Saturday, August 30, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 19

นอกจากพงศ์ ซึ่งมักตกเป็นเป้าล้อเลียนของเพื่อนๆจากกิริยาท่าทางที่กระตุ้งกระติ้งของมัน ปริญญ์ก็เป็นอีกคนหนึ่งซึ่งมักถูกเพื่อนๆล้อเลียน

ปริญญ์เป็นเด็กหน้าตี๋ แต่ตี๋แบบไม่ค่อยหล่อ ตัวไม่สูงไม่เตี้ย นั่งอยู่ในช่วงกลางๆห้อง ผมแข็งชี้เด่เหมือนขนเม่น แขนซ้ายของปริญญ์ลีบเล็ก ใช้งานไม่ค่อยได้ ชื่อเล่นของปริญญ์ชื่อว่าตี๋ แต่ไม่ค่อยมีใครเรียก เพื่อนๆส่วนใหญ่เรียกมันว่า ไอ้ลีบ

ปริญญ์เป็นเด็กแข็งๆ คือนิสัยออกจะแข็งบ้างนิดหน่อย กวนๆ แต่ไม่ถึงกับก้าวร้าวหรือว่าเกเร ส่วนใหญ่เพื่อนๆเรียกมันว่าไอ้ลีบ มีเพื่อนไม่กี่คนในห้องที่เรียกมันว่าตี๋ คนหนึ่งในนั้นก็คือผม เพราะผมถูกสอนมาตั้งแต่เด็กว่าไม่ควรเอาความพิการของคนอื่นมาล้อเลียน แต่เด็กก็คือเด็ก บางครั้งผมก็เผลอเรียกมันว่าไอ้ลีบด้วยความคะนองปากบ้างเหมือนกัน

ในช่วงบ่ายวันศุกร์ อาจารย์ประจำชั้นของเราเข้ามาเพื่อดำเนินการเลือกหัวหน้าห้อง ตั้งแต่ต้นสัปดาห์มา อาจารย์ยังไม่ได้เลือกตั้งหัวหน้าห้อง เพราะเห็นว่าพวกเรายังไม่รู้จักกัน จึงปล่อยให้พวกเราทำความคุ้นเคยกันก่อน แล้วจึงมาเลือกกันในวันศุกร์

คนที่ถูกเพื่อนๆเสนอชื่อมี 3 คน คนแรกคือดิษฐ์ ดิษฐ์เป็นคนที่ค่อนข้างป๊อบในหมู่เพื่อนฝูง ทั้งรูปหล่อ หุ่นดี อีกทั้งนิสัยร่างเริง ค่อนข้างสมบูรณ์พร้อมในสายตาของเพื่อนๆ

คนที่สองคือพจน์ แม้ไอ้พจน์จะเป็นคนเงียบๆ คุยน้อย แต่ก็ดูมีมาดแบบเด็กเรียนเก่ง ดังนั้นจึงได้ใจเพื่อนฝูงไปพอสมควร

“เสนอกันแค่นี้เองเหรอ” อาจารย์ประพิมพ์พูด หลังจากที่เพื่อนๆเสนอชื่อกันแค่สองคน “เสนอกันมาอีก ให้มันคึกคัก สมกับเป็นประชาธิปไตยหน่อย”

“ผมขอเสนอพงศ์ครับ” อ้วนจอมซ่าส่งเพื่อนเข้าชิงตำแหน่งหัวหน้าชั้นบ้าง

“ว้าย จะบ้าเหรอ ชั้นไม่เอานะยะ แกอยากเสนอก็เสนอตัวเองดิ” ไอ้พงศ์เผลอร้องออกมา

“นี่ นายพงศ์ พูดจาให้มันดัดจริตน้อยๆหน่อย ครูหมั่นไส้เธอจัง” อาจารย์ประพิมพ์พูดแบบขำๆ เรียกเสียงฮาได้ลั่นห้อง

หลังจากที่ไม่มีใครเสนอชื่อเพิ่มแล้ว อาจารย์ประพิมพ์ก็ให้ทุกคนเขียนชื่อคนที่ตนต้องการเลือกเพียงคนเดียว ลงในกระดาษชิ้นเล็กๆ ผู้ที่ได้คะแนนมากที่สุดจะได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าห้อง ผู้ที่คะแนนรองลงมาจะได้เป็นรองหัวหน้าห้อง

ผลการเลือกตั้ง ดิษฐ์ได้คะแนนนำแบบหลุดลุ่ย ส่วนพงศ์นั้นได้คะแนนมาเพียงสามสี่คะแนนเท่านั้น ดังนั้น เป็นอันว่าดิษฐ์ได้เป็นหัวหน้าห้อง ส่วนพจน์เป็นรองหัวหน้าห้อง

งานชิ้นแรกของหัวหน้าห้อง ที่อาจารย์ประจำชั้นมอบหมายให้ทำก็คือ เป็นคนดำเนินการสั่งซื้อชุดพลศึกษา

ชุดพลศึกษาที่ว่าก็คือเสื้อยืดซึ่งมีตราโรงเรียน และกางเกงขาสั้นผ้าร่ม แบบกางเกงบอล ใช้สำหรับใส่ในวิชาพลศึกษาซึ่งมีเรียนสัปดาห์ละครั้ง ดิษฐ์กับพจน์ต้องเป็นคนรวบรวมจำนวน ขนาดเสื้อและกางเกงของแต่ละคน และเงิน เพื่อสั่งซื้อ และต้องรวบรวมให้เสร็จเรียบร้อยภายในวันศุกร์นั้นเลย

- - -

สัปดาห์แรกในโรงเรียนใหม่ผ่านไปได้ด้วยดี ผมไปกลับพร้อมกับไอ้นัยทุกวัน แต่หลังจากที่ไปหาไอ้ชัชในวันก่อนแล้ว ผมกับไอ้นัยก็ยังไม่ได้ไปหามันอีก เพราะเกรงว่าจะกลับบ้านไม่ทันหกโมงเย็น

ส่วนเวลาพักเที่ยงนั้น ผมกับไอ้นัยจะไปกินข้าวด้วยกันทุกวัน โดยมีโหนกเข้ามาร่วมด้วย แต่ที่จริงเรื่องกินข้าวนั้น กินหรือไม่กินด้วยกันก็ไม่ค่อยแตกต่างอะไรนัก เพราะเวลาที่ใช้อยู่ในโรงอาหารเป็นเพียงช่วงสั้นๆ เนื่องจากความแออัด หลังจากกินอาหารเที่ยงแล้วก็แยกย้ายกันไป หลังอาหารเที่ยง บางวันผมก็ไปนั่งคุยเล่นกับเพื่อนในห้อง บางวันก็ไปนั่งอ่านหนังสือในห้องสมุดกับไอ้นัย ส่วนโหนกนั้นก็มักคอยตามผมอยู่เสมอ

วันหยุดสุดสัปดาห์ ผมใช้เวลาหมดไปกับการช่วยทำงานบ้าน และทำการบ้าน แต่มันก็ยังมีเวลาเหลือ ซึ่งไม่รู้ว่าจะฆ่าเวลาอย่างไรดี แต่ก่อนผมเบื่อการบ้านมาก แต่ตอนนี้ กลับรู้สึกดีกับมัน เพราะอย่างน้อยมันก็ช่วยให้ผมผ่านเวลาไปได้ วันหยุดเป็นช่วงเวลาที่ผมรู้สึกเซ็ง ต่างจากตอนอยู่หอลิบลับ

- - -

ในสัปดาห์ที่สองของการเรียน เราเริ่มมีการเรียนวิชาพลศึกษากัน สัปดาห์ที่แล้วเป็นเพียงการแนะนำ แต่ไม่มีการเรียน เพราะยังไม่มีชุดพลศึกษา

วิชาพลศึกษาของห้องเราเป็นวันอังคาร ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ดิษฐ์ไปรับชุดมา ดังนั้นก็หมายความว่าได้มาแล้วก็ใส่เลย ไม่ต้องซักเสียก่อนแต่อย่างใด

วิชาพลศึกษาเรียนกันในโรงยิม ซึ่งเป็นอาคารไม้ขนาดใหญ่ น่าจะเก่าแก่พอๆกันกับตึกเรียนของผม วันนั้น อาจารย์พลศึกษาเดินมารับพวกถึงที่ห้อง

“วันนี้ครูมาพาพวกเธอไป ต่อไปหัวหน้าชั้นตั้งแถวแล้วเดินกันไปเองนะ” อาจารย์พูด “เอ้า เปลี่ยนชุดได้ จะได้ไปกันเสียที”

“เปลี่ยนยังไงฮะอาจารย์” ไอ้พงศ์จีบปากจีบคอถาม

“ก็ถอดชุดนักเรียนออก แล้วใส่ชุดพละไง” อาจารย์บอก

“ว้าย โป๊แย่” ไอ้พงศ์ปากกว้างโวย เพื่อนๆฮากันครืน

อาจารย์มองไอ้พงศ์ด้วยความหมั่นไส้

“ก็ปิดประตู แล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้า ผู้ชายด้วยกันจะอายทำห่าอะไร” อาจารย์พูด ครูพละก็ยังงี้แหละ พูดจาง่ายๆ แบบธรรมชาติ ไม่ต้องระวังคำพูดนัก

“ก็มันไม่ใช่ผู้ชายนี่ครับอาจารย์” ไอ้อ้วนพูดเสียงดัง เพื่อนๆฮากันอีก ส่วนไอ้พงศ์ทำปากหมุบหมิบ อ่านปากคล้ายกับกำลังพูดว่าเสือก

หลังจากนั้นพวกเราก็ปิดประตูห้องเรียน แต่ละคนถอดชุดนักเรียนออก เหลือแต่กางเกงใน แล้วเปลี่ยนเป็นชุดพลศึกษา ผมลอบชำเลืองสายตาไปยังส่วนกลางลำตัวของเพื่อนๆ ส่วนใหญ่ก็ใส่กางเกงในแอ๊ปเปิ้ลกัน เพราะช่วงนั้นยังนิยมกันอยู่ กางเกงในที่ทอแบบรัดรูป ช่วยขับเน้นให้เห็นท่อนลำของเพื่อนแต่ละคนได้ชัดเจนขึ้น

คนที่ผมสนใจเหลือบมองก็คือดิษฐ์ แต่ไม่กล้าชำเลืองมาก เพราะกลัวเพื่อนๆสังเกตพบ ดิษฐ์มีเรือนร่างที่สมส่วน มีกล้ามพองาม เหมือนพวกเด็กที่เล่นกีฬา และที่สำคัญ เป้ากางเกงในที่ผมแลเห็นนั้นตุงออกมามาก

เพียงแว่บเดียว ผมก็ต้องรีบละสายตาออกมา หนึ่งนั้นกลัวเพื่อนเห็น สองนั้นผมรู้สึกว่าท่อนลำของผมเริ่มขยายตัว ขืนดูต่อไป มันคงโด่ออกมาตุงกางเกงผ้าร่มที่ใส่อยู่เป็นแน่

วิชาพลศึกษาในเทอมนั้น เราเรียนยิมนาสติกกัน เมื่อเราเดินไปเข้าไปในโรงยิม ก็พบว่ามุมหนึ่งของโรงยิมมีเบาะขนาดใหญ่ปูต่อกันอยู่นับสิบชิ้น มุมนี้เป็นที่เรียนยิมนาสติกของพวกเรา รวมทั้งเป็นที่เรียนยูโดของมัธยมปลายด้วย ส่วนมุมอื่นๆในโรงยิมนั้นก็ใช้เป็นสถานที่ฝึกซ้อมกีฬาอย่างอื่น เช่น บาสเก็ตบอล วอลเลย์บอล ฯลฯ

ชั่วโมงแรกในโรงยิม เราเรียนกันเพียงแค่การอบอุ่นร่างกาย หลังจากนั้น เราก็กลับมาเปลี่ยนเป็นชุดนักเรียนที่ห้องอีก ซึ่งผมก็อาศัยเวลาอันน้อยนิด สำรวจเรือนร่างของเพื่อนๆอีกเช่นเคย


<หน้าต่างของอาคารที่ผมเรียนอยู่ บานหน้าต่างเป็นไม้หนา มีขนาดใหญ่ เวลาเปิดหน้าต่างใช้ระบบตะขอสับแบบดั้งเดิม>

Sunday, August 24, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 18

หลังจากที่ผมช่วยไอ้นัยเช็ดน้ำว่าวที่เลอะตามตัว และแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย แม้ในห้องน้ำจะคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาว แต่ผมก็ยังได้กลิ่นหอมอ่อนๆระเหยออกมาจากตัวของไอ้นัย ผมอดนึกแปลกใจไม่ได้ นี่เป็นเวลาเย็นแล้ว กลิ่นสบู่อะไรจะหอมติดตัวได้นานขนาดนั้น ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่าแท้ที่จริงมันคือกลิ่นจากตัวของไอ้นัยมากกว่า ก่อนออกจากห้องน้ำ ผมอดไม่ได้ที่ต้องเอาจมูกไปถูไถตามหลังใบหู แก้ม และต้นคอของไอ้นัยเบาๆ

“ฮิฮิ จั๊กกระจี๋” ไอ้นัยหัวเราะกิ๊กกั๊ก

“แก้มมึงหอมจัง” ผมเอาจมูกไล้วนไปมาบนแก้มของไอ้นัย ค่อยๆเริ่มเรียนรู้ว่ากลิ่นนั้นก็สามารถสร้างความรัญจวนใจได้ “อยากดมทั้งวันจังเลย” ผมกระซิบบอกมันเบาๆ

ไอ้นัยผลักใบหน้าผมออกเบาๆ “เดี๋ยวก็กลับบ้านช้าหรอก”

จริงสินะ พอพูดถึงกลับบ้าน ผมนึกขึ้นได้ว่าผมต้องรีบกลับให้ถึงบ้านก่อนหกโมงเย็น!!!

ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบห้าโมงครึ่งแล้ว เราสองคนรีบทยอยกันออกจากห้องน้ำ จากนั้นผมก็วิ่งอ้าวนำหน้าเพื่อออกจากโรงเรียนไปยังป้ายรถเมล์ ไอ้นัยซึ่งไม่ต้องรีบร้อนที่จะกลับบ้านนักก็ต้องวิ่งไปกับผมด้วย

“ทำไมกูต้องรีบด้วยวะเนี่ย” ไอ้นัยถามขึ้นมาเมื่อมันวิ่งไล่มาจนทันผม

ผมเอามือตบหัวมันเบาๆทั้งที่ยังวิ่งอยู่ “อย่าพูดมาก รีบวิ่งเข้า”

- - -

วันนั้นผมกลับถึงบ้านเวลาประมาณ ๑๗.๕๐ น. ทันแบบเฉียดฉิว แต่ก็ต้องวิ่งจนเหนื่อย

เมื่อเข้ามาในบ้าน พบว่าคุณป้ากำลังเตรียมอยู่ในครัว ผมรีบล้างมือและเข้าไปช่วยงานในครัวทันที ที่จริงงานก็ไม่มีอะไรหรอก เพราะว่ามีเอ๊ดค่อยช่วยอยู่แล้ว แต่พ่อกับแม่กำชับไว้ว่ามาอาศัยบ้านคนอื่นก็อย่าขี้เกียจ ช่วยงานอะไรได้ก็ต้องช่วย ไม่อย่างนั้นจะอยู่ไม่ได้ ซึ่งเรื่องอยู่ไม่ได้นี่เองที่ผมกลัวที่สุด ดังนั้นถึงแม้จะขี้เกียจแต่ก็ต้องทำเป็นขยันเข้าไว้

งานครัวที่ผมมีส่วนได้ช่วยก็คือการยกจานอาหารออกมาตั้งที่โต๊ะอาหาร

บรรยากาศการกินอาหารในวันเปิดภาคเรียนวันแรกนั้นค่อนข้างอบอุ่น คุณลุงคุณป้าซักถามเกี่ยวกับเรื่องการเรียนในวันแรกของผมอย่างสนใจ ทำให้ผมเริ่มรู้สึกคุ้นเคยและเป็นกันเองกับเจ้าบ้านผู้อาวุโสคู่นี้มากขึ้นอีกเล็กน้อย และผมก็มีหวังว่าต่อไปอะไรๆคงจะดีขึ้นเรื่อยๆ

- - -

วันรุ่งขึ้น เมื่อผมไปถึงท่ารถหน้าปากซอยในตอนเช้า ผมก็พบว่าไอ้นัยยืนรออยู่แล้วเหมือนเมื่อวาน ... จากนั้นเราก็เดินทางไปโรงเรียนด้วยกัน

การเรียนในวันที่สองของเราต่างไปจากวันแรกมาก เพราะวันนี้เริ่มต้นการเรียนการสอนอย่างจริงจัง อาจารย์ทุกคนสอนด้วยความตั้งอกตั้งใจ ในขณะที่นักเรียนแต่ละคนก็เริ่มสนทนาผูกมิตรกันมากยิ่งขึ้นกว่าเมื่อวาน โดยเฉพาะเมื่อหมดคาบและอาจารย์ออกจากห้องไปแล้ว ห้องเรียนอันเงียบสงบก็จะแปรสภาพไปเป็นตลาดทันที

หลังจากที่มีการสลับตำแหน่งกันไปเมื่อวาน วันนี้ที่นั่งของแต่ละคนลงตัวหมดแล้ว ผมเริ่มสังเกตเพื่อนร่วมชั้นมากขึ้น มีเพื่อนๆที่ผมอยากกล่าวถึงในตอนนี้อยู่หลายคน คือ...

เมื่อหันหน้าเข้าหากระดานดำ คนที่นั่งหลังสุดแถวซ้ายชื่อดิษฐ์ คนนี้รูปร่างสูงใหญ่แบบนักกีฬา ผิวสีน้ำผึ้งแบบไอ้นัย หล่อแบบไทยๆ

เล็ก นั่งอยู่หน้าดิษฐ์ ตัวสูง หน้าตาแปลกๆ น่ารักปนตลก

สิน นั่งอยู่หน้าเล็ก รูปร่างสันทัด ตัวหนาๆ ผิวคล้ำ หุ่นคล้ายๆไอ้ชิดสมัย ป.๖ โรงเรียนเก่า

พงศ์ ตัวสูงอยู่เหมือนกัน ลักษณะพิเศษคือปากกว้าง

มาทางด้านแถวขวาสุดบ้าง คนที่นั่งหลังสุดเป็นนักเรียนร่างใหญ่ ผิวขาวแบบลูกคนจีน ชื่อจิ

ถัดมาตรงกลางๆแถว ชื่อพจน์ คนนี้ท่าทางสุขุม พูดน้อย ใส่แว่นกรอบทอง หน้าตาน่ารักดี

ชาติ นั่งหน้าพจน์ คนนี้ผอมๆ สูงปานกลาง ผิวขาวเหลือง บุคลิกเงียบๆเหมือนกัน

นก นั่งอยู่หน้าสุดด้านขวา ตัวเล็กมาก หน้าตายังเด็กอยู่เลย เหมือนเด็ก ป.๖ มากกว่า เสียงก็ยังแหลมๆเหมือนเสียงเด็ก ถ้าดูตามใบหน้า นกน่าจะเป็นน้องเล็กสุดในห้อง

ส่วนที่อยู่แถวกลางๆห้อง มีบางคนที่น่ากล่าวถึงก็คือ

ใหญ่ หน้าตาตี๋ขนานแท้ ใส่แว่น ผิวขาว ตัวผอม นั่งอยู่ห่างจากผมไม่มากนัก รูปร่างเตี้ยกว่าผมนิดหน่อย

ถัดขึ้นไปอีกหน่อยเป็นอ้วน ชื่อก็บอกอยู่แล้ว ไม่ต้องบรรยายสรรพคุณกันมาก ตัวอ้วนกลม คล้ายๆโดราเอมอน หน้าตาตี๋ขนานแท้เช่นกัน คนนี้ชอบแซวเพื่อน และชอบส่งเสียงดังโวยวาย

- - -

การเรียนตลอดสัปดาห์นั้นเป็นไปอย่างราบรื่น นักเรียนแต่ละคนต่างก็เริ่มมีความสนิทสนมคุ้นเคยกัน สังเกตได้จากตอนเปิดเรียนวันแรก สรรพนามที่ใช้กันก็มักเป็นคุณ-ผม หรือเรากับนาย แต่พอมาถึงตอนปลายสัปดาห์ นักเรียนในห้องส่วนใหญ่ก็เปลี่ยนสรรพนามไปเป็นกูมึงกันหมด

เมื่อสนิทสนมคุ้นเคยกัน แต่ละคนก็ค่อยๆเริ่มเผยนิสัยที่แท้จริงของตนออกมา บางคนขี้บ่น บางคนโวยวาย บางคนเงียบขรึม บางคนร่าเริงชอบแกล้งเพื่อน บางคนก็ท่าทางออกเกเรหน่อยๆ

พงศ์ก็ค่อยๆเผยนิสัยที่แท้จริงออกมา จากเดิมที่เคร่งขรึม กลายเป็นกระตุ้งกระติ้ง พูดจาจีบปากจีบคอ สรรพนามที่พงศ์ใช้กับเพื่อนๆคือชั้น-เธอ

“โอ๊ย รำคาญอีตุ๊ดปากกว้างนี่เหลือเกิน” เสียงใครคนหนึ่งเอะอะขึ้นในช่วงเปลี่ยนคาบ เพราะรู้สึกรำคาญความดัดจริตของไอ้พงศ์เต็มที เพื่อนๆฮากันครืน ส่วนพงศ์นั่งหน้างุ้มเมื่อโดนด่า ซึ่งต่อมา พงศ์ก็ได้รับฉายาใหม่ว่าอีตุ๊ดปากกว้าง หรือ อีพงษ์ปากกว้าง

คำว่าตุ๊ดนี้เป็นศัพท์ใหม่ในสมัยนั้น แต่ก่อนตอนอยู่โรงเรียนเก่า ผมยังไม่รู้จักคำนี้เลย มีแต่คำว่ากะเทย เริ่มได้ยินคำว่าตุ๊ดก็จากเพื่อนที่นี่นั่นเอง แต่ถึงแม้จะเพิ่งเคยได้ยิน แต่ผมก็พอเดาออกว่ามันหมายถึงอะไร

คำว่าตุ๊ดนี้ผมมารู้ทีหลัง ว่ามีที่มามาจากภาพยนตร์ฝรั่งที่ฉายในเมืองไทยตอนผมอยู่ราวๆ ป.๔ หรือ ป.๕ ชื่อเรื่องว่า ทู้ตซี่ (Toosie) นำแสดงโดยดัสติน ฮอฟแมน เป็นเรื่องของชายหนุ่มที่ทะเลาะกับแฟนสาวจนถึงขั้นแยกทางกัน ทั้งคู่มีอาชีพนักแสดง ต่อมาฝ่ายชายอยากคืนดี แต่ฝ่ายหญิงไม่ยอมคืนดีด้วย ฝ่ายชายจึงปลอมตัวเป็นหญิงแล้วหาทางเข้าไปชิดใกล้ฝ่ายหญิง โดยที่แฟนสาวไม่รู้ตัวเลยว่าเพื่อนสาวคนสนิทของเธอคือแฟนหนุ่มนั่นเอง

หลังจากเรื่องนี้เข้าฉายเมืองไทยแล้วนำมาฉายซ้ำทางทีวี ศัพท์คำว่าตุ๊ดก็เริ่มใช้กันและเป็นที่นิยมใช้เรื่อยมาจนทุกวันนี้


<ประตูห้องเรียน เป็นประตูไม้ขนาดใหญ่ ไม่ใช้ลูกบิดประตูเพราะเป็นบานประตูรุ่นเก่า การล็อคห้องทำได้โดยการคล้องแม่กุญแจ>

Saturday, August 16, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 17

เมื่อกลับมาถึงห้องน้ำประถมต้น ผมเห็นประตูห้องส้วมห้องหนึ่งเปิดแง้มอยู่เพียงเล็กน้อย ในขณะที่ประตูห้องอื่นเปิดอ้าอยู่ ผมเดินเข้าไปในห้องนั้นทันที พร้อมทั้งปิดประตูและใส่กลอน

ภายในห้องน้ำ ผมเห็นไอ้นัยยืนตีหน้าตายอยู่ เป้ากางเกงที่รัดรูปของมันโป่งพองออกมาเป็นลำเห็นได้ชัดเจน แม้มันจะตีหน้าตาย แต่เป้ากางเกงของมันก็บ่งบอกให้ผมรู้ว่า มันก็รอเวลานี้อยู่เหมือนกัน

ผมวางกระเป๋านักเรียนลงบนขอบอ่างน้ำ แล้วเอื้อมมือไปเคล้นคลึงตรงเป้าที่เห็นรอยนูนเป็นลำนั้นทันที

ไอ้นัยหลับตาพริ้ม ปล่อยให้ผมเคล้นคลึงแต่โดยดี ท่อนลำภายใต้กางเกงนักเรียนนั้นแข็งมาก ผมคลึงอยู่ได้พักเดียว เป้ากางเกงของไอ้นัยก็ปรากฏน้ำซึมออกมาเป็นดวง

“อะไรวะ แค่นี้น้ำแตกแล้ว” ผมกระซิบข้างหูมันเบาๆ

“ยังโว้ย” ไอ้นัยกระซิบตอบ พร้อมทั้งเอื้อมมือมาบดขยี้เป้ากางเกงของผมบ้าง

แม้ไอ้นัยจะอยู่นอกบ้านมาทั้งวัน แต่กลิ่นตัวที่ผสมกลิ่นสบู่หอมอ่อน ๆ ที่ผมชอบก็ยังไม่จางหายไปจากตัวของมัน กลิ่นนั้นทำให้ผมกระตุ้นอารมณ์ของผมให้พลุ่งพล่าน ผมอดไม่ได้ ต้องเอาจมูกถูไปมาตามแก้มและใบหูของไอ้นัย ขณะที่มือของเราทั้งสองคนต่างก็เปะปะอยู่บนเป้ากางเกงของกันและกัน

ไอ้นัยเอื้อมมือมาปลดเข็มขัดของผม ผมอดแปลกใจไม่ได้ เพราะปกติเวลาผมกับไอ้นัยมีอะไรกัน ผมจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่ครั้งมันกลับเป็นฝ่ายที่เริ่มก่อน วันนี้ไอ้นัยดูมีอารมณ์มากมายอย่างน่าประหลาด

ผมปล่อยให้ไอ้นัยปลดเข็มขัด ปลดตะขอ และรูปซิปกางเกงของผม จากนั้นผมก็ทำให้มันบ้าง เพียงครู่เดียว เราสองคนก็อยู่ในสภาพเปลือยท่อนล่าง กางเกงนักเรียนของเราถูกถอดออกมาพาดไว้บนผนังห้องน้ำ

เราสองคนประกบท้องน้อยเข้าด้วยกัน ดอของเราทั้งสองบดขยี้และถูไถกันไปมา เพียงครู่เดียว ท้องน้อยของเราก็เปรอะไปด้วยน้ำหล่อลื่นของทั้งสองคน

ผมจับดอของไอ้นัยกำเอาไว้ ไม่ได้เจอกันสองเดือนกว่า ผมรู้สึกว่ามันใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า พร้อมกันนั้นพงหญ้าของมันก็ดูหนาแน่นขึ้น

ดอของไอ้นัยแข็งเต็มที่ เผยให้เห็นหัวเห็ดที่บานโผล่พ้นหนังหุ้มปลายมาได้ครึ่งหัว ผมจับดอของมันถอกไปข้างหลังจนสุดลำ และแล้ว หัวเห็ดที่แดงก่ำพร้อมทั้งเงี่ยงที่เบ่งพองก็ปรากฏออกมาอย่างเต็มตา

ผมรู้สึกว่าดอของไอ้นัยกระตุกอย่างสู้มือ จากนั้น รูเปิดที่หัวก็ปรากฏน้ำใสขึ้น จากนั้นค่อยๆหยดยืดลงสู่พื้นห้องน้ำ

ภาพที่เห็นทำให้ผมอดทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว ผมชักว่าวให้ไอ้นัยอย่างมันมือ ไอ้นัยก็ไม่ยอมเสียเปรียบ ชักว่าวให้ผมบ้าง มือของไอ้นัยกำแน่น ถอกท่อนเนื้อของผมจนสุดด้าม จากนั้นก็รูดเข้ามา มันทำแบบนี้เพียงไม่กี่ครั้ง ผมก็รู้สึกว่าน้ำกำลังจะแตกแล้ว

“จะแตกแล้วว่ะ” ผมกระซิบบอกมัน

ผมปล่อยมือจากดอของไอ้นัย มันอ้อมตัวมาทางข้างหลังผม โอบผมเอาไว้ เอาหน้าท้องแนบก้นของผม และเสียบท่อนเนื้อของมันเข้ามาในร่องก้นของผม ผมสามารถรู้สึกได้ถึงความแข็งและความร้อนระอุของมัน

ไอ้นัยจับดอของผมชักเข้าออกอย่างแรง พร้อมทั้งจังหวะการชัก ท่อนเนื้อของมันก็เสียดสีอยู่ที่ร่องก้นของผม เพียงไม่กี่ที น้ำว่าวของผมก็แตกระเบิดออกมาอย่างรุนแรง มันพุ่งใส่ผนังห้องน้ำสี่ห้าระลอก น้ำว่าวสีขาวข้นกระจายบนผนังห้องน้ำเต็มไปหมด บางส่วนก็ย้อยลงมาเลอะมือไอ้นัย

“น้ำเยอะนี่หว่า” ไอ้นัยพูดยิ้มๆ ผมเองก็รู้สึกเหมือนกัน ว่ามันออกมาเยอะกว่าตอนที่ชักว่าวเองมาก

โดยไม่รอช้า ผมขยับตัวอ้อมมาด้านหลังไอ้นัยบ้าง พร้อมทั้งทำอย่างเดียวกับที่มันทำให้ผม

“มันเลอะนะ” ไอ้นัยท้วงผมด้วยเสียงกระซิบ เมื่อรู้ว่าผมจะเอาท่อนเนื้อที่เลอะด้วยน้ำว่าวไปเสียบในร่องก้นของมัน

“เดี๋ยวก็เช็ดได้น่า” ผมตอบมัน พร้อมทั้งเสียบดอของผมเข้าไป

ผมชักว่าวให้ไอ้นัย ขณะเดียวกันก็กระเด้าร่องก้นของมันไปด้วย เพียงครู่เดียว ผมก็รู้สึกว่าร่องก้นของไอ้นัยเกิดอาการเกร็งตัว แล้วมันก็ถอนหายใจออกมาดังเฮือก

น้ำว่าวของไอ้นัยระเบิดออกมาหลายระลอกพ่นใส่ผนังเช่นกัน กลิ่นคาวน้ำว่าวของเราทั้งสองคนอบอวลไปทั้งห้องน้ำ

หลังจากน้ำแตก ท่อนเนื้อของไอ้นัยยังแข็งต่อ ผมชะลอมือลง จากการชักอย่างรุนแรง กลายเป็นการชักอย่างเบาๆ ขณะเดียวกัน น้ำว่าวของผมที่เลอะร่องก้นของไอ้นัย ทำให้ผมไม่รู้สึกฝืด

อารมณ์ของผมคุโชนขึ้นมาอีกครั้ง ผมเริ่มกระเด้าร่องก้นของไอ้นัยแรงขึ้น ... แรงขึ้น มือขวาที่เพิ่งชะลอก็เริ่มชักแรงท่อนเนื้อของไอ้นัยแรงขึ้นเช่นกัน

กระเด้าได้ไม่นาน ผมก็รู้สึกเสียววูบที่ท้องน้อย และแล้ว น้ำว่าวของผมก็แตกระเบิดออกมาอีกครั้ง…

ผมรู้สึกว่าในขณะที่ผมกระเด้าร่องก้นของไอ้นัยอยู่ ดอของมันเกร็งตัวขึ้นสู้มือเป็นระยะ สงสัยว่าไอ้นัยคงรู้สึกเสียวไปด้วย พอน้ำของผมแตกไปแล้ว ผมก็เร่งการชักให้เร็วยิ่งขึ้น และอีกเพียงครู่เดียว ผมรู้สึกตัวของไอ้นัยเกร็งขึ้นมาอีกครั้ง

จากนั้น น้ำว่าวของมันก็แตกออกมา แม้จะเป็นการน้ำแตกครั้งที่สอง แต่น้ำว่าวของไอ้นัยก็ยังออกมาเป็นปริมาณไม่น้อยเลย มันเลอะมือผมเต็มไปหมด

ผมถอนดอออกมาจากร่องก้นของไอ้นัย น้ำว่าวของผมเลอะร่องก้นและย้อยไปตามขาอ่อนของมัน โชคดีที่ถอดกางเกงนักเรียนออกก่อน ไม่อย่างนั้นกางเกงของไอ้นัยคงเลอะแน่


<ผมชักว่าวให้ไอ้นัย ขณะเดียวกันก็กระเด้าร่องก้นของมันไปด้วย เพียงครู่เดียว ผมก็รู้สึกว่าร่องก้นของไอ้นัยเกิดอาการเกร็งตัว แล้วมันก็ถอนหายใจออกมาดังเฮือก>

Sunday, August 10, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 16

โรงอาหารที่นี่คึกคักและจ้อกแจ้กจอแจกว่าที่โรงเรียนเก่ามาก บรรยากาศความพลุกพล่านทำให้เราไม่สามารถนั่งแช่กินอาหาร และคุยกันไปได้เหมือนอย่างที่แต่ก่อนเคยทำมา ดังนั้นเพียงครู่เดียวเราก็กินอาหารเสร็จ

“ไปไหนดีหว่า” นัยถามเปรยๆ

ในที่สุดเราก็ได้คำตอบ นั่นคือ เราเดินสำรวจให้ทั่วโรงเรียน จะได้ทำความรู้จักกับสถานที่ใหม่ให้ดียิ่งขึ้น

“แหม ติดกันเป็นปาท่องโก๋เลยนะ” เสียงหนึ่งลอยมาจากด้านหลังขณะที่เรากำลังเดินสำรวจรอบๆโรงเรียน ผมหันไปดู โหนกนั่นเอง

“จะไปไหนไม่เห็นชวนกันมั่งเลย” โหนกเดินมาจนทันกันกับผมและไอ้นัย แล้วต่อว่าเล็กน้อย

“อ้าว ก็ไม่เห็นนี่ โรงอาหารแน่นจะตาย หานายไม่เจอ เลยไม่รู้จะชวนได้ไง” ผมตอบ “นี่กำลังจะเดินดูให้ทั่วๆโรงเรียน”

“ทีนัยยังไม่เห็นหลงกับอูเลย” โหนกพูด

เออ จริงสินะ ที่พูดก็ถูก ก็ผมตามเดินไอ้นัยติดๆนี่ แต่ไม่ได้เดินตามไอ้โหนก ก็เลยไม่หลงกับไอ้นัย แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป

หลังจากนั้นเราสามคนก็เดินสำรวจโรงเรียนด้วยกัน เดินไปคุยไป จนใกล้ได้เวลาเข้าเรียนในภาคบ่าย จึงได้แยกกับไอ้นัย

การเรียนในภาคบ่ายก็ไม่มีอะไรมาก เป็นเพียงแค่อาจารย์คนอื่นๆเข้ามาแนะนำและพูดคุยด้วย ที่นี่อาจารย์แค่ละคนรับผิดชอบสอนกันคนละวิชา ดังนั้นวันหนึ่งเรียน ๗ คาบก็มีอาจารย์ ๗ คนเข้ามาสอน ต่างจากโรงเรียนเก่าซึ่งครูประจำชั้นคนเดียวเหมาสอนเกือบทุกวิชา ยกเว้นเพียงบางวิชาเท่านั้น ที่นี่คาบเรียนหนึ่งใช้เวลา ๕๐ นาที แล้วมีช่วงที่เปลี่ยนวิชาซึ่งต้องรออาจารย์คนอื่นเข้ามาสอน ช่วงเปลี่ยนวิชานี้จะกินเวลาประมาณ ๑๐ นาที

ช่วงเปลี่ยนวิชานี้เป็นช่วงที่สนุก เพราะเป็นช่วงที่ไม่มีอาจารย์อยู่ในห้อง พวกเราจึงคุยกันได้อย่างเต็มที่ นักเรียนในห้องเริ่มทำความคุ้นเคยกันก็จากช่วงเปลี่ยนวิชานี่เอง

เราเลิกเรียนเวลาบ่ายสามโมงครึ่ง เมื่อเสียงออดบอกเวลาสิ้นสุดคาบเรียนสุดท้าย นักเรียนทุกคนก็กรูกันออกมาจากห้อง

ที่หน้าห้อง ผมพบไอ้นัยยืนทำหน้าตายรออยู่แล้ว

“ทำไมเลิกเร็วนักวะ” ผมถามมัน

“ครู เอ๊ย อาจารย์ปล่อยก่อนนิดเวลานึง” ไอ้นัยตอบ มันยังไม่ค่อยคุ้นกับการเรียกอาจารย์ว่าอาจารย์

“ทำอะไรดีหว่า” ผมเริ่มรู้สึกเคว้ง เพราะเคยแต่เป็นนักเรียนประจำ พอโรงเรียนเลิกก็เดินกลับเข้าหอพักของโรงเรียน ไม่เคยใช้ชีวิตแบบนักเรียนไปกลับมาก่อน

“ก็กลับบ้านดิ ถามได้” ไอ้นัยตอบ

นึกถึงบ้านขึ้นมา ผมรู้สึกว่าไม่ค่อยอยากกลับไปเร็วนัก เพราะว่ากลับไปก็ไม่มีอะไรจะทำ อีกอย่าง ผมยังไม่คุ้นกับ “บ้าน” ใหม่ของผมนัก ครั้นจะนั่งทำการบ้านต่อที่โรงเรียน ก็ไม่มีการบ้านให้ทำเสียอีก ผมอยากหาอะไรทำฆ่าเวลาสักหน่อย แล้วกลับถึงบ้านทันกินข้าวเย็นก็พอ

“ไปเยี่ยมไอ้ชัชกันดีกว่า” ผมเสนอ “เวลามีถมเถ แวะไปหามันหน่อย กลับบ้านไม่ช้ามากหรอก”

แน่นอน ไอ้นัยย่อมไม่ขัดข้องอะไร เพราะไอ้นัยไม่เคยขัดใจใครอยู่แล้ว

“คุยอะไรกันอยู่เนี่ย” เสียงโหนกแทรกเข้ามา พร้อมกับเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วย

“จะไปโรงเรียนเก่าอ่ะ” ไอ้นัยตอบ พร้อมเอ่ยปากชวน “ไปด้วยกันไหม”

“ไม่ล่ะ” โหนกตอบ “เดี๋ยวต้องรอรถมารับ”

พอรู้ว่าที่บ้านจะมารับ เราก็ไม่ได้คะยั้นคะยออีก เป็นอันว่าผมกับไอ้นัยก็นั่งรถกลับด้วยกันเพียงสองคน

กว่าจะเดินไปถึงใต้สะพานพุทธ กว่าจะนั่งรอให้รถออก ก็ใช้เวลาไปโข คิวรถสาย ๘ ที่จอดเรียงรายอยู่ที่ท่ารถ สามคันแรกล้วนแต่มีคนขึ้นไปนั่งจนที่นั่งเต็มหมดแล้ว เราจึงต้องขึ้นไปนั่งในคันที่สี่ ซึ่งกว่าจะถึงคิวออกจากท่าก็ต้องใช้เวลาพอสมควร

ช่วงนั้นเป็นเวลาประมาณเกือบๆบ่ายสี่โมง การจราจรช่วงนั้นยังไม่แน่นมาก เพราะยังไม่ถึงเวลาเลิกงาน ดังนั้นใช้เวลาเพียงเกือบหนึ่งชั่วโมง เราก็มาถึงโรงเรียนเก่าของเรา

ผมกับไอ้นัยเดินผ่านประตูใหญ่เข้าไปด้วยความรู้สึกที่แตกต่าง เมื่อไม่นานมานี้เอง ที่ผมรู้สึกว่าที่นี่เป็นโรงเรียนของเรา แต่ตอนนี้กลับไม่ใช่แล้ว กางเกงนักเรียนสีดำของเราสองคน ท่ามกลางกางเกงนักเรียนสีน้ำเงิน ยิ่งขับเน้นให้เห็นถึงความแตกต่าง ไม่น่าเชื่อว่าจากโรงเรียนเก่ามาเพียงไม่กี่วัน ทำให้ผมรู้สึกถึงความแตกต่างได้มากขนาดนี้

ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบห้าโมงเย็นแล้ว มีนักเรียนเหลืออยู่ในโรงเรียนไม่มากนัก เรารีบตรงดิ่งไปยังหอนักเรียนประจำทันที

ผมทักทายกับยามหน้าประตูหออย่างคุ้นเคย พร้อมกับบอกว่าอยากขอเข้าไปเยี่ยมเพื่อนหน่อย ซึ่งยามก็ยอมปล่อยให้ผมผ่านเข้าไปโดยดี ทั้งๆที่จริงผิดระเบียบ แต่คงเห็นว่าผมเป็นเด็กเก่าของหอนี้ จึงยอมผ่อนผันให้

เมื่อไอ้นัยกับผมเดินเข้าไปในเขตหอพัก สายตาของนักเรียนประจำก็จับจ้องมาที่เราสองคน เพราะชุดนักเรียนที่แตกต่างออกไปทำให้เป็นจุดสังเกต ผมพยายามมองหาไอ้ชัช

“ไอ้อู ไอ้นัย” เสียงอันคุ้นเคยเรียกอยู่ข้างหลังผม ไอ้ชัชนั่นเอง

ไอ้ชัชเพิ่งจะเดินเข้าหอมา มันปราดเข้ามาเอามือกุมมือผมกับไอ้นัยไว้

“เย็นแล้วเพิ่งจะกลับเข้าหอ มึงหนีไปไหนมาวะ” ผมทักมัน

“กูรีบมา ลืมเอากล้วยมาฝากมึงนะ โทษที” ไอ้นัยทักบ้าง ว่าแล้วก็หัวเราะฮุฮุ

เราทักทายกันด้วยความดีใจ แล้วหลังจากนั้น เพื่อนในหอที่เห็นผม ก็ทยอยกันเดินออกมาทักทาย

ผมสังเกตว่าปิดเทอมปีนี้ ไอ้ชัชไม่ได้โตขึ้นมากนัก ส่วนสูงก็ไม่ค่อยเพิ่ม ผมเลยดูสูงกว่ามันมากขึ้นไปอีก แต่ที่น่าสังเกตคือมันเริ่มมีสิวบนใบหน้าบ้างแล้ว ส่วนเพื่อนคนอื่นๆก็ดูสูงขึ้น

“โรงเรียนใหม่เป็นไงบ้าง” ชัชถาม

ผมกับไอ้นัยต่างก็รีบเล่าถึงความแตกต่างจากที่นี่ เท่าที่ได้ประสบมาในหนึ่งวัน

“ได้เพื่อนใหม่เต็มห้องเลยนะพวกมึง กูก็ได้เพื่อนใหม่ตั้งครึ่งห้อง” ไอ้ชัชเล่าให้ฟังบ้าง ตอน ป.๖ นักเรียนที่นี่ออกไปเรียนต่อที่อื่นกันค่อนข้างมาก ทางโรงเรียนก็เลยรับนักเรียนใหม่เข้ามาเพิ่มในชั้น ม.๑

“ก็ไม่ใหม่ทั้งหมดว่ะ มึงรู้จักไอ้โหนกห้อง ๙ มั้ย มันเรียนห้องเดียวกับกู เจอมันวันนี้ก็เพิ่งจะรู้” ผมบอกมัน

ไอ้ชัชก็ไม่รู้จักโหนก ผมพยายามอธิบายรูปร่างหน้าตา มันก็ยังนึกไม่ออก

คุยกันได้เดี๋ยวเดียว ผมก็บอกมันว่าต้องกลับบ้านแล้ว สีหน้าของไอ้ชัชสลดลงในทันใด เมื่อเห็นใบหน้าของมัน ผมก็นึกถึงความผูกพันและความสนิทสนมของเราตลอดเวลาที่ผ่านมา อารมณ์ของผมก็เศร้าหมองลงด้วยเช่นกัน

“ต้องกลับไปให้ทันกินข้าวเย็นว่ะ คุณป้าสั่งเอาไว้” ผมบอกมัน “เอาไว้จะมาเยี่ยมมึงอีก” ผมพยายามปลอบใจมัน

“คราวหน้าจะไม่ลืมเอากล้วยมากฝาก” ไอ้นัยพยายามผ่อนคลายบรรยากาศ เสียงไอ้นัยยังไม่ทันขาดคำ มือของไอ้ชัชก็ตบหัวไอ้นัยเบาๆ

“นี่แน่ะ กล้วย” ไอ้ชัชบอก พร้อมทั้งหัวเราะ “เพี้ยง ขอให้มึงเยี่ยวรดที่นอนจริงๆสักทีเถอะวะ กูจะหัวเราะให้ฟันหักเลย”

ตอนแรกนึกว่ามีเวลาถมเถ แต่พอเอาเข้าจริงๆ เรามีเวลาคุยกับไอ้ชัชและเพื่อนคนอื่นๆเพียงไม่นานนัก หลังจากร่ำลากัน เราก็รีบออกมาจากหอพักเพื่อกลับบ้าน

ขณะที่เดินอยู่ในโรงเรียน สายตาของผมเหลือบไปเห็นตึกประถมต้น และห้องน้ำประถมต้นในระยะไกล เท้าไวเท่าความคิด ผมเดินเลี้ยวไปทางห้องน้ำประถมต้นทันที

“ประตูไม่ได้อยู่ทางนั้น” ไอ้นัยพูด

“กูรู้แล้ว” ผมตอบมัน “จะไปเยี่ยว”

“ห้องน้ำแถวนี้ก็มีนี่” ไอ้นัยท้วงอีก “มึงจะไปเยี่ยวที่ห้องน้ำไหนเหรอ”

ผมไม่ตอบ แต่บุ้ยใบ้ไปทางห้องน้ำประถม

“ไหนว่าจะรีบกลับบ้านไง” ไอ้นัยถาม พร้อมทั้งยิ้ม

“กูเยี่ยวแป๊บเดียว กลับไม่ช้าหรอก” ผมตอบ “มึงจะซักไปถึงไหนวะไอ้นัย”

ไอ้นัยหัวเราะฮุฮุแบบยียวนอีก จนผมอดขำไม่ได้ ไอ้นัยมันก็แกล้งผมเป็นเหมือนกันนะเนี่ย

“มึงไปหาทิชชู่มาก่อน เดี๋ยวเลอะเทอะหมด” ไอ้นัยเตือนผม

จริงสินะ ผมลืมไป

“งั้นมึงเข้าไปรอก่อน” ผมบอกมัน แล้วตัวเองก็วิ่งตื๋อไปที่โรงอาหาร เพื่อซื้อกระดาษชำระมา โชคดีที่แผงขายของจุกจิกยังไม่ปิด ดังนั้นผมจึงได้ของที่ต้องการมา


<โต๊ะและเก้าอี้เรียนรุ่นเก่า คงเก่าแก่พอๆกับตึกเรียน ใช้ไม้เนื้อแข็ง ทั้งหนาและหนัก>

Saturday, August 2, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 15

“นายชื่ออะไรน่ะ” วิชัยถาม

“ชื่ออู ชื่อเล่นนายล่ะ” ผมถาม เพราะยังไม่รู้ชื่อเล่นเลย รู้แต่ชื่อวิชัย

“ชื่อเล่นมีแต่เป็นชื่อจีนน่ะ เพื่อนๆเรียกกันแต่วิชัย” วิชัยตอบ เหตุผลออกจะแปลกๆอยู่ ที่โรงเรียนเก่าของผม เพื่อนทุกคนมีชื่อเล่นให้เรียกกันทั้งนั้น บางคนเพื่อนๆก็ไม่เรียกชื่อเล่นจริงๆ แต่กลับไปเอาชื่อพ่อชื่อแม่มาเรียกแทนก็มี แต่เราไม่เคยเรียกเพื่อนคนไหนด้วยชื่อจริงกัน อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเอาชื่อจริงมาตัดให้สั้นลงเหลือพยางค์เดียว แล้วใช้เรียกกัน แต่นี่จะให้เรียกชื่อจริงทั้งดุ้น

เอาก็เอา วิชัยก็วิชัย และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เพื่อนๆทุกคนก็เรียกมันว่าวิชัยเต็มยศมาตลอด

“แล้วนายล่ะ ชื่อเล่นว่าอะไรล่ะ” ผมหันไปถามวีกิจ เพื่อนคนที่นั่งด้านซ้ายของผมบ้าง

“ชื่อเล่นไม่ค่อยเพราะน่ะ เอาไว้เรียกเฉพาะที่บ้าน เรียกเราวีกิจก็ได้” วีกิจบอก

ไม่น่าได้ที่นั่งตรงนี้เลยเรา ผมคิดในใจ เพราะเริ่มรู้สึกว่าเพื่อนทั้งสองคนที่นั่งด้านซ้ายและขวาของผมนั้นไม่ค่อยปกตินัก คนอะไรวะ ไม่มีชื่อเล่นให้เรียก ให้เรียกชื่อจริงเต็มๆ เหตุผลฟังไม่ขึ้นเอาเลย

เป็นอันว่าผมและเพื่อนๆก็เรียกวีกิจว่าวีกิจมาตลอดเช่นกัน และในห้องก็มีเพียงสองคนนี้เท่านั้นที่เพื่อนๆเรียกมันด้วยชื่อเต็ม ผมโชคดีขนาดไหนที่ได้มานั่งระหว่างไอ้สองคนนี้ แถมไอ้วีกิจนี่ยังอ่อนหวาน สงสัยจะเป็นกะเทยอีกด้วย

หลังจากที่พวกเราจัดที่นั่งกันเสร็จเรียบร้อย อาจารย์ประพิมพ์ก็เริ่มแนะนำตัวแก่พวกเรา จากนั้นก็ให้พวกเราแนะนำตัวกันทีละคน ส่วนใหญ่ก็ให้เล่าความเป็นมาคร่าวๆ ว่าชื่ออะไร บ้านอยู่ที่ไหน ฝันอยากทำอาชีพอะไร อะไรทำนองนี้ แต่ไม่ต้องบอกว่าที่บ้านทำอะไร หรือว่าจบชั้นประถมมาจากที่ไหน เหตุผลที่ไม่ต้องแนะนำเรื่องที่บ้านหรือว่าจบมาจากที่ไหน ผมมาคิดสันนิษฐานเอาเองทีหลัง อาจเป็นเพราะว่าอาจารย์ไม่ต้องการให้เกิดความรู้สึกเหลื่อมล้ำกันด้านฐานะก็เป็นได้ เพราะนักเรียนที่นี่มาจากกลุ่มสังคมที่มีฐานะทางครอบครัวแตกต่างกันค่อนข้างมาก

ผมตั้งใจฟังการแนะนำตัวของเพื่อนๆ เพราะอยากจะรู้ว่าแต่ละคนเป็นคน ผมพบว่าเพื่อร่วมห้องของผมมีความหลากหลายค่อนข้างมาก บางคนขาวตี๋ ตาตี่เหลือเพียงเส้นเดียว บางคนตัวดำ บางคนผอมบาง ตัวนิดเดียว บางคนตัวหนาล่ำบึก และที่สำคัญ มีคนหน้าตาดีๆ น่ารักอยู่หลายคน

ผมเริ่มสังเกตพบความเปลี่ยนแปลงของตนเอง นั่นคือ แต่ก่อนนั้นผมไม่เคยสนใจว่าเพื่อนคนไหนหน้าตาดีหรือไม่ เพื่อนก็คือเพื่อน แต่ตอนนี้ผมกลับเริ่มตั้งข้อสังเกตว่าเพื่อนคนไหนหน้าตาดีบ้าง

เพื่อนคนที่มาจากโรงเรียนเดียวกับผมนั้นชื่อโหนก มันตัวเล็กหน่อย เลยได้นั่งอยู่เกือบๆข้างหน้าชั้น ไอ้คนนี้หน้าตาก็ยังงั้นๆ แต่มีลักษณะเด่นคือหัวโหนก คือไม่ใช่หัวทุย แต่ว่าโหนกออกมาเลย ชื่อโหนกของมันก็คงมาจากจุดเด่นที่หัวของมันนั่นเอง

หลังจากแนะนำตัวกันจนหมด อาจารย์ประพิมพ์ก็แนะนำเกี่ยวกับเรื่องการเรียนของที่นี่ เรื่องระเบียบวินัย แล้วก็จดตารางสอน กว่าจะเสร็จเรื่องทั้งหลายก็พักเที่ยงพอดี

“เฮิ้ว...พักเสียที” วีกิจหาวเสียงดังพอให้ผมได้ยิน “ง่วงจะแย่อยู่แล้ว” มันพูดด้วยน้ำเสียงยานคาง

“เมื่อคืนไม่ได้นอนเหรอ” ผมถามไปยังงั้นเอง ที่จริงไม่ได้คิดว่ามันอดนอนหรอก นึกว่ามันคงขี้เกียจมากกว่า

“ตื่นเช้าน่ะ บ้านเราอยู่ไกล แต่ก่อนบ้านอยู่ใกล้โรงเรียน เดินไปก็ถึงแล้ว เลยไม่ค่อนได้ตื่นแต่เช้า” วีกิจอธิบายเสียงอ่อนเสียงหวาน “วันนี้ออกจากบ้านตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ชักรถเลย” พูดจบก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี

ภาษาอะไรของมันอีกแล้ววะเนี่ย พระอาทิตย์ชักรถนี่จำได้เลาๆว่าอยู่ในวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ เคยเรียนตอนประถม แต่ไม่นึกว่าจะมีใครเอามาใช้ในชีวิตประจำวัน

มาถึงตอนนี้ ผมนึกได้แล้วว่าไอ้วีกิจนี่มันไม่ได้มีบุคลิกเหมือนกะเทยหรอกครับ แต่ว่ามันเหมือนพระเอกลิเกมากกว่า เวลาพูดจาก็กระเดียดไปทางบทเจรจาแบบลิเก สงสัยที่บ้านมันคงเป็นคณะลิเกแน่เลย ไม่อย่างนั้นจะติดบุคลิกแบบลิเกมาตั้งแต่ ม.๑ ได้ยังไง

“โอ พระเชษฐาทรงตื่นเช้านัก” วิชัยชะโงกหัวมาคุยกับวีกิจบ้าง

วีกิจเมื่อได้ฟังคำถามก็ยิ้มแป้น “แล้วพระอนุชาล่ะ บ้านอยู่ไกลไหม” มันถามกลับ

จากนั้นทั้งสองก็คุยกันด้วยภาษาลิเก เรียกเสียงฮาจากเพื่อนๆรอบข้างอย่างสนุกสนาน

สรุปแล้ว ในที่สุดผมก็รู้ความจริงว่า ไอ้วิชัยนั้นหน้ามันเหมือนไร้อารมณ์แบบนั้นเอง แต่นิสัยที่แท้จริงแล้วเป็นคนที่มีอารมณ์ขันและมีมุขเยอะมาก ปกติจะพูดน้อย แต่พูดแต่ละทีมักทำให้เพื่อนๆได้ฮา แล้วไอ้วิชัยนี่มันก็เป็นคู่กัดที่คอยแหย่ กัด รับส่งมุขกับวีกิจอยู่ตลอดปีจนพวกเราจบ ม.๑

หลังจากที่ไอ้สองคนนี่ปล่อยมุขแหย่กัน ตอนนั้นผมรู้สึกแปลกๆ เพราะนึกว่านั่งเรียนอยู่กับเด็กเพี้ยนๆสองคน อีกอย่าง ผมเริ่มค่อยๆเรียนรู้แล้วว่าสังคมที่นี่แตกต่างจากโรงเรียนเก่าค่อนข้างมาก ผมคงต้องปรับตัวอีกเยอะ

ช่างมันเถอะ ไปหาไอ้นัยดีกว่า ผมนึกในใจ เมื่ออาจารย์ประพิมพ์เลิกชั้นเพื่อให้นักเรียนพักเที่ยง ผมก็เดินไปยังห้องเรียนของไอ้นัยทันที

“อู โรงอาหารไปทางโน้น” เสียงแหลมเล็กเสียงหนึ่งเรียกผมจากข้างหลัง

ผมหันไปมองหาเจ้าของเสียง ... โหนกนั่นเอง

“เปล่า ยังไม่ได้ไปโรงอาหาร จะไปหาเพื่อน” ผมตอบ “เรามีเพื่อนมาจากโรงเรียนเก่าอีกคนหนึ่ง นายเห็นคงนึกออก มันเรียนอยู่ห้องเจ็ด”

“ไปกินข้าวด้วยกันดีกว่า” โหนกชวน

“ไปดิ แต่เดี๋ยวไปตามพื่อนก่อน แล้วไปกินข้าวด้วยกัน” พูดตอบ

ว่าแล้วผมก็เดินขึ้นตึกไปเพื่อไปยังห้องของไอ้นัย

เมื่อผมเดินไปถึงหน้าห้องเจ็ด อาจารย์ประจำชั้นเพิ่งจะปล่อยพักพอดี นักเรียนเดินกรูกันออกจากห้องเพื่อจะไปยังโรงอาหาร ผมกับโหนกยืนรออยู่หน้าห้องสักครู่ก็เห็นไอ้นัยเดินออกมา

เมื่อไอ้นัยเห็นหน้าโหนก มันก็ทำหน้างงๆ คล้ายกับว่าโหนกมาอยู่นี่ได้ไง

“นี่โหนก อยู่ห้อง ป.๖/๙ ไง” ผมแนะนำ

ไอ้นัยยิ้มแล้วทักทายโหนก “หวัดดีเพื่อน จำหน้าได้แหละ แต่ไม่รู้จักชื่อ”

ดูท่าทางโหนกไม่ค่อยสนใจไอ้นัยเท่าไร เมื่อทักทายกันแล้วก็พยายามเร่งรัดผมให้ไปกินอาหาร

“ไปกินข้าวกัน ดีเหมือนกัน ศิษย์เก่าได้มาเรียนที่เดียวกันอีก” ผมพูด

จากนั้นเราสามคนก็เดินไปยังโรงอาหาร ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตึกเรียนของเราเท่าไร

โรงอาหารในยามเที่ยงแออัดไปด้วยนักเรียนทุกชั้นปี มันแน่นมากจนแทบหาที่นั่งไม่ได้ ผมกับไอ้นัยซื้อของกินที่แผงอาหารเดียวกัน แล้วก็เดินลัดเลาะไปตามโต๊ะเพื่อหาที่ว่างที่พอจะนั่งได้สองคน ส่วนโหนกนั้นหายไปไหนก็ไม่รู้ เพราะผมไม่ได้สังเกต


<ตึกเรียนของผมเป็นอาคารเก่าแก่ทรงโรมัน ปีกหนึ่งใช้เป็นหอประชุม อีกปีกหนึ่งใช้เป็นห้องเรียน ส่วนตึกที่เห็นทอดขวางด้านหลังเป็นตึกที่ไอ้นัยเรียน>