Sunday, May 6, 2012

ภาคสี่ ตอนที่ 59

หลังจากที่ผมกลับมาจากบ้านในคราวนั้น เอ๊ดก็วุ่นวายกับการสัมภาษณ์งาน เอ๊ดเดินทางไปมาระหว่างบ้านกับกรุงเทพฯบ่อยมาก เอ๊ดเดินทางแบบไปเช้าเย็นกลับ เมื่อทำธุระเสร็จแล้วก็กลับบ้านไป ไม่ได้มาพักค้างคืนที่หอพักกับผม ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมเอ๊ดไม่พักกับผมบ้าง อาจเป็นเพราะห้องของผมรกรุงรังจนเอ๊ดอยู่ไม่ไหวก็เป็นได้เนื่องจากเอ๊ดเป็นคนที่นิสัยมีระเบียบเรียบร้อยและรักความสะอาด ส่วนผมนั้นก็รักความสะอาดแต่ว่าไม่ค่อยมีเวลาดูแลจัดห้องเท่าไรนัก

ปิดภาคฤดูร้อนในปีนั้นเป็นปีที่ผมไม่ได้อยู่สบายอีกเช่นเคย สองปีที่ผ่านมาก็วุ่นกับการเตรียมสอบเอนทรานซ์ มาปีนี้แม้ไม่คิดสอบเอนทรานซ์แล้วแต่ก็ต้องวุ่นวายกับการเตรียมสอบที่รามคำแหงและการเตรียมการสอนป้อม

ปกติการเรียนที่รามนั้นหากเป็นวิชาบรรยายนักศึกษาจะเข้าฟังบรรยายในชั้นเรียนหรือไม่ก็ได้ หากเป็นคนที่ทำงานและไม่สะดวกมาไม่เข้าฟังบรรยายก็มีสื่อการเรียนการสอนอื่นให้เลือก เช่น เทปคำบรรยาย ตำรา ตลอดไปจนถึงการสมัครติวกับติวเตอร์ที่เปิดสอนรายวิชาต่างๆที่หน้ามหาวิทยาลัย สำหรับผมนั้นไม่มีโอกาสไปเรียนอยู่แล้ว จึงเลือกใช้วิธีซื้อตำรามาอ่านเอาเอง รวมทั้งซื้อชีทข้อสอบเก่ามาลองทำ ยังไม่ถึงขั้นที่ไปสมัครติว

หลังจากที่ผมใช้เวลาในช่วงปิดเทอมเตรียมตัวสอบราม ในที่สุดก็ถึงวันที่ผมต้องไปสอบวิชาแรกของการเรียนที่รามคำแหง

ผมออกจากหอพักแต่เช้า นั่งรถเข้าไปทางบางกะปิ ช่วงเช้าในยามปิดภาคเรียน ถนนหนทางโล่งพอสมควร ต่างจากทุกวันนี้ที่ยามปิดเทอมหรือเปิดเทอมรถก็ติดพอๆกัน ระหว่างที่นั่งรถผมก็พยายามทบทวนเนื้อหาวิชาที่จะสอบไปด้วยเพื่อไม่ให้เสียเวลา แต่เมื่อผ่านซอยลาดพร้าว ๑๐๑ ผมก็อดคิดฟุ้งซ่านไม่ได้ หลายปีมานี้นานๆผมจึงจะผ่านซอย ๑๐๑ สักครั้ง เมื่อผ่านทีไรก็อดคิดถึงเรื่องในอดีตไม่ได้... ไม่รู้ว่าป่านนี้ไอ้นัยเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง...

แม้ถนนจะโล่งผมก็ใช้เวลาเดินทางนานพอดูเนื่องจากมหาวิทยาลัยอยู่ไกล เมื่อถึงรามคำแหง ผมลงจากรถและเข้าไปในมหาวิทยาลัย เช้าวันนี้ผู้คนพลุกพล่าน นักศึกษาจำนวนมากเดินกันขวักไขว่ ส่วนใหญ่มักเดินกันเป็นกลุ่ม แต่ผมเดินคนเดียวเพราะไม่รู้จักใครเลยสักคน ตึกไหนชื่อว่าอะไรก็ไม่รู้ ขณะที่ผมเดินอยู่ท่ามกลางนักศึกษาจำนวนมากและท่ามกลางตึกรามอันใหญ่โต จู่ๆผมก็รู้สึกเหงาวูบขึ้นมา... รู้สึกว่าตนเองแปลกแยก ไม่ใช่เผ่าพวกของคนเหล่านี้... ผมรู้สึกราวกับว่าผมเป็นสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์อื่นก็ไม่ปาน

ความรู้สึกเหงาเกาะกุมจิตใจของผมโดยไม่มีเหตุผล ชีวิตที่ผ่านมาของผมแม้จะมีเพื่อนไม่มากนักแต่ก็เรียกได้ว่าไม่เคยขาดเพื่อน กลับบ้านต่างจังหวัดก็มีเพื่อน อยู่ที่หอพักก็มีเพื่อน ตอนไปเรียนก็มีเพื่อน แต่ที่นี่แตกต่างออกไป... ที่นี่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับอยู่ตัวคนเดียวในโลก ทำให้ผมเริ่มเข้าใจความรู้สึกของชีวิตที่ไม่มีเพื่อนว่าเป็นอย่างไร...

ผมพยายามสลัดอารมณ์เดียวดายออกไป นี่เป็นเวลาสอบ ไม่ใช่เวลาเหงา ผมเดินถามหาห้องสอบไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็หาห้องสอบเจอจนได้ ห้องสอบของผมกว้างใหญ่ราวกับสนามกีฬาในร่ม ห้องหนึ่งสามารถจุผู้เข้าสอบได้หลายร้อยคนทีเดียว ต่างจากห้องเรียนห้องสอบเล็กๆในแผนกของผมที่คณะเทคโนลิบลับ

ข้อสอบวิชาปีหนึ่งเป็นข้อสอบปรนัยทั้งหมด กระดาษคำตอบมีอยู่เพียงแผ่นเดียว ผมใช้ดินสอดำฝนรหัสนักศึกษาก่อน จากนั้นจึงเริ่มทำข้อสอบโดยอ่านข้อสอบจากกระดาษคำถาม จากนั้นฝนตัวเลือกที่ต้องการในกระดาษคำตอบ กระดาษคำตอบจะถูกตรวจและประมวลผลด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์เนื่องจากนักศึกษาที่เข้าสอบในแต่ละภาคมีจำนวนมากจนไม่สามารถตรวจด้วยมือได้ทัน ซึ่งมหาวิทยาลัยรามคำแหงกับมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชใช้ระบบตรวจข้อสอบด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์มานานหลายปีแล้ว ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่แต่อย่างใด ส่วนการสอบเอนทรานซ์เพิ่งจะใช้เครื่องตรวจในยุคนั้นนั่นเอง

ข้อสอบวิชาแรกของการเรียนที่รามคำแหงไม่ยากนัก ผมสามารถทำเสร็จก่อนเวลา หลังจากที่ส่งกระดาษคำตอบและคืนข้อสอบแล้วผมก็เดินลงจากตึก จากนั้นก็รีบกลับ ตารางสอบของผมที่รามคำแหงนั้นไม่ได้สอบติดกันทุกวัน ส่วนใหญ่สอบแล้วเว้นวันหรือสองวันจึงสอบวิชาถัดไป แต่ก็มีบ้างที่สอบวันเดียวกันสองวิชา คือสอบทั้งเช้าและบ่าย วิชาที่ต้องสอบทั้งหมดมี ๗-๘ วิชา ผมมีเวลาดูอย่างจริงจังก็ในช่วงเดือนมีนาคมนี้เอง บางวิชาที่ผมพอมีพื้นฐานอยู่บ้างแล้ว เช่น คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ก็เตรียมสอบง่าย แต่บางวิชาที่ผมไม่มีพื้นฐานเลย อย่างเช่น กฎหมายเบื้องต้น บัญชีเบื้องต้น ฯลฯ พวกนี้กินเวลามากอยู่เหมือนกัน บางวิชาที่คิดว่าไม่ไหวจริงๆผมก็ทิ้งไปเลย คือทั้งไม่อ่านและไม่ไปสอบ จะได้ไม่เสียเวลา เอาเวลาไปทำคะแนนในวิชาอื่นๆดีกว่า

ตอนที่เรียนมัธยม ผมดูหนังสือได้ค่อนข้างอึดทีเดียว บางวันมีเวลานอนเพียงสองสามชั่วโมงก็ยังไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยผมรู้สึกว่าไม่สามารถดูหนังสือหามรุ่งหามค่ำได้เหมือนเมื่อครั้งเรียนมัธยมอีก เมื่ออ่านหนังสือติดกันหลายชั่วโมงผมมักง่วงจนต้องฟุบหลับกับโต๊ะ แม้แต่ในชั้นเรียนบางทีก็นั่งหลับจนเรียนไม่รู้เรื่องก็มี ยิ่งช่วงที่ใกล้สอบที่รามคำแหงผมง่วงบ่อยจนรำคาญตัวเอง เพราะมันทำให้ผมดูหนังสือไม่ทัน บางทีสอนหนังสือป้อมอยู่ผมก็ง่วงจนเกือบหลับก็มี

ช่วงนั้นเองที่ผมเริ่มหัดดื่มพวกเครื่องดื่มชูกำลังเพราะต้องการกาเฟอีนมากระตุ้นประสาท ทนง่วงไม่ไหวแต่ก็ยังไม่ถึงกับต้องใช้ยาม้า (สมัยนั้นยังเรียกว่ายาม้าอยู่ ยังไม่ได้เปลี่ยนชื่เป็นยาบ้า)

เอาไอ้นี่ละวะ ผมคิดในใจในขณะที่หยิบเครื่องดื่มกระทิงแดงออกมาจากตู้แช่ในร้านขายของชำ ตอนนั้นมียี่ห้อดังที่รู้จักกันดีก็เพียงกระทิงแดงกับลิโพ แต่ดูกระทิงแดงจะดังกว่า เพราะโฆษณาหนักมาก แต่จุดขายเน้นไปทางผสมเหล้ากินมากกว่าจุดขายที่กินแล้วหายง่วงเสียอีก ผมเลือกซื้อกระทิงแดง ราคาดูเหมือนจะขวดละ ๘ บาทหรือ ๑๐ บาท ไม่ค่อยแน่ใจนัก

เครื่องดื่มกระทิงแดงขวดแรกในชีวิตทำเอาผมแทบแย่ เพราะทำให้ผมตาค้างตั้งแต่หัวค่ำยันสว่าง แถมยังรู้สึกใจเต้นแรงอีกด้วย แม้ว่าจะดูหนังสือจนเพลีย อ่านอะไรก็ไม่รู้เรื่องแล้ว แต่ก็หลับไม่ลง ต้องนอนลืมตาโพลงจนสว่าง

แม้ว่ากระทิงแดงขวดแรกจะทำเอาผมแทบแย่ แต่แทนที่ผมจะเข็ด ตรงกันข้าม ในที่สุดผมก็ซื้อขวดที่สองมาดื่มอีก หลังจากนั้นก็เป็นขวดที่สาม สี่ และ ห้า แต่หลังจากนั้นผมก็เลิกดื่มเพราะว่าเสียดายเงิน ขวดละหลายบาท หันมาดื่มกาแฟแทน โดยซื้อกาแฟผงแบบอินสแตนต์ที่วางขายเป็นขวดมาชงดื่มแทน คิดดูแล้วประหยัดกว่า และหายง่วงได้เหมือนกัน ทีแรกที่ไม่ดื่มกาแฟเพราะเคยชิมแล้วขม ไม่ค่อยชอบ นักศึกษาในยุคนั้นก็ไม่ค่อยนิยมดื่มกาแฟนกัน ไม่มีร้านหรือแผงขายกาแฟมากมายดังเช่นทุกวันนี้ แต่เมื่อต้องการประหยัดก็ทนขมเอาหน่อย ผมจึงเริ่มดื่มกาแฟตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การเริ่มดื่มกาแฟของผมนั้นจึงไม่ได้ดื่มเพื่อความอร่อย และไม่ได้คิดว่ามันอร่อยแต่อย่างใด เพียงแต่ดื่มเพื่อให้หายง่วงเท่านั้น

- - -

“เฮ้ย อะไรวะ” ผมร้องเอะอะและรู้สึกจั๊กจี้ในรูจมูกคล้ายกับว่ามีอะไรมาแยงในรูจมูกของผมอยู่

เมื่อผมลืมตาขึ้นก็เห็นป้อมกำลังถือขนไก่เส้นหนึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าผม

“โอ๊ย พี่อู สอนป้อมอยู่ดีๆหลับเฉยเลย” ป้อมหัวเราะ “ป้อมเรียกหลายทีแล้วไม่ตื่นเลยเอาขนไก่แยงจมูกพี่อู ได้ผลแฮะ”

“นี่พี่หลับไปเหรอ” ผมพูดอย่างไม่เชื่อ

“ก็ใช่น่ะสิ”ป้อมยืนยัน แล้วมองผม ทำสีหน้าแบบจริงจัง “เมื่อคืนไปเที่ยวที่ไหนมา บอกป้อมมาเดี๋ยวนี้นะ”

“ก็ไปเที่ยวกับแฟนน่ะสิ ถามได้” ผมเห็นสีหน้าที่จริงจังของป้อมแล้วอดขำไม่ได้ เนื่องจากกำลังง่วงจึงตอบมั่วๆไป

สีหน้าของป้อมเปลี่ยนไปในทันที

“พี่อู... มีแฟนแล้วเหรอ ทำไมไม่เคยบอกป้อมเลย” ป้อมถาม

“ก็...” ผมพยายามคิดกุเรื่อง แต่ยังง่วงอยู่จึงคิดไม่ทัน “ก็ป้อมไม่ได้ถามนี่”

“แล้วแฟนพี่อูเป็นใคร สวยมั้ย” ป้อมถามอีก

เอ้อ แฟนเรานี่สวยไหมหว่า ผมไม่ทันได้นึกถึงมาก่อน

“ก็ระดับดาวคณะนั่นแหละ” ผมดำน้ำต่อไป ไหนๆก็ไหนๆ โม้ให้มันถึงที่สุดไปเลย

“มิน่าล่ะ ที่ผ่านมาพี่อูถึงได้รีบกลับนัก ที่แท้จะไปเที่ยวกับแฟนนี่เอง” ป้อมพูด

ผมเห็นป้อมเปลี่ยนสีหน้าและท่าทีเป็นจ๋อยสนิท ผมคิดว่าป้อมคงรู้สึกน้อยใจที่ผมให้เวลาแก่ป้อมน้อยเกินไปในช่วงที่ผ่านมา จึงพูดความจริงแก่ป้อม

“เฮ้ย พี่หลอกคุณชายเล่น เมื่อคืนพี่อดนอนก็เพราะเตรียมการสอนคุณชายนี่แหละ” ผมอธิบาย ช่วงหลังป้อมกับผมสนิทสนมกันมากขึ้น ภาษาที่ใช้จึงเปลี่ยนไปบ้างจากตอนต้นที่เริ่มรู้จักกัน “เพิ่งสอบที่รามเสร็จ เตรียมสอนไม่ทัน เลยเพิ่งมาเตรียมเอาเมื่อคืน”

“ฮึ ไม่เชื่อ” ป้อมยังหน้าเสียอยู่ “คำตอบแรกมักจะเป็นเรื่องจริงเสมอ”

แน่ะ ยังไม่เชื่ออีก เอาทฤษฎีอะไรมาอ้างก็ไม่รู้

“จริงๆ พี่ไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหน ก็พี่ยังไม่มีแฟนแล้วจะพาแฟนเที่ยวได้ยังไง” ผมอธิบายอีก

สีหน้าของป้อมดูสดชื่นขึ้นทันที

“คราวนี้พูดจริงนะ” ป้อมคาดคั้น “พี่อูยังไม่มีแฟนจริงๆเหรอ”

“ก็มัวแต่สอนคุณชาย เตรียมการสอนหามรุ่งหามค่ำนี่แหละ ไปเอาเวลาที่ไหนไปหาแฟน” ผมตอบ

“นี่แน่ะ” ป้อมเตะหน้าแข้งผม “แล้วมาหลอกป้อม”

“โอ๊ย เจ็บนะป้อม” ผมโวยบ้าง

“ดีแล้ว สมน้ำหน้า” ป้อมสะใจ

“ทำไมซาดิสต์ยังงี้ฟะ” ผมแกล้งบ่นดังๆ

“เอาอีกที” ป้อมต่อยแขนผมดังตุ้บ แล้วหัวเราะ

“โอ๊ยๆ ยอมแพ้แล้วๆ” ผมพูด ขืนต่อความยาวคงเจ็บตัวมากกว่านี้อีก

“ฮึ ให้มันรู้ซะบ้าง” ป้อมพูดอย่างผู้มีชัย

“เอ้า เลิกเล่นๆ เรียนต่อได้แล้ว” ผมยุติการคุยหยอกล้อก่อนที่จะเจ็บตัวมากกว่านี้

ป้อมยอมหยุดแต่โดยดี หลังจากนั้นเราก็เรียนกันต่อ ผมสอนป้อมต่อจนถึงช่วงบ่าย เมื่อจบหัวข้อภาษาอังกฤษตามที่เตรียมมา ผมก็เตรียมตัวกลับ อากาศในช่วงกลางฤดูร้อนร้อนอบอ้าว ร้อนจนผมไม่อยากเดินทางไปไหน

“เฮ้อ ไม่อยากออกไปตอนนี้เลย” ผมพูด “อากาศร้อนขนาดนี้กว่าพี่จะถึงบ้านคงละลายหมดก่อน”

“คนนะ ไม่ใช่ไอติม” ป้อมหัวเราะ “พี่อูก็อยู่ที่นี่ก่อนสิ เย็นๆค่อยกลับ”

“ไม่ได้หรอกป้อม พี่ยังมีงานที่ต้องทำอีกหลายอย่าง ไม่ได้ถูห้องมาหลายวันแล้ว ผ้าก็ยังไม่ได้ซัก” ผมพูด คิดถึงงานที่ต้องทำแล้วก็รู้สึกขี้เกียจขึ้นมา พร้อมกับนึกถึงบ้านที่มีอ่างอาบน้ำอย่างที่เห็นในโทรทัศน์ ผมคิดว่าในห้องนอนที่บ้านของป้อมก็คงมีอ่างอาบน้ำด้วยเหมือนกัน เพราะในยุคนั้นยังไม่ค่อยมีกระแสเรื่องการประหยัดทรัพยากรน้ำ มีแต่เรื่องประหยัดไฟฟ้า บ้านจัดสรรที่มีราคาหน่อยก็มักใส่อ่างอาบน้ำไว้ในสเปกบ้านด้วย “ร้อนๆแบบนี้ไม่อยากทำอะไรเลย อยากนอนแช่น้ำในอ่าง”

“จริงด้วย... เออ... ยังงั้นไปว่ายน้ำกันดีกว่าพี่อู” ป้อมพูด “ป้อมไม่ได้ว่ายน้ำมานานแล้ว อยากว่ายน้ำอีกเหมือนกัน แถวนี้มีสระว่ายน้ำอยู่ไม่ไกล ไปกันมั้ย”

คำพูดของป้อมทำให้ผมนึกได้ว่าป้อมเคยเป็นนักกีฬาว่ายน้ำมาก่อน

“วันนี้ต้องรีบกลับ ว่ายไม่ได้หรอก” ผมไม่เอาด้วย “ชุดก็ไม่มี”

“พรุ่งนี้ก็ได้ ไปนะไปนะ” ป้อมรีบต่อรอง

“ไม่เอาดีกว่า” ผมปฏิเสธอีก “บ้านป้อมไกลเหลือเกิน ถ้าต้องมาว่ายน้ำแถวนี้ กลับไปก็เหงื่อโชกเหมือนเดิม ไม่มีประโยชน์อะไร”

“ไปว่ายน้ำแถวบ้านพี่อูก็ได้” ป้อมต่อรองอีก “ไปนะไปนะ ปิดเทอมอยู่บ้านเซ็งจะแย่แล้ว”

“แถวบ้านพี่ไม่มีสระว่ายน้ำ” ผมตอบ “ถ้าจะว่ายน้ำต้องไปที่มหาวิทยาลัยโน่น”

“ยังงั้นไปที่มหาลัยก็ได้” ป้อมรีบพูด “ดีเลย อยากไปเที่ยวมหาลัยพี่อูบ้าง”

ผมเห็นสีหน้ามุ่งหวังของป้อมแล้วก็อดใจอ่อนไม่ได้ ที่จริงวันพรุ่งนี้ผมก็ไม่ได้ติดงานอะไรเป็นพิเศษ สอบที่รามก็เสร็จแล้ว ค่อนข้างว่างด้วยซ้ำ

“วันอาทิตย์ก็ชวนเพื่อนๆไปว่ายน้ำสิ จะมาชวนพี่ทำไม” ผมยังเล่นตัวต่ออีกนิดหน่อย

“เพื่อนกลุ่มป้อมไม่มีใครชอบว่ายน้ำสักคน” ป้อมตอบ พลางจับมือผมขึ้นมาโยกเล่น “อยากไปดูมหาลัยพี่อูด้วย ไปนะไปนะ”

“เอ้อ ก็ได้” ผมใจอ่อน ที่จริงอากาศร้อนๆแบบนี้ไปว่ายน้ำก็คงไม่เลวเหมือนกัน ความรู้สึกน่าจะดีกว่านอนแช่ในอ่างอาบน้ำ “งั้นไปว่ายน้ำตอนเช้าๆละกัน แดดอ่อนๆกำลังสบาย สายแล้วแดดแรง”

“เย้” ป้อมดีใจ “จะเจอกันกี่โมงล่ะ”

“แปดโมงเจอกันที่หน้ามหาลัยดีไหม” ผมเสนอ “ป้อมไปเองได้นะ”

“แปดโมงเนี่ยนะที่พี่อูว่าเช้า” ป้อมหัวเราะ “ป้อมไปถูกน่า ไม่ต้องห่วง”

“นี่แหละเช้าของพี่” ผมหัวเราะบ้าง “ติว่าสายเหรอ งั้นเจ็ดโมงครึ่งก็ได้ เร็วสุดได้แค่นี้แหละ ขี้เกียจตื่น”

- - -

เช้าวันรุ่งขึ้น

ผมมาถึงหน้ามหาวิทยาลัยตั้งแต่ยังไม่ถึงเวลาเจ็ดโมงครึ่ง แม้ว่าผมจะมาก่อนเวลา แต่ป้อมก็มาถึงก่อนผม

“มาสาย” ป้อมพูดเกทับผม

“ไม่สายเสียหน่อย ยังไม่เจ็ดโมงครึ่ง คุณชายมาเร็วเกินไปต่างหาก” ผมเถียง

วันนี้ป้อมใส่เสื้อยืด กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะ กางเกงขาสั้นเป็นแบบกางเกงเที่ยว เสื้อยืดลายและสีสันสดใส ต่างจากตอนอยู่ที่บ้านที่ใส่เสื้อยืดและกางเกงนักเรียนเก่าๆ

เราสองคนเดินเข้าไปในมหาวิทยาลัย ตอนเจ็ดโมงครึ่งของวันอาทิตย์ มหาวิทยาลัยแทบไม่เห็นคนเดิน คงมีเพียงพนักงานดูแลสถานที่ เราสองคนเดินย่ำพื้นหญ้าลัดสนามใหญ่ ความสงบเงียบและสายลมอ่อนยามเช้าทำให้ผมรู้สึกราวกับว่าเราสองคนกำลังเดินอยู่ในอุทยานส่วนตัว

สระว่ายในในเช้าวันนั้นมีคนเล่นเพียงไม่กี่คน ผมจ่ายเงินซื้อคูปองว่ายน้ำสองใบ จากนั้นก็พาป้อมเดินเข้าไปในสระและเดินไปที่ห้องเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว

ห้องเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวชายนี้เป็นทั้งห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ห้องอาบน้ำ ห้องสุขา และห้องล็อกเกอร์ รวมอยู่ในบริเวณเดียวกัน ห้องล็อกเกอร์มีล็อกเกอร์น้อยมาก และส่วนใหญ่มักเต็มอยู่เสมอคล้ายกับว่ามีเจ้าของประจำอยู่แล้ว นักศึกษาส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้ล็อกเกอร์ แต่ใช้วีธีเอาเสื้อผ้าและสมบัติส่วนตัวมาวางกองอยู่ที่ริมสระ ว่ายน้ำไปก็ชำเลืองมองข้าวของของตนเองไปด้วย

ห้องสุขาและห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าภายในสระว่ายน้ำแยกส่วนกัน มีอยู่เพียงอย่างละไม่กี่ห้อง ส่วนโถปัสสาวะชายไม่มีการแบ่งสัดส่วน เป็นรางเดียวยาวๆจะยืนกี่คนก็ได้ คล้ายกับห้องสุขาของ รด. ที่สระว่ายน้ำนี้ไม่มีห้องอาบน้ำ แต่เป็นลานอาบน้ำรวมที่ติดตั้งฝักบัวเอาไว้หลายหัว รวมความแล้วสระว่ายน้ำนี้มีไว้บริการนักศึกษาที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก ทุกอย่างจึงเป็นลักษณะของใช้ร่วมกัน เพื่อไม่ให้สิ้นเปลืองเนื้อที่และเพื่อนักศึกษาจะได้ไม่คอยคิวนาน มีที่ว่างก็เบียดอัดกันเข้าไปได้

ผมไม่ค่อยได้ใช้บริการสระว่ายน้ำบ่อยนักเพราะมัวเอาเวลาไปทำอย่างอื่นเสียหมด ตั้งแต่เรียนที่นี่เพิ่งจะมาว่ายน้ำเพียงสองสามครั้งเท่านั้น จึงไม่คุ้นเคยกับสถานที่เท่าไรนัก ผมวางเป้ลงบนเก้าอี้ยาวที่วางอยู่ในโซนล็อกเกอร์ หยิบกางเกงว่ายน้ำออกมาจากในเป้ ขณะที่ผมยืนถือกางเกงว่ายน้ำอยู่ในมือ เตรียมจะเดินไปเปลี่ยนในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้านั้นเอง ผมก็เห็นป้อมกอดกางเกงขาสั้นออกอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ถอดกางเกงในและเปลี่ยนเป็นกางเกงว่ายน้ำในห้องล็อกเกอร์นั้นเอง ชายเสื้อยืดที่คลุมส่วนสะโพกของป้อมอยู่ทำให้ผมเห็นอะไรไม่ชัดนัก แต่ผมก็มีโอกาสเห็นก้นที่งอนสวยได้รูปทรงอย่างรำไร

เมื่อป้อมใส่กางเกงว่ายน้ำเสร็จก็ถอดเสื้อยืดออก ภายในพริบตา ป้อมก็ยืนอวดเรือนร่างที่มีเพียงกางเกงว่ายน้ำทรงบิกีนีเพียงตัวเดียว...

“ป้อมเปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว โอ๊ย พี่อู ทำไมช้ายังงี้” ป้อมหัวเราะในความเก้กังของผม




<เครื่องดื่มชูกำลังในยุคที่ผมเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยนั้นเท่าที่จำได้มีอยู่สามยี่ห้อ คือ ลิโพวิตันดี กระทิงแดง และเอ็ม ๑๕๐ อาจ มียี่ห้ออื่นอยู่บ้างแต่ก็ไม่ดังและอยู่ในท้องตลาดไม่ได้นานก็ล้มหายตายจากไป ลิโพนั้นเป็นยี่ห้อเก่าแก่ที่สุด ตอนนั้นวางตลาดมาได้สิบกว่าปีแล้ว ส่วนกระทิงแดงมาทีหลัง แต่ทุ่มโฆษณามากอย่างเทียบกันไม่ได้

เครื่องดื่มชูกำลังในอดีตจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งสองยี่ห้อที่ว่านี้ด้วย มีส่วนผสมคล้ายกัน นั่นคือ ส่วนผสมหลักเป็นกาเฟอีน มีฤทธิ์กระตุ้นประสาท ทำให้หายง่วง และน้ำตาลกลูโคส ทำให้รู้สึกสดชื่น และแต่งกลิ่นรสให้น่าดื่ม นอกจากนี้ยังเติมวิตามินและอาจมีการเติมกรดอะมิโนบางตัว หรือสมุนไพรบางชนิด เพื่อให้ดูว่ามีส่วนผสมหลายอย่าง ดื่มแล้วคุ้มค่า อีกทั้งยังนำไปโฆษณาอ้างสรรพคุณได้ การตลาดของลิโพจับกลุ่มลูกค้าคนทำงาน คนขับรถ ดื่มให้สดชื่น โฆษณาไม่หวือหวาเท่าไร ส่วนกระทิงแดงใช้โฆษณาที่หวือหวาเหนือกว่าลิโพมาก เน้นสรรพคุณบำรุงตับ ใช้ดื่มร่วมกับเหล้าเพื่อไม่ให้ตับพังเร็ว ดังนั้นนอกจากจับกลุ่มผู้ใช้แรงงานและคนขับรถแล้วยังจับกลุ่มคนดื่มเหล้าอีกด้วย นอกจากนี้ยังในยุคนั้นยังมีกระทิงแดงชนิดแปคซูลอีกด้วย ขายเป็นกล่อง กล่องละ ๑๐ แคปซูล ราคาประมาณ ๒๐ บาท แต่แบบแคปซูลเห็นวางขายอยู่เพียงไม่กี่ปีก็เลิกไป ซึ่งสมัยนี้คงทำโฆษณาแบบที่เห็นในภาพนี้ไม่ได้เพราะคงโดน อย. เล่นงาน แต่ในยุคนั้นใช่ว่าไม่มี อย. ตอนนั้นมีกฎหมาย อย. ที่ควบคุมโฆษณาอาหารและยาอยู่แล้วเช่นกัน

ผลจากโฆษณาทำให้ในยุคนั้นมีกระแสดื่มเหล้าร่วมกับกระทิงแดง เพราะนักดื่มเชื่อว่าบำรุงตับได้จริง ทำให้สินค้าขายดีมาก แต่หากเป็นผู้บริโภคในยุคปัจจุบันซึ่งมีความรู้มากขึ้น เมื่อได้อ่านโฆษณาในอดีตชิ้นนี้ คงมีคำถามเกิดขึ้นในใจมากมาย โดยเฉพาะคำถามด้านจริยธรรมทางธุรกิจ>


ดูโฆษณาลิโพวิตันดีในปี ๒๕๒๔




<ตำนานสยามสแควร์ (2)>




ดังที่ได้เล่าไปแล้วว่าในยุคต้นรัชกาลที่ ๔ หรือประมาณ พ.ศ. ๒๔๐๐ อันเป็นช่วงปีที่วังสระปทุมและวัดปทุมวนารามสร้างเสร็จนั้น ในยุคนั้นถนนการก่อสร้างถนนหนทางมีอยู่เพียงภายในพระนคร หรือว่าภายในเขตกำแพงพระนครเท่านั้น พื้นที่นอกกำแพงพระนครอาศัยการคมนาคมทางน้ำเป็นหลัก ส่วนทางถนนนั้นเป็นเพียงทางธรรมชาติสำหรับม้า เกวียน เท่านั้น ดังนั้นการตั้งถิ่นฐานในยุคนั้นจึงตั้งอยู่ภายในกำแพงพระนครกับตามตามแนวเส้นทางคมนาคมทางน้ำ โดยหากเป็นธุรกิจการค้าก็ตั้งอยู่ตามเส้นทางน้ำที่สำคัญ เช่น ริมน้ำเจ้าพระยา ปากน้ำสมุทรปราการ ฯลฯ ส่วนการตั้งถิ่นฐานของประชาชนทั่วไปก็อยู่ตามแนวคลองเป็นหลัก เช่น ริมคลองพระโขนง ริมคลองแสนแสบ ฯลฯ ส่วนพื้นที่บริเวณสยามสแควร์ในยุคนั้นเป็นเพียงท้องนานอกกำแพงพระนครที่มีประชาชนอาศัยเพียงเบาบางเท่านั้น

ภาพในตอนนี้มีสี่ภาพย่อย

ภาพบนสุดเป็นภาพถ่ายสภาพของกรุงเทพฯภายในเขตกำแพงพระนครในปี พ.ศ. ๒๔๑๑ อันเป็นปีที่รัชกาลที่ ๔ สวรรคต ถนนหนทางเป็นถนนดิน ภาพนี้ถ่ายหน้าพระบรมมหาราชวัง ยังมีการใช้ช้างและมีเพนียดช้างตั้งอยู่ริมถนน

ภาพที่สองจากบน เป็นภาพถ่ายในปี พ.ศ. ๒๔๐๔ แสดงให้เห็นการตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนตามแนวลำคลองนอกกำแพงพระนคร บ้านในยุคนั้นตั้งอยู่ริมชายคลอง หรือไม่เช่นนั้นก็เป็นเรือนแพหรือเรือบ้าน คืออาศัยเรือเป็นบ้านไปเลย

ภาพที่สามจากบน เป็นภาพท้องนาในกรุงเทพฯ ในปี พ.ศ. ๒๔๔๓ ซึ่งเป็นสมัยรัชกาลที่ ๕ แล้ว ผมหาภาพในสมัยรัชกาลที่ ๔ ไม่ได้ แต่ภาพนี้ก็ทำให้พอจะจินตนาการและเห็นบรรยากาศได้ว่าท้องทุ่งปทุมวันหรือสยามสแควร์ในยุค ๒๔๐๐ นั้นมีสภาพเป็นอย่างไร

ภาพล่างสุด เป็นภาพถ่ายสยามสแควร์ในปัจจุบัน ตรงทางเข้าออกของห้างสยามพารากอน ตรงแยกที่ตัดกับถนนอังรีดูนังต์ ลูกศรเหลืองในภาพชี้ไปที่โครงสร้างสะพานเก่าคือสะพานเฉลิมเผ่า ๕๖ สะพานนี้เป็นหลักฐานที่บ่งชี้ถึงแนวคลองอรชรอายุ ๑๕๐ ปี ที่ขุดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ เพื่อใช้เป็นคลองส่งน้ำเข้าสระบัวใหญ่ทั้งสองสระ รวมทั้งใช้เป็นทางสัญจรเข้าออกจากวังสระปทุมไปสู่คลองแสนแสบ