Monday, January 2, 2012

ภาคสี่ ตอนที่ 55

ท้องฟ้าในยามเช้าของเดือนธันวาคมสดใส อากาศเย็นสบาย สายลมอ่อนโชยฉิว อากาศที่ค่อนข้างแห้งทำให้ผมรู้สึกไม่เหนอะหนะ แม้ว่าการจราจรในท้องถนนในกรุงเทพฯจะแออัดคับคั่งอยู่ทุกฤดูกาล แต่วันรถติดในฤดูหนาวก็ยังรู้สึกสบายตัวกว่าในฤดูอื่นๆ

แทนที่ผมจะได้ตื่นสายๆในวันอันแสนสบายเช่นนี้ ผมกลับต้องเดินและขึ้นรถเมล์หลายต่อเพื่อไปสอนพิเศษ แต่ผมก็พยายามท่องเอาไว้ในใจอยู่เสมอว่างานคือเงิน เงินคืองาน เพื่อปลอบใจตนเอง อันที่จริงความลำบากในเรื่องการเดินทางเป็นเพียงส่วนน้อย แต่ส่วนที่ลำบากจริงๆคือการเตรียมการสอน ภาคปลายปีนั้นผมมีโอกาสสบายเพียงแค่ตอนเปิดเทอมเพียงไม่กี่วันเท่านั้น หลังจากนั้นก็มีเรื่องนั้นเรื่องนี้เข้ามาโดยตลอด ภาระประจำของผมนอกเหนือจากการเรียนแล้ว ผมยังต้องเตรียมการสอนคณิตศาสตร์เทอมปลายให้แก่ป้อม ทำงานชมรม นอกจากนี้แล้วยังมีภาระใหม่เพิ่มเข้ามาในเทอมนี้อีกหลายอย่าง

ภาระใหม่อย่างแรกก็คือการอ่านตำราเรียนในวิชาต่างๆที่ผมไปลงทะเบียนเรียนที่รามคำแหงเอาไว้ เพิ่งลงทะเบียนเรียนไปจึงรู้สึกขยันอยู่บ้าง เทอมนั้นเป็นการเรียนที่รามคำแหงในเทอมแรก ผมลงทะเบียนเรียนไป ๗ วิชา รวม ๒๑ หน่วยกิต เลือกลงทะเบียนวิชาที่ผมคิดว่าง่ายและพอมีพื้นฐานมาบ้าง จะได้ไม่ต้องเตรียมตัวมากนัก เช่น วิชาแคลคูลัส ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย อารยธรรม ฯลฯ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษผมลงสองตัว คือ ๑๐๑ กับ ๑๐๒ ไปพร้อมกันเลย จากนั้นก็ไปซื้อตำรา ซื้อชีตกับข้อสอบเก่ามาอ่าน ส่วนภาระใหม่อีกอย่างหนึ่งของผมก็คือการเตรียมการสอนวิชาภาษาอังกฤษ ม.ปลาย ให้แก่ป้อม

เมื่อมาถึงบ้านป้อม หลังจากที่ผมกดออดได้ไม่นาน ประตูเล็กหน้าบ้านก็เปิดออกมาพร้อมกับใบหน้าที่บอกบุญไม่รับของป้อม

“ฮึ มาทำไม” ป้อมถามเสียงงุ้งงิ้ง พอเห็นหน้าผมก็เริ่มใช้อารมณ์คุณหนูทันที

“อ้าว ก็มาสอนป้อมน่ะสิ” ผมตอบ รู้ดีว่าป้อมไม่พอใจผมอยู่เนื่องจากสองสัปดาห์ที่ผ่านมาผมสอนจนถึงเที่ยงแล้วก็รีบกลับ ไม่ได้อยู่ช่วยป้อมทำการบ้านในตอนบ่ายเหมือนที่เคยทำ “ป้อมก็รู้ว่าพี่มาสอนทุกวันเสาร์ เอ๊ะ นี่เราความจำเสื่อมเหรอ”

“ไม่ตลก” ป้อมทำหน้างอ

“งั้นช่วยจี้ให้ จี๋ๆๆ” ผมพูดพลางเอานิ้วจี้เอวป้อมเบาๆ

“ไม่จี้ด้วย” ป้อมยังอารมณ์บ่จอย

“วันนี้คุณชายเป็นอะไรไปน่ะ ทำไมดูอารมณ์ไม่ค่อยดี” ผมรู้ดีแต่แสร้งถาม

“ฮึ” ป้อมไม่ตอบ

ผมทำเป็นไม่สนใจป้อม เดินเข้าไปในบ้าน หลังจากที่เราเข้าไปนั่งที่โต๊ะแล้วผมก็พูดกับป้อมว่า

“ต่อไปตอนบ่ายป้อมต้องพยายามทำการบ้านคณิตศาสตร์เองนะ เพราะว่าพี่คงมีเวลาช่วยป้อมน้อยลง”

“ฮึ จะรีบไปเที่ยวที่ไหนก็ไปเถอะ ไม่ต้องมาสนใจป้อมหรอก” ป้อมยังงอแง หน้างุ้มเหมือนตัวม้าในชุดหมากรุก

ผมหัวเราะ พลางหยิบกระดาษปึกหนึ่งออกมาจากในเป้ วางลงตรงหน้าป้อม พลางพูดต่อ

“เพราะว่าต่อไปตอนบ่ายจะต้องใช้เวลาส่วนหนึ่งทำการบ้านภาษาอังกฤษด้วย ดังนั้นป้อมต้องหาเวลาทำการบ้านคณิตศาสตร์ด้วยตัวเองให้มากขึ้น รู้ไหม”

ชีตที่ผมเอาออกมานั้นเป็นชีตที่ผมเตรียมมาตัวภาษาอังกฤษให้ป้อม เมื่อป้อมเห็นชีตก็งงไปนิดหนึ่ง จากใบหน้าของป้อมเปลี่ยนจากงองุ้มเป็นยิ้มแฉ่งอย่างรวดเร็วราวกับการแสดงเปลี่ยนหน้าของมณฑลเสฉวน

“ที่ช่วงนี้ที่พี่ไม่ได้อยู่ช่วยป้อมทำการบ้านก็เพราะว่าไปหาหนังสือภาษาอังกฤษและเตรียมตัวสอนป้อม” ผมอธิบาย

“แล้วทำไมไม่บอกป้อมล่ะ ปล่อยให้...” ป้อมพูดแล้วหยุดไป ทำหน้าเขิน

“พี่ไม่แน่ใจว่าจะสอนได้หรือเปล่า จึงยังไม่กล้าพูดอะไร ไม่อยากพูดแล้วทำไม่ได้เพราะป้อมคงผิดหวัง ป้อมก็งอนเอา งอนเอา” ผมแว้งป้อมเข้าให้บ้าง แล้วพูดต่อ “ต่อไปเราจะเจียดเวลาเรียนคณิตศาสตร์มาเรียนภาษาอังกฤษกันนิดหน่อย คงมากไม่ได้หรอกเพราะจะกระทบกับการเรียนคณิตศาสตร์ แล้วตอนบ่ายก็มาทำแบบฝึกหัดอะไรกันบ้างนิดๆหน่อย ก็คงได้แค่นี้แหละ ตกลงนะ”

“ครับพี่อู” ป้อมพยักหน้า น้ำเสียงฮึดฮัดหายไปจนสิ้น กลายเป็นน้ำเสียงที่แจ่มใส

“แล้วก็... ยังมีอีกอย่างหนึ่ง” ผมหยุด ลังเลใจที่จะพูดต่อ แต่แล้วก็พูดออกมา “ป้อมอย่าบอกพ่อเรื่องนี้นะ ถ้าพ่อรู้พี่อาจถูกดุได้... หรือถ้าแย่ก็... ก็อาจไม่ได้มาสอนป้อมอีก”

หลังจากที่ป้อมต้องการให้ผมติวภาษาอังกฤษให้แต่ถูกพ่อปฏิเสธ ทีแรกผมก็รู้สึกเบาใจเพราะว่าไม่ต้องมีภาระเพิ่ม แต่เมื่อเห็นป้อมน้อยใจผมก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ จึงลองมาคิดดูว่าจะมีทางออกอะไรบ้าง ตอนนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะหาเรื่องใส่ตัวไปทำไม ไม่ต้องสอนก็สบายดีแล้ว อีกอย่างหนึ่งก็คือไม่แน่ใจว่าหากคุณพ่อของป้อมรู้แล้วจะคิดอย่างไร อาจจะไม่พอใจที่ผมยังดื้อสอนก็ได้ แต่อีกใจหนึ่งก็สงสารป้อม

ผมคิดว่าจะหาอะไรที่เป็นภาษาอังกฤษมาแอบสอนป้อมนิดๆหน่อยๆแทรกเข้าไปในชั่วโมงเรียนคณิตศาสตร์เพื่อให้ป้อมหายน้อยใจ จะแทรกมากก็ไม่ได้เพราะว่าจะทำให้เสียการเรียนคณิตศาสตร์ อีกทั้งไม่ต้องการใช้เวลากับเรื่องนี้มากเกินไปเพราะเป็นแค่ของแถม ตอนนั้นผมเริ่มเอาจริงกับการเรียนที่รามคำแหงแล้วด้วย จึงอยากมีเวลาอ่านตำรารามบ้าง

ผมเลือกที่จะสอนแบบนอกตำรา เพราะหากผมสอนตามแบบเรียนภาษาอังกฤษที่ใช้ในระดับมัธยมปลาย เกิดว่าพ่อของป้อมหานักศึกษามาสอนพิเศษภาษาอังกฤษด้วยก็จะกลายเป็นว่าป้อมต้องเรียนเนื้อหาซ้ำซ้อน ผมจึงคิดว่าสอนป้อมเพื่อให้ใช้สอบเอนทรานซ์และเตรียมตัวเรียนวิศวฯดีกว่า

ในความเห็นของผม ความแตกต่างสำคัญของแนวข้อสอบเอนทรานซ์วิชาภาษาอังกฤษสำหรับสายวิทย์ หรือที่เมื่อก่อนเรียกว่าภาษาอังกฤษ กข กับข้อสอบวิชาภาษาอังกฤษสำหรับสายศิลป์ หรือที่เรียกว่าภาษาอังกฤษ กขค อยู่ที่ส่วนการอ่านบทความแล้วตอบคำถาม ส่วนอื่นก็คล้ายๆกัน บทความที่นำมาออกข้อสอบในวิชาภาษาอังกฤษ กข บางทีก็เป็นบทความทางสายวิทยาศาสตร์ มีศัพท์วิชาการทางด้านวิทยาศาสตร์ที่ไม่ได้มีอยู่ในแบบเรียน หากตอบได้ก็ได้มาอีกหลายคะแนน พวกนี้ต้องสนใจหาอ่านเอาเองจากข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากหนังสือพิมพ์หรือนิตยสาร นอกจากนี้ หากป้อมสอบเข้าคณะวิศวฯได้ อุปสรรคที่ต้องเจอก็คือการอ่านตำราภาษาอังกฤษกับศัพท์วิชาการ ดังนั้นผมจึงคิดว่าทักษะการอ่านเป็นเรื่องสำคัญสำหรับการสอบเข้าและการเรียนต่อสำหรับป้อม ผมจึงคิดว่าน่าจะติวด้านทักษะการอ่านให้แก่ป้อมก็น่าจะเป็นประโยชน์ อีกทั้งไม่ซ้ำกับเนื้อหาในแบบเรียนภาษาอังกฤษด้วย

วิชาภาษาอังกฤษในระดับมหาวิทยาลัยที่ผมเรียนนั้นมีส่วนที่เน้นทักษะการอ่านด้วยเช่นกัน ผมจึงนำเอาบางส่วนจากตำราเรียนในมหาวิทยาลัยมาใช้ พร้อมกับไปหาซื้อหนังสือเพิ่มเติมที่ร้านดีเคตรงสยามสแควร์ เพื่อคัดบทความเหมาะๆมาใช้ในการสอน ตอนนั้นร้านหนังสือดีเคอยู่หลังโรงหนังลิโด้ ทีแรกก็คิดว่าสอนสักสัปดาห์ละครึ่งชั่วโมง ตอนบ่ายก็ทำแบบฝึกหัดอีกนิดหน่อย รวมแล้วก็ไม่น่ามีอะไรมาก เนื้อหาก็เอามาจากตำราเรียนผสมกับแบบฝึกหัดที่หาซื้อมาเพิ่มนิดหน่อย แต่พอถึงเวลาเตรียมการสอนจริงๆแค่ซื้อหนังสือผมก็หมดเงินไปพันกว่าบาทแล้ว เงินพันกว่าบาทของเมื่อก่อนก็ถือว่าไม่น้อย ลงทะเบียนเรียนได้เทอมหนึ่งแล้วยังมีเงินเหลืออีกด้วย

หลังจากที่เรียนคณิตศาสตร์กันจนถึงเวลาสิบเอ็ดโมงครึ่งแล้วผมก็เปลี่ยนมาสอนวิชาภาษาอังกฤษ ภาษาอังกฤษของป้อมไม่ค่อยดีนัก ผมจึงเริ่มด้วยการให้อ่านและทำความเข้าใจกับประโยคสั้นๆที่มีโครงสร้างไม่ซับซ้อนก่อน อ่านแล้วให้ป้อมบอกผมว่าเข้าใจว่าอย่างไร มันไม่เหมือนกับการแปลที่ต้องเรียบเรียงถ้อยคำให้ครบถ้วนด้วย แต่นี่เพียงแค่บอกว่าใจความสำคัญของประโยคนี้คืออะไรก็พอ

“เอ้า... ลองอ่านแล้วบอกพี่ว่าป้อมเข้าใจว่าอย่างไร มีทั้งหมด ๑๐ ประโยค” ผมพูดพลางวางชีตที่เตรียมมาไว้ตรงหน้าป้อม

“อื๋อ ยากจัง” ป้อมพูดเบาๆ

“ไม่ต้องบ่นเลย อยากเรียนไม่ใช่เหรอ ตอนนี้ได้เรียนสมใจแล้ว ห้ามบ่น” ผมทำเสียงดุ

“ก็มันยากนี่นา” ป้อมอ้อนต่อ “ พี่อูลองแปลให้ฟังก่อนเร้ว”

“ไม่เอา สอนให้แล้วก็ต้องลองทำดูด้วยตัวเอง อีกหน่อยตอนสอบเอนทรานซ์พี่ไม่ได้ไปสอบด้วยนะ ป้อมต้องพึ่งตัวเองให้ได้” ผมดุอีก

ป้อมดูชีตแล้วนั่งนิ่ง ผมรู้ว่าป้อมอาย กลัวว่าจะโชว์โง่ออกมา

“เอายังงี้ ลองอ่านดูแล้วบอกพี่มา ผิดถูกไม่เป็นไร ถ้าพยายามอ่านทั้งหมดแล้วพี่มีรางวัลให้” ผมเอารางวัลเข้าล่อ

“รางวัลอะไรพี่อู” ป้อมถาม น้ำเสียงกระตือรือร้นขึ้นมาทันที

“เอ้อ... นั่นสิ รางวัลอะไรดี พี่ยังไม่ทันได้คิดเลย” ผมตอบไปตามตรง

“ยังงั้นป้อมขอคิดรางวัลเองได้ไหม” ป้อมต่อรอง เด็กคนนี้ชักเจ้าเล่ห์ขึ้นทุกวัน

“ไม่ได้” ผมรีบปฏิเสธ “ เกิดป้อมคิดอะไรแผลงๆอย่างเช่นให้พี่ยืนคาบไม้บรรทัดที่ปากซอย แล้วพี่จะทำยังไง”

“ฮึ พี่อูนั่นแหละ คิดอะไรเพี้ยนๆ” ป้อมหัวเราะ “ป้อมขอเป็นเลี้ยงหนังก็แล้วกัน”

“เฮ้ย จะไปดูกันตอนไหน ถ้าเป็นหนังทีวีละก็พอได้” ผมตอบ

“ไม่ต้องมาไก๋ หนังโรงนี่แหละ ไม่ใช่หนังทีวี” ป้อมดักคอผม “ไปดูวันอาทิตย์ก็ได้ ป้อมว่าง”

“ป้อมว่างแต่พี่ไม่ว่างนี่” ผมปฏิเสธอีก “อีกอย่าง ถ้าจะไปดูหนังก็ต้องไปขอคุณพ่อก่อน พ่อถามไปถามมา เดี๋ยวความลับเรื่องสอนภาษาอังกฤษก็แตก ซวยเลยคราวนี้”

ป้อมทำหน้างออีก คราวนี้ดูคล้ายปลาทูในเข่งมากกว่าม้าหมากรุก

“จะต้องไปขอทำไม ป้อมโตแล้ว ไปไหนมาไหนเองได้” ป้อมโต้

“เฮอะ” ผมทำเสียงล้อเลียน “ไปไหนมาไหนเองได้ แล้วตอนไปโรงเรียนนี่ไปยังไงมิทราบ”

“แต่วันหยุดป้อมไปเที่ยวกับเพื่อนป้อมก็นั่งรถเมล์ไปนะจะบอกให้” ป้อมเถียง “ป้อมอยากไปดูหนังอยู่แล้ว ถ้าป้อมไม่ได้ไปกับพี่อูป้อมก็ไปดูกับเพื่อนๆอยู่ดี มันไม่ได้ต่างอะไรกัน”

“เอ้อ...” ผมชักเถียงไม่ออก ที่จริงเรื่องของเรื่องคือผมกลัวพ่อป้อมรู้แล้วเรื่องจะบานปลายมากกว่า มันสังหรณ์ใจอย่างไรก็ไม่รู้ ป้อมก็โตแล้ว วัยรุ่น ม.ปลายส่วนใหญ่ก็ไปไหนมาไหนได้เองกันเป็นส่วนมาก ที่ต้องให้ที่บ้านไปรับไปส่งมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น

ในที่สุดผมก็ยอมตกลง คราวนี้กำลังใจของป้อมไม่รู้ว่ามาจากไหน ป้อมพยายามอ่านและจับใจความสำคัญของแต่ละประโยคและบอกให้ผมฟัง การเรียนในตอนเช้าและการทำแบบฝึกหัดในตอนบ่ายของวันนั้นดูป้อมกระตือรือร้นเป็นพิเศษ ผมใช้เวลาขลุกอยู่กับป้อมทั้งวันจนเย็น ทั้งทำภาษาอังกฤษและคณิตศาสตร์

“วันนี้พอแล้ว เย็นแล้ว” ผมพูด พลางเก็บชีตที่อยู่บนโต๊ะใส่ในเป้ “พรุ่งนี้จะดูหนังเรื่องอะไรล่ะ แถวพระโขนงมีอะไรฉายบ้างก็ไม่รู้”

“ไม่เอา ป้อมจะไปดูที่สยามสแควร์” ป้อมสั่นหัวดิก

ในยุคนั้นย่านพระโขนงมีห้างสรรพสินค้าอยู่หลายห้าง แต่ปัจจุบันห้างเหล่านี้เลิกกิจการไปเกือบหมดแล้ว แต่ละห้างก็มีโรงหนังอยู่ภายใน นอกจากนี้ยังมีโรงหนังนอกห้างอีก เป็นโรงหนังชั้นสองที่ฉายหนังควบ รวมแล้วจึงมีโรงหนังมากมาย ผมอยากดูหนังแถวพระโขนงเพราะว่าไม่ไกลจากบ้านป้อมนัก ไม่อยากพาป้อมออกไปเที่ยวไกลบ้านจนเกินไปเพราะไม่ได้บอกให้พ่อของป้อมรู้

“สยามสแควร์ไกลจะตาย ป้อมจะไปยังไง” ผมพูด ตอนนั้นยังไม่มีรถไฟฟ้า การเดินทางจากซอย ๑๐๑ มาสยามสแควร์ถือว่าไกลพอสมควร

“ของกล้วยๆ ป้อมไปบ่อยๆ” ป้อมเกทับ “โรงหนังแถวนี้ไม่น่าดู ไปดูที่สยามสแควร์ดีกว่า ที่เที่ยวเยอะดี”

“เอา ตามใจ” ผมคิดเล็กน้อยแล้วก็ยอม ไปไหนก็ไปกัน ที่ป้อมพูดก็ถูก วัยรุ่นก็ย่อมอยากไปเดินเล่นที่สยามสแควร์มากกว่าศูนย์การค้าชานเมือง ที่จริงผมเองก็อาจจะระวังตัวมากเกินไปเพราะในยุคนั้นนักเรียนชั้น ม.ปลาย ไม่ว่าอยู่ที่ไหน เวลาเรียนพิเศษในวันหยุดก็เข้ามาที่สยามสแควร์กับราชดำเนินกัน บ้านของป้อมแม้จะอยู่ไกลแต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาเมื่อเทียบกับนักเรียนคนอื่นๆ “งั้นเจอกันที่หน้าโรงหนังลิโด้ สักสิบเอ็ดโมงก็แล้วกัน”

“เย้ ได้ล้มทับพี่อูแล้ว” ป้อมพูดด้วยความดีใจ

- - -

วันต่อมา

เมื่อผมมาถึงหน้าโรงหนังลิโด้ก็พบป้อมยืนรออยู่ก่อนแล้ว ปกติเวลาป้อมอยู่ที่บ้านป้อมจะแต่งตัวง่ายๆ เสื้อยืดเก่าๆกับกางเกงขาสั้น แต่วันนี้ป้อมอยู่ในชุดเสื้อยืดสีสันสดใสและกางเกงยีนขายาว

“โห คุณชายวันนี้แต่งตัวเท่จัง” ผมชม คนงามเพราะแต่งจริงๆ ป้อมในชุดเท่ทำให้ดูน่ารักขึ้นอีกไม่น้อย

“แน่นอนอยู่แร้ว” ป้อมพูดพลางยกมือเสยผม เก๊กท่าหล่อเหมือนดารา ทั้งๆที่ผมสั้นเกรียน

“พี่ไปซื้อตั๋วก่อนนะ รอเดี๋ยว” ผมพูด พลางเดินไปที่ช่องขายตั๋ว เมื่อซื้อตั๋วเสร็จก็เดินกลับมาหาป้อม

“กว่าหนังจะฉายก็เที่ยงกว่า ไปหาอะไรกินกันก่อนดีกว่า” ผมชวน

“ไปสิ กินอะไรดีล่ะ” ป้อมถาม

“เรื่องอาหารไม่ได้อยู่ในข้อตกลงนะ พี่เลี้ยงเฉพาะตั๋วหนัง อย่างอื่นพี่ไม่ได้เลี้ยง” ผมพูด

“โห เหนียวโคตรเลย” ป้อมอุทาน ทำหน้าไม่พอใจ “ป้อมออกเองก็ได้ ฮึ”

“พี่พูดเล่นหรอก อาหารพี่ก็เลี้ยงคร้าบ” ผมหัวเราะ “กินอาหารเสร็จแล้วไปกินไอติมกันต่อ”

เราไปกินก๋วยเตี๋ยวเรือที่ร้านรสดีเด็ดแถวๆหลังโรงหนังสกาล่า ที่ไม่ได้เข้าร้านฟาสต์ฟูดเพราะป้อมบอกว่าอยากกินก๋วยเตี๋ยว ส่วนผมเองก็เบื่อแฮมเบอร์เกอร์เต็มที

เมื่อไปถึง พนักงานส่งรายการอาหารมาให้

“รับอะไรครับน้อง สั่งได้เลย” พนักงานพูด

ป้อมก้มหน้าดูรายการอาหาร ไม่ยอมสั่งเสียทีทั้งๆที่อาหารก็มีเพียงไม่กี่รายการ ผมดูๆแล้วก็สั่ง

“ป้อม สั่งอะไรดี” ผมถามป้อม

ป้อมส่ายหัว

“อ้าว ไหนบอกว่าอยากกินก๋วยเตี๋ยว” ผมงง

ป้อมทำปากหมุบหมิบ อ่านปากได้ความว่า “พี่อูสั่ง” อันหมายความว่าให้ผมเป็นคนสั่งอาหารให้

ผมถึงบางอ้อ นึกได้ว่าเพราะอะไรป้อมจึงไม่สั่งอาหาร ช่วงหลังเราคุ้นเคยกันมากขึ้น ป้อมคุยกับผมเป็นต่อยหอยจนผมลืมไปว่าปมด้อยของป้อมทำให้ป้อมเป็นคนที่พูดน้อยเมื่ออยู่กับคนอื่น ผมจึงสั่งก๋วยเตี๋ยวแทนป้อม

ผมสะท้อนใจ นึกถึงตี๋ ตี๋มีปมด้อยแต่มันสู้ชีวิตอย่างมาก ผมเคยเห็นมันล้ม เคยเห็นมันท้อ แต่ไม่เคยเห็นมันยอมแพ้ ส่วนป้อม... ป้อมบอบบางเกินไป บอบบางเกินกว่าที่จะอยู่ในโลกอันโหดร้ายใบนี้ได้ แค่ก๋วยเตี๋ยวยังต้องให้ผมสั่งให้ แล้วอีกหน่อยจะยืนด้วยตนเองได้อย่างไร

“นี่ ป้อม พี่ถามอะไรหน่อย” ผม รอให้พนักงานจากไปจากนั้นจึงพูดกับป้อม “อยู่ที่โรงเรียนมีเพื่อนเยอะไหม”

“ก็มีครับ” ป้อมตอบอ้อมแอ้ม พอให้เราได้ยินกันเพียงสองคน

“แล้วป้อมไปเที่ยวกับเพื่อนๆบ่อยไหม” ผมถามอีก ปกติผมไม่ค่อยได้คุยเรื่องส่วนตัวกับป้อมนัก การคุยส่วนใหญ่มักเป็นการเย้าแหย่กันหรือคุยกันในเรื่องสัพเพเหระมากกว่า

“ก็มีบ้าง” ป้อมตอบอ้อมแอ้มอีก

“เวลาไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ตอนสั่งอาหารหรือสั่งของป้อมทำยังไง” ผมถามต่อ

“ส่วนใหญ่ก็ไปกับเพื่อนที่สนิท เพื่อนมันก็ช่วยสั่งให้ ป้อมสั่งเองบ้างก็มี” ป้อมตอบ

“ถ้ายังงั้นเรามาตกลงกันก่อนดีกว่า” ผมพูด “เรามาเที่ยวด้วยกันควรจะผลัดกันสั่ง ที่ร้านนี้พี่สั่งอาหารให้ป้อม อีกเดี๋ยวเราไปกินไอศกรีมกัน พี่อยากให้ป้อมสั่งไอศกรีมให้พี่ ตกลงไหม”

ป้อมนิ่งไปนิดหนึ่ง “พี่อูสั่งให้ป้อมก็ดีแล้วนี่”

“ไม่เอา ต้องผลัดกันสั่ง” ผมยืนกราน “ไม่อย่างนั้นอีกหน่อยพี่ไม่มากับป้อมดีกว่า”

“หมายความว่าถ้าผลัดกันสั่งแล้วต่อไปพี่อูจะพาป้อมมาเที่ยวอีกใช่ไหม” ป้อมรีบถามทันที น้ำเสียงกระตือรือร้น

ผมนิ่งไปวูบหนึ่ง คิดว่าหาเรื่องใส่ตัวอีกแล้ว แค่สอนหนังสือป้อมก็เหนื่อยไม่น้อยแล้ว หากต่อไปยังต้องพาป้อมเที่ยวอีกคงตายกันพอดี

ผมมองดูป้อม เมื่อครู่ป้อมทำให้ผมนึกถึงตี๋ แต่ตอนนี้ป้อมทำให้ผมนึกถึงตนเองเมื่อหลายปีก่อน ผมก็เคยเป็นคนที่ล้มแล้วไม่ยอมลุก อยากนอนอยู่กับพื้นอยู่อย่างนั้นเพราะความกลัว... ผมกลัวที่จะต้องลุกขึ้นมาแล้วเผชิญกับอนาคต... แต่สิ่งที่ผมไม่ได้คิดในตอนนั้นก็คือ หากผมไม่ลุกขึ้นมาแล้วอยู่อย่างนั้นไปเรื่อยๆ ในที่สุดผมก็จะถูกเหยียบจนจมหายไป... มันอาจจะเลวร้ายกว่าที่ผมลุกขึ้นมาแล้วเดินต่อไปข้างหน้าก็ได้ โชคดีที่มีหลายๆคนคอยช่วยเหลือผมและให้บทเรียนอันมีค่าแก่ผม ถ้าไม่ได้ความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง ผมอาจลุกขึ้นมาไม่ได้ก็เป็นได้...

“ได้ ถ้าหากป้อมไม่กินแรงพี่ ต่อไปพี่ไปเที่ยวกับป้อมอีกก็ได้” ผมพูดขำๆ

หลังจากที่เรากินก๋วยเตี๋ยวเสร็จ เราก็ไปกินไอศกรีมต่อที่ร้านเอแอนด์ดับบลิว ผมชอบน้ำรูทเบียร์ของที่นั่น ไอ้กี้มักบอกว่าน้ำรูทเบียร์รสชาติเหมือนกับน้ำมันมวย แต่ผมก็ว่ามันอร่อยดี

ป้อมรักษาคำพูด เมื่อไปถึงร้านเอแอนด์ดับบลิว ป้อมถามผมว่าอยากกินอะไร จากนั้นก็เดินไปสั่ง ส่วนผมนั่งรออยู่ที่โต๊ะ ไม่นานป้อมก็ถือถาดใส่ไอศกรีมและรูทเบียร์เดินมานั่ง

“เย้... เก่งมาก” ผมชมป้อม “เห็นไหม ไม่ยากเลย ถ้าป้อมทำได้ครั้งหนึ่ง ต่อไปป้อมก็ทำได้อีกนั่นแหละ”

ป้อมยิ้มกับคำชมของผม แต่ไม่ได้พูดอะไร

“จำเรื่องเพื่อนแขนลีบของพี่คนนั้นได้ไหม” ผมพูดต่อ “เมื่อไรที่ป้อมรู้สึกไม่กล้าพูด ให้นึกถึงเพื่อนของพี่คนนั้นเอาไว้ คงทำให้ป้อมรู้สึกดีขึ้นได้”

ป้อมมองหน้าผม เหมือนกับอยากจะพูดอะไร แต่แล้วก็ไม่พูด ส่วนผมก็ไม่เซ้าซี้ จากนั้นเราสองคนต่างกินไอศกรีมพลางคุยกัน ส่วนใหญ่เป็นเรื่องคุยเล่นกระเซ้าเย้าแหย่กัน ไม่ได้มีเรื่องอะไรที่จริงจังอีก