Friday, December 25, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 39

ท่ามกลางฝูงชนอันแน่นขนัด ทุกคนยืนรอชมพลุกันอย่างไม่ย่อท้อ รอเป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วโมงพลุก็ยังไม่แสดง จะนั่นก็นั่งไม่ได้เพราะคนเบียดกันจนไม่มีที่นั่ง แค่มีที่ยืนก็ถือว่าโชคดีแล้ว

“พี่อู บอยเมื่อยอะ” ไอ้บอยบ่นเบาๆ

ผมหันไปมองมัน เห็นใบหน้าของบอยยู่ยี่ คงจะเมื่อยจริงๆ “พี่ก็เมื่อย ทนเอาหน่อย ใกล้แสดงแล้วมั้ง”

“พี่อูพูดแบบนี้มาหลายรอบแล้วนะ” บอยบ่นอีก

“อะไรกัน แค่นี้ก็ไม่มีความอดทน” ผมตำหนิมัน “พี่ยังไม่บ่นเลย”

“ก็พี่อูเป็นคนอยากดูนี่นา ถึงเมื่อยก็ไม่กล้าบ่น” บอยรู้ทันผม

ที่จริงผมก็เมื่อยอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จะบ่นก็เสียเชิง แต่โชคยังดีที่หลังจากนั้นไม่นาน การแสดงพลุก็เริ่มขึ้น

การแสดงพลุในครั้งนั้นยิ่งใหญ่และงดงามเป็นพิเศษจริงๆ พลุแต่ละชุดสวยงามสะดุดตา ผมมักคอยสังเกตพลุสีน้ำเงินและสีม่วงเป็นพิเศษเพราะได้ยินมาว่าเป็นสีที่ทำได้ยาก เสียงพลุดังกึกก้อง สะเก็ดไฟของพลุที่แตกระเบิดในอากาศแตกกระจายเต็มท้องฟ้า ระหว่างที่ชมพลุ ผมกุมมือบอยอีกเป็นระยะซึ่งบอยก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร คงปล่อยให้ผมกุมมือแต่โดยดี จนการแสดงจบ ผู้คนก็ค่อยๆทยอยออกจากสนามม้า เราสองยืนรออยู่สักครู่เพราะว่าฝูงชนบริเวณใกล้ๆเรายังไม่ขยับ เราก็เลยขยับเดินไม่ได้

“มันดูใกล้เกินไปว่ะ เห็นแต่สะเก็ดไฟบานเต็มไปหมด เมื่อยคออีกต่างหาก” ผมอดบ่นไม่ได้ เพราะถ้าดูในสนามม้าก็เหมือนกับยืนดูอยู่ใต้พลุ ภาพที่เห็นก็จะเป็นแบบหนึ่ง เหมือนยืนอยู่ใต้ดอกเห็ด แต่ถ้าดูในระยะที่ไกลออกไปก็จะทำให้เห็นรูปทรงต่างๆของพลุที่แตกระเบิด เหมือนกับการดูดอกเห็ดบานจากระยะห่างๆ ผมว่าถ้าดูจากระยะไกลน่าจะสวยกว่ามากทีเดียว

“เฮอะ” ไอ้น้องบอยแค่นเสียง ทำหน้าเซ็งๆ “บอยบอกพี่อูแล้วว่าให้ดูอยู่ข้างนอก เห็นไหม ไม่เชื่อบอย นึกว่าเป็นพี่แล้วต้องทำอะไรถูกเสมอเหรอ”

ผมหันไปมองมัน บอยตัวเตี้ยกว่าผมนิดหน่อย หูของมันอยู่ที่ระดับปากของผมพอดีผมจึงเป่าลมหายใจเข้าไปในหูของมัน

“อึ๊อ จั๊กกระจี๋” บอยหัวเราะเสียงดัง

“อย่าเอะอะดิ อายคนอื่นเค้า” ผมดุมัน “ขี้บ่นจริงเลย เออ พี่ผิดเอง ทีหลังพี่เชื่อนายก็ได้ พอใจหรือยัง”

บอยยิ้มอย่างพออกพอใจ “พูดงี้ค่อยยังชั่วหน่อย”

เมื่อขามาตอนที่มาดูพลุว่าลำบากแล้ว ตอนขากลับยิ่งลำบากกว่า รถเมล์แน่นจนจอดรับผู้โดยสารไม่ได้ แท็กซี่ สามล้อมีเท่าไรก็ถูกคนแย่งกันเรียกไปจนหมด ผู้ชมส่วนใหญ่ต้องเดินออกไปไกลๆเพื่อไปขึ้นรถยังบริเวณอื่น ผมกับบอยต้องเดินจากสนามม้านางเลิ้งไปทางสะพานยมราชและข้ามแยกไปอีก กว่าจะได้ขึ้นรถก็แถวๆหน้าโรงหนังโคลีเซี่ยม โรงหนังแห่งนี้ปัจจุบันถูกรื้อไปนานแล้วและกลายเป็นจุดขึ้นทางด่วน หลังจากที่ผมรอจนบอยขึ้นรถเมล์ไปแล้วจึงเดินย้อนมาขึ้นสาย ๘ เพื่อกลับหอพักบ้าง

- - -

“เฮ้ อู แม่นายโทรมาตอนหัวค่ำแน่ะ” เสียงแป๋งทักเมื่อผมเดินเข้าไปในหอพัก วันนี้ผมเองก็รู้สึกเมื่อยอยู่เหมือนกัน จึงไม่ทันสังเกตเห็นแป๋งที่นั่งเฝ้าอยู่ชั้นล่าง

“เออ ขอบใจแป๋ง” ผมตอบ

หมู่นี้ผมไม่ค่อยได้เจอแป๋งเลย เห็นใบหน้าทะเล้นของแป๋งแล้วก็อดนึกถึงฉากเสียวที่เคยมีกับแป๋งไม่ได้ อยากจะถามมันเหมือนกันว่าทำไมหมู่นี้ไม่เห็นแวะไปที่ห้องผมบ้าง แต่ก็ไม่กล้าถาม

“กลับดึกทุกคืนเลยนะ” แป๋งพูดอีก

“ทำไมนายรู้วะ เราไม่ยักเห็นนายเลย” ผมสงสัย

“ก็เราเฝ้าข้างล่างตอนหัวค่ำ แล้วขึ้นนอนก่อนนายกลับ นายก็ไม่เห็นดิ” แป๋งตอบ

หลังจากที่ผมกลับถึงห้องพักก็ได้ยินเสียงแป๋งเรียกผมทางอินเตอร์คอม เสียงดังลั่นไปทั่วทั้งชั้น ๔

“เด็กชายอู มีโทรศัพท์”

ผมนึกด่าไอ้แป๋งในใจที่มันแกล้งเรียกผม จากนั้นวางเป้และรีบลงไปข้างล่างเพื่อรับโทรศัพท์ ผู้ที่โทรมาจะเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกเสียจากแม่นั่นเอง

“อู ทำไมเดี๋ยวนี้เป็นยังงี้ล่ะ ตั้งแต่มาอยู่หอพัก กลับดึกทุกวัน แม่โทรมาไม่ค่อยเจออูเลย ให้โทรกลับก็ไม่โทร” เมื่อผมรับโทรศัพท์ก็ได้ยินเสียงแม่ต่อว่ามาเป็นชุด

“แม่เป็นไงบ้างอะ สบายดี” ผมเฉไปพูดเรื่องอื่น

“จะสบายได้ไง ก็เป็นห่วงอูนี่แหละ อูไปอยู่ไหนมาถึงได้กลับดึกทุกวัน” เสียงแม่ย้ำคำถามเดิม

ผมอึกอัก นึกว่าจะตอบยังไงดี

“ก็... เอ้อ กลับมาที่ห้องเร็วมันก็เหงาน่ะแม่ อูเลยอยู่ทำกิจกรรมที่โรงเรียน” ผมพูดจริงครึ่งไม่จริงครึ่ง กิจกรรมที่โรงเรียนน่ะไม่ใช่ แต่ว่าเป็นกิจกรรมใกล้ๆโรงเรียนเสียมากกว่า

“กิจกรรมอะไรเลิกดึกๆดื่นๆ” แม่ยังไม่ค่อยเชื่อ

“ก็ไม่ได้เลิกดึกหรอกแม่ ค่ำๆก็กลับแล้ว แต่ว่ากว่าจะนั่งรถ กว่าจะกินข้าว ก็เลยเข้ามาช้า บางวันอูเหนื่อยก็เลยไม่ได้โทรกลับไปหาแม่” ผมเฉไฉไปเรื่อย

แม่ยังบ่นผมอีกหลายกระบุง พฤติกรรมของผมทำให้แม่อดเป็นห่วงไม่ได้ เดิมทีแม่ก็ห่วงอยู่แล้วเพราะว่าผมเคยอยู่กับผู้ใหญ่มาตลอด พอมาอยู่อย่างอิสระแล้วติดต่อผมได้ยากก็ยิ่งรู้สึกห่วงมากยิ่งขึ้น

“อู ทำไมไม่โทรคุยกับป๊าเค้าบ้าง” แม่เปลี่ยนเรื่องหลังจากที่ได้บ่นมาพอสมควร

“ก็ป๊าไม่คุยกับอูเองนี่นา” ผมตอบ

ตั้งแต่ผมออกจากบ้านมาอยู่กรุงเทพฯในครั้งหลังนี้ผมยังไม่ได้คุยกับพ่อเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทุกครั้งที่มีการคุยกันแม่จะเป็นคนโทรมาหา พ่อไม่เคยโทรมาเลย ส่วนผมเองนั้นที่ไม่โทรกลับไปที่บ้านคงเป็นเพราะเกรงว่าพ่อจะรับสาย เพราะลึกๆแล้วผมยังรู้สึกน้อยใจที่ถูกพ่อไล่ออกจากบ้านอยู่ อยากจะให้พ่อโอ๋บ้างแต่พ่อก็ใจแข็ง ยิ่งนาน ความน้อยใจก็ทวีมากขึ้น

“อูพูดแบบนี้ได้ไง ยังไงอูก็เป็นลูกนะ ตอนโมโหเค้าอาจจะว่าอู แต่ใจป๊าก็ยังรักลูกอยู่ ทุกวันนี้ป๊าก็ยังส่งเสียอูทุกอย่าง ไม่ได้ปล่อยให้ไปลำบาก อูทำแบบนี้ไม่ถูกนะ” แม่ตำหนิผมซ้ำ

เราคุยกันอีกสักพัก ส่วนใหญ่เป็นผมโดนแม่ตำหนิ ความสนุกสนานจากการชมพลุหายไปจนหมด เหลือไว้แต่ความเซ็ง

“โดนดุละสิ” แป๋งพูดยิ้มๆหลังจากผมวางสาย

“เซ็งว่ะ” ผมอดหลุดปากบ่นให้แป๋งฟังไม่ได้ “บ่นจนหูชาเลย”

“แม่เราก็แบบนี้แหละ ขี้บ่นชะมัด” แป๋งแอบนินทาแม่ “ขึ้นชื่อว่าแม่คงเหมือนกันทั้งโลกมั้ง”

- - -

หลังจากที่ได้รับการเตือนสติจากอาจารย์วารี ประกอบกับการแสดงอารมณ์อันรุนแรงของเวชทำให้ผมค่อยๆได้คิดขึ้นมาว่าชีวิตที่คลุกคลีอยู่กับแก๊งของเวชและพวกอาจไม่ใช่ชีวิตที่เหมาะกับผมนัก ถ้าผมจะทำเกรดในเทอมนี้ให้ได้เกิน ๒.๕ ตามที่ได้รับปากไว้กับอาจารย์ผมคงต้องพยายามอย่างมาก
ประกอบกับถูกแม่ตำหนิ ทำให้ผมต้องกลับมาทบทวนเรื่องต่างๆที่ผ่านมา

หลังจากนั้นมา ผมก็พยายามถอยห่างจากกลุ่มของเวชและพยายามตั้งใจเรียนมากขึ้น แต่เรื่องราวมักไม่เป็นไปอย่างที่คิด เพราะว่าหลังจากเกิดคดีโต๊ะสนุ้กขึ้นมา เกรียงและพวกที่เหลือกลับยอมรับผมมากขึ้น บางครั้งก็ชวนผมไปเล่นสนุ้กโดยที่ผมไม่ได้ขอไปเลย ทำให้ผมลำบากใจ เพราะหากปฏิเสธไปทุกครั้งก็อาจทำให้เวชและเกรียงคิดไปว่าผมรังเกียจกลุ่มมันไปเสียแล้ว ปัญหาก็อาจตามมาอีกได้ ผมจึงใช้วิธีผ่อนหนักเป็นเบา โดยยังไปเล่นสนุ้กกับเวชและพวกบ้างในบางครั้ง แต่ก็น้อยลงกว่าแต่ก่อน โดยบางครั้งผมก็ปฏิเสธโดยอ้างว่าต้องการอ่านหนังสือและทำการบ้านเนื่องจากสัญญากับอาจารย์วารีเอาไว้ว่าจะต้องทำเกรดให้ดีขึ้นให้ได้

ผมกลับหอพักเร็วขึ้นเพื่อทำการบ้าน ผมเปลี่ยนจากการลอกการบ้านมาเป็นพยายามทำการบ้านเองเพราะถ้าไม่ทำการบ้านเองบ้างก็คงไม่เข้าใจเนื้อหา ถึงเวลาสอบก็คงทำข้อสอบไม่ได้ ดังนั้นในช่วงหลังผมจึงไม่ค่อยได้ขอต้นฉบับการบ้านจากเวชมาลอกอีก ส่วนเวชและพวกนั้นผมไม่ค่อยเห็นความเปลี่ยนแปลงนัก แต่ที่ว่าไม่ค่อยเห็นนี่อาจเป็นเพราะผมไม่ได้สนใจสังเกตก็เป็นได้

ผมใช้เวลากับเวชและพวกน้อยลง แต่กลับใช้เวลาขลุกกับบอยมากขึ้น ยิ่งนานเราก็ยิ่งสนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น ยิ่งนานวันผมก็ยิ่งติดไอ้บอย ส่วนบอยเองก็ติดผมมากขึ้นเช่นกัน...

- - -

ปลายเดือนธันวาคม ก่อนวันคริสต์มาสเล็กน้อย

ชีวิตของผมในช่วงนี้ดูจะค่อยๆลงตัวขึ้นทีละน้อย บทพิสูจน์ว่าผมมีพัฒนาการขึ้นมาบ้างหรือไม่ก็อยู่ที่การสอบกลางภาคนี่เอง

สอบกลางภาคใช้เวลาทั้งสิ้น ๓ วัน แม้ผมจะยังไม่พร้อมอยู่มาก แต่ถึงอย่างไรก็ยังรู้สึกว่าพอมีความรู้ติดอยู่ในสมองบ้าง แตกต่างจากเมื่อก่อนที่เข้าห้องสอบด้วยสมองและหัวใจที่ว่างเปล่า

ห้องเรียนถูกจัดให้กลายเป็นห้องสอบ ความแตกต่างระหว่างห้องเรียนกับห้องสอบก็คือ ห้องเรียนตั้งโต๊ะเรียนติดกันเป็นคู่ๆ ส่วนห้องสอบตั้งโต๊ะห่างกันเป็นแถวตอนเรียงเดี่ยว นอกจากนี้ ที่นั่งของนักเรียนถูกสลับใหม่เพื่อป้องกันไม่ให้นักเรียนลอกคำตอบกัน

การสอบผ่านมาแล้วสองวัน ผมทำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ก็ยังคิดว่าน่าจะทำคะแนนได้ดีกว่าเมื่อเทอมที่แล้ว ในวันที่สองนี้มีสอบวิชาคณิตศาสตร์ซึ่งค่อนข้างยากสำหรับผมเพราะว่าไม่ได้ตั้งใจเรียนมาตั้งแต่ต้น แม้จะพยายามแต่ก็ยังรู้สึกว่าทำได้ไม่ค่อยดี เวชก็โวยวายว่าข้อสอบยาก ส่วนเกรียงนั้นถึงกับเอะอะเพราะว่าทำไม่ได้เอาเลย

จนมาถึงการสอบในวันที่สาม วันนี้ก็มีวิชายากอีกหนึ่งวิชา นั่นคือ ฟิสิกส์ สอบเป็นวิชาแรกเสียด้วย เช้านี้ในหัวผมมีแต่กลศาสตร์ แตกแรง ตรีโกณ ฯลฯ นั่งท่องสูตรจนดึกดื่น ไม่รู้ว่าเช้านี้จะทำข้อสอบได้ไหม

“น้องอู” ไอ้เกรียงเดินมาโอบไหล่ผมขณะที่เรายืนรออยู่ที่หน้าห้องสอบเพื่อเตรียมตัวสอบในวิชาแรก เสียงของเกรียงฟังดูนุ่มนวล เป็นมิตรกว่าทุกวัน “เมื่อวานพี่ก็ตายห่าไปวิชาหนึ่งแล้ว วิชาแม่งนี้ยากฉิบหาย เรามาร่วมมือกันดีกว่านะน้อง”

“ร่วมมือยังไงเหรอ” ผมถามอย่างงงๆ

“ก็ทำสอบเป็นทีมสิวะ” เกรียงพูดหน้าตาเฉย “ช่วยๆกัน ถ้าได้ไม่ถึง ๒.๕ ละก็ตายห่าแน่ เวลาฝิ่นผ่านมาทางมึง ได้ข้อไหนช่วยเขียนคำตอบลงไปด้วย ทำแบบนี้เราจะสอบได้กันหมด เข้าใจไหมน้อง”

ความหมายของเกรียงก็คือจะให้ผมอยู่ในขบวนการส่งฝิ่นนั่นเอง ดูท่าพวกที่อยู่ในแก๊งสนุ้กเกอร์คงตกลงใจว่าจะร่วมมือกันทั้งหมด

ผมไม่ตอบอะไร จากนั้นเมื่อถึงเวลาก็เดินเข้าห้องสอบไป

ที่นั่งสอบของผม เวช และเกรียง แม้ไม่อยู่ติดกันแต่ก็ห่างกันเพียงสองสามโต๊ะ เวชอยู่หน้าผม ส่วนเกรียงอยู่เฉียงไปทางด้านซ้ายมือของผม ข้อสอบวิชาฟิสิกส์นี่ยากจริงๆในความคิดของผม แม้จะยาก แต่ผมก็ต้องพยายาม

เมื่อทำข้อสอบไปได้สักชั่วโมง ผมก็รู้สึกว่ามีกระดาษชิ้นเล็กๆตกลงมาบนโต๊ะสอบของผม

มันเป็นกระดาษที่พับทบกันหลายทบ เพื่อนข้างหน้าเป็นผู้โยนมาให้ เมื่อผมเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆก็เห็นเวชที่นั่งอยู่ข้างหน้าผมไปสองสามโต๊ะแอบหันมาหลิ่วตาให้ ครั้นเมื่อมองไปทางซ้ายมือถัดไปสองสามโต๊ะก็เห็นไอ้เกรียงกำลังหลิ่วตาให้ผมเช่นกัน

ไม่ต้องคลี่กระดาษบนโต๊ะดูผมก็รู้ว่ามันคืออะไร ผมมองกระดาษชิ้นนั้นพร้อมกับหวนคิดถึงเรื่องราวในอดีต...

ไอ้ตี๋ถูกนักสืบจิวางแผนจนจับขโมยได้ ในขณะที่ตี๋ถูกสังคมเพื่อนๆประนามเพราะขโมยเงินเพื่อน แต่จิที่ขายหนังสือโป๊ะและส่งฝิ่นในตอนสอบกลับได้รับการยอมรับจากเพื่อนๆ ผมมีความรู้สึกฝังใจกับความอยุติธรรมในครั้งนั้นมาตลอด ดังนั้น แม้ว่าผมจะดื่มเหล้า สูบบุหรี่ หรือทำตัวไม่ดีในหลายๆเรื่องโดยไม่ตะขิดตะขวงใจ แต่กับเรื่องส่งฝิ่นนั้นผมไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย อีกประการ ถ้าถูกจับได้ผมต้องสอบตกในวิชานั้น ดีไม่ดีอาจถูกพักการเรียน อนาคตของผมคงต้องดับวูบลงไป

ผมตัดสินใจโยนกระดาษชิ้นนั้นลงกับพื้นห้องให้ไกลจากบริเวณโต๊ะของผมทันที กระดาษไปตกอยู่ที่ข้างโต๊ะของไอ้คนที่ส่งมาให้ผมนั่นเอง ทีแรกไอ้คนข้างหน้าไม่รู้อะไรก็ปล่อยให้กระดาษตกอยู่ที่พื้น แต่เมื่อมันสังเกตเห็นเข้ามันก็รีบเอาเท้าเขี่ยมาใต้โต๊ะและเหยียบเอาไว้ทันทีเพราะเกรงอาจารย์จะเดินมาเห็นเข้า

“ไอ้อู” ผมได้ยินเสียงแว่วๆมาเข้าหู ชรอยจะเป็นเสียงของไอ้เกรียง แต่ผมแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ยังคงก้มหน้าก้มตาทำข้อสอบไปเรื่อยๆ

- - -

เมื่อหมดเวลาสอบวิชาฟิสิกส์ ผมส่งกระดาษคำตอบเกือบเป็นคนสุดท้ายเพราะว่าทำไม่ทัน ทันทีที่ผมเดินออกมาหน้าห้อง ผมก็รู้สึกว่ามีอะไรมาค้ำคอผมและดันผมจนเซไปติดกำแพงห้องทันที


<ภาพซ้าย โรงภาพยนตร์โคลีเซี่ยม ตั้งอยู่ใกล้สะพานยมราช โรงภาพยนตร์เก่าแก่แห่งนี้เคยฉายทั้งหนังไทยและหนังเทศ ต่อมาเลิกกิจการไป และถูกเวนคืนที่ดินเพื่อสร้างทางด่วนในปี พ.ศ. ๒๕๓๖ ภาพขวาเป็นภาพที่ตั้งเดิมของโรงภาพยนตร์ซึ่งปัจจุบันเป็นจุดขึ้นทางด่วน>

Sunday, December 20, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 38

ขณะที่ผมกำลังเดินที่อยู่ที่ทางเดินหน้าห้องนั้นเอง ไอ้กี้เห็นผมก็หยุดรอ

“เป็นไง มึงหัดสนุ้กจะไปแข่งที่ไหนวะ” ไอ้กี้แซวพร้อมทั้งหัวเราะจนตาหยี “อย่างมึงคงต้องตั้งฉายาเป็นอู ศิษย์ถ่อย”

ไอ้กี้ล้อเลียนผมจากนั้นก็เดินหัวเราะจากไป ตอนนั้นต๋อง ศิษย์ฉ่อยกำลังดัง เพราะว่ายังวัยรุ่นอยู่ แต่สามารถไปแข่งขันจนคว้าแชมป์ระดับเอเชียมาได้ ผมฟังฉายาที่มันตั้งให้แล้วอยากจะกระโดดถีบมันเหลือเกินแต่ก็เกรงจะมีเรื่อง ตอนนี้ยิ่งกำลังเดือดร้อนอยู่ จึงไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวเพิ่มขึ้นอีก

ไอ้กี้เพิ่งเดินจากไปก็มีคนมาโอบไหล่ผมอีก

“ดีมากน้องอู มันต้องยังงี้สิ เลือดสุพรรณ” คนที่โอบนั้นพูดกับผม เป็นไอ้เกรียงนั่นเอง มันโอบเสร็จก็เดินจากไปพร้อมกับเพื่อนคนอื่นๆ

กูไม่ได้เลือดสุพรรณกับมึงสักหน่อย ผมนึกในใจแต่ก็ไม่ได้พูดออกไป

“เฮ้ย ไอ้อู เดี๋ยวก่อน” ไอ้เกรียงเพิ่งจะดินจากไป เวชก็เดินมาประกบและพูดกับผม ทำไมวันนี้จึงมีแต่คนเรียกผมนัก

“กูคุยด้วยหน่อย” เวชพูดด้วยน้ำเสียงเชิงบังคับ จากนั้นก็เดินกลับเข้าห้องเรียนไป

ผมเดินตามเข้าไปในห้อง ตอนนั้นเพื่อนๆออกไปกันเกือบหมดแล้ว เวชไล่พวกที่ยังเหลืออยู่ในห้องออกไป จนเหลือแต่ผมกับเวชเพียงสองคน

“มึงทำยังงี้หมายความว่าไง” เวชถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ

“ทำยังไงวะ” ผมงง

“ก็เรื่องเมื่อเที่ยง” เวชชักเสียงดัง “ก็กูสั่งให้มึงอยู่เฉยๆ แล้วมึงไปหาอาจารย์ทำไม”

ผมยังตั้งตัวไม่ติดกับคำถามแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเช่นนี้ ผมนิ่งเฉยเพราะว่าไม่มีความจำเป็นอะไรที่ผมจะต้องบอกสาเหตุความนัยแก่มัน

“ตกลงมึงกลัวไอ้เกรียงมากกว่ากูใช่มั้ย” เวชกระชากเสียงอีกหลังจากที่เห็นผมเงียบ

ผมเริ่มเข้าใจแล้ว เมื่อเที่ยงเวชบอกให้ผมเอาตัวรอด ส่วนไอ้เกรียงไม่ยอมและต้องการให้ทั้งหมดรับผิดด้วยกัน ผมอดเคืองไม่ได้ ผมทำเช่นนี้ก็เพราะมัน แต่มันกลับมองว่าผมกลัวไอ้เกรียง ผมอดรู้สึกผิดหวังไม่ได้ ผมคงคิดเอาเองว่าเวชมีบางส่วนที่คล้ายกับไอ้นัย เพราะว่าถ้ามันคล้ายกันจริง... แม้แต่เพียงบางส่วน มันก็คงไม่คิดกับผมแบบนี้

“กูทำแล้วสบายใจก็ทำ กูตัดสินใจของกูเอง” ผมพูดเสียงแข็งบ้าง

เวชยกเท้าถีบเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ๆจนล้มเสียงดัง

“กูไม่ชอบคนขัดคำสั่งนะไอ้อู” เวชขู่

ผมรีบถอยออกห่าง ไม่ได้คิดจะมีเรื่องกับไอ้เวชเลย เรื่องที่โต๊ะสนุ้กผมจะถูกลงโทษยังไงบ้างยังไม่รู้ วันนี้ถ้าก่อเรื่องอีกมีหวังต้องกลับต่างจังหวัดโดยเร็วแน่

“กูไม่อยากได้ชื่อว่าทิ้งเพื่อน ถ้ามึงมีโอกาสเอาตัวรอดได้ มึงจะทิ้งเพื่อนมึงหรือเปล่า มึงกลับไปอารมณ์เย็นลงแล้วลองคิดดูอีกทีก็แล้วกัน” ผมพูดทิ้งท้าย จากนั้นรีบเดินออกจากห้องไป เมื่อพ้นหน้าห้อง ผมก็รีบวิ่งลงจากตึกทันที โชคดีที่เวชไม่ได้ตามมาหาเรื่องหรือรั้งผมเอาไว้อีก ผมหวังว่าคำพูดประโยคท้ายของผมคงสะกิดให้มันคิดได้บ้าง

ภายในช่วงเวลาเพียงสั้นๆ ทัศนคติที่ผมมีต่อเวชเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย จากเดิมที่เคยมองว่ามันเป็นเพื่อนที่ขี้เหงา ขาดความอบอุ่น ตอนนี้ผมกลับมองว่ามันเป็นวัยรุ่นที่อารมณ์แปรปรวนและอันตราย

ผมอดคิดถึงคำพูดของอาจารย์วารีไม่ได้ อาจารย์เป็นผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์ชีวิตมามากและอ่านคนได้ชัดเจนกว่าผมมากนัก ผมเริ่มเชื่อแล้วว่าเรื่องที่อาจารย์ตักเตือนผมนั้นน่าจะเป็นความจริง

คิดแล้วก็อดรู้สึกเซ็งไม่ได้ ทำไมชีวิตผมถึงได้วุ่นวายนัก มีเรื่องไม่ได้หยุดหย่อน ทำไมผมจึงเรียนอย่างราบรื่นเหมือนไอ้กี้หรือเพื่อนคนอื่นๆอีกหลายคนไม่ได้

เดินไปก็คิดไปเรื่อยเปื่อย จนมาหยุดอยู่หน้าสหกรณ์

เมื่อผมเดินเข้าไปในห้อง เห็นรุ่นน้องคนหนึ่งที่อยู่เวรมองหน้าผมแล้วอมยิ้ม ส่วนไอ้บอยกำลังจดอะไรง่วนอยู่

ผมทำเนียนเดินดูนั่นดูนี่ จนไอ้บอยเงยหน้าจากสมุดและเห็นผมเข้า

“เธอกับฉันเล่มใหม่โดนยืมไปแล้วพี่อู” ไอ้บอยแหกปากเสียงดัง

“ไอ้เปรตนี่” ผมดุมัน “พี่ไม่ได้มาหาเธอกับฉันโว้ย”

“อ้าว เหรอ” ไอ้บอยพูด แล้วหัวเราะ ไอ้รุ่นน้องอีกคนอมยิ้มแล้วอมยิ้มอีก จนผมรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ

ผมทำเนียนดูหนังสือต่อไปอีกเล็กน้อย จากนั้นก็เดินออกมาจากห้อง

“ไปล่ะ ไปหาอะไรกินที่โรงอาหารหน่อยดีกว่า” ผมเปรยกับไอ้บอย

“ว้า” บอยร้อง “ทำไมไม่กินวันที่บอยไม่มีเวรล่ะ จะได้ตามไปกินฟรี”

“พี่รอก็ได้ รีบๆมาล่ะ” ผมพูดกับมันเบาๆ พอได้ยินกันสองคน ไอ้บอยพอได้ยินก็ยิ้มแฉ่ง

- - -

“วันนี้พี่อูเป็นอะไรอะ ดูเครียดๆ” บอยพูดกับผมเมื่อเราพบกันที่โรงอาหาร ผมมารออยู่นานแล้ว เมื่อไม่มีอะไรทำจึงเอาการบ้านมาทำฆ่าเวลา

“ทำไมนายรู้วะ” ผมสงสัย

“ดูหน้าก็รู้ พี่อูดูง่ายจะตาย ดีใจ เสียใจ ปวดขี้ ดูหน้าก็รู้หมด” บอยพูด คำพูดของมันช่างเหมือนกันที่ใครคนหนึ่งเคยพูดกับผม

“หน้าพี่ดูง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมถาม

บอยพยักหน้า “เป็นไรฮะ ธุรกิจร้อยล้านมีปัญหาเหรอ” ไอ้บอยเหน็บแนมผมอีก

“เปล่า ทะเลาะกับเพื่อนนิดหน่อยน่ะ” ผมพูดอย่างคลุมเครือ ไม่อยากเล่ามาก ผมไม่อยากให้บอยรู้เรื่องที่ผมเข้ากลุ่มเวช ผมอยากให้บอยรู้จักผมในฐานะรุ่นพี่ที่นิสัยดี เรียบร้อย มากกว่า

หลังจากที่บอยซื้อของกินมาแล้ว ผมก็วกเข้าเรื่องสำคัญ

“บอย วันที่ ๔ นี้ตอนค่ำว่างไหม” ผมถาม

“แหม บอยไม่ใช่นักธุรกิจ เลิกเรียนก็ไม่มีอะไรแล้ว” บอยหัวเราะเสียงใส ดูมันชอบเหน็บผมเสียจริง “พี่อูจะชวนไปงานวัดที่ไหนเหรอ”

“นายเที่ยวเป็นแต่งานวัดหรือไง” ผมอดหัวเราะไม่ได้ ผมรู้ดีว่าเมื่อวันก่อนที่บอยไปงานภูเขาทอง มันติดใจมาก “ไปที่อื่นมั่งสิ”

“ไปไหนล่ะ” บอยถาม

“พี่จะชวนไปดูพลุวันเฉลิมฯที่สนามม้านางเลิ้ง” ผมตอบ

ปกติทุกปีเมื่อใกล้ถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งภาครัฐและเอกชนก็จะถือเป็นเทศกาลเฉลิมฉลอง ส่วนหนึ่งของวาระเฉลิมฉลองนี้ทางกองทัพมักนำเอาพลุมาจุดแสดง แต่ในบางปีที่ถือว่าเป็นวาระพิเศษ จะมีพลุจากญี่ปุ่นมาแสดง พลุนี้ทางบริษัทไซโก้ซึ่งเป็นบริษัทขายนาฬิกายี่ห้อไซโก้นั่นเอง คัดเลือกจากชุดการแสดงพลุที่ชนะการประกวดจากญี่ปุ่นและนำมาจัดแสดงในประเทศไทยในโอกาสพิเศษ หลายๆปีจะมีสักที นับเป็นโอกาสที่หาดูได้ยาก และพอดีมาตรงกับในปีนี้

“พี่อยากดูว่ะ ไปดูด้วยกันมั้ย” ผมชวน

“แล้วมีขายอาหาร ขายขนมไหม” บอยถาม

ผมตบหัวมันเบาๆแทนคำตอบ “มันจะห่วงกินไปถึงไหนกันวะ งานพลุโว้ย ไม่ใช่งานวัด”

“อะอะ ไปก็ไป ไม่ได้ห่วงกินซักหน่อย แต่ว่าอยากกิน” บอยอธิบาย พร้อมกับหัวเราะ คุยกับไอ้บอยแล้วอารมณ์ดีขึ้นมาก มันทั้งกวน ทั้งน่ารัก

- - -

หลังจากที่ผมถูกอาจารย์วารีเรียกไปพบ และถูกเวชแสดงความไม่พอใจใส่ มันทำให้ผมคิดมาก คิดไปต่างๆนานา คิดว่าถ้าพ่อกับแม่รู้เรื่องเข้าจะเป็นอย่างไร คิดเสียดายความรู้สึกดีๆที่เคยมีต่อเวช แม้การได้พบและคุยกับบอยจะทำให้ผมสบายใจขึ้น แต่มันก็เหมือนกับการปวดหัวแล้วกินยาแก้ปวด มันช่วยได้แค่ปลายเหตุเท่านั้น เมื่อกลับไปที่หอแล้วผมก็กลับมากลุ้มใจอีก

วันรุ่งขึ้น เวชและพวก รวมทั้งผม ถูกอาจารย์วารีเรียกไปพบอีกครั้งหนึ่ง

“พวกเธอคิดว่าความผิดในครั้งนี้พวกเธอจะถูกลงโทษอย่างไรบ้าง” อาจารย์วารีถามพวกเรา “เวช ลองบอกครูหน่อย เธอคิดว่าโทษของเธอจะขนาดไหน”

เวชก้มหน้านิ่งสักครู่ แล้วก็เงยหน้าขึ้นตอบ “คงไม่ได้แค่เชิญผู้ปกครองมาหรอกครับ เพราะของผมเชิญมาหลายครั้งแล้ว”

อาจารย์วารีพยักหน้า “แล้วเกรียงล่ะ ว่ายังไง”

อาจารย์ให้พวกเราตอบทุกคน แต่ละคนก็ตอบกันไปต่างๆนานา ถูกทำทัณฑ์บนบ้าง ถูกเชิญผู้ปกครองมาบ้าง ฯลฯ ส่วนผมนั้นคิดว่าคงเชิญผู้ปกครองมาพบ

“พวกเธอไม่ได้ทำความผิดเป็นครั้งแรกนะ ยกเว้นอู” อาจารย์พูดกับเวชและคนอื่นๆ จากนั้นก็หันมาทางผม และพูดต่อ “แต่ก็ยังดีอยู่บ้างที่พวกเธอไม่ได้หนีโรงเรียนไปเล่น แค่ไปเล่นตอนหลังเลิกเรียน”

“ส่วนเรื่องกินเหล้าสูบบุหรี่” อาจารย์วารีหยุดนิดหนึ่ง “ที่จริงตอนพวกเธอเข้ามหาวิทยาลัย เรื่องพวกนี้ก็คงมีและถือเป็นเรื่องปกติ แต่ตอนนี้เธอยังเป็นนักเรียน ม.ปลาย ครูว่ามันยังเร็วเกินไปที่เธอจะไปลองเรื่องพวกนี้”

“ตามหลักแล้วครูควรเชิญผู้ปกครองของพวกเธอมาพบและรายงานพฤติกรรมของนักเรียนให้ผู้ปกครองทราบ การเชิญผู้ปกครองมาไม่ใช่เป็นการฟ้องผู้ปกครอง แต่ว่าเราควรมารับทราบปัญหาร่วมกันเพื่อทางโรงเรียนกับทางบ้านจะได้ช่วยกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวนักเรียน” อาจารย์วารีอธิบาย “แต่นั่นมันก็หลักการละนะ อย่างเวชครูคิดว่าถ้าเชิญผู้ปกครองมารับทราบปัญหาบ่อยๆก็อาจไม่เป็นผลดีกับตัวของเวชเองเท่าไร”

เวชกับพวกรวมทั้งผมก้มหน้านิ่ง ผมรู้สึกใจระทึกเพราะฟังไปฟังมาก็ยังไม่รู้ว่าอาจารย์จะลงโทษอย่างไร

“ครั้งนี้ครูจะทำเพียงแค่ตักเตือนพวกเธอ อยากให้พวกเธอเพลาๆเรื่องพวกนี้ลง เพราะยังไม่เหมาะกับวัย เอาไว้โตอีกหน่อยครูก็คงไม่ห้ามแล้วล่ะ” อาจารย์วารีสรุป

ผมรู้สึกทั้งดีใจ โล่งใจ และแปลกใจระคนกัน มันเหมือนกับรอดจากสถานการณ์อันคับขันมาได้อย่างหวุดหวิด ผมคิดว่าทุกคนรู้สึกเช่นเดียวกับผม

“ไม่ลงโทษอะไรเลยเหรอครับ” เวชถามย้ำ

“ไม่มีจ้ะ ครูไม่ลงโทษพวกเธอ” อาจารย์วารียืนยัน “แต่ครูอยากขออะไรจากพวกเธอสักอย่าง”

อาจารย์หยุดไปนิดหนึ่ง จากนั้นพูดต่อ

“ครูดูผลการเรียนเทอมที่แล้วของพวกเธอแล้ว แต่ละคนเกรดไม่ค่อยดีกันเลย ที่ครูอยากจะขอจากพวกเธอก็คือทำเกรดในเทอมนี้ให้ได้เกิน ๒.๕ พวกเธอจะทำอะไรเพื่อครูสักเรื่องได้ไหม”

เป็นเรื่องที่ผมคาดไม่ถึงมาก่อนว่าอาจารย์วารีจะใช้วิธีการเช่นนี้ คิดว่าเวชคงคาดไม่ถึงเช่นกัน สิ่งที่อาจารย์ทำเป็นความปรารถนาดีต่อลูกศิษย์อย่างแท้จริง

“ว่ายังไง ทำให้ครูได้ไหม” อาจารย์วารีถามย้ำ

“ผมจะพยายามครับอาจารย์” ผมรับปาก ไม่กล้าบอกว่าจะทำได้เหมือนกัน เพราะว่าผมไม่ค่อยมั่นใจตัวเองเท่าไร “ผมจะพยายามเต็มที่ ผมสัญญาครับ”

จากนั้นเวชและพวกก็รับปากอาจารย์เช่นกัน ผมรู้สึกโล่งอก ตลอดเวลาที่ผมเรียนกับอาจารย์ ไม่เคยเห็นว่าอาจารย์นิยมทำโทษลูกศิษย์เลย ยิ่งวิธีรุนแรงยิ่งไม่เคยใช้ นักเรียนรุ่นแล้วรุ่นเล่าที่จบออกไป มีไม่น้อยที่เรียกอาจารย์ว่า ‘แม่’

- - -

วันที่ ๔ ธันวาคม

เมื่อหมดเรื่องร้าย ไม่มีอะไรต้องกังวล ผมจึงพร้อมที่จะไปดูพลุญี่ปุ่นด้วยความสบายใจ

วันนี้เป็นวันที่ผมเฝ้ารอ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอยากดูพลุ เพราะได้ยินกิตติศัพท์ถึงความสวยงามและยิ่งใหญ่กว่าการแสดงพลุทั่วไป อีกส่วนหนึ่งก็คือผมจะได้ไปเที่ยวกับไอ้บอยอีก

ช่วงหลังดูบอยเองก็ให้ความสนิทสนมกับผมมาก เราแหย่และปล่อยมุขกันสนุก จนในที่สุดผมอดคิดไม่ได้ว่าบอยเป็นแบบเดียวกับที่ผมเป็นอยู่หรือไม่

เดิมทีผมไม่เคยสงสัยเรื่องนี้เลย เพราะไม่ได้สนใจ ผมมองแค่ว่ามันเป็นรุ่นน้องที่น่ารัก อารมณ์ดี ผมคุยด้วยแล้วสบายใจ ก็เท่านั้นเอง แต่แล้วทำไมช่วงหลังผมจึงสงสัยเรื่องนี้ขึ้นมาก็ไม่เข้าใจตนเองเหมือนกัน

นักเรียนที่เป็นเกย์ในตอนนั้นผมว่าดูกันยากอยู่เหมือนกัน เพราะสังคมในยุคนั้นยังไม่ยอมรับ ดังนั้นแต่ละคนก็ต้องวางตัวให้เป็นปกติให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ต่างจากในปัจจุบันที่สังคมในเมืองใหญ่เปิดกว้างมาก หลายๆคนไม่ปิดบังเพื่อนๆเลยว่าตนเองเป็นเกย์

ผมนัดกับบอยที่โรงอาหารตอนห้าโมงเย็น วันนั้นโรงอาหารเงียบเชียบ ร้านค้าปิดกันหมดแล้ว คงเป็นเพราะพรุ่งนี้เป็นวันหยุด

“ไปโว้ย รีบไปกัน” ผมรีบพูดกับบอยเมื่อเราพบหน้ากัน

“จะรีบไปไหนกันพี่อู พลุแสดงสองทุ่มไม่ใช่เหรอ นี่เพิ่งห้าโมงเอง” บอยบ่นที่โดนผมเร่ง

“ก็พี่อ่านหนังสือพิมพ์ เค้าบอกให้ไปจับจองทำเลแต่เนิ่นๆ ถ้าไปช้าเดี๋ยวได้ที่ไม่ดี” ผมอธิบาย “รีบไปเดี๋ยวจะได้แวะหาที่อะไรอร่อยๆกินกันก่อนด้วยไง”

พอพูดถึงเรื่องกินของอร่อย ไอ้บอยก็หยุดบ่นทันที

“ดีๆ งั้นรีบไปกัน”

ผมพาบอยขึ้นรถเมล์ไปลงที่เสาชิงช้าก่อน จำได้จากตอนที่มาติวฟรีว่าแถวนี้มีของกินให้เลือกมากมาย แล้วก็ไม่ผิดหวัง ตรงถนนดินสอ หน้าศาลาว่าการ กทม มีร้านขายอาหารหลายร้าน ลูกค้าคึกคัก มีร้านที่ขายขนมปังสังขยาด้วย ท่าทางน่าอร่อย

เมื่อได้กินของอร่อยอีกทั้งยังเป็นของฟรี ไอ้น้องบอยก็อารมณ์ดี ผมจะลากไปไหนก็ไม่ขัดแล้วเพราะความอิ่ม ผมจึงพานั่งรถสาย ๙๖ ที่ผ่านแถวนั้นเพื่อไปยังสนามม้านางเลิ้ง

รถเมล์ไปได้เรื่อยๆจนเลยผ่านฟ้าไปได้ช่วงหนึ่ง ถึงประมาณตลาดนางเลิ้ง รถก็ติดหนึบ รออยู่นานก็ยังไม่ขยับ แลเห็นคนลงจากรถโดยสารและเดินมุ่งหน้าไปทางสนามม้าเป็นกลุ่มใหญ่ ผมกับบอยจึงลงเดินบ้าง

ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ ๑๘.๓๐ น. เลยนิดหน่อย เราใช้เวลาเดินสักพัก ผ่านตลาดนางเลิ้ง เมื่อมาจนถึงแยกนางเลิ้งก็เห็นฝูงชนแน่นขนัดกำลังทยอยเบียดเสียดเข้าประตูสนามม้า

“โห แล้วมันจะดูไหวเหรอเนี่ย คนเยอะขนาดนี้ ดูข้างนอกเถอะพี่อู ยืนตรงนี้ก็ยังเห็นชัด” บอยพูด ดูจะท้อกับผู้คนอันล้นหลาม

“เข้าไปหน่อยน่าบอย พี่อยากดูใกล้ๆ” ผมพูด

บอยงอแงนิดหน่อย แต่แล้วก็ไม่ขัด พยายามเดินเบียดผู้คนเข้าไปกับผม จนเมื่อผ่านเข้าประตูสนามม้าไปจึงเห็นสภาพภายใน เห็นคนเต็มรอบๆสนาม ตรงจุดที่คาดว่าน่าจะเป็นมุมมองที่ดีก็จะมีขาตั้งกล้องวางเรียงรายอยู่ เห็นคนมาจับจองที่เพื่อถ่ายภาพกันเยอะมาก

ผมกับบอยไหลไปเรื่อยๆ คราวนี้ไม่รู้ว่าไปไหนแล้ว เพราะว่าฝืนกระแสคนที่พาให้ไหลไปไม่ได้ ผมจับมือบอยเอาไว้เพื่อจะได้ไม่พลัดกัน

ผมจงใจจับมือบอยโดยกุมมือบอยเสียแน่น ไม่ได้จับเพียงหลวมๆ อีกทั้งยังกุมอยู่เป็นเวลานาน เพราะอยากจะรู้ว่าบอยจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ปรากฏว่าบอยก็กุมมือผมไว้แน่นเช่นกัน ไม่ได้ทีท่าทีต้องการสะบัดออกแต่อย่างใด

ผมรู้สึกว่าความอบอุ่นจากมือของบอยแผ่ซ่านเข้ามาในใจของผม ผมรู้สึกอยากกุมมือบอยไว้ในสภาพเช่นนี้ไปนานๆ


<การแสดงพลุไซโก้ในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พลุไซโก้นี้ไม่ได้จัดทุกปี จะจัดเฉพาะในวาระพิเศษเท่านั้น และการแสดงพลุแต่ละชุดก็พิเศษด้วยเช่นกัน เพราะว่าเป็นการรวบรวมชุดการแสดงพลุระดับรางวัลมาแสดง ล่าสุดจัดแสดงในปี พ.ศ. ๒๕๕๐ นับเป็นครั้งที่ ๖>


<พลุที่ระเบิดออกมาแล้วเป็นรูปแมวโดราเอมอนกลางอากาศ จะเห็นว่าพลุไซโก้นั้นไม่ธรรมดา>

Wednesday, December 16, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 37

ในณะที่เกรียงและเพื่อนคนอื่นรื้อค้นข้าวของที่อยู่ในห้องรับแขกกับห้องนั่งเล่นในบ้านของเวชนั้นผมก็นั่งเล่นอยู่ที่โซฟากับเวช พร้อมกับถือโอกาสสำรวจบ้านของเวชด้วยสายตา ตัวบ้านของเวชใหญ่โต นอกตัวบ้านก็กินบริเวณกว้างขวาง บ้านคุณลุงที่ผมเคยอาศัยอยู่มีขนาดที่ดินประมาณ ๑๐๐ ตารางวา ส่วนที่ดินของบ้านหลังนี้เนื้อที่ใหญ่กว่าหลายเท่า น่าจะประมาณหนึ่งไร่ได้ ซึ่งเมื่อหลายสิบปีก่อนที่ดินย่านฝั่งธนบุรียังมีราคาไม่แพงนัก การที่คนมีฐานะจะมีที่ดินปลูกบ้านสักหนึ่งไร่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

แต่ที่น่าแปลกก็คือบ้านนี้แม้ใหญ่โต แต่รู้สึกเงียบเหงาผิดปกติ

“คุณพ่อคุณแม่ไม่ค่อยอยู่บ้านเหรอ” ผมถามอย่างระมัดระวัง

“ฮื่อ” เวชตอบ “ทำงาน งานเลี้ยง เยอะแยะไปหมด”

“แล้วทำความสะอาดบ้านกันตอนไหนล่ะ” ผมถาม ด้วยความที่ทำงานบ้านเองจนชิน จึงนึกสงสัยว่าสามคนพ่อแม่ลูกเอาเวลาทำงานบ้านกันตอนไหน

“มีคนทำน่ะ” เวชตอบ “มีแม่บ้านกับลุงสองผัวเมีย ทำงานบ้าน ทำครัว แล้วก็ทำสวน”

เวชตอบสั้นๆ แต่เพียงแค่นี้ผมก็พอนึกภาพออก เวชคงเป็นลูกคนเดียว พ่อแม่ไม่ค่อยอยู่บ้าน เวชเองจึงไม่รู้ว่าจะกลับบ้านมาทำไมเพราะเมื่อกลับมาแล้วก็ไม่มีใคร แม้บ้านของเวชจะใหญ่ ฐานะจะดูมั่งคั่ง แต่ผมคิดว่าหัวใจของเวชคงมีแต่ความเงียบเหงาอ้างว้าง เมื่อพ่อแม่ลูกต่างก็ไม่ค่อยอยู่บ้าน ดูเหมือนว่าผู้ที่ครอบครองบ้านและเสพสุขในบ้านอันใหญ่โตที่แท้จริงกลับกลายเป็นสองผัวเมียที่คอยดูแลบ้านให้

สภาพของเวชทำให้ผมอดนึกถึงไอ้นัยไม่ได้ ไอ้นัยเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กที่ขาดความอบอุ่น คุณอาของไอ้นัยก็ไม่ได้เป็นคล้ายๆกันนี้หรอกหรือ พยายามตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินจนเหลือเวลาให้แก่ไอ้นัยเพียงเล็กน้อย แต่สภาพของเวชดูจะเงียบเหงากว่าด้วยซ้ำ มันทำให้ผมอดเกิดความเห็นอกเห็นใจเวชขึ้นมาไม่ได้ น่าแปลกที่เมื่อก่อนหน้านี้ผมรู้สึกปรารถนาดีกับเวชอย่างหาสาเหตุไม่ได้ มันเป็นความรู้สึกที่เกิดจากหัวใจ ไม่ใช่จากเหตุผลใดๆ ที่แท้คงเป็นเพราะว่ามันมีอะไรบางอย่างที่คล้ายไอ้นัยนี่เอง

คิดไปคิดมาก็อดคิดถึงตัวเองไม่ได้ นึกถึงภาพตนเองเดินเข้าห้องฝ่ายปกครองในวันรุ่งขึ้น และหลังจากนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

“เฮ้ย คิดห่าอะไรวะ นั่งเหม่อเชียว” เวชเรียกผม “กูเห็นมึงชอบนั่งใจลอยเป็นประจำเลย”

“เอ้อ ก็คิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อยน่ะ คิดถึงพรุ่งนี้ด้วย ไม่รู้ว่าจะโดนอะไรบ้าง” ผมพูด

“ปอดแหกละสิ” เวชหัวเราะ “ไม่มีอะไรมากหรอก ของมึงเพิ่งครั้งแรก อย่างมากก็เชิญผู้ปกครองมาพบ”

เวชหยุดเล็กน้อย แล้วพูดต่อ

“แต่กูว่ามึงคงรอดได้ว่ะ ใครจะรู้ เพราะอาจารย์ไม่รู้จักมึง กระเป๋าก็ไม่ได้ทิ้งเอาไว้”

ผมถอนใจ “ถ้าโดนเชิญผู้ปกครองมา สงสัยพ่อกูต้องบังคับให้กลับไปเรียนต่างจังหวัดแน่เลย”

“เสียใจแล้วละสิ” เวชพูดยิ้มๆ ไม่แน่ใจว่ามันแฝงความหมายเยาะหยันเอาไว้หรือเปล่า

“...”

ผมเหลือบไปเห็นที่มุมห้องมีวัตถุคล้ายตู้สีไม้โอ๊ควางอยู่ มันคือเปียโนแบบอัปไรต์นั่นเอง

“โห มีเปียโนด้วย” ผมอุทาน พร้อมกันนั้นก็อดเดินไปดูไม่ได้ แต่ไม่กล้าเปิดฝาออกมาทดลองเล่นเพราะกลัวเวชด่า

“มึงเล่นเป็นเหรอ” เวชพูดอย่างแปลกใจ

“ก็เรียนอยู่อะ แต่ไม่ค่อยก้าวหน้าหรอก ไม่มีโอกาสซ้อม กูไม่มีเปียโนเอง ต้องอาศัยซ้อมที่โรงเรียนดนตรี เวลาซ้อมก็หายาก” ผมอธิบาย “แล้วเปียโนนี้ใครเล่นล่ะ”

เวชส่ายหน้า “ไม่มีใครเล่นเป็นหรอก เอาไว้โชว์น่ะ”

ที่แท้มีเปียโนเอาไว้ประดับบารมีนั่นเอง การมีเปียโนอยู่ในบ้านเป็นเครื่องบ่งบอกถึงรสนิยมและฐานะได้อย่างหนึ่งจริงๆ

“มึงลองเล่นดิ” เวชพูด

“ให้กูลองเหรอ ดีจัง” ผมพูดอย่างดีใจ ผมฝันอยากมีเปียโนที่บ้านมานานแล้ว จะได้ไม่ต้องคอยไปซ้อมที่โรงเรียน หากมีโอกาสฝึกฝนให้มากขึ้น ฝีมือของผมคงก้าวหน้าได้มากกว่านี้ แต่มันก็เป็นได้แค่ความฝันจริงๆ เพราะผมอยู่หอพัก มองไม่เห็นทางเอาเลย

ผมเปิดฝาเปียโนขึ้น เผยให้เห็นลิ่มเปียโนสีขาวงาช้างสลับดำเรียงรายเป็นแถวยาว ขึ้นนั่งบนเก้าอี้เปียโน จากนั้น... โดยไม่ต้องคิด ผมเล่นเพลง Minuet หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเพลง A lover’s concerto นั่นเอง... มันเป็นเพลงที่ผมเล่นซ้ำแล้วซ้ำอีกในยามที่รู้สึกเหงาและว้าเหว่ ผมบรรเลงมันมาจนนับครั้งไม่ถ้วน

“เพราะดีนะ” เวชชมเมื่อผมเล่นจบ ผมรู้สึกแปลกใจ ไม่เคยได้ยินมันชมใครหรืออะไรมาก่อนเลย

“เล่นไม่ค่อยดีหรอก” ผมออกตัว “ถ้ามึงได้ฟังเพื่อนกูเล่นด้วยกีตาร์มึงจะต้องชอบ เพราะกว่านี้เยอะเลย”

อยู่ดีๆผมก็หลุดปากพูดประโยคหลังออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ปกติผมไม่เคยพูดพาดพิงถึงไอ้นัยให้ใครฟังเลย ทำไมวันนี้จึงหลุดออกไปได้ ดีที่เวชไม่ได้ถามอะไรต่อ

- - -

บ้านของเวชแม้ใหญ่โต แต่ก็ไม่มีอะไรชวนให้ประทับใจเลยจริงๆ พวกไอ้เกรียงไปซนอยู่เพียงชั่วโมงเดียวก็เบื่อจากนั้นก็ชวนกันกลับ ผมก็กลับด้วย เราต่างแยกย้ายกันที่ป้ายรถเมล์หน้าปากซอย ผมขึ้นรถเมล์สายที่ไปสะพานพุทธเพื่อไปต่อรถเมล์สาย ๘

ระหว่างทางที่ผมนั่งรถเมล์กลับบ้าน ในหัวของผมเต็มไปด้วยความคิดอันสับสน เมื่อนึกถึงบ้านอันใหญ่โตของเวชทำให้ผมอดรู้สึกอิจฉาไม่ได้ ความร่ำรวยของพ่อแม่เวชทำให้ผมเกิดความทะเยอทะยานขึ้นมาบ้าง กล่าวได้ว่าเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผมคิดทะเยอทะยานขึ้นมาหลังจากที่ผมใช้ชีวิตแบบเรื่อยๆมาตลอด ผมอดฝันหวานไม่ได้ว่าเมื่อผมเติบใหญ่ขึ้น ผมจะประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียง จะมีบ้านหลังโตและมีฐานะร่ำรวยแบบนี้บ้าง

ผมคิดไปถึงไอ้เชาวน์และพวกซึ่งก่อตัวเป็นกลุ่มติวที่เข้มแข็งไม่ได้ พวกมันเรียนกันอย่างเอาเป็นเอาตายไปเพื่ออะไรกัน ก็คงเพื่อสร้างฐานไปสู่ความสำเร็จในชีวิตข้างหน้า พวกนี้มันก็คงอยากร่ำรวยและมีชื่อเสียงเช่นเดียวกัน มันมีความฝัน อีกทั้งมีกำลังใจที่ผลักดันให้มันลงมือทำ ส่วนผมนั้นเล่า... ผมมีแต่ความฝัน แต่ไม่มีกำลังใจที่จะทำสิ่งใดเลย...

และแล้ว ฝันหวานของผมก็ต้องดับวูบลงเมื่อผมนึกถึงชะตากรรมที่จะเกิดขึ้นแก่ผมในวันรุ่งขึ้น...

- - -

วันต่อมา

เช้าวันถัดมา ผมใจไม่ดีเลยตลอดทั้งเช้า เพราะคิดว่าคงเกิดเรื่องขึ้นกับเวชและพวก รวมทั้งผมด้วยเป็นแน่ ผมเรียนหนังสือไม่รู้เรื่องเลยตลอดทั้งเช้าเพราะความวิตกกังวล ที่จริงถ้าจะว่าไปแล้วผมกังวลมาตลอดทั้งคืน พยายามจะนอนก็นอนไม่หลับ

สถานการณ์ในตอนเช้าวันนั้นกลับสงบราบรื่น ไม่เห็นวี่แววอาจารย์ฝ่ายปกครองเลย จนหมดคาบเรียนในภาคเช้า ก่อนที่พวกเราจะออกไปพักเที่ยง อาจารย์วารีก็เดินเข้ามาในห้อง

“เดี๋ยวก่อนนักเรียน ครูขอเวลาหน่อย” อาจารย์วารีพูดด้วยเสียงที่ราบเรียบ สังเกตอารมณ์ของอาจารย์ไม่ออกเลยแม้แต่น้อย

“เมื่อตอนสาย อาจารย์ฝ่ายปกครองมาพบครู และได้เล่าให้ครูฟังว่าเมื่อวานได้ไปตรวจโต๊ะสนุ้กเกอร์ที่ปากคลองตลาด” อาจารย์วารีเกริ่น จากนั้นก็พูดต่อ “จากนั้นก็พบนักเรียนของเราบางคนประพฤติตัวไม่เหมาะสม เมื่ออาจารย์เรียก นักเรียนพวกนั้นก็วิ่งหนีไปจนหมด ทิ้งไว้แต่กระเป๋าและเป้นักเรียน”

เอาละสิ นึกว่าอาจารย์ฝ่ายปกครองจะเป็นคนมาชำระโทษ กลับกลายเป็นอาจารย์วารีเสียได้ ผมครวญอยู่ในใจ อดรู้สึกเสียใจต่ออาจารย์วารีไม่ได้ที่ทำเรื่องเดือดร้อนให้อาจารย์ผู้แสนดีคนนี้

“ใครที่อยู่ในเหตุการณ์เมื่อวาน ทานอาหารเที่ยงสร็จแล้วมาพบครูหน่อยนะ ครูอยากคุยด้วย” อาจารย์วารีพูดเพียงสั้นๆแล้วก็เดินออกจาห้องไป ทิ้งให้พวกนักเรียนในห้องวิพากษ์วิจารณ์กันเสียงอื้ออึงเพราะไม่มีใครรู้ว่าอาจารย์หมายถึงใคร

“พวกไอ้เหี้ยเวชแน่เลย” ไอ้กี้กระซิบบอกผม “พวกแม่งชวนกันไปตีสนุ้กเป็นประจำ”

ผมอึ้ง ไม่รู้จะพูดอะไรดี จึงนั่งเงียบๆเอาไว้ พวกนักเรียนต่างทยอยเดินออกไปจากห้องพร้อมกับวิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่เกิดขึ้น ผมนึกล่วงหน้าไป เห็นภาพตนเองใส่ชุดนักเรียนกางเกงสีน้ำเงิน นั่งเรียนอยู่ในห้องเรียนเก่าๆ สงสัยคราวนี้คงหนีไม่พ้นต้องกลับไปเรียนที่โรงเรียนเอกชนใกล้บ้านเป็นแน่

ผมหันไปมองเวช แม้ไม่ได้ส่องกระจกแต่ผมคาดว่าสีหน้าของผมคงซีดอย่างมากเพราะความวิตกกังวล

“เฮ้ย มึงไม่ต้องไปหรอกไอ้อู” เวชพูดหลังจากที่เพื่อนๆออกไปกันจนหมดแล้ว เหลือแต่เกรียงและคนอื่นๆในเหตุการณ์เมื่อวาน

“ได้ไงวะ กินด้วยกัน เที่ยวด้วยกัน พอมีเรื่องมึงจะหนีหน้าได้ไง” ไอ้เกรียงไม่ยอม

“ให้มันเอาตัวรอดไปเถอะ มันไม่ได้ทิ้งหลักฐานเอาไว้ มึงจะลากมันมาทำไม” เวชพูดเสียงเข้ม “สนุ้กมันยังไม่เคยแทงเลย มันไปนั่งเฉยๆ มึงจะไปเอาอะไรกะมัน”

น่าแปลกที่เวชปกป้องผมอย่างออกนอกหน้า ดูไอ้เกรียงจะไม่พอใจมาก แต่ก็ขัดเวชไม่ได้เพราะว่าเวชเป็นหัวโจก ส่วนคนอื่นๆนั้นไม่มีปากเสียงอะไร

ผมวางตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะพูดหรือแสดงออกอย่างไร ใจหนึ่งก็ดีใจ ถ้าเวชพูดแบบนี้แสดงว่าถึงอย่างไรเวชกับพวกคงไม่ซัดทอดผม อีกใจหนึ่งก็อึดอัด เพราะรู้สึกว่าไอ้เกรียงไม่พอใจมาก ผมอาจกลายเป็นชนวนของความขัดแย้งไปในที่สุด

“เดี๋ยวมึงไม่ต้องขึ้นไปหาอาจารย์ เอาตามนี้แหละ” เวชพูดเหมือนกับออกคำสั่งผม ไม่เปิดโอกาสให้ผมพูดอะไรต่อ

ใครจะรู้ว่าน้ำใจที่เวชเอื้อเฟื้อแก่ผมนั้นได้ก่อให้เกิดผลที่ตามมาอีกมากมายอย่างที่ใครๆก็คาดไม่ถึง!

- - -

น่าแปลก การที่เวชปล่อยให้ผมเอาตัวรอดไปได้นั้นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกยินดีเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม ผมกลับรู้สึกอึดอัด ไม่สบายใจ แต่ผมคิดหาสาเหตุไม่ออกว่าเป็นเพราะอะไร

ผมไม่รู้สึกหิว จึงไม่ได้ไปที่โรงอาหาร ผมต้องการเวลาเพื่อคิดอะไรสักหน่อย จึงแวะไปนั่งในห้องสมุดแทน

ผมเดินไปนั่งที่มุมสงบ... ตรงที่ที่ไอ้นัยเคยนั่งอ่านหนังสือ และที่ตรงนี้เองที่ผมเอาจดหมายจากไอ้นัยออกมาอ่าน ผมคิด คิด และคิดถึงเรื่องที่ยังค้างคาใจอยู่ ทำไมผมไม่ยินดีกับการเอาตัวรอดในครั้งนี้เลย

เวชมีลักษณะบางอย่างที่คล้ายไอ้นัย มันเป็นเด็กที่ว้าเหว่และขาดความอบอุ่น จำได้ว่าในเวลาที่ไอ้นัยต้องการผมอย่างที่สุด เวลานั้นเองที่ผมได้ทอดทิ้งมันไป... และในเวลานี้ ผมก็กำลังจะทอดทิ้งเพื่อนไปอีกคนหนึ่ง

- - -

“ว่าไงอู มีอะไรเหรอ” อาจารย์วารีทักอย่างปรานีเมื่อเห็นผมยืนอยู่ที่หน้าโต๊ะของอาจารย์ในห้องพักครู

“เอ้อ... ผมมา... ผมมา... ก็อาจารย์ให้ผมมาหาไงครับ” ผมตะกุกตะกัก เริ่มเรื่องไม่ถูกเหมือนกัน

“ครูให้เธอมาหาเหรอ” อาจารย์วารีทวนคำด้วยสีหน้างงๆ “ครูพูดเมื่อไร ไม่มีนี่”

“ก็อาจารย์บอกว่าใครอยู่ในเหตุการณ์ที่โต๊ะสนุ้ก... เอ้อ...” ผมพูดไม่ออก

อาจารย์วารีมีสีหน้าแปลกใจ

“นี่เธอก็เอากับเค้าด้วยหรือนี่ ไม่น่าเชื่อเลย” อาจารย์อุทาน “รายชื่อที่อาจารย์ฝ่ายปกครองส่งมาก็ไม่มีชื่อเธอ”

“ผมไม่ได้ทิ้งเป้เอาไว้ครับ” ผมอธิบาย

“แล้วเธอมาหาครูทำไม” อาจารย์วารีมีสีหน้าเคร่งขรึม ดูท่าทางหนักใจ

ก่อนที่ผมจะตอบอะไร เวช เกรียง และพวกก็เดินเข้ามาในห้องพักครูพอดี เวชชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นผม ส่วนไอ้เกรียงแสยะยิ้ม คล้ายกับสะใจ

หลังจากที่อยู่กันพร้อมหน้าครบครัน อาจารย์วารีก็ได้สอบถามถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ซึ่งเวชก็ตอบให้อาจารย์ทราบตามจริง เมื่ออาจารย์สอบถามจนจบความแล้วก็คืนของที่พวกเราลืมทิ้งเอาไว้เมื่อวาน จากนั้นปล่อยให้พวกเรากลับห้องไปก่อน

“อ้อ เดี๋ยว อูอยู่ก่อนนะ” อาจารย์วารีเรียกผมเอาไว้

ผมกลับมานั่งที่หน้าโต๊ะของอาจารย์อีกครั้งหนึ่ง

“อู ครูนึกไม่ถึงเลยนะว่าเธอจะไปคลุกคลีกับพวกเวชเค้าได้” อาจารย์เริ่มการสนทนา

“ครับ” ผมรับคำ ตอนนี้คงไม่มีอะไรดีไปกว่าคำว่าครับหรือว่าอยู่เฉยๆ

“เรื่องมันไปยังไงมายังไง ถึงไปอยู่กับพวกนั้นได้” อาจารย์วารีถาม

“ก็...” ผมพยายามตอบอย่างระวัง “บางทีผมก็เหงาๆน่ะครับ เห็นพวกเวชไปเล่นสนุ้กกันก็อยากรู้ว่าเล่นกันยังไง ก็เลยตามไปครับ”

“แล้วเธอกินเหล้าสูบบุหรี่ด้วยหรือเปล่า” อาจารย์ถามไม่อ้อมค้อม

ผมพยักหน้า “ครับ”

“ในเมื่อเธอไม่ได้ทิ้งอะไรเอาไว้ในห้องสนุ้ก ที่จริงเธอจะไม่มาพบครูก็ได้ แต่เธอมาทำไมล่ะ” อาจารย์วารีถามด้วยคำถามที่ค้างไว้จากเมื่อครู่

“ผมทำเพื่อ... เอ้อ... เพื่อ... ผมไม่ทราบจะพูดอย่างไรดีครับ” ผมตอบตะกุกตะกัก “ผมเคยทิ้งเพื่อนมาแล้วครั้งหนึ่ง... เมื่อนานมาแล้ว... และผมไม่อยากทำแบบนั้นอีกครับ”

อาจารย์วารีพยักหน้าเหมือนกับจะเข้าใจความหมายของผม

“อู รู้ไหมว่าทำไมครูเรียกเธอมาคุยเป็นพิเศษ” อาจารย์วารีพูดพลางมองหน้าผมด้วยสายตาที่ปรานี “ครูอยากเตือนเธอให้ระมัดระวังในการใช้ชีวิต”

“อาจารย์หมายถึงเรื่อง....” ผมทิ้งท้ายคำพูด

“เรื่องคบเพื่อนน่ะ” อาจารย์วารีต่อคำพูดให้

“อาจารย์หมายถึงการคบเพื่อนไม่ดีใช่ไหมครับ” ผมถาม

แทนที่อาจารย์วารีจะตอบว่าใช่ อาจารย์กลับส่ายหน้า

“ครูไม่ได้คิดว่าเวชกับพวกเป็นเด็กไม่ดีหรอกนะ ลูกศิษย์ครูเป็นเด็กดีทุกคน แต่ว่าแต่ละคนอาจมีภูมิหลังต่างๆกัน และมีนิสัยที่แตกต่างกัน เป็นหน้าที่ของครูที่ต้องพยายามอบรมลูกศิษย์เพื่อให้ลูกศิษย์ได้ดีและมีเลือกเส้นทางชีวิตที่เหมาะกับตนเอง”

ผมแปลกใจกับคำตอบของอาจารย์ ผมไม่เคยพบใครที่มองลูกศิษย์ทุกคนในแง่ดีเช่นนี้มาก่อน และต่อจากนั้นมา ตลอดเวลาที่ผมเรียนอยู่กับอาจารย์วารีทำให้ผมเข้าใจได้ว่าหน้าที่ของอาจารย์ไม่ใช่อยู่ที่การเข็นเด็กให้สอบเอ็นทรานซ์ติด แต่หน้าที่ของอาจารย์ยิ่งใหญ่กว่านั้นมาก

“ผมไม่เข้าใจครับ” ผมสารภาพ

“ครูไม่ได้บอกว่าเธอคบเพื่อนไม่ดี คนเราไม่อาจประเมินความสำเร็จกันได้เพียงเพราะว่าตอน ม.๔ เด็กคนนั้นสูบบุหรี่ หรือว่าเล่นสนุ้ก คนที่เด็กๆเกเรแล้วต่อมาก้าวหน้าประสบความสำเร็จก็มี ต่อไปเวชอาจเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จอย่างมากก็ได้ใครจะรู้” อาจารย์วารีหยุดคิดนิดหนึ่ง “แต่ครูอยากให้เธอพิจารณาการใช้ชีวิตของเธอเองต่างหาก ครูว่าครูพอรู้นิสัยของเธอนะอู ครูไม่คิดว่าสิ่งที่เธอทำอยู่นี้เหมาะกับนิสัยของเธอจริงๆ เธอควรเป็นตัวของตัวเอง เลือกเส้นทางชีวิตในทางที่เหมาะสมกับตนเอง แล้วชีวิตของอูจะก้าวหน้าต่อไปได้ เธอเป็นเด็กฉลาด ครูเชื่อว่าเธอเข้าใจที่ครูพูด”

ผมอึ้ง คำพูดของอาจารย์วารีเหมือนจี้ถูกใจดำของผม ดูเหมือนอาจารย์จะมีความเชื่อมั่นใจตัวลูกศิษย์ทุกคนจริงๆ เพราะแม้แต่คนอย่างผม อาจารย์ก็ยังมองว่าเป็นเด็กฉลาดได้

- - -

หลังจากที่ผมกลับลงมาที่ห้อง เวชไม่ถามอะไรผมเลย ส่วนเกรียงพยายามสอบถามผมว่าอาจารย์วารีเรียกผมไปคุยต่อด้วยเรื่องอะไร ซึ่งผมตอบบ่ายเบี่ยงไป ส่วนเพื่อนคนอื่นๆในที่สุดก็รู้ว่าผมอยู่ในกลุ่มของเวชในตอนที่อาจารย์ฝ่ายปกครองบุกตรวจ

บ่ายวันนั้น ผมคิดถึงคำพูดของอาจารย์วารีตลอดทั้งบ่าย แต่คิดไปคิดมาก็ยังคิดไม่ตก เหมือนจะเข้าใจ แต่ก็เหมือนจะไม่เข้าใจ จนกระทั่งเลิกเรียน ด้วยความรู้สึกที่กระอักกระอ่วนและวางตัวไม่ถูก ผมจึงรีบแยกตัวออกมาจากกลุ่มของเวชเพื่อจะไปสหกรณ์

คิดไม่ตก ไปหาไอ้บอยดีกว่า วันก่อนผมได้วางแผนการเที่ยวเอาไว้ กะว่าจะไปชวนไอ้บอยเสียหน่อย ก็ดีเหมือนกัน มีเรื่องเซ็งๆ ไปเที่ยวกับไอ้บอยคงช่วยให้สบายใจขึ้นบ้าง

Friday, December 11, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 36

เดือนธันวาคม

หลังจากที่หมดฝนไปแล้ว ลมหนาวก็กรายเข้ามา อากาศยามต้นเดือนธันวาคมแจ่มใส เย็นสบาย

เกือบหกโมงเช้าแล้ว แต่ฟ้ายังไม่สาง สองสามวันมานี้อากาศเย็นลงอีกและเปลี่ยนจากเย็นสบายมาเป็นหนาว ผมออกจากหอพักเพื่อไปโรงเรียนเช่นปกติ เมื่อเดินพ้นประตูหอพัก สายลมที่พัดวูบมาปะทะทำให้ผมรู้สึกหนาวเล็กน้อย

ชีวิตของผมในเทอมนี้ไม่ค่อยมีอะไรเคร่งเครียด ผมเรียนอย่างสบายๆ การบ้านก็ไม่ต้องเปลืองสมองทำเองเท่าไรนัก อาศัยเวชคอยช่วยหาต้นฉบับให้ ชีวิตตอนเย็นและค่ำส่วนใหญ่ก็หมดไปกับเรื่องบันเทิง บางวันก็กินอาหารกับบอย บางวันก็ไปกับเวชและพวก บางวันก็กลับมาร่วมสังสรรค์กับกลุ่มของพี่ธิตที่ชั้นดาดฟ้าของหอพัก วันเสาร์ก็ไปเรียนเปียโนจากนั้นก็เดินโต๋เต๋อยู่ในย่านสยามสแควร์และมาบุญครอง ส่วนวันอาทิตย์ก็ซักผ้า รีดผ้า และทำความสะอาดห้องพัก วนเวียนอยู่เช่นนี้

ความสามารถในการสูบบุหรี่ของผมก้าวหน้าขึ้นมาก ตอนนี้ผมสามารถสูบบุหรี่หมดทั้งมวนได้แล้วโดยไม่มึน นอกจากนี้ ผมยังเริ่มหัดดื่มเบียร์กระป๋อง แต่ยังไม่รู้สึกชอบเท่าใดนัก ผมคิดว่ารสชาติของมันขม ไม่น่าดื่มเอาเสียเลย แถมดื่มได้เพียงสองสามอึกหน้าก็จะแดงและรู้สึกมึน แต่อย่างไรก็ดี ในเมื่อเวชและพวกดื่มกัน ผมก็พยายามหัดเพื่อจะได้เข้ากลุ่มได้

เมื่อผมสูบบุหรี่และดื่มเบียร์ได้ เกรียงและเพื่อนคนอื่นๆดูจะยอมรับผมมากขึ้น อย่างน้อยตอนนี้พวกมันก็เลิกค่อนแคะผมว่าเป็นเด็กอ่อนหัดแล้ว

ทางด้านเวชนั้น หลังจากที่อาจารย์วารีทราบวีรกรรมของเวชแล้วก็เชิญผู้ปกครองของเวชมาพบ ข่าวที่รั่วออกมาจากห้องพักครูได้ความว่าอาจารย์วารีไม่ได้ส่งเรื่องนี้ให้ทางฝ่ายปกครองดำเนินการ เพราะว่าอาจารย์พิกุลไม่ต้องการเอาเรื่อง แต่ที่อาจารย์วารีเชิญผู้ปกครองของเวชมาก็เพื่อหารือให้ช่วยรับผิดชอบเรื่องค่าซ่อมรถให้แก่อาจารย์พิกุล ซึ่งผู้ปกครองของเวชก็ยินยอมรับผิดชอบ เรื่องจึงเป็นอันจบลงไป และหลังจากนั้นมา เวชก็ไม่ค่อยหาเรื่องป่วนอาจารย์พิกุลเท่าไรนัก ทำให้บรรยากาศการเรียนในชั่วโมงคณิตศาสตร์ดีขึ้นกว่าเดิมไม่น้อย

ทางด้านไอ้น้องบอยนั้น หลังจากที่ไปเที่ยวงานภูเขาทองด้วยกันทำให้ความสนิทสนมของเราเพิ่มมากขึ้น บอยมีส่วนช่วยให้ชีวิตของผมคลายเหงาไปได้มาก ผมรู้สึกติดไอ้บอยมากขึ้นทุกที เดิมทีหลายๆวันจะแวะไปหามันที่สหกรณ์เสียทีหนึ่ง แต่มาในช่วงหลังนี้ผมคิดถึงมันบ่อยขึ้นจึงทำให้แวะไปหามันบ่อยขึ้นกว่าเดิม

เช้าวันนี้ ผมเดินฝ่าความมืดและอากาศที่หนาวเย็นเพื่อไปขึ้นรถที่ซอยภาวนาเช่นเดิม หลังจากที่ผมได้อ่านจดหมายของไอ้นัยทำให้ผมรู้สึกผิดและตำหนิตนเองมาตลอด แม้เวลาจะผ่านมาหลายเดือนแล้วก็ตาม แต่ผมก็ยังไม่อาจทำใจให้ยอมรับกับเรื่องที่เกิดขึ้นได้ จนในที่สุด ผมต้องพยายามหนีความผิดและการตำหนิจากมโนธรรมของตนเองด้วยการพยายามลืมไอ้นัยไปให้ได้ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ผมพยายามหนีด้วยการใช้เวลาไปกับเรื่องอื่นๆเพื่อที่จะได้ไม่ต้องมาคิดถึงเรื่องไอ้นัย ซึ่งมันก็พอช่วยได้บ้าง แต่พฤติกรรมหลายๆอย่างของผมก็ขัดแย้งกันอยู่ในตัวเอง อย่างเช่นการขึ้นรถเมล์ของผม ทุกวันนี้ผมก็ยังเดินเป็นระยะทางสามป้ายรถเมล์เพื่อไปขึ้นรถเมล์ที่ปากซอยภาวนาในตอนเช้า ผมยังไปดูจดหมายที่ห้องธุรการบ้างเป็นครั้งคราว รวมทั้งในวันเสาร์ เมื่อมักแวะเวียนไปที่ร้านโดนัทที่สยามสแควร์เสมอ

รถเมล์สาย ๘ ค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากท่ารถเพื่อพาผมเดินทางสู่จุดหมาย รถเมล์สายนี้มีจุดหมายของมัน แล้วชีวิตของผมล่ะ มีจุดหมายอยู่ที่ใด?

สายลมหนาวพัดเข้ามาทางหน้าต่างรถเมล์ ผมปล่อยความคิดให้ล่องลอยไป ผมเคยคิดจะเลิกขึ้นรถเมล์ที่ท่ารถนี้หลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่อาจตัดใจได้ มันเป็นเหมือนความเคยชิน และมันเป็นเหมือนกับความหวังใยเล็กๆที่ผมมักมีอยู่เสมอ... ผมมักมีความหวังอยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม

- - -

หลังเลิกเรียน

นักเรียนพากันทยอยเดินออกจากห้องเรียน ชีวิตที่มาอยู่ร่วมกันในตอนกลางวันต่างก็แยกย้ายกันไปตามเส้นทางของตนเอง

กลุ่มของเชาวน์จะใช้เวลาหลังเลิกเรียนในการไปติวที่โรงเรียนกวดวิชาและจับกลุ่มติวกันเอง กลุ่มนี้ในเทอมต้นมีสมาชิกในกลุ่มอยู่เพียงสี่ห้าคน แต่พอมาในเทอมนี้กลับมีเพื่อนๆเข้ามาเป็นสมาชิกในกลุ่มถึงสิบกว่าคน โดยแกนนำยังคงเป็นเชาวน์และเพื่อนในกลุ่มสี่ห้าคนดั้งเดิมที่ทำงานกันอย่างเข้มแข็ง มีการแบ่งกันไปอ่านหนังสือเพื่อนำเอาความรู้มาติวเพื่อนๆ ตำราฟิสิกส์ฉบับภาษาอังกฤษที่ผมเคยเห็นมันอ่านอยู่นั้นก็เป็นตำราที่มันนำมาศึกษาเพื่อไปติวให้เพื่อนๆนั่นเอง โดยเชาวน์รับผิดชอบการติววิชาฟิสิกส์ นอกจากนี้ก็มีคนอื่นๆที่รับผิดชอบในการติวคณิตศาสตร์ เคมี ชีววิทยา อังกฤษ แม้กระทั่งวิชาสามัญ ๑ นอกจากกลุ่มสี่ห้าคนที่เป็นแกนนำแล้วสมาชิกส่วนที่สมทบเข้ามาในภายหลังก็เป็นเพื่อนๆในห้องที่มาร่วมฟังการติวและช่วยเหลืองานเล็กๆน้อยๆในกลุ่ม แม้แต่ไอ้กี้ แมน และนน จอมมารดำขาวก็เข้ามาร่วมในกลุ่มติวด้วย

นอกจากกลุ่มติวของเชาวน์แล้วก็ยังมีเด็กเรียนบางส่วนที่ไม่ได้เข้ากลุ่มนี้ แต่ใช้เวลาทุ่มไปกับการกวดวิชาตามโรงเรียนกวดวิชา อย่างเช่น โชค นอกจากกลุ่มเด็กเรียนพวกนี้แล้วที่เหลือก็เป็นพวกกลุ่มเด็กที่เรียนแต่พอดี นักเรียนพวกนี้มักใช้เวลาว่างหลังเลิกเรียนไปในการทำกิจกรรมชุมนุมต่างๆ หรือไม่อย่างนั้นก็กลับบ้าน กับอีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มที่ไม่ค่อยเรียน พวกนี้จะใช้เวลาเถลไถล โดยสรุปแล้วกลุ่มเด็กเรียนที่เด่นที่สุดในห้องก็คือกลุ่มของเชาวน์ ส่วนกลุ่มเด็กไม่เรียนที่จับกลุ่มกันได้อย่างเข้มแข็งที่สุดก็คือกลุ่มของเวชนั่นเอง และแน่นอน ผมก็เป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มของเวชด้วย

“เฮ้ย เวช วันนี้ไปตีนุ้กกัน ไม่ได้ไปหลายวันแล้ว” เกรียงเอ่ยปากชักชวนเวช ซึ่งปกติเวชมักไม่ขัด

“ไปดิ” เวชรับคำ จากนั้นก็หันมาทางผม “ไปมั้ยไอ้อู”

ระยะหลังนี้บางทีเวชก็จะชวนผมไปด้วย ต่างจากตอนต้นๆที่ผมต้องออกปากขอตามไปด้วยเสมอ คำชวนของเวชเป็นเสมือนหนึ่งการยอมรับผมเข้ากลุ่ม

ที่ห้องสนุ้กเกอร์ เวชและพวกสูบบุหรี่ ดื่มเบียร์ และเล่นสนุ้กกัน บางคนก็นั่งพัก ส่วนผมนั้นนั่งสูบบุหรี่อยู่ที่โซฟาดูเพื่อนๆเล่นกันเช่นเคย

ผมไม่ได้สนใจกับการเล่นสนุ้กของเวชและเพื่อนๆ สายตาของผมจับจ้องอยู่ที่บุหรี่ที่คีบอยู่ที่ปลายนิ้ว ยาเส้นที่เผาไหม้ที่ปลายบุหรี่ก่อให้เกิดกลุ่มควันลอยอ้อยอิ่ง ผมปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปพร้อมกับควันบุหรี่นั้น

จำได้ว่าเมื่อก่อนผมเคยด่าว่าเพื่อนคนหนึ่งอย่างรุนแรงเพราะเรื่องสูบบุหรี่ มันเป็นคนที่ผมรักที่สุด ผมพยายามสั่งสอนมันเพื่อให้มันได้คิดว่าการสูบบุหรี่เป็นสิ่งที่ผิด แต่แล้วในที่สุด ความเหงาและความต้องการเข้ากลุ่มทำให้ผมต้องหันมาพึ่งบุหรี่

ถ้าเมื่อก่อนผมทำในสิ่งที่ถูกต้อง ก็แปลว่าวันนี้ผมก็คงกำลังทำสิ่งที่ผิดอยู่ แต่ถ้าในวันนี้ผมกำลังทำสิ่งที่ถูกต้องอยู่ ก็แปลว่าเมื่อก่อนผมก็คงทำผิดไป...

“ฮั่นแน่ ควันโขมงเชียว ขอสักตัวสิ” เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้น เสียงนั้นเป็นเสียงของผู้ใหญ่ ไม่ใช่เสียงของคนในกลุ่มพวกเรา

ผมเบนสายตาจากปลายบุหรี่ จับจ้องไปที่เจ้าของเสียง ชายคนนั้นแต่งกายในชุดสีกากี รูปร่างท้วมอุ้ยอ้าย ยืนขวางประตูห้องอยู่ ร่างอันท้วมบังประตูมิด ผมคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นชายคนนี้อยู่ในโรงเรียน

เวชและพวกยืนนิ่ง มือถือไม้คิวค้างเหมือนกับกำลังตกตะลึง

“เป็นไง สนุกมั้ย ขอครูเล่นด้วยคนสิ” ชายคนนั้นพูดอีก พูดจบก็เดินมาที่โต๊ะสนุ้ก

ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าชายคนนี้เป็นใคร อาจารย์ฝ่ายปกครองนั่นเอง!

“ผมเล่นไม่ค่อยเก่งครับ คงสู้อาจารย์ไม่ได้” เวชพูดเสียงอ้อมแอ้ม จากนั้นส่งไม้คิวให้อาจารย์ ผมเห็นเวชกวาดสายตา สบตาผมกับเพื่อนๆ แต่ผมไม่เข้าใจความหมาย

ในพริบตาที่อาจารย์ฝ่ายปกครองรับไม้คิวจากเวชนั้นเอง เกรียงและพวกก็กรูกันไปที่ประตู จากนั้นก็เปิดประตูและวิ่งออกจากห้องไป และเมื่ออาจารย์หันไปทางประตู เวชเองก็ทิ้งไม้คิวและวิ่งไปทางประตูบ้างเช่นกัน

“ไอ้อู หนี” เวชตะโกนพลางวิ่งออกจากห้องไป

ผมยังนั่งอยู่ที่โซฟาด้วยความตกใจ พอได้ยินเสียงเวชผมก็ได้สติ โยนบุหรี่ทิ้ง จากนั้นก็คว้าเป้ลุกขึ้นและวิ่งไปที่ประตูทันที โชคดีที่เป้อยู่ข้างๆตัว ดังนั้นผมจึงไม่ลืมหยิบไปด้วย

“จะไปไหน มาตีสนุ้กกันก่อน” อาจารย์ฝ่ายปกครองคว้าแขนของผมเอาไว้ได้ ผมสะบัดเต็มแรงจนหลุดจากเงื้อมมืออาจารย์ จากนั้นก็วิ่งออกจากห้องไปเป็นคนสุดท้าย

ผมจำไม่ได้แน่ชัดว่าผมวิ่งจากชั้นบนลงมาชั้นล่างได้อย่างไร แต่คลับคล้ายคลับคลาว่าผมก้าวเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้นก็ถึงชั้นล่างแล้ว โชคดีที่ไม่กลิ้งตกบันไดลงมา เมื่อออกมายืนที่ถนนใหญ่ ผมเห็นหลังเวชไวๆจึงรีบวิ่งตามไปอย่างสุดฝีเท้า

สักพักเวชก็ชะลอฝีเท้าลง จากนั้นพวกเราทั้งหมดก็ไปทันกันที่แถวหน้าโรงเรียนเสาวภา ทุกคนวิ่งจนหอบ โดยเฉพาะผมที่รู้สึกตกใจมาก ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยต้องวิ่งหนีอาจารย์ในลักษณะนี้มาก่อนเลย หลังจากที่ตั้งหลักได้ ทุกคนหัวเราะกันสนุก ยกเว้นผมที่ไม่รู้สึกสนุกด้วยเลย

“โอ๊ย ไม่น่าโผล่มาเลย เสียเส้นหมด” เกรียงพูดไปหัวเราะไป “ข้าวของก็ไม่ได้เอามาสักชิ้น ในสมุดมีชื่อเขียนอยู่โทนโท่ พรุ่งนี้โดนอยู่แล้ว”

“เฮ้ย อาจารย์คนนี้เค้าจำกูได้ ถึงมึงเก็บของมาจนหมดเค้าก็ตามถูกอยู่ดี” เวชหัวเราะราวกับเป็นเรื่องสนุก

“ไอ้อูโชคดีกว่าเพื่อน คราวนี้คงรอดตัวได้ เพราะอาจารย์ไม่รู้จัก แถมยังเสือกรอบคอบคว้าเป้มาอีก” เวชพูดอีก

“แล้วพรุ่งนี้จะเป็นยังไงวะ” ผมถาม

“ก็คงไม่เป็นไง คงเชิญผู้ปกครองมาพบนั่นแหละ” เวชตอบ “กินเหล้า สูบบุหรี่ ตีสนุ้ก มั่วสุมกันครบเครื่อง”

ผมเสียวสันหลังวาบ เชิญผู้ปกครองมาพบ... ถ้าพ่อกับแม่รู้เข้าผมคงตายแน่

“จ๋อยเชียวมึง ไอ้ห่า แค่นี้ไม่ตายหรอก” เกรียงด่าผม จากนั้นก็หันไปถามเวชด้วยความสงสัย “แล้วมึงจะหนีทำไมวะไอ้เวช ในเมื่ออาจารย์จำมึงได้”

“หนุกดีโว้ย” เวชตอบสั้นๆ ท่าทีไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไร “อยู่เฉยมันง่ายเกินไป”

“แล้วนี่จะไปไหนต่อดีวะเนี่ย ยังวันอยู่เลย” เกรียงพูดเปรยๆ

เรายืนคุยกันอยู่สักพักเพราะว่าคิดที่ไปไม่ออก

“ไปเที่ยวบ้านไอ้เวชดีกว่า ค่ำๆค่อยกลับกัน ดาวยังไม่ขึ้นหาทางกลับบ้านไม่ถูกโว้ย” เกรียงพูดเสียงหัวเราะ “ตกลงนะไอ้เวช มึงเป็นลูกพี่ พาลูกน้องไปเที่ยวบ้านมั่งสิ มึงชอบพูดว่าที่บ้านว่างๆ ไม่ค่อยมีคนอยู่ไม่ใช่เหรอ”

แลเห็นเวชเงียบไปครู่หนึ่ง เหมือนกำลังชั่งใจอยู่

“ก็ได้ ไป” เวชพูดในที่สุด

ผมสังเกตว่ากับเพื่อนๆ เวชแม้จะเป็นหัวโจก แต่ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อเพื่อนๆขอหรืออยากได้อะไรเวชมักไม่ค่อยขัด ในความแข็งกร้าว เวชกลับแคร์เพื่อนฝูงอยู่ไม่น้อย

- - -

เวชเรียกแท็กซี่ จากนั้นพวกเราทั้งหมดห้าคนก็เบียดเสียดไปในรถแท็กซี่คันเดียวกัน รถพาเราข้ามสะพานพุทธไปทางฝั่งธนบุรี เวชและพวกเอะอะเฮฮากันไปตลอดทาง ดูไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องอาจารย์ฝ่ายปกครองเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกับผมซึ่งรู้สึกใจคอไม่ดี เกรงว่าพ่อแม่จะรู้เรื่องเข้า

รถแท็กซี่พาเรานั่งไปไกลพอสมควรจากนั้นก็เลี้ยวเข้าซอยซอยหนึ่ง กับเส้นทางย่านฝั่งธนผมไม่รู้จักเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นผมจึงไม่รู้ว่าบ้านของเวชนั้นอยู่ที่ไหนกันแน่ รู้แต่เพียงว่าในซอยนั้นมีบ้านใหญ่ๆหลายหลัง ดูท่าคงเป็นซอยในย่านคนมีฐานะ

บ้านของเวชนั้นมีเนื้อที่กว้างขวาง สวนรอบๆตัวบ้านสวยงาม เต็มไปด้วยไม้ดอกบานสะพรั่ง ตัวบ้านก็ใหญ่มาก อีกทั้งยังมีสระว่ายน้ำอยู่ภายในบริเวณบ้านอีกด้วย

“หู มีสระว่ายน้ำด้วย” พวกเพื่อนๆอุทานกันเสียงขรมเมื่อได้เห็นบ้านของเวช “บ้านแม่งโคตรรวยเลย”

เวชพาเราเดินเข้าไปในตัวบ้าน เมื่อเข้าไปในบ้าน เห็นภายในมีพื้นที่กว้างขวาง ห้องรับแขกตกแต่งอย่างหรูหรา มีห้องนั่งเล่นแยกต่างหากจากห้องรับแขก ห้องอาหารก็ถูกแยกออกไปเป็นสัดส่วน ผมเห็นแล้วอดนึกถึงบ้านของไอ้นัยไม่ได้ แม้คุณอาของไอ้นัยจะเป็นสถาปนิก แต่ก็ตกแต่งบ้านอย่างประหยัด เน้นความสวยงามที่เรียบง่ายแต่มีรสนิยม ส่วนบ้านของเวชนี้ตกแต่งค่อนข้างหรูหราอันบ่งบอกถึงฐานะของเจ้าของบ้าน

ผมอดทึ่งในฐานะทางบ้านของเวชไม่ได้ เท่าที่ผ่านมาผมก็ยังไม่เคยไปบ้านเพื่อนที่รวยๆมาก่อน ทำให้รู้สึกชื่นชมแกมอิจฉาในตัวเวชไม่ได้ พร้อมทั้งอดไม่ได้ที่จะตั้งความหวังเอาไว้ว่าสักวันหนึ่งผมจะรวยและสามารถเป็นเจ้าของบ้านแบบนี้ได้บ้าง

เมื่อเกรียงเข้ามาในบ้านก็ออกอาการซน เปิดโน่นดูนี่ดะไปหมด ตรงไหนที่เป็นตู้เป็นลิ้นชักก็พยายามเปิดสำรวจดูว่ามีอะไรบ้าง พวกเพื่อนคนอื่นๆทีแรกก็เกร็งๆ แต่เมื่อเห็นเกรียงไม่เกรงใจและเวชไม่ได้ว่าอะไร ทุกคนก็ช่วยกันสำรวจบ้านของเวชด้วยความตื่นเต้น จนในที่สุดก็มาหยุดที่ตู้เย็น

“โห ของกินเยอะแยะเลย” เกรียงพูด ว่าแล้วเปิดน้ำอัดลมออกมาแบ่งกันกินวุ่นวาย ส่วนเวชก็ยืนดูเฉยๆไม่พูดอะไร เนื่องจากผมอาศัยอยู่กับคุณลุงคุณป้ามาหลายปี จึงพอเข้าใจมารยาทเมื่ออยู่ในบ้านผู้อื่นอยู่บ้าง จึงไม่กล้าเพ่นพ่านวุ่นวาย เพียงแค่ยืนดูเฉยๆ

เมื่อผมเห็นน้ำเย็นก็ชักรู้สึกกระหายบ้างเหมือนกัน

“เอ้อ เวช กูหิวน้ำ ขอน้ำกินหน่อยดิ” ผมพูดกับเวช

เวชมองผมด้วยสายตาเขม็งทันที

“นี่มึงใช้ให้กูเสิร์ฟน้ำให้มึงเหรอ” เวชถามเสียงแข็ง

ผมงงกับอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงของเวช ทีเพื่อนๆรื้อนั่นค้นนี่มันกลับไม่ว่าอะไร แต่เมื่อผมขอน้ำดื่มกลับมีอาการไม่พอใจ เวชนี่เป็นคนที่เข้าใจยากเอาการอยู่เหมือนกัน

“เอ้อ เปล่า” ผมตอบ “กูหยิบกินเองก็ได้ แต่เห็นว่ามึงเป็นเจ้าของบ้าน จะทำอะไรก็ต้องขออนุญาตมึงก่อนสิ”

สีหน้าของเวชดูผ่อนคลายลง ดูมันจะพอใจกับคำตอบนี้

“ตามสบาย หยิบเอาเลย” เวชตอบ


<ย่านปากคลองตลาดในอดีต ภาพนี้เป็นภาพเก่า ถ่ายมาตั้งแต่ยุคที่ยังมีรถราง น่าจะก่อน พ.ศ. ๒๕๑๐ รถเมล์สีขาวที่เห็นเป็นรถเมล์ขาวนายเลิด ซึ่งเป็นรถเมล์ในระบบเอกชน ก่อนหน้าที่จะมาเป็น ขสมก อันเป็นรัฐวิสาหกิจ ในภาพน่าจะเป็นรถเมล์ขาวสาย ๘ กำลังวิ่งออกมาจากท่าที่ใต้สะพานพุทธ สภาพตึกย่านปากคลองตลาดที่เห็นในภาพกับในยุคที่ผมเรียนมัธยมอยู่ก็ไม่แตกต่างกันเท่าไร ตึกแถวทั้งฝั่งที่เห็นและฝั่งตรงข้ามชั้นล่างส่วนใหญ่จะเป็นร้านค้า ส่วนชั้นบนมักเป็นที่พักอาศัย หรือบางทีก็เป็นโต๊ะสนุ้ก

ในภาพจะเห็นว่ามีโรงหนังอยู่ด้วย คือโรงหนังเอ็มไพร์ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นเพชรเอ็มไพร์ และต่อมาก็เลิกกิจการไป>


<สถานที่ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของโรงหนังเพชรเอ็มไพร์ในปัจจุบัน ที่เห็นเป็นตึกสีส้มๆ>

Sunday, December 6, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 35

ผมพยายามอิดออดโดยอ้างเหตุผลต่างๆนานาที่จะไม่ลอยกระทงใบเดียวกับบอย

“เราอธิษฐานกันคนละเรื่อง ลอยคนละกระทงก็แล้วกัน ถ้ากระทงเดียวกันเดี๋ยวไม่ขลัง เลยอดกันทั้งคู่” ผมมั่วแบบสุดๆโดยไม่สนใจว่าบอยจะเชื่อหรือไม่ จากนั้นก็รีบจ่ายเงินค่ากระทงทั้งสองใบเพื่อที่บอยจะได้คัดค้านไม่ได้อีกพร้อมกับซื้อไฟแช็กอีกหนึ่งอันสำหรับจุดเทียนในกระทง

“อะ ตามใจพี่อูละกัน ตังค์พี่อูนี่ บอยคอยกินอย่างเดียว” บอยยอมตามใจผม

บอยถือกระทงอันสวย ส่วนผมถือกระทงนักเรียนประถม เราค่อยๆเดินเบียดกลุ่มคนไปจนถึงท่าน้ำใต้สะพานพุทธ

ผมจุดเทียนให้กระทงของบอย จากนั้นก็จุดให้กระทงของตนเอง

“เอ้า อธิษฐานซะนะ” ผมพูดกับบอย

ผมเห็นบอยทำปากหมุบหมิบคล้ายกำลังอธิษฐาน อุปาทานทำให้ผมมองเห็นใบหน้าด้านข้างของบอยช่างคลับคล้ายกับไอ้นัย ภาพที่ผมเห็นราวกับไอ้นัยกำลังถือกระทงอธิษฐานอยู่ ผมขนลุกเกรียว

จู่ๆผมก็รู้สึกอ้างว้างเลื่อนลอยขึ้นมา ผมพยายามที่จะลืมไอ้นัย แต่ผมก็ยังทำไม่สำเร็จเสียที

‘ถ้าผมกับไอ้นัยยังมีวาสนาต่อกัน ก็ขอให้เราได้พบกันอีกในเร็วๆนี้ แต่ถ้าหมดวาสนาต่อกันแล้วก็ขอให้ผมลืมไอ้นัยให้ได้ด้วยเถิด’ ผมอธิษฐานกับกระทง

หลังจากนั้นเราต่างก็ปล่อยกระทงลงน้ำพร้อมๆกัน แม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณริมท่าน้ำแออัดไปด้วยกระทง แต่ถึงจะแออัด เพียงไม่นานกระทงน้อยก็ค่อยๆกระเพื่อมลอยออกไปกลางสายน้ำ ผมเหม่อมองกระทงที่ลอยออกไปด้วยหัวใจที่อ้างว้าง กระทงนั้นเสมือนกับพาหัวใจของผมล่องลอยออกไปสุดแสนไกลโดยไม่รู้จุดหมายปลายทาง

“พี่อูเป็นอะไรอะ ดูซึมไปเลย” บอยทักด้วยความแปลกใจ

“ไม่เป็นอะไรสักหน่อย” ผมเฉไฉ

“ก็ดีฮะ ซึมมากหน่อย กะล่อนน้อยหน่อย” บอยพูดพลางหัวเราะ มุขนี้ของบอยเป็นมุขที่ล้อชื่อหนัง ซึมน้อยหน่อย กะล่อนมากหน่อย ที่ออกฉายเมื่อปีหรือสองปีก่อน เป็นหนังดังในหมู่วัยรุ่นยุคนั้น นำแสดงโดยบิลลี่ โอแกน เพ็ญ พิสุทธิ์ สุรศักดิ์ วงษ์ไทย หลังจากนั้นก็มีวีดิโอออกมาให้เช่า

“พี่อูอธิษฐานว่าไงอะ” บอยถามตรงๆ

“เรื่องมันยาวน่ะ” ผมอึกอัก ไม่อยากบอกความจริง คำถามนี้เป็นคำถามที่ผมกำลังกลัวอยู่ อุตส่าห์ไม่ถามมันแล้วเชียวว่ามันอธิษฐานอะไรเพราะว่ากลัวมันถามกลับ แต่นี่บอยชิงถามก่อนเลย

“แล้วนายล่ะ อธิษฐานว่าไงบ้าง ขอให้ได้กินฟรีทุกวันละสิ” ผมแกล้งทำตลกเพื่อเสเรื่องออกไป

“ไม่เห็นต้องอธิษฐานเลย ทุกวันนี้ก็ได้กินฟรีอยู่แล้ว” บอยหัวเราะ “เก็บเอาไว้ขอเรื่องสำคัญดีกว่า”

“เรื่องอะไรล่ะ” ผมชักอยากรู้ จึงพลั้งปากถามออกไป

“ก็...” บอยหยุดคิดนิดหนึ่ง “บอยอธิษฐานขอให้มีอนาคตดีๆ ได้แฟนสวยๆ ทำงานรวยๆ”

ผมสะอึกนิดหนึ่ง ขอให้ได้แฟนสวยๆ... ทำไมประโยคนี้ฟังดูแปร่งหูนักนะเมื่อบอยพูด ในใจรู้สึกมีปฏิกิริยาบางอย่างเกิดขึ้นวูบหนึ่ง แต่ผมก็จับต้นชนปลายความคิดของตนเองไม่ถูกเหมือนกัน

“เอ้า ลอยเสร็จแล้ว จะกลับกันหรือยัง” ผมพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย ไม่อยากคุยเรื่องคำอธิษฐานอีก

“หา จะกลับแล้วเหรอ ยังหัวค่ำอยู่เลยพี่อู” บอยงอแงยังไม่อยากกลับ “พี่อูต้องรีบกลับเหรอ”

“เปล่า แต่ไม่รู้ว่าจะไปไหนดี” ผมพูด

“อยากไปดูงานลอยกระทงที่อื่นอีก” บอยพูด “มีที่ไหนน่าดูมั่งล่ะ”

ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่างานลอยกระทงจัดกันที่ไหนบ้าง ตามสวนสาธารณะก็คงไม่ต่างจากที่สะพานพุทธนี้เท่าไร จะไปสวนสยามก็ไกลเกินไปสำหรับตอนนี้

“นายเคยเที่ยวงานวัดในต่างจังหวัดไหม” ผมได้ความคิดขึ้นมา

“ไม่เคยอะ บอยเป็นคนกรุงเทพฯ” บอยตอบ

“งั้นไปเที่ยวงานวัดกัน มีเกมให้เล่น มีของกินเยอะแยะเลย” ผมรู้แล้วว่าควรพาบอยไปที่ไหน

“มีของกินเยอะเลยเหรอ งั้นรีบไปเลย อยู่ที่ไหนล่ะพี่อู” แววตาบอยแจ่มใสขึ้นมาทันทีเมื่อพูดถึงของกิน

“งานภูเขาทองที่วัดสระเกศไง” ผมเฉลย

- - -

ถนนวรจักรในค่ำคืนวันนี้รถติดยิ่งกว่าวันก่อนเพราะงานภูเขาทองที่ตรงกับวันลอยกระทง จึงมีวัยรุ่นมาเที่ยวงานกันมาก ผมกับบอยลงจากรถเมล์สาย ๘ ตั้งแต่สี่แยกวรจักรและเดินมาเรื่อยๆแทน

บาทวิถีหน้าวัดสระเกศคับคั่งไปด้วยผู้คนและพ่อค้าแม่ค้าที่มาตั้งแผงและรถเข็นขายของซึ่งส่วนใหญ่เป็นของกิน ทำให้เราเดินไปได้อย่างช้าๆ บอยหัวเราะอารมณ์ดีมาตลอดทางเพราะเพิ่งเคยเที่ยวงานวัดเป็นครั้งแรกในชีวิต

เมื่อเดินเข้าไปในงาน บอยก็ทำตาโต เพราะแผงขายสินค้าที่เรียงรายกันอยู่นั้นมีทั้งของกินของใช้เป็นจำนวนมาก ของใช้ก็มีทุกอย่างตั้งแต่เสื้อผ้า เครื่องเขียน ถ้วยโถโอชาม ไปจนถึงของเล่น ของจิปาถะ ส่วนของกินนั้นก็มีทั้งอาหารคาวหวานและขนม ผมเองก็ตื่นตาตื่นใจเหมือนกัน เพราะว่าไม่เคยเที่ยวงานวัดในกรุงเทพฯมาก่อน ตอนกลับบ้านที่ต่างจังหวัดก็ไม่ได้ไปเที่ยวงานวัดที่ไหนนานมาแล้วเช่นกัน อย่าว่าแต่งานวัดในต่างจังหวัดก็มีหลายระดับ ถ้างานเล็กๆก็สำหรับคนในท้องถิ่นใกล้ๆ แต่ถ้าเป็นงานใหญ่ระดับจังหวัดอย่างเช่นงานกาชาดละก็คนมาเที่ยวเยอะมากเหมือนกัน

ดูท่าบอยมันจะชอบของกินเสียจริงๆ เพราะว่ามันไม่แวะดูแผงขายของใช้เลย ดูแต่แผงขายของกินเป็นหลัก

“น่ากินไปหมดทุกอย่างเลย กินอะไรดีพี่อู” บอยถามผม

“ก็ตามใจดิ ตังค์นายนี่หว่า” ผมตอบ

บอยอ้าปากหวอ ทำสีหน้าไม่พอใจ แต่ผมรู้ว่ามันแกล้งทำ ใบหน้าที่แกล้งทำสีหน้าไม่พอใจของมันดูน่ารัก

“เฮอะ พี่อูไม่รู้หน้าที่อีกแล้ว” บอยพูด

“เออว่ะ หน้าที่อะไรพี่ไม่รู้แล้ว รู้แต่ว่าถ้านายพยายามกินทุกอย่าง พี่คงหมดตัว” ผมพูด พลางมองไปที่แผงขายของกินยาวเหยียด อดล้วงมือไปกำเงินในกระเป๋ากางเกงไม่ได้

บอยหัวเราะ “กินเข้าไปหมดได้ไง ท้องแตกตายกันพอดี”

บอยซื้อของกินไม่มากจริงๆ ส่วนใหญ่เป็นพวกปลาหมึกย่าง ลูกชิ้นปิ้ง แล้วก็ขนมอย่างขนมถังแตก ขนมจี่ บอยเป็นคนเลือกซื้อ ส่วนผมคอยตามจ่ายเงิน เมื่อได้แล้วก็เดินกินไปด้วยกัน

“ลูกชิ้นไม้สุดท้ายแล้วพี่อู แบ่งกันคนละครึ่ง” บอยถือลูกชิ้นเนื้อไม้หนึ่งในมือ ไม้หนึ่งมีลูกชิ้นอยู่สี่ห้าลูก บอยกินไปครึ่งไม้แล้วก็ส่งมาให้ผม

ผมรับลูกชิ้นครึ่งไม้มาจากบอยแล้วกินลูกชิ้นที่เหลือ ด้วยหัวใจที่รู้สึกอบอุ่น มันเป็นความอบอุ่นที่แฝงไว้ด้วยความเลื่อนลอย... ทำไมลูกชิ้นครึ่งไม้มันจึงหน้าตาคล้ายกับโดนัทครึ่งอันนักนะ

ผมเหลือบไปเห็นไหมสวรรค์ที่เอาน้ำตาลมาปั่นจนเป็นเส้นคล้ายสำลี แล้วเอาแท่งไม้ขนาดใหญ่กว่าตะเกียบหน่อยมาใช้เป็นแกนให้ไหมสวรรค์มาเกาะ จากนั้นก็พันให้เป็นก้อนโต มีสีสันต่างๆงดงาม มันเป็นขนมงานวัดที่ผมโปรดปรานในวัยเด็ก เมื่อมาเห็นตอนโตก็ยังอดซื้อกินไม่ได้

“เนี่ย ของโปรดในงานวัดเมื่อตอนพี่ยังเด็กๆ ขอลองกินสักหน่อย ไม่ได้กินมานานแล้ว” ผมคุยให้บอยฟังขณะที่เลือกไหมสวรรค์ว่าจะซื้อสีอะไรดี

รสชาติของไหมสวรรค์เมื่อได้กินตอนโตก็งั้นๆ มันก็น้ำตาลทรายดีๆนี่เอง ทำไมตอนเด็กถึงได้ชอบนักก็ไม่รู้ แต่ถึงแม้รสชาติจะงั้นๆ แต่ผมก็รู้สึกดีที่ได้กินมันอีกครั้งหนึ่ง ไหมสวรรค์ไม้นั้นเป็นเสมือนสื่อแห่งกาลเวลาที่ช่วยผมย้อนกลับไปสู่ความสุขในวัยเด็ก... วัยแห่งความฝันที่สวยสดงดงาม...

เราเดินไหลไปเรื่อยๆตามกระแสผู้คน เมื่อไปจนถึงทางแยกเพื่อขึ้นไปยังบรมบรรพตหรือว่าภูเขาทอง เราก็ไหลไปตามทางแยกนั้น

เราไหลตามฝูงชนขึ้นไปตามทางเดินใช้เวลาเดินๆหยุดๆนานพอสมควรกว่าจะถึงชั้นดาดฟ้าซึ่งเป็นที่ตั้งของเจดีย์ภูเขาทอง คนแน่นขนัดเต็มดาดฟ้า ภูเขาทองในวันนั้นห่มด้วยผ้าแดง มีคนเขียนความปรารถนาเอาไว้บนผ้าแดงที่พันรอบฐานเป็นจำนวนมาก ผมกับบอยอ่านกันจนเพลิน

“เขียนมั่งมั้ยพี่อู” บอยหันมาถามผม ท่าทางมันคงอยากเขียน

“ไม่ละ นายเขียนเถอะ พี่จะคอย” ผมตอบ ที่ไม่อยากเขียนเพราะไม่อยากให้ใครรู้ความปราถนาของผม

“งั้นบอยก็ไม่เขียนเหมือนกัน” บอยตอบ

“งั้นเราไปชมวิวกันดีกว่า” ผมชวนบอย

ชั้นดาดฟ้าของภูเขาทองนั้นอยู่สูงจากพื้นดินมาก เมื่อแหงนหน้ามองข้างบนแลเห็นจันทร์เพ็ญกระจ่างฟ้า นับว่าโชคดีมากที่อากาศในคืนนั้นแจ่มใส ทำให้สามารถมองเห็นจันทร์เพ็ญได้ถนัดตา

เราสองคนเดินชมวิวโดยรอบ มองเห็นกรุงเทพฯยามค่ำคืนจากที่สูงอย่างเต็มตา กรุงเทพฯในวันนั้นยังมีตึกสูงไม่มากนัก บรรยากาศดูสงบและมืดกว่ากรุงเทพฯในวันนี้ที่เต็มไปด้วยตึกสูงและดวงไฟส่องสว่างมากมาย ผมมองไกลออกไปจนสุดสายตา แลเห็นแผ่นดินสีดำจรดขอบฟ้ามืดมิด แผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาล ถ้าจะหาใครสักคนก็คงเหมือนกับงมเข็มในมหาสมุทรจริงๆ...

“พี่อู จะลงไปข้างล่างกันหรือยัง” เสียงบอยกระชากให้ผมตื่นจากภวังค์

ผมกับบอยเดินลงจากภูเขาทองด้วยเส้นทางคนละเส้นกับเมื่อขามา เมื่อลงมาถึงข้างล่างก็เป็นบริเวณร้านพวกโชว์ของแปลก มีป้ายเขียนไว้ข้างหน้าร้าน เช่น ดูเด็กสองหัว เด็กปากเท่ารูเข็ม วัวห้าขา ดอกบัวหัวเป็นคน ฯลฯ ตอนเด็กๆผมจะชอบดูของแปลกพวกนี้มาก แต่พอโตแล้วจึงได้รู้ว่าบางอย่างก็ถูกหลอก

ผมพาบอยตีตั๋วเข้าไปดูของแปลกพวกเด็กสองหัว เด็กปากเท่ารูเข็ม เมื่อดูออกมาแล้วบอยก็บ่น “โธ่เอ๊ย นึกว่าอะไร ดีนะที่ไม่ได้ออกเงินเอง”

ผมตบหัวมันเบาๆ “นี่แน่ะ ดูฟรีแล้วยังพูดมากอีก”

ถัดจากกลุ่มร้านของแปลกก็เป็นกลุ่มเครื่องเล่นและเกมต่างๆ พวกปาเป้า ยิงธนู ยิงปืน และที่หาดูได้ยากในสมัยนี้คือสาวน้อยตกน้ำ

“หูยยยย มีเกมให้เล่นด้วย ไปเล่นกันพี่อู” บอยร้องด้วยความดีใจ พลางจับมือผมลากไปดูร้านเกมต่างๆที่เรียงรายอยู่เป็นแถวยาว

ผมรู้สึกมืออุ่นวูบ มือของบอยที่กุมมือของผมทำให้ใจของผมหวั่นไหว ผมปล่อยให้บอยลากไปแต่โดยดี

“พี่อู ผู้หญิงตกน้ำนี่เค้าเล่นกันยังไง” บอยถาม

“เค้าเรียกว่าสาวน้อยตกน้ำต่างหาก” ผมแก้ให้ พลางอธิบายวิธีเล่น พร้อมกับเหลือบดูสาวน้อยที่นั่งอยู่บนไม้พาดถังน้ำซึ่งบางคนก็ไม่ใช่สาวน้อยเสียทีเดียว

เกมสาวน้อยตกน้ำนี้จะมีอุปกรณ์คือถังน้ำขนาดใหญ่บรรจุน้ำอยู่ ปากถังเอาไม้พาดไว้ แล้วเอาสาวในชุดแนบเนื้อมานั่งบนไม้ที่พาดนี้ ถ้าเป็นในชนบทบางทีก็เป็นสาวในชุดผ้านุ่งกระโจมอกแทน วิธีการเล่นก็คือคนเล่นจะต้องเอาลูกบอลปาไปที่เป้าเล็กๆอันหนึ่งซึ่งอยู่ข้างถังนี้ เป้านี้จะมีกลไกคุมแผ่นไม้ที่พาดปากถัง เมื่อลูกบอลปากระทบเป้า ไม้ที่พาดปากถังก็จะหลุด แล้วสาวน้อยก็จะหล่นลงไปในถังน้ำ เมื่อหล่นลงไปแล้วสาวน้อยก็จะปีนขึ้นมานั่งบนไม้พาดปากถังในสภาพที่เปียกปอน แล้วก็เริ่มปาเป้ากันใหม่

“บอยจะเล่นอันนี้แหละ” บอยพูดอย่างร่างเริง

ผมเหลือบมองสาวน้อยที่นั่งเปียกปอนบนปากถัง อากาศค่อนข้างเย็น บางคนก็นั่งกอดอกด้วยความหนาว บางคนก็วัยไม่น้อยแล้ว แทนที่จะได้เดินเล่นชมงานอย่างสนุกสนานกลับต้องมาตกน้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า จู่ๆอารมณ์ของผมก็หม่นหมองขึ้นมา

“เล่นอย่างอื่นไม่ดีเหรอ” ผมค้าน

“บอยชอบอันนี้อะ สนุกดี” บอยไม่เปลี่ยนใจ

“นี่นายเห็นการรังแกคนเป็นของสนุกหรือไง” ผมอดระบายความรู้สึกออกมาไม่ได้

บอยมองหน้าผมอย่างประหลาดใจ “พี่อูก็... นี่มันเกมอะ เค้าตกน้ำเค้าก็ได้ค่าจ้าง ไม่ได้ตกน้ำฟรีๆสักหน่อย แล้วคนอื่นเค้าก็เล่นกัน ไม่เห็นมีอะไรเลย”

ผมอึ้ง ที่บอยพูดก็มีเหตุผล ผมเพิ่งสังเกตว่าแม้เปลือกนอกบอยจะขี้เล่น กวนประสาท และดูยังเด็กอยู่ แต่ความคิดอ่านของมันกลับไม่เด็กเลย

ผมเงียบเพราะไม่รู้จะเถียงอะไร บอยมองหน้าผม แล้วในที่สุดก็เปลี่ยนใจ

“บอยเล่นอย่างอื่นก็ได้ฮะ ตามใจพี่อูละกัน” บอยพูด

ผมรู้สึกอบอุ่นวูบขึ้นมาในหัวใจอีกครั้ง อดไม่ได้ต้องเอามือลูบหัวมันเบาๆ แต่พอนึกได้ว่ากำลังอยู่ที่ไหนก็รีบเอามืออออก

“ขอบใจนะบอย”

หลังจากนั้นบอยก็เล่นเกมพวกปาเป้าแทน ผมก็เล่นด้วย ได้แค่รางวัลเล็กๆติดมือกลับมานิดหน่อย เพราะว่าฝีมือแย่พอๆกัน เล่นกันอยู่นานพอสมควรจึงแยกย้ายกันกลับบ้าน แม้อากาศในคืนวันนั้นค่อนข้างเย็น แต่ผมกลับนั่งรถกลับหอพักด้วยความอบอุ่น... มันเป็นความอบอุ่นใจ


<ภาพภูเขาทองในยุคที่ผมยังเด็ก>


<เกมสาวน้อยตกน้ำนี้จะมีอุปกรณ์คือถังน้ำขนาดใหญ่บรรจุน้ำอยู่ ปากถังเอาไม้พาดไว้ แล้วเอาสาวในชุดแนบเนื้อมานั่งบนไม้ที่พาดนี้ ถ้าเป็นในชนบทบางทีก็เป็นสาวในชุดผ้านุ่งกระโจมอกแทน วิธีการเล่นก็คือคนเล่นจะต้องเอาลูกบอลปาไปที่เป้าเล็กๆอันหนึ่งซึ่งอยู่ข้างถังนี้ เป้านี้จะมีกลไกคุมแผ่นไม้ที่พาดปากถัง เมื่อลูกบอลปากระทบเป้า (ในภาพนี้ เป้าเป็นรูปหัวใจสีขาว) ไม้ที่พาดปากถังก็จะหลุด แล้วสาวน้อยก็จะหล่นลงไปในถังน้ำ เมื่อหล่นลงไปแล้วสาวน้อยก็จะปีนขึ้นมานั่งบนไม้พาดปากถังในสภาพที่เปียกปอน แล้วก็เริ่มปาเป้ากันใหม่>


<ไหมสวรรค์ ขนมเด็กที่คู่กับงานวัดในสมัยก่อน ทำจากน้ำตาลทรายล้วนๆและสีใส่ขนม รสชาติของไหมสวรรค์เมื่อได้กินตอนโตก็งั้นๆ มันก็น้ำตาลทรายดีๆนี่เอง ทำไมตอนเด็กถึงได้ชอบนักก็ไม่รู้ แต่ถึงแม้รสชาติจะงั้นๆ แต่ผมก็รู้สึกดีที่ได้กินมันอีกครั้งหนึ่ง ไหมสวรรค์ไม้นั้นเป็นเสมือนสื่อแห่งกาลเวลาที่ช่วยผมย้อนกลับไปสู่ความสุขในวัยเด็ก... วัยแห่งความฝันที่สวยสดงดงาม...>


<ขนมเด็กอีกอย่างหนึ่งที่เรียกร้องความสนใจจากเด็กๆได้เป็นอย่างดีในงานวัดในยุคก่อน นั่นก็คือน้ำตาลปั้น ชื่อที่ถูกต้องจะเรียกว่าอะไรก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ผมมักเรียกของผมเองว่าน้ำตาลปั้น คนขายต้องมีฝีมือทางศิลปะพอสมควรทีเดียว อีกทั้งต้องผลิตให้เด็กดูกันสดๆ วิธีทำก็คือเอาน้ำตาลมาเคี่ยวเป็นน้ำเชื่อมข้นๆแล้วผสมสีทำอาหารให้มีสีสันต่างๆ จากนั้นก็เอาน้ำตาลเคี่ยวหลากสีนี้มาประดิษฐ์เป็นของกินสีสวย ถ้ามีน้ำตาลนี้ที่ไหน เด็กๆจะมามุงดูกันมาก น้ำตาลปั้นแบบนี้ปัจจุบันหาดูได้ค่อนข้างยากแล้ว>

Wednesday, December 2, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 34

ผมแยกย้ายจากเวชและพวกในตอนหัวค่ำ กี่โมงก็จำไม่ได้แล้วเพราะว่ายังรู้สึกเวียนหัวและมีอาการคลื่นไส้อยู่

ผมสะพายเป้เดินทอดน่องไปเรื่อยๆจากปากคลองตลาดมุ่งไปยังใต้สะพานพุทธเพื่อไปขึ้นรถเมล์ อากาศฉ่ำฝนของยามค่ำต้นเดือนพฤศจิกายนทำให้ผมรู้สึกสดชื่นขึ้นบ้าง

ผมจำได้เลือนรางว่าหลังจากอ้วกออกมาแล้วผมก็นอนซมอยู่ที่โซฟานั่นเอง ใครเป็นคนเก็บอ้วกของผมก็ไม่รู้เหมือนกัน หรืออาจจะยังคงกองอยู่บนพื้นห้องก็ได้เพราะผมไม่ได้สังเกต

ผมนอนอยู่จนเวชและพวกเล่นสนุ้กเสร็จและกลับผมจึงกลับด้วย การนอนพักไม่ได้ช่วยให้ผมดีขึ้นมากนักเพราะว่าอากาศในห้องสนุ้กอบอวลไปด้วยควันบุหรี่ การนอนดมควันบุหรี่ก็ดีกว่าการสูบบุหรี่เองเพียงนิดหน่อยเท่านั้น ใจจริงอยากจะออกมาจากห้องสนุ้กนั้นนานแล้ว แต่ครั้นจะขอตัวกลับก่อนก็จะเสียหน้า เพราะเหมือนกับว่าผมแสดงความอ่อนแอออกมา จึงจำเป็นต้องทนอยู่

การอยู่หอพักทำให้ผมไม่ต้องรีบร้อนอะไร อยากกลับเมื่อไรก็ได้ ดังนั้นผมจึงนั่งเล่นอยู่ที่ท่าน้ำใต้สะพานพุทธอยู่เป็นเวลานานก่อนที่จะขึ้นรถเพื่อให้คลายจากอาการเวียนหัว

รถเมล์สาย ๘ แล่นไปเรื่อยๆ ถนนในยามค่ำคืนแปลกตาออกไปอีกแบบ จนเมื่อมาถึงแถวๆวรจักรรถก็เริ่มติด

ตั้งแต่แยกวรจักร การจราจรคับคั่ง รถเคลื่อนตัวไปได้อย่างช้าๆ ผมชะโงกหน้าออกไปดู เห็นรถติดยาวเหยียด จนรถข้ามแยกประปาแม้นศรีมาผมจึงได้เห็นว่าสาเหตุที่รถติดนั้นอยู่ที่วัดสระเกศนี่เอง... ใช่แล้ว... งานภูเขาทอง

ในช่วงลอยกระทง วัดสระเกศจะจัดงานภูเขาทองทุกปี งานภูเขาทองนี้กินเวลาหลายวัน มักจัดให้คร่อมวันลอยกระทง และปีนี้ก็เช่นกัน

ที่จริงผมนั่งรถผ่านวัดสระเกศทุกวัน ตั้งแต่ ม.๑ จน ม.๓ ผมผ่านงานภูเขาทองทุกปี แต่เป็นการผ่านบริเวณงานในช่วงเย็น เพราะก่อนหน้านี้ผมกลับบ้านค่ำไม่ได้ ซึ่งเท่าที่ผ่านมาในช่วงเย็นงานยังไม่มีสีสันเท่าไร แต่พอมาในปีนี้ผมมีโอกาสผ่านงานในเวลากลางคืน จึงได้พบว่างานนี้คึกคักมาก

- - -

สี่ทุ่ม

วันนี้ผมกลับถึงหอพักดึกหน่อย เพราะมัวแต่เสียเวลานั่งเล่นที่ใต้สะพานพุทธกับเสียเวลาตอนที่รถติด ผมพบแป๋งใส่ชุดนอนนั่งทำการบ้านอยู่ที่โต๊ะของพี่พร ผมพยักหน้าทักทายแป๋ง

“เฮ้ อู เมื่อหัวค่ำแม่นายโทรมาแน่ะ” แป๋งทักทายพร้อมกับรายงาน

“เหรอ ฝากบอกอะไรไว้หรือเปล่า” ผมถาม

“ไม่ได้ฝากบอกอะไร เราบอกว่านายกลับค่ำหน่อยเพราะมัวดูดบุหรี่หลังโรงเรียน” แป๋งพูดหน้าตาเฉย

“เฮ้ย” ผมร้อง “ทำไมพูดงี้วะ ฉิบหายดิ”

“โห หน้าซีดเป็นไก่ต้มเลย อ้อ นายก็เป็นไก่อยู่แล้วนี่หว่า” แป๋งหัวเราะอารมณ์ดี “ล้อเล่นน่า ใครจะกล้าบอกล่ะ”

“โว้ย ตกใจหมด” ผมบ่น

แป๋งยื่นหน้ามาใกล้ใบหน้าของผม ทำจมูกฟุดฟิด

“ไหนบอกไม่ได้สูบบุหรี่ แค่ดูเพื่อนสูบไง” แป๋งถามด้วยเสียงคาดคั้น “นายพูดทีกลิ่นบุหรี่ก็โชยออกมา”

ผมหวนนึกไปถึงไอ้คุณจิยอดนักสืบ ไอ้แป๋งนี่พอจะเป็นนักสืบได้อยู่เหมือนกัน ท่าทางมันตั้งใจจะขุดคุ้ยผมให้ได้ แต่ด้วยท่าทีที่ขี้เล่นและเป็นมิตร ประกอบกับรู้จักกันมาสักพักหนึ่งแล้ว แถมยังเคยมีอะไรกันมานิดหน่อย จึงทำให้ผมรู้ว่าแป๋งไม่ได้คิดร้ายอะไร

“เอ้อ เพิ่งหัดน่ะ” ผมยอมรับ “เมาฉิบหายเลย”

แป๋งหัวเราะ “อีกหน่อยก็ชินไปเอง เด็กหัดใหม่ก็งี้แหละ”

ว่าแล้วแป๋งก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “อ้อ พรุ่งนี้นายไปเที่ยวงานลอยกระทงด้วยกันไหม พวกพี่ธิตจะไปสวนสยามกัน พี่เค้าจะชวนนายด้วยแต่ยังไม่เจอนาย”

ผมสนใจขึ้นมาทันที ในสมัยนั้นเทศกาลลอยกระทงที่สวนสยามเป็นที่นิยมกันมาก ผมยังไม่เคยไปสักที หลังจากถามแป๋งจึงได้ความว่าพี่ธิต ปั้น และคนอื่นๆในแก๊งของพี่ธิต รวมทั้งแป๋งด้วย จะไปเที่ยวงานลอยกระทงที่สวนสยามกันในตอนหัวค่ำแล้วกลับเอาตอนหลังเที่ยงคืน หรืออาจจะใกล้รุ่งก็ยังได้ เพราะว่าวันถัดไปเป็นวันเสาร์ ไม่ต้องห่วงเรื่องไปเรียนหรือว่าไปทำงานสาย

“ไปด้วยๆ” ผมรับคำอย่างง่ายดาย

- - -

“เฮ้ เวช ไหนต้นฉบับล่ะ” ผมพูดกับเวชในตอนเช้าวั่นรุ่งขึ้นเมื่อเราพบกันที่ห้องเรียน ต้นฉบับที่ว่าก็หมายถึงต้นฉบับการบ้านนั่นเอง

“ตกลงนี่ใครจะไถการบ้านใครกันแน่วะเนี่ย” เวชกะพริบตา มองหน้าผม “เมื่อก่อนกูขอมึงลอกประจำ เดี๋ยวนี้มึงมาขอกูลอก”

“เอาน่า แบ่งๆกัน” ผมพูด “ดิ ขอต้นฉบับหน่อย”

เวชหยิบการบ้านของมันเองมาให้ผม สมุดการบ้านของมันเขียนด้วยลายมือค่อนข้างเรียบร้อย ต่างจากนิสัยของมันที่ผมเห็นโดยสิ้นเชิง ผมไม่แน่ใจว่ามันทำเองหรือว่าลอกของคนอื่นมา แต่ใครทำผมก็ไม่สนใจ ขอให้มีให้ลอกก็ใช้ได้

ในระหว่างวัน การเรียนการสอนทำได้ไม่เต็มที่นักเพราะที่โรงเรียนมีการจัดงานลอยกระทงในตอนเย็น นักเรียนแต่ละห้องก็จะมีกิจกรรมที่ต้องทำ เช่น ทำกระทงประกวด บางคนก็เตรียมขบวนแห่ บางคนก็เตรียมการแสดง ฯลฯ ส่วนผมเองไม่ได้ร่วมอะไรเลยสักอย่าง รวมทั้งไม่ได้คิดจะอยู่ร่วมงานที่โรงเรียนในตอนเย็นด้วย เพราะว่าผมตั้งใจจะไปเที่ยวงานลอยกระทงที่สวนสยามในตอนค่ำ

ผมนั่งเรียนอย่างใจลอย คิดถึงเรื่องเมื่อวาน คิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อยเปื่อย เหลือบดูจอมมารดำขาว เห็นทั้งสองคนนั่งเรียนไปก็ลูบขาอ่อนกันไปที่ใต้โต๊ะ มองเฉียงไปหน่อยก็จะเห็นใบหน้าหวานๆจากด้านข้างของมอน เฉียงไปอีกนิดก็เห็นไอ้เฉาและเพื่อนๆในกลุ่มติว

ผมเห็นเชาวน์กำลังแอบดูหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ใต้โต๊ะ มันไม่ใช่หนังสือโป๊ แต่ว่ามันเป็นตำราเรียนเล่มหนา ข้างในมีแต่ภาษาอังกฤษและภาพเต็มไปหมด ทีแรกก็ดูไม่ออกว่าเป็นวิชาอะไร จนดูไปได้สักพักก็เห็นหน้าปก เห็นเขียนเอาไว้ว่า Physics ผมนึกไม่ออกเหมือนกันว่ามันจะเอาตำราวิชาฟิสิกส์เป็นภาษาอังกฤษมาอ่านทำไม

ผมนั่งเรียนอย่างไม่ค่อยตั้งใจไปจนถึงพักเที่ยง จากนั้นก็รีบตรงไปยังสหกรณ์ วันนั้นผมตั้งใจว่าจะกลับหอเร็วหน่อยเพราะตอนค่ำจะไปลอยกระทงกับพวกพี่ธิต จึงมาสหกรณ์ตอนเที่ยงแทน

ตอนนั้นบอยไม่อยู่ในห้อง ผมทำเนียนเดินดูหนังสือสักพัก จากนั้นก็เดินไปดูตารางเวร เมื่อรู้ว่าวันนี้ตอนเที่ยงไม่ใช่เวรของไอ้บอย ผมก็เดินออกมาจากสหกรณ์

จ๋อย... วันนี้คงไม่ได้เจอไอ้บอยแล้ว อยากเห็นหน้ามันจัง...

“เดินหาเศษตังค์เหรอพี่” เสียงที่คุ้นหูดังขึ้น

“อ้าว บอย” ผมอุทานออกมา

“เดินก้มหน้าหาเศษเงินอยู่นั่นแหละ เกือบจะชนบอยเข้าแล้ว หาได้กี่บาทแล้วล่ะ” ไอ้น้องบอยหัวเราะอย่างอารมณ์ดีพร้อมทั้งเริ่มกวนประสาท

“ไปอยู่ไหนมาวะ” ผมถาม “นึกว่าวันนี้ไม่เข้าสหกรณ์เสียอีก”

“โน่น บอยไปทางโน้นมา” น้องบอยบุ้ยปากไปทางตึกเรียนที่อยู่ห่างออกไป นั่นตึก ม.๓ ม.๔ นี่นา

“ไปตึกนั้นทำไมน่ะ” ผมสงสัย

“ก็ไปหาพี่อูนั่นแหละ แต่พี่ไม่อยู่แล้ว” บอยตอบ

“หาพี่” ผมทวนคำ รู้สึกสงสัย ในขณะเดียวกันก็รู้สึกดีใจ ไอ้บอยมันก็คงนึกถึงผมบ้างเหมือนกัน “มีอะไรเหรอ ถ้ายืมเงินไม่คุยนะ”

“ไม่ยืมหรอก รู้แล้วว่าพี่อูงก” บอยเหน็บ พร้อมทั้งทำหน้ากวน “พี่อูรู้ไหมว่าวันนี้วันอะไร”

“รู้ดิ” ผมตอบ “วันลอยกระทงไง”

“บอยอยากไปลอยกระทงอะ พี่อูไม่คิดพาบอยไปลอยกระทงที่ไหนเลยเหรอ” บอยถามดื้อๆ

จริงสินะ ทำไมผมถึงไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้มาก่อน เอ... หรือว่าผมไม่กล้าคิดกันแน่ ตอนไอ้นัยอยู่ ผมยังไม่เคยไปลอยกระทงที่ไหนกับมันเลย

ไอ้นัยอีกแล้ว ไม่เอา ไม่คิด...

“พี่อู” บอยตะโกนกรอกหูผม “โธ่เอ๊ย คุยๆกันอยู่ ใจลอยอีกแล้ว”

“เอ้อ... อ้า...” ผมอึกอัก นึกได้ว่าวันนี้มีนัดกับแป๋งและพวกพี่ธิต ใจหนึ่งก็อยากไปกับบอย แต่ก็รู้สึกกังวลลึกๆอยู่ในใจอย่างบอกไม่ถูก อีกใจก็ไม่อยากผิดคำพูดกับแป๋งและพวก คำชวนแบบตรงไปตรงมาและกะทันหันของบอยทำให้ผมตั้งตัวไม่ติด

“น่า น่า ชวนบอยหน่อยดิ บอยอยากไป” บอยอ้อนอีก อย่างนี้ก็มีด้วย

“แล้วทำไมไม่ชวนคนอื่นล่ะ” ผมเลียบเคียงถาม อยากรู้เหตุผลที่บอยเจาะจงชวนผม เพื่อนฝูงรุ่นมันก็มีเยอะแยะทำไมไม่ชวน

บอยยิ้มแป้น “ก็ไปกับคนอื่นต้องเสียเงิน ไปกับพี่อูไม่ต้องเสียเงินไง”

ผมคิดนิดหนึ่ง ในที่สุดก็ตัดสินใจได้

“เอาวะ ไปก็ไป” ผมตอบ “งั้นสี่โมงเลิกเรียนแล้วไปเจอกันที่โรงอาหาร”

- - -

บ่ายวันนั้น ผมตัดสินใจเปลี่ยนแผนการ จากเดิมที่เลิกเรียนแล้วจะรีบกลับเพื่อไปงานลอยกระทงที่สวนสยาม ผมจะพาบอยไปลอยกระทงแทน

ผมโทรศัพท์ไปบอกพี่พรที่หอพัก ฝากให้ช่วยบอกแป๋งและพี่ธิตด้วยว่าผมไปด้วยไม่ได้เนื่องจากติดงานลอยกระทงที่โรงเรียน

ผมกับบอยเจอกันที่โรงอาหาร จากนั้นก็กินอาหารรองท้องเล็กน้อย แล้วก็ไปดูประกวดกระทงและนายนพมาศของโรงเรียนกัน เราอยู่ในโรงเรียนจนเวลาประมาณหกโมงเย็น ท้องฟ้าก็เริ่มพลบแล้ว

“เอ้า จะไปลอยที่ไหนดี” ผมถาม ที่จริงก็มีอยู่ที่เดียวคือที่ใต้สะพานพุทธ ถามไปยังงั้นเอง

“ก็ไปสะพานพุทธนี่แหละ ใกล้ดี” บอยตอบ ตรงตามคาด

เราสองคนเดินออกจากโรงเรียนผ่านลานหน้าสะพานพุทธซึ่งในวันนั้นคึกคัก เต็มไปด้วยผู้คน รวมทั้งพ่อค้าแม่ค้าขายกระทง กระทงที่ขายที่ลานมีอยู่ประปรายไม่กี่เจ้า ส่วนใหญ่จะไปเรียงรายกันอยู่ที่ตลิ่งใต้สะพานพุทธ ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีตลาดกลางคืนเหมือนในปัจจุบัน

ในยุคนั้นยังไม่ได้สนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมนัก กระทงในยุคนั้นจึงเป็นกระทงที่ทำจากโฟมและผ้าไนลอนหลากสี กระทงใบตองแทบไม่เห็น ส่วนกระทงขนมปังในตอนนั้นคงยังไม่มีหรือมีก็ไม่แพร่หลาย

ผมและบอยหยุดยืนดูกระทงที่แผงขายกระทงรายหนึ่ง กระทงมีหลายราคา ตั้งแต่สิบสิบบาทขึ้นไปจนหลายสิบบาท แล้วแต่ขนาดและความประนีตสวยงาม กระทงสิบบาทนี่คงเป็นราคาสำหรับนักเรียนประถม เพราะว่ากระทงอันเล็กนิดเดียว แถมยังเรียบง่ายสุดๆ

“นายเอาใบไหน” ผมถามบอย

“เอาใบนี้ สวยดี” บอยชี้ไปที่กระทงใบหนึ่ง ขนาดใหญ่พอสมควร ดูท่าคงหลายเงินอยู่

“พี่เอาใบนี้ละกัน” ผมเลือกระทงที่ราคาถูกที่สุดเพราะลอยไปแล้วก็หมดไป ไม่อยากซื้อของแพงโดยไม่จำเป็น ส่วนของบอยก็ตามใจมันเพราะเห็นว่ามันอยากได้

“จะลอยทำไมให้มากมายตั้งสองใบ เสียเงินเปล่าๆ หุ้นกันก็ได้พี่อู ลอยใบเดียวกันนี่แหละ” บอยเสนอ

ผมอึ้ง เรื่องประหยัดที่จริงเป็นเรื่องดี แต่ความหมายของการลอยกระทงใบเดียวกันนี่สิ บอยอาจจะไม่ได้คิดเพราะว่ายังเด็กอยู่ คงลอยเพราะความสนุกสนาน แต่ผมสิคิด... ลอยกระทงใบเดียวกันสำหรับผมมันไม่ได้หมายถึงการหุ้นเงินกัน แต่มันหมายถึงการเป็นหุ้นส่วนชีวิตของกันและกัน... ผมไม่มีโอกาสได้ลอยกระทงใบเดียวกันกับไอ้นัยเลยสักครั้ง... อย่าว่าแต่ลอยกระทงใบเดียวกันเลย จะไปลอยกระทงด้วยกันก็ยังไม่เคย


<ในยุคนั้นยังไม่ได้สนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมนัก กระทงในยุคนั้นจึงเป็นกระทงที่ทำจากโฟมและผ้าไนลอนหลากสี กระทงใบตองแทบไม่เห็น ส่วนกระทงขนมปังในตอนนั้นคงยังไม่มีหรือมีก็น้อยมาก>


<ในวันลอยกระทง ริมฝั่งแม่น้ำโดยเฉพาะบริเวณใต้สะพานมักเนืองแน่นไปด้วยผู้คนที่ไปลอยกระทง>

Saturday, November 28, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 33

บ่ายสี่โมงวันนั้น ผมและบอยพบกันที่โรงอาหารของโรงเรียน

บอยสั่งขนมมาเยอะแยะตามเคย ส่วนผมเองสั่งมาแค่อย่างเดียว เมื่อแม่ค้าคิดเงินผมก็ล้วงเงินออกมา

“มานี่ บอยจ่ายเอง” บอยพูด

ผมมองหน้าบอยอย่างแปลกใจ ปกติมันชอบกินฟรีเป็นที่สุด วันนี้กลับอยากจ่ายเงินเอง ผมเอามือแตะที่หน้าผากบอย

“พี่อูทำอะไรอะ” บอยสงสัย

“จะดูว่าเอ็งไม่สบายหรือเปล่า อยู่ดีๆเกิดอยากออกเงินเองขึ้นมา” ผมพูด แม่ค้าที่รอรับเงินอยู่อมยิ้ม

บอยอดหัวเราะไปด้วยไม่ได้ “ไม่ได้แค่จะออกเงินเอง ครั้งนี้บอยเลี้ยงพี่อูด้วย”

“เกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย สงสัยกินยาลืมเขย่าขวด” ผมยังไม่หายสงสัย

“ก็กินฟรีมาหลายทีแล้ว ไม่อยากเอาเปรียบพี่อู คราวนี้เลยเลี้ยงพี่อูมั่งไง” บอยเฉลย

จู่ๆผมก็รู้สึกอบอุ่นวูบขึ้นมาในหัวใจ ผมไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มานานแล้ว นับตั้งแต่... ไม่เอา ไม่คิด ไม่คิด

“พี่ไม่เอาหรอก” ผมตอบ

“อ้าว ทำไมล่ะ” บอยถาม

“ก็เดี๋ยวเอ็งจะเอาไปว่าได้ว่าพี่ไม่รู้จักหน้าที่ เอ็งยิ่งชอบว่าพี่อยู่เรื่อย” ผมเหน็บ “คนอื่นรู้จะคิดว่ารุ่นพี่ไม่เอาไหนไถน้องกิน”

“ไม่ว่าหรอก เรารู้กันแค่สองคน” บอยหัวเราะ

“ตกลงว่าใครจะจ่ายกันจ๊า ป้ารอจนเมื่อยแล้ว” เสียงแม่ค้าขายขนมแทรกขึ้นมา

“อ้าว เลยโดนป้าแซวเลย” บอยหัวเราะ ป้าก็พลอยหัวเราะไปด้วย “ให้บอยเลี้ยงพี่อูนะ นะ”

จากนั้นบอยก็หยิบเงินออกมาจ่าย ผมเห็นว่าบอยมีความตั้งใจก็เลยไม่อยากให้เสียน้ำใจ อีกอย่าง ขนมถ้วยเดียวก็ไม่ใช่เงินมากมายอะไร คงไม่ถึงกับเบียดเบียนน้องจนเดือดร้อน

“พี่อูไปนั่งรอก่อน เดี๋ยวบอยยกไปให้เอง” บอยสั่งผม

ผมอยากรู้ว่าวันนี้ไอ้บอยจะมาไม้ไหน จึงเดินไปนั่งที่โต๊ะอาหารแต่โดยดี ผมเห็นบอยขอถาดจากแม่ค้า จากนั้นเอาขนมทั้งหมดใส่ถาดมา จากนั้นยกมาวางที่โต๊ะ จากนั้นก็เดินไปซื้อน้ำหวานมาสองแก้ว แก้วหนึ่งเป็นน้ำกระเจี๊ยบ

บอยนั่งลงที่โต๊ะ จากหยิบถ้วยขนมออกจากถาดมาตั้งเรียงรายตรงหน้า พร้อมทั้งหยิบแก้วน้ำกระเจี๊ยบวางลงที่ด้านของผม “อะ เรียบร้อย ลงมือกินได้”

“เฮ้ย นี่เกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย” ผมงงกับพฤติการณ์ของไอ้น้องบอย

“ก็วันก่อนพี่อูเลี้ยงบอย บอยก็อยากตอบแทนพี่อูบ้างดิ” บอยพูด มันหมายถึงวันที่ผมพามันไปเลี้ยงหนังและอาหารที่สยามสแควร์

ผมเหม่อมองแก้วน้ำกระเจี๊ยบด้วยความตื้นตันใจ บอยมันสังเกตจนรู้ว่าผมชอบกินน้ำกระเจี๊ยบ แต่ผมสิ แม้จะเลี้ยงมันหลายหน แต่กลับไม่เคยสังเกตเลยว่ามันชอบกินอะไรบ้าง...

“ขอบใจนายมากนะ” ผมพูดเบาๆ แม้แต่สรรพนามที่ใช้เรียกมันก็พลอยเปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว

- - -

ในที่สุดปริศนามือลึกลับที่เอากาวไปหยอดรถยนต์ของอาจารย์พิกุลก็คลี่คลาย การกระทำของเวชแพร่สะพัดไปในระดับชั้น ม.๔ อย่างรวดเร็ว และเป็นประเด็นร้อนให้วิพากษ์วิจารณ์กันทั้งในเรื่องแรงจูงใจที่ทำให้เวชลงมือ รวมทั้งแรงจูงใจที่ทำให้เวชสารภาพความจริงออกมา

เมื่อพวกนักเรียนรู้กันหมด มีหรือที่อาจารย์วารีจะไม่รู้ ดังนั้น ในวันรุ่งขึ้น หัวหน้าชั้นจึงถูกอาจารย์วารีเรียกไปพบ จากนั้นก็ตามด้วยเวช โดยเวชขึ้นไปพบอาจารย์วารีในช่วงพักเที่ยง

“สงสัยไอ้เวชตายแน่คราวนี้” นักเรียนในกลุ่มเด็กเกคนหนึ่งเปรยขึ้นมา

“ไม่เป็นไร ถ้าไอ้เวชตาย เดี๋ยวกูปกครองพวกมึงต่อเอง เหมือนในหนังเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ไง” เกรียงพูด ไม่รู้ว่ามันพูดเล่นหรือว่าคิดอย่างนั้นจริงๆ

ในที่สุด เวชก็กลับลงมาพร้อมกับใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส

“เฮ้ย อารมณ์ดีมาเชียว อาจารย์ว่าไงบ้าง” เกรียงถาม

“ก็จะมีอาไร้” เวชลากเสียง แล้วพูดอย่างไม่สะทกสะท้าน “ก็เชิญผู้ปกครองมาอีกนั่นแหละ”

“สองหนแล้วนะมึง” เพื่อนอีกคนหนึ่งพูด

“โอ๊ย เรื่องเล็ก” เวชหัวเราะ “บางปีโรงเรียนเชิญผู้ปกครองกูมาตั้งสามสี่หน แค่สองหนยังเล็กน้อย”

ดูเหมือนกับว่าเวชจะไม่สะทกสะท้านกับผลที่ตามมาเลยแม้แต่น้อย ทีแรกผมนึกว่ามันคงเสียใจในสิ่งที่ทำลงไป จึงได้สารภาพออกมา แต่ท่าทีที่ไม่อนาทรร้อนใจของมันทำให้ผมชักไม่ค่อยแน่ใจ

“เฮ้ย ไอ้อู” เสียงไอ้กี้เรียกพร้อมกับศอกของมันกระแทกที่สีข้างของผมเบาๆ “อาจารย์เริ่มสอนแล้ว มึงมัวใจลอยอะไรอยู่”

ศอกของไอ้กี้ได้ปลุกผมให้ตื่นขึ้นมาจากภวังค์ วันนี้ตั้งแต่เช้ามา ผมมัวแต่ครุ่นคิดถึงเรื่องที่โรงอาหารเมื่อวาน ไอ้บอยเป็นเหมือนเปลวไฟดวงเล็กๆที่ช่วยให้จิตใจที่อ้างว้างของผมเริ่มมีความอบอุ่นขึ้นมา ไอ้บอยทำให้วันเวลาของผมสดชื่นและสว่างไสวขึ้นอย่างน่าประหลาด

- - -

หลังเลิกเรียน

ท้องฟ้ายามบ่ายของต้นเดือนพฤศจิกายนครึ้มไปด้วยเมฆสีเทา ฝนช่วงเปลี่ยนฤดูโปรยปรายลงมา บรรยากาศเยือกเย็นและหม่นทึม ชวนให้รู้สึกเงียบเหงาหดหู่

ความเหงาเข้าจู่โจมผมอย่างไม่ทันตั้งตัว จู่ๆก็คิดถึงไอ้นัยขึ้นมาอีก ภาพเหตุการณ์ที่บึงน้ำยามฝนตกวาบเข้ามาในห้วงความคิด... ป่านนี้ไอ้นัยเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้

พร้อมกับความคิดถึงไอ้นัย ผมรู้สึกเจ็บปวดวูบขึ้นมา ผมพยายามขับไล่เงาร่างของไอ้นัยออกไปจากความคิดอย่างยากเย็น การพยายามลืมใครสักคนมันไม่ง่ายเลย โดยเฉพาะคนที่เราฝังใจด้วยมานานปี...

ผมเก็บหนังสือและสมุดใส่ลงในเป้เพื่อเตรียมตัวกลับ พลางเหลือบมองเวชที่นั่งข้างๆ พลางคิดว่าผมกับเวชเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือ... สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น

“เฮ้อ วันนี้เซ็งฉิบหาย ฝนตกยังงี้ไปตีนุ้กดีกว่า” เวชพูดขึ้นมาลอยๆ เกรียงและเพื่อนในแก๊งของเวชส่งเสียงสนับสนุนทันที

เวชและพวกลุกขึ้นจากโต๊ะและเดินออกไปนอกห้อง ผมรีบคว้าเป้เดินตามออกไปบ้าง

“ไปด้วยคนดิ” ผมพูดกับเวชด้วยประโยคเดิมขณะที่เดินไปตามระเบียง เห็นละอองฝนโปรยปรายอยู่นอกชายคาตึก

เวชหันมามองผมนิดหนึ่ง แล้วจู่ๆเวชก็ถามผมด้วยคำถามที่แปลกประหลาด “มึงเหงาเหรอ”

“เอ้อ ไปด้วยอีกได้ไหมล่ะ” ผมถามอีก ไม่อยากตอบคำถามนั้นของเวชเลย

เวชไม่พูดอะไร ผมก็เหมาเอาว่าเวชไม่ขัดข้องเช่นเดียวกับครั้งก่อน จึงเดินตามกลุ่มพวกมันไป...

- - -

ที่โต๊ะสนุ้กเกอร์ เหตุการณ์ก็เป็นเช่นเดียวกับวันก่อน นั่นคือ ผมนั่งทำตัวเป็นอากาศอันว่างเปล่า ดูเวชและเพื่อนเล่นสนุ้กเกอร์กันโดยไม่มีสิทธิ์เข้าไปร่วมวงด้วยเพราะว่าเล่นไม่เป็นอีกทั้งไม่มีใครยอมสอนให้ ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจผมเลย แต่ผมคิดว่านั่งอยู่ที่นี่ถึงอย่างไรก็ดีกว่ากลับหอพัก ความเหงาทำให้ผมไม่อยากอยู่คนเดียว

“โอย กูเห็นไอ้อูแล้วแทงพลาดหมดเลย” ไอ้เกรียงบ่นเสียงดัง

“อะไรวะ ก็นั่งอยู่เฉยๆ” ผมนึกว่ามันมองไม่เห็นผมเสียอีก ที่แท้ก็ยังเห็นอยู่

“เห็นมึงนั่งเรียบร้อยแล้วกูนึกว่ายังอยู่ในห้องเรียน แทงพลาดหมดเลย” เกรียงพูด เหตุผลโคตรไร้สาระทำให้ผมอดนึกถึงนิทานเรื่องหมาป่ากับลูกแกะไม่ได้

เกรียงเดินมาที่ผม จากนั้นยื่นบุหรี่ให้ “เอ้า ดูดซะ อย่ามาทำเป็นเด็กเรียนแถวนี้ ทำตัวให้เหมือนพวกเราหน่อย”

ทีแรกผมจะปฏิเสธ แต่คำพูดที่บอกว่าให้ทำตัวเหมือนพวกมันทำให้ผมฉุกคิด ถ้าผมทำตัวไม่กลมกลืนกับมัน อีกหน่อยมันคงไม่ยอมให้ผมมาด้วยเป็นแน่

ผมยื่นมือรับบุหรี่ที่ดูดแล้วจากเกรียงอย่างว่าง่าย จากนั้นก็ใส่ปากดูดและพ่นควันออกมา ที่จริงมันก็ไม่ยากอะไร แค่ดูดแล้วพ่น

“ไอ้ห่า” เกรียงด่าผม “ดูดยังงี้เสียของหมด กลืนควันลงปอดสิวะ”

“กลืนยังไงวะ” ผมพยายามไม่เข้าใจที่มันพูด สายตาเหลือมมองไปที่เวช ถ้าเวชปรามเกรียงไว้ มันคงไม่บังคับผม แต่ทว่าเวชมองผมด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“ดูดเข้าไป แล้วหายใจควันเข้าไปในปอด ไอ้เซ่อ” เกรียงพูดอีก

เอาก็เอาวะ ในเมื่อเลี่ยงไม่ได้ ผมจึงลองสูบใหม่และกลืนควันลงปอดดู เมื่อควันบุหรี่ผ่านลำคอลงไปในปอดเป็นครั้งแรก ผมก็สำลักควันออกมาทันที ผมไอจนตัวโยน

“เออ นั่นแหละ ถูกต้อง” เกรียงพูดอย่างพอใจ “เอ้า ลองใหม่ อ่อนหัดนักนะมึง”

คำพูดสบประมาทของไอ้เกรียงที่ทำให้ผมเกิดทิษฐิขึ้นมา มึงสูบได้กูก็ต้องสูบได้

เมื่อหยุดไอ ผมลองสูบอีกคำหนึ่ง คราวนี้ค่อยๆปล่อยให้ควันบุหรี่ล่วงล้ำเข้าไปในปอดทีละน้อย กลืนควันไปได้หน่อยนึงก็สำลักควันและไอออกมาอีก แต่คราวนี้ไม่รุนแรงนัก

ผมพักนิดหนึ่ง จากนั้นลองดูดต่อ ดูดอีกสี่ห้าคำจนในที่สุดปอดของผมก็เริ่มคุ้นกับควันบุหรี่ ในที่สุดผมก็สามารถกลืนควันเข้าไปได้ทั้งคำ

“ดีมาก” เกรียงพูดอย่างพึงพอใจ “สูบให้หมดเลย มวนนี้กูยกให้มึง”

ไอ้ห่าเอ๊ย ผมด่ามันในใจ บุหรี่เปื้อนน้ำลายมึง ใช่ว่ากูจะอยากสูบ ใจหนึ่งคิดด่า แต่อีกใจหนึ่งก็อิ่มเอมอยู่ไม่น้อยที่ผมทำให้มันยอมรับได้

ผมส่งบุหรี่เข้าปากอีก บุหรี่ยังไม่หมดมวน คงดูดได้อีกหลายคำ

“เฮ้ย พอแล้ว อย่าแกล้งมันอีกเลย” เวชพูดขึ้นมา จากนั้นก็หันหน้ามาพูดกับผม “ไอ้อู เลิกดูดได้แล้ว”

“กูดูดเป็นแล้ว ดูดให้หมดก็ได้” ผมพูด ไม่อยากให้เกิดปัญหากับไอ้เกรียง ไม่รู้เหมือนกันว่ามันแกล้งผมตรงไหน

เวชแย่งบุหรี่ที่มือผมไป “เดี๋ยวก็ตายห่าหรอกไอ้อู มึงนั่งเฉยๆเดี๋ยวก็รู้”

ไอ้เกรียงหัวเราะ หลังจากนั้นพวกมันก็เล่นสนุ้กกันต่อ ปล่อยผมนั่งอยู่โดยไม่สนใจ

ผมนั่งได้ครู่เดียวก็รู้สึกมึนหัว แรกๆก็มึนนิดหน่อย จากนั้นอาการก็รุนแรงขึ้น ผมรู้สึกเวียนหัวอย่างมาก เหมือนกับนั่งถ้วยหมุนในสนามเด็กเล่นแล้วหมุนไปสักร้อยรอบ ผมรู้สึกคลื่นไส้อย่างรุนแรง

ตอนนี้เริ่มเข้าใจแล้วว่าที่เวชพูดหมายถึงอะไร ไอ้เกรียงคงตั้งใจจะแกล้งผม ผมพยายามเก็บงำอาการเมาบุหรี่เอาไว้ ถ้าแสดงความอ่อนแอออกมาพวกมันคงดูถูกผมแย่

ผมพยายามสะกดความคลื่นไส้เอาไว้ มันเป็นความรู้สึกที่ทรมานมาก แต่ในที่สุดก็เอาไม่อยู่ ผมพยายามยืนขึ้นเพื่อจะเดินไปหาที่อ้วก แต่พอยืนขึ้นผมก็รู้สึกว่าแผ่นดินหมุนไปหมดจนยืนไม่ไหว ผมทรุดตัวลงนั่งคุกเข่ากับพื้น จากนั้นก็อ้วกออกมา อ้วก อ้วก และอ้วก... อ้วกจนไม่มีอะไรออกมานอกจากน้ำย่อยเหนียวๆรสชาติขมขื่น

Monday, November 23, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 32

โต๊ะสนุ้กเกอร์ที่เวชและพวกไปเล่นกันโดยมีผมติดตามไปด้วยซ่อนตัวอยู่ที่ชั้นบนของห้องแถวสภาพเก่าแก่ในย่านปากคลองตลาด ที่จริงตึกแถวในย่านนั้นก็มีแต่ตึกแถวเก่าทั้งนั้น จะเก่ามากหรือเก่าน้อยเท่านั้นเอง นอกจากเก่าแล้วยังไม่ค่อยปรับปรุงรักษาสภาพเอาเสียเลย จึงแลดูทรุดโทรม

ห้องเล่นสนุ้กมีสภาพอับทึบ หน้าต่างที่เปิดอยู่บานเล็กนิดเดียว ภายในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นบุหรี่ ตรงกลางห้องตั้งโต๊ะสนุ้กเกอร์ ผนังห้องด้านหนึ่งตั้งชุดรับแขกอันประกอบด้วยโซฟาเก่าๆสี่ห้าตัวพร้อมด้วยโต๊ะเตี้ยๆ ส่วนอีกด้านหนึ่งก็วางข้าวของเอาไว้ระเกะระกะ

เมื่อเวชและพวกขึ้นถึงชั้นบน เรื่องแรกที่ทำก็คือเอาชายเสื้อออกมานอกกางเกง จากนั้นก็เวชก็ควักบุหรี่ออกมาจากกระเป๋านักเรียน แบ่งกันสูบคนละมวน

“เอ้า ดูดเป็นหรือเปล่า” เวชยื่นซองบุหรี่มาให้ผม

ผมสั่นหัว “ไม่อะ ขอบใจ นั่งดูก็พอ”

หลังจากเล่นไปได้สักพัก เวชก็ซื้อเบียร์กระป๋องมาดื่ม ตอนนั้นเครื่องดื่มกระป๋องอลูมิเนียมไม่ว่าจะเป็นน้ำอัดลมกระป๋องหรือเบียร์กระป๋องกำลังเริ่มเป็นที่นิยม วัยรุ่นชอบซื้อมาดื่มเพราะว่าเท่ดี ในตอนนั้นยังไม่มีโรงงานผลิตกระป๋องอลูมิเนียมในไทย ต้องนำเข้ากระป๋องเปล่าจากสิงคโปร์

ตอนนั้นเพิ่งฟื้นจากไข้ ผมจึงไม่อยากดื่มของแช่เย็น ก็เลยไม่ได้ซื้อเครื่องดื่มอะไร ที่จริงเมื่อก่อนไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้เลย เมื่อไม่สบายอยากกินอะไรก็จะกิน พ่อแม่ห้ามก็ไม่ฟัง แต่พอจำเป็นต้องดูแลตัวเอง อะไรที่พ่อแม่เคยสอนเอาไว้ผมเอามาใช้หมด เพราะไม่อยากมีปัญหาและต้องกลับไปเรียนที่บ้านอีก

ผมนั่งดมควันบุหรี่อยู่ในห้องนั้นจนค่ำ นั่งดูเวชและเพื่อนๆเล่นสนุ้กเกอร์ ดูไปก็ไม่รู้ว่าเล่นยังไงเพราะไม่มีใครสอน จึงไม่รู้ว่าสนุกตรงไหน แต่ก็ยังดีที่ได้ฆ่าเวลา

ประมาณหนึ่งทุ่ม พวกเราทั้งหมดก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ผมก็นั่งรถเมล์กลับหอ กว่าจะถึงหอพักก็ราวสองทุ่ม แวะกินอาหารร้านประจำ จากนั้นก็เดินเข้าหอพักไป

ที่ร้านชั้นล่างตอนนั้นไม่พลุกพล่าน มีคนในหอยืนโทรศัพท์อยู่เพียงคนเดียว ส่วนอีกคนก็คือแป๋งซึ่งคอยเฝ้าร้านแทนพี่พร วันนั้นแป๋งใส่ชุดนักเรียน เพิ่งเคยเห็นแป๋งอยู่ในชุดนักเรียนก็วันนี้เอง ดูไปก็น่ารักดี

“เฮ้ย อู กลับดึกจัง” แป๋งทักทายด้วยสีหน้ายิ้มระรื่น “นี่นายเรียนภาคค่ำเหรอ”

“เปล่า ภาคค่ำมีที่ไหน” ผมตอบ รู้ดีว่าถูกแซว “แวะไถลหน่อยน่ะ”

ว่าแล้วผมก็เดินผ่านแป๋งเพื่อนจะขึ้นตึกไป แต่แป๋งดึงแขนเสื้อของผมเอาไว้ โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้แล้วทำจมูกฟุดฟิด

“เฮ้ย นี่นายดูดบุหรี่เหรอ” แป๋งกระซิบถาม

“เปล่าดูด” ผมตอบ รู้สึกแปลกใจที่จู่ๆแป๋งก็ถามเรื่องนี้ขึ้นมา

“ไม่ต้องมาโกหก” แป๋งทำสีหน้าจริงจัง “กลิ่นติดเสื้อแบบนี้ต้องไปดูดบุหรี่ในห้องส้วมหลังเลิกเรียนแน่นอน นี่ต้องระดับสิงห์อมควันเสียด้วย”

แป๋งพูดอย่างจริงจังจนผมอดหัวเราะไม่ได้ ดูท่าทางมันแน่ใจเอามากว่าผมดูดบุหรี่ แถมยังระบุได้ละเอียดว่าดูดในส้วมเสียอีกด้วย

“ทำไมนายคิดยังงั้นล่ะ” ผมถาม

“ยังจะทำไก๋อีก” แป๋งทำเสียงดุ “ก็กลิ่นบุหรี่ที่ติดเสื้อนี่ไง ถ้านายสูบในที่กว้าง กลิ่นจะไม่ค่อยติดเสื้อ ต้องสูบในห้องแคบๆอย่างเช่นห้องส้วม กลิ่นจึงจะติด และถ้ากลิ่นแรงขนาดนี้แสดงว่าต้องดูดไปหลายตัว โห ไอ้อูนี่ร้ายโว้ย”

“นายเคยดูดบุหรี่ในส้วมเหรอ ถึงได้รู้ดีขนาดนี้” ผมถามแป๋งบ้าง รู้สึกทึ่งกับการคาดการณ์ของมัน ถึงแม้ว่าจะไม่ถูกก็ตาม

“ก็เออดิ” แป๋งพยักหน้า แล้วทำหน้าทะเล้น “ต้องระวังตัว เพราะถ้ากลิ่นติดเสื้อมาแม่เราจะจับได้”

“เราไม่ได้สูบ แค่ไปดูเพื่อนมันเล่นสนุ้กกัน พวกมันสูบบุหรี่กัน กลิ่นเลยติดมา” ผมอธิบาย

แป๋งทำสีหน้าเหมือนไม่ค่อยอยากจะเชื่อ แต่จะเชื่อหรือไม่เชื่อผมก็ไม่ได้สนใจ เพราะว่าคงไม่มีผลอะไรเนื่องจากไม่มีใครมาคอยควบคุมความประพฤติของผม

- - -

การใช้เวลายามเย็นจนถึงค่ำกับเวชและพวกดูเหมือนจะเป็นการฆ่าเวลาที่ไม่เลว เพราะมันทำให้ผมรู้สึกว่าชีวิตมีสีสันที่แปลกใหม่เพิ่มเติ่มขึ้นมา อีกทั้งทำให้ความรู้สึกเงียบเหงาของผมลดทอนลงไปได้บ้าง

วันถัดมา ผมไปถึงโรงเรียนแต่เช้าเพื่อไปลอกการบ้าน เวชรักษาคำพูดโดยหาต้นฉบับมาให้ผมลอกได้จริงๆ งานที่ดูเหมือนจะใช้เวลากลับกลายเป็นของง่าย ที่จริงก่อนหน้านี้ผมก็เคยลอกการบ้านเพื่อนอยู่เป็นประจำ แต่ในครั้งนี้ผมรู้สึกชื่นชมมันเป็นพิเศษ

วันนั้นเป็นวันที่สหกรณ์เริ่มเปิดทำการเป็นวันแรกของเทอมปลาย พอถึงตอนพักเที่ยง ผมรีบเดินไปที่สหกรณ์โดยที่ยังไม่ได้กินอาหาร เพราะว่าน้อง ม.ต้น จะเข้าเรียนภาคบ่ายตอนเที่ยงครึ่ง หากผมมัวแต่กินอาหารอาจจะไม่ทันเที่ยงครึ่งก็ได้

ที่สหกรณ์ เนื่องจากเป็นเวลาหลังเที่ยงไม่นาน จึงยังไม่มีนักเรียน ม.ปลาย คนใดอยู่ในห้อง มีแต่ ม.ต้นทั้งนั้น เมื่อผมเดินเข้าไปก็ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยทักผมทันที

“อ้าว พี่อู วันนี้มาไวจัง” เจ้าของเสียงยืนยิ้มแฉ่งเห็นฟันขาว บอยนั่นเอง

หมู่นี้ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ผมนึกถึงไอ้บอยบ่อยๆ บางทีอยู่ดีๆก็นึกถึงมันขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ รู้สึกอยากเจอ อยากคุยกับมัน แต่ก็ไม่กล้าไปหามันที่ห้อง ต้องอาศัยเจอมันที่สหกรณ์

“ฮื่อ มาดูหนังสือน่ะ ว่าจะเอาไปอ่านสักหน่อย” ผมพยายามวางมาด

“พี่อูจะเช่าเธอกับฉันหรือว่าวัยหวานดีล่ะ” ไอ้น้องบอยถามพลางทำสีหน้ากวน

ผมสะดุ้ง เพราะว่าในนั้นมีแต่น้อง ม.ต้น อีกทั้งเสียงไอ้บอยก็ไม่เบา ถ้าพวกรุ่นน้องคิดว่าผมมาเช่าวัยหวานจริงๆผมคงเสียหน้ามาก

“เดี๋ยวโดนเตะแน่ไอ้บอย” ผมกระซิบ

บอยหัวเราะ ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่ผมว่าบอยรู้สึกดีใจที่ได้เจอผม

“อะอะ ไม่แกล้งพี่อูแล้ว” บอยพูด “พี่จะเช่าอะไรล่ะ”

“เย็นนี้มีเวรหรือเปล่า” ผมไม่ได้ตอบคำถามของบอย

บอยทำตาโต “มีกินฟรีเหรอ ว่างครับ”

“ไอ้เปรต ยังไม่ได้บอกเสียหน่อยว่ากินฟรี” ผมพูด

“เฮอะ ไม่รู้จักหน้าที่อีกแล้ว” บอยย้อน แกล้งทำสีหน้าไม่พอใจ ผมเห็นหน้ามันแล้วอดนึกถึงใครบางคนไม่ได้ ถึงใบหน้าของทั้งสองคนนี้จะไม่ได้ละม้ายคล้ายคลึงกัน แต่ความรู้สึกของผมมักเชื่อมโยงบอยไปถึงคนผู้นั้นเสมอ...

ไม่เอา ไม่คิด ผมรีบสลัดความคิดคำนึงออกไป ผมต้องพยายามลืม... ต้องลืมให้ได้...

“บ่ายสี่เจอกันที่โรงอาหารนะ” ผมพูดกับบอยเบาๆ จากนั้นก็เดินออกจากสหกรณ์โดยไม่ได้เช่าอะไรเลย ที่จริงผมก็ไม่ได้ตั้งใจมาเช่าหนังสืออยู่แล้ว

ผมเดินไปตามระเบียงอันยาวเหยียด จากนั้นก็มาหยุดอยู่ที่หน้าห้องธุรการ และเดินเข้าไป

ไม่มีจดหมายมาถึงผม ไม่ว่าจะเป็นจดหมายใหม่ๆหรือว่าจดหมายที่ผมเขียนและถูกส่งกลับคืนมา หลายเดือนมานี้ผมรอจดหมายจนสิ้นหวังแล้ว...

- - -

“โอ๊ย กูรำคาญไอ้เหี้ยสองตัวนี่จริงๆ” ไอ้กี้บ่นระหว่างคาบ ขณะที่พวกนักเรียนกำลังรออาจารย์ ไอ้เหี้ยสองตัวที่ไอ้กี้พูดถึงก็คือนนและแมน จอมมารดำขาวที่นั่งติดกับมันนั่นเอง

ขณะที่ผมกำลังหวนคิดถึงประสบการณ์ที่ได้พบกับบอยเมื่อวาน ยิ่งนานวันดูเหมือนบอยจะยิ่งน่ารักขึ้น ขณะที่ผมกำลังรู้สึกอบอุ่นและอิ่มเอมกับความรู้สึกดีๆที่เริ่มก่อตัวขึ้นกับบอย พลันเสียงด่าของได้กี้ก็กระชากให้ผมตื่นจากภวังค์

ผมชะโงกหน้าไปดู เห็นแมนและนนกำลังนั่งหัวเราะกิ๊กกั๊ก และเมื่อมองต่ำลงไปก็พบว่ามือของคนทั้งสองกำลังขยำเป้ากางเกงของกันและกันอยู่โดยไม่สนใจกับสายตาของเพื่อนฝูง

“แม่ง โคตรอุบาทว์เลย” ไอ้กี้บ่นให้ผมได้ยิน ว่าแล้วก็หันไปทางจอมมารดำขาว “ทำไมพวกมึงไม่อัดถั่วดำกันเสียเลยวะ”

“เดี๋ยวดิ รอให้เลิกเรียนก่อน” นน จอมมารดำตอบอย่างอารมณ์ดี ส่วนแมนก็หัวเราะขำ

“กูยอมแพ้มัน โคตรหน้าด้านเลย” ไอ้กี้พูดไปหัวเราะไป

ผมฟังไอ้กี้พูดด้วยความรู้สึกแปลกๆ ไอ้กี้ดูเหมือนจะรังเกียจพฤติกรรมแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้พูดจารุนแรงกับนนและแมน แต่เมื่อพูดกับผม แม้เป็นเรื่องผิดพลาดเล็กน้อยของผม มันก็มักด่าด้วยเสียงอันดัง เหตุผลที่พอจะอธิบายได้และเท่าที่ผมจะนึกออกก็คือไอ้สองคนนี้มันเรียนเก่ง โดยเฉพาะแมนเรียนเก่งเป็นอันดับต้นๆของห้อง ใครที่เรียนเก่งเพื่อนๆก็มักให้ความนับถือและเกรงใจ

ผมอดทึ่งในความใจกล้าของไอ้สองคนนี้ไม่ได้ แม้เมื่อตอนเป็นเด็กผมจะทำอะไรที่โลดโผนในกลุ่มเพื่อนเช่นกัน แต่นั่นมันก็นานมาแล้ว พอเรียนมัธยมแล้วผมก็ไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นอีก ประสบการณ์ตั้งแต่มัธยมต้นได้สอนให้ผมต้องปกปิดความรู้สึกภายในเอาไว้ ไม่สามารถบอกให้ใครรับรู้ได้ เพราะมันเป็นความผิดปกติที่สังคมไม่ยอมรับ แต่กับนนและแมน ดูเหมือนว่ามันจะหลุดพ้นจากข้อจำกัดนั้น...

เสียงด่าและท่าทีของไอ้กี้ที่มีต่อนนและแมนทำให้ผมไม่กล้าคิดต่อไปว่าความสัมพันธ์ของผมและบอยจะพัฒนาต่อไปอย่างไร และจะมีจุดปลายเป็นเช่นไร...

- - -

คาบถัดมาเป็นวิชาคณิตศาสตร์ของอาจารย์พิกุล วันนี้อาจารย์พิกุลดูใจลอย ไม่ค่อยมีสมาธิในการสอน

“อาจารย์ไม่สบายหรือเปล่าครับ” นักเรียนที่นั่งอยู่แถวหน้าถามอาจารย์ เพราะเห็นอาจารย์สอนแล้วหลงไปหลงมา

“เปล่าหรอกจ้ะ” อาจารย์พิกุลตอบ

“อาจารย์ แล้วรถอาจารย์เป็นไงบ้างครับ” นักเรียนถาม ไม่รู้ว่าพยายามชวนคุยหรือว่าเพราะอยากรู้

“เฮ้อ อย่าไปพูดถึงมันเลย” อาจารย์พุกุลถอนหายใจ “ตอนนี้ล็อกรถไม่ได้ เลยไม่กล้าจอดแวะที่ไหน กลัวหาย ได้แต่จอดที่บ้านกับที่โรงเรียนนี่แหละ”

“อาจารย์ทำไมไม่ซ่อมเสียทีละครับ” นักเรียนอีกคนถามบ้าง

“ก็เนี่ย” อาจารย์พุกุลทำเสียงเศร้า “เงินเดือนครูใช่ว่าจะมากมาย ค่าซ่อมมันก็หลายเงินอยู่ ครูก็พยายามจะเปียแชร์มาจะได้ซ่อม แต่ก็เปียไม่ได้ ตอนนี้คงยังซ่อมไม่ได้หรอก ต้องรอเปียแชร์ได้ก่อน แต่ถ้าไม่ซ่อม ครูก็กลัวว่าล็อกรถไม่ได้แล้วมันจะหาย”

“อาจารย์แจ้งตำรวจหรือเปล่าครับ เผื่อตำรวจจะหาคนทำได้” เสียงเวชตะโกนมาจากหลังห้อง

“จะไปแจ้งอะไร้” อาจารย์พิกุลตอบด้วยเสียงอ่อนๆ ไม่เข้มเหมือนทุกครั้งที่พูดกับเวช บางทีอาจารย์อาจลืมไปก็ได้ว่ากำลังพูดกับใครอยู่ “มองไปทางไหนก็ลูกศิษย์ทั้งนั้น ครูทำไม่ลงหรอก”

อาจารย์นิ่งไปอึดใจหนึ่ง แล้วจึงพูดต่อ “ครูเป็นครูมาหลายสิบปีแล้วนะ ที่เลือกเรียนครูเพราะว่ารักที่จะเป็นครู อยากสอนลูกศิษย์ พอจบมาก็เป็นครูโดยไม่เคยคิดเปลี่ยนไปทำอาชีพอื่นเลย แต่ไม่นึกเลยว่าลูกศิษย์จะทำกับครูขนาดนี้...”

ตอนท้ายเสียงอาจารย์พิกุลกลับกลายเป็นเสียงเครือ น้ำตาไหลอาบร่องแก้ม นักเรียนทั้งห้องเงียบสนิท

“อาจารย์แจ้งตำรวจไปเถอะครับ จะได้เอามันให้เข็ด” เวชพูดทำลายความเงียบขึ้น วันนี้ดูมันพูดแปลกๆชอบกล

“ช่างเถอะ ถึงยังไงก็ลูกศิษย์ ครูอโหสิให้...” อาจารย์พิกุลส่ายหน้า หยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา แล้วพูดตัดบท “มา... เรามาเรียนกันต่อดีกว่า”

“อาจารย์ครับ ผมเป็นคนทำเอง” ได้ยินเสียงเวชพูด


<ห้องเล่นสนุ้กมีสภาพอับทึบ หน้าต่างที่เปิดอยู่บานเล็กนิดเดียว ภายในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นบุหรี่ ตรงกลางห้องตั้งโต๊ะสนุ้กเกอร์ ผนังห้องด้านหนึ่งตั้งชุดรับแขกอันประกอบด้วยโซฟาเก่าๆสี่ห้าตัวพร้อมด้วยโต๊ะเตี้ยๆ ส่วนอีกด้านหนึ่งก็วางข้าวของเอาไว้ระเกะระกะ>

Wednesday, November 18, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 31

ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตนเองนอนอยู่คนเดียวในห้องของพี่ธิต เมื่อดูนาฬิกาจึงทราบว่าเป็นเวลาเก้าโมงกว่าแล้ว พี่ธิตออกไปทำงานนานแล้วโดยทิ้งยาลดไข้เอาไว้ให้ ๒ เม็ด และเขียนข้อความสั่งเอาไว้ว่าเมื่อออกจากห้องให้ผมล็อกห้องให้ด้วย และให้ผมไปซื้อยาที่ร้านขายยามาอีก เผื่อจำเป็นต้องใช้ เนื่องจากที่ห้องของพี่ธิตมียาเหลืออยู่เพียงเท่านี้

เก้าโมงกว่า ป่านนี้โรงเรียนเข้าไปนานแล้ว แม้อาการปวดหัวจะบรรเทาลง แต่ก็ยังรู้สึกอ่อนเพลียอยู่ ผมจึงตัดสินใจหยุดเรียนหนึ่งวัน

ผมล็อกห้องของพี่ธิต จากนั้นลงไปที่ห้องของตนเอง กินยาที่พี่ธิตทิ้งไว้ให้ จากนั้นก็นอนต่อ กว่าจะตื่นมาอีกทีก็เป็นเวลาเที่ยงกว่าแล้ว

ผมเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อยืดกางเกงขาสั้น แค่เปลี่ยนชุดเท่านั้น ไม่กล้าอาบน้ำ กลัวกลับเป็นไข้อีก จากนั้นจึงเดินลงไปชั้นล่าง แวะซื้อยาลดไข้ที่ชั้นล่าง แต่วันนั้นยาลดไข้หมด ผมจึงแวะกินอาหารก่อน จากนั้นก็เดินออกไปยังปากซอยเพื่อไปยังร้านขายยา

ที่ปากซอยภาวนามีร้านขายยาอยู่หลายร้าน ปกติผมไม่ได้เข้าร้านขายยาเลยเพราะไม่ค่อยป่วย พอมาป่วยในครั้งนี้จึงคิดจะเดินไปซื้อยาที่ร้าน แต่คิดไปคิดมาก็ไม่กล้าเดินไปที่ซอยภาวนาเพราะเกรงว่าอาจเจอคุณป้าได้ ถ้าเป็นตอนเช้าตรู่คุณป้าจะยังอยู่ที่บ้าน ผมจึงกล้าเดินไปขึ้นรถเมล์เพื่อไปโรงเรียนได้อย่างสบายใจ แต่ถ้าเป็นตอนกลางวันแล้วผมก็ไม่กล้าเดินผ่านเพราะเกรงว่าจะเจอคุณป้า เจอกันแล้วก็ทำตัวไม่ถูก รู้สึกไม่กล้าสู้หน้า

ผมจึงเดินไปซื้อยาทางด้านซอยลาดพร้าว ๒๓ จำได้ว่าแถวนั้นก็มีร้านขายยาอยู่หลายร้านเหมือนกัน แม้จะไม่มากเท่าที่ปากซอยภาวนา แต่แค่ซื้อยาลดไข้ที่ร้านไหนก็คงมี

ร้านขายยาที่ซอยลาดพร้าว ๒๓ หรือซอยวิทยาลัยครูจันทรเกษม ทุกร้านอยู่ในสภาพที่เงียบเหงา ผมเลือกเดินเข้าไปในร้านหนึ่ง

“เอาอะไร” คนขายหญิงวัยใกล้ห้าสิบที่นั่งทำหน้าเบื่อหน่ายอยู่หลังเคาน์เตอร์กระจกที่วางโชว์ยาต่างๆเอ่ยถามด้วยเสียงห้วนๆ ดูจากบุคลิกแล้วน่าจะเป็นเจ้าของร้าน

“เอาดีคอลเจน ๒ แผงครับ” ผมตอบ

“เป็นหวัดเหรอ เอายาชุดดีกว่า กินสักสองสามวันก็หายแล้ว” เจ้าของร้านพูดพลางหยิบยาที่บรรจุอยู่ในซองพลาสติกมาอวดให้ผมดู ในนั้นมียาเป็นแคปซูลสีสันสดใสอยู่หลายเม็ด พลางสำทับด้วยสรรพคุณอันยอดเยี่ยม “กินครั้งละซอง วันละสองสามครั้ง กินแล้วทำให้ไข้หาย น้ำมูกหาย เจ็บคอก็หาย กินข้าวได้ กินไม่กี่วันก็หายหวัด ดีกว่าดีคอลเจนอีก”

ในยุคนั้นเป็นยุคที่ยาชุดเฟื่องฟู แม้ว่าตามกฎหมายแล้วร้านขายยาทุกร้านจะต้องมีเภสัชกรประจำเพื่อคอยให้คำแนะนำในการใช้ยา แต่ในทางปฏิบัติ ร้านขายยาส่วนใหญ่ไม่มีเภสัชกรประจำ จะมีก็เพียงแค่ป้ายชื่อแขวนเอาไว้เท่านั้น และในเมื่อตัวเภสัชกรไม่อยู่ ผู้ที่คอยให้คำแนะนำในการใช้ยาก็คือคนขายหรือว่าเจ้าของร้านนั่นเอง ซึ่งเรามักเรียกกันว่า หมอตี๋ หมอตี๋นี้หมายถึงคนขายยาที่ให้คำแนะนำการใช้ยาโดยไม่มีความรู้ เพราะไม่ได้ศึกษามา เน้นขายเอาเงินเป็นหลัก จะเรียนจบอะไรมาหรืออาจไม่ได้เรียนอะไรมาเลยลูกค้าก็ไม่อาจรู้ได้ แต่ลูกค้าส่วนใหญ่ก็มักให้ความเชื่อถือ เพราะคิดว่าอย่างน้อยก็ขายยามานาน น่าจะมีประสบการณ์และความรู้เกี่ยวกับยาพอสมควร

หมอตี๋มักคู่กับยาชุด ยาชุดที่ว่าก็คือยาที่ทางร้านจัดใส่ซองเอาไว้เป็นชุดๆสำเร็จรูป ใช้สำหรับรักษาโรคหรืออาการต่างๆ ยาชุดตามร้านขายยาเหล่านี้เป็นที่นิยมมาก เพราะคนส่วนใหญ่เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยเล็กน้อยก็พึ่งร้านขายยา ไม่พึ่งหมอ เพราะการไปหาหมอแต่ละครั้งเสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย และนอกจากนี้ ยาชุดเหล่านี้มักมีประสิทธิผลอันรุนแรง กินไม่นานก็รู้สึกว่าเห็นผลทันใจ จึงเป็นที่นิยม

ยาชุดที่ได้รับความนิยมมักเป็นยาชุดแก้หวัด มักมีส่วนประกอบของยาปฏิชีวนะ ยาต้านอักเสบ สเตียรอยด์ นอกจากนี้ก็มียาชุดแนวบำรุงพวกยาประดง ยาชุดอ้วน ซึ่งก็มีส่วนผสมของยากลุ่มเสตียรอยด์และยาอันตรายอื่นๆ กินแล้วแลดูอ้วนขึ้นจริง แต่เกิดจากอาการบวมน้ำ ไม่ใช่อ้วนตามธรรมชาติ อีกทั้งผลที่ตามมาก็คือกระดูกผุ กระเพาะทะลุ ภูมิคุ้มกันเสื่อม ไขกระดูกฝ่อ ซึ่งอาจถึงตายได้ ในยุคนั้นยังไม่ค่อยได้ยินยาชุดลดความอ้วน ได้ยินแต่ยาชุดทำให้อ้วน อีกหลายปีต่อมาจึงมาถึงยุคที่นิยมยาชุดลดความอ้วนกัน ซึ่งยาชุดลดความอ้วนนี้ถ้าทราบสูตรแล้วจะต้องหนาว เพราะไม่น่าเชื่อว่าใครกินเข้าไปแล้วจะรอดชีวิตมาได้

“ไม่ละครับ” แค่เห็นสีสันก็ไม่กล้าซื้อแล้ว ผมส่ายหัว ผลักซองยาชุดซึ่งภายในบรรจุแคปซูลหลากสีสวยสดคืนหมอตี๋เจ้าของร้านหญิงวัยห้าสิบ ซึ่งไม่ใช่ทั้งหมอ อีกทั้งไม่ตี๋ “เอาดีคอลเจนก็พอครับ”

เจ้าของร้านทำปากจิ๊กจั๊ก บ่นพึมพำเพราะไม่พอใจที่ผมไม่อุดหนุนยาชุดของแก เนื่องจากยาชุดมีราคาค่อนข้างแพง และขายได้กำไรดีกว่ามาก แต่ก็หยิบดีคอลเจนให้ เมื่อผมได้ยาแล้วก็รีบกลับมาที่ห้องพัก กินยาและนอนต่อ

ผมนอนซมจากพิษไข้ หลับๆตื่นๆ พอหลับก็ฝันร้าย พอตื่นก็เหมือนกับว่าตื่นไม่เต็มที่ มึนๆ คิดโน่นคิดนี่ฟุ้งซ่าน โดยเฉพาะคิดถึงเรื่องเก่าๆเกี่ยวกับไอ้นัย ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิดและตำหนิตนเอง แม้อยากจะหยุดคิดแต่ก็หยุดไม่ได้

ดูเหมือนว่านาฬิกาในวันนั้นจะเดินเชื่องช้าเป็นพิเศษ ผมนอนอยู่ในห้องหนึ่งวันราวกับนอนอยู่หนึ่งสัปดาห์ กว่าจะผ่านพ้นวันนั้นมาได้ แม้ว่าอาการป่วยของผมจะทุเลาขึ้น แต่สภาพจิตใจกลับบอบช้ำ รอยแผลในอดีตที่ผมพยายามรักษาด้วยกาลเวลากลับถูกคุ้ยเขี่ยขึ้นมาอีก…

- - -

ผมนอนพักได้เพียงวันเดียววันรุ่งขึ้นก็พยายามไปโรงเรียน ที่ไม่ยอมนอนพักต่อเพราะว่าไม่กล้านอน กลัวว่าจะต้องเผชิญกับฝันร้ายและความคิดอันฟุ้งซ่านอีก ผมไปโรงเรียนด้วยอาการอ่อนเพลียพร้อมทั้งอาการคัดจมูกน้ำจมูกไหลเล็กน้อย

เมื่อไปถึงโรงเรียน สิ่งแรกที่ผมเห็นก็คือ ที่ถนนหลังตึกเรียนซึ่งเป็นที่จอดรถของพวกอาจารย์มีคนมุงกันอยู่กลุ่มใหญ่

ผมเดินเข้าไปดูบ้างด้วยความสนใจใคร่รู้ ก็พบว่ามีคนกำลังมุงรถเก๋งเก่าคร่ำคร่าคันหนึ่งอยู่ อาจารย์พิกุลยืนอยู่ข้างรถ และมีอาจารย์ชายคนหนึ่งกำลังนั่งยองๆดูรูกุญแจที่ประตูรถอยู่

“คงเป็นกาวซีเมนต์ครับ แคะก็ไม่ออก ละลายก็ไม่ได้” อาจารย์ชายผู้นั้นยืนขึ้นและพูดกับอาจารย์พิกุล “ไม่รู้จะทำไงเหมือนกัน คงต้องเปลี่ยนมือจับทั้งชุดสี่ข้างเลย”

อาจารย์พิกุลหน้าเสีย ทำหน้าเหมือนกับจะร้องไห้ เมื่อผมสอบถามจากเพื่อนนักเรียนที่ยืนดูอยู่ก็ได้ความว่ารถเก๋งคร่ำคร่าคันนี้เป็นรถยนต์ของอาจารย์พิกุล และถูกคนแกล้งโดยเอากาวซีเมนต์หรือว่ากาวตราช้างหยอดใส่รูกุญแจประตูรถทั้งสี่ข้าง

ปกติรถของอาจารย์ในโรงเรียนที่มีปัญหาถูกแกล้งจะมีอยู่บ้าง ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นกับรถยนต์ของอาจารย์ฝ่ายปกครอง ผู้ที่แกล้งก็มักไม่ใช่ใครอื่น ก็คือนักเรียนในโรงเรียนนั่นเอง คือเป็นการแก้เผ็ดอาจารย์ การแกล้งก็มักจะเป็นการปล่อยลมยาง เอาหมากฝรั่งหรือดินน้ำมันไปอุดที่รูกุญแจประตูรถ แต่อาจารย์พิกุลไม่ใช่อาจารย์ฝ่ายปกครองจึงไม่มีใครคิดว่ารถของอาจารย์จะโดนแกล้ง อีกทั้งการกระทำก็ค่อนข้างรุนแรง โดยการใช้กาวซีเมนต์อุดรูกุญแจซึ่งเมื่อแห้งแล้วจะแข็งตัวจนเอาออกไม่ได้

ผมยืนดูสักพักก็ปลีกตัวมาด้วยความรู้สึกที่เศร้าใจ ทำไมต้องแกล้งกันแรงขนาดนี้ด้วย นึกไม่ถึงจริงๆ

- - -

“ไอ้เหี้ยอูมึงหายไปไหนมาวะ” ไอ้กี้เพื่อนที่นั่งติดกันทักด้วยเสียงหัวเราะเมื่อเห็นผมเดินเข้ามาวางเป้ที่โต๊ะ ดูมันครึกครื้นอยู่เสมอ

“ไม่สบาย” ผมตอบสั้นๆ

“เมื่อวานมีการบ้านฟิสิกส์กับคณิตศาสตร์นะโว้ย ส่งพรุ่งนี้” กี้บอก

ผมฟังแล้วก็เฉยๆ ไม่ได้สนใจมันอีก แต่ไปสนใจฟังเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่งที่กำลังจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องรถของอาจารย์พิกุล จากนั้นผมก็ถามเวชเรื่องการบ้านซึ่งเวชก็บอกว่ายังไม่มีต้นฉบับ แต่พรุ่งนี้เช้าจะเอามาให้ลอก เวลาคุยเรื่องการบ้านกับกลุ่มเวชนี่ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการทำ เพราะว่าไม่ค่อยทำ หาต้นฉบับมาลอกเสียเป็นส่วนใหญ่

เช้าวันนั้นผมเรียนรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างเพราะมีอาการง่วงซึมจากฤทธิ์ยาที่กินมาในตอนเช้า แต่พอตกบ่าย ฤทธิ์ยาก็ค่อยๆคลายตัวลง แต่กว่าที่ผมจะรู้สึกกระฉับกระเฉงขึ้นมาบ้างก็เป็นคาบสุดท้ายของวันแล้ว...

เมื่อคิดถึงว่าอีกสักครู่ผมก็จะต้องกลับไปอยู่ในห้องที่คับแคบอุดอู้อีก จมอยู่กับความรู้สึกผิดและเจ็บปวดกับการลงโทษจากมโนธรรมของตนเอง ผมก็รู้สึกกลัวขึ้นมา

เป็นเวลากว่าหนึ่งปีแล้วที่ไอ้นัยจากไป และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผมก็ต้องจมอยู่กับความรู้สึกผิด มโนธรรมคอยตอกย้ำความผิดของผมอยู่เสมอจนทำให้ผมคิดมากและฟุ้งซ่าน จิตใจถูกกัดกร่อนด้วยอดีตและความรู้สึกที่เจ็บปวด จนมาในช่วงหลังผมจึงค่อยเริ่มรู้สึกทำใจขึ้นมาได้บ้าง แต่อาการป่วยในครั้งนี้กลับทำให้ผมกลับไปคิดมากและฟุ้งซ่านอีก

ผมรู้สึกกลัว กลัวที่จะต้องกลับไปจมอยู่กับความเจ็บปวดอีก... กลัวเสียงจากมโนธรรมที่คอยตำหนิผมอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน... และท้ายที่สุด ความฝันเกี่ยวกับไอ้นัยเมื่อวันก่อนทำให้ผมกลัวว่าไอ้นัยจะเป็นอะไรไป... เมื่อก่อนเมื่อผมคิดถึงไอ้นัย ผมจะรู้สึกเจ็บปวดและรู้สึกผิด แต่นานไปความรู้สึกเจ็บปวดกลับถูกผสมด้วยความหวาดกลัว... จนกลายเป็นว่าผมกลัวที่จะคิดถึงมัน...

ไม่ไหวแล้ว... ผมทนอยู่กับอดีตที่คอยกัดกร่อนชีวิตและจิตใจของผมต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว ถ้าผมทนเผชิญกับมโนธรรมไม่ได้ ผมก็จะต้อง...

หนี!

จำได้ว่าเมื่อตอนปิดเทอม ตอนที่ผมเข้ามาหาที่อยู่ในกรุงเทพฯ ผมกระตือรือร้นขึ้นมามาก ปัญหาที่ผมเผชิญทำให้ผมลืมอดีตไปได้ ถ้าอย่างนั้นผมคงก็ควรจะต้องหาอะไรทำให้ยุ่งๆเข้าไว้ จะได้ไม่มัวไปคิดถึงแต่เรื่องเก่าๆ

นัย กูไม่ไหวแล้วจริงๆ กูเหมือนติดอยู่ในวังวนของความเจ็บปวด ชีวิตไม่รู้จะเดินไปทางไหน กูทนมันต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว กูต้องพยายามลืมมึง... ขอโทษด้วยนะเพื่อน...

- - -

เสียงออดเลิกเรียนดังขึ้น นักเรียนทุกคนเก็บของเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน แต่ผมก็ยังคิดไม่ออกว่าผมควรจะหาอะไรทำดีเพื่อให้ยุ่งเข้าไว้

“เฮ้ย ไอ้เวช ไปตีสนุ้กกัน” เสียงเกรียงเอะอะ

“เออ ดี ไป ไป” เสียงเพื่อนๆสนับสนุน

“ไปดิ กำลังเซ็งๆเหมือนกัน” เวชพูด

ตีสนุ้กที่ว่าก็คือการเล่นสนุ้กเกอร์นั่นเอง สมัยนั้นและยุคก่อนหน้านั้น สนุ้กเกอร์เป็นเกมฮิตอย่างหนึ่งของนักเรียนมัธยมปลาย แต่อาจารย์ฝ่ายปกครองมักไม่ค่อยชอบใจเพราะคิดว่าเป็นการมั่วสุม นักเรียนมัธยมปลายที่เกเรหน่อยมักหนีโรงเรียนหรือใช้เวลาหลังเลิกเรียนที่โต๊ะสนุ้กเกอร์ เล่นสนุ้ก สูบบุหรี่ กินเบียร์ โต๊ะสนุ้กก็หาได้ทั่วไป โดยเฉพาะแถวย่านปากคลองตลาด แต่มักจะหลบอยู่ชั้นบนคือชั้นสองหรือชั้นสาม ไม่ตั้งประเจิดประเจ้ออยู่ชั้นล่างริมถนน

“เอ้อ เวช” ผมพูดกับเวชอย่างอึกอัก “ตีสนุ้กเหรอ ไปด้วยคนได้ไหม”

เวชมองหน้าผมด้วยสีหน้าแสดงความประหลาดใจ เหมือนกับไม่เคยรู้จักผมมาก่อน

“มึงจะไปเล่นสนุ้กเหรอ ตีเป็นด้วยเหรอวะ” เวชถาม

“เปล่า ไม่เป็นหรอก แต่ว่าอยากลองหัดดูน่ะ” ผมพูด

“พวกกูไม่ได้รับสอนโว้ย ตีไม่เป็นมึงไปหัดที่อื่น เสียเวลาเล่นของพวกกู” เกรียงพูดแทรกเสียงดัง

“เออ ถ้ามาหัดให้มึงมันเสียเวลาว่ะ” เวชพูดปฏิเสธด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตรกว่าไอ้เกรียงมาก “แต่ถ้ามึงจะไปนั่งดูละก็ไม่ขัดข้อง”

เป็นอันว่าในที่สุดผมก็มีสถานที่สำหรับฆ่าเวลาหลังเลิกเรียน อย่างน้อยก็ในวันนี้...


<ยาชุดคือยาหลายๆ ชนิดที่จ่ายไปเป็นชุด มักมีการตั้งชื่อหรือโฆษณาสรรพคุณเลอเลิศเกินเลยความจริงหรือถึงขั้นหลอกลวง สมัยก่อนมีขายทั่วไปทั้งในเมืองและในชนบท ยาชุดเหล่านี้ประกอบด้วยยารูปร่างและสีต่างๆ กันชุดละ 3 เม็ดบ้าง บางทีก็มากกว่านั้นไปจนุงชุดละ 9 เม็ด โดยไม่บอกว่าประกอบด้วยยาอะไรบ้าง แต่การศึกษาพบว่ายาเหล่านี้มียาอันตรายหลายอย่าง เช่น ยาพวกสเตียรอยด์ คลอแรมเฟนิคอล เฟนาซิติน คาเฟอีน ยากล่อมประสาท เฟนีย์ลบูตาโซน ไดไพโรน ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่เป็นยาอันตรายและมีผลข้างเคียงทั้งสิ้น เช่น ยาพวกสเตียรอยด์ ทำให้บวม ความดันโลหิตสูง เป็นแผลในกระเพาะอาหาร เป็นเบาหวาน กระดูกผุ กดภูมิต้านทาน ทำให้เป็นโรคติดเชื้อได้ง่ายและรุนแรง คลอแรมแฟนิคอล อาจทำให้ไขกระดูกฝ่อ ไดไพโรน ทำให้เม็ดเลือดขาวต่ำ เม็ดเลือดแตก ไขกระดูกฝ่อ เป็นต้น โดยเฉพาะยาชุดลดน้ำหนักที่มาโด่งดังในยุคหลัง สาวโรงงานนิยมกันมาก ประกอบด้วยยาลดความอยากอาหาร (เป็นยากดการทำงานของสมอง ทำให้ไม่หิว) รักษาไทรอยด์ (เร่งการเผาผลาญในร่างกาย) ยารักษาความดันโลหิตสูง (ใช้ลดอาการใจสั่น) ยาระบาย ยาขับปัสสาวะ (รีดมวลอาหารและน้ำออกจากร่างกาย) ยานอนหลับ (ใช้ลดอาการนอนไม่หลับ) ยาลดการหลั่งของกรดในกระเพาะอาหาร เพียงเห็นตำรับยาก็สยองแล้ว>


<ยาทัมใจ นิยมกันในหมู่ผู้ใช้แรงงานและเกษตรกร ส่วนประกอบหลักในยุคนั้นคือแอสไพริน ฟีนาเซติน และกาเฟอีน หรือที่เรียกว่าสูตรเอพีซี (A.P.C.) ผู้ใช้แรงงานนิยมและเกษตรกรมักกินร่วมกับลิโพวิตัน-ดีเพื่อช่วยให้คลายปวดเมื่อยจากการทำงานหนัก>