Saturday, June 28, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 10

การนั่งรถเมล์จากสะพานพุทธมาลาดพร้าวในตอนนั้นใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วโมง เพราะว่ารถระยะทางไกลมากทีเดียว อีกทั้งต้องผ่านในย่านที่จราจรคับคั่ง

ที่นั่งในรถเมล์ของเราเป็นที่นั่งด้านประตูรถ ผมนั่งที่นั่งติดหน้าต่าง ส่วนไอ้นัยนั่งถัดออกไป เหตุการณ์ในวันนั้นยังอยู่ในความทรงจำของผมอย่างแจ่มชัด เพราะเป็นครั้งแรกที่ผมได้ไปไหนต่อไหนกับไอ้นัยสองคน ผมรู้สึกตื่นเต้นและแปลกใหม่กับการเดินทางในครั้งนี้ ส่วนไอ้นัยนั้นอาจไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไรนักเพราะมันเคยขึ้นรถเมล์มาบ้างแล้ว

รถเมล์สาย ๘ พาเราผ่านสถานที่ไหนบ้างก็ไม่รู้ ผมไม่รู้จักสักแห่ง แต่ถนนบางเส้นก็รู้สึกคุ้นๆอยู่บ้างเพราะว่าเป็นเส้นทางเดียวกับที่พ่อขับรถพาผมมาที่โรงเรียน แม้อากาศจะร้อนอบอ้าว และรถก็ติด แต่ผมยังเพลิดเพลินกับการนั่งรถ เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นทิวทัศน์ของกรุงเทพฯในวันรถติด ครั้งมองมาทางขวาก็เห็นหน้าไอ้นัย สายลมจากหน้าต่างพัดปอยผมที่หยักศกเล็กน้อยตรงหน้าผากจนปลิวไปมา เป็นภาพที่น่าดูมากสำหรับผม

เรานั่งคุยกันไปตลอดทาง เมื่อนั่งรถเมล์มาได้ประมาณ ๑ ชั่วโมง รถก็เลี้ยวเข้าถนนลาดพร้าว เมื่อมาถึงย่านนี้ผมก็ไม่รู้สึกว่าแปลกถิ่นอีกต่อไป ตรงกันข้าม กลับรู้สึกคุ้นเคย ถนนและร้านรวงสองฟากข้าง อาคารเรียนสูงตระหง่าน ล้วนแต่เป็นภาพที่ผมเห็นจนชินตา ... ในที่สุดผมก็ผ่านโรงเรียนเก่าของผมอีกครั้งหนึ่ง

ผมมองไปที่อาคารเรียน ใจก็คิดไปถึงเพื่อนรักของผม ข้างหูก็ได้ยินเสียงไอ้นัยพูดขึ้น

“ไม่รู้ว่าไอ้ชัชมันขึ้นมากรุงเทพฯหรือยัง”

นั่นสินะ ป่านนี้ไอ้ชัชไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง ช่วงนี้อาจจะขึ้นมาแล้วก็ได้ เพราะคงต้องมาทำเรื่องลงทะเบียนเรียนเหมือนกัน

“นั่นสิ คิดถึงมันจัง” ผมพูดขึ้น ภาพเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นเมื่อตอยู่ชั้น ป.๖ ผ่านเข้ามาในสมองของผมเป็นฉากๆ

“ลงไปหามันหน่อยไหม” ไอ้นัยชวน

ไม่เลวเหมือนกัน แวะไปเยี่ยมมันเสียหน่อย ผมคิด แต่แล้วก็นึกได้ว่าพ่อกำลังรอผมอยู่ เพราะเราต้องรีบจัดการเรื่องข้าวของ เครื่องใช้สำหรับที่พักใหม่ของผมให้เรียบร้อย จากนั้นก็ต้องเดินทางกลับต่างจังหวัด

“ก็อยากไปหรอก แต่ป๋าให้รีบกลับน่ะ อีกอย่าง ไม่รู้ว่ามันอยู่หรือเปล่าด้วย อาจจะมาและกลับไปแล้วก็ได้” ผมตอบ

หลังจากที่นั่งรถต่อมาอีกเพียงครู่เดียว รถเมล์ก็มาถึงซอยภาวนา ตอนนั้นรถเมล์สาย ๘ ยังไม่ได้ขยายไปถึงแฮปปี้แลนด์ สุดระยะที่ซอยภาวนานั่นเอง ดังนั้นผมไม่ต้องกลัวว่าจะนั่งรถเลย รถเมล์จะจอดต่อกันเป็นแถวอยู่ตรงข้ามซอยภาวนา ตรงที่ปัจจุบันเป็นคลินิกทันตแพทย์

เราสองคนลงจากรถ ไอ้นัยต้องต่อรถอีกทอดหนึ่ง บ้านของไอ้นัยยังต้องนั่งรถเข้าไปอีกไกลทีเดียว

“เฮ้อ ถึงเสียที” ผมพูดหลังจากที่ลงจากรถแล้ว “นั่งจนเมื่อยตูด”

“ของกูเมื่อยกว่ามึงอีก เพราะว่าต้องนั่งเข้าไปอีกไกล” ไอ้นัยพูด “นั่งกันจนตูดด้านเลย”

“ยังไม่ทันจะนั่งไปเรียนสักวันเลย เสือกรู้แล้วว่านั่งจนตูดด้าน” ผมพูด “อีกอย่าง มึงรนหาที่เองนี่หว่า ห้ามบ่น”

“แล้วมึงบ่นทำไมล่ะ มึงเองไม่ได้รนหาที่เหมือนกันเหรอ” ไอ้นัยย้อน

“เออ จริงสินะ” ผมพูด แล้วยื่นหน้าไปกระซิบที่ข้างหูมัน“แต่ตูดด้านกูไม่ชอบนะ ก็ชอบตูดนุ่มๆอย่างเก่ามากกว่า”

ไอ้นัยไม่ตอบ แต่หัวเราะฮุฮุ พลางเอามือผลักหน้าของผมให้ห่างออกไป

“เข้าบ้านไปได้แล้ว เดี๋ยวกูรอรถที่ป้ายนี่แหละ” ไอ้นัยบอก

“เออ เข้าไปดูบ้านกูหน่อยไหม มึงจะได้รู้จักเอาไว้” ผมนึกขึ้นได้ว่าน่าจะชวนไอ้นัยไปดูบ้านที่ผมอยู่เสียหน่อย

“บ้านของมึงเหรอ” ไอ้นัยถามย้ำ

“มึงนี่ชอบจับผิดจริงๆ ไม่ใช่บ้านกูหรอกคร้าบ แต่กูมาอาศัยเขาอยู่” ผมแก้คำพูดเสียใหม่

ไอ้นัยหัวเราะฮุฮุชอบใจที่แกล้งผมได้ “ไปดิไป”

ว่าแล้วผมกับไอ้นัยก็เดินเข้าไปในซอยภาวนาด้วยกัน

“บ้านเยอะจัง” ไอ้นัยบอก ก็จริงหรอกครับ เพราะว่าซอยบ้านไอ้นัยนี่บ้านแต่ละหลังยังกับอยู่ในท้องทุ่ง ห่างกันมาก แต่ซอยภาวนานี้เต็มไปด้วยบ้านแออัดคับคั่งไปหมด แตกต่างกันอย่างลิบลับ

เดินเพียงครู่เดียวก็ถึงบ้านคุณลุง คุณป้าที่ผมมาอาศัย ตอนนั้นพ่ออยู่หน้าบ้านพอดี กำลังสาละวนกับคนงานร้านเฟอร์นิเจอร์ที่มาส่งเตียงกับโต๊ะทำงาน

“ป๋ามาถึงนานแล้วเหรอ” ผมเดินเข้าไปทักพ่อ

“ฮื่อ ก็นานเหมือนกัน นั่งรถเมล์มาเรียบร้อยดีนะ” พ่อถาม

“ถ้าไม่เรียบร้อยป๋าจะเห็นอูอยู่นี่ได้ไง” ผมตอบแบบยียวน ไอ้นัยฟังแล้วอมยิ้ม

“ผมพามา ป๋าไม่ต้องห่วงครับ” ไอ้นัยพูดขึ้นบ้าง

“มึงพูดยังกับเป็นคนดูแลกูยังงั้นแหละ ไม่เห็นมึงทำอะไรเลย แค่นั่งรถเมล์มาเป็นเพื่อนเฉยๆ” ผมขัดคอมัน

ก่อนที่เราจะต่อล้อต่อเถียงกันต่อไป พ่อก็พูดขัดขึ้น

“อู ยกเก้าอี้นี่เข้าไปในห้องที ช่วยกันหน่อยจะได้ไวขึ้น อ้อ พานัยไปไหว้คุณลุงคุณป้าเสียก่อนนะ”

ผมจึงพาไอ้นัยเดินเข้าไปในบ้านเพื่อไปไหว้เจ้าของบ้านตัวจริง

“คุณลุง คุณป้าครับ ผมพาเพื่อนมาน่ะครับ” ผมแนะนำ ไอ้นัยก็ยกมือไหว้

“ไหว้พระเถอะลูก” คุณป้าตอบ

หลังจากนั้นคุณลุง คุณป้าก็ทักทายไอ้นัยเล็กน้อย แล้วผมก็ขอตัวพาไอ้นัยไปช่วยยกของเข้าห้อง

จัดที่ทางอยู่ไม่นานก็เสร็จ ตอนนั้นก็ตกบ่ายเข้าไปแล้ว พ่ออยากรีบเดินทางกลับ เพราะไม่อยากพักที่กรุงเทพฯอีกคืน ส่วนไอ้นัยก็ขอตัวกลับบ้าน เพราะว่ากลัวคุณอาเป็นห่วงเนื่องจากกลับบ้านนานผิดปกติ ผมจึงเดินไปส่งไอ้นัยที่ป้ายรถเมล์ปากซอย

“เป็นไง บ้านน่าอยู่ไหม” ผมถามในระหว่างที่เราเดินด้วยกัน

“ฮื่อ ก็ดี” ไอ้นัยตอบ “แต่ก็ว่าบ้านกูน่าอยู่กว่านะ” น้ำเสียงของไอ้นัยแฝงแววกระเซ้าเย้าแหย่ วันนี้ไอ้นัยดูแปลกออกไป มันขี้เล่นและช่างแหย่มากกว่าเมื่อก่อน

“เออ กูรู้ บ้านมึงเป็นบ้านสถาปนิกนี่หว่า ไม่ต้องมาคุยข่มหรอก”

“ก็น่าอยู่แหละ” ไอ้นัยพูดเสียใหม่ คงกลัวผมเคืองจริงๆ

“ที่จริงถ้ากูได้อยู่บ้านมึงก็คงดีนะ อยู่บ้านนี้รู้สึกอึดอัด ไม่ค่อยคุ้นเลยว่ะ อยู่บ้านมึงสบายใจกว่าเยอะ” ผมอดบ่นกับไอ้นัยไม่ได้ เมื่อนึกถึงความเจ้าระเบียบของคุณป้า

- - - - - -

หลังจากที่ผมส่งไอ้นัยเสร็จและเดินกลับเข้าบ้าน ตอนนั้นพวกคนงานจากร้านเฟอร์นิเจอร์ไปกันหมดแล้ว พ่อ แม่ และเอ๊ด นั่งคุยกับคุณลุงและคุณป้าอยู่ในห้องรับแขก เตรียมตัวจะเดินทางกลับแล้ว

เมื่อเข้ามาในห้อง ผมก็โดนเล่นงานทันที

“อูนี่เค้าเพื่อนเยอะนะ ยังไม่ทันจะเปิดเทอมเลยก็พาเพื่อนมาเที่ยวบ้านแล้ว” คุณป้าพูดขึ้น ผมยังงงๆอยู่ ไม่รู้จะตอบว่าอะไร

“อู ทีหลังอย่าเที่ยวพาเพื่อนมาบ้านนะ ต้องรู้จักเกรงใจคุณลุง คุณป้าบ้าง” แม่พูดขึ้น

“แต่ว่า...” ผมอ้าปากจะอธิบาย ว่าแค่พานัยแวะมาให้รู้จักบ้านเท่านั้น ไม่ได้รบกวนอะไรสักหน่อย แต่ก็ไม่มีโอกาสพูด

“ไม่ต้องแต่” พ่อดุ “คุณลุงกับคุณป้าเค้ารักสงบ ต่อไประวังเรื่องพาเพื่อนมาบ้านหน่อยนะ”