Sunday, June 30, 2013

ภาคสี่ ตอนที่ 74


“พี่อู นี่จุ๋มเอง” เสียงตอบมาจากปลายสายอีกด้านหนึ่ง

“จุ๋ม เป็นไงบ้าง” ผมทักทายด้วยความแปลกใจ “รู้เบอร์พี่ได้ไง”

“พี่อู ที่บ้านจุ๋มมีเรื่อง” เสียงจุ๋มพูดอย่างร้อนรน “จุ๋มไม่รู้จะทำไงดี เลยโทรไปหาพี่อูที่หอ คนที่หอเลยให้เบอร์นี้มา พี่อู... จุ๋มกลัว”

สุดท้ายเสียงของจุ๋มกลายเป็นสั่นเครือและขาดช่วง

“จุ๋ม ที่บ้านมีเรื่องอะไร” ผมรีบถาม รู้สึกตกใจกับคำพูดของจุ๋ม

“จี๊ดมันทำร้ายพ่อ จุ๋มห้ามมันก็ไม่ฟัง แม่ก็ไม่อยู่...” สุดท้ายเสียงของจุ๋มจากสั่นเครือกลายเป็นสะอื้น

“จุ๋ม ใจเย็นๆก่อน” ผมพยายามปลอบจุ๋มให้สงบลง แม้ว่าผมเองจะร้อนใจก็ตาม ในสถานการณ์เช่นนี้ผมต้องพยายามมีสติ ถ้าขาดสติไปด้วยอีกคนก็คงช่วยอะไรจุ๋มไม่ได้ “ทำร้ายยังไง แล้วหยุดหรือยัง”

“ก็... ด่า ผลักพ่อ ตีพ่อ” จุ๋มพูดพลางปล่อยโฮออกมา “มันเหมือนคนบ้า จุ๋มกลัว”

จี๊ดคือชื่อของน้องชายจุ๋ม เรื่องน้องชายของจุ๋มผมเคยรับรู้มาบ้างแล้ว ว่าเป็นเด็กมีปัญหา ถูกกดดันทั้งจากความจุกจิกเจ้าระเบียบของแม่ และสภาพอาการป่วยไข้ของพ่อ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นน้องชายของจุ๋มจึงได้ระเบิดโทสะออกมาขนาดนี้ แต่ก็ไม่ใช่เวลาที่ผมจะมาซักไซร้รายละเอียดทั้งหมด

“ตีรุนแรงไหม ใช้อะไรตี” ผมถามอีก “แล้วหยุดหรือยัง”

“ใช้มือตี... ไม่ได้ใช้อาวุธ ก็แรงเหมือนกัน” จุ๋มสะอื้น “มันตีๆหยุดๆ ตอนนี้หยุดไปแล้ว แต่จุ๋มกลัวมันทำร้ายพ่ออีก”

ผมพยายามใช้ความคิด ปกติผู้ชายถ้าโมโหมากๆก็จะต่อยด้วยกำปั้น แต่นี่น้องชายของจุ๋มตีด้วยมือ แสดงว่ายังมีมโนธรรมและสติเหลืออยู่... ทำไงดีหว่า...

“จุ๋ม พยายามกันจี๊ดออกไปจากพ่อก่อนก็แล้วกัน ถ้าอยู่คนละห้องกัน มันคงสงบสติอารมณ์ได้” ผมพูด “แล้วพี่จะไปหาจุ๋มเดี๋ยวนี้เลย บ้านของจุ๋มจากปากซอยอารีย์แล้วเข้าไปยังไง”

ผมแนะนำจากประสบการณ์ของผมเอง เวลาทะเลาะกับพ่อ แม่มักไล่ให้ผมไปอยู่ห้องอื่น เมื่อพ่อไม่เห็นหน้าผม สักพักก็จะหยุดด่าไปเอง นอกนั้นก็ไม่รู้จะแนะนำอะไรแล้ว

จุ๋มบอกบ้านเลขที่ ชื่อซอยย่อย และตำแหน่งของบ้านให้ผมรู้ แม้ว่าผมจะกลับบ้านกับจุ๋มหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็รู้เพียงแค่ว่าจุ๋มลงรถที่ปากซอยอารีย์ ไม่เคยรู้เลยว่าบ้านจุ๋มนั้นเข้าไปอย่างไร

ผมวางสายและรีบแต่งตัว ผมตัดสินใจไปหาจุ๋มทันที ไปแล้วจะช้าเกินการณ์หรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ถึงอย่างไรก็คงดีกว่าที่ผมอยู่ที่บ้านเฉยๆ

หลังจากแต่งตัวเสร็จ ผมปิดบ้านเรียบร้อย จากนั้นก็รีบวิ่งออกไปยังปากซอยอย่างไม่คิดชีวิต ผมวิ่งรวดเดียวจากบ้านจนถึงปากซอยภาวนาท่ามกลางความมืด มีเพียงแสงไฟสลัวจากโคมบนเสาไฟฟ้าในซอย จากนั้นก็ข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้าม แต่วิ่งสุดชีวิตแบบนี้ก็ยังใช้เวลากว่าห้านาทีกว่าที่จะมาถึงปากซอยได้ เมื่อข้ามไปฝั่งตรงข้ามได้ก็หอบจนตัวโยน

ผมเรียกแท็กซี่ บอกจุดหมายปลายทาง พูดไปก็หอบไป จากนั้นรีบขึ้นรถโดยไม่ต่อราคา

“เร็วที่สุดเลยครับพี่” ผมยังไม่หยุดหอบ เหนื่อยที่สุดในชีวิต “มีเรื่องด่วน...”

ยามดึก การจราจรในถนนลาดพร้าวและพหลโยธินค่อนข้างโล่ง ต่างจากในปัจจุบันที่ลาดพร้าวรถติดเกือบตลอด ๒๔ ชั่วโมง รถแท็กซี่ขับอย่างตีนผี ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็มาถึงซอยอารีย์

รถแท็กซี่เลี้ยวเข้าซอย และไปแยกเข้าซอยย่อย โชคยังดีที่ซอยย่อยบ้านจุ๋มนั้นหาไม่ยาก ในยุคนั้นไม่มีโทรศัพท์มือถือ การโทรกลับไปถามทางอีกครั้งเป็นเรื่องยุ่งยาก เพราะต้องหาตู้โทรศัพท์สาธารณะ

หลังจากหาซอยย่อยพบแล้วพี่คนขับและผมก็คลำทางต่อ และหาบ้านเลขที่ที่ต้องการจนพบในที่สุด

ผมรีบชำระเงินและลงจากรถ จากนั้นก็ยืนด้อมๆมองๆอยู่ที่หน้าบ้านของจุ๋มโดยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อดี จะกดออดก็ไม่เกรงจะไม่เหมาะ ไม่รู้ว่าสถานการณ์ในบ้านเป็นอย่างไร จึงได้แต่ชะเง้อคอมองจากหน้าประตูใหญ่

บ้านของจุ๋มมีขนาดใหญ่ พื้นที่รอบตัวบ้านนั้นกว้างขวาง ตัวบ้านอยู่ลึกเข้าไปข้างใน ด้านหน้าเป็นสนามหญ้าและถนนเชื่อมไปยังตัวบ้านและโรงรถ เห็นภายในบ้านของจุ๋มสงบเงียบ ชั้นล่างเปิดไฟสว่างเพียงบางส่วน แต่ไม่เห็นใครเลย รวมทั้งไม่มีเสียงเอะอะด้วย

เอาไงดีหว่า ผมคิด หลังจากที่ยืนชะเง้ออยู่สักครู่หนึ่ง ในที่สุดผมก็ตัดสินใจว่าจะกดออกเรียกจุ๋ม

ขณะที่กำลังจะกดออดนั้นเอง ผมก็รู้สึกว่ามีแสงไฟจากรถยนต์ที่เข้ามาในซอยส่องมาที่ผม ผมเหลียวไปมอง รถยนต์คันนั้นขับเข้าใกล้มาอย่างรวดเร็ว แสงไฟหน้ารถส่องจ้าและพลิกไฟสูงใส่ผมจนแสบตา จากนั้นรถก็มาจอดที่หน้าบ้าน...

“นั่นใครน่ะ มายืนด้อมๆมองๆหน้าบ้านชั้นทำไม ถ้าไม่ไปชั้นจะเรียกตำรวจนะ” เสียงหญิงวัยกลางคนแผดเสียงปรี๊ดออกมาจากในรถโดยที่ตัวคนขับยังไม่ลงมา รถจอดอยู่ห่างจากผมพอควร แต่เสียงนั้นชัดเจนราวกับว่าพูดอยู่ข้างๆหูผม เพียงเท่านี้ผมก็เดาได้แล้วว่าหญิงในรถต้องเป็นแม่ของจุ๋มนั่นเอง

ผมรีบเดินเข้าไปหาเพื่อที่จะบอกว่ามีเรื่องวุ่นวายในบ้าน แต่เพียงแค่เดินไปได้สองสามก้าว แม่ของจุ๋มก็ตวาดมาอีก

“หยุด อย่าเข้ามานะ”

สงสัยว่าใบหน้าของผมคงไม่ค่อยน่าไว้วางใจ แม่ของจุ๋มจึงไม่ยอมให้เข้าใกล้

“ผมเป็นรุ่นพี่ของจุ๋มครับคุณอา” ผมตะโกนบอกเธอ “จุ๋มโทรมาบอกว่าที่บ้านเกิดเรื่องและคุณอาไม่อยู่ ไม่รู้จะทำยังไงดี ผมเลยรีบมาหา”

“เรื่องอะไร ที่บ้านมีเรื่องอะไร” แม่ของจุ๋มเปิดประตูรถลงมาพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน

ตอนนี้เองผมจึงเห็นหน้าแม่ของจุ๋มได้ชัด เธอเป็นหญิงในวัยกลางคน อายุน่าจะราวๆ ๔๕ ถึง ๕๐ ปี จุ๋มกับแม่มีเค้าหน้าที่คล้ายคลึงกัน หากจะพูดกันตามตรง ผมว่าแม่ของจุ๋มเมื่อตอนสาวๆคงสวยกว่าจุ๋มเสียอีก เสียแต่ว่าแม่ของจุ๋มนั้นมีบุคลิกที่ไม่ค่อยน่าใกล้ชิดนัก สายตาของเธอดูเหมือนจะเปล่งรังสีอำมหิตอยู่ตลอดเวลาจนทำให้รู้สึกไม่น่าเข้าใกล้ ไม่น่าเชื่อว่าแม่ลูกกันแต่บุคลิกแตกต่างกันได้ถึงเพียงนี้

“ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ คุณอารีบเข้าไปดูก่อนดีกว่าครับ” ผมรีบพูด ไม่กล้าบอกว่าเกิดอะไรขึ้นข้างใน พูดน้อยเอาไว้ก่อนดีกว่า

แม่ของจุ๋มล็อครถ พลางมองผมอย่างระแวง จากนั้นรีบเข้าไปในบ้าน แม่ของจุ๋มคงจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแต่ก็ไม่ประมาท จึงจอดรถเอาไว้ข้างนอกก่อนและรีบเข้าบ้านไป

หลังจากที่แม่ของจุ๋มเดินเข้าไปในบ้าน เสียงเอะอะโวยวายด่าทอก็ดังขึ้น ส่วนใหญ่เป็นเสียงของแม่จุ๋ม และสลับด้วยเสียงผู้ชาย

เออะกันได้สักครู่ ผมก็เห็นจุ๋มวิ่งออกมาจากในบ้าน กิริยาท่าทางของจุ๋มทำให้ผมรู้ว่าจุ๋มแอบออกมา สีหน้าของจุ๋มบอกบ่งความหวาดกลัวอย่างชัดเจน

“ในบ้านเป็นไงบ้าง” ผมรีบถาม รู้สึกสงสารจุ๋มมาก

“เกือบแย่ โชคดีที่แม่มา” จุ๋มพูด “จี๊ดไม่กล้าทำอะไรพ่อแล้ว ตอนนี้กำลังทะเลาะกับแม่อยู่”

“ได้ยินเสียงเหมือนกัน ทะเลาะกันแรง แล้วจี๊ดกับแม่...” ผมถามด้วยความเป็นห่วง

“มันบ้ายังไงก็คงไม่กล้าทำอะไรแม่หรอก” จุ๋มพูด แล้วหยุดนิดหนึ่ง “พี่อูกลับไปก่อนก็ได้ แม่มาก็ไม่มีอะไรแล้ว แล้วมีโอกาสจุ๋มจะเล่ารายละเอียดให้พี่ฟังอีกที”

“แน่ใจนะว่าสถานการณ์เรียบร้อย...” ผมพูดอย่างลังเล

“ไม่เป็นไรแล้วจริงๆ” จุ๋มตอบ “ขอบคุณพี่อูมากที่อุตส่าห์มา เดี๋ยวจุ๋มต้องกลับเข้าบ้านแล้วล่ะ แล้วค่อยคุยกันอีกที”

“เอายังงั้นก็ได้ ถ้ายังงั้นพี่กลับก่อน” ผมพูด

“ขอบคุณมากนะคะพี่อู” จุ๋มขอบคุณอีก มองผมและทำท่าเหมือนกับว่าอยากจะพูดอะไร แต่แล้วก็ไม่พูด รีบกลับเข้าไปในบ้าน

ผมเดินห่างออกมาจากบ้านของจุ๋ม แม้ยังรู้สึกไม่วางใจนัก แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร

การเดินทางขากลับทุลักทุเลพอสมควร ตอนนั้นเป็นเวลาสี่ทุ่มกว่า บรรยากาศในซอยบ้านของจุ๋มเงียบสงัด ไม่มีรถเข้าออกสักคัน เมื่อเดินออกมาถนนเมนของซอยอารีย์จึงจะพอเห็นรถเข้าออกบ้าง แต่ก็ไม่มีแท็กซี่ว่างสักคัน ผมจึงต้องเดินไปเรื่อยๆ เดินไปก็เสียวไป เพราะไม่รู้ว่าจะโดนจี้หรือโดนตีหัวหรือไม่

ผมเดินอยู่พักใหญ่ มาเรียกรถแท็กซี่ได้ก็ตอนที่เดินใกล้จะถึงถนนพหลโยธินแล้ว ที่ตัดสินใจนั่งแท็กซี่เพื่อความปลอดภัย เพราะว่าในซอยภาวนาส่วนที่ผมพักอาศัยอยู่นั้น ยามดึกก็เปลี่ยวเอาการ เปลี่ยวยิ่งกว่าซอยบ้านจุ๋มเสียอีก กว่าจะถึงบ้านก็เป็นเวลาห้าทุ่มกว่าแล้ว

ผมรีบอาบน้ำและเข้านอน เพราะว่าวันรุ่งขึ้นผมเรียนวิชาแรกตั้งแต่แปดโมง ยุ่งวุ่นวายมาค่อนคืน รู้สึกเหนื่อยอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อเข้านอนจริงๆกลับนอนไม่หลับ ในสมองคิดโน่นคิดนี่ไปวุ่นวาย โดยเฉพาะเรื่องที่บ้านของจุ๋ม วันนี้เกิดอะไรขึ้น ทำไมน้องชายของจุ๋มจึงสติแตกจนทำร้ายพ่อ หลังจากที่แม่ของจุ๋มกลับมาแล้วเกิดอะไรขึ้นอีก คำถามต่างๆวนเวียนอยู่ในสมองเต็มไปหมด ผมคิดวนเวียนไปมา จนในที่สุด ผมก็ผลอยหลับไป

-    - -

วันต่อมา หลังจากที่ผมเลิกเรียนในตอนบ่าย ผมก็รีบเดินไปหาจุ๋มที่คณะทันที ตอนที่ผมไปหาจุ๋มนั้น จุ๋มยังไม่เลิกเรียน ผมจึงต้องรออีกพักใหญ่กว่าจะหมดคาบ

เมื่อผมเห็นจุ๋มเดินออกมาจากห้องเรียน ผมก็เดินเข้าไปหาทันที

“จุ๋ม เป็นไงบ้าง” ผมทักทาย สังเกตว่าวันนี้จุ๋มมีสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก แตกต่างจากยามปกติที่ยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ

“พี่อู นึกแล้วว่าวันนี้พี่ต้องมาหา” จุ๋มพยายามฝืนยิ้ม

“ใช่สิ พี่อดเป็นห่วงจุ๋มไม่ได้ เลยต้องแวะมาดู” ผมตอบ “พี่จะนั่งรออยู่ที่ร้านน้ำใต้ตึก จุ๋มเสร็จแล้วก็ลงไปหาก็แล้วกัน”

“ได้ค่ะพี่อู เดี๋ยวจุ๋มเสร็จจากบนนี้แล้วจะรีบลงไป” จุ๋มตอบ “อยากคุยกับพี่อูอยู่เหมือนกัน”

ผมนั่งรออยู่ที่ร้านขายน้ำใต้ตึกเป็นเวลานาน ในที่สุด ก็เห็นจุ๋มเดินมา เนื่องจากเป็นเวลาเย็นแล้ว และจุ๋มต้องรีบกลับบ้าน เราจึงเดินคุยกันไปเรื่อยๆ

“พี่อู ขอบคุณมากนะที่เมื่อวานไปช่วยจุ๋ม จุ๋มไม่รู้ว่าจะทำยังไงจริงๆ” จุ๋มพูด

“แล้วเมื่อวานเกิดอะไรขึ้น ทำไมน้องจุ๋มถึงได้...” ผมถาม

“ก็เมื่อวานตอนหัวค่ำ จี๊ดมันดูแลพ่อ ให้พ่อกินอาหาร กินยา และเช็ดตัว หัลงจากที่เช็ดตัวและเปลี่ยนชุดนอนให้พ่อเสร็จ จากนั้นพ่อก็นอน” จุ๋มเริ่มเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวาน  “พอจี๊ดเห็นพ่อนอน ก็เลยไปอาบน้ำ พอมันอาบน้ำเสร็จและลงไปที่ห้องพ่ออีกครั้งเท่านั้นแหละ ได้เรื่องเลย”

“เกิดอะไรขึ้น” ผมถาม

“พ่อละเลงอึน่ะสิ เลอะไปหมดทั้งห้องเลย” จุ๋มถอนหายใจ “พอจี๊ดมันลงมาเห็นเข้าเท่านั้นก็สติแตก มันเอะอะโวยวายลั่น จุ๋มเห็นมันเครียดก็เข้าไปช่วย บอกให้มันไปพัก จุ๋มจะจัดการเช็ดตัวและทำความสะอาดห้องให้เอง มันก็ไม่ยอม บอกว่าจะทำเอง”

ผมฟังจุ๋มเล่าโดยไม่พูดอะไร เพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรจริงๆ สภาพภายในบ้านของจุ๋มเป็นเรื่องที่ผมคาดไม่ถึง เราเดินตัดสนามหญ้าผืนใหญ่หน้าเสาธงพร้อมกับคุยกันไป

“มันเช็ดตัวให้พ่อ เช็ดไปก็ตีพ่อไป ทั้งตี ทั้งโวยวาย จุ๋มพยายามห้ามไม่ให้มันทำพ่อ แต่ก็ห้ามมันไม่ได้ ยิ่งห้ามก็เหมือนกับยิ่งยุ มันน่ากลัวมาก เหมือนคนบ้า จุ๋มไม่เคยเห็นมันเป็นยังงั้นมาก่อน” เมื่อจุ๋มเล่าถึงตอนนี้ก็เริ่มสะอึกสะอื้นออกมาอีก

“ตอนนั้นจุ๋มกลัวมาก กลัวว่าพ่อจะเป็นอะไรไป และกลัวว่าจี๊ดมันจะต้องติดคุก ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว แม่ก็ไม่อยู่ ไม่รู้ว่าจะกลับเมื่อไร” จุ๋มสะอื้นฮั่ก หยิบกระดาษทิชชู่ออกมาซับน้ำตา แต่ก็ยังไม่หยุดเล่า “ตอนนั้นจุ๋มไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร นึกถึงพี่อูขึ้นมาได้ก็เลยรีบโทรไปหา”

ผมรู้ว่าเพื่อนๆไม่รู้เรื่องที่บ้านของจุ๋ม ดังนั้นจุ๋มคงไม่โทรไปปรึกษาเพื่อนหรือเรียกให้เพื่อนช่วย ที่จุ๋มนึกถึงผมก็คงเป็นเพราะผมเป็นเพียงคนเดียวที่รู้เรื่องราวภายในบ้านของจุ๋มนั่นเอง

“พอมันเช็ดตัวให้พ่อเสร็จ มันก็ดูสงบลงบ้าง จุ๋มจึงพยายามพูดให้มันไปพักก่อน ส่วนเรื่องทำความสะอาดห้องจุ๋มจะช่วยทำให้เอง มันก็เลยไปอาบน้ำและขังตัวเองอยู่ในห้องนอน ไม่ยอมออกมา จุ๋มเห็นมันเงียบก็กลุ้มอีก เพราะกลัวว่ามันจะเครียดจนคิดฆ่าตัวตาย ก็พอดีแม่กลับมา และพี่อูก็มาถึงนั่นแหละ” จุ๋มเล่าต่อ

“แล้วหลังจากนั้น...” ผมถาม

“พอแม่มา ก็ยุ่งอีก จุ๋มเล่าเรื่องให้แม่ฟัง แม่ก็ทะเลาะกับน้องอีก เฮ้อ ไม่รู้ว่าจุ๋มคิดถูกหรือเปล่าทีเล่าเรื่องมันตีพ่อให้แม่ฟัง เรื่องก็เลยบานปลายไปอีก” จุ๋มถอนหายใจอีก ไม่รู้ว่าถอนหายใจเป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว

ผมฟังเรื่องราวของจุ๋มจนมึน มันเป็นเรื่องภายในครอบครัวที่สลับซับซ้อน และนึกไม่ถึงมาก่อน มันยุ่งวุ่นวายจนผมไม่รู้จะปลอบใจจุ๋มอย่างไร

“พี่ว่าจุ๋มตัดสินใจถูกแล้วนะ” ผมพูด “แม่จะได้รู้สถานการณ์เอาไว้ จี๊ดตีพ่อได้ครั้งหนึ่ง ก็อาจมีครั้งต่อมาอีก”

ผมก็ได้แต่ปลอบใจไม่ให้จุ๋มคิดมาก ผมอดนึกถึงใบหน้าและแววตาที่มีรังสีอำมหิต พร้อมกับเสียงดังพูดที่แสบหูของแม่จุ๋มไม่ได้ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมน้องชายจุ๋มถึงได้เครียดนักยามอยู่ที่บ้าน

“อ้อ แล้วยังมีอีกนะ” จุ๋มพูด “แม่ยังซักจุ๋มถึงเรื่องพี่อูด้วย”

เอาละสิ งานเข้าแล้วไหมล่ะ

“แม่มาเจอพี่ตอนที่พี่กำลังชะเง้ออยู่ที่หน้าบ้านพอดีเลย คงนึกว่าพี่เป็นขโมย” ผมพูด “แม่ถามว่าไงบ้างล่ะ”

“แม่ก็ถามว่าพี่อูเป็นใคร ทำไมจุ๋มถึงโทรไปเรียกให้พี่มา” จุ๋มเล่า

“แล้วจุ๋มตอบว่าไง” ผมอยากรู้

“จุ๋มก็บอกว่าเป็นรุ่นพี่” จุ๋มพูด “จุ๋มบอกไปว่าตอนนั้นจุ๋มกลัว และคิดว่าปรึกษารุ่นพี่น่าจะดีกว่าปรึกษาเพื่อน คงได้คำแนะนำที่ดีกว่า”

“แล้วแม่รู้ไหมว่าพี่ไม่ใช่รุ่นพี่ที่คณะ” ผมถาม

“จุ๋มไม่ได้บอก ถ้าบอกก็คงโดนซักอีกเยอะ คงยุ่งยิ่งกว่านี้อีก” จุ๋มตอบ