Tuesday, September 11, 2012

ภาคสี่ ตอนที่ 62

แม้ว่าการเดินหาบ้านมาทั้งวันจะทำให้ผมเมื่อยล้า แต่ผมก็ยังไม่ยอมนอน ในคืนนั้นผมพยายามเตรียมรายการบ้านที่จะโทรถามในวันรุ่งขึ้น วันรุ่งขึ้นเป็นวันจันทร์ซึ่งเป็นวันทำงาน ผมน่าจะได้ข้อมูลบ้านเพิ่มขึ้นอีกหลายหลัง ผมวางแผนเอาไว้ว่าจะโทรถามในช่วงเช้าจากนั้นตอนสายๆจะออกไปดูบ้านอีก

นั่งทำงานอยู่จนดึก จนรู้สึกง่วง จึงปิดโคมไฟและเตรียมเข้านอน ขณะที่ลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานผมก็นึกถึงฉากอัศจรรย์ที่ดูเมื่อคืนขึ้นมา ผมอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปเปิดผ้าม่านหน้าต่างและมองไปยังห้องฝั่งตรงข้าม

เฮ้ย...

ผมอุทาน มือที่รูดม่านออกถึงกับยกค้าง เพราะภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าคือหนุ่มสาวนักแสดงหนังสดคู่เดิมกำลังพัวพันกันนัวเนียอยู่บนเตียง

ในเมื่อมีหนังให้ดูก่อนนอนผมก็เลยยังไม่นอน ขณะนั้นก็เลยเที่ยงคืนไปแล้ว ทั้งคู่เพิ่งจะเริ่มอุ่นเครื่องกัน ดูไปดูมาคิดว่านักแสดงคงจะรู้สึกร้อนแล้ว เพราะเห็นเสื้อผ้าหลุดลุ่ยลงไปกองอยู่ข้างเตียง ฝ่ายชายแสดงลีลาเต็มที่ ผมดูจนใจเต้น น้ำลายในปากเหนียวไปหมด

ขณะที่กำลังดูเพลินอยู่ ผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้ารัวอยู่นอกห้อง จากนั้นก็มีเสียงตบประตูห้องของผมเบาๆแต่ถี่เร็ว

“พี่อู พี่อู เปิดหน่อย เร้ว” เสียงดังที่หน้าห้อง

“...”

“ไอ้อู โอ๊ย ขี้เซาจริง” อีกเสียงหนึ่งเสริมขึ้นมาเบาๆพอได้ยิน พร้อมกับเสียงตบประตูถี่ๆ

ผมเดินไปเปิดประตูโดยที่ตัวยืนอยู่ห่างจากบานประตูเพราะพวกนี้ชอบผลักเข้ามาแรงๆ และก็จริงดังคาด ประตูถูกผลักพรวดเข้ามาอย่างรีบร้อน

กลุ่มคนประมาณสี่ห้าคนกรูกันเข้ามาภายในห้องของผม นอกจากพี่ธิตกับไอ้น้องปั้นแล้ววันนี้ยังมีเพื่อนร่วมหอคนอื่นตามเข้ามาด้วย

“เอากันอีกแล้วพี่อู โห แรงโคตรดีเลย เอากันทุกวัน เอ๊ะ...” ปั้นที่นับวันจะแก่แดดทักผม แต่เมื่อเห็นผ้าม่านหน้าต่างเปิดค้างอยู่ก็ร้องเอ๊ะขึ้นมา

“ดูไม่เรียกเลยนะ...” ปั้นพูดเสียงตำหนิ

“เพิ่งจะดูนี่เอง” ผมตอบ จากนั้นพูดเหน็บ “ต่อไปคงแห่กันมาทั้งหอเลยมั้ง”

“อย่าท้านะพี่อู เดี๋ยวสวย” ปั้นสวนคำพูดผมพร้อมกักบหัวเราะฮิฮิ

“งั้นพี่ทำอัฒจรรย์แล้วเก็บค่าดูเลยดีกว่า คงตั้งตัวได้ละคราวนี้” ผมกัดมันอีก

“ก็ดีเหมือนกัน แต่ผมขอดูฟรีนะ” ปั้นทะเล้นได้อีก

“เฮ้ย เงียบๆหน่อย คนจะดูหนัง เดี๋ยวนักแสดงตกใจหมด” พี่ธิตดุผมและปั้น

จากนั้นพวกเราก็กรูกันไปที่หน้าต่างเพื่อดูหนังสดฉากใหม่ ขณะที่นักแสดงกำลังเล้าโลมกันอยู่พวกเราก็วิจารณ์กันสนุกปาก แต่พอนักแสดงลงมือทำร้ายกันแล้วทุกคนต่างก็จ้องดูอย่างเงียบกริบ...

สายตาของผมจ้องดูห้องด้านตรงข้ามอย่างใจจดใจจ่อเช่นกัน แต่ในใจกลับคิดถึงป้อม ภาพเรือนร่างของวัยรุ่นในกางเกงว่ายน้ำบิกีนีตัวจิ๋ว มีหยดน้ำพรายใต้แสงแดดยามเช้า ผมกำลังคิดว่าถ้าเปลี่ยนจากนักแสดงคู่ชายหญิงที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้าเป็นผมและป้อม...

ผมพยายามสลัดความคิดนั้นออกไปจากสมอง รู้สึกไม่ค่อยดีที่คิดกับป้อมแบบนั้น แต่แม้จะพยายามเท่าไรก็ไม่สามารถสลัดภาพจินตนาการนั้นให้หลุดจากหัวออกไปได้ ความคิดสองด้านของผมกำลังต่อสู้กันอย่างหนักเช่นเดียวกับสมรภูมิที่อยู่ในห้องด้านตรงข้าม...

“แรงดีฉิบหาย เอากันได้ทุกวัน” พี่ธิตเปรยหลังจากที่ฉากสงครามสิ้นสุดลงและห้องด้านตรงข้ามปิดไฟไปแล้ว “ต่อไปชั้นสี่ห้องไอ้อูหัวบันไดไม่แห้งแน่”

“ผมคงรวยก็คราวนี้แหละ” ผมหัวเราะ

ทั้งหมดทยอยกันออกไปจากห้องของผม หลังจากนั้นผมก็เข้านอน แม้ว่าผมจะเมื่อยล้าจากการเดินเมื่อตอนกลางวัน แต่ตอนนี้ผมกลับนอนไม่หลับ ผมนอนลืมตามองเพดานในความมืด สมองคิดโน่นคิดนี่วุ่นวายไปหมด ผมไม่รู้ว่านานเท่าใดจึงได้ผลอยหลับไป...

- - -

วันรุ่งขึ้นผมตื่นแต่เช้า จัดการทำอะไรต่ออะไรให้เสร็จเรียบร้อย ตอนแปดโมงครึ่งผมก็แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยและเดินออกไปที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะเพื่อโทรศัพท์

เช้าวันนั้นผมโทรหาผู้ขายที่ยังติดต่อไม่ได้เมื่อวันก่อน บางรายไม่ใช่เจ้าของบ้านแต่เป็นบริษัทโบรกเกอร์ที่เป็นนายหน้าซื้อขายบ้านและที่ดิน คุยจนได้ที่อยู่ของบ้านที่ประกาศขายมาอีกหกเจ็ดหลัง หลังจากที่คุยโทรศัพท์เสร็จเรียบร้อยผมก็เริ่มออกเดินเพื่อสำรวจบ้าน

บ้านที่ติดต่อได้ในวันนั้นมีทั้งในซอยลาดพร้าว ๒๓, ๓๑, ๓๓, ๓๔, ๓๕ และ ๔๘ ส่วนใหญ่เป็นซอยฝั่งคี่ มีซอยฝั่งคู่ปะปนมาบ้างเพียงสองหลัง เนื่องจากเป็นซอยในละแวกบ้าน ดังนั้นผมจึงไม่ได้นั่งรถเมล์ ใช้เดินเอา โดยไปเริ่มตั้งหลักตั้งแต่ซอยลาดพร้าว ๒๓ หรือซอยวิทยาลัยครูจันทรเกษม (ชื่อในสมัยนั้น) และไล่มาเรื่อยๆ

บ้านในซอย ๒๓ อยู่ลึกมาก คงจะหลายกิโลเมตรทีเดียวเพราะต้องนั่งรถสองแถวเข้าไป ที่จริงซอย ๒๓ นี้กับซอยลาดพร้าวอื่นๆ เช่น ซอยภาวนา ซอยโชคชัยสี่ สามารถเชื่อมถึงกันได้ ไปออกรัชดาภิเษก วังหิน เสนานิเวศน์ หรือจะไปออกลาดพร้าว ๗๑ ก็ยังได้ ข้างในเป็นเหมือนโครงข่ายใยแมงมุมอันซับซ้อน ส่วนซอยลาดพร้าว ๔๘ ข้างในก็เป็นโครงข่ายซอยทางลัดที่สามารถไปออกได้หลายจุด รวมทั้งถนนรัชดาภิเษกได้ด้วยเช่นกัน ซอย ๔๘ นี้ก็ต้องนั่งมอเตอร์ไซค์เข้าไป

รวมความแล้วการสำรวจบ้านในวันนี้ไม่ค่อยได้เรื่องนักเนื่องจากบ้านหลายหลังอยู่ลึกมากจนผมคิดว่าอยู่ไม่ไหว หากจะอยู่ได้คงต้องมีรถส่วนตัวไม่อย่างนั้นคงไม่สะดวก แต่มีบ้านอยู่หลังหนึ่งที่อยู่ในซอยลาดพร้าว ๓๕ หรือว่าซอยสุภาพงษ์ ซึ่งซอยนี้สามรถเชื่อมกับซอยจันทรเกษมและซอยโชคชัยสี่ได้ เป็นซอยที่ลึกมากและอยู่ในโครงข่ายทางลัดเชื่อมถนนใหญ่ บ้านที่อยู่ในซอย ๓๕ นี้ตอนแรกผมฟังเจ้าของบอกทางแล้วงงเพราะว่าเข้าซอยเลี้ยวไปเลี้ยวมาหลายครั้ง ฟังทีแรกก็ไม่อยากได้แล้ว จึงเก็บเอาไว้ก่อน จนเมื่อผมดูหลังอื่นๆเสร็จแล้วและยังไม่มีบ้านหลังใดที่ถูกใจจริงๆ ในที่สุดผมก็นึกถึงบ้านนี้ขึ้นมาอีก ไหนๆก็พอมีเวลาเหลือ ไปดูเสียหน่อยก็คงไม่เสียหายอะไร

ผมเดินเข้าไปในซอยลาดพร้าว ๓๕ ตอนนั้นสภาพภายในซอยยังไม่ได้มีตึกมากเท่าในปัจจุบันนี้ ตอนนั้นปากซอยมีร้านค้าไม้และวัสดุก่อสร้าง มีวินมอเตอร์ไซค์ ถัดไปเป็นตึกหอพักที่ดูค่อนข้างใหม่อยู่หลังหรือสองหลังเท่านั้น จากนั้นข้างในที่ลึกกว่านั้นส่วนใหญ่เป็นบ้านพักอาศัยซึ่งมีลักษณะค่อนข้างเก่า ดูแล้วน่าจะเป็นบ้านดั้งเดิมที่อยู่กันมานาน มีบางส่วนเท่านั้นที่เป็นตึกสร้างใหม่

ผมเดินไปเรื่อยๆ สามร้อยเมตรแรกไม่มีแยกอะไรให้งง แต่พอหลังจากนั้นก็เริ่มมีแยกขึ้นมามากมาย จำได้ว่าเจ้าของบอกว่าเมื่อพบแยกแรกด้านขวาก็ให้เลี้ยวเข้าไป ดังนั้นเมื่อพบแยกขวาแยกแรกผมก็เดินเข้าไปทันที

เมื่อเข้าไปในซอยย่อย สภาพแวดล้อมก็เปลี่ยนไป จากทางหลักของซอยที่มีรถวิ่งหนวกหูอยู่ตลอดเวลากลายมาเป็นซอยย่อยที่สงบร่มรื่น นานๆจะมีรถผ่านเข้ามาสักคัน บ้านเรือนภายในซอยย่อยก็เป็นบ้านสองชั้นปนกับบ้านชั้นเดียวที่อยู่อาศัยกันมานานปี สังเกตได้จากสภาพบ้านส่วนใหญ่ที่ค่อนข้างเก่าและต้นไม้ใหญ่ที่ร่มครึ้ม มีที่ดินว่างเปล่าแซมอยู่ในซอยมากมาย ที่ดินว่างส่วนใหญ่มีต้นไม้ใหญ่พวกต้นมะขาม กระถิน ขึ้นเต็มไปหมด

ผมเดินต่อไปเรื่อยๆ ในซอยย่อยเริ่มมีทางแยก ผมเลี้ยวไปเลี้ยวมาตามที่จดไว้ในกระดาษจนงง เดินเท่าไรก็หาบ้านเลขที่ดังว่าไม่เจอ สงสัยว่าจะจดเส้นทางมาผิด ขณะที่เดินหลงอยู่นั้นเอง ผมก็ได้ยินเสียงเปียโนลอยมาตามลม

เสียงเปียโนดังพริ้วไหวอย่างไพเราะ ผมเดินตามเสียงเปียโนไป อยากรู้ว่าเสียงเปียโนมาจากบ้านหลังไหน เดินตามเสียงไปสักครู่ก็เห็นบ้านรั้วทึบหลังหนึ่ง ที่หน้าบ้านมีป้ายเขียนเอาไว้ว่า

ณัฐสตูดิโอ

ที่แท้เป็นโรงเรียนดนตรีนั่นเอง

เสียงเปียโนเงียบไปแล้ว ผมยืนฟังต่ออีกสักพักแต่ก็ยังไม่ได้ยินสียงเพลงใหม่ จึงได้เดินจากมา

ผมพยายามหาบ้านเลขที่ตามที่จดเอาไว้แต่ก็หาไม่เจอ ว่าจะถามคนที่ดินผ่านไปมาในซอยแต่ก็ไม่พบใคร ในที่สุดก็ต้องหาตู้โทรศัพท์เพื่อโทรไปถามเจ้าของบ้านอีกครั้งหนึ่ง

“ฮัลโหล สวัสดีครับ” ผมกรอกเสียงลงไปในหูโทรศัพท์ “ที่เมื่อเช้าผมโทรมาถามทางบ้านที่ประกาศขายน่ะครับ ยังหาบ้านไม่เจอเลย”

“แล้วตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนล่ะ” เสียงทางโน้นถาม

“ก็... บอกไม่ถูกเหมือนกันครับ ตอนนี้หลงทางอยู่” ผมระบุสถานที่ไม่ถูก แต่แล้วก็นึกขึ้นมาได้ “อ้อ อยู่ใกล้ๆกับณัฐสตูดิโอครับ”

“อ๋อ....” เจ้าของบ้านนึกออก จากนั้นก็บอกทางอีกครั้งหนึ่ง

หากตั้งหลักจากณัฐสตูดิโอก็ไม่ยากแล้ว เดินเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาไปอีกสักประมาณสองร้อยเมตรก็ถึง

บ้านที่ประกาศขายนี้เป็นบ้านคอนกรีตสองชั้น มีเนื้อที่ประมาณ ๗๐ ตารางวา ตัวบ้านค่อนข้างเก่า ขนาดกะทัดรัดกำลังดี ข้างบ้านมีโรงรถจอดรถต่อกันได้สองคัน หน้าบ้านเป็นถนนทอดเข้าโรงรถและมีลานปูนเอาไว้ตากเสื้อผ้า ส่วนรอบบ้านมีต้นไม้ใหญ่ร่มครึ้ม เป็นบ้านสวนที่สงบร่มรื่นมาก แม้ตามประกาศจะบอกว่าห่าจากปากซอย ๕๐๐ เมตร แต่ผมคะเนเอาว่าอยู่ห่างจากปากซอยสุภาพงษ์เกิน ๕๐๐ เมตรแน่ๆ น่าจะประมาณ ๗๐๐ ถึง ๘๐๐ เมตร

แม้บ้านหลังนี้จะมีต้นไม้ร่มครึ้ม แตกต่างจากบ้านคุณลุงคุณป้าที่อยู่ซอยภาวนาที่มีสวนแบบสวนรับแดด คือมีสนามหญ้าที่ตัดเกรียนและมีไม้พุ่มไม้ดอกเล็กน้อย สามารถรับแดดได้เต็มที่ แต่เมื่อเห็นบ้านหลังนี้ก็ทำให้ผมนึกถึงบ้านคุณลุงคุณป้าที่ผมอาศัยอยู่เมื่อวัยรุ่นเป็นเวลาหลายปีขึ้นมา

ตอนที่ผมอยู่ที่บ้านคุณลุงคุณป้า กล่าวได้ว่าผมไม่ค่อยรู้สึกถึงความเป็น “บ้าน” นัก แต่เมื่อผมเห็นบ้านหลังนี้และคิดถึงบ้านคุณลุงคุณป้า ผมกลับนึกรักบ้านหลังนี้ขึ้นมาทันที... แม้ว่าจะเห็นเพียงแค่ภายนอกเท่านั้นก็ตาม ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน

บ้านหลังนั้นคล้องกุญแจปิดเอาไว้ จากที่คุยมา เจ้าของบ้านหลังนี้เคยอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้มาแต่ดั้งเดิม หลังจากนั้นก็ปลูกบ้านใหม่และย้ายออกไป บ้านหลังนี้ก็ปล่อยให้เช่า ผู้เช่าอยู่ได้สองปีก็ย้ายออกไปอีก ต่อมาเจ้าของขี้เกียจเป็นภาระดูแล จึงประกาศขาย ราคาตามประกาศก็เกือบๆสองล้านบาท และหากต้องการเข้าไปดูภายในต้องนัดกับเจ้าของบ้านเพื่อมาเปิดดู

ผมตัดสินใจเดินหาตู้โทรศัพท์แถวนั้นทันที

“สวัสดีครับ” ผมพูดเมื่อได้ยินเสียงทางด้านโน้นรับสาย ผู้รับสายด้านโน้นก็เป็นเสียงเดิมที่คุยกับผม “ตอนนี้ผมหาบ้านเจอแล้วครับ ทีนี้อยากเข้าไปดูข้างในน่ะครับ”

“เอ้อ หนู เอ๊ย คุณจะซื้อเองเหรอ” เสียงเจ้าของบ้านพูด

ผมเข้าใจได้ทันที เจ้าของบ้านคงได้ยินเสียงผมและประมาณอายุได้ จึงอาจจะไม่แน่ใจนักว่าผมมีวัตถุประสงค์อะไรกันแน่ เพราะวัยนี้คงไม่ใช่วัยที่กำลังหาซื้อบ้าน รวมทั้งคงไม่มีกำลังซื้อด้วย

“คือครอบครัวผมอยู่ต่างจังหวัดน่ะครับ คุณพ่อคุณแม่กำลังหาบ้านในกรุงเทพฯอยู่ ให้ผมเป็นคนดูให้ นี่ผมก็ดูไว้หลายหลัง อยากจะขอเข้าไปดูข้างในก่อนน่ะครับ หากถูกใจคุณพ่อคุณแม่ก็จะเดินทางเข้ามาดูและมาคุยอีกครั้งหนึ่งครับ” ผมโม้ ที่จริงไม่ได้มาดูแทนใครเลย อยากได้เองแท้ๆ

ดูท่าเจ้าของบ้านคงหายข้องใจ และมีท่าทีอยากจะขายเหมือนกัน เพราะบอกว่าให้ผมรอประมาณหนึ่งชั่วโมง จะขับรถไปเปิดให้ดูเดี๋ยวนี้เลย ซึ่งผมก็ตอบตกลง

ผมเดินแกร่วอยู่แถวๆนั้น ไปแอบฟังเสียงเปียโนที่สตูดิโออยู่อีกพักหนึ่ง เวลาหนึ่งชั่วโมงสำหรับการรอคอยก็นานอยู่เหมือนกัน แต่ในที่สุดก็ผ่านไปจนได้...

เจ้าของบ้านชื่อคม เป็นชายในวัยสี่สิบกว่า จากที่คุยโทรศัพท์ดูจะระวังคำพูดอยู่บ้าง แต่เมื่อพบตัวจริงแล้วกลับเป็นคนที่คุยใช้ได้เลยทีเดียว เล่าอะไรให้ผมฟังหลายอย่าง ที่จริงเจ้าของคนนี้เป็นรุ่นลูก อาศัยอยู่ในบ้านนี้ตั้งแต่เด็ก ต่อมาก็แยกครอบครัวออกไป เจ้าของดั้งเดิมคือคุณพ่อได้เสียชีวิตไปแล้ว เนื่องจากเจ้าของบ้านอาวุโสกว่าผม ผมจึงเรียกว่าคุณอาคม

เมื่อเจ้าของบ้านมีอัธยาศัยในการคุย ผมก็เล่าเรื่องของผมให้ฟังบ้างแบบกึ่งจริงกึ่งโม้ คือบางส่วนก็จริงบางส่วนก็โม้ ผมเล่าให้ฟังว่าอยู่ในกรุงเทพฯตั้งแต่เด็ก อาศัยบ้านญาติบ้าง เช่าหอพักบ้าง จนในที่สุดครอบครัวคิดจะย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ จึงเริ่มมองหาบ้าน ที่ต้องบอกว่าครอบครัวจะย้ายลงมากรุงเทพฯเพราะกลัวว่าหากบอกความจริงว่าอาจจะอยู่กับพี่ชายแค่สองคน เจ้าของบ้านอาจไม่เชื่อว่าจะมีปัญญาซื้อ จึงพูดให้มีน้ำหนักเอาไว้ก่อน

เมื่อได้เข้าไปดูในตัวบ้าน เห็นภายในบ้านมีสามห้องนอน แต่ละห้องขนาดไม่ใหญ่นัก มีสองห้องน้ำ แถมยังมีเรือนหลังบ้านด้วยตามความนิยมของคนในยุคก่อนที่ต้องมีเรือนคนรับใช้ต่างหากออกมา ซึ่งเรือนหลังบ้านนี้ใช้เป็นครัวไทยไปด้วย พร้อมทั้งมีลานซักล้างอยู่หลังบ้าน

สภาพภายในบ้านดูค่อนข้างใหม่อันเกิดจากการปรับปรุงและทาสีใหม่เมื่อสองปีก่อนเพื่อให้ผู้เช่าเข้าอยู่ ซึ่งผู้เช่าก็ดูแลบ้านได้เรียบร้อยดีทีเดียวเพราะสภาพบ้านในบ้านยังดูเรียบร้อย ภายในบ้านโล่งๆ ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ คงมีเพียงตู้บิลต์อินบางจุดเท่านั้น

เมื่อเข้ามาดูข้างในผมก็ยิ่งชอบบ้านหลังนี้ แม้บ้านอยู่ในสภาพโล่งแต่ผมก็คิดวางผังเฟอร์นิเจอร์ไว้ในใจคร่าวๆ พร้อมกับคิดว่าถ้าจัดวางเฟอร์นิเจอร์แล้วบ้านหลังนี้ต้องน่าอยู่แน่ๆ

ผมคิดถึงสภาพแวดล้อมในซอยย่อยอันร่มรื่น สวนในบ้านที่ร่มเย็น สภาพภายในบ้านที่น่าอยู่ วันหยุดผมคงสามารถนอนเล่นที่เทอเรสหน้าบ้าน ฟังเสียงต้นไม้ใบหญ้าที่ต้องลม ระหว่างที่เดินไปปากซอยก็เหมือนเดินในชนบท แถมยังมีจุดแวะฟังเพลงเพราะๆอีก ผมคิดว่าที่นี่ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ที่พักอาศัย แต่ที่นี่แหละคือสถานที่ที่เรียกว่า “บ้าน”

- - -

“ฮัลโหล แม่ๆๆ” ผมโทรศัพท์ไปที่บ้านในตอนกลางคืนวันนั้น แม่เป็นคนรับสาย “รับสายช้าจริง”

“อ้าว แม่ก็ต้องเดินมายกหูโทรศัพท์สิ มันก็ต้องใช้เวลาบ้าง จะให้เหาะมาหรือไง” แม่ย้อน

“ไม่ทันใจเลย” ผมบ่น

“มีอะไรหรือเปล่าอู ถึงได้รีบร้อนขนาดนี้” แม่ชักสงสัย

“แล้วนี่เอ๊ดอยู่หรือเปล่าแม่” ผมยังไม่ตอบ แต่ถามต่อ

“ก็อยู่ แต่อีกสองสามวันก็เข้ากรุงเทพฯอีก” แม่ตอบ

เอ๊ดกำลังอยู่ในช่วงเลือกงาน คือไม่ได้เรียกว่าหางาน แต่เรียกว่าเลือกงาน เนื่องจากสมัยนั้นอาชีพวิศวกรค่อนข้างเล่นตัวได้พอสมควร



“อูคุยกับแม่ก่อนก็ได้ แล้วค่อยคุยกับเอ๊ด” ผมพูด “คืองี้แม่ อูไปเจอบ้านหลังหนึ่ง น่าอยู่ถูกใจมาก ป๊ากับแม่หาบ้านในกรุงเทพฯให้เอ๊ดไม่ใช่เหรอ หลังนี้เข้าท่านะ น่าจะลองลงมาดูหน่อย”

ผมพูดอย่างกระตือรือร้น แต่จะบอกว่าอยากได้เองก็ไม่ค่อยมีน้ำหนัก ต้องอ้างเอ๊ดดีกว่า มีโอกาสจูงใจได้มากกว่า

“บ้านเหรอ” แม่ทวนคำ “โอ๊ย ป๊าพูดไปยังงั้นแหละ คงไม่เอาจริงหรอก”

“อ้าว” ผมอุทาน “เห็นพูดมาตั้งหลายปีว่าอยากมีบ้าน เผื่อว่าเอ๊ดทำงานจะได้มีบ้านเป็นหลักแหล่ง”

“มันก็ใช่” แม่พูด แล้วนิ่งไปนิดหนึ่ง พร้อมกับลดเสียงให้เบาลง “แต่ที่สำคัญก็คือ ซื้อบ้านใช้เงินเยอะนะ ที่บ้านเราคงไม่พร้อมหรอก อูก็รู้นี่ เรื่องที่แม่เคยเล่าให้ฟังน่ะ”

คำพูดของแม่ทำให้ผมถึงกับนิ่งไป พร้อมทั้งนึกขึ้นมาได้ บาดแผลจากราชาเงินทุนคงทำให้ฐานะทางบ้านเสียหายไปไม่น้อย พ่อกับแม่เปรยเรื่องบ้านมาหลายครั้งแต่ก็ไม่เคยจริงจังสักที บ่ายเบี่ยงมาตลอด ที่แท้เป็นเพราะเหตุนี้นั่นเอง ผมน่าจะคิดได้แต่แรก