Saturday, March 31, 2007

ตอนที่ 22

ปิดเทอมปีนั้น หลังจากที่เราจบ ป.๕ เมื่อไอ้ชัชกับไอ้นัยกลับไปแล้ว เราก็ยังเขียนจดหมายติดต่อกัน สมัยนั้นเรื่องโทรศัพท์ทางไกลหากันจะยากครับ เพราะเบอร์มีแต่ขององค์การโทรศัพท์ (ไม่ได้เรียกว่า TOT เหมือนเดี๋ยวนี้) ผูกขาดอยู่รายเดียว บางพื้นที่ แม้แต่ในกรุงเทพฯเองก็ตาม ยังต้องรอกันเป็นปีๆ เรื่องการซื้อขายเบอร์โทรศัพท์เลยกลายเป็นธุรกิจอย่างหนึ่งไป อย่างบ้านไอ้นัยที่กรุงเทพฯนี่ ตอนเราจบ ป. ๕ กันก็ยังไม่มีโทรศัพท์ ตอน ป. ๖ นี่แหละครับ เลยไปซื้อต่อเบอร์ของคนอื่นมาในราคาหลายหมื่นบาท ที่บ้านผมตอนนั้นก็ไม่มีโทรศัพท์ (แล้วในที่สุดก็ต้องไปหาซื้อมาเช่นกัน) ถ้ามีเรื่องจำเป็นก็มีตู้โทรศัพท์สาธารณะอยู่แถวนั้นตู้หนึ่ง ไปหยอดเหรียญโทรกัน หรือถ้ามีใครมีเรื่องจำเป็นจะติดต่อมา ก็จะโทรมาที่บ้านผู้ใหญ่บ้านซึ่งอยู่ไม่ไกล แล้วบอกว่าจะพูดกับบ้านไหน ก็จะไปตามให้ หรือบางทีก็จะฝากบอกไว้ว่าเรื่องอะไรแล้วให้ติดต่อกลับ คนที่บ้านผู้ใหญ่ก็จะเอามาบอกให้

ที่ต่างจังหวัดในสมัยก่อนส่วนใหญ่ก็จะเป็นแบบนี้แหละครับ คือโทรออกก็โทรตู้ ส่วนรับเข้าก็ต้องโทรมาที่บ้านใดบ้านหนึ่งซึ่งเป็นศูนย์กลางของชุมชนนั้นที่ติดโทรศัพท์แล้ว เช่น บ้านผู้ใหญ่บ้าน เป็นต้น

อีกอย่าง ค่าโทรศัพท์ทางไกลตอนนั้นดูเหมือนจะแพงเอาการอยู่ คือจำได้ว่าแพง แต่ไม่รู้ราคาในสมัยนั้น เพราะมันแพงอีกทั้งโทรศัพท์เป็นของหายาก เลยไม่เคยใช้สักที ก็เลยไม่รู้อัตราค่าโทร ใช้เขียนจดหมายเอาครับ สมัยนี้มีใครยังเขียนจดหมายกันอยู่ไหม จดหมายแบบ snail mail ที่เขียนใส่ซองติดแสตมป์น่ะ

สมัยนั้นการติดต่อสื่อสารในช่วงปิดเทอม หลักๆก็คือเขียนจดหมายคุยกันนี่แหละครับ ตอนนั้นติดแสตมป์ ๗๕ สตางค์หรือ ๑ บาท ประมาณนี้แหละครับ ตามสถิติที่พอจะจำได้ก็คือส่งไปแล้วประมาณ ๔-๑๐ วันก็จะถึงมือผู้รับ เรื่องช้าเร็วนี่ไม่ค่อยแน่นอน เพราะเป็นการส่งข้ามจังหวัด เอาแน่นอนยาก บริการยังไม่ทันสมัยแบบปัจจุบัน

ในพวกเราสามคน ผมเขียนจดหมายเก่งที่สุด (ขอชมตัวเองหน่อย) เพราะเวลาเขียนแต่ละที่จะเขียนยาวกว่าเพื่อน ไอ้ชัชขี้เกียจเขียน ชอบดองจดหมายเอาไว้ตอบช้าๆ ส่วนไอ้นัยตอบเร็วครับ แต่เขียนน้อย มันเขียนเหมือนกับที่มันพูดเลย ตอนพูดก็พูดน้อย ตอนเขียนก็เขียนน้อย แต่น่าอ่าน เพราะกวนๆดี

ส่วนใหญ่ผมก็จะเขียนเล่าเรื่องโน่นเรื่องนี่ที่บ้านให้มันฟัง ไอ้ชัชก็เล่าเรื่องของมันตอนอยู่บ้าน ส่วนไอ้นัยชอบบ่นว่าเหงา เซ็ง เพราะอยู่บ้านคนเดียว อะไรประมาณนี้แหละครับ ผมอ่านแล้วสงสารมันจังเลย เลยพยายามเขียนไปถึงมันยาวๆ ให้มันอ่านแก้เหงา จำได้ว่าตอนนั้นเขียนยาวมาก เขียนบ้าเขียนบออะไรก็ไม่รู้ตั้งสี่ห้าหน้ากระดาษในแต่ละฉบับ คือจุดประสงค์อยากให้มันแก้เหงา แต่จดหมายของเราสามคนไม่มีเรื่องเซ็กซ์ปนนะครับ อิอิ ที่ไม่เขียนลงไปเพราะกลัวว่าใครจะมาอ่านเจอเข้า เลยเขียนแต่เรื่องธรรมดาๆ

จดหมายที่ไอ้นัยเขียนถึงผม ผมเก็บไว้ต่อมาอีกหลายปี ใจจริงว่าจะเก็บไว้จนถึงตอนแก่เลย เวลาอายุมากๆย้อนกลับมาอ่านคงมีความหมายดี แต่น่าเสียดายที่พอตอนโตขึ้นมาพอเอากล่องใส่จดหมายที่เก็บไว้อย่างดีออกมาดู (เก็บดีเกินไปครับ เอาไปซ่อนเสียมิดชิด หลายปีไม่เคยเปิดดูเลย) ปรากฏว่าปลวกกินจดหมายจนป่นไปหมด ผมเองก็ลืมนึกไป เพราะว่าบ้านต่างจังหวัดนี่เรื่องปลวกเป็นของธรรมชาติ น่าจะเก็บใส่กล่องเหล็ก แต่ก็ไม่ได้ทำ เสียดายมากเลยครับ ไม่อย่างนั้นจะลองคัดจดหมายไอ้นัยที่เป็นสำนวนของมันจริงๆมาให้อ่านกันสักท่อน น่ารักดี

ปีนั้นเป็นปีที่ผมใช้เวลาปิดเทอมอย่างเบื่อหน่ายที่สุด เพราะตั้งแต่ไอ้สองตัวนั่นกลับไปแล้วผมเองก็เหงามาก มักคิดถึงไอ้สองตัวนั่นอยู่เสมอ โดยเฉพาะไอ้นัย คิดถึงมันมากเลยครับ ไม่รู้ว่าเป็นอะไรแต่ไม่เคยบอกใคร แม้แต่ไอ้นัยเองก็ไม่รู้หรอกว่าผมคิดถึงมันแค่ไหน เพราะว่าผมปากแข็ง ซึ่งผมคิดว่าเรื่องปากแข็งน่าจะเป็นข้อเสียที่สำคัญของผม ส่วนไอ้นัยจะคิดถึงผมหรือเปล่านี่ตอบยากครับ เพราะเดาใจมันไม่ถูก ไอ้นี่ชอบทำหน้าตายอยู่แล้วด้วย อ่านสีหน้ามันก็ไม่ออก แต่คิดว่าน่าจะคิดถึงนะครับ ส่วนไอ้ชัชไม่มีอะไร มันเขียนมาในจดหมายเลยว่าคิดถึงพวกเรา อยากให้เปิดเทอมเร็วๆจะได้เจอกันอีก ไอ้ชัชเป็นคนเปิดเผยครับ มันคิดอะไรก็พูดออกมาอย่างนั้น

เวลาผมส่งจดหมายไปแต่ละครั้ง พอสามวันให้หลังผมจะเริ่มตั้งหน้าตั้งตารอแล้วครับ สามวันแรกยังไม่รอเพราะรู้ว่าถึงอย่างไรก็ยังไม่ถึง แต่พอหลังจากนั้นมีลุ้นครับ ลุ้นว่าเมื่อไรมันจะตอบกลับมาสักทีวะ นั่งลุ้นแบบนี้แหละทุกวันเลย

ประมาณต้นเดือนพฤษภาคม พวกเราจะได้มีโอกาสเจอกันก่อนเปิดเรียนครั้งหนึ่ง เพราะว่าจะมีอยู่วันหนึ่งที่ผู้ปกครองจะต้องไปจ่ายค่าเทอม ค่าหอ และซื้อหนังสือเรียน วันนั้นแหละเป็นวันที่ผมตั้งหน้าตั้งตารอคอย

พอผมไปถึงโรงเรียนกับพ่อ ก็ชะแง้หาไอ้ชัช ไอ้นัย อยู่ตลอด ก็เจอเพื่อนคนอื่นๆด้วยละ แต่ใจจดใจจ่อกับไอ้สองตัวเป็นพิเศษ ผมมาถึงเป็นรายแรก ไอ้สองตัวนั่นยังไม่พาผู้ปกครองมาเลย (ที่จริงคือผู้ปกครองพาพวกมันมา) คอยอยู่ตั้งเป็นนาน ไอ้ชัชถึงได้โผล่มา

ไม่ได้เจอกันแค่สองเดือน ยังกับไม่ได้เจอกันนานมาก รู้สึกว่าแต่ละคนเปลี่ยนไปพอสมควรทีเดียว ไอ้ชัชดูสูงขึ้นเยอะเลย ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า มันเองก็ทักว่าผมสูงขึ้น คงอยู่ในวัยกำลังโตกระมังครับเลยสูงเร็ว

ตอนที่ไม่มีใครเห็น มันแอบเอามือผมไปจับนมมัน รู้สึกว่าแข็งเป็นไตเล็กๆ อ้อ จะอวดว่ามันเริ่มแตกเนื้อหนุ่มแล้วนั่นเอง ผมเลยแกล้งบีบแรงๆ มันร้องจ๊ากเลยเพราะเจ็บ อยากอวดดีนัก

อีกสักพัก ไอ้นัยกับอาก็มาถึง นึกแปลกใจเหมือนกันว่าทำไมไม่ใช่พ่อหรือแม่พามา แต่กลายเป็นอาผู้ชาย

ผมเห็นไอ้นัยแล้วตะลึง แต่ก่อนเห็นมันแต่ในรูปโฉมของผมทรงนักเรียน หรือที่สมัยก่อนเรียกกันว่าทรงลานบิน ซึ่งก็คือทรง รด. นั่นเอง แต่เด็กประถมไม่รู้จักคำว่า รด. หรอกครับ เรียกกันแต่ทรงนักเรียน ทรงลานบิน ไอ้นัยในวันนี้มาด้วยผมที่ไว้ยาวแบบรองทรง ผมข้างหน้ามันสลวยแถมหยิกนิดๆตามธรรมชาติ ที่รียกว่าหยักศก รับกับจมูกที่เชิดนิดๆของมัน ริมฝีปากแดงๆ โคตรน่ารักเลยครับ ไม่รู้จะบรรยายอย่างไรให้สมกับความรู้สึกที่มีต่อมัน

ยังจำความหลังวันนั้นได้ดี เพียงแค่วูบแรกที่เจอไอ้นัยควยผมก็ลุกแล้วครับ เจอไอ้ชัชยังไม่เกิดอารมณ์ แต่เจอไอ้นัยเข้าที่เกิดอารมณ์ทันทีเลยครับ ใจนึกอยากกอดมันเสียเหลือเกิน นี่ถ้าไม่อยู่ต่อหน้าคนหมู่มาก สงสัยผมต้องจับมันฟัดเสียแล้ว อิอิ

หลังจากสวัสดีผู้ใหญ่ ตบหัวทักทายเองกันตามธรรมเนียม พวกเราก็ดำเนินขั้นตอนชำระค่าเทอมและซื้อหนังสือ ระหว่างนั้นก็คุยเล่นกันไม่ได้หยุด นักเรียนที่ไม่ได้เจอกันสามเดือน พอมาเจอกันเข้าเป็นร้อยคน ลองคิดดูก็แล้วกันครับว่าเสียงจะเซ็งแซ่ขนาดไหน

พวกเราสามคนพยายามอยู่ใกล้ๆกัน จะได้คุยกันถนัดหน่อย มีอยู่ช่วงหนึ่งที่คุยกัน ไอ้นัยก็ชวนผมกับไอ้ชัชไปเที่ยวบ้านมันก่อนเปิดเทอมสักครั้ง

“มีอะไรจะอวดพวกมึงด้วยล่ะ” ไอ้นัยว่า ทำสีหน้าลึกลับนิดๆ ถามว่าเป็นอะไรมันก็ไม่ยอมบอก

“มาเถอะน่า แล้วจะรู้เอง ไม่มาแล้วจะเสียใจนะ” มันขู่สำทับ

ด้วยความอยากรู้ ประกอบกับอยากไปเที่ยวบ้านไอ้นัยด้วย ก็เลยเดือดร้อนพวกเราสองคนที่ต้องไปเจรจาอ้อนวอนพ่อแม่ ให้ช่วยพาไป ตอนนั้นยังเด็กครับ ไปไหนมาไหนเองไม่ได้ ต้องให้พ่อแม่ไปส่ง เด็กต่างจังหวัดด้วยแหละครับ ไม่ค่อยรู้ทาง

สมัยนั้นโรงเรียนจะเปิดประมาณกลางเดือนพฤษภาคม ถ้าจะไปเที่ยวบ้านไอ้นัย ก็ต้องไปก่อนเปิดเทอมสักสองวัน ค้างบ้านมันสักคืนหนึ่ง แล้ววันรุ่งขึ้นให้อามันพาไอ้ชัชกับผมไปส่งที่โรงเรียน เพราะเด็กประจำต้องไปถึงก่อนเปิดหนึ่งวัน จะไปวันเปิดเทอมเลยไม่ได้เพราะต้องไปจัดข้าวจัดของก่อน ส่วนเรื่องการส่งตัวเด็กนั้น อาไอ้นัยส่งก็ได้ เพราะเป็นการส่งนักเรียนประจำเข้าหอ ใครส่งก็ไม่ค่อยเข้มงวดนัก แต่ถ้าเป็นตอนรับออกจากหอนี่จะเข้มงวด ต้องเป็นผู้ปกครองจริงๆเท่านั้น

ผมก็อ้อนวอนพ่อจนใจอ่อน ตอนแรกพ่อไม่ยอมเพราะเกรงใจอาไอ้นัย ต้องให้อามันมาช่วยพูดนั่นแหละจึงจะยอม อาไอ้นัยคงเห็นหลานเหงาด้วยมั้งครับ เลยมาช่วยพูด ส่วนพ่อไอ้ชัชนั้นยังไม่แน่ใจว่าจะพามาได้หรือไม่ เพราะช่วงนั้นอาจไม่ว่าง ไอ้ชัชบ่นอุบอิบว่าซวยทุกที ครั้งก่อนก็ไม่ได้มา ครั้งนี้ก็มีแววว่าจะไม่ได้มาอีก

เฮ้อ อยากรู้จังเลยครับว่าของที่ไอ้นัยจะเอามาอวดคืออะไร

No comments: