Saturday, September 27, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 24

ไอ้นัยเมื่อถูกผลักเข้ามาในห้องน้ำ ก็เข้าใจดีว่าผมกำลังจะทำอะไร เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกของเราที่ใช้บริการจากห้องน้ำในโรงเรียน

ก่อนที่ผมจะล็อกกลอนประตูห้องน้ำ ผมฉุกคิดอะไรขึ้นมาบางอย่าง จึงเดินออกไปแล้วงับประตูห้องน้ำห้องติดๆกันให้ปิดเข้าไป จากนั้นจึงกลับเข้ามาในห้องเดียวกับไอ้นัยอีกครั้ง ดังนั้นเมื่อมองจากข้างนอก จะเข้าใจว่ามีคนอยู่ในห้องน้ำสองห้องติดกัน

เราสองคนวางกระเป๋านักเรียนลง จากนั้นผมอ้อมไปกอดไอ้นัยจากข้างหลัง กลิ่นกายอ่อนๆของมันทำให้ผมเกิดความปั่นป่วนในจิตใจ ผมซุกจมูกไปที่ต้นคอของไอ้นัย พยายามสูดกลิ่นหอมที่ผมชอบเข้าไปให้เต็มปอด ส่วนมือของผมก็ไม่ปล่อยให้อยู่ว่าง ผมโอบเอวมันไว้ข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งคลึงเคล้าวนเวียนอยู่ที่เป้ากางเกงของมัน

ไอ้นัยหัวเราะกิ๊ก จมูกที่ซุกไซร้อยู่ที่ต้นคอคงทำให้มันจั๊กกระจี๋ มันพยายามเบือนหน้ามากระซิบที่ข้างหูของผม

“จี๋โว้ย อู”

เมื่อมันเบือนหน้ามา ทำให้จมูกของผมไล้ผ่านต้นคอไปที่แก้ม แก้มของไอ้นัยอิ่ม อุน และนุ่ม ยังน่าพิสมัยกว่าต้นคอเสียอีก ผมซุกไซร้ใบหน้าลงที่แก้มของมันรุนแรงยิ่งขึ้น พยายามสูดหายใจเข้าไป สูดกลิ่นกายที่ผมหลงใหลเข้าไปให้ได้มากที่สุด

เป้ากางเกงของไอ้นัยที่ผมกุมอยู่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ผมจับท่อนเนื้อของมันจากภายนอก แล้วรูดไปมาตามแนวของท่อนลำ ไอ้นัยครางเบาๆ

มันไม่ยอมเสียเปรียบ เอื้อมมือมาจับท่อนเนื้อของผม แล้วรูดไปมาจากนอกกางเกงบ้าง การรูดของมันทำให้หัวเห็ดที่เป็นเนื้ออ่อนซึ่งปกติถูกปกคลุมอยู่ในหนังหุ้มปลายเผยออกมา และเสียดสีกับกางเกงใน ถึงตอนนี้ผมก็อดครางออกมาด้วยความเสียวไม่ได้ ในวัยเด็กที่หัวเพิ่งเปิดได้ใหม่ๆ เวลาหัวเห็ดเสียดสีกับกางเกงในนี่มันเสียวจริงๆ

ผมปลดหัวเข็มขัดและตะขอกางเกงของไอ้นัยออก จากนั้นค่อยๆรูดกางเกงและกางเกงในของมันลงมา และแล้ว ท่อนเนื้อของไอ้นัยก็ดีดผึงออกมา ขณะเดียวกัน ไอ้นัยก็พยายามปลดหัวเข็มขัดและถอดกางเกงของผมบ้าง แต่ก็ทำได้ไม่ถนัด ผมจึงจัดการถอดกางเกงและกางเกงในของตนเองลง

ผมแนบท่อนลำของตนเองเข้ากับร่องก้นของไอ้นัย น้ำหล่อลื่นที่ไหลออกมาจากปลายท่อนลำของผมช่วยหล่อลื่นให้ร่องก้นของไอ้นัยไม่ฝืดนัก ผมจึงถูไถท่อนลำเข้ากับร่องก้นของมัน จมูกก็ซุกไซร้ไปทั่วต้นคอ หลังหู และแก้ม ขณะเดียวกันมือก็ชักว่าวให้ไอ้นัยไปด้วย

“อา...” ไอ้นัยครางเบาๆด้วยความเสียว

ผมเองก็รู้สึกเสียวไม่แพ้กันจากการกระเด้าร่องก้นของไอ้นัย ผมชักท่อนลำของไอ้นัยแรงขึ้น แรงขึ้น และแรงขึ้น เพียงครู่เดียว ผมก็รู้สึกว่าท่อนลำของไอ้นัยมีการเกร็งตัว จากนั้นก็กระตุกเป็นจังหวะหลายครั้งติดๆกัน การกระตุกแต่ละครั้งได้ฉีดน้ำว่าวสีขาวขุ่นออกมา พ่นใส่ผนังห้องน้ำเต็มไปหมด ไอ้นัยถอนหายใจเฮือก

ภาพน้ำว่าวสีขาวขุ่นที่อยู่บนกำแพง มีบางส่วนจับตัวเป็นลิ่ม และกำลังไหลย้อยลงมา พาให้อารมณ์ของผมกระเจิดกระเจิง ผมกระเด้าร่องก้นไอ้นัยแรงขึ้น และรู้สึกว่าน้ำของผมกำลังจะแตก

ผมถอนท่อนลำของผมออกจากร่องก้นของไอ้นัย จากนั้นเอามือชักต่อ ที่จริงอยากจะแตกในร่องก้นของมันเหมือนกัน แต่กลัวว่าจะทำให้เลอะ ผมจึงหันหน้าไปทางผนังห้องน้ำที่เปรอะน้ำว่าวของไอ้นัย จากนั้นฉีดน้ำว่าวสาดใส่เข้าไปบ้าง

ท่อนลำของผมกระตุกหลายครั้ง แต่ละครั้งฉีดพุ่งน้ำว่าวออกมาไม่น้อย น้ำว่าวทั้งของผมและไอ้นัยส่งกลิ่นคาวคลุ้งไปทั่วห้องน้ำ

ทันใดนั้นเอง ยังไม่ทันที่เราจะทำอะไรต่อ มีเสียงเอะอะลอยมาตามลม เหมือนมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งมาทางห้องน้ำ

เสียงนักเรียนหลายคนคุยกัน เสียงเหล่านั้นไม่ใสเหมือนเสียงเด็ก คงไม่ใช่พวก ม.ต้น น่าจะเป็นพวกพี่ ม.ปลายเสียมากกว่า

เสียงคุยฟังไม่ได้ศัพท์ แต่สุดท้ายได้ยินเสียงก็เงียบลง หลังจากนั้นผมก็เห็นควันลอยอบอวลอยู่ในห้องน้ำ

บุหรี่...

ใช่แล้ว ควันเหล่านี้คือควันบุหรี่นั่นเอง พวกพี่ ม.ปลายใช้ห้องน้ำนี้เป็นสถานที่มั่วสุมกันสูบบุหรี่ในยามเย็น

ผมกับไอ้นัยยืนนิ่ง ผมรู้สึกตกใจเหมือนกัน เพราะเท่าที่ผ่านมา การใช้ห้องน้ำของเรามักราบรื่น ไม่พบอุปสรรคแต่อย่างใด ผมหวนนึกถึงตอนที่ผมเล่นกับไอ้ชัชในห้องน้ำที่หอนักเรียนประจำยามดึก แล้วไอ้พงษ์กับคู่ขาของมันก็เข้ามา ตอนนั้นก็ตื่นเต้นเหมือนกัน แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะตื่นเต้นกว่า …

กลุ่มสูบบุหรี่ สูบกันไปคุยกันไป ผมไม่ได้สนใจฟังเพราะเริ่มใจไม่ดี เราสองคนรีบเช็ดคราบน้ำว่าว จากนั้นใส่กางเกงและแต่งตัวเรียบร้อยอย่างเงียบๆ รอหาจังหวะที่จะออกไป

พี่พวกนี้ไม่รู้ว่าสูบกันคนละกี่มวน ผมรู้สึกว่ามันนานเหลือเกิน ทำไมไม่ไปๆกันเสียที ขณะที่กำลังคิดอยู่ ก็มีเสียงคนหนึ่งพูดขึ้น

“เฮ้ย ใครอยู่ในส้วมวะนั่น กูเข้ามาตั้งนานแล้วไม่เห็นมันออกมาเสียที”

ตอนนั้นไม่มีใครมาเข้าส้วม ใครที่ว่านั่นคงหมายถึงห้องที่ผมกับไอ้นัยอยู่นั่นเอง

“เฮ้ย มันเป็นลมตายหรือเปล่าวะ” เสียงคนหนึ่งพูดขึ้น

“หรืออาจารย์ปกครอง” เสียงอีกคนพูด

พอพูดถึงอาจารย์ปกครอง พวกพี่ๆก็เงียบกริบ แน่นอน การสูบบุหรี่เป็นเรื่องต้องห้าม คนเหล่านี้จึงต้องมาแอบสูบ และคนที่พวกสูบบุหรี่กลัวนักหนาก็คืออาจารย์ฝ่ายปกครอง ผมมารู้ทีหลังว่าห้องน้ำหลังโรงยิมนี้เป็นแหล่งสูบบุหรี่ของพวก ม.ปลาย ปกติจะมีคนมาแอบสูบบุหรี่ทั้งตอนกลางวันและหลังเลิกเรียน การสูบก็ทำอย่างระมัดระวัง เพราะอาจารย์ฝ่ายปกครองมักมาตรวจ

“ไม่ใช่หรอก ถ้าเป็นอาจารย์ป่านนี้ออกมาแล้ว ปีนดูให้รู้ดีกว่า เผื่อมีใครตกส้วมตาย เงียบทั้งสองห้องเลย” เสียงอีกคนสรุป

ถ้าพวกรุ่นพี่ปีนดู ความลับของผมกับไอ้นัยคงแตก ตอนนั้นตื่นเต้นมาก ทั้งกลัว ทั้งตื่นเต้น ในที่สุด ผมจึงตะโกนออกไป

“จะมาปีนดูอะไรกันละพี่ คนกำลังขี้อยู่ ยังไม่ตายครับ”

“เสียงเด็กว่ะ ฮ่ะๆ” เสียงคนหนึ่งพูดขึ้น ปนเสียงหัวเราะ “แล้วไป ตื่นกันไปได้พวกมึงนี่”

จากนั้นพวกพี่ๆก็ไม่สนใจเราอีก เรารอกันอีกสักครู่ พวกพี่ๆก็ยังสูบบุหรี่กันไม่เสร็จเสียที ผมจึงพยักหน้ากับไอ้นัย เป็นสัญญาณว่าออกไปดีกว่า

ไอ้นัยออกไปก่อน จากนั้นแง้มประตูเอาไว้เล็กน้อย ส่วนผมนั้นรออยู่ในห้องน้ำอีกสักครู่ จึงเดินตามออกไป พวกที่สูบบุหรี่เห็นเราทั้งสองคน แต่ไม่ได้สนใจ คงสนใจกับบุหรี่และการคุยกันเองมากกว่า ดีที่ผมทำประตูห้องน้ำปิดไว้สองห้อง ตอนเดินออกมาสองคนจึงไม่เป็นที่ผิดสังเกต

เมื่อผมออกจากห้องน้ำได้ ก็เดินลิ่ว ไม่กล้าหันกลับไปมอง แต่ถ้ารุ่นพี่ใช้ความสังเกต อาจจะเอะใจว่าทำไมประตูห้องน้ำอีกห้องหนึ่งถึงปิดอยู่ตลอด แต่ถึงรู้ทีหลังก็ไม่เป็นไรแล้ว เพราะผมกับไอ้นัยออกมาเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งรุ่นพี่คงไม่มีใครเห็นหน้าเรา ถึงเจอกันอีกก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร

เมื่อห่างจากห้องน้ำไปมากแล้ว ผมก็ลดความเร็วจากเดินจ้ำอ้าวเป็นเดินสบายๆ รู้สึกโล่งใจที่เอาตัวรอดมาได้ ผมเดินไปทางประตูใหญ่ ที่นั่น ผมพบไอ้นัยกำลังยืนรออยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ใกล้ประตู พอเราเจอกัน ต่างก็หัวเราะให้แก่กัน ทั้งตื่นเต้น และขบขันไปกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น


<ในที่สุดใหญ่ก็รูดกางเกงผ้าร่มและกางเกงในลง ท่อนเนื้อของใหญ่ชี้โด่ มีขนาดใหญ่สมตัว พงหญ้าเป็นหย่อมดำ ขึ้นเยอะกว่าของผมและไอ้นัยเสียอีก และที่แปลกก็คือ ท่อนเนื้อของมันหัวใหญ่แต่โคนเล็กอย่างเห็นได้ชัด ที่ส่วนปลายแม้จะแข็งเต็มที่แต่ก็เปิดได้ไม่หมด เผยให้เห็นดอกเห็ดข้างในเพียงบางส่วน>

Monday, September 22, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 23

“เร็วๆดิ เดี๋ยวมีคนมาเห็นเข้า” ผมส่งเสียงเร่งรัดมันเบาๆ เมื่อเห็นมันไม่ยอมถอดกางเกงเสียที คงจะลังเล

ในที่สุดใหญ่ก็รูดกางเกงผ้าร่มและกางเกงในลง ท่อนเนื้อของใหญ่ชี้โด่ มีขนาดใหญ่สมตัว พงหญ้าเป็นหย่อมดำ ขึ้นเยอะกว่าของผมและไอ้นัยเสียอีก และที่แปลกก็คือ ท่อนเนื้อของมันหัวใหญ่แต่โคนเล็กอย่างเห็นได้ชัด ที่ส่วนปลายแม้จะแข็งเต็มที่แต่ก็เปิดได้ไม่หมด เผยให้เห็นดอกเห็ดข้างในเพียงบางส่วนเท่านั้น

ใหญ่ลงมือชักว่าว ท่าชักว่าวของมันก็แปลก แทนที่จะเอามือกำทั้งแท่งแล้วชักเข้าชักออก มันกลับเอานิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้คลึงและชักเข้าออกเฉพาะที่ส่วนหัวเห็ด มันคลึงและชักเฉพาะส่วนปลายอยู่สักสองสามนาที แล้วน้ำของมันก็แตก หยดย้อยจากปลายท่อนเนื้อลงมาเป็นสาย หล่นใส่มือของมันที่รองอยู่ด้านล่าง ลีลาการชักว่าวของมันก็งั้นๆ

ผมรีบหดหัวลงไป เพราะกลัวว่าใครจะมาเห็นเข้า หลังจากนั้น ผมและใหญ่ก็ออกมายืนอยู่หน้าห้องน้ำ

“พอใจหรือยัง สัญญากันแล้วนะโว้ย” ใหญ่พูด

“เออ มึงไม่พูด กูก็ไม่พูด” ผมรับปาก

หลังจากนั้นเราก็กลับเข้าไปที่โรงยิมเพื่อหัดยิมนาสติกกันต่อ เนื่องจากต่างคนต่างจับคู่กันหัด ดังนั้นจึงไม่มีใครสนใจคู่ของเรา และไม่มีใครรู้เลยว่าเราหายไปพักหนึ่ง

- - -

การมีกิจกรรมทางเพศเล็กๆน้อยๆในตอนกลางวัน ทำให้ผมอดนึกถึงไอ้นัยไม่ได้ นานพอสมควรแล้วที่ผมไม่ได้มีอะไรกับไอ้นัยเลย หลายครั้งที่ผมคิดถึงมัน หรือเมื่อนั่งใกล้ชิดกับมันในรถเมล์ มันทำให้ผมเกิดอารมณ์ขึ้นมา แต่เราไม่มีโอกาสที่จะทำอะไรกันได้เลย การชักว่าวในวันนี้แทนที่จะทำให้อารมณ์เพศของผมลดลง ตรงกันข้าม มันกลับทำให้ผมมีอารมณ์และต้องการไอ้นัยมากยิ่งขึ้น

เย็นวันนั้น หลังเลิกเรียน ไอ้นัยมายืนยิ้มเผล่รอผมที่หน้าห้องเรียนตามเคย

ผมบอกไอ้นัยว่าวันนี้รู้สึกหิว อยากไปกินขนมที่โรงอาหารสักนิดหน่อยก่อนกลับบ้าน ซึ่งไอ้นัยก็ไม่ขัดข้อง เราจึงเดินไปที่โรงอาหารด้วยกัน

“อ้าว ไปไหนกันล่ะ ไปด้วยดิ” เสียงเล็กๆเรียกเราสองคนเอาไว้ โหนกนั่นเอง

“จะไปกินหนมอ่ะ” ไอ้นัยบอก “ไปด้วยกัน”

มันจะมาด้วยทำไมฟะ ผมนึกในใจ ในระหว่างวัน โหนกชอบตามผมไปไหนต่อไหนเสมอ ไม่ว่าจะเป็นตอนกินอาหารที่มีไอ้นัยอยู่ด้วย หรือว่าตอนอื่นๆที่ไม่มีไอ้นัยอยู่ก็ตาม วันนั้นนับเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกหงุดหงิดกับการคอยติดตามของโหนก

เราสามคนนั่งกินขนมกัน จากนั้นก็มีเพื่อนที่เล่นกีฬาหลังเลิกเรียนมาสมทบ คุยกันได้สักพัก พอให้นักเรียนส่วนใหญ่กลับกันไปแล้ว ผมกับไอ้นัยก็ขอตัวกลับบ้าน

“อ้าว ทำไมไปทางนั้นล่ะ” โหนกถาม เมื่อเห็นเดินไปทางประตูใหญ่อีกด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นฝั่งตึกมัธยมและโรงยิม

“ก็อยากออกด้านนั้นมั่งน่ะ” ผมตอบไปอย่างส่งเดช มันจะถามอะไรกันนักหนา

“เออ งั้นไปด้วยกัน กูก็รอรถมารับที่ประตูด้านนั้นเหมือนกัน” โหนกพูด

ทำไมมึงถึงต้องคอยตามกูทุกฝีก้าวด้วยวะ ผมนึกเคืองอยู่ในใจ ผมอยากเดินกับไอ้นัยสองคน จะมาเป็นก้างขวางคอทำไม นึกเคืองแต่ก็พูดอะไรไม่ออก

“งั้นกูออกประตูเก่าดีกว่า” ผมพูด ว่าแล้วก็หันตัวกลับเพื่อเดินไปออกทางประตูใหญ่อีกด้านหนึ่ง ไอ้นัยก็ไม่ว่าอะไรสักคำ ผมไปไหน มันก็ไม่มีปากมีเสียงอะไร ทิ้งให้โหนกยืนงุนงงกับการเปลี่ยนใจอย่างกะทันหันของผม

ผมรีบเดินจ้ำออกไปทางประตูเดิม แต่พอใกล้ถึงประตูใหญ่ ผมก็เลี้ยวอ้อมตึก ลัดเลาะไปทางประตูอีกด้านหนึ่ง

“มึงจะเล่นอะไรวะอู” ไอ้นัยถาม แต่ก็ยังเดินตามผม ไอ้นัยมันน่ารักแบบนี้เสมอมา ตามใจเพื่อนอยู่ตลอด

“จะหลบไอ้โหนก เดี๋ยวเราไปทางโรงยิมกัน” ผมบอก

“ไปทำไมอ่ะ” ไอ้นัยทำหน้างงๆ

ผมไม่ตอบ แต่พามันเดินจ้ำอย่างเร็ว เพราะต้องแข่งกับเวลา เนื่องจากผมกลับบ้านช้าไม่ได้

เพียงครู่เดียว เราก็เลาะมาถึงโรงยิม ผมมองหาโหนก เมื่อแน่ใจว่ามันไม่อยู่แถวนั้น จึงเดินไปที่ห้องน้ำหลังโรงยิม เวลานั้น นักเรียนกลับกันไปมากแล้ว ห้องน้ำหลังโรงยิมเงียบสงัด

“ทำไมต้องถ่อมาเยี่ยวถึงห้องน้ำนี้วะ” ไอ้นัยถามแบบงงๆ

“ไม่ได้จะเยี่ยว” ผมตอบมัน ว่าแล้วก็ผลักมันเข้าไปในห้องส้วมห้องหนึ่ง แล้วตัวผมก็รีบตามเข้าไปทันที

<ในที่สุดใหญ่ก็รูดกางเกงผ้าร่มและกางเกงในลง ท่อนเนื้อของใหญ่ชี้โด่ มีขนาดใหญ่สมตัว พงหญ้าเป็นหย่อมดำ ขึ้นเยอะกว่าของผมและไอ้นัยเสียอีก และที่แปลกก็คือ ท่อนเนื้อของมันหัวใหญ่แต่โคนเล็กอย่างเห็นได้ชัด ที่ส่วนปลายแม้จะแข็งเต็มที่แต่ก็เปิดได้ไม่หมด เผยให้เห็นดอกเห็ดข้างในเพียงบางส่วนเท่านั้น>

Friday, September 19, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 22

ท่านี้สำหรับเด็กที่ไม่เคยหัดมาก่อนเลย การจะหงายลงไปให้เป็นสะพานโค้งไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ต้องช้อนหลังไม่ให้ล้มก่อน ทำหลายๆทีจึงจะทำเองได้ แต่สำหรับไอ้อ้วนแล้วฝึกตั้งนานก็ทำไม่ได้เสียที สงสัยว่าจะหนักพุง

สำหรับผมกับใหญ่ก็ต้องสลับกันฝึก เมื่อถึงรอบที่ผมต้องช้อนหลังให้ใหญ่อีกครั้ง คราวนี้พอมันหงายลงไป ผมก็คว้าเป้ากางเกงหมับเข้าให้ทันที

“ขอเอาคืนหน่อยนะใหญ่ อยากแกล้งกูดีนัก” ผมพูด

ผมคิดว่าจะได้คลำพบแท่งแข็งๆซ่อนอยู่ภายในกางเกงบอล แต่ผิดคาด มันกลับอ่อนนุ่มนิ่ม ไอ้ใหญ่ไม่ยักมีอารมณ์

“มึงจับไปเถอะไอ้อู ผู้ชายเหมือนกัน ไม่เห็นต้องอายเลย แต่กูไม่ควยลุกง่ายเหมือนมึงหรอก”

ถึงแม้ของไอ้ใหญ่ยังไม่แข็ง แต่มันก็ส่อแววว่าจะใหญ่พอควร เพราะว่ากำไปแล้วเต็มมือดี ผมรีบปล่อยมือออกเพราะเกรงจะเป็นที่ผิดสังเกต แกล้งมันไม่สำเร็จ ผมเองกลับเป็นฝ่ายจ๋อยไป ขณะเดียวกัน เป้ากางเกงของผมก็ยังตุงอยู่ ยังไม่ยอมสงบเสียที ของผมพอลุกแล้วสงบยาก

“บอกแล้วว่ากูปวดฉี่ เดี๋ยวกูไปฉี่ก่อน” ผมบอกไอ้ใหญ่ ว่าแล้วก็วิ่งตื๋อไปทางห้องน้ำหลังโรงยิม

ตอนนั้นยังเหลือเวลาอีกนานกว่าจะหมดคาบ ถ้าผมควยลุกอยู่อย่างนั้น ในที่สุดเพื่อนๆก็คงสังเกตเห็น หรือไม่อย่างนั้นไอ้ใหญ่คงปากสว่างเอาไปแฉ ผมจึงกะว่าจะไปรีดพิษออกเสียก่อน แล้วค่อยไปฝึกต่อ เพื่อไม่ให้ขายหน้าเพื่อน

ห้องน้ำหลังโรงยิมในเวลานั้นเงียบสงบ เพราะอยู่ในระหว่างคาบเรียน ไม่มีใครเข้ามาใช้ ผมเลือกห้องส้วมที่ดูสะอาดหน่อย แล้วเข้าไป

ทิชชู่ก็ไม่มี ไม่เป็นไร เอาน้ำล้างก็ได้ ว่าแล้วผมก็ถอดกางเกงผ้าร่มและกางเกงในลงไปกองที่เข่า จากนั้นก็ลงมือสาวว่าว

ตอนแรกก็จะว่าจะรีบๆชักให้มันเสร็จๆไป แต่พอชักไป ชักไป ผมก็นึกถึงเป้าที่ตุงใหญ่ของไอ้ใหญ่ จากนั้นก็พานนึกไปถึงก้นเนียนๆของไอ้นัย กลิ่นหอมอ่อนๆของตัวมัน นานแล้วนะ ที่ผมไม่ได้มีอะไรกับมัน

คิดไปคิดมา ผมก็เผลอเพลิดเพลินไปกับจินตนาการ ไอ้ที่ว่าจะรีบชักว่าวให้เสร็จๆ กลายเป็นการชักแบบมีอารมณ์ ผมชักว่าวไป ขยับสะโพกกระเด้าลมไป เพียงครู่เดียว ผมก็รู้สึกว่าน้ำกำลังจะแตก ผมหงายหน้า แอ่นตัวไปข้างหน้า รู้สึกเสียวที่ท้องน้อย และแล้ว ผมก็ปล่อยให้น้ำว่าวขาวขุ่นฉีดพุ่งออกมาเป็นสาย

“เฮ้ย” ผมร้องลั่น เพราะว่าขณะที่ผมหงายหน้าขึ้นไปนั้น ผมเห็นหัวใครบางคนชะโงกอยู่เหนือผนังห้องน้ำห้องข้างๆ และดูผมชักว่าวอยู่

ศีรษะหัวนั้นไม่ใช่ใครอื่น ใหญ่นั่นเอง พอมันเห็นผม นอกจากจะไม่หลบหน้าแล้ว ยังยิ้มให้ผมเสียอีก

“โห มึงชักว่าวได้สะใจดีจัง ขี้เงี่ยนฉิบหายเลยนะ เรียนอยู่ยังหนีมาว่าว” ไอ้ใหญ่พูดทั้งๆที่หัวโผล่อยู่บนผนังกั้นห้องน้ำ เสียงของมันไม่ค่อยเลย

“ไอ้เวร เสือกมาแอบดูกู” ผมด่ามันเบาๆ “อย่าแหกปากดิ เดี๋ยวรู้กันหมดทั้งโรงเรียน”

ไอ้ใหญ่ผลุบหัวหายลงไป จากนั้นมีเสียงเปิดประตู ผมรีบเก็บดอเข้ากางเกง ทั้งๆที่มันยังเลอะน้ำว่าวอยู่ ตอนนั้นจะรีบออกไปดักมัน กลัวมันเอาไปปากสว่าง จึงไม่มีเวลาเช็ดทำความสะอาดอะไร ผมรีบถอดกลอน เปิดประตูออกไป ทั้งๆที่มือก็ยังเลอะน้ำว่าวอยู่

“เฮ้ย อย่าเพิ่งไปไหน” ผมขวางทางมันเอาไว้

“ก็มึงว่าวเสร็จแล้ว ไม่มีอะไรดูแล้ว กูจะอยู่ทำไม” ไอ้ใหญ่ทำหน้าทะเล้น

“มึงจะเอาไปเล่าในห้องใช่ไหม” ผมถามมันตรงๆ ชักเริ่มเครียด

“คิดดูก่อน” มันตอบ “ถ้ามึงตามใจกูบ้าง กูอาจจะไม่เล่าก็ได้”

“มึงจะให้กูตามใจอะไร” ผมถาม

ใหญ่ยังทำหน้าทะเล้นตามเดิม “ก็เช่น ... ชักว่าวให้กูดูอีก อะไรแบบเนี้ย”

“นี่...” ผมอึ้งไป นึกไม่ถึงว่าไอ้ใหญ่จะมาข่มขู่กันแบบนี้ “มึงเล่นแบบนี้เลยเหรอ กูนึกว่ามึงเป็นคนดี ที่แท้มึงก็เลว”

ผมพูดสั้นๆ แต่น้ำเสียง เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดหวัง ไอ้ใหญ่เห็นท่าทีของผมเข้าก็หน้าเสีย

“เฮ้ย อู กูล้อมึงเล่น มึงอย่าซีเรียสดิ” ใหญ่พูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงความเสียใจ “อ่ะ อ่ะ กูสัญญา กูจะไม่เอาไปเล่า แบบนี้พอใจไหม”

ที่จริงไอ้ใหญ่ไม่ใช่นักขู่กรรโชก เวลามันขู่ผม ท่าทางของมันก็เหมือนเด็กซนๆคนหนึ่ง คงทำไปเพราะนึกสนุกมากกว่า ไม่ได้มีท่าทีดุร้ายแบบไอ้ชิด

ถึงตอนนี้ ผมสังเกตเห็นว่าเป้ากางเกงของใหญ่ตุงออกมาเหมือนมีเสาเล็กๆค้ำอยู่ข้างใน มันคงดูผมแสดงลีลาการว่าวจนเกิดอารมณ์อยู่เหมือนกัน สมองอันฉับไวของผมก็คิดวิธีแก้เผ็ดมันออกในทันที

“ไม่พอ” ผมบอก พลางตีหน้าเศร้า “วันไหนมึงเปลี่ยนใจอยากข่มขู่กู มึงก็ทำได้อีก นึกไม่ถึงจริงๆ เพื่อนที่กูไว้ใจกลับมาหักหลังกู”

“เฮ้ยๆ” ใหญ่ร้อง “กูยังไม่ได้หักหลังอะไรมึงสักหน่อย มึงพูดยังกับกูทำไปแล้ว”

“ก็นั่นแหละ มึงต้องพิสูจน์ดิ ว่ามึงจริงใจ” ผมตะล่อมมัน

“จะให้พิสูจน์ยังไง” ใหญ่ถาม

“มึงก็ว่าวให้กูดูมั่งดิ วัดใจกันเลย ถ้ามึงเอาไปพูด กูก็เอาไปพูดบ้าง” ผมท้าทายมัน “ถ้ามึงไม่ยอม แสดงว่าไม่จริงใจ”

เจอไม้นี้เข้า ไอ้ใหญ่ถึงกับอึ้ง ที่จริงมันจะไม่ยอมก็ได้ มันได้เปรียบอยู่เต็มประตูแต่ไม่รู้ว่าเพราะมันอยากแสดงความจริงใจ หรือมันเงี่ยนด้วยก็ไม่ทราบได้ มันก็เอ่ยปากตกลง

“เอาก็เอาวะ” ใหญ่รับคำ

ว่าแล้ว มันก็หายเข้าไปในห้องน้ำห้องเดิมที่มันออกมา ส่วนผมก็เข้าไปในห้องน้ำห้องเดิมของผม แล้วปีนผนังกั้นห้องน้ำ โผล่หัวไปดูมันบ้าง



<ท่าแรกของการเรียนยิมนาสติกคือท่าสะพานโค้ง ท่านี้ทำได้โดยการยืนตรง แล้วหงายตัวไปด้านหลัง เอามือยันพื้นไว้ ภาพคนทำท่าสะพานโค้งที่ไม่ใส่เสื้อผ้านั้นได้รับความเอื้อเฟื้อจากคุณเคทีบี เข้าใจว่าเป็นภาพของคุณเคทีบีเอง>

Sunday, September 14, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 21

ผมรู้สึกเสียวท้องน้อยมาก ความรู้สึกเสียวในตอนนั้นเหมือนกับเวลาที่ชักว่าวแล้วน้ำแตก แต่ต่างกันตรงที่ว่าตอนนั้นผมไม่แข็งและไม่ได้มีอารมณ์ทางเพศเกิดขึ้นเลย

ผมรู้สึกแปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่กล้าก้มลงสำรวจดู ว่ามีน้ำแตกเลอะเทอะออกมาจริงหรือไม่ เพราะเกรงเป็นที่ผิดสังเกต รวมทั้งไม่ได้บอกไอ้นัยด้วย โชคดีที่ผมวางกระเป๋านักเรียนไว้บนตัก ดังนั้นถึงจะเลอะแต่ก็คงไม่มีใครเห็น

หนึ่งทุ่ม…

เมื่อรถเมล์ถึงที่หมาย ผมรีบคว้ากระเป๋าแล้ววิ่งลงจากรถทันที แต่ก่อนลงจากรถผมไม่ลืมลาไอ้นัย

“ไปละนะ หวังว่าพรุ่งนี้คงได้เจอกัน” ผมบอก

ไอ้นัยหัวเราะหึหึ “ไอ้เวร พูดซะ...”

ไอ้นัยมันคงนึกว่าเรื่องแค่นี้เรื่องเล็ก ไม่เห็นน่ากังวลอะไร แต่สำหรับผมแล้วตอนนั้นรู้สึกไม่ดีเอาเลย เพราะนึกเห็นภาพทุกคนกำลังนั่งรอผมเพื่อมากินอาหารเย็นด้วยกัน

ผมวิ่งอ้าวจากปากซอยจนถึงบ้าน และเมื่อเข้าบ้านมา ภาพที่ผมเห็นก็คือ บนโต๊ะอาหารมีอาหารตั้งรออยู่ มีฝาชีครอบเอาไว้ ส่วนคุณลุง คุณป้า และเอ๊ด กำลังนั่งดูทีวีอยู่ ผมสังเกตสีหน้าของคุณลุงคุณป้าไม่ออก แต่สีหน้าของเอ๊ดนั้นไม่ดีเอาเลย

“ขอโทษครับ วันนี้ผมออกจากโรงเรียนช้า รถติดมากเลยครับ” ผมรีบสารภาพด้วยเสียงกระหืดกระหอบเพราะยังเหนื่อยมาจากการวิ่ง

“เอาละ ๆ ให้หายเหนื่อยก่อนแล้วค่อยพูด ดูสิ หอบมาเชียว” คุณป้าพูด

มื้ออาหารเย็นในวันนั้นค่อนข้างเคร่งเครียด ระหว่างกินเราไม่ได้คุยอะไรกันมากนัก แต่เมื่อกินเสร็จแล้วผมก็ถูกสอบสวนอย่างหนัก

“ทีหลังพยายามกลับให้ตรงเวลานะลูก” คุณป้าบอก “หน้าที่ของเราคือเรียน อย่าห่วงเรื่องเล่นให้มากนักเลย”

ความจริงคุณลุงกับคุณป้าออกจะหัวเก่าไปสักนิด คิดว่าเรื่องการเรียนในห้องเรียนคือเรื่องที่สำคัญที่สุด หารู้ไม่ว่าหลายปีต่อมา กระแสการเลี้ยงลูกแบบครบเครื่อง คือ วิชาการ ภาษา ดนตรี กีฬา ก็เริ่มมาแรง กลายเป็นว่าเด็กในยุคต่อมาถูกบังคับให้เรียนสารพัด ทั้งในและนอกห้องเรียน

และเมื่อเข้ามาในห้องนอน ผมก็ถูกเอ๊ดอัดอีกรอบหนึ่ง

“นายแน่มาก...” เอ๊ดบ่น

“อะไรอีกล่ะ” ผมย้อนถาม

“ยังจะมาย้อนอีก อูรู้ไหม ทุกคนรออูตั้งเกือบชั่วโมง เอ๊ดพลอยเครียดไปด้วยเลย” เอ๊ดพูด

“ก็รู้ ก็อูไม่ได้ตั้งใจนี่นา” ผมบอก “ทีหลังกินกันไปก่อนก็ได้ แล้วจะเก็บโต๊ะไปเลย อูไปซื้อกินที่ปากซอยก็ได้”

“เฮอะ เอาสมองส่วนไหนคิดเนี่ย” เอ๊ดแค่นเสียง “พูดแล้วง่ายยังงั้นก็ดีสิ อูก็รู้ว่ามันไม่ใช่แค่นั้นแล้วหมดปัญหา”

เราเถียงกันไป เถียงกันมาอยู่สักพัก จนเอ๊ดเบื่อแล้วก็หนีไปทำการบ้าน ส่วนผมก็ไปอาบน้ำ

ในห้องน้ำ ผมถอดกางเกงและกางเกงในออกมาสำรวจดู พบว่ากางเกงในเลอะคราบน้ำว่าวที่แห้งกรังเต็มไปหมด ส่วนที่กางเกงนักเรียนมีคราวน้ำว่าวเปื้อนอยู่นิดหน่อย ครั้งนี้น้ำแตกออกมาเยอะพอดู ถึงกับซึมออกมาที่กางเกงนักเรียน ในชีวิตของผมก็มีครั้งนั้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่น้ำแตกออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ หลังจากนั้นก็ไม่เคยมีอีกเลย

- - -

หลังจากเหตุการณ์วันนั้น ผมจึงบอกกับไอ้นัยว่าต่อไปคงไปหัดดนตรีที่วงดุริยางค์ไม่ได้แล้ว ถ้ามันอยากเรียนก็เรียนไป จะแยกกันกลับบ้านก็ได้ ผมไม่อยากเอาปัญหาของผมไปจำกัดโอกาสของมัน ไอ้นัยก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ตอนเย็นมันก็มารอกลับบ้านพร้อมกับผมอีก เป็นอันว่าเราก็เลยไม่ได้เข้าวงดุริยางค์ด้วยกันทั้งคู่ ตอนนั้นผมเสียใจเหมือนกัน เพราะเห็นว่าไอ้นัยอยากเรียนดนตรีแต่ต้องมาติดที่ผม พยายามไล่ให้มันไปเรียน มันก็เฉยๆ แต่หารู้ไม่ว่า การที่เราไม่ได้เข้าวง กลายเป็นผลดีสำหรับผมในเวลาต่อมา รวมทั้งอาจถือได้ว่าเป็นผลดีแก่ไอ้นัยด้วย

การเรียนดำเนินต่อมา วิชาที่ผมชื่นชอบคือวิชาพลศึกษา เพราะมันทำให้ผมมีอะไรดีๆดู ตอนเปลี่ยนชุดพละ แต่ละคนต้องโชว์เรือนร่างและกางเกงใน หลายคนขี้อาย ตอนเปลี่ยนกางเกงก็รีบๆเปลี่ยน แต่บางคนก็เปลี่ยนช้าๆ ทำนองว่าอยากดูก็ดูไป ทำให้ผมมีโอกาสสำรวจเรือนร่างของเพื่อนบางคนได้ อีกทั้งตอนเปลี่ยนชุดยังมีการแกล้งกัน โดยกางดึงกางเกงในของเพื่อนลง ทำให้บางครั้งเพื่อนบางคนก็มีโอกาสโชว์ก้นในห้อง ก็เห็นแค่ก้นแหละครับ เพราะว่าข้างหน้ามันเอามือกุมไว้

ที่จริงตอนอยู่หอโรงเรียนประจำ ขนาดแก้ผ้าอาบน้ำและชักว่าวด้วยกัน ผมก็เห็นมาชนชิน บางทีเห็นจนขี้เกียจดู แต่พอมาถึงตอนนี้ ผมกลับรู้สึกอยากรู้อยากเห็น อยากรู้ว่าเรือนร่างของเพื่อนแต่ละคนเป็นอย่างไร รวมทั้งสิ่งที่ซ่อนอยู่หลังเป้ากางเกงของแต่ละคนมีขนาดเท่าไร...

การเรียนยิมนาสติกในสัปดาห์ต่อมา ท่าแรกที่เราเริ่มหัดกันก็คือท่าสะพานโค้ง ท่านี้ก็คือการยืนและหงายตัวไปด้านหลัง แล้วเอามือยันพื้นไว้ การฝึกก็คือ ให้แต่ละคนจับคู่กัน แล้วคนหนึ่งฝึก อีกคนหนึ่งเอามือช้อนหลังเพื่อนเอาไว้ คอยประคองไม่ให้ล้ม

ผมจับคู่ได้กับใหญ่ นักเรียนหน้าตี๋ สิวเต็มหน้า ตอนที่มันทำท่าสะพานโค้ง และผมเอามือช้อนหลังให้มัน หน้าของผมอยู่ห่างจากเป้ากางเกงของมันไม่มากนัก มันแอ่นเป้ากางเกงพละที่เป็นผ้าร่มบางๆของมันจนเห็นรอยท่อนลำที่ซ่อนอยู่ภายใน

ท่าทางจะใหญ่ไม่เบา ขนาดสงบอยู่ยังล้นออกมาขนาดนี้ เพียงแค่คิด ท่อนลำของผมก็เริ่มแข็งตัว

“เอ้า ตานายทำมั่ง” เสียงใหญ่พูดขึ้น หลังจากที่ลุกขึ้นมาจากท่าสะพานโค้ง

ฉิบหายละสิ ของของผมกำลังลุกอยู่พอดีเลย ถ้าผมต้องแอ่นขนาดนั้น ไอ้ใหญ่มันคงดูออก แต่ก็ไม่รู้จะเลี่ยงอย่างไร ก็เลยทำๆไป

ขณะที่ผมกำลังอยู่ในท่าสะพานโค้ง โดยมีใหญ่ช้อนหลังให้ ผมรู้สึกว่ามือของมันปาดมาโดนไอ้หนูของผม

“เฮ้ย ควยแข็งแล้ว” ใหญ่ว่า

ผมรีบลุกขึ้นมาทันที “เสือกมาจับทำไมวะ” ผมดุมัน ดุไปยังงั้นแหละครับ ไม่ได้โกรธอะไร เพราะตอนอยู่หอเล่นกันยิ่งกว่านี้อีก

“ควยลุกไม่มีกาลเทศะเลยนะ” ใหญ่แหย่อีก

“ปวดฉี่โว้ย” ผมแก้ตัว

“แน่ใจนะว่าไม่ได้เงี่ยน” ใหญ่อมยิ้ม

เอ๊ะ ไอ้นี่มันถามแปลก ไม่รู้ว่ามันมีวัตถุประสงค์อะไร


<กางเกงในแอ๊ปเปิ้ลซึ่งเป็นที่นิยมในยุคหนึ่ง มีทั้งของเด็กและผู้ใหญ่ ใส่แล้วรัดลึงค์ เซ็กซี่ดี ใครของใหญ่ใส่แล้วจะเท่ แต่ถ้าของเล็กจะไม่ชอบใส่ เพราะโดนรัดจนแบนหายไป หมดความน่าสนใจ ภาพนี้ได้จากมิตรรักแฟนเพลงท่านหนึ่งอื้อเฟื้อส่งมาให้ครับ>

Thursday, September 4, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 20

ชีวิตในโรงเรียนใหม่ที่ดูเหมือนจะเริ่มต้นด้วยดี ทั้งที่โรงเรียนและที่บ้าน แต่ก็ดีไปได้เพียงสัปดาห์เดียว ในสัปดาห์ที่สองนี้เอง ก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้ ...

เที่ยงวันพฤหัส โรงอาหารในวันนั้นแน่นตามปกติ หลังจากที่ไอ้นัย โหนก และผม ซื้ออาหารแล้วก็พยายามเดินหาที่นั่งที่พอจะนั่งได้สามคน เมื่อพบที่นั่งว่างแล้ว พวกเราก็แทรกตัวลงไปนั่ง ปรากฏว่าคนที่นั่งติดกับผมซึ่งนั่งกินอาหารอยู่ก่อนแล้วคือวีกิจนั่นเอง

วันนี้บังเอิญจริงๆ เราสองคนนั่งเรียนติดกัน แต่ยังไม่เคยนั่งกินข้าวด้วยกันเลย วันนี้นับเป็นครั้งแรก

“อ้าว พระเชษฐา” วีกิจทักผม

“โอ พระอนุชานี่เอง มาๆๆ วันนี้เสวยพระกระยาหารเที่ยงด้วยกัน” ผมรับมุขมัน

ไอ้นัยซึ่งกำลังดูดน้ำหวานอยู่ทำหน้าเหมือนกับจะสำลักน้ำหวานออกมา

“นี่เพื่อนที่นั่งเรียนติดกูเอง มันเคยอยู่คณะลิเกมาก่อน” ผมแนะนำวีกิจให้ไอ้นัยฟัง

“ไอ้บ้า” วีกิจพูด “ใครเค้าไม่รู้จะนึกว่าเป็นเรื่องจริง” ว่าแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ ไอ้นัยก็พลอยหัวเราะไปด้วย

หลังจากที่กินอาหารเสร็จ วีกิจก็จะแยกตัวไป ผมจึงถามมันว่ามันจะไปไหน

“ไปห้องชุมนุม ไปดูไหมล่ะ” วีกิจชวน

เป็นอันว่าพวกเราทั้งหมดจึงพากันไปดูห้องชุมนุมที่วีกิจไปใช้เวลาขลุกอยู่ในตอนพักเที่ยง

ผมเพิ่งรู้จากวีกิจนี่เอง ว่าที่โรงเรียนของเรามีกิจกรรมนักเรียน โดยจัดตั้งเป็นชุมนุมต่างๆ แล้วให้นักเรียนที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรม เช่น ชุมนุมดนตรีไทย ชุมนุมภาษาต่างประเทศ ฯลฯ โดยห้องชุมนุมต่างๆตั้งอยู่รวมกันในตึกที่ไอ้นัยเรียนนั่นเอง แต่ว่าอยู่คนละปีกกัน ซึ่งทางปีกนั้นผมกับไอ้นัยไม่ค่อยได้ให้ความสนใจเท่าไรนัก จึงยังไม่เคยไปสำรวจสักที

วีกิจเล่าว่า ชุมนุมดนตรีไทยของโรงเรียนเรามีการจัดตั้งวงดนตรีไทยของนักเรียนขึ้น ซึ่งเป็นวงที่มีชื่อเสียงมากในระดับโรงเรียนมัธยม นอกจากนี้ก็มีการสอนโขนและรำไทยอีกด้วย ตั้งแต่สัปดาห์แรกของการเรียนวีกิจมาขลุกอยู่ที่นี่

เมื่อวีกิจพาเราเข้าไปในห้องชุมนุม เห็นนักเรียนหลายคนกำลังฝึกซ้อมเครื่องดนตรีไทยกันอยู่ บางคนก็กำลังหัดท่ารำ

“นายเล่นอะไรได้บ้างล่ะ” ผมถาม

“ถ้าเครื่องดนตรีก็ซอด้วง ซออู้ แล้วก็โขน หัดมาตั้งแต่อยู่โรงเรียนเก่าแล้ว” วีกิจว่าแล้วก็หยิบซออู้มาสีอู๋อี๋ให้เราฟัง

ผมเพิ่งรู้ความจริงในตอนนี้เอง ว่าท่าทางกรีดกรายคล้ายพระเอกลิเกของมัน แท้ที่จริงแล้วไม่ได้เกิดจากการหัดลิเก แต่มาจากการหัดโขนนี่เอง

วีกิจชวนพวกเรามาหัดดนตรีไทยด้วยกัน แต่ไม่มีใครสนใจ เราอยู่ในห้องชุมนุมดนตรีไทยได้เพียงครู่เดียวก็จากมา

หลังจากออกมาจากชุมนุมดนตรีไทย ไอ้นัยชวนพวกเราให้เดินต่อไปเพื่อดูห้องชุมนุมอื่นๆด้วย เผื่อว่ามีอะไรน่าสนใจ

เมื่อเดินต่อไป พวกเราก็ได้ยินเสียงฉาบและเสียงแตรลอยมาตามลม ... ชุมนุมดุริยางค์นั่นเอง

ห้องชุมนุมดุริยางค์มีขนาดใหญ่กว่าห้องชุมนุมดนตรีไทย ภายในห้องมีเครื่องดนตรีวางเรียงรายอยู่ในชั้นและในตู้เป็นจำนวนมาก มีนักเรียนกำลังฝึกซ้อมเครื่องดนตรีอยู่สามสี่คน นี่ถ้าซ้อมพร้อมๆกันหลายคนคงส่งเสียงดังหนวกหูเอาการ

ไอ้นัยสะกิดให้ผมดูป้ายที่เขียนด้วยลายมือตัวโต ซึ่งติดอยู่ที่หน้าห้องชุมนุม

…วงดุริยางค์กำลังเปิดรับสมัครน้อง ม.๑ เข้าร่วมวง ใครอยากเรียนดนตรีรีบมาสมัคร ช้าอด…

“น่าสนจัง” ไอ้นัยพูด “เข้าไปถามดูดีกว่า”

“เรียนเสียตังค์หรือเปล่าหว่า” ผมพูดเปรยๆ “มึงอยากเรียนดนตรีทำไมเมื่อกี้บอกไม่สนใจ”

“ก็เมื่อกี้ไม่สนใจ แต่ตอนนี้สนใจนี่หว่า” ไอ้นัยตอบแบบกำปั้นทุบดิน

ในยุคนั้น วงดุริยางค์ระดับนักเรียนที่ถือว่ามีชื่อเสียงมากที่สุดก็ได้แก่วงดุริยางค์ของโรงเรียนวัดสุทธิวราราม ส่วนวงของโรงเรียนเรานั้น ก็ถือได้ว่ามีชื่อเสียงไม่น้อยเหมือนกัน วงดุริยางค์จะรับนักเรียน ม.๑ เข้ามาฝึกฝนทุกปี เพื่อทดแทนรุ่นพี่ที่จบออกไป นักเรียนที่เข้ามาอยู่ในวงดุริยางค์นี้เป็นพวกที่มีความสนใจในด้านดนตรี ส่วนหนึ่งต้องการหัดดนตรีเป็นงานอดิเรก แต่อีกส่วนหนึ่งต้องการหัดเพื่อเป็นพื้นฐานในการศึกษาต่อด้านดนตรี เป้าหมายของผู้ที่ต้องการเรียนต่อด้านดนตรี มักจะเป็นสาขาการดนตรีในคณะศิลปะศาสตร์ คณะครุศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยต่างๆ

เราเข้าไปนั่งเล่นอยู่ในห้องดุริยางค์สักพัก รุ่นพี่คนหนึ่งแนะนำว่า ถ้าอยากสมัครเรียน ให้แวะมาอีกทีหลังเลิกเรียน เพราะคนที่รับผิดชอบเรื่องการคัดตัวนักเรียนไม่อยู่

รู้สึกว่าไอ้นัยจะสนใจชุมนุมดุริยางค์นี้มาก ส่วนโหนกนั้นไม่สนใจเอาเลย สำหรับผมนั้นก็สนใจบ้างนิดหน่อย ถ้าได้เรียนก็ดีเหมือนกัน

- - -

บ่ายวันนั้น หลังจากที่โรงเรียนเลิกแล้ว ผมกับไอ้นัยกลับมาที่ชุมนุมดุริยางค์อีกครั้ง ส่วนโหนกนั้นไม่สนใจ เลยกลับไปก่อน

ที่ห้องชุมนุม เราได้พบกับผู้ควบคุมวง ซึ่งเป็นรุ่นพี่ ม.๖ ชื่อพี่ต๋อง พี่ต๋องคุยกับเรา ถามถึงวัตถุประสงค์ในการเรียน พร้อมทั้งบอกให้เราฟังว่าการหัดดนตรีไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ถ้าถือว่าเป็นการฆ่าเวลาก็จะฝึกหัดแบบเหยาะแหยะ แล้วในที่สุดก็จะไม่ก้าวหน้า แต่ถ้าต้องการเรียนต่อ ก็จำเป็นต้องฝึกฝนอย่างหนัก นักเรียน ม.๑ สมัครเข้ามามาก แต่ที่ฝึกซ้อมจนเข้าร่วมวงได้จริงๆมีน้อย ส่วนใหญ่จะเลิกกลางคัน พูดง่ายๆก็คือพี่ต๋องขู่แบบกลายๆ ว่าถ้าไม่ตั้งใจจริงก็ไม่ต้องมาสมัคร เพราะในที่สุดก็จะไปไม่รอด

ตอนนั้นเรายังอยู่แค่ ม.๑ เอง ยังไม่ได้คิดไปไกลถึงเรื่องเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย แต่ไอ้นัยคงมีความสนใจด้านดนตรีพอสมควร เพราะเห็นสีหน้ามันค่อนข้างจริงจัง ส่วนผมนั้นก็ตามน้ำไป ไอ้นัยเอาผมก็เอาด้วย ถ้ารุ่นพี่ให้โอกาส

พี่ต๋องถามเราว่าสนใจเรื่องดนตรีแบบไหน ไอ้นัยสนใจพวกเครื่องลมทองเหลือง อันได้แก่พวกทรัมเปต ส่วนผมสนใจพวกฟลุ้ตหรือว่าขลุ่ยฝรั่ง

พี่ต๋องถามไปยังงั้นเอง ท้ายที่สุดก็จับให้พวกเราทดลองฝึกฝนกับคอร์เนตก่อนทั้งสองคน

คอร์เนตนั้นเป็นเครื่องลมทองเหลืองชนิดหนึ่ง หน้าตาและระดับเสียงคล้ายคลึงกับทรัมเปต แต่ว่าโทนเสียงจะแตกต่างกัน ตอนแรกก็แยกไม่ออกหรอกว่าอะไรเป็นอะไร บอกให้ฝึกก็ฝึก

การเรียนในขั้นแรกสุดก็คือ การเป่าคอร์เนตให้มีเสียง ฟังดูนึกว่าเป็นเรื่องง่าย แต่ที่จริงไม่ง่าย ถ้าไม่รู้วิธีการเป่าจะไม่มีเสียงออกมา มีแต่ลมและเหนื่อยเปล่า

ผมกับไอ้นัยลองเป่าอยู่ตั้งเป็นนาน ในที่สุด ไอ้นัยก็เป่าออกมาเป็นเสียงได้ก่อน

“ปู๊ด...”

“เย้ ได้แล้ว” ไอ้นัยถอนปากออกจากคอร์เนต ยิ้มอย่างดีใจ ใบหน้าที่ดีใจของมันนั้นดูมีเสน่ห์และน่ารักเหลือเกิน

“ไอ้เวร เป่าได้ปู้ดเดียวเนี่ยนะ ทำเป็นดีใจ” ผมขัดคอมัน

“มึงยังไม่ได้สักปู้ดเลย” ไอ้นัยย้อน แล้วหัวเราะฮุฮุ “อยากได้สักปู้ด มึงก็ตดเอาก็แล้วกัน คงจะง่ายกว่า”

เป่าอยู่จนตั้งเป็นนาน ในที่สุดผมก็เป่าคอร์เนตออกมาเป็นเสียงได้เหมือนกัน แต่กว่าจะได้ ผมรู้สึกว่าเมื่อยแก้มและริมฝีปากชาไปหมด

“กลับเถอะว่ะ” ผมบอกไอ้นัย “เดี๋ยวถึงบ้านไม่ทันหกโมง”

มัวแต่ปล้ำอยู่กับคอร์เนตจนลืมเวลา กว่าจะออกมาจากห้องดุริยางค์ได้ก็เกือบห้าโมงเย็นเข้าไปแล้ว

ผมจะกลับบ้านทันไหมเนี่ย... และถ้าไม่ทันจะเกิดอะไรขึ้น

เย็นวันนั้นรถติดมาก ปกติผมกลับก่อนสี่โมงทุกวัน ซึ่งตอนนั้นยังไม่ถึงเวลาเลิกงาน ดังนั้นรถจึงไม่ติดมากนัก แต่ผมลืมคิดไปว่าถ้าผมกลับหลังเวลาเลิกงานไปแล้วการจราจรจะเป็นอย่างไร

หกโมงแล้ว รถเพิ่งถึงแค่อนุสาวรีย์ชัย...

ผมนั่งกระสับกระส่าย จนไอ้นัยต้องปลอบ

“ใจเย็นๆนะอู รถมันติดจริงๆ คงไม่ถูกว่ามากหรอกน่า”

ที่จริงก็ดูเหมือนไม่น่าเป็นเรื่องใหญ่ แต่เนื่องจากผมถูกพ่อแม่กำชับแล้วกำชับอีก ว่าให้พยายามทำตัวดีๆ รวมทั้งเห็นความเจ้าระเบียบของคุณลุงคุณป้า ทำให้ผมรู้สึกกลัว ... กลัวว่าถ้าทำอะไรผิดแล้วจะอยู่ต่อไปไม่ได้ จึงทำให้ผมกังวลและร้อนใจมาก

หกโมงครึ่ง รถมาอยู่แค่สะพานควาย ตอนนั้นเองที่ผมร้อนใจจนรู้สึกเสียววูบที่ท้องน้อย มันเกิดขึ้นรวดเร็วมาก และแล้ว ผมก็รู้สึกเหมือนกับน้ำแตกออกมาในกางเกงใน



<ภาพยนตร์เรื่อง Toosie นำแสดงโดยดัสติน ฮอฟแมน และเจสสิกา แลง ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ด้วย เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ไทยครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ และเป็นที่มาของคำว่าตุ๊ดในเวลาต่อมา แม้แต่ภาพยนตร์ไทยเรื่องตั๊ดสู้ฟุตก็ยังใช้ชื่อในภาษาอังกฤษว่า Kungfu Toosie อันแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของภาพยนตร์เรื่องนี้>