและทุกข์ ทั้งดีและร้าย รวมทั้งยังเป็นเวลาที่นานพอที่จะเห็นความเปลี่ยนแปลงของทั้งผู้เขียนและผู้อ่าน ผู้อ่านหลายคนจากเด็กมัธยมก็กลายเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย บางคนเริ่มอ่านตอนเรียนมหาวิทยาลัยตอนนี้ก็กลายเป็นหนุ่มวัยทำงานแล้ว

ผู้ที่เริ่มอ่านในวัยหนุ่ม ตอนนี้ก็กลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว และหลายคนก็เข้าสู่วัยกลางคน สำหรับผมเองก็เช่นกัน วันเวลายุติธรรมสำหรับทุกคนเสมอ วันเวลา ๗ ปีนานพอที่จะเปลี่ยนแปลงผมในหลายด้านเช่นเดียวกัน ทั้งสุขภาพกาย ความคิด จิตใจ และความสม่ำเสมอในการเขียน แต่ที่ยังไม่เคยเปลี่ยนก็คือความคิดที่จะถ่ายทอดเรื่องนี้ให้จบตามที่ได้ตั้งใจเอาไว้

หลังจากวันนี้ นิยายเรื่องนี้ก็ย่างเข้าสู่ปีที่ ๘ แล้ว แม้จำนวนผู้อ่านอาจไม่ได้เพิ่มพูนตามกาลเวลา แต่ผมก็มีความสุขกับเส้นทางเล็กๆสายนี้ เส้นทางที่อบอุ่น มีเพื่อนๆที่พร้อมจะเติบโตและงอกงามไปกับอูในนิยาย และมีผู้ที่เป็นพี่ เพื่อน และน้อง ที่ร่วมทางเดินไปกับอูผู้เขียน

ผมคงไม่มีคำพูดใดที่จะกล่าวบรรยายความรู้สึกได้ดีไปกว่าคำว่าขอบคุณ ขอขอบคุณพี่ๆ เพื่อนๆ และน้องๆหลานๆที่ติดตามอ่านมาโดยตลอดจากใจจริงครับ

อู


ภาคสี่ ตอนที่ 57

หลังจากที่ไปเที่ยวกับป้อม สัปดาห์ถัดมาผมก็ไม่ได้ไปสอนเนื่องจากเป็นช่วงปีใหม่ ดูป้อมอยากจะเรียนทั้งๆที่ควรจะเป็นเวลาฉลองรื่นเริง วัยรุ่นส่วนใหญ่อยากหยุดเรียนกันทั้งนั้น คงมีแต่ป้อมนี่แหละที่อยากเรียน ส่วนผมนั้นไม่อยากสอนเพราะว่าอยากกลับบ้าน

ผมออกจากหอพักแต่เช้าตรู่ นั่งรถทัวร์ปรับอากาศที่หมอชิต จากนั้นมาต่อรถที่ตัวอำเภอเพื่อเข้าบ้านดังเช่นปกติ สองข้างทางเป็นต้นไม้ใหญ่ ทิวทัศน์ร่มรื่นสบายตา เส้นทางชนบทนี้ผมผ่านมาตั้งแต่เด็กจนโตไม่รู้ว่ากี่ร้อยเที่ยวแล้ว แต่ถึงกระนั้นผมก็ไม่เคยรู้สึกเบื่อ... เพราะนี่คือเส้นทางกลับบ้านของผม

อากาศในฤดูหนาวเย็นสบายแฝงกลิ่นไอชนบท ต่างจากอากาศในกรุงเทพฯลิบลับ ผมสูดอากาศเข้าไปจนเต็มปอด กลิ่นไอชนบทนี้สามารถทำให้จิตใจของผมร่มเย็นได้อย่างประหลาด เพราะว่าเมื่อใดที่ได้กลิ่นไอนี้ก็แสดงว่าผมใกล้ถึงบ้านแล้ว... เดิมทีผมเคยตั้งใจเอาไว้ว่าจะกลับบ้านบ่อยๆ อยากกลับมาอยู่เป็นเพื่อนแม่ แต่ก็ทำได้เพียงพักเดียว พอเข้ามหาวิทยาลัยก็ทำตามที่ได้ตั้งใจไว้ไม่ค่อยได้เสียแล้ว ยิ่งตอนอยู่ปีสองนี้ยิ่งกลับบ้านน้อยลงไปอีก

รถประจำทางวิ่งด้วยความเร็วปานกลาง อีกไม่นานผมก็จะถึงบ้านแต่ดูเหมือนว่าความคิดของผมจะล่วงหน้าไปถึงบ้านก่อนแล้ว ตอนเรียนอยู่ที่กรุงเทพฯก็ไม่ค่อยได้คิดถึงบ้านนัก แต่แปลกที่ยิ่งเดินทางใกล้ถึงบ้านเพียงใด ความคิดถึงบ้านก็ยิ่งมีมากขึ้น

ในความคิดคำนึง ผมเห็นแม่กำลังเดินออกมาต้อนรับผมที่หน้าบ้าน เมื่อเดินเข้าไปในบ้านก็จะเห็นเอ๊ด จากนั้นต้องเข้าไปในห้องทำงานจึงจะเห็นพ่อ ผมสำรวจใจตนเอง พยายามหาคำตอบว่าทำไมผมจึงไม่ค่อยกลับบ้าน หากพูดแบบสร้างภาพให้ดูดีก็คงเป็นเพราะว่าผมยุ่งมาก หรือหากเอาแบบไม่สร้างภาพก็คงต้องตอบว่าผมขี้เกียจเดินทาง แต่ลึกๆแล้วผมรู้ดีว่าที่ว่ายุ่งหรือขี้เกียจนั้นเป็นเพียงเหตุผลส่วนหนึ่งเท่านั้น เหตุผลลึกๆก็คือผมมักรู้สึกอึดอัดใจเมื่ออยู่ใกล้พ่อนั่นเอง

หลายปีมานี้ ผมกับพ่อดูเหมือนจะเหินห่างกันไปมาก ผมมักเข้าหน้าพ่อไม่ค่อยติด พูดคุยกันได้ไม่นานก็ต้องเถียงกันแล้ว หากจะพูดตามตรงก็คือผมกับพ่อดูเหมือนจะไม่ค่อยลงรอยกัน แต่ละปีนี่นับจำนวนประโยคที่คุยกับพ่อไม่ถูก ไม่ใช่เพราะว่าคุยกันเยอะมากแต่เป็นเพราะคุยกันน้อยจนนับไม่ถูกต่างหาก ยิ่งโทรศัพท์คุยกันนี่ไม่มีเลย ยกเว้นตอนที่พ่อรับสายของผมโดยบังเอิญเท่านั้น และหลังจากเข้ามหาวิทยาลัยได้ก็ยิ่งคุยกันน้อยลงเพราะว่าผมขัดใจพ่อเรื่องเลือกคณะ พ่อจึงมักเอาเรื่องนี้มาบ่นอยู่เสมอ

เมื่อก่อนผมเคยน้อยใจว่าทำไมพ่อจึงปฏิบัติกับผมต่างจากเอ๊ด แต่มาถึงตอนนี้ก็ทำใจได้แล้ว ผมพยายามไม่ไปนึกถึงและเก็บซ่อนความน้อยเนื้อต่ำใจเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจ ผมเคยคิดแบบประชดชีวิตว่าถ้าหากไม่ใช่เป็นเพราะแม่ผมอาจไม่จำเป็นต้องกลับบ้านเลยก็ได้เพราะไม่รู้ว่าจะกลับไปทำไม แต่นั่นก็เป็นแค่ความคิดประชดประชันเท่านั้น แม้ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพ่อจะไม่ราบรื่นแต่ถึงอย่างไรบ้านและครอบครัวยังมีความหมายต่อผมอยู่เสมอ

- - -

“แม่ กลับมาแล้วววว” ผมแหกปากตะโกนหลังจากที่มาถึงและเดินเข้าไปในบ้าน

“โอ้โฮ นึกว่าปีใหม่นี้จะไม่กลับมาเสียแล้ว” แม่รีบเดินออกมาจากในห้องครัวพร้อมกับทักทายผม ขณะเดียวกับเอ๊ดก็เดินลงมาจากชั้นบนพอดี

“เป็นไงบ้างอู” เอ๊ดทักทาย “แม่บอกว่าอูไม่ค่อยกลับมาเยี่ยมแม่เลย อูเรียนปีสองยังยุ่งว่าเอ๊ดเรียนปีสี่อีกนะ”

“แหะ ก็ยุ่งจริงๆนี่นา” ผมฝืนหัวเราะ พูดเสียงอ่อย ผมรู้ว่าเอ๊ดตำหนิผมเพราะแม่อาจยังไม่หายขาดจากโรคร้าย ผมน่าจะดูแลแม่ให้มากกว่านี้ ซึ่งก็เป็นความจริง ผมจึงเถียงไม่ออก

“แม่เป็นไงบ้างล่ะ สบายดีไหม งานบ้านหนักไหมแม่” ผมรีบประจบประแจงแม่ทันที

“จะถามไปทำไม ร้อยวันพันปีไม่เคยถาม” แม่ช่วยเอ๊ดรุมผม

“เคยถามนะแม่ อูเคยถามแล้ว แต่แม่จำไม่ได้เอง” ผมเถียง

“ก็ใช่น่ะสิ อูถามแม่ครั้งสุดท้ายมันก็นานมากจนแม่จำไม่ได้แล้ว” แม่ย้อน แต่สีหน้าแม่ไม่ได้แสดงความน้อยใจแต่อย่างใด แม่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี คงอยากดักคอให้ผมจนมุมมากกว่า

“แหะๆ แม่ ปีใหม่เราคุยแต่เรื่องดีๆกันไม่ดีกว่าเหรอ” ผมรีบยกธรรมเนียมปีใหม่ขึ้นมาอ้าง

“โอ๊ย คุยได้ แม่ไม่ถือ แม่ถือเฉพาะวันตรุษจีน” แม่รีบตอบ

“แต่อูถือนี่นา คุยเรื่องอื่นดีกว่า เนอะ” ผมตะแบง พร้อมกับเปลี่ยนเรื่องดื้อๆ “ไหน แม่ มีอะไรให้กินบ้าง ชักหิวแล้ว”

“อูไปทักป๊าเสียหน่อยก่อน เดี๋ยวค่อยเข้ามากิน” แม่พูด

เมื่อพูดถึงพ่อ ผมก็อึ้งไป ไม่รู้ว่าทักแล้วจะโดนพ่อดุเรื่องอะไรอีกหรือเปล่า

“หมู่นี้พ่อทำงานหนัก แม่ต้มยาบำรุงให้กินก็ไม่ยอมกิน” แม่บ่น สีหน้าที่อารมณ์ดีเมื่อครู่กลายเป็นสีหน้าเหน็ดเหนื่อยใจแทน

“ป๊าเป็นไรเหรอแม่” ผมถาม

“ก็ไม่ได้ล้มป่วยอะไร แต่ดูเหนื่อยง่าย อ่อนแอลง ให้ไปหาหมอก็ไม่เอา ต้มยาบำรุงให้กินก็ไม่เอา” แม่บ่นอีก “ป๊าก็อายุมากขึ้นทุกปี แต่ก็ยังทำงานไม่ค่อยได้พักผ่อน แม่เองก็ยังรู้สึกเหมือนกันว่าเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยแข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน งานครัวที่ต้องใช้แรงก็ชักจะไม่ไหวเหมือนกัน”

ผมได้ฟังแม่พูดจึงเดินไปที่ห้องทำงานของพ่อ เมื่อเปิดประตูเข้าไปเห็นพ่อกำลังง่วนอยู่กับกองบิลและเอกสารต่างๆ ดูพ่อผอมลงไปหน่อยจริงๆ

“ป๊า อูมาแล้ว” ผมทักทาย

“ฮื่อๆ” พ่อทักทายตอบ เงยหน้าขึ้นมามองผมนิดหนึ่งจากนั้นก็ก้มหน้าลงไปดูเอกสารต่อ

“ป๊าผอมไปหน่อยนะ ไม่สบายหรือเปล่า” ผมพยายามชวนคุย

“ก็พักผ่อนน้อยน่ะสิ จะมีอะไร” พ่อพูด สายตาละจากเอกสารมาดูหน้าผมนิดหนึ่ง แล้วก็ก้มหน้าดูเอกสารต่อ “ให้เรียนบัญชีก็ไม่เรียน ปิดเทอมจะได้มาช่วยงานที่บ้านบ้าง นี่เอาแต่อยู่กรุงเทพฯ งานป๊าก็หนักน่ะสิ”

วกมาเรื่องนี้อีกแล้ว พอผมได้ยินพ่อพูดเรื่องเรียนบัญชีผมรู้ดีว่าหากคุยต่อคงต้องเถียงกันแน่ แบบนี้ผมหนีก่อนดีกว่า

ป๊า... ป๊าเคยสนใจบ้างไหมว่าอูอยากเรียนอะไร ป๊าเคยอยากรู้บ้างมั้ยว่าผลการเรียนของอูเป็นยังไง ผมถามพ่อในใจ อยากจะถามคำถามนี้ให้พ่อได้ยิน แต่มาคิดอีกทีพูดไปก็คงเปล่าประโยชน์ จึงปิดประตูห้องและเดินจากมา เป็นอันว่าการสนทนาระหว่างผมและพ่อจึงจบลงเพียงเท่านี้

เมื่อออกมาจากห้องทำงานของพ่อ ผมก็มาขลุกอยู่กับแม่และเอ๊ดที่ในครัว แม่ทำโน่นทำนี่ไปเรื่อยตามนิสัยของคนที่ไม่ชอบอยู่ว่าง ส่วนเอ๊ดนั่งกินขนมอยู่ที่โต๊ะ

“อู มากินขนมเร็ว” แม่เรียกผมแล้วชวนคุย “นึกว่าปีใหม่นี้จะไม่มาเสียแล้ว ทำไมมาเอาป่านนี้ ดูเอ๊ดสิ มาก่อนอูตั้งหลายวัน”

“ป่านนี้อะไรกันแม่ นี่วันเสาร์ ที่ผ่านมาอูสอบมิดเทอมตลอดทั้งอาทิตย์ สอบเสร็จวันศุกร์วันนี้ก็รีบมาเลย” ผมเถียง แล้วก็อดกวนไม่ได้ “ถ้าจะให้มาได้เหมือนเอ๊ดก็ต้องโดดสอบสิแม่ เอายังงั้นเลยนะ”

“แม่พูดแบบนี้เดี๋ยวอูก็โวยวายกับเอ๊ดหรอก” เอ๊ดหัวเราะ “อูไม่ได้มาช้าหรอก ที่เอ๊ดมาเร็วได้เพราะเทอมนี้วิชาเรียนเหลือน้อยแล้ว ใกล้จบแล้วก็เลยเรียนสบายๆ มีเวลาว่างเยอะหน่อย”

ตอนนั้นเอ๊ดเรียนปีสี่เทอมสุดท้าย อีกไม่นานก็จะจบแล้ว เวลาผ่านไปเร็วจนผมเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน

“จบแล้วจะเอาไงต่อละเอ๊ด” ผมถาม

“ก็ทำงานสิ ถามได้” เอ๊ดตอบ

“แล้วแถวนี้มีงานวิศวะดีๆบ้างไหม” แม่ถาม คำว่าแถวนี้ในความหมายของแม่หมายถึงในตัวจังหวัด ไม่ได้หมายความถึงในละแวกบ้าน เพราะแม่ก็รู้ดีว่าในละแวกบ้านไม่มีงานอะไรให้เอ๊ดทำ

“คงต้องทำงานในโรงงานละแม่ โรงงานใหญ่ๆส่วนมากก็อยู่ตามนิคมอุตสาหกรรม อย่างระยอง อยุธยา หรือรอบๆกรุงเทพฯ” เอ๊ดตอบ “เอ๊ดก็สมัครงานเอาไว้หลายแห่ง แต่ยังไม่รู้ว่าจะได้ที่ไหน”

ในยุคนั้นบัณฑิตสายวิศวกรรมขายดีมาก หลายคนถูกบริษัทใหญ่จองตัวเอาไว้ตั้งแต่อยู่ชั้นปีสี่ และเกือบทั้งหมดได้งานภายในเวลาไม่นานหลังจากเรียนจบ

สีหน้าของแม่จ๋อยไปนิดนึง เห็นแล้วอดสงสารแม่ไม่ได้ ผมรู้ดีว่าแม่คงหวังอยากให้ลูกมาอยู่ใกล้ๆบ้าง แต่ความหวังของแม่ที่คงยากประสบผล แม้แต่ผมเองเมื่อเรียนจบก็คงต้องทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมเช่นกัน เส้นทางการทำงานคงไม่ต่างจากเอ๊ดเท่าไรนัก

- - -

เทศกาลปีใหม่ในปีนั้นผ่านไปอย่างค่อนข้างราบรื่น ผมมาอยู่บ้านตั้งหลายวันแต่ก็ยังไม่มีปากเสียงอะไรกับพ่อ จนในตอนเย็นของวันปีใหม่ เราสี่คนพ่อแม่ลูกนั่งกินอาหารเย็นพร้อมหน้ากันที่โต๊ะอาหาร ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก หลายปีมานี้ผมมักหลีกเลี่ยงที่จะกินอาหารร่วมโต๊ะกับพ่อเนื่องจากเวลามื้ออาหารเป็นโอกาสที่เหมาะที่สุดที่พ่อจะบ่นผม ดังนั้นผมจะรอให้พ่อกินเสร็จเสียก่อนจึงกินจะเข้าไปกินเพื่อจะได้ไม่ต้องฟังพ่อบ่น ยกเว้นในเทศกาลพิเศษเช่นในวันปีใหม่หรือวันตรุษจีนที่แม่บังคับให้ผมนั่งร่วมโต๊ะและกินอาหารพร้อมกันทั้งครอบครัว

“เอ๊ด จบแล้วคิดจะทำงานเหรอ” พ่อชวนเอ๊ดคุยขณะที่กินอาหารเย็น

“ใช่แล้วป๊า” เอ๊ดรับคำ

“ทำไมไม่เรียนต่อล่ะ สมัยนี้มันต้องจบโทถึงจะก้าวหน้าไว คนจบปริญญาตรีกันเยอะแยะ ถ้าไม่เรียนต่อมันไม่พอหรอก” พ่อพูด

“เอาไว้ทำงานสักพักก่อนแล้วค่อยคิดดีกว่าป๊า” เอ๊ดตอบ “อยากทำให้สักพักจะได้รู้ว่าควรเรียนอะไรต่อ เวลาเรียนต่อจะได้มีเป้าหมาย อีกอย่าง เรียนมาสิบกว่าปีแล้ว อยากทำงานเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง”

“ไปเรียนต่อเมืองนอกดีกว่ามั้ย ป๊าเตรียมการเอาไว้ให้แล้ว เรื่องค่าใช้จ่ายไม่ต้องเป็นห่วง” พ่อพูดโน้มน้าวอีก

ผมฟังแล้วรู้สึกจุกในลำคอ นี่ป๊าเตรียมส่งเอ๊ดไปเรียนเมืองนอก ถึงกับเตรียมเงินทองเอาไว้เรียบร้อยแล้ว มิน่าล่ะ แม่ถึงได้บ่นว่าพ่อทำงานหนัก ที่แท้ก็เพราะเรื่องนี้นี่เอง

“เรียนต่อโทเมืองไทยก็ได้ป๊า ไม่ต้องไปไหนไกลหรอก” เอ๊ดตอบ เอ๊ดเป็นคนมักน้อย ดูไม่ค่อยตื่นเต้นกับข้อเสนอของพ่อนัก

“ไปเรียนต่างประเทศจะได้เปิดหูเปิดตา ได้เห็นอะไรที่แตกต่างออกไปบ้าง เรียนในเมืองไทยสิบกว่าปีแล้วไม่อยากไปเห็นบ้านเมืองอื่นบ้างหรือไง” พ่อพูดโน้มน้าว

“มันใช้เงินเยอะ เอาไว้ค่อยว่ากันอีกทีก็ได้ป๊า” เอ๊ดแบ่งรับแบ่งสู้ “คงอีกหลายปีกว่าเอ๊ดจะเรียนต่อ ถึงตอนนั้นค่อยมาว่ากันอีกที”

“เอ๊ด คิดดูให้ดีนะ ป๊าว่าเอ๊ดน่าจะไปเรียนต่อนอกเลยมากกว่า ลองเอาคำพูดป๊าไปคิดอีกที” พ่อย้ำอีก สีหน้าจริงจัง เอ๊ดฟังแล้วก็นั่งเงียบ ไม่พูดอะไร

ป๊า แล้วอูล่ะ ป๊าไม่เคยถามอูบ้างเลย ป๊าเคยคิดส่งอูบ้างไหม ผมร้องถามพ่อในใจ แต่พ่อคงไม่ได้ยิน

“อ้อ แล้วที่ว่าอยากทำงาน ได้งานแล้วหรือยัง” พ่อถามอีก ดูพ่อจะสนใจแต่เอ๊ด ไม่สนใจจะคุยกับผมบ้างเลย

“ยังเรียนไม่จบเลย เอ๊ดไม่ได้เก่งขนาดที่มีใครต้องมาจองตัวตั้งแต่ปีสี่” เอ๊ดหัวเราะ “ตอนนี้ก็ลองสมัครไปแล้วหลายแห่งแหละ”

“สมัครไว้จังหวัดไหนบ้างล่ะ” พ่อซักอีก

“ก็โรงงานแถวจังหวัดอยุธยา สมุทรปราการ ปทุมธานี ระยอง แล้วก็กรุงเทพฯแถวๆลาดกระบัง” เอ๊ดตอบ “แต่ที่ระยองน่าจะมีโอกาสสูงกว่าที่อื่นเพราะมีตำแหน่งเปิดมาก”

“ที่จริงเห็นเอ๊ดกำลังจะทำงาน ป๊าก็อยากหาบ้านในกรุงเทพฯไว้สักหลัง เอ๊ดกับอูจะได้อยู่ด้วยกัน ไม่ต้องไปเช่าหอพักอีกต่อไป อยู่บ้านเราเองมั่นคงกว่า ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาไล่หรือมาเลิกสัญญาเช่า โตกันแล้วก็สมควรจะลงหลักปักฐานเสียที” พ่อพูดอย่างใช้ความคิด “แต่ถ้าเอ๊ดต้องไปทำงานและพักอยู่ต่างจังหวัดละก็...”

บ้าน! หูของผมไม่ได้ฝาดไป พ่อกำลังพูดถึงบ้านในกรุงเทพฯ ผมใฝ่ฝันถึงการมีบ้านมานานแล้ว แต่ก็อย่างที่บอก มันเป็นได้เพียงแค่ความฝัน ผมไม่เคยคิดว่าพ่อจะซื้อบ้านในกรุงเทพฯมาก่อน

“นั่นสิ เอ๊ดยังไม่รู้ว่าจะได้งานที่ไหนเลย” เอ๊ดตอบ

เอ๊ดอีกแล้ว อะไรก็เอ๊ด นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเอ๊ดป๊าก็คงไม่คิดซื้อบ้านใช่ไหม ผมตัดพ้อพ่ออยู่ในใจ ตั้งแต่เด็กผมอยู่โรงเรียนประจำ จากนั้นก็มาพักกับคุณลุงคุณป้า แล้วก็มาอยู่หอพัก ไม่มีที่ไหนที่ให้ความรู้สึกของความเป็น ‘บ้าน’ เลย บ้านคุณลุงคุณป้าให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับบ้านมากที่สุดแต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นบ้านของคนอื่น ไม่ใช่บ้านของเราเอง

“ถ้าเรามีบ้านสักหลังในกรุงเทพฯก็ดีนะป๊า อูอยากมีบ้านอยู่มานานแล้ว” ผมอดพูดบ้างไม่ได้ “ถึงเอ๊ดไม่ได้อยู่ แต่ถ้าทำงานไม่ไกลจากกรุงเทพฯมากนัก เสาร์อาทิตย์ก็คงกลับมาอยู่ได้ แถมป๊ากับแม่เข้ากรุงเทพฯก็จะได้มีที่พัก ไม่ต้องไปเช่าโรงแรม”

“โอ๊ย เดี๋ยวนี้แม่กับป๊าเข้ากรุงเทพฯไม่บ่อย” แม่พูดขึ้นมาบ้าง แต่พูดแล้วก็หยุดไปเหมือนกับได้คิดอะไรบางอย่าง “แต่ เอ... มีบ้านที่กรุงเทพฯสักหลังก็เข้าทีเหมือนกัน วันหยุดเอ๊ดก็จะได้กลับมาพักบ้าง พี่น้องจะได้มีโอกาสอยู่ด้วยกันได้ ไม่อย่างนั้นต่างคนคงต่างไปเช่าพอพักกันคนละที่... ร้อยวันพันปีคงไม่ได้เจอหน้ากัน ไม่อยากให้พี่น้องกันต้องอยู่ตัวใครตัวมันขนาดนั้นเลย”

พ่อนิ่งเงียบ กินอาหารต่อไปโดยไม่พูดอะไรอีก ผมเห็นพ่อไม่พูดต่อก็ไม่กล้าเซ้าซี้ ส่วนเอ๊ดก็เงียบ คงพูดอะไรไม่ถูกเนื่องจากสภาพของเอ๊ดเองยังมีความไม่แน่นอนอยู่มาก ประเด็นเรื่องบ้านจึงถูกพักเอาไว้เท่านี้ แต่คำพูดของพ่อก็ได้จุดประกายในใจของผมขึ้นมา... บ้าน!

- - -

ในที่สุด วันหยุดช่วงเทศกาลปีใหม่ก็ผ่านพ้นไป และผมก็เดินทางเข้ากรุงเทพฯอีกครั้งหนึ่ง

“พี่อูมาแล้ว เย...” ป้อมทักทายผมด้วยเสียงงุ้งงิ้งทางโทรศัพท์ หลังจากที่ผมมาถึงหอพัก คืนนั้นผมก็โทรหาป้อมทันที ป้อมกำชับให้ผมโทรบอกป้อมเมื่อกลับถึงกรุงเทพฯแล้วซึ่งผมก็รับปาก “หวัดดีปีใหม่ฮะพี่อู”

“หวัดดีปีใหม่ครับคุณชาย ดีใจขนาดนี้ อยากทำการบ้านมากหรือไง” ผมหัวเราะ “พี่จะกลับกรุงเทพฯวันไหน ถึงยังไงก็ต้องรอวันเสาร์อยู่ดี”

“ไปบ้านมา มีของอะไรมาฝากป้อมบ้าง” ป้อมทวงของฝาก

“ที่บ้านมีแต่ก้อนอิฐ จะเอามั้ย” ผมหัวเราะอีก

“ไม่มีอะไรมาฝากป้อมเลยเหรอ” ป้อมเสียงจ๋อยลงในทันที

“เอาไว้วันเสาร์ก่อน เจอกันแล้วก็รู้เอง” ผมแกล้งทำเป็นลึกลับแต่ที่จริงก็คือซื้อเวลา รู้สึกผิดเหมือนกันที่ไม่ได้หาของฝากมาให้ป้อม ก่อนกลับบ้านป้อมกำชับเรื่องของฝากอยู่หลายครั้งแต่ในที่สุดผมก็ลืมไป

- - -

ปกติเมื่อผมกลับจากบ้านก็ไม่ได้ซื้อของมากฝากใคร สาเหตุเพราะว่าที่บ้านของผมไม่มีของฝากอะไรที่ขึ้นชื่อ ส่วนใหญ่ก็คล้ายๆกับที่มีอยู่ในกรุงเทพฯ นอกจากนี้แล้วผมยังไม่รู้ว่าจะเอาของฝากมาฝากใครดี

เมื่อป้อมทวงของฝาก ทางออกของผมก็คือหาซื้อขนมที่มีอยู่ในกรุงเทพฯนั่นแหละเอาไปฝากป้อม ดังนั้นในตอนเย็นวันหนึ่ง หลังจากเลิกเรียน ผมจึงไปเลือกซื้อขนมไทยที่เป็นของแห้งและเก็บได้นาน พวกขนมผิง ครองแครงกรอบ ที่ตลาดสามย่านเพื่อเป็นของฝากให้ป้อม และยังซื้อขนมเผื่อมาอีกนิดหน่อย ไหนๆก็ไหนๆ...

หลังจากที่ซื้อขนมเสร็จ ผมก็เดินกลับเข้ามหาวิทยาลัย เดินผ่านสนามหญ้าผืนใหญ่ไปยังฝั่งที่ตรงข้ามกับคณะเทคโนฯ

“หวัดดีปีใหม่จ้า” ผมชะโงกหน้าเข้าไปในห้องห้องหนึ่งและส่งเสียงทักทายบุคคลที่อยู่ในห้อง ภายในห้องเป็นหญิงสาวสามคน กำลังซ้อมดนตรีอยู่

“อุ๊ย พี่อู” หนึ่งในสามสาวที่กำลังซ้อมดนตรีอยู่หันมาทักผม เธอคือจุ๋มนั่นเอง ส่วนอีกสองคนมองหน้าผมแล้วอมยิ้ม “สวัสดีปีใหม่ค่ะ”

จุ๋มวางไวโอลินและคันสีลงที่โต๊ะ จากนั้นเดินออกมาหาผมที่นอกห้อง ในระยะหลังผมมาที่ห้องซ้อมดนตรีนี้หลายครั้ง จนพี่เหล่งและเพื่อนของจุ๋มหลายคนเริ่มชินกับใบหน้าของผมแล้ว ผมจึงไม่ต้องทำตัวลีบๆอีก ผมเดินไปมาในตึกเรียนของจุ๋มราวกับเดินอยู่ในคณะของตนเอง

“ช่วงปีใหม่พี่ไปบ้านมา” ผมพูด “เลยเอาขนมมาฝากจุ๋ม”

ผมยกถุงขนมสองถุงส่งให้จุ๋ม จุ๋มทำตาโตด้วยความดีใจ

“ขนม ขนม ดีจัง” จุ๋มพูด พลางหยิบขนมในถุงขึ้นมาสำรวจดูว่ามีอะไรบ้าง

หลังจากที่ดูขนม จุ๋มก็มองหน้าผม

“นี่ขนมที่บ้านพี่อูเหรอ” จุ๋มถาม

“ทำไมจุ๋มถามแบบนี้ล่ะ แหะๆ” ผมไม่ได้เตรียมคำตอบสำหรับคำถามนี้มาก่อน จึงอึ้งไป

“เปล่า ก็แค่อยากรู้” จุ๋มอมยิ้มแบบแปลกๆ

“ก็... ไม่ใช่ของที่บ้านหรอก พี่ซื้อที่ตลาดสามย่านนี่แหละ” ผมตอบตามตรง “แถวบ้านพี่ไม่มีของกินขึ้นชื่ออะไร เลยเอาของแถวนี้มาฝาก ฝากให้เพื่อนๆจุ๋มด้วยละกัน แล้วก็ถุงนี้ฝากให้พี่เหล่ง”

“มิน่าล่ะ” จุ๋มหัวเราะแบบกลั้นไม่อยู่ “โธ่เอ๊ย”

“มีอะไรเหรอ” ผมสงสัย

“ก็ขนมที่พี่อูเอามานี่น่ะ ที่ถุงมีที่อยู่และเบอร์โทรติดอยู่ ที่อยู่ก็กรุงเทพฯ เบอร์โทรก็กรุงเทพฯ จุ๋มเลยสงสัยไงว่าพี่อูไปเอามาจากไหน” จุ๋มหัวเราะอีก

“เออ นั่นแหละ” ผมเขิน ตอนซื้อก็ไม่ทันสังเกต ได้แต่ทำหน้าตายตะแบงไป “ยังไงก็ขนม ซื้อที่ไหนก็คงไม่ต่างกันละน่า”

“ค่า... เข้าใจแล้ว... ขอบคุณนะค้า” จุ๋มพูดเสียงหวาน “พี่อูกลับบ้านสนุกไหม”

“ก็สนุกดี” ผมตอบ “แล้วจุ๋มล่ะ ฉลองปีใหม่สนุกไหม”

จุ๋มหน้าสลดลงในทันที

“แย่ค่ะพี่อู” จุ๋มพูด หยุดไปนิดหนึ่งแล้วรีบพูดตัดบท “อย่าเพิ่งคุยเรื่องนี้เลยพี่อู อย่าให้จุ๋มทำเสียบรรยากาศช่วงปีใหม่เลย”



ฟังเพลง Take Me Home, Country Roads
ร้องโดยจอห์น เดนเวอร์ จากอัลบั้ม Poems, Prayers and Promises ออกในปี ค.ศ. 1971