Wednesday, December 12, 2012

ภาคสี่ ตอนที่ 66


เช้าวันรุ่งขึ้น

ผมและป้อมมาเจอกันที่หน้าสระว่ายน้ำ หลังจากนั้นผมก็พาป้อมเดินไปที่โต๊ะสนามข้างตึกหลังหนึ่งในคณะ โต๊ะสนามตัวนี้ผมมาเล็งเอาไว้ล่วงหน้าแล้วสำหรับเป็นที่สอนพิเศษ เพราะว่าอยู่ในทำเลที่ดี เวลาเรียนสามารถมองเห็นสนามหญ้าใหญ่สีเขียวขจี อีกทั้งตัวโต๊ะเองก็อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่และยังมีตัวตึกช่วยบังแดด ทำให้บริเวณนี้ร่มเย็นตลอดช่วงเช้า ในช่วงเปิดเทอม โต๊ะสนามตัวนี้มักไม่ค่อยว่างเนื่องจากมีนักศึกษาจับจองเป็นสถานที่สอนพิเศษอยู่เสมอ แต่ในช่วงปิดเทอมและยังเป็นวันธรรมดาช่วงเช้าตรู่เช่นนี้ไม่มีใครมาเลย ผมและป้อมจึงใช้เรียนได้

ผมเอาเปรียบป้อมนิดหน่อยโดยเลือกนั่งด้านที่มองเห็นสนามหญ้า ส่วนป้อมนั่งด้านตรงข้ามกับผม จึงหันหลังให้สนามหญ้า และดูเหมือนว่าป้อมจะรู้ทันความคิดของผม

“ไม่เอา ป้อมจะนั่งตรงนั้น” ป้อมชี้มาตรงมานั่งที่ผมนั่ง

“อะไรกันล่ะ” ผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ “ป้อมนั่งตรงนั้นก็ดีแล้วนี่”

“นั่งด้านนี้เห็นแต่หน้าพี่อูกับผนัง ป้อมเบื่อแล้ว นั่งมองวิวสนามดีกว่า” ป้อมพูด

“นี่ พี่พามาเรียนหนังสือ ไม่ได้พามาชมวิว” ผมดุ “ถึงเวลาก็ก้มหน้าก้มตาทำโจทย์ จะมาห่วงดูวิวอะไรอีก”

“ไม่ห่วงดูวิวก็ได้ แต่ป้อมอยากนั่งตรงนั้น” ป้อมยังไม่ยอม

“นั่งตรงไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ ป้อมนั่งแล้วก็นั่งๆไปเถอะ” ผมไม่ยอมเช่นกัน

“ก็ถ้าเหมือนกัน ป้อมอยากนั่งตรงนั้น พี่อูก็ให้ป้อมนั่งสิ จะเป็นอะไรไป หรือว่ามันไม่เหมือนกัน” ป้อมเถียงไม่ยอมแพ้

“เอ้อ ก็เหมือนกันนั่นแหละ แต่ถ้านั่งด้านนี้ ป้อมอาจเอาแต่ดูโน่นดูนี่จนเสียสมาธิได้” ผมพยายามอธิบายอีก

“เฮอะ พี่อู จะเอาเบตาดีนมั้ย ป้อมมีนะ” ป้อมพูด

“จะเอาเบตาดีนมาทำไม” ผมงง

“สีข้างถลอกหมดแล้ว ทายาเสียหน่อยไง” ป้อมหัวเราะ

“เอา เอา ยอมแพ้คุณชาย” ผมหัวเราะเช่นกัน พลางลุกขึ้นยืน การต่อปากต่อคำครั้งนี้ผมเป็นฝ่ายแพ้ รับมุขของป้อมไม่ทัน “ย้ายมานั่งด้านนี้ก็ได้”

“ป้อมรู้ว่าพี่อูอยากดูวิว พี่อูนั่งไปเถอะ สองคนนั่งข้างเดียวกันก็ได้นี่ ที่ว่างมีเยอะแยะ” ป้อมพูดพลา
งลุกขึ้นยืน และย้ายมานั่งที่ด้านเดียวกันกับผม

เดี๋ยวนี้ป้อมกับผมมักต่อปากต่อคำกันบ่อยขึ้น หลายครั้งที่ผมเถียงแพ้ ป้อมมักหัวเราะชอบใจที่เถียงจนชนะ แต่เมื่อชนะแล้วก็ปล่อยตามใจผม ซึ่งผมก็รู้ดีว่าป้อมไม่ได้จริงจังอะไร

“เออ จริงสินะ พี่ลืมไป ที่จริงนั่งข้างเดียวกันก็ได้” หลายครั้งที่ไหวพริบของผมก็ไม่ทันป้อม ผมชินกับการสอนโดยนั่งด้านตรงข้ามกับป้อมมาตลอด จึงลืมนึกไปว่านั่งเรียนด้านเดียวกันก็ได้ “สอนสะดวกขึ้นกว่าเดิมเสียอีก”

เราสองคนนั่งติดกัน โต๊ะสนามกว้างพอควรทำให้เรานั่งได้อย่างสบายโดยไม่เบียด เวลาที่นั่งด้านเดียวกันแล้วสอนสะดวกขึ้นจริงๆ เวลาจะเขียนอะไรให้ป้อมดูก็เขียนได้เลยโดยไม่ต้องจับกระดาษให้กลับหัวไปมา อากาศยามเช้าแถวนี้ก็สดชื่นแม้จะเป็นยามฤดูร้อน เรียนที่นี่ดีกว่าเรียนที่ห้องทำงานในบ้านของป้อมมาก

ป้อมตั้งใจเรียนได้เพียงพักเดียวก็เกเรอีก

“โอ๊ย เมื่อยแล้ว” ป้อมพูด พลางยกขาข้างหนึ่งขึ้นพาดบนขาของผม

“อายุยังน้อยอยู่ ทำไมขี้เมื่อยเป็นคนแก่ยังงี้นะ พี่นั่งสอนพร้อมๆกับที่ป้อมเรียนยังไม่เมื่อยเลย” ผมดุป้อม

“ไม่รุ ก็ป้อมเมื่อยนี่” ป้อมจะเมื่อยเสียอย่าง พลางยกมือซ้ายขึ้นค้างเอาไว้ในอากาศ

เมื่อเห็นท่านี้ผมก็รู้ทันที่ว่าป้อมต้องการอะไร

“โอ๊ย จะมานวดมืออะไรกันตอนนี้ อายคนอื่นเค้า” ผมดุป้อมอีก “แล้วเขียนหนังสือมือขวาทำไมเมื่อยมือซ้าย”

“นวดไปเถอะน่า พี่อู อย่าเรื่องมาก” ป้อมพูดหน้าตาเฉย พลางกระดิกมือซ้ายอีก

ดูป้อมมีอารมณ์แจ่มใส คงเป็นเพราะบรรยากาศที่สดชื่นในสวนยามเช้านั่นเอง ผมเหลียวซ้ายแลขวา เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้น จึงจับมือซ้ายของป้อมมาบีบนวดให้

“ใครกันแน่ที่เรื่องมาก” ผมบ่น “นี่พี่เป็นติวเตอร์สอนพิเศษนะ ไม่ใช่พนักงานบีบนวด โปรดเข้าใจไว้ด้วย”

“เข้าใจก็ได้ แต่นวดให้มันดีๆหน่อย โฮ้ย สบายจัง” ป้อมหัวเราะเบาๆอย่างพอใจ ขาของป้อมก็ก่ายขาผมอยู่ มือก็ให้ผม มิหนำซ้ำยังทำตาปรือเอนตัวมาพิงผมเสียอีก

“ทำโจทย์ไป ไม่ต้องหยุดสิ” ผมไม่ยอมให้ป้อมอู้ “ห้ามอู้ ห้ามหลับ”

แม้ว่าผมจะดุป้อม แต่กลับรู้สึกว่ามีความอบอุ่นแผ่ซ่านมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ผมนั่งตัวตรงเพื่อรับร่างที่พิงผมไว้ สายตาของผมมองตรงไปเบื้องหน้า ในจินตนาการ สนามหญ้าเขียวขจีเบื้องหน้าช่างคลับคล้ายบึงน้ำเขียวขจีที่ผมคุ้นเคย...

ผมเหมือนกับตกอยู่ในภวังค์ รู้สึกคุ้นเคยกับคนที่นั่งอยู่ข้างๆนี้ราวกับรู้จักกันมาแสนนาน การพิงกายของคนผู้นี้เป็นเหมือนการฝากเนื้อฝากตัว... บ่งบอกถึงความอ่อนล้าและหมดหวัง... ทำให้ผมรู้สึกว่าผมมีหน้าที่ต้องดูแลและเป็นหลักให้พักพิง จู่ๆผมก็รู้สึกอยากกอดคนที่อยู่ข้างๆนี้ขึ้นมาเหลือเกิน...

“พี่อู พี่อู เป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ย” เสียงใสๆเรียกผมซ้ำหลายครั้ง จนผมตื่นจากภวังค์ เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของป้อม

เมื่อผมเห็นว่าเจ้าของเสียงเป็นใคร ผมก็ตกใจ รีบปัดขาของป้อมที่ก่ายขาของผมอยู่ พร้อมกับวางมือของป้อมลงทันที

“หวัดดีจุ๋ม เดินมาจากทางไหนเนี่ย ทำไมพี่ไม่เห็น” ผมพูด เจ้าของเสียงใสๆนั้นคือจุ๋มนั่นเอง

“ก็เดินผ่านหน้าพี่อูมานี่แหละค่ะ จุ๋มก็ยังสงสัยว่าทำไมพี่อูมองไม่เห็นจุ๋ม แถมเรียกก็ยังไม่ขาน เชื่อเค้าเลย สงสัยนั่งหลับอยู่” จุ๋มหัวเราะ พลางหันมาทักทายป้อม “เป็นไงคะน้องป้อม”

ป้อมพยักหน้า แต่ไม่ยอมพูดกับจุ๋ม

“ป้อม คุยหน่อยสิ อย่าเอาแต่พยักหน้า” ผมดุ

ป้อมมีสีหน้าเปลี่ยนไปนิดหนึ่ง แล้วก็พูดเบาๆด้วยเสียงงุ้งงิ้งว่า

“หวัดดีครับ”

“พี่จุ๋มกับพี่สนิทกัน ป้อมไม่ต้องเขินหรอก คุยได้ตามสบาย” ผมพูด เพราะรู้ดีว่าปมด้อยของป้อมทำให้ป้อมไม่ชอบพูดคุยกับใคร มีแต่กับผมที่เป็นข้อยกเว้น

“พี่อูเปลี่ยนที่สอนแล้วเหรอ เกิดอะไรขึ้นล่ะ” จุ๋มสงสัย

“ไม่มีอะไรหรอก แค่เปลี่ยนบรรยากาศน่ะจุ๋ม เพิ่งลองดูครั้งแรก แต่ก็เข้าท่าดี” ผมตอบ ไม่ได้บอกความจริงทั้งหมดไปว่าการสอนที่นี่ทำให้ผมกับป้อมมีเวลาเดินเล่นที่สยามสแควร์ในตอนบ่ายมากขึ้น “จุ๋มมาซ้อมใช่ไหม”

“ใช่แล้ว” จุ๋มตอบ “วันนี้ซ้อมใหญ่ด้วย พี่อูจะมาดูไหม เหมือนฟังวันแสดงจริงเลยนะ”

“พี่ติดสอนอยู่น่ะ” ผมตอบ

“เดี๋ยวสอนเสร็จพาน้องป้อมไปฟังด้วยก็ได้ เพราะว่าจุ๋มซ้อมทั้งวัน ไปตอนบ่ายโมงก็ได้ เริ่มซ้อมใหญ่ภาคบ่ายตอนบ่ายโมง” จุ๋มชวนอย่างกระตือรือร้น

“เอ้อ... ยังงั้นก็ได้” ผมตอบอย่างลังเล เนื่องจากคิดถึงหนังรอบเที่ยงครึ่งที่จะไปดูกับป้อม ดูเหมือนเวลาจะไม่ค่อยอำนวยเท่าไรนัก แต่ไม่อยากให้จุ๋มเสียน้ำใจจึงตอบรับเอาไว้ก่อน

“งั้นจุ๋มไปก่อนละค่ะ ต้องรีบไปซ้อม” จุ๋มพูด พลางทิ้งท้ายก่อนเดินจากไป “จุ๋มรอนะพี่อู”

หลังจากที่จุ๋มเดินจากไป ผมแอบรู้สึกหนาววูบ ไม่รู้ว่าจุ๋มจะคิดอย่างไรเมื่อได้เห็นผมนวดมือให้ป้อม ผมไม่แน่ใจว่าจุ๋มเห็นป้อมพาดขาบนขาผมหรือไม่ แต่หวังว่าคงไม่เห็น ถ้าเห็นละก็ซวยแน่เลย ผมอดคิดตำหนิตนเองไม่ได้ที่ทำอะไรไม่ระมัดระวัง ประสบการณ์ที่ผ่านมาสอนให้ผมระมัดระวังเรื่องการวางตัวมาก แต่วันนี้ก็พลาดจนได้ ได้แต่หวังว่าสิ่งที่จุ๋มเห็นคงไม่ได้ทำให้จุ๋มคิดระแวงอะไรในตัวผม

“จำชื่อป้อมได้ด้วย” ป้อมพูดเปรยๆ แต่ผมรู้ว่าป้อมหมายถึงใคร

“จำได้สิ เพราะว่าพี่คุยถึงป้อมให้จุ๋มฟังบ่อยๆ” ผมตอบ

“พี่อูสนิทกับพี่คนนี้มากเลยสินะ” ป้อมถาม ผมมัวแต่กังวลกับเรื่องเมื่อครู่จนไม่ได้สังเกตน้ำเสียงของป้อม

“ช่าย สนิทกัน” ผมตอบ พลางเล่าต่อ “บางทีพี่ก็ไปหาจุ๋มที่คณะ ไปแอบเล่นเปียโน สนุกดี”

ป้อมเงียบไปชั่วครู่ ไม่ได้คุยอะไรต่อ ผมจึงพูดต่อ

“เดี๋ยวเรียนเสร็จแล้วไปฟังจุ๋มซ้อมดนตรีกันดีกว่า” ผมชวนป้อม

“อ้าว แล้วหนังล่ะ” ป้อมถามสวนทันที น้ำเสียงงุ้งงิ้งค่อนข้างแข็ง จนผมงง

“เอ้อ นั่นสินะ” ผมอึกอัก ทั้งอยากดูหนัง ทั้งอยากดูจุ๋มซ้อม อยากจะขอเลื่อนป้อมไปดูหนังรอบบ่ายสองโมงครึ่งแทน “แต่วันนี้จุ๋มซ้อมใหญ่ เมื่อกี้พี่ก็รับปากไปแล้วด้วยว่าจะไปดู”

“แต่พี่อูก็รับปากป้อมว่าจะไปดูหนังกับป้อมนี่” ป้อมเสียงแข็งยิ่งกว่าเดิม “พี่อูรับปากกับป้อมก่อนด้วย”

“แต่...” ผมงง ไม่นึกว่าป้อมจะเคืองกับเรื่องแค่นี้ “เราเลื่อนไปดูเป็นรอบบ่ายก็ได้ ดีมั้ย”

“นี่หมายความว่าเรื่องที่พี่อูรับปากกับป้อมไม่สำคัญอะไรเลยใช่ไหม ใครมาทีหลังจะนัดอะไรพี่อูก็มาเลื่อนเวลาเอากับป้อม” ป้อมโมโห

“วันนี้ป้อมเป็นอะไรไปน่ะ” ผมงง ป้อมไม่เคยแสดงอารมณ์โกรธกับผมเช่นนี้มาก่อน “ทำไมเรื่องแค่นี้ต้องโมโหด้วย”

“ป้อมมันไม่สำคัญอะไร พี่อูจะไปไหนก็ไปเถอะ ป้อมกลับบ้านก่อนก็ได้ พี่อูจะได้ไปไหนได้สะดวก” ป้อมพูด

“อ้าว ทำไมประชดพี่ยังงั้นล่ะ โอ๊ย พี่งง” ผมบ่น แต่เริ่มจับความรู้สึกป้อมได้ว่าป้อมน้อยใจที่ผมไม่เห็นความสำคัญของป้อม ซึ่งมันไม่เป็นความจริงเลย “พี่ก็ตามใจคุณชายมาตลอด จนคุณชายจะเสียคนอยู่เพราะพี่อยู่แล้ว แล้วยังจะมาว่าพี่แบบนี้อีก มันน่าน้อยใจจัง”

“ถ้าตามใจป้อมจริงแล้วทำไมต้องเลื่อนหนังรอบเที่ยงกับป้อมล่ะ” ป้อมสวนคำ

“ก็รอบเที่ยงกับรอบบ่ายมันก็ต่างกันสองชั่วโมงเอง เลื่อนไปก็ไม่เห็นจะเป็นไร ป้อมก็ไม่ได้รีบไปไหน” ผมยังไม่เข้าใจอยู่ดี

ป้อมเงียบไปครู่หนึ่งแล้วก็โพล่งขึ้นมาว่า

“พี่คนนี้เป็นแฟนพี่อูใช่ไหม”

“เฮ้ย เปล่า” ผมตกใจกับความคิดของป้อม “คิดอะไรเลยเถิดไปขนาดนั้น”

“ก็ป้อมดูออก” ป้อมไม่เชื่อคำปฏิเสธของผม

“เปล่า ไม่ได้เป็นแฟนกัน แค่สนิทกันเท่านั้น” ผมอธิบาย “จริงๆ”

ตอนนี้ผมแน่ใจแล้วว่าป้อมน้อยใจผม คิดว่าผมไม่ให้ความสำคัญ จนพาลใส่ผมต่างๆนานา แม้ยังไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องแค่นี้ต้องน้อยใจ เรื่องคนน้อยใจนี่ผมรับมือไม่ค่อยถูก แต่ผมก็พยายามโอนอ่อนผ่อนตามป้อมเพื่อไม่ให้เรื่องบานปลาย

“เอายังงี้” ผมพูด “งั้นพี่ให้ป้อมตัดสินใจก็แล้วกัน ถ้าคิดว่าพอจะเลื่อนไปดูหนังรอบบ่ายได้ เราก็ไปฟังเพลงกันก่อน เพลงพวกนี้เป็นเพลงคลาสสิก ไม่ใช่เพลงวัยรุ่น พี่เลยอยากให้ป้อมไปลองฟังดูเป็นประสบการณ์ใหม่ๆ แต่ถ้าป้อมไม่ต้องการให้เลื่อน เราก็ไม่ต้องไปฟังเพลง เรียนเสร็จแล้วก็ไปดูหนังรอบเที่ยงกัน คุณชายตัดสินใจได้เลย เอายังไงพี่ก็เอายังงั้น”

เมื่อผมโยนภาระการตัดสินใจไปให้ป้อม ป้อมจึงได้เงียบไป คิดอยู่ชั่วครู่ก็ยังไม่ตอบ

“ว่าไง คุณชายเอาไงบอกมาได้เลย” ผมตามใจเต็มที่ ปากแข็งแต่ก็อดเสียดายนิดๆไม่ได้หากไม่ได้ไปดูจุ๋มซ้อมดนตรี

“เอ้อ...” ป้อมลังเล “งั้นเราไปฟังเพลงกันก่อนก็ได้ แล้วค่อยไปดูหนังรอบบ่าย แต่ถ้าตั๋วเต็มจนดูไม่ได้พี่อูต้องรับผิดชอบด้วย”

แม้ป้อมจะเคือง แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้ตัดสินใจแบบเอาแต่ใจตนเอง ป้อมยังคงมีน้ำใจห่วงความรู้สึกของผม ไม่อยากให้ผมผิดหวัง

“ขอบคุณนะคร้าบคุณชาย” ผมทำเสียงล้อเลียน รู้ว่าป้อมอารมณ์ดีขึ้นแล้ว “พลางจับมือป้อมมานวดเอาใจ “คุณชายใจดีจัง”

“หน้าทะเล้นเชียวนะพี่อู” ป้อมประชด

“หูย ว่าซะ ตกลงใครเป็นพี่ใครเป็นน้องกันแน่” ผมหัวเราะ

“ไม่รู้สิ ป้อมเป็นพี่มั้ง” ป้อมพูดหน้าตาย “น่าจะเป็นยังงั้นนะ”

-    - -

“น้องอู ชั้นสี่ รับโทรศัพท์” เสียงอินเตอร์คอมที่ชั้นสี่ของหอพักดังขึ้นในตอนหัวค่ำ

“ครับ ลงไปเดี๋ยวนี้” ผมตะโกนตอบอินเตอร์คอม จากนั้นก็รีบคว้ากุญแจ ล็อกห้อง แล้วรีบวิ่งลงไปชั้นล่างเพื่อรับโทรศัพท์

คงเป็นป้อมแน่เลย หมู่นี้มีแต่ป้อมที่โทรมาหาผม จนผมเริ่มกังวลว่าคนที่หอโดยเฉพาะพี่พรจะระแวง

“ฮัลโหล” ผมรับสาย

“อู ไปอยู่ที่ไหนมา ทำไมไม่โทรกลับ” เสียงแม่นั่นเอง ประโยคแรกก็บ่นใส่ผมเลย

“แม่โทรมาตอนไหนอูยังไม่รู้เลย แล้วจะโทรกลับได้ยังไง” ผมกวน แม่ของผมเอง กวนได้เต็มที่ไม่มีเกรงใจ

“แม่โทรมาตั้งแต่ตอนเย็น โทรมาสองสามรอบแล้ว ฝากบอกให้โทรกลับทุกครั้ง” แม่ตอบ

“ยังไม่มีใครบอกอูเลยแม่ เดี๋ยวอูจะไปหาตัวคนรับสายก่อน แล้วจะต่อว่าให้” ผมตอบ

“ตอนเย็นอูไม่ได้อยู่ที่หอเหรอ” แม่ถาม

“อูกลับมาตอนค่ำน่ะแม่ เพิ่งกลับเมื่อกี้นี้เอง” ผมตอบ

วันนี้ผมออกจากหอพักตั้งแต่เช้าตรู่ ตอนเช้าสอน ตอนบ่ายไปดูจุ๋มซ้อมเพลง จากนั้นก็ไปดูหนังกับป้อม อยู่กับป้อมทั้งวันตั้งแต่เช้าจรดเย็น กว่าจะถึงหอพักก็ประมาณหนึ่งทุ่ม

“มีอะไรหรือเปล่าแม่” ผมถามต่อ แม่โทรมาแบบนี้แสดงว่ามีธุระแน่ๆ

“มีสิ” แม่พูด “ป๊าตกลงใจจะซื้อทาวน์เฮาส์ให้อูนะ แม่รู้ก็รีบโทรมาบอก”

“จริงเหรอแม่” ผมดีใจ แต่ก็ดีใจได้วูบเดียวเพราะนึกได้ว่าผมไม่ได้ชอบทาวน์เฮาส์หลังนั้นนัก “ขอเป็นบ้านเดี่ยวหลังนั้นไม่ได้เหรอ”

“คนเรานี่ไม่รู้จักพอจริงๆ” แม่ว่ากลับมา

“อะ อะ พอแค่นี้ก็ได้แม่” ผมไม่กล้างอแง

“แต่ป๊าบอกว่าอูต้องไปเจรจาต่อรองราคา ต่อรองเงื่อนไข และดูสภาพทาวน์เฮาส์มาให้ละเอียด อูจัดการเองทั้งหมดนะ ป๊าออกเงินอย่างเดียว และถ้ามีปัญหาอะไรอูต้องรับผิดชอบเพราะอูเป็นคนเลือกและตัดสินใจเอง”

“เอ๊า” ผมงง “แล้วปัญหาที่ว่าคืออะไร และจะให้อูรับผิดชอบยังไง ป๊าต้องบอกให้ละเอียดสิ พูดแบบนี้อูไม่รู้ขอบเขตก็แย่ ต้องไปโดดตึกรับผิดชอบไหม”

“ไม่รู้ ป๊าว่ามาอย่างนี้ ป๊าบอกว่าไม่ยุ่ง ออกเงินให้อย่างเดียว อูจัดการเองทั้งหมด” แม่สรุป

Friday, November 23, 2012

ภาคสี่ ตอนที่ 65


วันรุ่งขึ้นเป็นวันจันทร์ ผมก็จัดการนัดหมายกับเจ้าของทาวน์เฮ้าส์เพื่อขอดูบ้าน จากนั้นก็โทรไปบอกแม่ ผมไม่ค่อยกระตือรือร้นกับเรื่องนี้นักเพราะคิดว่าพ่อคงดูไปแบบงั้นๆ ที่มาเพราะว่าทนโดนรบเร้าไม่ได้มากกว่า อีกอย่างหนึ่งก็คือทาวน์เฮาส์หลังนี้หากจะเปรียบกับการสอบเอนทรานซ์ก็เหมือนกับเป็นตัวเลือกอันดับสุดท้ายซึ่งเลือกเอาไว้กันเหนียว คืออาจไม่ได้ชอบแต่มีไว้เพื่อกันพลาด เพราะหากที่ชอบเกิดพลาดทั้งหมด ถึงอย่างไรติดอันดับสุดท้ายก็ยังดีกว่าเคว้ง ความรู้สึกในตอนนั้นเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะว่าไม่ได้ถูกใจกับทาวน์เฮาส์หลังนี้เท่าไรนัก ที่ผมชอบมากคือบ้านที่มีต้นไม้ร่มครึ้มใกล้กับณัฐสตูดิโอหลังนั้นต่างหาก

หลังจากที่ตกลงนัดหมายกันแล้วผมก็อาบน้ำแต่งตัวและออกจากหอพัก อากาศในหน้าร้อนร้อนมาก โดนเฉพาะช่วงเที่ยงกับบ่าย ปกติช่วงปิดเทอม ตอนกลางวันผมมักใช้เวลาส่วนใหญ่สิงอยู่ที่ชมรมเพราะว่าอยู่ที่หอพักก็เหงาๆ เซ็งๆ แถมร้อนอีกต่างหาก ผมมักเอางานเตรียมสอนมาทำที่ชมรม หรือในบางวันที่ร้อนมากผมก็หลบไปนั่งทำงานในห้องสมุดซึ่งติดแอร์เย็นฉ่ำแทน

งานเตรียมสอนของป้อมค่อนข้างเยอะทีเดียวเพราะว่าในช่วงหลังผมติวทั้งคณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษให้ป้อม โดยเฉพาะการเตรียมสอนภาษาอังกฤษใช้เวลามากเพราะว่าไม่มีอะไรที่สำเร็จรูปให้ใช้เลย ต้องเขียนชีตเองทั้งหมด สอนสามชั่วโมงแต่ต้องใช้เวลาเตรียมถึงสามวัน

ผมนั่งเขียนชีตให้ป้อมอยู่ในห้องสมุด แต่วันนั้นรู้สึกว่าไม่มีสมาธิเลย พยายามจะเขียนแต่ก็เขียนไม่ออก ใจของผมวุ่นวาย คิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อย

‘ป้อมรู้แล้วว่าพี่อูจริงใจ...’

ผมนึกถึงคำพูดของป้อมในร้านอาหารเมื่อวันก่อน

‘สีหน้าของมึงบอกกูหมดทุกอย่าง กูไม่เคยเห็นใครที่จริงใจและห่วงใยกูขนาดนี้มาก่อน...’

คำพูดของป้อมประโยคนั้นทำให้ภาพในอดีตที่ผมพยายามลืมกลับคืนมาอีก ผมรู้สึกวุ่นวายใจเพราะว่าเงาร่างของป้อมกำลังก่อตัวอยู่ในใจของผมเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นเรื่อยๆ กว่าที่ผมจะรู้ตัว เงาร่างนั้นก็ตรึงแน่นอยู่ในใจผมไปเรียบร้อยแล้ว

ตอนนี้ป้อมกำลังทำอะไรอยู่นะ

ความคิดนี้แว่บเข้ามาในหัว หมู่นี้ความคิดทำนองนี้มักแว่บเข้ามาบ่อยๆ ผมอยากรู้ว่าป้อมกำลังทำอะไรอยู่ ผมมักนึกถึงใบหน้าที่คมคาย แจ่มใสของป้อมอยู่เสมอ เมื่อก่อนป้อมดูนิ่งๆ ขรึมๆ แต่นั่นเป็นเพียงแค่เปลือกนอก ตัวตนของป้อมนั้นจริงๆแล้วก็ไม่ต่างจากเด็กวัยรุ่นคนอื่นๆที่ชอบความเฮฮา สนุกสนาน คุณหนูนิดๆ และขี้อ้อนเป็นที่สุด

ผมนึกถึงตอนที่เราไปเที่ยวด้วยกัน ว่ายน้ำด้วยกัน มันเป็นช่วงเวลาที่สนุกสนานมาก เมื่อก่อนผมเบื่อที่ต้องเดินทางไกลเพื่อไปสอนป้อม ถึงขนาดเกือบเลิกสอน แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกว่าอยากไปสอนที่บ้านของป้อมบ่อยๆ อย่างวันนี้ถ้าได้ไปนั่งทำงานที่บ้านของป้อม ดูป้อมทำการบ้านไป ส่วนผมก็เตรียมการสอนไป ก็คงจะดีไม่น้อย แต่ก็ได้แค่คิด เพราะว่าหากจะไปหาป้อมบ่อยๆมันก็ดูแปลกๆอย่างไรอยู่ พ่อของป้อมเองก็อาจคิดว่าผมต้องการทำชั่วโมงสอนมากๆก็ได้ ที่ทำได้จึงได้แค่ไปสอนป้อมเพียงสัปดาห์ละสองวันคือวันพุธกับวันเสาร์เท่านั้น กับวันอาทิตย์อีกวันหนึ่งซึ่งเป็นวันที่ผมกับป้อมไปเที่ยวด้วยกัน

โอ๊ย เมื่อไรจะถึงวันพุธเสียที ผมเร่งวันเร่งคืนอยู่ในใจ นั่งในห้องสมุดอยู่นานแต่ก็ไม่ได้งานเลยเพราะมัวแต่คิดโน่นคิดนี่ ในที่สุดผมก็ตัดสินใจปิดสมุดหนังสือและเก็บของใส่เป้ ในเมื่อความคิดฟุ้งซ่านก็หาอะไรอย่างอื่นทำไปก่อนดีกว่า

ผมเดินออกจากคณะ ข้ามสนามหญ้าใหญ่ เพื่อไปยังอีกด้านหนึ่งของมหาวิทยาลัย เมื่อมาถึงตึกคณะศิลปกรรมก็เดินเข้าไปในข้างในและขึ้นบันไดไปชั้นบน

ผมเดินไปที่ห้องพักนักศึกษา จากนั้นก็ไปที่ห้องซ้อมดนตรี ตอนนั้นแม้จะเป็นช่วงปิดเทอมแต่ก็มีนักศึกษาเดินขวักไขว่อยู่ภายในตึก พร้อมกับเสียงซ้อมดนตรีที่ลอยออกมาจากห้องต่างๆ ที่นี่ไม่เคยเหงาเลยตลอดทั้งปี มีนักศึกษามาซ้อมดนตรีอยู่เสมอ

ไม่อยู่แฮะ... ผมนึกในใจ รู้สึกผิดหวังนิดหน่อย

“หาใครคะ...” ได้ยินเสียงใสๆของหญิงสาวดังขึ้นที่ด้านหลังของผม เพียงได้ยินเสียงผมก็รู้ว่าใคร

“มาหาพี่เหล่งมั้ง” ผมหันหลังกลับ และตอบคำถาม ผู้ที่ยืนอยู่ข้างหลังผมคือจุ๋มนั่นเอง ผมรู้ดีว่าจุ๋มแกล้งถาม จึงแกล้งตอบไปบ้าง

“วันนี้พี่เหล่งไม่ได้มา” จุ๋มตอบด้วยเสียงล้อเลียน

ผมมองดูจุ๋ม เห็นจุ๋มผอมลงไปมาก ใบหน้าที่เคยอวบอิ่มกลับซูบลง สีหน้าที่เคยแจ่มใสก็ปรากฏแววอิดโรย มีเพียงเสียงเท่านั้นที่ยังสดใสอยู่เช่นเดิม

“พี่พูดเล่นหรอก ที่จริงก็จะมาหาจุ๋มนั่นแหละ” ผมตอบ พลางตั้งข้อสังเกต “จุ๋มผอมลงไปมากเลย”

“ฮื่อ ใช่ ช่วงนี้วุ่นๆค่ะ เหนื่อยเหลือเกิน” จุ๋มรับ “แล้วอยู่ดีๆทำไมถึงมาหาจุ๋มล่ะ”

“อยู่ดีๆไม่มาหรอก อยู่ไม่ดีต่างหากเลยมาหา” ผมกวน “อยากหาคนเลี้ยงขนมน่ะ”

“โอ๊ย นี่จะให้รุ่นน้องเลี้ยงเหรอ” จุ๋มหัวเราะ “ได้ ถ้าพี่อูกล้าไถ จุ๋มก็กล้าเลี้ยง”

“แหม่ พูดซะ เสียหมดเลย” ผมหัวเราะบ้าง “ไม่ได้เจอจุ๋มที่ป้ายรถเมล์มาพักใหญ่แล้ว เลยแวะมาเยี่ยมน่ะ จุ๋มว่างหรือยังล่ะ ไปหาอะไรกินกัน พี่เลี้ยงเอง”

“ยังซ้อมไม่เสร็จเลยค่ะ วันนี้ซ้อมวง หนีกลับก่อนไม่ได้ พี่อูรอก่อนได้ไหม สักครึ่งชั่วโมง” จุ๋มพูด

“ได้ๆ งั้นพี่รอ” ผมตอบ

เมื่อผมรู้สึกวุ่นวายใจจนไม่มีสมาธิทำงาน ผมก็นึกถึงจุ๋มขึ้นมา ผมไม่ได้พบจุ๋มมาพักใหญ่แล้ว วันนี้ลองเสี่ยงแวะดู เผื่อว่าจุ๋มจะมาซ้อมดนตรีที่คณะ แล้วก็ได้พบจุ๋มจริงๆ จุ๋มเป็นคนหนึ่งในไม่กี่คนที่ผมคุยด้วยแล้วรู้สึกสบายใจ

จุ๋มผอมลงไปมาก ทำไมเรียนหนักขนาดนี้ก็ไม่รู้ หรือว่าจะซ้อมดนตรีหนัก จุ๋มอาจต้องซ้อมเพื่อไปแข่งที่ไหนสักแห่งกระมัง... ผมคิดไปเรื่อยเปื่อยขณะที่นั่งรอจุ๋มอยู่ที่ระเบียงตึก ความเปลี่ยนแปลงของจุ๋มทำให้ผมหันเหความคิดออกจากป้อมไปได้ชั่วคราว

“เฮ้ พี่อู จุ๋มเสร็จแล้ว” เสียงจุ๋มเรียก “ตื่นได้แล้วค่ะ”

ผมรอจุ๋มและคิดอะไรไปเรื่อย จนไม่รู้ว่าเคลิ้มหลับไปตั้งแต่เมื่อไร มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่จุ๋มเรียก

“ตึกนี้ลมดี น่านอนจัง” ผมพูดแก้เก้อ “ถ้าตึกคณะพี่เป็นแบบนี้บ้างก็ดีน่ะสิ”

“จะได้นอนทั้งวันเลยใช่มั้ย” จุ๋มรู้ทัน

“ก็ทำนองนั้น” ผมตอบกวน แล้วเปลี่ยนเรื่อง “วันนี้ไปสยามสแควร์กันดีกว่า เบื่อตลาดสามย่านแล้ว”

ดูจุ๋มลังเลนิดหน่อย จากนั้นก็ยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา

“จุ๋มอยู่นานไม่ได้นะพี่อู” จุ๋มพูด “ตลาดสามย่านดีกว่า”

“งั้นก็ได้ ตามใจจุ๋ม” ผมพูด

เราสองคนเดินออกจากคณะศิลปกรรม คุยกันไปเรื่อยๆ

“ทำไมจุ๋มผอมไปเยอะเลยล่ะ”  ผมถามเรื่องที่ยังค้างคาใจอยู่ “เรียนหนักเหรอ”

จุ๋มส่ายหน้า

“เรื่องเรียนน่ะไม่เท่าไร หนักเรื่องที่บ้านมากกว่า”

“มีอะไรเหรอ เล่าได้ไหม” ผมถาม

“อาการพ่อแย่ลงเร็วค่ะ” จุ๋มตอบ “ข้าวปลาอาการไม่ยอมกิน เบาหวานก็กำเริบ ถ้าเผลอก็ละเลงอึฉี่เลอะไปหมด แล้วปัญหาเดิมๆก็วนมา แม่ก็เครียดแล้วมาลงที่คนน้องชาย น้องชายก็เครียดหนัก อยู่บ้านไม่ติด จุ๋มต้องดูแลพ่อเองเกือบทั้งหมด เฮ้อ...”

เมื่อเล่าถึงตอนนี้ สีหน้าของจุ๋มก็หมองคล้ำลง เสียงถอนใจของจุ๋มแสดงความรู้สึกอัดอั้นออกมาอย่างชัดแจ้ง จุ๋มไม่ใช่คนที่ขี้บ่นฟูมฟาย เพียงเล่าอย่างรวบรัดแล้วก็หยุด ผมนึกถึงตอนที่เรียนอยู่ชั้น ม.๕ เทอมต้น ตอนที่รู้ข่าวจากไอ้นัยและมีปัญหากับคุณลุงคุณป้าจนพ่อต้องบังคับให้ผมย้ายโรงเรียน ตอนนั้นผมก็ผอมลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน ผมรู้ดีว่าจุ๋มคงเป็นทุกข์ เหน็ดเหนื่อยทั้งกายและใจ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยได้อย่างไร

“ที่จุ๋มต้องมาซ้อมดนตรีช่วงปิดเทอมนี่มีอะไรพิเศษหรือเปล่า มีแข่งหรือไง” ผมพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย

“มาซ้อมเล่นผสมวงค่ะ เอาไว้แสดง แต่ไม่ได้ไปแข่งที่ไหน” จุ๋มตอบ “แล้วพี่อูมาทำอะไรล่ะ ไม่ได้เรียนซัมเมอร์นี่”

“มาเตรียมงานสอนน่ะ อยู่ที่หอทั้งร้อนและเซ็ง มานั่งเล่นที่คณะดีกว่า” ผมตอบ

“สอนเด็กคนนั้นน่ะเหรอ” จุ๋มถาม “ชื่ออะไรนะคะ”

“ชื่อป้อม” ผมตอบ “ก็สอนอยู่คนเดียวนั่นแหละ แค่คนเดียวก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว เพราะว่าสอนตั้งสองวิชา”

เมื่อเปลี่ยนเรื่องคุย อารมณ์ของจุ๋มก็สดชื่นขึ้น

“ตอนนี้พี่อูคงรู้คำตอบแล้วสินะ” จุ๋มถาม

“คำตอบ...” ผมทวนคำอย่างงงๆ “คำตอบอะไรเหรอ”

“คำตอบที่ว่าพี่อูเป็นครูหรือเป็นนักศึกษารับจ้างสอนพิเศษไง” จุ๋มทบทวนความจำ

จริงสินะ จุ๋มเคยถามคำถามนี้กับผม แต่ตอนนั้นผมตอบไม่ได้

“เอ้อ... แล้วมันต่างกันยังไง” ผมแกล้งถาม

“ถ้าพี่อูสอนเท่ากับเงินที่ได้มา พี่อูก็อาจเป็นแค่นักศึกษารับจ้างสอนพิเศษ แต่ถ้าพี่อูสอนโดยไม่ได้คำนึงถึงมูลค่าของเงิน พี่อูก็เป็นครู...” จุ๋มพูดแล้วหยุดไปเล็กน้อย “ที่จริงจุ๋มก็รู้คำตอบแต่แรกแล้วล่ะ”

“หมายความว่า...” ผมอึ้ง ผมลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปสนิท

“จุ๋มรู้ว่าพี่อูเป็นแบบไหน...” จุ๋มตอบ “จุ๋มรู้ว่าพี่อูเป็นครู...”

คำพูดของจุ๋มทำให้ผมอึ้งซ้ำสอง

“ทำไมพี่ไม่รู้ตัวเลยแฮะ” ผมพยายามหัวเราะให้ขำ

“จุ๋มว่าจุ๋มดูพี่อูไม่ผิด พี่อูดูง่ายจะตาย” จุ๋มหัวเราะบ้าง

ผมเปลี่ยนเรื่องคุยอีก เราคุยสัพเพเหระกันอีกหลายเรื่อง เมื่อได้เวลาพอสมควรก็กลับบ้านด้วยกัน โดยจุ๋มลงจากรถก่อนที่ซอยอารีย์ แต่แม้ว่าจุ๋มจะแยกจากผมไปแล้ว คำพูดของจุ๋มยังคงดังก้องอยู่ในความคิดของผม...

-    - -

“โอ้โฮ อู ทำไมมันลึกยังงี้” เสียงแม่อุทาน ในขณะที่เรากำลังขับรถอยู่ในซอยสุภาพงษ์หรือว่าซอยลาดพร้าว ๓๕ และผ่านบ้านสวนที่ประกาศขาย

วันนั้นเป็นวันนัดหมายเพื่อดูทาวน์เฮาส์ พ่อ แม่ และเอ๊ด มากันพร้อมหน้า พ่อขับรถไปรับผมที่หอพัก จากนั้นก็ขับเข้ามาในซอยสุภาพงษ์ ก่อนที่จะไปดูทาวน์เฮาส์หลังที่นัดหมาย ผมก็บอกทางให้พ่อขับเลยมาอีกหน่อยเพื่อมาดูบ้านสวนที่ผมชอบ ใครจะรู้ เผื่อว่าพ่ออาจจะชอบบ้านหลังนี้ขึ้นมาและอยากซื้อเอาไว้ก็ได้

“หลังนี้ก็ลึกหน่อย แต่เดินถึงปากซอยได้นะแม่ อูลองเดินมาแล้ว” ผมตอบ และพยายามพูดถึงข้อดีของบ้านหลังนี้ “ลึกนิดหน่อย แต่สงบ ร่มรื่น น่าอยู่เชียว”

“ไปดูทาวน์เฮาส์กันดีกว่า” แม่พูด ส่วนพ่อนั้นขับรถอย่างเดียว ไม่พูดอะไรสักคำ เอ๊ดก็นั่งฟังเฉย

เมื่อขับรถไปถึงทาวน์เฮาส์ที่นัดหมาย ตอนนั้นเห็นเจ้าของบ้านยืนรออยู่หน้าบ้านแล้ว

“นี่ยิ่งลึกหนักเข้าไปใหญ่” แม่บ่นอีก “ฝนตก หิ้วของหนัก ป่วยไข้ไม่สบาย แล้วจะเดินเข้าบ้านไหวเหรอ”

“หลังนี้ไม่ลึกหรอกแม่” ผมตอบ พลางอธิบาย “ถ้าเข้าทางซอยบ้านคุณลุงก็ไม่ไกล นี่เข้าทางซอย ๓๕ เพราะอยากผ่านไปดูบ้านเดี่ยวหลังนั้น เป็นทางอ้อม ก็เลยไกล หรือว่าถ้าขี้เกียจเดินก็นั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างก็ได้”

หลังจากนั้นเราก็ลงจากรถ ทักทายเจ้าของบ้าน และเข้าไปชมด้านในของทาวน์เฮาส์กัน

บ้านหลังนั้นมีเนื้อที่ประมาณ ๒๐ ตารางวา สร้างมาแล้วประมาณ ๑๐ ปี สภาพดูเก่าทั้งภายนอกและภายใน สีกระเทาะ หลุดร่วง บางส่วนก็ขึ้นรา ด้านหลังของทาวน์เฮาส์หลังนี้เป็นที่ว่างเปล่าแปลงใหญ่ มีหญ้าขึ้นรก ลานซักล้างส่วนหลังของทาวน์เฮาส์ถูกดัดแปลง ต่อหลังคาออกมาคลุม ใช้เป็นห้องครัว ซึ่งเป็นความนิยมในการต่อเติมทาวน์เฮาส์ในยุคนั้น คือลานซักล้างด้านหลังต่อออกมาเป็นครัวไทย กลิ่นและควันจากการทำอาหารจะได้ไม่คลุ้งอยู่ภายในตัวบ้าน การซักผ้าก็ซักอยู่ในห้องครัวนั่นเอง แล้วเอามาตากหน้าบ้าน หรือว่าจะซักและตากที่หน้าบ้านก็ได้ แล้วแต่ความสะดวก

ภายในตัวบ้านชั้นล่างแบ่งออกเป็นสองตอน ที่จริงเป็นพื้นที่เปิดโล่งตลอดทั้งชั้น เจ้าของบ้านเอาตู้มากั้นเพื่อแบ่งตัวบ้านออกเป็นสองตอน ส่วนหน้าเป็นห้องนั่งเล่น รับแขก ดูทีวี ส่วนหลังตู้ซึ่งเดิมควรจะเป็นห้องครัว เจ้าของบ้านใช้เป็นห้องกินอาหาร ส่วนห้องน้ำอยู่ด้านหน้าของตัวบ้าน ติดกับห้องนั่งเล่น

ชั้นสองมีสองห้องนอน ห้องนอนใหญ่ห้องหนึ่งและห้องนอนอีกห้องหนึ่งที่เล็กกว่า มีห้องน้ำชั้นบนอีกหนึ่งห้อง และระเบียงเล็กๆด้านหน้าบ้านอีกหนึ่งจุด

เราเดินดูจนทั่วบ้าน ส่วนใหญ่แม่เป็นคนซักถามเจ้าของบ้าน ส่วนพ่อนั้นไม่ค่อยพูดอะไร เรื่องที่แม่ซักถามก็เป็นเรื่องทางสัมคมมากกว่าเรื่องตัวบ้าน เช่น เจ้าของอยู่มากี่ปีแล้ว ทำไมจึงย้าย ข้างบ้านและบ้านตรงข้ามเป็นใคร ทำอาชีพอะไร ฯลฯ มีการคุยราคากันบ้างนิดหน่อยแต่ว่าไม่มีการต่อรองราคากันอย่างจริงจัง

ผมเดินดูบ้านด้วยความรู้สึกเซ็งๆ ดูท่าทีของพ่อแล้วไม่ได้คิดจะซื้อแม้แต่น้อย เพราะว่าหากคิดจะซื้อก็คงไม่เงียบเฉยขนาดนี้

หลังจากดูบ้านและคุยกับเจ้าของบ้านสักพัก พวกเราก็ขอตัวกลับ ระหว่างที่นั่งอยู่ในรถ พ่อก็ถามเอ๊ดขึ้นมา

“เอ๊ดว่าทาวน์เฮาวส์หลังนี้เป็นไง”

“โครงสร้างใช้ได้นะป๊า ก่อสร้างดีทีเดียว ดูที่จอดรถไม่ทรุดแยกจากตัวบ้าน แสดงว่าดินอยู่ตัวแล้ว ตัวบ้านเท่าที่เอ๊ดดู กำแพง คาน ไม่มีรอยฉีก แสดงว่าบ้านไม่ทรุดตัว คิดว่าการก่อสร้างน่าจะใช้ได้ ไอ้เรื่องเก่าก็ตามสภาพ ฝ้าเพดานเป็นฝ้าเก่า ไม่มีรอยน้ำฝนรั่ว แสดงว่าหลังคาคงยังใช้ได้” เอ๊ดวิจารณ์ เอ๊ดสังเกตบ้านในจุดที่ละเอียดละออตามนิสัย

“บ้านหลังนี้มีส้วมอยู่หน้าบ้าน โบราณเขาถือนะ” แม่ท้วง

“แม่ ส้วมไว้หน้าบ้านตรงนั้นก็ดีตรงที่ทำช่องระบายอากาศได้ ถ้าเป็นห้องน้ำอยู่กลางบ้านจะไม่มีช่องระบายอากาศเลย อย่างนี้ถูกสุขลักษณะกว่านะแม่”

“แต่โบราณเขาถือ” แม่ย้ำอีก

“แม่ สมัยโบราณไม่มีทาวน์เฮาวส์นะแม่” ผมคันปาก อดแย้งไม่ได้

“โอ๊ย อูจะไปรู้อะไร” แม่ไม่ยอม

หลังจากนั้นพ่อก็ขับรถออกมาที่ถนนใหญ่ เมื่อถึงซอย ๒๕ ผมก็แยกลง ส่วนทั้งสามคนก็กลับต่างจังหวัดไป ตลอดการมาดูบ้านในครั้งนี้ ผมแทบไม่ได้พูดอะไรเลย รวมทั้งพ่อก็ไม่ได้ถามความเห็นอะไรจากผมด้วย

-    - -

“โอ๊ย เซ็งโว้ย” ผมร้องอยู่ภายในห้อง

“โอ๊ย หนวกหูโว้ย” เสียงห้องตรงข้ามตะโกนตอบ

“โทษทีพี่” ผมหัวเราะ พร้อมกับตะโกนคุยข้ามห้อง “ขอระบายหน่อย”

“เบื่อก็มาดูหนังห้องนี้ไหม” พี่ห้องตรงข้ามเชื้อเชิญด้วยเสียงตะโกนเช่นกัน

“ขอบคุณครับพี่ แต่งานยังไม่เสร็จเลย” ผมตะโกนตอบ

หลังจากที่ไปดูทาวน์เฮาส์กลับมา ผมก็กลับมาเตรียมงานสอนป้อมต่อเพราะว่าผมยังเตรียมชีตการสอนของวันรุ่งขึ้นยังไม่เสร็จ เรื่องเมื่อตอนกลางวันทำให้ผมรู้สึกเซ็ง

“ไม่ไหวโว้ย” ผมบ่นอีก รู้สึกวุ่นวายใจจนทำงานต่อไม่ได้ ผมจึงหยิบเหรียญบาทมากำหนึ่ง จากนั้นเดินลงไปชั้นล่างเพื่อออกไปโทรศัพท์ที่ตู้ใกล้กับหอพัก

“ฮัลโหล” เสียงงุ้งงิ้งรับสาย

“คุณชาย” ผมทักทาย รู้สึกอารมณ์แจ่มใสขึ้นมาทันที

เมื่อก่อนป้อมจะไม่รับโทรศัพท์เลย ปกติพ่อกับแม่ หรือคนในบ้านจะเป็นคนรับสาย เมื่อรู้ว่าเป็นเพื่อนของป้อมโทรมาป้อมจึงจะมารับสายอีกทีหนึ่ง เมื่อก่อนผมโทรไปหาป้อมก็เป็นคนอื่นรับสาย แต่ในระยะหลังนี้ป้อมรับโทรศัพท์เองทุกครั้ง

“พี่อูทำอะไรอยู่” ป้อมถาม แล้วรีบพูดต่อ “อย่าบอกว่าโทรศัพท์นะ”

“แน่ะ รู้ทัน ว่าจะตอบแบบนี้อยู่เชียว” ผมหัวเราะ “เมื่อกี้เตรียมชีตให้คุณชายอยู่ ยังไม่เสร็จเลย”

“แล้วโทรมาทำไม” ป้อมทำเสียงกวน

“จะโทรมาบอกว่า พรุ่งนี้พี่อยากเปลี่ยนที่สอน” ผมพูด “มาเรียนนอกสถานที่กันดีกว่า”

“เหรอ ที่ไหนล่ะ” ป้อมทำเสียงดีใจจนผมรู้สึกได้

“มาเรียนที่มหาวิทยาลัยก็ได้” ผมหมายถึงมหาวิทยาลัยที่ผมเรียนอยู่ “สนามหญ้าเขียวๆ สวยๆ ดีกว่าเรียนในห้องอุดอู้ เรียนเสร็จแล้วไปเดินเล่นที่สยามสแควร์กัน”

“ว้าว” ป้อมร้อง ทำเสียงกวนเสียด้วย “คิดได้ไงเนี่ย”

“อ้าว ไม่ดีเหรอ” ผมถาม

“เปล่า ดีสิคร้าบ” ป้อมหัวเราะ “จะบอกว่าพี่อูฉลาดต่างหาก”

“อ๋อ นั่นมันแน่อยู่แล้ว ไม่งั้นจะสอนคุณชายได้เหรอ” ผมอวยตัวเอง “ว่าแต่พ่อจะให้หรือเปล่าล่ะ”

“ไม่เป็นไรหรอกพี่อู” ป้อมตอบ “ตอนเช้าพอพ่อแม่ออกไปทำงาน ป้อมก็ค่อยออกจากบ้าน ใครจะมาห้ามล่ะ ฮ่าฮ่า”

“เออ เข้าที” ผมพูด “งั้นพรุ่งนี้เก้าโมง เจอกันที่ม้าหินหน้าสระว่ายน้ำละกัน ถ้าร้อนค่อยย้ายเข้าใต้ตึก”

“ได้ฮะพี่อู” ป้อมรับคำ

Monday, October 29, 2012

ภาคสี่ ตอนที่ 64

“น้องอู ชั้นสี่ รับโทรศัพท์” เสียงเรียนจากลำโพงอินเตอร์คอมประจำชั้นสี่ดังขึ้นในตอนกลางคืน

“ครับ...” ผมออกไปยืนที่หน้าห้องแล้วแหกปากตะโกนตอบ “ไปเดี๋ยวนี้”

ผมวิ่งลงไปบันเพื่อไปยังชั้นล่าง เมื่อลงไปถึงก็ตรงไปที่เครื่องโทรศัพท์และหยิบหูที่วางอยู่นอกเครื่องขึ้นมา ใครโทรมากันนะ

“ฮัลโหล” ผมพูด

“โอ๊ย นานจริงกว่าจะมา” เสียงจากปลายสายอีกด้านหนึ่งบ่น เสียงนั้นเป็นเสียงงุ้งงิ้งคล้ายเสียงแมว

“พี่ลงมาจากชั้นสี่นะ เร็วกว่านี้ไม่ได้หรอก เดี๋ยวตกบันไดตาย” ผมหัวเราะ รู้สึกดีใจที่ได้ยินเสียงนี้ เมื่อบ่ายตอนนั่งรถกลับจากบ้านก็นึกถึงหน้าเจ้าของเสียงนี้มาตลอดทาง ไม่ได้เจอกันหลายวันไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง พร้อมทั้งคิดถึงว่าพรุ่งนี้จะสอนอะไรดี

“พี่อูทำอะไรอยู่” เสียงงุ้งงิ้งนั้นถามอีก

“กำลังคุยโทรศัพท์อยู่” ผมตอบ

“เฮอะ” เสียงนั้นร้องเบาๆ “กวนได้อีกนะ แล้วเมื่อกี้ล่ะ ทำอะไร”

“เมื่อหนึ่งนาทีที่แล้วก็คุยโทรศัพท์อยู่” ผมตอบอีก

“โอ๊ย เอาคำตอบจริงๆดิพี่อู” ทางโน้นเริ่มโวย

“อ้าว พี่ก็ตอบตามจริง ป้อมก็ถามให้ชัดเจนหน่อยสิ อย่างเช่นว่าเมื่อสิบนาทีที่แล้วพี่ทำอะไรอยู่” ผมยวนอีก

“ไม่ถามแล้ว เบื่อคนสติไม่ดี” เสียงงุ้งงิ้งจากอีกด้านหนึ่งหรือน้องป้อมพูด

“แล้วคนที่คุยกับคนสติไม่ดีได้นี่เป็นคนประเภทไหนกันล่ะ” ผมต่อปากต่อคำ วันนี้ไม่รู้ว่าเป็นอะไร เหมือนกัน เมื่อก่อนก็ไม่เคยกระเซ้าเย้าแหย่กับป้อมขนาดนี้

“วันนี้พี่อูเมายาม้ามาเหรอ” ป้อมหัวเราะ

“เปล่าหรอก แต่อยากแกล้งคน” ผมตอบแล้วก็หัวเราะบ้าง “แล้วป้อมโทรมาหาพี่มีเรื่องอะไรละเนี่ย”

“ก็อยากรู้ว่าพี่อูกลับมาหรือยัง พรุ่งนี้จะมาสอนหรือเปล่า” ป้อมตอบ

“สอนสิ” ผมตอบ “งานคือเงิน เงินคืองาน ไม่สอนแล้วจะเอาเงินที่ไหนใช้”

“สอนที่ไหนกัน มาแล้วก็มานอนหลับ” ป้อมพูด “ขากลับมีตะขาบบนหน้าด้วย กิ๊วๆ ขึ้นรถเมล์อายเขาไหม”

“อย่าพูดเอะอะไป เดี๋ยวมีใครได้ยิน” ผมหัวเราะ “ตะขาบตัวนี้น่ารักออก พี่ยังไม่ได้ลบทิ้งเลย ว่าจะเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึก”

“โอ๊ย ยังงี้ป้อมไม่เดินด้วยแล้วนะ” ป้อมหัวเราะบ้าง

“ป้อม...” ผมพูดแล้วหยุดคิดนิดหนึ่ง “วันอาทิตย์ไปดูหนังกันมั้ย”

“นี่พี่อูชวนป้อมเหรอ” ป้อมทำเสียงแปลกใจ

“เอ้อ...” ผมอึกอัก “มีหนังที่พี่อยากดูน่ะ เลยลองชวนป้อมดู เผื่อป้อมอาจจะอยากดูหนังบ้าง”

“ไปสิๆ” ป้อมรีบตอบ ยังไม่ได้ถามด้วยซ้ำว่าเป็นหนังเรื่องอะไร “แล้วไปว่ายน้ำด้วยหรือเปล่า”

“ก็ได้” ผมตอบ “ดีเหมือนกัน ได้ออกกำลังกาย”

เราคุยสัพเพเหระกันต่ออีกครู่หนึ่ง จนเสียงสัญญาณเตือนใกล้ครบห้านาทีดังขึ้น ผมจึงรีบจบการสนทนาจากนั้นก็วางสายลง

“น้องอู...” พี่พร คนดูแลหอพักเรียกผมแบบลากเสียงยาว พร้อมกับทำสีหน้าอมยิ้ม “คุยกับใครเหรอ”

“เพื่อนน่ะครับ” ผมตอบแบบระวังตัว ปกติพี่พรไม่ค่อยซักถามเรื่องการคุยโทรศัพท์ของผม จะมีอยู่บ้างก็ตอนที่มีเรื่องนายเอกเข้ามา “ทำไมเหรอครับพี่พร”

 “ก็เห็นน้องอูคุยหัวร่อต่อกระซิก หน้าบานเป็นจานเชิง” พี่พรตอบพร้อมกับหัวเราะ

พี่พรใส่คำขยายจนเห็นภาพ ผมรู้สึกหนาววูบที่ทำอะไรไปโดยไม่ระวังตัว ปกติพยายามระวังตัวเรื่องการคุยโทรศัพท์อยู่แล้ว แต่วันนี้ทำไมเผลอได้ก็ไม่รู้ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าพี่พรกำลังระแวงอะไรผมอยู่หรือเปล่า หรือแค่แซวไปเรื่อยเปื่อย

“เปล่าพี่” ผมรีบปฏิเสธ “แซวกันไปแซวกันมาขำๆน่ะครับ”

พูดจบผมก็รีบเดินหนีขึ้นห้องไปทันที

-    - -

วันเสาร์นั้นเป็นวันที่ผมรู้สึกสดชื่นอย่างประหลาด หลายครั้งทีเดียวที่ผมรู้สึกเบื่อกับการเดินทางไกลเพื่อไปสอนป้อม แต่วันนี้ผมกลับรู้สึกกระตือรือร้น

เมื่อมาถึงหน้าบ้านของป้อม ผมเกิดกริ่งที่หน้าประตู สักครู่เดียวใบหน้าที่ผมคุ้นเคยก็โผล่ออกมาตอนรับที่ประตูเล็ก

“สวัสดีคร้าบคุณชาย” ผมทัก

“เย้ พี่อู” ป้อมร้องอย่างดีใจ จนผมลังเลใจอยู่วูบหนึ่ง มองถุงในมือว่าจะให้ดีหรือเปล่า...

ผมเดินเข้าไปในบ้านพร้อมกับยื่นถุงที่อยู่ในมือให้ป้อม ให้ไปก็แล้วกัน ไหนๆก็เตรียมมาแล้ว

“พี่มีของมาฝากป้อมด้วย ไปบ้านทีไรชอบทวงนัก คราวนี้จะได้ไม่ต้องทวง” ผมพูด

ดวงตาของป้อมเป็นประกายเมื่อเห็นถุงขนม เอื้อมมือจะมารับ

“เดี๋ยวก่อน” ผมชักถุงขนมกลับ “ในนี้มีอยู่สองอย่าง ป้อมเลือกได้อย่างเดียว”

“มีอะไรบ้างล่ะ” ป้อมถาม “ให้หมดไม่ได้เหรอ ทำไมขี้เหนียวยังงี้”

“ให้ได้อย่างเดียว ไม่บอกด้วยว่าเป็นอะไร” ผมหัวเราะ พลางยื่นถุงขนมออกไปใหม่แล้วแง้มปากถุงให้เปิดออก “ป้อมวัดดวงล้วงออกมาอย่างหนึ่ง ได้อะไรก็เอาอย่างนั้นแหละ”

“แน่ะ มีเล่นเกมด้วย” ป้อมหัวเราะสนุก พลางยื่นมือล้วงเข้าไปในถุง ป้อมขยับมืออยู่ในถุงสักครู่ ทำสีหน้าแปลกใจ แล้วดึงมือออกมาพร้อมกับดูของที่อยู่ในมือ

“เฮ้ย” ป้อมสะดุ้งโหยง หน้าถอดสี พร้อมกับขว้างสิ่งที่ล้วงได้ลงกับพื้น

สิ่งที่ป้อมทิ้งลงมาเป็นตะขาบสีน้ำตาลดำตัวใหญ่ แน่นอน มันเป็นตะขาบปลอมที่ทำจากยาง แต่ว่าทำสีสันได้เหมือนจริง ดูน่ากลัวมาก วัสดุยางทำให้มันยืดหยุ่นและดิ้นไปมาได้ ยิ่งเหมือนจริงเข้าไปใหญ่ ป้อมเห็นวูบแรกถึงกับตกใจ ผมหัวเราะก๊ากด้วยความสะใจ

ใบหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นบึ้งตึง “มาแกล้งป้อม”

ผมยังหัวเราะขำ รู้สึกภูมิใจที่แกล้งป้อมได้สำเร็จ ผมนึกมุขที่จะแก้เผ็ดป้อมอยู่หลายวัน ในที่สุดก็เห็นตะขาบตัวนี้ได้โดยบังเอิญจากพ่อค้าเร่ที่เร่ขายของหลอกเด็ก พวกงูยาง ตะขาบยาง นิ้วขาด ฯลฯ ที่อยู่หน้าสถานีขนส่งหมอชิต ผมจึงได้ความคิดขึ้นมา

ป้อมเดินหันหลังกลับเข้าบ้านโดยไม่สนใจผมอีก ผมรีบหยุดหัวเราะเมื่อเห็นป้อมโกรธจริงๆ แล้วรีบเดินตามเข้าบ้านไป เมื่อเข้าไปถึงในห้องเรียนป้อมก็นั่งลงที่เก้าอี้อย่างเงียบๆ

“ป้อม” ผมเรียก พลางนั่งลงที่ด้านตรงข้าม เห็นใบหน้าของป้อมบึ้งตึง ผมเริ่มใจไม่ดี

ฉิบหายแล้ว เช้าวันใหม่ เพิ่งจะเจอกันก็เป็นเรื่องเสียแล้ว ผมคิดในใจ

“ป้อม โกรธพี่เหรอ” ผมถาม พลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้

ป้อมไม่ยอมพูดอะไร แต่ลุกหนีไปนั่งที่โซฟา ผมรีบเดินตามไปนั่งลงข้างๆ

“ป้อม ทำไมแค่นี้ต้องโกรธด้วย พี่แค่ล้อเล่น” ผมพูด ยังนึกงงอยู่เหมือนกันว่าทำไมแหย่แค่นี้ต้องโกรธด้วย ทีป้อมเขียนตะขาบบนหน้าผม ผมยังไม่โกรธเลย

ป้อมยังไม่พูดอะไร แต่สีหน้ายิ่งบึ้งตึงหนักยิ่งขึ้น ทำให้ผมยิ่งใจไม่ดี

“ป้อม พูดกับพี่หน่อยสิ” ผมพูดอีก “ล้อเล่นหน่อยเดียว ทำไมป้อมต้องโกรธพี่ด้วย”

“ใครๆก็ล้อป้อม แกล้งป้อม ป้อมนึกว่ามีแต่พี่อูคนเดียวที่ไม่แกล้งป้อมเสียอีก...” ป้อมพูดโพล่งขึ้นมา เสียงของป้อมแหบเครือ

โอย ตายห่าแล้ว ผมนึกคร่ำครวญอยู่ในใจ พร้อมกับนึกเสียใจที่ไม่น่าคิดแกล้งป้อมจนเป็นเรื่องบานปลายขึ้นมา ดูเหมือนว่าการกระทำของผมไปกระตุ้นต่อมน้อยใจของป้อมขึ้นมา หากเป็นคนอื่นอาจไม่มีอะไรมาก แต่ป้อมที่ถูกล้อเลียนปมด้อยมาตลอดชีวิตอาจมีความรู้สึกอ่อนไหวกับเรื่องเหล่านี้ แม้ว่าผมจะไม่เข้าใจความรู้สึกของป้อมดีนัก แต่ประสบการณ์ที่ผมคบกับตี๋มานานทำให้ผมรู้ว่าครั้งนี้ผมทำพลาดไปจริงๆ

“เอ้อ คุณชาย พี่ขอโทษนะ” ผมพูดอย่างเสียใจ “พี่ขอโทษจริงๆ พี่แค่อยากล้อป้อมเล่น แต่ไม่นึกเลยว่าป้อมจะโกรธ พี่ขอโทษ”

ป้อมยังหน้าก้มหน้ายิ่ง ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ

“ป้อม หายโกรธพี่นะ” ผมพยายามอ้อนวอน “พี่ขอโทษ... พี่ให้ต่อยหน้าทีนึงด้วยเอ้า”

ผมพูดพลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้ป้อม... ใกล้จนได้กลิ่นสบู่อ่อนๆระเหยออกมาจากเรือนกายของป้อม

พลั่ก

“โอ๊ย” ผมร้อง “เฮ้ย ต่อยจริงๆเหรอ”

ป้อมชกหน้าผมไปทีหนึ่งโดยที่ผมไม่ทันระวัง แม้ว่าผมจะยื่นหน้าให้ป้อมชกแต่ไม่นึกว่าป้อมจะชกจริงๆ ป้อมชกผมไม่แรงแต่เข้าเบ้าตาพอดี ผมกุมเบ้าตาด้วยความเจ็บปวด

“โอย... จะตาบอดไหมเนี่ย โอย ปวดเหลือเกิน” ผมร้องครวญคราง พลางล้มตัวลงนอนบิดบนโซฟา

“พี่อู” ป้อมอุทานด้วยน้ำเสียงตกใจ พลางลุกขึ้นมา แล้วเดินมาจับมือที่กุมเบ้าตาของผมออกเพื่อดูอาการ “ป้อมไม่ได้ตั้งใจ...”

“แหะๆ หายแล้ว” ผมเอามือออกจากเบ้าตาพร้อมกับยื่นหน้าไปใกล้ๆเพื่อให้ป้อมดูให้ถนัด เมื่อป้อมเห็นดังนั้นก็จะถอยห่างออกไป แต่ผมจับแขนของป้อมเอาไว้

“เดี๋ยวก่อนป้อม ป้อมอย่าเพิ่งหนี มาคุยกันก่อน” ผมพูดอย่างจริงจัง พลางรั้งให้ป้อมนั่งลงข้างๆ “พี่ขอโทษป้อมนะ ขอโทษจริงๆ”

ผมพูดอย่างเสียใจ หยุดนิดหนึ่งแล้วพูดต่อ

“ป้อมอย่าโกรธพี่เลยนะ บอกหน่อยสิว่ายกโทษให้พี่แล้ว” ผมอ้อนป้อม “เร้ว พี่ขอโทษป้อมแล้ว ป้อมก็ยกโทษให้พี่เถอะ นะนะนะ”

ป้อมนั่งนิ่ง ความเงียบนั้นเหมือนกับผมได้สัมผัสความรู้สึกบางอย่างในตัวของป้อม มันใช่ความโกรธ แต่มันเป็นความน้อยเนื้อต่ำใจ ความรู้สึกอยากเข้าไปกอดน้องน้อยผู้น่าสงสารคนนี้วูบขึ้นมา แต่ผมพยายามหักห้ามใจเอาไว้

“พูดหน่อยเร็ว พี่ขอร้องละ” ผมพูดพร้อมจับมือป้อมมาบีบเบาๆ ผมรู้สึกว่ามือของผมเปียกชื้น ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเหงื่อที่ซึมออกมาจากมือของใคร “ป้อม พี่ขอโทษ และขอร้องป้อมด้วย พูดกับพี่หน่อย”

ผมอ้อนวอนอย่างถึงที่สุด

ป้อมนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ เหมือนกับคิดอะไรอยู่ ในที่สุดก็พยักหน้าพร้อมกับพูดเบาๆ

“ฮื่อ ก็ได้”

“ดีใจจัง คุณชายหายโกรธแล้ว” ผมพูดแก้เก้อ รู้สึกเขินเหมือนกันที่อ้อนป้อมเสียขนาดนั้น มันเป็นสิ่งที่ผมไม่นึกว่าจะทำมาก่อน ทำไปได้อย่างไรก็ไม่รู้เหมือนกัน และเมื่อนึกขึ้นได้ว่าผมยังบีบมือป้อมอยู่ ผมก็รีบคลายมือออก

“...”

“หายโกรธจริงนะ” ผมอ้อนอีก

“...” ป้อมไม่พูดแต่พยักหน้า

เราสองคนนั่งเงียบกันอยู่ครู่หนึ่ง จนผมรู้สึกอึดอัด...

“เอ้อ ถ้าหายโกรธแล้ว เราไปเรียนกันก่อนดีกว่าป้อม” ผมตัดบทเปลี่ยนเรื่องเอาดื้อๆ หลังจากแก้ไขสถานการณ์ไปได้แล้ว ตอนนั้นผมไปต่อไม่ออกจริงๆ ได้แต่ตัดไปเข้าบทเรียน

“ไม่เอา ไม่อยากเรียนแล้ว” ป้อมพูด

“น่า น้องป้อม ทนเรียนหน่อยนะ” ผมพูดอย่างจริงจัง “พี่ก็เข้าใจว่าป้อมคงยังไม่อยากเรียน แต่นี่เป็นงานของพี่ เป็นหน้าที่ของพี่ เอายังงี้ วันนี้เราเรียนกันเบาๆ พี่สัญญาว่าจะไม่ดุป้อมเลย ตกลงมั้ย”

ป้อมพยักหน้าพลางลุกขึ้นยืน และเดินไปนั่งที่โต๊ะเรียน แม้ว่าป้อมจะโกรธผม แต่ก็โกรธเพียงไม่นาน ป้อมก็ยังเป็นเด็กว่าง่ายสำหรับผมเสมอ ความว่าง่ายของป้อมยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิดและพร้อมกันนั้นก็รู้สึกสนิทสนมกับป้อมมากยิ่งขึ้น...

-    - -

วันอาทิตย์

ในวันต่อมา ผมไปว่ายน้ำและไปดูหนังกับป้อมตามที่ได้นัดกันเอาไว้ ด้วยความที่ผมรู้สึกผิดที่แกล้งป้อม วันนั้นผมจึงเอาใจป้อมเต็มที่ ผมยอมเลิกกฎผลัดกันสั่งอาหารตามที่เคยตกลงกันไว้กับป้อม ผมสั่งอาหารให้ป้อมทุกอย่างโดยที่ป้อมไม่ต้องพูดสั่งอาหารเองเลย ยิ่งนานผมยิ่งรู้สึกว่าตนเองไม่ใช่ครูสอนพิเศษ แต่เป็นพี่เลี้ยงหรือพี่ชายของป้อมมากกว่า

“โอย ป้อมอิ่ม กินไม่ไหวแล้วพี่อู” ป้อมพูดกับผมขณะที่นั่งกินอาหารเที่ยงจานสุดท้ายจนหมด ป้อมรวบช้อมซ่อมพลางเอนตัวพิงพนักแบบอ่อนแรง “วันนี้สั่งเยอะจัง กว่าจะสวาปามเข้าไปหมด เฮ้อ...”

“วันนี้พี่เลี้ยงเพื่อขอโทษป้อมน่ะ อยากทำอะไรสักอย่างเพื่อชดเชยให้ป้อม” ผมพูดตามตรง ป้อมรู้ดีว่าผมพูดเรื่องอะไร

ผมรู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าแข้ง ป้อมกำลังเตะหน้าแข้งผมอยู่ที่ใต้โต๊ะอาหาร

“เจ็บมั้ย” ป้อมถามยิ้มๆ

“ไม่เจ็บ” ผมตอบ

“เจ็บมั้ย” ป้อมเตะอีก คราวนี้แรงขึ้นกว่าเดิม

“ไม่เจ็บ” ผมกัดฟันพูด

“ฮ่ะฮ่ะ” ป้อมหัวเราะอย่างพออกพอใจ

“อ้าว พอแล้วเหรอ” ผมถามเมื่อรู้สึกว่าป้อมหยุดเตะแล้ว

“พอแล้ว” ป้อมตอบ “ป้อมรู้แล้วว่าพี่อูจริงใจ...”

คำพูดของป้อมทำให้ผมถึงกับอึ้ง คำพูดสั้นๆนั้นทำให้ภาพในอดีตมากมายไหลพรูเข้ามาในห้วงความคิด พร้อมกับความรู้สึกหลายๆอย่างที่อธิบายไม่ถูกก็ไหลประดังเข้ามาในใจของผม...

-    - -

ตอนกลางคืน

“น้องอู ชั้นสี่ รับโทรศัพท์” เสียงพี่พรดังจากอินเตอร์คอมในตอนดึก

“คร้าบ ไปเดี๋ยวนี้” ผมออกไปยืนตอบอินเตอร์คอมที่หน้าห้อง พลางรีบลงไปที่ชั้นล่าง

“ฮัลโหลลลล...” ผมรีบรับโทรศัพท์ด้วยความดีใจ พลางพูดกรอกเข้าไปในลำโพงด้วยเสียงแผ่วเบา อีกทั้งยังหันหลังให้พี่พรด้วยเพื่อไม่ให้พี่พรจับสังเกตท่าทางและน้ำเสียงของผมได้อีก “สวัสดีคร้าบ”

การเที่ยวกับป้อมเมื่อตอนกลางวันผมรู้สึกสนุกมากที่สุด ไม่เคยเที่ยวกับป้อมครั้งไหนแล้วมีความสุขเท่ากับในครั้งนี้ ผมคิดว่าป้อมเองก็คงสนุกไม่แพ้กัน ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรทำให้ผมแน่ใจว่าโทรศัพท์สายนี้เป็นป้อมโทรมา

“อู ทำไมวันนี้พูดเพราะจัง” เสียงผู้หญิงพูดจากปลายสายอีกด้านหนึ่ง น้ำเสียงแปลกใจ ปรากฏว่าความรู้สึกของผมผิดโดยสิ้นเชิง

“อ้อ แม่” ผมงงไปชั่ววูบแล้วก็ตั้งหลักได้ “ก็อยากพูดเพราะๆให้แม่ชื่นใจมั่งไง”


ผมทำเนียน ไม่รู้เหมือนกันว่าแม่จะเชื่อหรือเปล่า

“นี่รอคุยกับสาวอยู่เหรอ” แม่พูดเหมือนกับรู้ทันพร้อมกับหัวเราะ แม่รู้ทันผมก็จริง แต่ก็ไม่ได้รู้ไปทั้งหมด... แม่พูดถูกเพียงแค่ครึ่งเดียว...

“แม่โทรมาต้องมีอะไรแน่เลย” ผมเฉไฉ “มีอะไรเหรอแม่”

“ก็มีน่ะสิ” แม่ตอบ พร้อมกับวกเข้าเรื่อง “ป๊าอยากดูบ้านทาวน์เฮาส์ที่อูพูดถึง อูช่วยนัดเจ้าของบ้านเพื่อดูบ้านหน่อย วันอังคาร พุธ หรือพฤหัสนี้ วันไหนก็ได้”

“หา จริงเหรอแม่” ผมพูดอย่างแทบไม่เชื่อหู

“แค่ดูนะ อย่าหวังมาก” แม่ตอบ “นี่เอ๊ดกับแม่ช่วยกันคะยั้นคะยอป๊า บอกให้ลองไปดูหน่อย อูอุตส่าห์เลือกมาให้ตั้งเยอะตั้งแยะ เดี๋ยวอูจะเสียใจ”

“ถ้าไม่สนใจก็ใม่ต้องนัดหรอกแม่” ผมได้ยินคำพูดของแม่แล้วก็ใจฝ่อ ความหวังและความดีใจหายไปหมด “ถ้าไม่มีความคิดจะซื้ออยู่เลย ดูหรือไม่ดูมันก็เท่ากันนั่นแหละ ช่างเถอะแม่”

“ก็ป๊าเค้าตกลงว่าจะไปดูแล้วนี่” แม่พูด “เอาตามนี้แหละ พูดกลับไปกลับมาเดี๋ยวป๊าเคืองอีก อีกหน่อยจะยิ่งพูดยากนะอู”

“ยังงั้นก็ได้ พรุ่งนี้อูจะนัดให้แล้วจะโทรไปบอกแม่อีกที” ผมตอบ

ในที่สุดพ่อก็ตกลงจะมาดูบ้านให้ แต่ในใจของผมไม่ได้รู้สึกยินดีเลยแม้แต่น้อย เพราะผมรู้ดีว่าดูไปก็เท่านั้น พ่อมาดูให้อย่างเสียไม่ได้เพราะถูกคะยั้นคะยอ ผมไม่ได้มีความคาดหวังอะไรกับการมาดูบ้านของพ่อกับแม่ในครั้งนี้เลย...

Monday, October 1, 2012

ภาคสี่ ตอนที่ 63


“พี่อู พี่อู พี่อูโว้ย” เสียงป้อมเรียกพร้อมกับเอาเท้ามาเขี่ยที่เท้าของผมทำให้ผมสะดุ้งตื่น

“เอ้อ มีอะไรเหรอป้อม เดี๋ยวนี้เอาตีนเขี่ยพี่เลยเหรอ” ผมทำเสียงดุทั้งๆที่ยังงัวเงีย

“ก็ป้อมเรียกตั้งหลายทีพี่อูก็ยังนั่งหลับ เลยต้องลงมือลงไม้” ป้อมพูดด้วยเสียงดุบ้าง แต่ถึงดุยังไงก็ยังเป็นเสียงงุ้งงิ้ง “จะมาสอนหนังสือหรือจะมานั่งหลับกันแน่”

“นี่พี่หลับไปเหรอ” ผมยังไม่หายงัวเงีย พยายามคิดทบทวนว่าเมื่อกี้ทำอะไรอยู่ “ไม่ได้หลับเสียหน่อย”

“หลับไปตั้งนาน ยังจะเถียงอีก” ป้อมเอาสองเท้าของป้อมมาหนีบเท้าของผมเอาไว้แล้วถูเล่น พร้อมกับมองหน้าผมแล้วถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พี่อูเหนื่อยเหรอ”

น้ำเสียงที่จริงจังพร้อมกับสายตาห่วงใยที่ป้อมจ้องดูผม ผมรู้สึกอบอุ่นวูบขึ้นมาในหัวใจ ความรู้สึกแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับผมมานานแล้วนับแต่ตั้งผมกับบอยเริ่มเหินห่างกัน ผมรู้สึกแปลกใจตนเองที่ทำไมจู่ๆจึงเกิดความรู้สึกนี้ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งได้

“ฮื่อ เมื่อคืนพี่อดนอนนิดหน่อยน่ะ มีเรื่องต้องทำหลายอย่าง” ผมตอบ ที่จริงไม่ใช่เรื่องธุระสำคัญอะไรหรอก เพียงแต่พวกคนในหอมาใช้ห้องผมเป็นโรงหนังชั่วคราวและดูอยู่จนดึกเท่านั้นเอง

“งั้นพี่อูไปนอนที่โซฟาสักงีบก่อนไหม” ป้อมพูด สองเท้ายังถูเท้าของผมเล่นอยู่ เหมือนพี่น้องที่สนิทกันกำลังคุยเล่นกัน

“ไม่หรอก” ผมปฏิเสธ พร้อมทั้งพูดดักอย่างรู้ทัน “ทำยังงั้นได้ไง เฮอะ ป้อมจะหาโอกาสอู้ละสิ”

“ไม่อู้ พี่อูไปนอนก่อนไป เดี๋ยวป้อมนั่งทำการบ้านไปเรื่อยๆ ไม่ต้องเป็นห่วง” ป้อมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังอีก ดูไม่คล้ายกับการปล่อยมุข “ป้อมอยากให้พี่อูพักบ้าง”

“แน่ใจนะ” ผมเริ่มคล้อยตาม ที่จริงก็ง่วงเต็มทน ข้อเสนอของป้อมเย้ายวนจนผมไม่อาจปฏิเสธได้

“ไว้ใจได้น่า” ป้อมรับรอง

“งั้นของีบสักสิบห้านาทีก็แล้วกัน เดี๋ยวครบเวลาแล้วถ้าพี่ไม่ตื่นก็ปลุกได้เลย” ผมกำชับ พร้อมกับยืดตัวลุกขึ้นจากที่นั่ง แล้วย้ายไปนอนที่โซฟาแทน

- - -

“เฮ้ย ตายละ นี่มันสี่โมงกว่าแล้วนี่” ผมโวยวายกับป้อมหลังจากที่ตื่นขึ้นมาและดูนาฬิกาข้อมือ “พี่บอกให้ป้อมปลุกแล้วทำไมไม่ปลุก”

“พี่อูนอนยังกะหมู เรียกเท่าไรก็ไม่ยอมตื่น ยังจะมาว่าป้อมอีก” ป้อมดุกลับ

“ไม่จริงหรอก” ผมไม่เชื่อ

“ถ้าพี่อูไม่เชื่อก็ไปส่องกระจกดูสิ” ป้อมพูดพลางทำหน้าเหมือนกับอมยิ้ม

“ส่องกระจกดูทำไมกัน” ผมงง

“ก็ไปส่องกระจกดูจะได้รู้ว่าพี่อูง่วงขนาดไหนไง” ป้อมอมยิ้มอีก

“ไม่เอา ไม่ต้องส่องหรอก พี่หายง่วงแล้ว” ผมพูด แต่ก็ยังอดบ่นป้อมไม่ได้ “ดีนะที่พ่อไม่มาเห็น ไม่งั้นพี่โดนหักเงินแน่”

“ป้อมอุตส่าห์หวังดี ปล่อยให้นอนสบายๆ ยังจะมาว่าป้อมอีก” ป้อมทำหน้าน้อยใจ “ไปผูกคอตายดีกว่า”

ผมได้คิด ที่ป้อมพูดมันก็จริง ป้อมหวังดีแต่ผมกลับเอาแต่ต่อว่าป้อม ผมไม่น่าจริงจังกับเรื่องนี้เกินไป

“อะ อะ พี่ขอโทษคร้าบ” ผมเดินไปโอบไหล่ป้อม “คุณชายพูดถูก พี่ไม่ควรต่อว่าคุณชายเลย”

ป้อมเอามือโอบแขนของผมเอาไว้ พลางเอียงหน้าซบท่อนแขนของผม เราอยู่ใกล้กันจนผมได้กลิ่นหอมอ่อนๆจากตัวของป้อม ความอบอุ่นจากแก้มของป้อมแผ่ซ่านมาตามท่อนแขนของผมและค่อยๆลามไปสู่หัวใจ... ผมรู้สึกว่าภายในตัวของผมเริ่มมีอุณหภูมิสูงขึ้น กางเกงที่ใส่อยู่ก็เริ่มอึดอัด...

ผมดึงแขนออกจากซอกแก้มของป้อม จากนั้นเอาสมุดของป้อมมานั่งตรวจดู ป้อมทำงานไปได้เยอะทีเดียว แสดงว่าไม่ได้อู้ตามที่ได้รับปากเอาไว้จริงๆ

“ดีมาก” ผมชมป้อม “วันนี้ทำได้เยอะแฮะ ต่อไปพี่ต้องหลบไปนอนอีกน่าจะดี ป้อมจะได้ทำงานเยอะๆ”

“เฮอะ นอนแล้วติดใจละสิ” ป้อมประชด

ผมหัวเราะ พลางปิดสมุดของป้อมลง

“พี่ต้องกลับแล้วละ เย็นแล้ว” ผมพูด พลางเก็บของลงในเป้

“พี่อู พรุ่งนี้ว่างหรือเปล่า” ป้อมถาม

“ก็ทำงานบ้าน ไม่มีอะไรพิเศษ” ผมตอบ

“งั้นตอนเช้าไปว่ายน้ำกัน แล้วสายๆไปดูหนัง” ป้อมชวน

“เอางั้นเหรอ” ผมพูดอย่างลังเล ผมไม่ได้ลังเลที่จะไปเที่ยวกับป้อม เพียงแต่ลังเลเรื่องการไปว่ายน้ำนิดหน่อย

“นะ นะ ไปนะพี่อู” ป้อมทำสีหน้าอ้อนสุดชีวิต

“ก็ได้ ไปสิ” ผมตอบตกลงอย่างง่ายดาย “จะดูหนังเรื่องอะไรล่ะ”

จากนั้นเราก็คุยกันเรื่องหนังที่ป้อมอยากดู หลังจากตกลงเรื่องหนังและนัดเวลากัน ผมก็หิ้วเป้เตรียมกลับบ้าน

“ไปละ พรุ่งนี้เจอกัน” ผมอำลาป้อม

“เดี๋ยวก่อนพี่อู” ป้อมหัวเราะ เมื่อป้อมเห็นผมงงก็หัวเราะอีก “พี่อูไปส่องกระจกก่อนแล้วค่อยกลับบ้าน”

ผมเอะใจ รีบเดินไปที่ห้องน้ำเพื่อส่องกระจกทันที

ที่หน้ากระจกเงา ผมเห็นที่แก้มของผมมีรอยเย็บเป็นตัวตะขาบสีน้ำเงินยาวเฟื้อย รอยเย็บนี้ไม่ใช่รอยเย็บจริงๆแต่เป็นรอยสีเมจิก คนที่เขียนรอยนี้ลงบนหน้าผมจะเป็นใครอื่นไปไม่ได้

“เฮ้ย มันมาได้ไง” ผมเอะอะ แกล้งทำเป็นไม่รู้ว่าใครทำ

“ฝีมือป้อมเองแหละ” ป้อมหัวเราะชอบใจ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงภูมิใจ “อยากเรียกแล้วไม่ตื่น ดูสิ เขียนขนาดนี้พี่อูยังไม่ตื่นเลย”

หากเป็นเมื่อก่อนผมคงโกรธ แต่วันนี้ผมกลับรู้สึกขำไปด้วย ไม่ได้โกรธป้อมเลย เห็นสีหน้าที่แจ่มใสของป้อมแล้วทำให้โกรธไม่ลง

ผมเอาสบู่ล้างรอยตะขาบที่แก้มออก แต่สีเมจิกไม่ได้ล้างออกง่ายๆ ป้อมเอาสก็อตไบรต์ขัดอ่างมาช่วยถู

“บ๊องใหญ่แล้วป้อม” ผมดุ พลางเบือนหน้าหลบสก็อตไบรต์ “เอาไอ้นี่ถูหน้าพี่พังพอดี”

“สก็อตไบรต์พังละไม่ว่า” ป้อมหัวเราะอีก ดูป้อมอารมณ์ดีมากที่สามารถแกล้งผมได้

หลังจากล้างอยู่ชั่วครู่ รอยตะขาบบนใบหน้าก็จางลงไปบ้างแต่ก็ยังออกไม่หมด

“แล้วจะกลับบ้านยังไงวะเนี่ย” ผมเปรย “อายเค้าตายเลย”

“อยู่ค้างคืนที่นี่ก็ได้พี่อู” ป้อมชวน “ดีเสียอีก พรุ่งนี้รีบออกแต่เช้าได้เลย ไม่ต้องไปๆมาๆ”

ผมรู้สึกอบอุ่นวูบขึ้นมาในใจอีกครั้งหนึ่ง มันเป็นข้อเสนอที่ผมคาดไม่ถึง แต่ก็แสดงให้เห็นว่าป้อมให้ความสนิทสนมกับผมมากเพียงใด

“ไม่ได้หรอก ไม่ได้เอาชุดอะไรมาเลย พรุ่งนี้ใส่ชุดนี้อีกพอดีเน่า” ผมตอบ ที่จริงเรื่องชุดก็ปัญหาหนึ่ง แต่ปัญหาที่สำคัญก็คือไม่รู้จะพูดกับพ่อแม่ของป้อมยังไงมากกว่า

ในที่สุดผมก็กลับบ้านทั้งๆที่มีรอยตะขาบสีเมจิกจางๆอยู่บนใบหน้า ตลอดทางที่กลับบ้าน หลายคนในรถเมล์มองผมอย่างขำๆ แต่ผมแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

- - -

การเที่ยวในสัปดาห์นั้นดูป้อมสนุกมาก ส่วนผมเองก็รู้สึกสนุกไปด้วยเช่นกัน เราปล่อยมุขใส่กันบ่อยๆ ยิ่งนานป้อมก็ยิ่งช่างพูด ย้อนหลังไปเมื่อหลายเดือนก่อน ป้อมในวันนี้กับป้อมเมื่อหลายเดือนก่อนแทบเป็นคนละคนกัน ส่วนผมเองก็เริ่มรู้สึกว่าการวางตัวของตนเองเปลี่ยนไปเช่นกัน ยิ่งนานผมก็ยิ่งไม่เหมือนกับครูสอนพิเศษของป้อม แต่เหมือนกับเป็นพี่ชายหรือพี่เลี้ยงมากกว่า

“วันพุธนี้พี่อูมาใช่มั้ย” ป้อมพูดกับผมก่อนที่เราจะแยกย้ายกันกลับบ้านในตอนเย็น

ช่วงปิดเทอม บางครั้งผมก็มาติวให้ป้อมในระหว่างสัปดาห์ด้วย แรกๆก็ไม่ค่อยอยากไปนักเพราะว่าไกล แต่มาระยะหลังๆหากสัปดาห์ไหนไปสอนเพียงวันเดียวผมกลับรู้สึกเหงาๆเหมือนกับชีวิตขาดอะไรไปบางอย่าง

“พรุ่งนี้พี่จะกลับบ้าน” ผมตอบ “อาจจะอยู่บ้านหลายวันหน่อย คงมาอีกทีวันเสาร์มากกว่า”

“เหรอ” ป้อมดูหน้าจ๋อย “งั้นวันอาทิตย์หน้าเรามาดูหนังกันอีกนะ”

เรื่องวันพุธกับเรื่องวันอาทิตย์ดูไม่ค่อยจะเกี่ยวกันเท่าไร แต่ป้อมก็โยงเข้ามากี่ยวกันจนได้

“ได้ ไปสิ” ผมตามใจ ตอบตกลงในทันที

“เดี๋ยวนี้พี่อูพูดง่ายจัง” ป้อมหัวเราะ

หลังจากนั้นเราก็แยกย้ายกันกลับ ระหว่างที่รอรถเมล์ที่หน้ามาบุญครอง ผมคิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อยเปื่อย ตั้งแต่รู้แน่ว่าผมหมดหวังเรื่องบ้านแล้วผมก็เซ็งไปมาก อุตส่าห์พยายามเดินหาบ้านที่ถูกใจจนรองเท้าสึก แต่แล้วก็ไม่มีเงินซื้อ ความพยายามที่สูญเปล่าบั่นทอนกำลังใจผมไปมาก ดีที่สองวันนี้ได้เจอป้อม ทำให้รู้สึกหายเซ็งไปได้ ยามอยู่กับป้อมทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น แต่เมื่อแยกจากกัน ผมก็กลับมาคิดเรื่องเดิมอย่างเซ็งๆอีก

คิดเรื่อยเปื่อยอยู่นานทีเดียว ตอนนั้นรู้สึกท้อ คิดว่าจะเลิกสนใจเรื่องบ้านแล้ว เอาไว้เรียนจบแล้วค่อยหาเงินซื้อบ้านเองก็ได้ แต่แล้วก็ทำใจไม่ได้ แม้ในยามที่แทบจะสิ้นหวังผมก็มักมีความหวังเหลืออยู่ใยหนึ่งเสมอ จะเรียกว่าหวังลมๆแล้วๆหรือรอปาฏิหาริย์ หรือจะเรียกอะไรก็ตามที แต่ทุกครั้งที่มีเรื่องให้สิ้นหวังผมก็มักรู้สึกเช่นนี้เสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน...

ผมเกิดนึกอยากได้นิตยสารบ้านและที่ดินขึ้นมาอีก จึงแวะเข้าไปซื้อที่ร้านหนังสือข้างในมาบุญครอง แล้วซื้อมาอีกสองสามฉบับ

หลังจากที่กลับถึงหอพัก ผมก็เอานิตยสารฉบับเก่ากลับมาย้อนอ่านดูอีกครั้งหนึ่ง รวมทั้งฉบับใหม่ที่ซื้อมานี้ด้วย โดยในครั้งนี้ผมให้ความสนใจทาวน์เฮ้าส์เป็นพิเศษ ครั้งก่อนผมไม่ค่อยสนใจทาวน์เฮ้าส์นัก เพียงแค่อ่านผ่านๆ หลังที่ไปดูมาแล้วก็ดูแบบไม่ค่อยอยากได้ คือไหนๆผ่านไปแล้วก็ดูไปยังงั้นเอง เพราะใจอยากได้บ้านเดี่ยวมีรั้วรอบขอบชิดมากกว่า แต่เมื่อที่บ้านไม่มีกำลังพอ ผมก็หันมาสนใจทาวน์เฮ้าส์เพราะว่ามีราคาถูกกว่า บางที... ถ้าโชคดีก็อาจได้ทาวน์เฮ้าส์ที่ถูกใจและราคาไม่แพงสักหลัง บางทีพ่ออาจพอมีกำลังซื้อก็ได้

- - -

วันพุธ

ผมออกเดินทางเพื่อกลับบ้านต่างจังหวัดตั้งแต่เช้าตรู่ รถทัวร์วิ่งผ่านถนนเส้นเดิม... ถนนที่พาผมกลับสู่บ้านเกิด แม้จะเป็นเส้นทางเดิม แต่กาลเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไป เส้นทางกลับบ้านของผมในครั้งนี้สองข้างทางมีแต่ต้นไม้สีซีดเพราะอมฝุ่นเอาไว้ ทุ่งนาสีน้ำตาลหลังเกี่ยวข้าว และผืนดินที่แห้งแล้งเพราะขาดน้ำ...

ขณะที่อยู่ในรถทัวร์ ขณะที่ดูทิวทัศน์สองข้างทาง ผมก็ปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปไกล...

ผมไม่ได้กลับบ้านในวันจันทร์ตามที่ได้พูดไว้กับป้อม ทั้งนี้ เนื่องจากผมใช้เวลาในวันจันทร์กับอังคารเพื่อดูทาวน์เฮ้าส์มือสอง แน่นอน ผมต้องเดินจากปากทางลาดพร้าวยันซอยโชคชัยสี่ใหม่อีกครั้งหนึ่ง เพราะนอกจากผมเดินดูบ้านตามประกาศในนิตยสารแล้วผมยังอาศัยการดูป้ายประกาศขายตามปากซอยและตามเสาไฟฟ้าในซอยด้วย คราวก่อนไม่ได้สนใจทาวน์เฮ้าส์อย่างจริจัง ครั้งนี้จึงต้องมาเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด

แสงแดดกลางหน้าร้อนร้อนอย่างสาหัส ผมรู้สึกว่าเพียงแค่สองวันที่ผมเดินตากแดด ผิวของผมคล้ำลงไปอีกมาก การเดินตระเวนดูทาวน์เฮ้าส์ในรอบนี้ได้ผลไม่ค่อยดีนัก ไม่มีที่ถูกใจมากๆเลยสักหลัง แต่ก็อาจเป็นเพราะว่าผมฝังใจกับการอยู่บ้านเดี่ยวก็ได้ จึงไม่ค่อยเปิดใจยอมรับทาวน์เฮ้าส์นัก แต่ที่พอกล้อมแกล้มรับได้ก็มีอยู่หลังหนึ่ง อยู่ในซอยภาวนา ราคาล้านต้นๆ แม้ว่าจะเก่าและดูยังแพงอยู่ แต่ก็ตั้งอยู่ในทำเลที่เดินทางสะดวก เดินไม่ไกลก็ถึงถนนใหญ่แล้ว น่าจะต่อรองราคาได้อีก แต่ก็มีตะขิดตะขวงใจอยู่บ้างคือบ้านหลังนี้อยู่ในละแวกเดียวกับบ้านคุณลุงคุณป้า หากได้อยู่ที่นี่จริงสักวันคงต้องเดินปะกันที่หน้าปากซอยบ่อยๆเป็นแน่

ผมเดินลงจากรถประจำทางที่หน้าบ้าน ตอนนั้นเป็นเวลาสายแล้ว แสงแดดยามสายร้อนแรงราวกับตอนเที่ยง ผมสังเกตว่าปีนี้แถวบ้านของผมดูแห้งแล้งกว่าปกติ บรรยากาศที่แห้งแล้งดูแล้วเศร้าปนเหงา จู่ๆผมก็รู้สึกเหงาขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ

ผมเดินเข้าบ้านอย่างเงียบๆ ผ่านหน้าร้านที่เงียบเชียบไม่มีลูกค้า ทักทายกับลูกน้องของพ่อนิดหน่อย จากนั้นก็เดินเข้าสู่ชั้นใน วันนี้ผมเห็นพ่อนั่งทำงานอยู่ในห้องทำงาน จึงแวะเข้าไปทัก

“ป๊า” ผมชะโงกหน้าเข้าไปในห้อง “อูกลับมาแล้ว”

“อ้อ อู” พ่อเงยหน้าจากกองบิลและเอกสารอื่นๆ “เป็นไงบ้างล่ะ”

“ปีนี้อากาศร้อนเหลือเกิน อูว่าบ้านเราร้อนกว่าทุกปีเลยนะ” ผมชวนคุย

“ป๊าก็ว่ายังงั้น ปีนี้แถวบ้านเราแล้งกว่าทุกปีจริงๆด้วย” พ่อเห็นด้วย

“เอ๊ดอยู่ไหมป๊า” ผมถามถึงเอ๊ด

“อยู่ข้างใน” พ่อตอบ “เข้าไปหาแม่สิ แม่บ่นถึงอูบ่อยๆว่าไม่ค่อยกลับบ้าน” พ่อพูดด้วยเสียงเรียบๆ ไม่มีน้ำเสียงต่อว่าหรือประชดประชันแต่อย่างใด

ผมออกจากห้องทำงานของพ่อและเดินเข้าไปในบ้าน เดินไปจนถึงห้องครัวจึงเห็นแม่และเอ๊ดอยู่ในนั้น แม่กำลังทำครัวส่วนเอ๊ดเป็นผู้ช่วย

“แม่” ผมทัก “เป็นไงบ้างเอ๊ด”

“อู” แม่ทำเสียงแปลกใจ “ทำไมมาเงียบยังงี้ละ”

“แล้วต้องให้ตีฆ้องมาก่อนเหรอแม่” ผมกวน

“ก็ทุกทีอูมาต้องเอะอะเอ็ดตะโร วันนี้มาเงียบๆ ไม่สบายหรือเปล่า” แม่รู้สึกผิดสังเกต

จริงสินะ แม่ไม่ทักผมก็แทบไม่ได้สังเกตตนเองเหมือนกัน ทุกครั้งที่ผมมมาผมมักเอะอะจริงๆด้วย

“ไม่มีอะไรหรอกแม่ อากาศร้อน อูเลยรู้สึกเนือยๆ” ผมอธิบาย พูดไปยังงั้นแหละ ที่จริงผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมวันนี้ผมจึงรู้สึกเนือย

“เห็นว่าช่วงนี้ดูบ้านเป็นการใหญ่เลยเหรอ” เอ๊ดทัก

“ฮื่อ” ผมตอบ “เนี่ย สองวันนี้ก็ไปดูมาอีก โคตรร้อนเลย เดินแล้วเหมือนจะละลาย”

“จะไปดูอีกให้เหนื่อยทำไม” แม่ถอนใจแล้วพูดเบาๆ “ก็บอกแล้วว่ายาก”

“แม่ ฟังอูก่อนสิ คราวนี้อูไปดูทาวน์เฮ้าส์มา ราคาประมาณล้านบาทต้นๆเอง” ผมพูด “อูรู้ว่าซื้อบ้านไม่ไหว เลยลองไปดูเป็นทาวน์เฮ้าส์แทน”

ผมเอาเป้ลงจากไหล่ จากนั้นดึงข้อมูลที่จดเอาไว้ออกมา เมื่อพูดถึงเรื่องบ้านผมก็กระตือรือร้นขึ้นมาทันที

“แม่ดูนี่สิ” ผมพูดพลางกางข้อมูลที่จดออกมาดู

“โอ๊ย แม่ทำครัวอยู่ ยังไม่ดูหรอก” แม่ปฏิเสธ มือกำลังง่วนอยู่กับการหั่นผัก

ผมจ๋อย ดูแม่ไม่ค่อยสนใจนัก ทั้งๆที่แม่เองก็เป็นคนที่เปรยเรื่องบ้านขึ้นมา เมื่อเห็นแม่ไม่สนใจผมก็รู้สึกท้อขึ้นมาอีก

“ไหนอู เอามาดูกันหน่อยสิ” เอ๊ดเรียกผม ผมรู้ดีว่าเอ๊ดทำเพื่อรักษากำลังใจของผม

ผมเอารายละเอียดของบ้านคุณอาคม และทาวน์เฮ้าส์ในซอยภาวนาให้เอ๊ดดู แล้วก็บรรยายรายละเอียดให้ฟังตามที่ได้ไปดูและคุยกับเจ้าของบ้านมา

“เอ๊ดได้งานหรือยัง” ผมถาม

“ได้แล้ว อยู่บางกระดีโน่น” เอ๊ดตอบ

“จังหวัดอะไรหว่า” ผมงง ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน “จะไปเลี้ยงปลาเหรอ”

“บางกระดี อยู่ปทุมธานี ไม่ใช่ปลากระดี่” เอ๊ดหัวเราะ

“แล้วเริ่มงานเมื่อไร พักที่ไหนล่ะ” ผมอยากรู้

“เริ่มงานต้นเดือนพฤษภา คงต้องหาที่พักแถวโรงงาน” เอ๊ดตอบ “อยู่ใกล้โรงงานก็สะดวกหน่อย ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง”

ผมพยักหน้ารับรู้ จากนั้นเราก็คุยกันต่อในเรื่องอื่นๆ

ผมพักอยู่ที่บ้านสามวันและเดินทางกลับในเย็นวันศุกร์ ผมมีโอกาสคุยกับพ่อและพูดเรื่องทาวน์เฮ้าส์ให้พ่อฟัง พ่อฟังแล้วก็เฉยๆ พ่อเฉยนี่ไม่แปลก แต่แม่ก็เฉยและเอ๊ดก็เฉยด้วยนี่สิ ที่ทำให้ผมหมดกำลังใจ

“แม่ อูไปละนะ” ผมลาแม่ก่อนจะออกจากบ้านในตอนหลังเที่ยงของวันศุกร์ หลังจากที่กินอาหารเที่ยงเสร็จ

“เมื่อไรจะมาอีกล่ะ” แม่ถาม “ช่วงนี้เอ๊ดได้อยู่บ้านนานหน่อย แต่ต่อไปทำงานแล้วก็คงไม่ค่อยได้กลับบ้าน”

น้ำเสียงของแม่ฟังแล้วใจหายนิดๆ ผมอดสะท้อนใจไม่ได้ แม่คงรู้สึกเหงา ผมเข้าใจความเหงาดีเพราะว่ามันเป็นเพื่อนสนิทของผมมาแต่ไหนแต่ไร

“แม่” ผมพูด “แม่คุยกับป๊าเรื่องบ้านให้หน่อยสิ ทาวน์เฮ้าส์ก็ได้ เอ๊ดทำงานอยู่ที่ปทุมฯ ถ้ามีบ้านก็คงไปกลับได้ทุกวันหรืออย่างน้อยก็กลับเสาร์อาทิตย์ แม่เองก็อาจจะมาพักอยู่กับอูกับเอ๊ดได้บ่อยๆ มันน่าจะดีนะแม่”

“แล้วจะปล่อยป๊าอยู่บ้านคนเดียวได้ไง ทำยังงั้นไม่ได้หรอก” แม่พูดเฉไปเรื่องพ่อ เป็นยังงั้นไป แม่ห่วงนั่นพะวงนี่ โน่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ดี จนผมไม่รู้จะพูดยังไง ผมรู้สึกว่าการกลับบ้านในครั้งนั้นล้มเหลวไม่เป็นท่า

Tuesday, September 11, 2012

ภาคสี่ ตอนที่ 62

แม้ว่าการเดินหาบ้านมาทั้งวันจะทำให้ผมเมื่อยล้า แต่ผมก็ยังไม่ยอมนอน ในคืนนั้นผมพยายามเตรียมรายการบ้านที่จะโทรถามในวันรุ่งขึ้น วันรุ่งขึ้นเป็นวันจันทร์ซึ่งเป็นวันทำงาน ผมน่าจะได้ข้อมูลบ้านเพิ่มขึ้นอีกหลายหลัง ผมวางแผนเอาไว้ว่าจะโทรถามในช่วงเช้าจากนั้นตอนสายๆจะออกไปดูบ้านอีก

นั่งทำงานอยู่จนดึก จนรู้สึกง่วง จึงปิดโคมไฟและเตรียมเข้านอน ขณะที่ลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานผมก็นึกถึงฉากอัศจรรย์ที่ดูเมื่อคืนขึ้นมา ผมอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปเปิดผ้าม่านหน้าต่างและมองไปยังห้องฝั่งตรงข้าม

เฮ้ย...

ผมอุทาน มือที่รูดม่านออกถึงกับยกค้าง เพราะภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าคือหนุ่มสาวนักแสดงหนังสดคู่เดิมกำลังพัวพันกันนัวเนียอยู่บนเตียง

ในเมื่อมีหนังให้ดูก่อนนอนผมก็เลยยังไม่นอน ขณะนั้นก็เลยเที่ยงคืนไปแล้ว ทั้งคู่เพิ่งจะเริ่มอุ่นเครื่องกัน ดูไปดูมาคิดว่านักแสดงคงจะรู้สึกร้อนแล้ว เพราะเห็นเสื้อผ้าหลุดลุ่ยลงไปกองอยู่ข้างเตียง ฝ่ายชายแสดงลีลาเต็มที่ ผมดูจนใจเต้น น้ำลายในปากเหนียวไปหมด

ขณะที่กำลังดูเพลินอยู่ ผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้ารัวอยู่นอกห้อง จากนั้นก็มีเสียงตบประตูห้องของผมเบาๆแต่ถี่เร็ว

“พี่อู พี่อู เปิดหน่อย เร้ว” เสียงดังที่หน้าห้อง

“...”

“ไอ้อู โอ๊ย ขี้เซาจริง” อีกเสียงหนึ่งเสริมขึ้นมาเบาๆพอได้ยิน พร้อมกับเสียงตบประตูถี่ๆ

ผมเดินไปเปิดประตูโดยที่ตัวยืนอยู่ห่างจากบานประตูเพราะพวกนี้ชอบผลักเข้ามาแรงๆ และก็จริงดังคาด ประตูถูกผลักพรวดเข้ามาอย่างรีบร้อน

กลุ่มคนประมาณสี่ห้าคนกรูกันเข้ามาภายในห้องของผม นอกจากพี่ธิตกับไอ้น้องปั้นแล้ววันนี้ยังมีเพื่อนร่วมหอคนอื่นตามเข้ามาด้วย

“เอากันอีกแล้วพี่อู โห แรงโคตรดีเลย เอากันทุกวัน เอ๊ะ...” ปั้นที่นับวันจะแก่แดดทักผม แต่เมื่อเห็นผ้าม่านหน้าต่างเปิดค้างอยู่ก็ร้องเอ๊ะขึ้นมา

“ดูไม่เรียกเลยนะ...” ปั้นพูดเสียงตำหนิ

“เพิ่งจะดูนี่เอง” ผมตอบ จากนั้นพูดเหน็บ “ต่อไปคงแห่กันมาทั้งหอเลยมั้ง”

“อย่าท้านะพี่อู เดี๋ยวสวย” ปั้นสวนคำพูดผมพร้อมกักบหัวเราะฮิฮิ

“งั้นพี่ทำอัฒจรรย์แล้วเก็บค่าดูเลยดีกว่า คงตั้งตัวได้ละคราวนี้” ผมกัดมันอีก

“ก็ดีเหมือนกัน แต่ผมขอดูฟรีนะ” ปั้นทะเล้นได้อีก

“เฮ้ย เงียบๆหน่อย คนจะดูหนัง เดี๋ยวนักแสดงตกใจหมด” พี่ธิตดุผมและปั้น

จากนั้นพวกเราก็กรูกันไปที่หน้าต่างเพื่อดูหนังสดฉากใหม่ ขณะที่นักแสดงกำลังเล้าโลมกันอยู่พวกเราก็วิจารณ์กันสนุกปาก แต่พอนักแสดงลงมือทำร้ายกันแล้วทุกคนต่างก็จ้องดูอย่างเงียบกริบ...

สายตาของผมจ้องดูห้องด้านตรงข้ามอย่างใจจดใจจ่อเช่นกัน แต่ในใจกลับคิดถึงป้อม ภาพเรือนร่างของวัยรุ่นในกางเกงว่ายน้ำบิกีนีตัวจิ๋ว มีหยดน้ำพรายใต้แสงแดดยามเช้า ผมกำลังคิดว่าถ้าเปลี่ยนจากนักแสดงคู่ชายหญิงที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้าเป็นผมและป้อม...

ผมพยายามสลัดความคิดนั้นออกไปจากสมอง รู้สึกไม่ค่อยดีที่คิดกับป้อมแบบนั้น แต่แม้จะพยายามเท่าไรก็ไม่สามารถสลัดภาพจินตนาการนั้นให้หลุดจากหัวออกไปได้ ความคิดสองด้านของผมกำลังต่อสู้กันอย่างหนักเช่นเดียวกับสมรภูมิที่อยู่ในห้องด้านตรงข้าม...

“แรงดีฉิบหาย เอากันได้ทุกวัน” พี่ธิตเปรยหลังจากที่ฉากสงครามสิ้นสุดลงและห้องด้านตรงข้ามปิดไฟไปแล้ว “ต่อไปชั้นสี่ห้องไอ้อูหัวบันไดไม่แห้งแน่”

“ผมคงรวยก็คราวนี้แหละ” ผมหัวเราะ

ทั้งหมดทยอยกันออกไปจากห้องของผม หลังจากนั้นผมก็เข้านอน แม้ว่าผมจะเมื่อยล้าจากการเดินเมื่อตอนกลางวัน แต่ตอนนี้ผมกลับนอนไม่หลับ ผมนอนลืมตามองเพดานในความมืด สมองคิดโน่นคิดนี่วุ่นวายไปหมด ผมไม่รู้ว่านานเท่าใดจึงได้ผลอยหลับไป...

- - -

วันรุ่งขึ้นผมตื่นแต่เช้า จัดการทำอะไรต่ออะไรให้เสร็จเรียบร้อย ตอนแปดโมงครึ่งผมก็แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยและเดินออกไปที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะเพื่อโทรศัพท์

เช้าวันนั้นผมโทรหาผู้ขายที่ยังติดต่อไม่ได้เมื่อวันก่อน บางรายไม่ใช่เจ้าของบ้านแต่เป็นบริษัทโบรกเกอร์ที่เป็นนายหน้าซื้อขายบ้านและที่ดิน คุยจนได้ที่อยู่ของบ้านที่ประกาศขายมาอีกหกเจ็ดหลัง หลังจากที่คุยโทรศัพท์เสร็จเรียบร้อยผมก็เริ่มออกเดินเพื่อสำรวจบ้าน

บ้านที่ติดต่อได้ในวันนั้นมีทั้งในซอยลาดพร้าว ๒๓, ๓๑, ๓๓, ๓๔, ๓๕ และ ๔๘ ส่วนใหญ่เป็นซอยฝั่งคี่ มีซอยฝั่งคู่ปะปนมาบ้างเพียงสองหลัง เนื่องจากเป็นซอยในละแวกบ้าน ดังนั้นผมจึงไม่ได้นั่งรถเมล์ ใช้เดินเอา โดยไปเริ่มตั้งหลักตั้งแต่ซอยลาดพร้าว ๒๓ หรือซอยวิทยาลัยครูจันทรเกษม (ชื่อในสมัยนั้น) และไล่มาเรื่อยๆ

บ้านในซอย ๒๓ อยู่ลึกมาก คงจะหลายกิโลเมตรทีเดียวเพราะต้องนั่งรถสองแถวเข้าไป ที่จริงซอย ๒๓ นี้กับซอยลาดพร้าวอื่นๆ เช่น ซอยภาวนา ซอยโชคชัยสี่ สามารถเชื่อมถึงกันได้ ไปออกรัชดาภิเษก วังหิน เสนานิเวศน์ หรือจะไปออกลาดพร้าว ๗๑ ก็ยังได้ ข้างในเป็นเหมือนโครงข่ายใยแมงมุมอันซับซ้อน ส่วนซอยลาดพร้าว ๔๘ ข้างในก็เป็นโครงข่ายซอยทางลัดที่สามารถไปออกได้หลายจุด รวมทั้งถนนรัชดาภิเษกได้ด้วยเช่นกัน ซอย ๔๘ นี้ก็ต้องนั่งมอเตอร์ไซค์เข้าไป

รวมความแล้วการสำรวจบ้านในวันนี้ไม่ค่อยได้เรื่องนักเนื่องจากบ้านหลายหลังอยู่ลึกมากจนผมคิดว่าอยู่ไม่ไหว หากจะอยู่ได้คงต้องมีรถส่วนตัวไม่อย่างนั้นคงไม่สะดวก แต่มีบ้านอยู่หลังหนึ่งที่อยู่ในซอยลาดพร้าว ๓๕ หรือว่าซอยสุภาพงษ์ ซึ่งซอยนี้สามรถเชื่อมกับซอยจันทรเกษมและซอยโชคชัยสี่ได้ เป็นซอยที่ลึกมากและอยู่ในโครงข่ายทางลัดเชื่อมถนนใหญ่ บ้านที่อยู่ในซอย ๓๕ นี้ตอนแรกผมฟังเจ้าของบอกทางแล้วงงเพราะว่าเข้าซอยเลี้ยวไปเลี้ยวมาหลายครั้ง ฟังทีแรกก็ไม่อยากได้แล้ว จึงเก็บเอาไว้ก่อน จนเมื่อผมดูหลังอื่นๆเสร็จแล้วและยังไม่มีบ้านหลังใดที่ถูกใจจริงๆ ในที่สุดผมก็นึกถึงบ้านนี้ขึ้นมาอีก ไหนๆก็พอมีเวลาเหลือ ไปดูเสียหน่อยก็คงไม่เสียหายอะไร

ผมเดินเข้าไปในซอยลาดพร้าว ๓๕ ตอนนั้นสภาพภายในซอยยังไม่ได้มีตึกมากเท่าในปัจจุบันนี้ ตอนนั้นปากซอยมีร้านค้าไม้และวัสดุก่อสร้าง มีวินมอเตอร์ไซค์ ถัดไปเป็นตึกหอพักที่ดูค่อนข้างใหม่อยู่หลังหรือสองหลังเท่านั้น จากนั้นข้างในที่ลึกกว่านั้นส่วนใหญ่เป็นบ้านพักอาศัยซึ่งมีลักษณะค่อนข้างเก่า ดูแล้วน่าจะเป็นบ้านดั้งเดิมที่อยู่กันมานาน มีบางส่วนเท่านั้นที่เป็นตึกสร้างใหม่

ผมเดินไปเรื่อยๆ สามร้อยเมตรแรกไม่มีแยกอะไรให้งง แต่พอหลังจากนั้นก็เริ่มมีแยกขึ้นมามากมาย จำได้ว่าเจ้าของบอกว่าเมื่อพบแยกแรกด้านขวาก็ให้เลี้ยวเข้าไป ดังนั้นเมื่อพบแยกขวาแยกแรกผมก็เดินเข้าไปทันที

เมื่อเข้าไปในซอยย่อย สภาพแวดล้อมก็เปลี่ยนไป จากทางหลักของซอยที่มีรถวิ่งหนวกหูอยู่ตลอดเวลากลายมาเป็นซอยย่อยที่สงบร่มรื่น นานๆจะมีรถผ่านเข้ามาสักคัน บ้านเรือนภายในซอยย่อยก็เป็นบ้านสองชั้นปนกับบ้านชั้นเดียวที่อยู่อาศัยกันมานานปี สังเกตได้จากสภาพบ้านส่วนใหญ่ที่ค่อนข้างเก่าและต้นไม้ใหญ่ที่ร่มครึ้ม มีที่ดินว่างเปล่าแซมอยู่ในซอยมากมาย ที่ดินว่างส่วนใหญ่มีต้นไม้ใหญ่พวกต้นมะขาม กระถิน ขึ้นเต็มไปหมด

ผมเดินต่อไปเรื่อยๆ ในซอยย่อยเริ่มมีทางแยก ผมเลี้ยวไปเลี้ยวมาตามที่จดไว้ในกระดาษจนงง เดินเท่าไรก็หาบ้านเลขที่ดังว่าไม่เจอ สงสัยว่าจะจดเส้นทางมาผิด ขณะที่เดินหลงอยู่นั้นเอง ผมก็ได้ยินเสียงเปียโนลอยมาตามลม

เสียงเปียโนดังพริ้วไหวอย่างไพเราะ ผมเดินตามเสียงเปียโนไป อยากรู้ว่าเสียงเปียโนมาจากบ้านหลังไหน เดินตามเสียงไปสักครู่ก็เห็นบ้านรั้วทึบหลังหนึ่ง ที่หน้าบ้านมีป้ายเขียนเอาไว้ว่า

ณัฐสตูดิโอ

ที่แท้เป็นโรงเรียนดนตรีนั่นเอง

เสียงเปียโนเงียบไปแล้ว ผมยืนฟังต่ออีกสักพักแต่ก็ยังไม่ได้ยินสียงเพลงใหม่ จึงได้เดินจากมา

ผมพยายามหาบ้านเลขที่ตามที่จดเอาไว้แต่ก็หาไม่เจอ ว่าจะถามคนที่ดินผ่านไปมาในซอยแต่ก็ไม่พบใคร ในที่สุดก็ต้องหาตู้โทรศัพท์เพื่อโทรไปถามเจ้าของบ้านอีกครั้งหนึ่ง

“ฮัลโหล สวัสดีครับ” ผมกรอกเสียงลงไปในหูโทรศัพท์ “ที่เมื่อเช้าผมโทรมาถามทางบ้านที่ประกาศขายน่ะครับ ยังหาบ้านไม่เจอเลย”

“แล้วตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนล่ะ” เสียงทางโน้นถาม

“ก็... บอกไม่ถูกเหมือนกันครับ ตอนนี้หลงทางอยู่” ผมระบุสถานที่ไม่ถูก แต่แล้วก็นึกขึ้นมาได้ “อ้อ อยู่ใกล้ๆกับณัฐสตูดิโอครับ”

“อ๋อ....” เจ้าของบ้านนึกออก จากนั้นก็บอกทางอีกครั้งหนึ่ง

หากตั้งหลักจากณัฐสตูดิโอก็ไม่ยากแล้ว เดินเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาไปอีกสักประมาณสองร้อยเมตรก็ถึง

บ้านที่ประกาศขายนี้เป็นบ้านคอนกรีตสองชั้น มีเนื้อที่ประมาณ ๗๐ ตารางวา ตัวบ้านค่อนข้างเก่า ขนาดกะทัดรัดกำลังดี ข้างบ้านมีโรงรถจอดรถต่อกันได้สองคัน หน้าบ้านเป็นถนนทอดเข้าโรงรถและมีลานปูนเอาไว้ตากเสื้อผ้า ส่วนรอบบ้านมีต้นไม้ใหญ่ร่มครึ้ม เป็นบ้านสวนที่สงบร่มรื่นมาก แม้ตามประกาศจะบอกว่าห่าจากปากซอย ๕๐๐ เมตร แต่ผมคะเนเอาว่าอยู่ห่างจากปากซอยสุภาพงษ์เกิน ๕๐๐ เมตรแน่ๆ น่าจะประมาณ ๗๐๐ ถึง ๘๐๐ เมตร

แม้บ้านหลังนี้จะมีต้นไม้ร่มครึ้ม แตกต่างจากบ้านคุณลุงคุณป้าที่อยู่ซอยภาวนาที่มีสวนแบบสวนรับแดด คือมีสนามหญ้าที่ตัดเกรียนและมีไม้พุ่มไม้ดอกเล็กน้อย สามารถรับแดดได้เต็มที่ แต่เมื่อเห็นบ้านหลังนี้ก็ทำให้ผมนึกถึงบ้านคุณลุงคุณป้าที่ผมอาศัยอยู่เมื่อวัยรุ่นเป็นเวลาหลายปีขึ้นมา

ตอนที่ผมอยู่ที่บ้านคุณลุงคุณป้า กล่าวได้ว่าผมไม่ค่อยรู้สึกถึงความเป็น “บ้าน” นัก แต่เมื่อผมเห็นบ้านหลังนี้และคิดถึงบ้านคุณลุงคุณป้า ผมกลับนึกรักบ้านหลังนี้ขึ้นมาทันที... แม้ว่าจะเห็นเพียงแค่ภายนอกเท่านั้นก็ตาม ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน

บ้านหลังนั้นคล้องกุญแจปิดเอาไว้ จากที่คุยมา เจ้าของบ้านหลังนี้เคยอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้มาแต่ดั้งเดิม หลังจากนั้นก็ปลูกบ้านใหม่และย้ายออกไป บ้านหลังนี้ก็ปล่อยให้เช่า ผู้เช่าอยู่ได้สองปีก็ย้ายออกไปอีก ต่อมาเจ้าของขี้เกียจเป็นภาระดูแล จึงประกาศขาย ราคาตามประกาศก็เกือบๆสองล้านบาท และหากต้องการเข้าไปดูภายในต้องนัดกับเจ้าของบ้านเพื่อมาเปิดดู

ผมตัดสินใจเดินหาตู้โทรศัพท์แถวนั้นทันที

“สวัสดีครับ” ผมพูดเมื่อได้ยินเสียงทางด้านโน้นรับสาย ผู้รับสายด้านโน้นก็เป็นเสียงเดิมที่คุยกับผม “ตอนนี้ผมหาบ้านเจอแล้วครับ ทีนี้อยากเข้าไปดูข้างในน่ะครับ”

“เอ้อ หนู เอ๊ย คุณจะซื้อเองเหรอ” เสียงเจ้าของบ้านพูด

ผมเข้าใจได้ทันที เจ้าของบ้านคงได้ยินเสียงผมและประมาณอายุได้ จึงอาจจะไม่แน่ใจนักว่าผมมีวัตถุประสงค์อะไรกันแน่ เพราะวัยนี้คงไม่ใช่วัยที่กำลังหาซื้อบ้าน รวมทั้งคงไม่มีกำลังซื้อด้วย

“คือครอบครัวผมอยู่ต่างจังหวัดน่ะครับ คุณพ่อคุณแม่กำลังหาบ้านในกรุงเทพฯอยู่ ให้ผมเป็นคนดูให้ นี่ผมก็ดูไว้หลายหลัง อยากจะขอเข้าไปดูข้างในก่อนน่ะครับ หากถูกใจคุณพ่อคุณแม่ก็จะเดินทางเข้ามาดูและมาคุยอีกครั้งหนึ่งครับ” ผมโม้ ที่จริงไม่ได้มาดูแทนใครเลย อยากได้เองแท้ๆ

ดูท่าเจ้าของบ้านคงหายข้องใจ และมีท่าทีอยากจะขายเหมือนกัน เพราะบอกว่าให้ผมรอประมาณหนึ่งชั่วโมง จะขับรถไปเปิดให้ดูเดี๋ยวนี้เลย ซึ่งผมก็ตอบตกลง

ผมเดินแกร่วอยู่แถวๆนั้น ไปแอบฟังเสียงเปียโนที่สตูดิโออยู่อีกพักหนึ่ง เวลาหนึ่งชั่วโมงสำหรับการรอคอยก็นานอยู่เหมือนกัน แต่ในที่สุดก็ผ่านไปจนได้...

เจ้าของบ้านชื่อคม เป็นชายในวัยสี่สิบกว่า จากที่คุยโทรศัพท์ดูจะระวังคำพูดอยู่บ้าง แต่เมื่อพบตัวจริงแล้วกลับเป็นคนที่คุยใช้ได้เลยทีเดียว เล่าอะไรให้ผมฟังหลายอย่าง ที่จริงเจ้าของคนนี้เป็นรุ่นลูก อาศัยอยู่ในบ้านนี้ตั้งแต่เด็ก ต่อมาก็แยกครอบครัวออกไป เจ้าของดั้งเดิมคือคุณพ่อได้เสียชีวิตไปแล้ว เนื่องจากเจ้าของบ้านอาวุโสกว่าผม ผมจึงเรียกว่าคุณอาคม

เมื่อเจ้าของบ้านมีอัธยาศัยในการคุย ผมก็เล่าเรื่องของผมให้ฟังบ้างแบบกึ่งจริงกึ่งโม้ คือบางส่วนก็จริงบางส่วนก็โม้ ผมเล่าให้ฟังว่าอยู่ในกรุงเทพฯตั้งแต่เด็ก อาศัยบ้านญาติบ้าง เช่าหอพักบ้าง จนในที่สุดครอบครัวคิดจะย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ จึงเริ่มมองหาบ้าน ที่ต้องบอกว่าครอบครัวจะย้ายลงมากรุงเทพฯเพราะกลัวว่าหากบอกความจริงว่าอาจจะอยู่กับพี่ชายแค่สองคน เจ้าของบ้านอาจไม่เชื่อว่าจะมีปัญญาซื้อ จึงพูดให้มีน้ำหนักเอาไว้ก่อน

เมื่อได้เข้าไปดูในตัวบ้าน เห็นภายในบ้านมีสามห้องนอน แต่ละห้องขนาดไม่ใหญ่นัก มีสองห้องน้ำ แถมยังมีเรือนหลังบ้านด้วยตามความนิยมของคนในยุคก่อนที่ต้องมีเรือนคนรับใช้ต่างหากออกมา ซึ่งเรือนหลังบ้านนี้ใช้เป็นครัวไทยไปด้วย พร้อมทั้งมีลานซักล้างอยู่หลังบ้าน

สภาพภายในบ้านดูค่อนข้างใหม่อันเกิดจากการปรับปรุงและทาสีใหม่เมื่อสองปีก่อนเพื่อให้ผู้เช่าเข้าอยู่ ซึ่งผู้เช่าก็ดูแลบ้านได้เรียบร้อยดีทีเดียวเพราะสภาพบ้านในบ้านยังดูเรียบร้อย ภายในบ้านโล่งๆ ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ คงมีเพียงตู้บิลต์อินบางจุดเท่านั้น

เมื่อเข้ามาดูข้างในผมก็ยิ่งชอบบ้านหลังนี้ แม้บ้านอยู่ในสภาพโล่งแต่ผมก็คิดวางผังเฟอร์นิเจอร์ไว้ในใจคร่าวๆ พร้อมกับคิดว่าถ้าจัดวางเฟอร์นิเจอร์แล้วบ้านหลังนี้ต้องน่าอยู่แน่ๆ

ผมคิดถึงสภาพแวดล้อมในซอยย่อยอันร่มรื่น สวนในบ้านที่ร่มเย็น สภาพภายในบ้านที่น่าอยู่ วันหยุดผมคงสามารถนอนเล่นที่เทอเรสหน้าบ้าน ฟังเสียงต้นไม้ใบหญ้าที่ต้องลม ระหว่างที่เดินไปปากซอยก็เหมือนเดินในชนบท แถมยังมีจุดแวะฟังเพลงเพราะๆอีก ผมคิดว่าที่นี่ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ที่พักอาศัย แต่ที่นี่แหละคือสถานที่ที่เรียกว่า “บ้าน”

- - -

“ฮัลโหล แม่ๆๆ” ผมโทรศัพท์ไปที่บ้านในตอนกลางคืนวันนั้น แม่เป็นคนรับสาย “รับสายช้าจริง”

“อ้าว แม่ก็ต้องเดินมายกหูโทรศัพท์สิ มันก็ต้องใช้เวลาบ้าง จะให้เหาะมาหรือไง” แม่ย้อน

“ไม่ทันใจเลย” ผมบ่น

“มีอะไรหรือเปล่าอู ถึงได้รีบร้อนขนาดนี้” แม่ชักสงสัย

“แล้วนี่เอ๊ดอยู่หรือเปล่าแม่” ผมยังไม่ตอบ แต่ถามต่อ

“ก็อยู่ แต่อีกสองสามวันก็เข้ากรุงเทพฯอีก” แม่ตอบ

เอ๊ดกำลังอยู่ในช่วงเลือกงาน คือไม่ได้เรียกว่าหางาน แต่เรียกว่าเลือกงาน เนื่องจากสมัยนั้นอาชีพวิศวกรค่อนข้างเล่นตัวได้พอสมควร



“อูคุยกับแม่ก่อนก็ได้ แล้วค่อยคุยกับเอ๊ด” ผมพูด “คืองี้แม่ อูไปเจอบ้านหลังหนึ่ง น่าอยู่ถูกใจมาก ป๊ากับแม่หาบ้านในกรุงเทพฯให้เอ๊ดไม่ใช่เหรอ หลังนี้เข้าท่านะ น่าจะลองลงมาดูหน่อย”

ผมพูดอย่างกระตือรือร้น แต่จะบอกว่าอยากได้เองก็ไม่ค่อยมีน้ำหนัก ต้องอ้างเอ๊ดดีกว่า มีโอกาสจูงใจได้มากกว่า

“บ้านเหรอ” แม่ทวนคำ “โอ๊ย ป๊าพูดไปยังงั้นแหละ คงไม่เอาจริงหรอก”

“อ้าว” ผมอุทาน “เห็นพูดมาตั้งหลายปีว่าอยากมีบ้าน เผื่อว่าเอ๊ดทำงานจะได้มีบ้านเป็นหลักแหล่ง”

“มันก็ใช่” แม่พูด แล้วนิ่งไปนิดหนึ่ง พร้อมกับลดเสียงให้เบาลง “แต่ที่สำคัญก็คือ ซื้อบ้านใช้เงินเยอะนะ ที่บ้านเราคงไม่พร้อมหรอก อูก็รู้นี่ เรื่องที่แม่เคยเล่าให้ฟังน่ะ”

คำพูดของแม่ทำให้ผมถึงกับนิ่งไป พร้อมทั้งนึกขึ้นมาได้ บาดแผลจากราชาเงินทุนคงทำให้ฐานะทางบ้านเสียหายไปไม่น้อย พ่อกับแม่เปรยเรื่องบ้านมาหลายครั้งแต่ก็ไม่เคยจริงจังสักที บ่ายเบี่ยงมาตลอด ที่แท้เป็นเพราะเหตุนี้นั่นเอง ผมน่าจะคิดได้แต่แรก

Tuesday, July 31, 2012

ภาคสี่ ตอนที่ 61



ค่ำวันนั้น

หลังจากที่ผมจดประกาศขายบ้านตามเสาไฟฟ้ามาแล้วผมรู้สึกกระตือรือร้นกับเรื่องนี้มาก จะว่าไปแล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะกระตือรือร้นไปทำไมเพราะว่าที่บ้านของเราไม่เคยคิดซื้อบ้านในกรุงเทพฯอย่างจริงจังมาก่อน มีเพียงแค่คุยกันลอยๆเท่านั้น แต่ถึงกระนั้นก็ตาม การมีบ้านสักหลัง... แม้จะเป็นเพียงหลังเล็กๆก็ตาม... เป็นความปรารถนาที่อยู่ในส่วนลึกในใจของผมมานานแล้ว

ผมคิดว่าประกาศขายบ้านตามเสาไฟฟ้าเพียงไม่กี่รายการยังไม่มากพอ ผมอยากรู้ว่าแถวนี้ยังมีใครประกาศขายบ้านอีกบ้าง ดังนั้นจึงไปซื้อนิตยสารวัฏจักรบ้านและที่ดินมาหนึ่งฉบับ ในยุคนั้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กำลังเฟื่องฟู นิตยสารรายสัปดาห์และหนังสือพิมพ์ที่เกี่ยวกับบ้านและที่ดินมีอยู่หลายฉบับ ที่คุ้นตาผมมากที่สุดคือนิตยสารวัฏจักรบ้านและที่ดิน เมื่อก่อนชื่อนิตยสารนี้เขียนว่าวัฏจักร แต่ต่อมามีคณะผู้จัดทำดูเหมือนว่าจะมีการแยกวงกัน ต่างคนต่างก็ไปกันคนละทางกัน ดังนั้นต่อมาจึงมีนิตยสารชื่อและตัวสะกดคล้ายๆกันตามออกมา

นิตยสารวัฏจักรบ้านและที่ดินในยุคนั้นดูเหมือนจะราคาฉบับละ ๔๐ บาท แต่ว่าหนามาก ภายในเล่มอัดแน่นไปด้วยโฆษณาบ้านและที่ดิน ทั้งโฆษณาแบบเสียเงินและโฆษณาย่อยที่ลงฟรีหรือที่เรียกว่าคลาสสิฟายด์ เมื่อผมซื้อนิตยสารมาก็ใช้เวลาตั้งแต่หัวค่ำจนถึงดึกเพื่ออ่านโฆษณาย่อยประกาศขายบ้านมือสองในย่านถนนลาดพร้าว โฆษณาชิ้นไหนที่อยู่ในละแวกตั้งแต่ปากทางลาดพร้าวไปจนถึงซอยโชคชัยสี่ผมจะลอกใส่กระดาษต่างหากเอาไว้ทั้งหมดเพื่อเก็บไว้โทรศัพท์ถามรายละเอียดในภายหลัง ยิ่งทำก็ยิ่งกระตือรือร้นจนเวลาผ่านพ้นเที่ยงคืนไปอย่างไม่รู้ตัว

“โฮ้ย เมื่อย...” ผมร้องออกมาเบาๆ พลางวางปากกาที่อยู่ในมือลงบนโต๊ะหลังจากที่เสร็จจากการลอกประกาศชิ้นสุดท้ายลงบนกระดาษ ผมบิดขี้เกียจเพื่อให้คลายเมื่อยขบ

“จะตีหนึ่งแล้วเหรอวะเนี่ย...” ผมพึมพำอย่างไม่เชื่อเมื่อเหลือบไปดูนาฬิกา ยามที่เราใส่ใจกับอะไรอย่างจริงจังดูเหมือนว่าเวลาจะผ่านไปเร็วเหลือเกิน

ผมปิดโคมไฟ จากนั้นลุกจากโต๊ะทำงานไปที่เตียงนอนเพื่อเข้านอน แต่เมื่อเข้านอนแล้วกลับนอนไม่หลับ ในหัวคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปต่างๆนานา

เมื่อตอนหัวค่ำผมจดจ่ออยู่กับประกาศขายบ้าน แต่เมื่อผมทำเรื่องนี้จนเสร็จแล้วผมก็หยุดคิดถึงมันชั่วคราว ผมปล่อยความคิดของผมให้โลดแล่นไปที่เหตุการณ์เมื่อตอนเช้า... ภาพของป้อมในชุดกางเกงว่ายน้ำทรงบิกินีตัวจิ๋วลอยเข้ามาในห้วงความคิดของผม ใบหน้าที่คมคายแจ่มใส ผิวเนื้อที่เรียบเนียน กล้ามเนื้อที่แข็งแรง และเป้ากางเกงบิกีนีที่โป่งพอง... ความคิดของผมฟุ้งซ่าน จินตนาการของผมทำงานราวกับโปรแกรมโฟโต้ช็อปที่สามารถลบกางเกงบิกินีออกจากกร่างของป้อมได้ราวเนรมิต...

ในจินตนาการอันฟุ้งซ่าน ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวของผมร้อนผ่าว ผมรู้สึกอึดอัด ผมพลิกตัวนอนคว่ำ ใบหน้าฝังอยู่ในหมอน จากนั้นขยับตัวขึ้นลงอยู่บนเตียง...

ผมพยายามขยับตัวไม่ให้รุนแรงนักเพื่อไม่ให้เสียงเตียงลั่นดังเด๊ยดอ๊าด แต่ในอารมณ์อันกระเจิดกระเจิงทำให้ผมยากจะควบคุมตนเอง... ผมรู้สึกว่าเตียงลั่นดังขึ้นและดังขึ้น...

ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้ารัวราวกับคนกำลังวิ่งดังอยู่นอกห้อง ฝีเท้านั้นไม่ได้วิ่งโครมคราม ตรงกันข้าม คล้ายกับพยายามเก็บเสียงให้เงียบเข้าไว้

“พี่อู พี่อู เปิดประตูเร็ว” ได้ยินเสียงเรียกผมอยู่ที่หน้าห้องพร้อมกับเสียงเคาะประตูถี่ๆ มันเป็นเสียงของน้องปั้น น้ำเสียงแผ่วเบาแต่เหมือนกับเร่งร้อนราวกับมีเรื่องด่วนอะไรสักอย่าง

ผมรีบลุกขึ้นจากเตียง ลังเลใจเล็กน้อยว่าจะทำอย่างไรดี ผมไม่ได้ใส่กางเกงใน จะใส่ตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว จะเปิดประตูไปตอนนี้ก็อายปั้นมัน ผมจึงคิดจะแกล้งทำเป็นหลับ...

“พี่อู โอ๊ย ขี้เซาจริง รีบเปิดประตู เร็วเข้า...” เสียงอันเร่งร้อนของน้องปั้นดังขึ้นมาอีก พร้อมกับเสียงเคาะประตูเบาๆแต่ถี่รัวกว่าเดิม

ผมสงสัยว่าอาจมีเรื่องเร่งด่วนอะไรเกิดขึ้น ในที่สุดจึงลุกขึ้นจากเตียงและเดินไปเปิดประตูทั้งในสภาพนั้น ผมไม่ได้เปิดไฟในห้องเพื่อพรางสายตา เผื่อว่ามันจะไม่สังเกตเป้ากางเกงของผม

เมื่อผมคลายล็อกลูกบิดประตู ยังไม่ทันที่ผมจะอ้าบานประตูออก ประตูก็ถูกผลักเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมกับคนสามคนกรูกันเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว ทีแรกผมนึกว่ามีแต่ปั้นเพียงคนเดียว ผมถูกผลักจนกระเด็นออกไป

“เฮ้ย อู ไม่ต้องเปิดไฟ” ได้ยินเสียงพี่ธิตพูดพร้อมกับปิดประตูห้อง พี่ธิตก็มาด้วย ผมพยายามมองดูว่าอีกคนหนึ่งเป็นใคร... แป๊ะชั้นดาดฟ้าห้องข้างพี่ธิตนั่นเอง

เมื่อทั้งสามคนอยู่ในห้อง ปั้นรีบเดินไปเปิดผ้าม่านในห้องทันที

“ขอใช้ห้องหน่อยพี่อู มีของดีให้ดูแต่ข้างบนเห็นไม่ถนัด” ปั้นพูดเสียงเบาโดยไม่หันหน้ามามองผม แต่มองออกไปนอกหน้าต่าง พี่ธิตและแป๊ะก็รีบกรูไปที่หน้าต่างห้องเช่นกัน จนผมอดไม่ได้ต้องเข้าไปดู้บางว่ามีอะไร

“โห ตรงนี้แม่งโคตรชัดเลย” ปั้นอุทานอีก

“เฮ้ย เบาๆไอ้ปั้น” พี่ธิตตบหัวปั้นเบาๆแล้วพูดเสียงกระซิบ “เดี๋ยวห้องข้างตื่นกันหมด”

ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณตีหนึ่งแล้ว ห้องรอบข้างผมปิดไฟมืดหมด เสียงเงียบกริบ คงเข้านอนกันหมดแล้ว ผมมองออกไปนอกหน้าต่างบ้าง ภาพที่ผมเห็นก็คือ ท่ามกลางความมืดในยามดึกสงัด ถนนซอยมีเพียงแสงไฟจากเสาไฟฟ้าเป็นบางจุด ตึกด้านตรงข้ามกับตึกที่ผมพักอยู่ส่วนใหญ่ปิดไฟกันเกือบทุกห้อง ยกเว้นอยู่ห้องหนึ่ง...

ห้องที่ตึกตรงข้ามนั้นเป็นห้องที่อยู่ตรงข้ามกับห้องของผมพอดี แต่ว่าอยู่คนละชั้นกัน ห้องนั้นชั้นสาม ส่วนห้องของผมนั้นอยู่ชั้นสี่ เห็นภายในห้องเปิดไฟสว่าง และเนื่องจากห้องนั้นไม่ได้ติดผ้าม่านหน้าต่างจึงสามารถมองเห็นสภาพภายในห้องได้อย่างชัดเจน ห้องนี้หากส่องดูจากชั้นดาดฟ้าลงมาจะมองเห็นได้ไม่ถนัดเพราะความสูงอยู่ต่างระดับกันมาก หากดูจากชั้นสามก็เห็นได้ไม่มากเพราะมีระเบียงบังเอาไว้ ต้องดูจากทำเลห้องของผมจะเป็นมุมที่ดีที่สุด

ปกติผมเห็นสภาพภายในห้องนั้นเป็นประจำ เจ้าของห้องเป็นชายหนุ่มผิวคล้ำ ภายในห้องตั้งเตียงอยู่ตรงกลาง คือหากมองผ่านหน้าต่างเข้าไปจะเห็นเตียงนอนอยู่กลางโดยหัวเตียงตั้งอยู่ชิดผนังด้านใน ส่วนปลายเตียงชี้มาทางห้องของผม ด้านซ้ายมือของห้องเป็นโต๊ะทำงาน ตอนหัวค่ำผมมักเห็นชายหนุ่มเจ้าของห้องนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะโดยไม่ใส่เสื้ออยู่เป็นประจำ เนื่องจากเจ้าของห้องหน้าตางั้นๆและไม่เคยทำอะไรประเจิดประเจ้อภายในห้อง ดังนั้นผมจึงไม่ได้สนใจอะไรมากนัก

แต่ในคืนนั้น ภาพที่ผมมองเห็น ในห้องกลับมีคนสองคนกำลังนอนอยู่บนเตียงนอน คนหนึ่งเป็นผู้หญิง สาวผิวสีน้ำตาล ส่วนอีกคนเป็นชายหนุ่มผิวขาว ทั้งคู่อยู่ในชุดนอน หญิงสาวกำลังนอนหนุนแขนชายหนุ่มอยู่บนเตียง ส่วนชายหนุ่มนั้นแขนข้างหนึ่งให้หญิงสาวหนุน ส่วนอีกข้างหนึ่งกำลังเคล้าคลึงหน้าอกของหญิงสาวอยู่

“กำลังเล้าโลมกันอยู่ เดี๋ยวคงเอากันแน่เลย” ปั้นพูดเบาๆ

“ไอ้นี่พูดจา” พี่ธิตดุปั้นด้วยเสียงกระซิบ “เอ็งนี่ชักแก่แดดขึ้นทุกวันแล้วนะ”

“ผมอยู่ม.ปลาย ไม่เด็กแล้ว” ปั้นหัวเราะฮิฮะเป็นเสียงกระซิบบ้าง “คนแก่ก็อยู่ส่วนคนแก่ไปสิ”

“เจ้าของห้องไม่ใช่คนนี้นี่” ผมกระซิบแทรกขึ้นก่อนที่สองคนนี้จะเถียงกันต่อ ทั้งรูปร่างและสีผิวของชายหนุ่มคนนี้ต่างจากคนเดิมที่ผมเคยเห็น

“เพิ่งย้ายมาเมื่อวาน” แป๊ะพูดขึ้นบ้าง

“อ้าว คนเดิมย้ายไปแล้วเหรอ” ผมพูดเปรยๆ

“คนใหม่มา คนเก่าก็ต้องย้ายไปแล้วสิ พี่อูนี่ถามอะไรก็ไม่รู้” ปั้นกัดผม

“เฮ้ยๆ เลิกพูดได้แล้วไอ้ปั้น ชักเสียงดัง เดี๋ยวก็ไม่ได้ดูหนังสดหรอกเอ็ง” แป๊ะดุปั้นบ้างโดยใช้เสียงกระซิบ

ทั้งหมดเงียบกริบลงเมื่อเห็นความเคลื่อนไหวของคนในห้องฝั่งตรงข้าม ชายหนุ่มเริ่มกอดรัดฟัดเหวี่ยงหญิงสาว ทั้งคู่พัวพันกันเป็นพัลวัน จากนั้นชายหนุ่มพยายามถอดเสื้อนอนของหญิงสาวออก... พี่ธิตรีบปิดตาปั้นพลางผลักปั้นออกไปจากหน้าต่าง

“เฮ้ย หนังเอ็กซ์โว้ย เด็กห้ามดู” พี่ธิตพูด “เดี๋ยวเสียคนหมด”

“ฝันไปเถอะพี่ จะมาห้ามอะไรกันตอนนี้” ปั้นรีบแทรกตัวเข้ามาที่ริมหน้าต่างอีก “พี่แก่แล้วไม่อยากดูก็ไปนอนดิ ผมอยากดูน่ะ”

“เราเปิดม่านดูแบบนี้แน่ใจนะว่าเค้าจะไม่เห็นเรา” แป๊ะถามขึ้นเบาๆ “เกิดโวยขึ้นมาละแย่เลย”

“ห้องเค้าสว่าง ห้องเรามืด เค้ามองออกมา ยังไงก็มองไม่เห็น” พี่ธิตตอบ

“ตกลงนี่ห้องใครกันแน่เนี่ย” ผมกระซิบเปรยขึ้นมา

“อ้อ ห้องอูน่ะ แต่ว่าขอยืมใช้หน่อยไง” พี่ธิตพูดเสียงหัวเราะ “เอา เงียบๆ เลิกคุยกันได้แล้ว”

ภาพที่ผมเห็นอยู่เบื้องหน้าทำให้ผมรู้สึกว่าน้ำลายในลำคอเหนียว... ชายหนุ่มถอดชุดนอนของหญิงสาวออก จากนั้นก็ถอดชุดนอนของตนเองออก เพียงพริบตาทั้งสองก็อยู่ในสภาพเปลือยเปล่า ชายหนุ่มโยนชุดนอนไปไว้ข้างเตียง จากนั้นกอดรัดหญิงสาว ในหน้าฝังลงใบในร่องอกของหญิงสาว...

ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมได้ดูหนังสด ผมได้เห็นสรีระของชายหนุ่มหญิงสาวด้วยสายตาของตนเอง... เห็นเนื้อหนังจริงๆ เห็นลีลาจริงๆ... ทั้งคู่มีรูปร่างที่ใช้ได้เสียด้วย มันเป็นความรู้สึกที่แตกต่างจากการดูหนังสือปกขาวมาก

กอดรัดกันอยู่ชั่วขณะ ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นนั่ง ขณะเดียวกันหญิงสาวก็จัดท่าทางเสียใหม่โดยชันเข่าขึ้น จากนั้นชายหนุ่มก็ขึ้นคร่อมบนลำตัวหญิงสาว แม้จะอยู่ในระยะไกลแต่ผมก็เห็นสรีระของทั้งสองได้ค่อนข้างชัดทีเดียวเพราะไฟในห้องสว่างจ้า

เหตุการณ์ดำเนินต่อไป ลีลาของชายหนุ่มเริ่มจากเชื่องช้า จากนั้นเปลี่ยนเป็นเร่าร้อนรุนแรง ทุกท่วงท่าและลีลาล้วนแต่อยู่ในสายตาของผมอย่างชัดเจน เราทั้งสี่คนเกาะขอบหน้าต่างดูอย่างเงียบกริบในความมืด ผมเว้นระยะให้ห่างจากอีกสามคนเล็กน้อยเพราะไม่ได้ใส่กางเกงใน แต่ก็ไม่มีใครสนใจใครเพราะมัวแต่ดูภาพยนตร์สดที่อยู่ข้างหน้า ส่วนอารมณ์ของผมนั้นกระเจิดกระเจิงไปถึงไหนต่อไหนแล้ว

ชายหนุ่มมีน้ำอดน้ำทน อีกทั้งน่าจะมีความช่ำชองพอสมควร เพราะมีการเปลี่ยนท่าต่างๆหลายท่า สุดท้ายกลับมาอยู่ในท่าพื้นฐานคือท่ามิชชันนารี ชายหนุ่มใช้แรงอย่างไม่ยอมออมรั้ง แม้ภาพที่เคลื่อนไหวตรงหน้าจะอยู่ในระยะห่างกว่าสิบเมตร แต่อุปาทานของผมราวกับได้ยินเสียงในฟิล์มลอดออกมา บั้นท้ายของชายหนุ่มขยับขึ้นลงอย่างร้อนแรง จากนั้นก็ค่อยๆชะลอช้าลง... และช้าลง... จนในที่สุดชายหนุ่มฟุบนิ่งอยู่บนร่างของหญิงสาว แต่ก็เพียงครู่เดียว จากนั้นทั้งคู่ก็รีบถอนตัวออกจากกัน จากนั้นก็รีบลุกขึ้นจากเตียงเดินไปที่ห้องน้ำในสภาพเปลือยกาย...

หนังฉากนี้ใช้เวลานานพอสมควรทีเดียว หลังจากนั้นก็เห็นทั้งสองเดินออกจากห้องน้ำในลักษณะคาดผ้าเช็ดตัวออกมา จากนั้นก็แต่งตัว...

“โห แม่ง... ยิ่งกว่าดูหนังเอ็กซ์อีก” ปั้นถึงกับเพ้อ

“เคยดูหนังเอ็กซ์เหรอวะ” แป๊ะถามเสียงกระซิบ

“ไม่เคยหรอกพี่” ปั้นตอบ

“แล้วเสือกคุย โธ่เอ๊ย” แป๊ะหัวเราะ “เฮ้ย ดูไอ้อูสิ”

ทุกคนหันมาดูผม สายตาเหลือบต่ำลงมามองที่เป้ากางเกง

“ไม่ต้องดูมาก ไม่ได้ใส่กางเกงใน มีอะไรมั้ย” ผมทำหน้าด้าน พลางออกปากไล่แขกด้วยเสียงแผ่วเบา “หนังจบแล้ว ไปนอนกันได้แล้ว”

“แน่ะ มีไล่ด้วย” ปั้นทำเสียงฮิฮะ “รับประกันได้ว่าพี่อูยังไม่นอนแน่ๆ”

ทั้งสามคนค่อยๆเดินออกจากห้องจากเงียบๆ ผมรอให้ทั้งสามคนไปสักพัก เมื่อข้างนอกกลับสู่สภาพเงียบสงัดจึงเดินออกจากห้องไปบ้าง ผมเดินด้วยฝีเท้าอันเงียบกริบ...

“ใครอยู่ในห้องน้ำน่ะ พี่อูใช่มั้ย” ผมได้ยินเสียงปนหัวเราะของปั้นหลังจากที่ผมเข้าห้องน้ำได้ไม่นาน “กะแล้วเชียว...”

“ไอ้ห่า” ผมตอบ

- - -

เช้าวันอาทิตย์

ผมตื่นนอนแต่เช้า หลังจากซักผ้าและทำความสะอาดห้องเรียบร้อยแล้ว ตอนสายๆผมจึงหยิบเหรียญบาทมาประมาณสองกำมือใส่ในกระเป๋ากางเกง จากนั้นเดินลงไปที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะใกล้หอพักพร้อมกับโพยที่จดเอาไว้เมื่อคืน

ผมโทรศัพท์สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับบ้านที่ประกาศขาย เท่าที่ผมเลือกมามีทั้งหมดยี่สิบกว่าราย วันนั้นโทรศัพท์สาธารณะมีคนใช้กันมากอันเป็นเรื่องปกติเนื่องจากในซอยนั้นมีหอพักและห้องพักให้เช่าอยู่หลายตึก

การโทรศัพท์สอบถามรายละเอียดด้วยโทรศัพท์สาธารณะค่อนข้างลำบากเนื่องจากมีผู้มารอคอยคิวใช้โทรศัพท์อย่างต่อเนื่อง ผมโทรได้สักสองสามรายก็ต้องออกไปต่อคิวใหม่เนื่องจากหากเกรงใจผู้ที่มารอ กว่าจะโทรศัพท์สอบถามได้ก็กินเวลาไปราวสองชั่วโมง วันนั้นโทรถามได้สิบกว่าราย บางรายยังติดต่อไม่ได้เนื่องจากเป็นบริษัทนายหน้าอสังหาฯหรือที่เรียกว่าโบรกเกอร์ซึ่งไม่ทำงานในวันหยุด บางรายผู้ที่ลงประกาศขายก็ไม่อยู่ จึงถามข้อมูลไม่ได้ รวมแล้วที่ถามจนได้รายละเอียดมีไม่ถึงสิบราย

แม้จะสอบถามได้ไม่ถึงสิบรายแต่ข้อมูลที่ได้ก็น่าสนใจทีเดียว บ่ายวันนั้นผมจึงใช้เวลาตระเวนดูบ้านตามที่ได้สอบถามมา บ้านเกือบสิบรายนั้นมีทั้งทาวน์เฮ้าส์และบ้านเดี่ยว เนื้อที่ตั้งแต่ยี่สิบกว่าตารางวาไปจนถึงเจ็ดสิบกว่าตารางวา ราคาตั้งแต่ล้านบาทจนถึงสามล้านกว่าบาท ในทำเลตั้งแต่ปากทางลาดพร้าวไปจนถึงซอยโชคชัยสี่ มีบางหลังอยู่ในซอยภาวนาที่ผมเคยอยู่เสียด้วย

ผมไล่ดูตั้งแต่หลังที่อยู่ในซอยลาดพร้าว ๑ เป็นต้นมา จำได้ว่าหลังแรกที่ดูนั้นอยู่ในซอย ๑ ซึ่งต้องเดินเข้าไปลึกมาก เจ้าของบอกว่าเดินจากปากซอยเข้าไปประมาณสี่ร้อยเมตรก็ถึง แต่ผมใช้เวลาเดินประมาณสิบห้านาที คิดว่าน่าจะลึกจากปากซอยกิโลเมตรกว่าๆ ไม่ใช่สี่ร้อยเมตรอย่างที่บอก จะเข้าออกแต่ละทีหากไม่มีรถยนต์ส่วนตัวก็ต้องขึ้นรถสองแถวที่วิ่งรับส่งในซอย ตัวบ้านเป็นบ้านไม้สองชั้น บนเนื้อที่เจ็ดสิบกว่าตารางวา หลังนี้ราคาสองล้านกว่าบาท ตัวบ้านสภาพค่อนข้างเก่าและเล็ก แต่มีพื้นที่รอบบ้านค่อนข้างมาก พื้นที่รอบตัวบ้านปลูกไม้ผลไว้จนแน่น สภาพในบริเวณบ้านนั้นร่มครึ้ม น่าอยู่ทีเดียว เจ้าของบ้านย้ายออกไปอยู่ที่ใหม่แล้ว ตัวบ้านจึงคล้องกุญแจเอาไว้ ผมได้แต่เดินด้อมๆมองๆดูจากภายนอกแล้วก็จากมา

กว่าที่ผมจะตระเวนดูบ้านเสร็จก็ตกเย็น บ้านไม่ถึงสิบหลังแต่ว่าใช้เวลาราวห้าหกชั่วโมงเพราะหาบ้านไม่เจอบ้าง หลงในซอยบ้าง บ้านอยู่ลึกบ้าง บ้านหลังสุดท้ายอยู่ในซอยโชคชัยสี่ อยู่ลึกกว่าสองกิโลเมตร เลยโรงพยาบาลสยาม (ชื่อในสมัยนั้น ปัจจุบันคือโรงพยาบาลเปาโล) ไปอีก

บ้านทั้งหมดนี้ผมไม่ได้เข้าไปดู เพียงแต่สำรวจดูทำเลและดูสภาพจากภายนอกเท่านั้น กว่าจะเสร็จก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน แต่ผลที่ได้ก็คุ้มค่า เพราะว่ามีบ้านที่ผมรู้สึกถูกใจอยู่สองสามหลัง...

Tuesday, June 5, 2012

ภาคสี่ ตอนที่ 60

ผมยืนตะลึง ตลอดเวลาที่ผ่านมาแม้ว่าผมกับป้อมจะสนิทกันยิ่งขึ้นทุกวัน แต่ผมก็เห็นป้อมเพียงแค่ในชุดเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นเท่านั้น

ภาพที่ผมเห็นตรงหน้าเป็นป้อมที่มีเพียงกางเกงว่ายน้ำตัวจิ๋วปกปิดกาย ป้อมมีผิวกายสีน้ำผึ้ง ลำตัวอวบเล็กน้อย แต่หัวไหล่ที่หนา แผ่นอกที่แน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ และต้นขาที่อวบใหญ่ ยังคงบ่งบอกร่องรอยของนักกีฬาว่ายน้ำเก่าเอาไว้ เป้ากางเกงว่ายน้ำของป้อมที่เห็นเป็นลำชัดเจนออกมาทำให้ผมต้องแอบกลืนน้ำลายไปหลายอึก

“ไปกันเร็ว พี่อู” ป้อมเร่งผมอีก พลางเอื้อมมือมาจับมือผมลากให้เดิน

ผมตื่นจากภวังค์ รีบหยิบเสื้อผ้าและเดินตามป้อมออกไปจากห้องแต่งตัว เมื่อไปถึงริมสระ วางจัดแจงวางเสื้อผ้าลงบนที่นั่งริมสระ จากนั้นก็รีบโดดลงน้ำทันที เช้าวันนั้นสระว่ายน้ำค่อนข้างว่าง มีคนมาว่ายน้ำรวมทั้งผมและป้อมประมาณ ๑๐ คนเท่านั้น

“เฮ้อ เย็นสบาย” ป้อมพูดหลังจากโดดลงน้ำมาและมายืนอยู่ข้างๆตัวผม “ไม่ได้ว่ายน้ำตั้งนานแล้ว”

“ที่ว่านานนี่นานแค่ไหน” ผมถาม

“ก็ตั้งแต่เลิกแข่งนั่นแหละ ตอนจบ ม.๓” ป้อมตอบ “พอเรียน ม.๔ ก็มัวแต่เรียน ไม่ได้ลงสระอีกเลย”

“มิน่าล่ะ อ้วนเชียว” ผมเหน็บ

“นี่แน่ะอ้วน” ป้อมหัวเราะแล้วเอามือผลักน้ำให้กระเซ็นสาดใส่ผม “ไม่อ้วนซะหน่อย แน่จริงว่ายน้ำแข่งกับป้อมดีกว่า”

“พี่ยอมแพ้ ไม่สู้หรอก” ผมตอบ “พี่ได้แค่ว่ายน้ำป๋อมแป๋ม จะเอาอะไรไปแข่งกับนักกีฬาว่ายน้ำ”

“งั้นว่ายไปด้วยกัน ไม่ต้องแข่งก็ได้” ป้อมโอนอ่อนผ่อนตาม

เราสองคนว่ายน้ำไปด้วยกันตามความยาวของสระ ว่ายไปได้หลายรอบจนผมรู้สึกเหนื่อยจึงหยุดพัก ป้อมก็หยุดพักด้วยเช่นกัน

ป้อมเอามือเสยผมที่เริ่มยาวปรกหน้าผาก หยดน้ำที่เกาะที่ใบหน้า หัวไหล่ และแผ่นอกเป็นเสมือนมุกที่ประดับบนเรือนกาย ช่วยขับเน้นให้ผิวกายสีน้ำผึ้งของป้อมดูเด่น แผงอกที่อูมได้รูปทรงและหัวนมสีชมพูทำให้ผมอดคิดฟุ้งซ่านไม่ได้

“เหนื่อยเหมือนกันแฮะ ขอพักก่อน” ผมพูด

“ป้อมก็เหนื่อย พี่อูช่วยพาป้อมไปส่งที่ขอบสระหน่อย” ป้อมพูด แถมไม่พูดเปล่า กระโดดขึ้นขี่หลังผมทันที “ไปเร็ว ม้าใช้”

“นี่แน่ะ ม้าใช้” ผมเอื้อมมือไปเขกกะโหลกป้อมที่เกาะอยู่บนหลังของผม ความหนาแน่นของน้ำทำให้เกิดแรงพยุง ผมจึงไม่รู้สึกหนักแต่อย่างใด

ป้อมเอาแขนโอบรอบคอผม แผ่นอกและหน้าท้องของป้อมแนบชิดกับแผ่นหลังของผม ใบหน้าของป้อมแทบจะจรดกับใบหน้าของผม

“หนักวุ้ย โยนทิ้งดีกว่า” ผมแกล้งพูด พลางสลัดตัวป้อมให้หลุดจากลำตัวของผม

“เฮอะ ม้าพยศเหรอ” ป้อมหัวเราะ พลางโอบผมแน่นยิ่งขึ้น ขาของป้อมเกี่ยวล็อกกับต้นขาของผมแน่น ขาของป้อมเสียดสีกับต้นขาของผมไปมาและบางทีก็ล่วงเลยมาจนเสียดสีกับกางเกงว่ายน้ำ...

แม้น้ำในสระจะเย็นสบาย แต่ผมกลับรู้สึกว่าร่างกายของผมร้อนผ่าวไปทั้งตัว หัวใจของผมเต้นแรง... ผมกลัวว่าขาที่เกี่ยวตวัดรัดพันของป้อมจะสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างในร่างกายของผม...

โครม...

ผมสลัดป้อมจนหลุด ป้อมหล่นลงไปในน้ำ เมื่อตั้งตัวได้ก็โผมาขี่หลังผมอีก ผมรีบกระโดดหนีการตามล่าของป้อม แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้น...

“นี่แน่ะ พยศนัก” ป้อมกระตุกปอยผมของผมเล่น พลางหัวเราะชอบใจ

“อะ ยอม ยอม” ผมพูด “เป็นม้าให้ก็ได้ แต่อย่ากอดแน่นสิ พี่หายใจไม่ออก”

“แล้วอย่าพยศอีกนะ” ป้อมพูดอย่างมีชัย พลางคลายวงแขนและขาที่กอดรัดผมเอาไว้

ผมปล่อยให้ป้อมขี่หลังและพาเดินไปจนถึงขอบสระ ป้อมปีนขึ้นจากหลังของผมไปนอนหงายบนพื้นขอบสระ กางเกงว่ายน้ำทรงบิกินีตัวจิ๋วเมื่อเปียกน้ำก็ยิ่งแนบเนื้อ เห็นรอยลำภายในกางเกงนูนเด่นอย่างชัดเจน

“เฮ้อ สบายจังวันนี้” ป้อมพูดอย่างอารมณ์ดี “พี่อูขึ้นมาพักก่อนสิ”

“ไม่ล่ะ” ผมปฏิเสธ “แช่น้ำเล่นดีกว่า เย็นดี”

เราว่ายน้ำอยู่ประมาณชั่วโมงกว่า จนรู้สึกว่าแดดเริ่มร้อนแล้วจึงเลิก วันนี้ดูป้อมสนุกมาก ใบหน้าของป้อมแดงและแจ่มใส

“พาป้อมขึ้นจากสระที” ป้อมพูดพลางโผมาเกาะหลังผมอีก

วันนี้ไม่รู้เป็นอะไร ดูป้อมจะชอบกอดรัดผมเสียจริง เมื่อผิวกายของป้อมเสียดสีกับผิวกายของผม ใจและกายที่เริ่มสงบของผมก็ระทึกปั่นป่วนขึ้นมาอีก

“เอ้อ ป้อม” ผมพูด “ปล่อยพี่ก่อน พี่ต้องรีบขึ้นแล้วล่ะ”

“มีอะไรเหรอ” ป้อมสงสัย

“พี่ปวดอึ” ผมพูด “เร้ว ปล่อยพี่ก่อน จะรีบไปเข้าส้วม”

“เฮ้อ พี่อูนี่วุ่นวายจริง” ป้อมดุ พลางโดดลงจากหลังของผม “รีบไปเร็วเข้า”

“พี่คงอาบน้ำแต่งตัวไปเลย แล้วเดี๋ยวเจอกัน” ผมพูด พลางปีนขึ้นจากสระอย่าร้อนรนจากนั้นรีบวิ่งตัวงอไปที่ห้องส้วมที่อยู่ในบริเวณเดียวกับห้องล็อกเกอร์ชาย...

- - -

ผมใช้เวลาอยู่ในห้องส้วมพักใหญ่ รอจนป้อมอาบน้ำเสร็จผมจึงออกมาอาบน้ำบ้าง ผมรีบอาบน้ำอย่างรวดเร็วที่สุด พยายามไม่คิดฟุ้งซ่านเพื่อไม่ให้ขายหน้าป้อม จนในที่สุด เราทั้งสองคนก็อาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยและเดินออกมาจากสระว่ายน้ำ ป้อมดูสนุกมากในวันนี้ สำหรับผมเองก็รู้สึกสนุกเช่นกัน แต่เป็นความรู้สึกที่มีความรู้สึกแปลกๆเจือปน ซึ่งผมเองก็จำแนกไม่ถูกเหมือนกันว่าความรู้สึกแปลกๆที่เจือปนเข้ามานั้นเป็นความรู้สึกประเภทใดกันแน่

ป้อมเดินคุยอย่างอารมณ์ดี เราสองคนเดินกลับในเส้นทางเก่า นั่นคือ เดินตัดสนามหญ้าใหญ่เพื่อไปยังประตูมหาวิทยาลัย

“คุณชายจะกลับบ้านเลยหรือเปล่า” ผมถาม

“ป้อมหิว” ป้อมพูด “ไปหาอะไรกินกันก่อนดีกว่า”

“นั่นสิ พี่ก็หิวเหมือนกัน งั้นเราไปหาอะไรกินกัน” ผมคล้อยตาม

สถานที่กินของเราก็หนีไม่พ้นศูนย์อาหารที่ชั้นสองของตลาดสามย่าน ตอนนั้นยังเช้าอยู่ แต่ร้านอาหารก็เปิดขายแล้วประมาณครึ่งหนึ่ง

“ที่นี่แหละ ที่ฝากปากท้องของพี่” ผมพูดขำๆและแนะนำให้ป้อมรู้จักกับศูนย์อาหารตลาดสามย่าน “ปกติตอนเช้ากับเที่ยงพี่กินที่โรงอาหารในมหาวิทยาลัย ส่วนตอนเย็นกับวันหยุดก็มักจะมากินที่นี่กับเพื่อนๆที่ชมรม ของกินเยอะดี”

ผมพาป้อมไปกินที่ร้านประจำของผมที่เป็นร้านอยู่ใกล้บันไดตรงห้องกวดวิชา หากกินขนมกับจุ๋มก็จะไปที่ร้านขนม หากกินเป็นมื้อกับเพื่อนๆก็มักจะมาที่ร้านนี้ ของโปรดของผมก็คือข้าวผัดกะเพราไข่ระเบิด หากมากันหลายคนและสามารถสั่งกับข้าวได้หลายอย่างก็มักสั่งต้มยำนมสดด้วย

“ป้อมอยากกินอะไร” ผมถาม

“แล้วแต่พี่อูละกัน” ป้อมพูด

“ตามใจพี่ก็ได้ แต่ป้อมเป็นคนสั่งอาหารนะ ตามกติกา” ผมพูด

ป้อมพยักหน้า “สบายอยู่แล้ว”

ผมสั่งเมนูโปรดคือต้มยำกับผัดกะเพรา พร้อมกับข้าวเปล่าและน้ำแข็ง เมื่อบอกป้อมเสร็จ พนักงานก็เดินมาพอดี แทนที่ป้อมจะพูดสั่งอาหารกับพนักงาน ป้อมกลับหยิบปากกาและสมุดฉีกเล่มเล็กๆที่วางอยู่บนโต๊ะ เขียนยุกยิกลงไปจากนั้นก็ส่งให้พนักงาน

“เฮ้ โกงนี่หว่า” ผมโวย

“โกงอะไรล่ะ” ป้อมหัวเราะ “ก็เค้าจัดกระดาษกับปากกาให้เขียนป้อมก็เขียนสิ จะพูดให้เมื่อยทำไม”

“เฮ้ย ไอ้อู” ได้ยินเสียงเรียกผมขณะที่ผมกับป้อมกำลังเถียงกันเรื่องโกงไม่โกงอยู่ ผมหันไปดูรอบๆ เห็นเจ้าของเสียงนั่งกินอาหารที่ร้านติดกัน อยู่ถัดจากผมไปเพียงไม่กี่โต๊ะ เจ้าของเสียงนั้นคือตี๋นั่นเอง

“ป้อมรอพี่เดี๋ยวนะ ขอไปคุยกับเพื่อนหน่อย” ผมพูด พลางลุกจากที่นั่งและเดินไปหาตี๋ ขณะเดียวกันตี๋ก็ลุกจากที่นั่งเดินมาหาผมเช่นกัน ตี๋มากับกลุ่มเพื่อนอีกสองสามคน เราสองคนจึงพบกันที่ครึ่งทางโดยยืนคุยกันตรงทางเดินนั่นเอง

“ไม่นึกว่าจะเจอมึงตอนนี้” ผมทักทายด้วยความแปลกใจ “มาทำอะไรวะ”

“กูมาทำงาน” ตี๋ตอบพลายขยายความ “หารายได้”

“งานอะไรน่ะ” ผมถามด้วยความอยากรู้

“ช่วยอาจารย์ทำข้อมูลแบบสอบถาม เป็นงานวิจัย” ตี๋ตอบ พลางมองข้ามไหล่ผมไป “มึงมาสอนพิเศษเหรอ”

ผมรู้สึกระวังตัวนิดหน่อย ผมมักรู้สึกอยู่เสมอว่าตี๋รู้ดีว่ารสนิยมของผมเป็นอย่างไร เพียงแต่มันไม่เคยพูดออกมา แม้ว่าเราสองคนต่างรู้จักและเข้าใจกันอย่างลึกซึ้ง แต่ผมก็อดเขินมันไม่ได้เมื่อผมมากับเด็กชายวัยรุ่นคนหนึ่ง และยิ่งไปกว่านั้น ผมเกรงว่ามันจะเข้าใจผิดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผมกับป้อม

“ก็ไม่เชิง” ผมตอบอ้อมแอ้ม “นี่นักเรียนกูเอง แต่วันนี้พามันมาว่ายน้ำ”

“ว่ายน้ำ” ตี๋ทวนคำ ทำสีหน้ายู่ยี่คล้ายพยายามทำความเข้าใจกับคำอธิบายของผมว่าทำไมต้องพานักเรียนที่สอนมาว่ายน้ำด้วย

“แบบว่าเรื่องมันยาวน่ะ” ผมชักอายมัน รู้สึกเหมือนกับว่ามันคลำเข้ามาใกล้ปมด้อยของผมมากยิ่งขึ้นทุกที

“เออ กูก็ถามไปยังงั้นแหละ ไม่มีอะไรหรอก” ตี๋ตอบ ตี๋มันดียังงี้นี่เอง ไม่เคยคิดต้อนให้ผมจนมุม แต่ตรงกันข้าม มันพยายามหาทางออกให้แก่ผมเสมอ

“มีข่าวเรื่องไอ้เล็กบ้างไหม” ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง แต่ลืมคิดไปว่าเรื่องของเล็กในที่สุดก็วกกลับมาเข้าตัวผมอีกจนได้

“จะว่ามีก็มี จะว่าไม่มีก็ได้” ตี๋ตอบ

“อะไรของมึงวะ” ผมงงกับคำตอบของมัน

“ก็หลังจากปีใหม่ ไอ้เล็กมันไม่ได้กลับมาเรียน แต่หลังจากนั้นไม่นานเพื่อนของมันคนนั้นก็กลับมาเรียนและเข้าสอบ...”

“แล้วไอ้เล็กล่ะ มันเป็นไง” ผมรีบถาม

“ก็นี่แหละปัญหา ไอ้เพื่อนคนนั้นมันกลับมาเรียนแล้วก็ไม่ยอมพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเลย ใครถามมันมันก็บอกแต่เพียงว่ามันกับไอ้เล็กไม่ได้คบกันแล้ว มันเองก็ไม่รู้ว่าไอ้เล็กไปไหน” ตี๋เล่า “มันบอกว่าที่มันกลับมาเพราะมันเสียดายการเรียน เสียดายที่อุตส่าห์พยายามสอบเข้าจนได้ มันอยากเรียนให้จบ... มันไม่อยากคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาอีก”

“ไอ้เล็กเอ๊ย...” ผมอดรำพึงออกมาไม่ได้ เรื่องของไอ้เล็กทำให้ผมสะเทือนใจอยู่ไม่น้อย ทำไมนะ... ก็แค่ผู้ชายรักกัน แต่ทำไมจึงดูเหมือนกับเป็นอาชญากรร้ายไปได้ รู้สึกสงสารคนทั้งคู่ พร้อมกับอดรู้สึกสงสารตัวเองไปด้วยไม่ได้ ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับความสัมพันธ์ของทั้งสองคน แต่รู้ว่าเพื่อนของเล็กคนนี้ต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมากในการกลับมาเรียนอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่เกิดเรื่องนี้ขึ้นมาแล้ว เพราะไหนจะต้องเผชิญกับสายตาและทัศนคติของคนรอบข้าง ไหนจะต้องเจ็บปวดกับบาดแผลที่เกิดขึ้นในใจ มันเป็นการเคี่ยวกรำที่ผมเองก็เข้าใจได้ไม่ถ่องแท้เพราะไม่ได้ประสบมาด้วยตนเอง สองคนนี้ต้องจ่ายคุณค่าไปมากมาย สุดท้ายที่แต่ละคนแลกได้มาคือตราบาปในชีวิต

“แล้วนี่มันหมดสภาพนักศึกษาไปหรือยัง” ผมถาม ยังแอบหวังว่าในที่สุดมันจะกลับมาเรียนตามเดิมบ้าง เพื่อตัวของมันเอง

“กูก็ไม่แน่ใจ แต่ถ้าปล่อยไว้นานไปโดยไม่กลับมามันก็คงหมดสภาพไปนั่นแหละ” ตี๋ตอบ

ผมคุยกับตี๋สักครู่ก็กลับมานั่งที่โต๊ะ ป้อมรีบถามผมทันที

“พี่อู พี่คนนี้ใช่ไหม” ป้อมถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

“คนนี้... คนไหนเหรอ” ผมงง

“ก็เพื่อนสนิทคนที่พี่อูชอบเล่าให้ป้อมฟังไง ที่แขนลีบน่ะ” ป้อมพูด

“ใช่ คนนี้แหละ ป้อมนี่ช่างสังเกตแฮะ” ผมชม “คนนี้แหละ พี่ตี๋”

ป้อมมองดูเงาหลังของตี๋ สายตาทอแววชื่นชม

“มันลำบากมาเยอะนะ เคยท้อ เคยล้ม แต่ในที่สุดก็ลุกขึ้นมาอีก นี่ก็มาทำงานพิเศษหาเงินเป็นค่าเทอม” ผมเล่าอีก

ผมพยายามเก็บความรู้สึกสะเอนใจเอาไว้ แต่ดูเหมือนว่าผมจะเก็บความรู้สึกในใจเอาไว้ไม่มิด เพราะในที่สุดป้อมสามารถสังเกตออกได้

“พี่อู เป็นไรไปน่ะ ทำไมคุยกับพี่ตี๋แล้วซึมไปเลย” ป้อมถาม

“พี่น่ะเหรอซึม ล้อเล่นน่า” ผมเฉไฉ “ไม่ได้ซึมสักหน่อย”

“มีเรื่องเหรอพี่อู” ป้อมถามอีก

“มันเป็นเรื่องของเพื่อนที่โรงเรียนเก่าอีกคนน่ะ พอดีว่ามันมีปัญหาในชีวิตนิดหน่อย” ผมตอบเลี่ยงๆ

ป้อมพยักหน้า ไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อ ผมก็พยายามกลบเกลื่อนอาการเพื่อไม่ให้ป้อมรู้สึกผิดสังเกตได้อีก...

- - -

กว่าที่ผมจะแยกจากป้อมก็เป็นเวลาบ่ายแก่แล้ว วันนั้นผมกับป้อมไม่ได้เพียงแค่ไปว่ายน้ำ สุดท้ายก็ไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่ต่ออีก

ขากลับ ในระหว่างที่ผมนั่งอยู่ในรถ ปอ.๒ เพื่อกลับหอพัก ผมอดนึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระหว่างวันไม่ได้ ภาพที่ป้อมเกาะหลังผมแน่น ความรู้สึกที่ผิวเนื้อของเราสองคนสัมผัสและเสียดสีกันทำให้จิตใจของผมเตลิดเปิดเปิง... ความรู้สึกบางอย่างที่ถูกเก็บกักไว้เป็นเวลานานพลุ่งพล่านอยู่ในจิตใจอย่างยากที่จะระงับลงได้

เมื่อรถวิ่งเข้าถนนลาดพร้าว ผมทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างรถ เหม่อมองออกไปในระยะไกล สมองก็คิดฟุ้งซ่านไปต่างๆนานา

รถวิ่งไปเรื่อยๆตามเส้นทางถนนลาดพร้าว หลังจากที่เหม่อมองไปนอกหน้าต่างอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุดผมก็เริ่มสังเกตอะไรอย่างหนึ่ง แม้ว่ามันเป็นภาพที่เห็นจนชินตาเพราะผ่านไปมาอยู่ทุกวัน แต่ผมก็ไม่เคยเกิดความรู้สึกเช่นที่เกิดขึ้นในขณะนี้มาก่อน... นั่นคือ ผมรู้สึกว่าปากซอยแต่ละซอยรกรุงรังไปด้วยป้ายห้อยแขวนต่างๆนานา บางซอยมีนับสิบป้ายห้อยอยู่ตรงเสาไฟฟ้าบริเวณหน้าปากซอย...

ผมรู้ดีว่าป้ายเหล่านี้คือป้ายประกาศขายบ้าน ให้เช่าบ้าน ให้เช่าอพาร์ตเมนต์ นอกจากป้ายประกาศพวกขายหรือให้เช่าแล้ว ยังมีป้ายพวกบริการกำจัดปลวกอีกเป็นจำนวนมาก ป้ายเหล่านี้เองที่แขวนเต็มปากซอย รวมทั้งบางซอยที่เป็นซอยที่มีคนอาศัยอยู่มากก็ยังมีป้ายติดไปจนตลอดถึงท้ายซอย ปากซอยหอพักที่ผมอาศัยอยู่นี้ก็มีเต็มอยู่ไปหมดเช่นกัน

มันจะขายอะไรกันนักหนาวะ ผมบ่นอยู่ในใจ ขณะที่ลงจากรถและเดินเข้าซอย ทันใดนั้น สายตาของผมก็สะดุดเข้ากับประกาศแผ่นหนึ่ง ประกาศแผ่นนี้ติดอยู่นานแล้วแต่ผมไม่เคยสนใจอ่านมาก่อน เพิ่งมาอ่านอย่างจริงจังก็ครั้งนี้นี่เอง

ขายบ้านสองชั้น ๕๐ ตารางวา ๓ น. ๒ น้ำ ซอยลาดพร้าว ๓๕ ราคาถูกมาก ติดต่อ...

บ้าน... ผมเริ่มคิด พลางนึกถึงคำพูดของพ่อและแม่ ในเมื่อพ่อกับแม่อยากได้บ้านสักหลังแต่ยังไม่ได้ดำเนินการอะไร ทำไมผมไม่ลองกระตุ้นเสียหน่อยล่ะ ไม่แน่ว่าอาจสำเร็จก็ได้

บ่ายวันนั้นที่จริงผมก็ไม่ได้มีงานค้างอะไร ดังนั้นเมื่อได้คิดผมก็เริ่มลงมือเลย โดยหยิบกระดาษและปากกาออกมาจากเป้ จากนั้นก็เดินจดข้อความตามป้ายประกาศขายบ้านหน้าปากซอยต่างๆ เดินไปตามซอยคี่เรื่อยๆจนถึงซอยโชคชัยสี่โดยไม่รู้ตัว ผมเห็นว่าเดินมาไกลและจดมาได้พอสมควรแล้ว จึงเริ่มเดินกลับ โดยขากลับนี้ผมย้ายมาเดินฝั่งซอยคู่และจดป้ายประกาศต่างๆด้านซอยคู่มาอีก

กว่าจะกลับถึงหอพักก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว ประกาศเหล่านี้ที่ซ้ำกันก็มีมาก แต่เมื่อคัดที่ซ้ำกันออกไปแล้วก็ยังได้ประกาศขายบ้านถึงสิบกว่าหลังทีเดียว

บ้าน... ผมพึมพำ คำนี้ราวกับมีมนต์ขลังสำหรับผม ผมใฝ่ฝันอยากมีบ้านสักหลังมานานแล้ว... หวังว่าคงมีโอกาสเป็นจริงได้สักวัน

Sunday, May 6, 2012

ภาคสี่ ตอนที่ 59

หลังจากที่ผมกลับมาจากบ้านในคราวนั้น เอ๊ดก็วุ่นวายกับการสัมภาษณ์งาน เอ๊ดเดินทางไปมาระหว่างบ้านกับกรุงเทพฯบ่อยมาก เอ๊ดเดินทางแบบไปเช้าเย็นกลับ เมื่อทำธุระเสร็จแล้วก็กลับบ้านไป ไม่ได้มาพักค้างคืนที่หอพักกับผม ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมเอ๊ดไม่พักกับผมบ้าง อาจเป็นเพราะห้องของผมรกรุงรังจนเอ๊ดอยู่ไม่ไหวก็เป็นได้เนื่องจากเอ๊ดเป็นคนที่นิสัยมีระเบียบเรียบร้อยและรักความสะอาด ส่วนผมนั้นก็รักความสะอาดแต่ว่าไม่ค่อยมีเวลาดูแลจัดห้องเท่าไรนัก

ปิดภาคฤดูร้อนในปีนั้นเป็นปีที่ผมไม่ได้อยู่สบายอีกเช่นเคย สองปีที่ผ่านมาก็วุ่นกับการเตรียมสอบเอนทรานซ์ มาปีนี้แม้ไม่คิดสอบเอนทรานซ์แล้วแต่ก็ต้องวุ่นวายกับการเตรียมสอบที่รามคำแหงและการเตรียมการสอนป้อม

ปกติการเรียนที่รามนั้นหากเป็นวิชาบรรยายนักศึกษาจะเข้าฟังบรรยายในชั้นเรียนหรือไม่ก็ได้ หากเป็นคนที่ทำงานและไม่สะดวกมาไม่เข้าฟังบรรยายก็มีสื่อการเรียนการสอนอื่นให้เลือก เช่น เทปคำบรรยาย ตำรา ตลอดไปจนถึงการสมัครติวกับติวเตอร์ที่เปิดสอนรายวิชาต่างๆที่หน้ามหาวิทยาลัย สำหรับผมนั้นไม่มีโอกาสไปเรียนอยู่แล้ว จึงเลือกใช้วิธีซื้อตำรามาอ่านเอาเอง รวมทั้งซื้อชีทข้อสอบเก่ามาลองทำ ยังไม่ถึงขั้นที่ไปสมัครติว

หลังจากที่ผมใช้เวลาในช่วงปิดเทอมเตรียมตัวสอบราม ในที่สุดก็ถึงวันที่ผมต้องไปสอบวิชาแรกของการเรียนที่รามคำแหง

ผมออกจากหอพักแต่เช้า นั่งรถเข้าไปทางบางกะปิ ช่วงเช้าในยามปิดภาคเรียน ถนนหนทางโล่งพอสมควร ต่างจากทุกวันนี้ที่ยามปิดเทอมหรือเปิดเทอมรถก็ติดพอๆกัน ระหว่างที่นั่งรถผมก็พยายามทบทวนเนื้อหาวิชาที่จะสอบไปด้วยเพื่อไม่ให้เสียเวลา แต่เมื่อผ่านซอยลาดพร้าว ๑๐๑ ผมก็อดคิดฟุ้งซ่านไม่ได้ หลายปีมานี้นานๆผมจึงจะผ่านซอย ๑๐๑ สักครั้ง เมื่อผ่านทีไรก็อดคิดถึงเรื่องในอดีตไม่ได้... ไม่รู้ว่าป่านนี้ไอ้นัยเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง...

แม้ถนนจะโล่งผมก็ใช้เวลาเดินทางนานพอดูเนื่องจากมหาวิทยาลัยอยู่ไกล เมื่อถึงรามคำแหง ผมลงจากรถและเข้าไปในมหาวิทยาลัย เช้าวันนี้ผู้คนพลุกพล่าน นักศึกษาจำนวนมากเดินกันขวักไขว่ ส่วนใหญ่มักเดินกันเป็นกลุ่ม แต่ผมเดินคนเดียวเพราะไม่รู้จักใครเลยสักคน ตึกไหนชื่อว่าอะไรก็ไม่รู้ ขณะที่ผมเดินอยู่ท่ามกลางนักศึกษาจำนวนมากและท่ามกลางตึกรามอันใหญ่โต จู่ๆผมก็รู้สึกเหงาวูบขึ้นมา... รู้สึกว่าตนเองแปลกแยก ไม่ใช่เผ่าพวกของคนเหล่านี้... ผมรู้สึกราวกับว่าผมเป็นสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์อื่นก็ไม่ปาน

ความรู้สึกเหงาเกาะกุมจิตใจของผมโดยไม่มีเหตุผล ชีวิตที่ผ่านมาของผมแม้จะมีเพื่อนไม่มากนักแต่ก็เรียกได้ว่าไม่เคยขาดเพื่อน กลับบ้านต่างจังหวัดก็มีเพื่อน อยู่ที่หอพักก็มีเพื่อน ตอนไปเรียนก็มีเพื่อน แต่ที่นี่แตกต่างออกไป... ที่นี่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับอยู่ตัวคนเดียวในโลก ทำให้ผมเริ่มเข้าใจความรู้สึกของชีวิตที่ไม่มีเพื่อนว่าเป็นอย่างไร...

ผมพยายามสลัดอารมณ์เดียวดายออกไป นี่เป็นเวลาสอบ ไม่ใช่เวลาเหงา ผมเดินถามหาห้องสอบไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็หาห้องสอบเจอจนได้ ห้องสอบของผมกว้างใหญ่ราวกับสนามกีฬาในร่ม ห้องหนึ่งสามารถจุผู้เข้าสอบได้หลายร้อยคนทีเดียว ต่างจากห้องเรียนห้องสอบเล็กๆในแผนกของผมที่คณะเทคโนลิบลับ

ข้อสอบวิชาปีหนึ่งเป็นข้อสอบปรนัยทั้งหมด กระดาษคำตอบมีอยู่เพียงแผ่นเดียว ผมใช้ดินสอดำฝนรหัสนักศึกษาก่อน จากนั้นจึงเริ่มทำข้อสอบโดยอ่านข้อสอบจากกระดาษคำถาม จากนั้นฝนตัวเลือกที่ต้องการในกระดาษคำตอบ กระดาษคำตอบจะถูกตรวจและประมวลผลด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์เนื่องจากนักศึกษาที่เข้าสอบในแต่ละภาคมีจำนวนมากจนไม่สามารถตรวจด้วยมือได้ทัน ซึ่งมหาวิทยาลัยรามคำแหงกับมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชใช้ระบบตรวจข้อสอบด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์มานานหลายปีแล้ว ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่แต่อย่างใด ส่วนการสอบเอนทรานซ์เพิ่งจะใช้เครื่องตรวจในยุคนั้นนั่นเอง

ข้อสอบวิชาแรกของการเรียนที่รามคำแหงไม่ยากนัก ผมสามารถทำเสร็จก่อนเวลา หลังจากที่ส่งกระดาษคำตอบและคืนข้อสอบแล้วผมก็เดินลงจากตึก จากนั้นก็รีบกลับ ตารางสอบของผมที่รามคำแหงนั้นไม่ได้สอบติดกันทุกวัน ส่วนใหญ่สอบแล้วเว้นวันหรือสองวันจึงสอบวิชาถัดไป แต่ก็มีบ้างที่สอบวันเดียวกันสองวิชา คือสอบทั้งเช้าและบ่าย วิชาที่ต้องสอบทั้งหมดมี ๗-๘ วิชา ผมมีเวลาดูอย่างจริงจังก็ในช่วงเดือนมีนาคมนี้เอง บางวิชาที่ผมพอมีพื้นฐานอยู่บ้างแล้ว เช่น คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ก็เตรียมสอบง่าย แต่บางวิชาที่ผมไม่มีพื้นฐานเลย อย่างเช่น กฎหมายเบื้องต้น บัญชีเบื้องต้น ฯลฯ พวกนี้กินเวลามากอยู่เหมือนกัน บางวิชาที่คิดว่าไม่ไหวจริงๆผมก็ทิ้งไปเลย คือทั้งไม่อ่านและไม่ไปสอบ จะได้ไม่เสียเวลา เอาเวลาไปทำคะแนนในวิชาอื่นๆดีกว่า

ตอนที่เรียนมัธยม ผมดูหนังสือได้ค่อนข้างอึดทีเดียว บางวันมีเวลานอนเพียงสองสามชั่วโมงก็ยังไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยผมรู้สึกว่าไม่สามารถดูหนังสือหามรุ่งหามค่ำได้เหมือนเมื่อครั้งเรียนมัธยมอีก เมื่ออ่านหนังสือติดกันหลายชั่วโมงผมมักง่วงจนต้องฟุบหลับกับโต๊ะ แม้แต่ในชั้นเรียนบางทีก็นั่งหลับจนเรียนไม่รู้เรื่องก็มี ยิ่งช่วงที่ใกล้สอบที่รามคำแหงผมง่วงบ่อยจนรำคาญตัวเอง เพราะมันทำให้ผมดูหนังสือไม่ทัน บางทีสอนหนังสือป้อมอยู่ผมก็ง่วงจนเกือบหลับก็มี

ช่วงนั้นเองที่ผมเริ่มหัดดื่มพวกเครื่องดื่มชูกำลังเพราะต้องการกาเฟอีนมากระตุ้นประสาท ทนง่วงไม่ไหวแต่ก็ยังไม่ถึงกับต้องใช้ยาม้า (สมัยนั้นยังเรียกว่ายาม้าอยู่ ยังไม่ได้เปลี่ยนชื่เป็นยาบ้า)

เอาไอ้นี่ละวะ ผมคิดในใจในขณะที่หยิบเครื่องดื่มกระทิงแดงออกมาจากตู้แช่ในร้านขายของชำ ตอนนั้นมียี่ห้อดังที่รู้จักกันดีก็เพียงกระทิงแดงกับลิโพ แต่ดูกระทิงแดงจะดังกว่า เพราะโฆษณาหนักมาก แต่จุดขายเน้นไปทางผสมเหล้ากินมากกว่าจุดขายที่กินแล้วหายง่วงเสียอีก ผมเลือกซื้อกระทิงแดง ราคาดูเหมือนจะขวดละ ๘ บาทหรือ ๑๐ บาท ไม่ค่อยแน่ใจนัก

เครื่องดื่มกระทิงแดงขวดแรกในชีวิตทำเอาผมแทบแย่ เพราะทำให้ผมตาค้างตั้งแต่หัวค่ำยันสว่าง แถมยังรู้สึกใจเต้นแรงอีกด้วย แม้ว่าจะดูหนังสือจนเพลีย อ่านอะไรก็ไม่รู้เรื่องแล้ว แต่ก็หลับไม่ลง ต้องนอนลืมตาโพลงจนสว่าง

แม้ว่ากระทิงแดงขวดแรกจะทำเอาผมแทบแย่ แต่แทนที่ผมจะเข็ด ตรงกันข้าม ในที่สุดผมก็ซื้อขวดที่สองมาดื่มอีก หลังจากนั้นก็เป็นขวดที่สาม สี่ และ ห้า แต่หลังจากนั้นผมก็เลิกดื่มเพราะว่าเสียดายเงิน ขวดละหลายบาท หันมาดื่มกาแฟแทน โดยซื้อกาแฟผงแบบอินสแตนต์ที่วางขายเป็นขวดมาชงดื่มแทน คิดดูแล้วประหยัดกว่า และหายง่วงได้เหมือนกัน ทีแรกที่ไม่ดื่มกาแฟเพราะเคยชิมแล้วขม ไม่ค่อยชอบ นักศึกษาในยุคนั้นก็ไม่ค่อยนิยมดื่มกาแฟนกัน ไม่มีร้านหรือแผงขายกาแฟมากมายดังเช่นทุกวันนี้ แต่เมื่อต้องการประหยัดก็ทนขมเอาหน่อย ผมจึงเริ่มดื่มกาแฟตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การเริ่มดื่มกาแฟของผมนั้นจึงไม่ได้ดื่มเพื่อความอร่อย และไม่ได้คิดว่ามันอร่อยแต่อย่างใด เพียงแต่ดื่มเพื่อให้หายง่วงเท่านั้น

- - -

“เฮ้ย อะไรวะ” ผมร้องเอะอะและรู้สึกจั๊กจี้ในรูจมูกคล้ายกับว่ามีอะไรมาแยงในรูจมูกของผมอยู่

เมื่อผมลืมตาขึ้นก็เห็นป้อมกำลังถือขนไก่เส้นหนึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าผม

“โอ๊ย พี่อู สอนป้อมอยู่ดีๆหลับเฉยเลย” ป้อมหัวเราะ “ป้อมเรียกหลายทีแล้วไม่ตื่นเลยเอาขนไก่แยงจมูกพี่อู ได้ผลแฮะ”

“นี่พี่หลับไปเหรอ” ผมพูดอย่างไม่เชื่อ

“ก็ใช่น่ะสิ”ป้อมยืนยัน แล้วมองผม ทำสีหน้าแบบจริงจัง “เมื่อคืนไปเที่ยวที่ไหนมา บอกป้อมมาเดี๋ยวนี้นะ”

“ก็ไปเที่ยวกับแฟนน่ะสิ ถามได้” ผมเห็นสีหน้าที่จริงจังของป้อมแล้วอดขำไม่ได้ เนื่องจากกำลังง่วงจึงตอบมั่วๆไป

สีหน้าของป้อมเปลี่ยนไปในทันที

“พี่อู... มีแฟนแล้วเหรอ ทำไมไม่เคยบอกป้อมเลย” ป้อมถาม

“ก็...” ผมพยายามคิดกุเรื่อง แต่ยังง่วงอยู่จึงคิดไม่ทัน “ก็ป้อมไม่ได้ถามนี่”

“แล้วแฟนพี่อูเป็นใคร สวยมั้ย” ป้อมถามอีก

เอ้อ แฟนเรานี่สวยไหมหว่า ผมไม่ทันได้นึกถึงมาก่อน

“ก็ระดับดาวคณะนั่นแหละ” ผมดำน้ำต่อไป ไหนๆก็ไหนๆ โม้ให้มันถึงที่สุดไปเลย

“มิน่าล่ะ ที่ผ่านมาพี่อูถึงได้รีบกลับนัก ที่แท้จะไปเที่ยวกับแฟนนี่เอง” ป้อมพูด

ผมเห็นป้อมเปลี่ยนสีหน้าและท่าทีเป็นจ๋อยสนิท ผมคิดว่าป้อมคงรู้สึกน้อยใจที่ผมให้เวลาแก่ป้อมน้อยเกินไปในช่วงที่ผ่านมา จึงพูดความจริงแก่ป้อม

“เฮ้ย พี่หลอกคุณชายเล่น เมื่อคืนพี่อดนอนก็เพราะเตรียมการสอนคุณชายนี่แหละ” ผมอธิบาย ช่วงหลังป้อมกับผมสนิทสนมกันมากขึ้น ภาษาที่ใช้จึงเปลี่ยนไปบ้างจากตอนต้นที่เริ่มรู้จักกัน “เพิ่งสอบที่รามเสร็จ เตรียมสอนไม่ทัน เลยเพิ่งมาเตรียมเอาเมื่อคืน”

“ฮึ ไม่เชื่อ” ป้อมยังหน้าเสียอยู่ “คำตอบแรกมักจะเป็นเรื่องจริงเสมอ”

แน่ะ ยังไม่เชื่ออีก เอาทฤษฎีอะไรมาอ้างก็ไม่รู้

“จริงๆ พี่ไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหน ก็พี่ยังไม่มีแฟนแล้วจะพาแฟนเที่ยวได้ยังไง” ผมอธิบายอีก

สีหน้าของป้อมดูสดชื่นขึ้นทันที

“คราวนี้พูดจริงนะ” ป้อมคาดคั้น “พี่อูยังไม่มีแฟนจริงๆเหรอ”

“ก็มัวแต่สอนคุณชาย เตรียมการสอนหามรุ่งหามค่ำนี่แหละ ไปเอาเวลาที่ไหนไปหาแฟน” ผมตอบ

“นี่แน่ะ” ป้อมเตะหน้าแข้งผม “แล้วมาหลอกป้อม”

“โอ๊ย เจ็บนะป้อม” ผมโวยบ้าง

“ดีแล้ว สมน้ำหน้า” ป้อมสะใจ

“ทำไมซาดิสต์ยังงี้ฟะ” ผมแกล้งบ่นดังๆ

“เอาอีกที” ป้อมต่อยแขนผมดังตุ้บ แล้วหัวเราะ

“โอ๊ยๆ ยอมแพ้แล้วๆ” ผมพูด ขืนต่อความยาวคงเจ็บตัวมากกว่านี้อีก

“ฮึ ให้มันรู้ซะบ้าง” ป้อมพูดอย่างผู้มีชัย

“เอ้า เลิกเล่นๆ เรียนต่อได้แล้ว” ผมยุติการคุยหยอกล้อก่อนที่จะเจ็บตัวมากกว่านี้

ป้อมยอมหยุดแต่โดยดี หลังจากนั้นเราก็เรียนกันต่อ ผมสอนป้อมต่อจนถึงช่วงบ่าย เมื่อจบหัวข้อภาษาอังกฤษตามที่เตรียมมา ผมก็เตรียมตัวกลับ อากาศในช่วงกลางฤดูร้อนร้อนอบอ้าว ร้อนจนผมไม่อยากเดินทางไปไหน

“เฮ้อ ไม่อยากออกไปตอนนี้เลย” ผมพูด “อากาศร้อนขนาดนี้กว่าพี่จะถึงบ้านคงละลายหมดก่อน”

“คนนะ ไม่ใช่ไอติม” ป้อมหัวเราะ “พี่อูก็อยู่ที่นี่ก่อนสิ เย็นๆค่อยกลับ”

“ไม่ได้หรอกป้อม พี่ยังมีงานที่ต้องทำอีกหลายอย่าง ไม่ได้ถูห้องมาหลายวันแล้ว ผ้าก็ยังไม่ได้ซัก” ผมพูด คิดถึงงานที่ต้องทำแล้วก็รู้สึกขี้เกียจขึ้นมา พร้อมกับนึกถึงบ้านที่มีอ่างอาบน้ำอย่างที่เห็นในโทรทัศน์ ผมคิดว่าในห้องนอนที่บ้านของป้อมก็คงมีอ่างอาบน้ำด้วยเหมือนกัน เพราะในยุคนั้นยังไม่ค่อยมีกระแสเรื่องการประหยัดทรัพยากรน้ำ มีแต่เรื่องประหยัดไฟฟ้า บ้านจัดสรรที่มีราคาหน่อยก็มักใส่อ่างอาบน้ำไว้ในสเปกบ้านด้วย “ร้อนๆแบบนี้ไม่อยากทำอะไรเลย อยากนอนแช่น้ำในอ่าง”

“จริงด้วย... เออ... ยังงั้นไปว่ายน้ำกันดีกว่าพี่อู” ป้อมพูด “ป้อมไม่ได้ว่ายน้ำมานานแล้ว อยากว่ายน้ำอีกเหมือนกัน แถวนี้มีสระว่ายน้ำอยู่ไม่ไกล ไปกันมั้ย”

คำพูดของป้อมทำให้ผมนึกได้ว่าป้อมเคยเป็นนักกีฬาว่ายน้ำมาก่อน

“วันนี้ต้องรีบกลับ ว่ายไม่ได้หรอก” ผมไม่เอาด้วย “ชุดก็ไม่มี”

“พรุ่งนี้ก็ได้ ไปนะไปนะ” ป้อมรีบต่อรอง

“ไม่เอาดีกว่า” ผมปฏิเสธอีก “บ้านป้อมไกลเหลือเกิน ถ้าต้องมาว่ายน้ำแถวนี้ กลับไปก็เหงื่อโชกเหมือนเดิม ไม่มีประโยชน์อะไร”

“ไปว่ายน้ำแถวบ้านพี่อูก็ได้” ป้อมต่อรองอีก “ไปนะไปนะ ปิดเทอมอยู่บ้านเซ็งจะแย่แล้ว”

“แถวบ้านพี่ไม่มีสระว่ายน้ำ” ผมตอบ “ถ้าจะว่ายน้ำต้องไปที่มหาวิทยาลัยโน่น”

“ยังงั้นไปที่มหาลัยก็ได้” ป้อมรีบพูด “ดีเลย อยากไปเที่ยวมหาลัยพี่อูบ้าง”

ผมเห็นสีหน้ามุ่งหวังของป้อมแล้วก็อดใจอ่อนไม่ได้ ที่จริงวันพรุ่งนี้ผมก็ไม่ได้ติดงานอะไรเป็นพิเศษ สอบที่รามก็เสร็จแล้ว ค่อนข้างว่างด้วยซ้ำ

“วันอาทิตย์ก็ชวนเพื่อนๆไปว่ายน้ำสิ จะมาชวนพี่ทำไม” ผมยังเล่นตัวต่ออีกนิดหน่อย

“เพื่อนกลุ่มป้อมไม่มีใครชอบว่ายน้ำสักคน” ป้อมตอบ พลางจับมือผมขึ้นมาโยกเล่น “อยากไปดูมหาลัยพี่อูด้วย ไปนะไปนะ”

“เอ้อ ก็ได้” ผมใจอ่อน ที่จริงอากาศร้อนๆแบบนี้ไปว่ายน้ำก็คงไม่เลวเหมือนกัน ความรู้สึกน่าจะดีกว่านอนแช่ในอ่างอาบน้ำ “งั้นไปว่ายน้ำตอนเช้าๆละกัน แดดอ่อนๆกำลังสบาย สายแล้วแดดแรง”

“เย้” ป้อมดีใจ “จะเจอกันกี่โมงล่ะ”

“แปดโมงเจอกันที่หน้ามหาลัยดีไหม” ผมเสนอ “ป้อมไปเองได้นะ”

“แปดโมงเนี่ยนะที่พี่อูว่าเช้า” ป้อมหัวเราะ “ป้อมไปถูกน่า ไม่ต้องห่วง”

“นี่แหละเช้าของพี่” ผมหัวเราะบ้าง “ติว่าสายเหรอ งั้นเจ็ดโมงครึ่งก็ได้ เร็วสุดได้แค่นี้แหละ ขี้เกียจตื่น”

- - -

เช้าวันรุ่งขึ้น

ผมมาถึงหน้ามหาวิทยาลัยตั้งแต่ยังไม่ถึงเวลาเจ็ดโมงครึ่ง แม้ว่าผมจะมาก่อนเวลา แต่ป้อมก็มาถึงก่อนผม

“มาสาย” ป้อมพูดเกทับผม

“ไม่สายเสียหน่อย ยังไม่เจ็ดโมงครึ่ง คุณชายมาเร็วเกินไปต่างหาก” ผมเถียง

วันนี้ป้อมใส่เสื้อยืด กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะ กางเกงขาสั้นเป็นแบบกางเกงเที่ยว เสื้อยืดลายและสีสันสดใส ต่างจากตอนอยู่ที่บ้านที่ใส่เสื้อยืดและกางเกงนักเรียนเก่าๆ

เราสองคนเดินเข้าไปในมหาวิทยาลัย ตอนเจ็ดโมงครึ่งของวันอาทิตย์ มหาวิทยาลัยแทบไม่เห็นคนเดิน คงมีเพียงพนักงานดูแลสถานที่ เราสองคนเดินย่ำพื้นหญ้าลัดสนามใหญ่ ความสงบเงียบและสายลมอ่อนยามเช้าทำให้ผมรู้สึกราวกับว่าเราสองคนกำลังเดินอยู่ในอุทยานส่วนตัว

สระว่ายในในเช้าวันนั้นมีคนเล่นเพียงไม่กี่คน ผมจ่ายเงินซื้อคูปองว่ายน้ำสองใบ จากนั้นก็พาป้อมเดินเข้าไปในสระและเดินไปที่ห้องเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว

ห้องเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวชายนี้เป็นทั้งห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ห้องอาบน้ำ ห้องสุขา และห้องล็อกเกอร์ รวมอยู่ในบริเวณเดียวกัน ห้องล็อกเกอร์มีล็อกเกอร์น้อยมาก และส่วนใหญ่มักเต็มอยู่เสมอคล้ายกับว่ามีเจ้าของประจำอยู่แล้ว นักศึกษาส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้ล็อกเกอร์ แต่ใช้วีธีเอาเสื้อผ้าและสมบัติส่วนตัวมาวางกองอยู่ที่ริมสระ ว่ายน้ำไปก็ชำเลืองมองข้าวของของตนเองไปด้วย

ห้องสุขาและห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าภายในสระว่ายน้ำแยกส่วนกัน มีอยู่เพียงอย่างละไม่กี่ห้อง ส่วนโถปัสสาวะชายไม่มีการแบ่งสัดส่วน เป็นรางเดียวยาวๆจะยืนกี่คนก็ได้ คล้ายกับห้องสุขาของ รด. ที่สระว่ายน้ำนี้ไม่มีห้องอาบน้ำ แต่เป็นลานอาบน้ำรวมที่ติดตั้งฝักบัวเอาไว้หลายหัว รวมความแล้วสระว่ายน้ำนี้มีไว้บริการนักศึกษาที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก ทุกอย่างจึงเป็นลักษณะของใช้ร่วมกัน เพื่อไม่ให้สิ้นเปลืองเนื้อที่และเพื่อนักศึกษาจะได้ไม่คอยคิวนาน มีที่ว่างก็เบียดอัดกันเข้าไปได้

ผมไม่ค่อยได้ใช้บริการสระว่ายน้ำบ่อยนักเพราะมัวเอาเวลาไปทำอย่างอื่นเสียหมด ตั้งแต่เรียนที่นี่เพิ่งจะมาว่ายน้ำเพียงสองสามครั้งเท่านั้น จึงไม่คุ้นเคยกับสถานที่เท่าไรนัก ผมวางเป้ลงบนเก้าอี้ยาวที่วางอยู่ในโซนล็อกเกอร์ หยิบกางเกงว่ายน้ำออกมาจากในเป้ ขณะที่ผมยืนถือกางเกงว่ายน้ำอยู่ในมือ เตรียมจะเดินไปเปลี่ยนในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้านั้นเอง ผมก็เห็นป้อมกอดกางเกงขาสั้นออกอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ถอดกางเกงในและเปลี่ยนเป็นกางเกงว่ายน้ำในห้องล็อกเกอร์นั้นเอง ชายเสื้อยืดที่คลุมส่วนสะโพกของป้อมอยู่ทำให้ผมเห็นอะไรไม่ชัดนัก แต่ผมก็มีโอกาสเห็นก้นที่งอนสวยได้รูปทรงอย่างรำไร

เมื่อป้อมใส่กางเกงว่ายน้ำเสร็จก็ถอดเสื้อยืดออก ภายในพริบตา ป้อมก็ยืนอวดเรือนร่างที่มีเพียงกางเกงว่ายน้ำทรงบิกีนีเพียงตัวเดียว...

“ป้อมเปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว โอ๊ย พี่อู ทำไมช้ายังงี้” ป้อมหัวเราะในความเก้กังของผม




<เครื่องดื่มชูกำลังในยุคที่ผมเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยนั้นเท่าที่จำได้มีอยู่สามยี่ห้อ คือ ลิโพวิตันดี กระทิงแดง และเอ็ม ๑๕๐ อาจ มียี่ห้ออื่นอยู่บ้างแต่ก็ไม่ดังและอยู่ในท้องตลาดไม่ได้นานก็ล้มหายตายจากไป ลิโพนั้นเป็นยี่ห้อเก่าแก่ที่สุด ตอนนั้นวางตลาดมาได้สิบกว่าปีแล้ว ส่วนกระทิงแดงมาทีหลัง แต่ทุ่มโฆษณามากอย่างเทียบกันไม่ได้

เครื่องดื่มชูกำลังในอดีตจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งสองยี่ห้อที่ว่านี้ด้วย มีส่วนผสมคล้ายกัน นั่นคือ ส่วนผสมหลักเป็นกาเฟอีน มีฤทธิ์กระตุ้นประสาท ทำให้หายง่วง และน้ำตาลกลูโคส ทำให้รู้สึกสดชื่น และแต่งกลิ่นรสให้น่าดื่ม นอกจากนี้ยังเติมวิตามินและอาจมีการเติมกรดอะมิโนบางตัว หรือสมุนไพรบางชนิด เพื่อให้ดูว่ามีส่วนผสมหลายอย่าง ดื่มแล้วคุ้มค่า อีกทั้งยังนำไปโฆษณาอ้างสรรพคุณได้ การตลาดของลิโพจับกลุ่มลูกค้าคนทำงาน คนขับรถ ดื่มให้สดชื่น โฆษณาไม่หวือหวาเท่าไร ส่วนกระทิงแดงใช้โฆษณาที่หวือหวาเหนือกว่าลิโพมาก เน้นสรรพคุณบำรุงตับ ใช้ดื่มร่วมกับเหล้าเพื่อไม่ให้ตับพังเร็ว ดังนั้นนอกจากจับกลุ่มผู้ใช้แรงงานและคนขับรถแล้วยังจับกลุ่มคนดื่มเหล้าอีกด้วย นอกจากนี้ยังในยุคนั้นยังมีกระทิงแดงชนิดแปคซูลอีกด้วย ขายเป็นกล่อง กล่องละ ๑๐ แคปซูล ราคาประมาณ ๒๐ บาท แต่แบบแคปซูลเห็นวางขายอยู่เพียงไม่กี่ปีก็เลิกไป ซึ่งสมัยนี้คงทำโฆษณาแบบที่เห็นในภาพนี้ไม่ได้เพราะคงโดน อย. เล่นงาน แต่ในยุคนั้นใช่ว่าไม่มี อย. ตอนนั้นมีกฎหมาย อย. ที่ควบคุมโฆษณาอาหารและยาอยู่แล้วเช่นกัน

ผลจากโฆษณาทำให้ในยุคนั้นมีกระแสดื่มเหล้าร่วมกับกระทิงแดง เพราะนักดื่มเชื่อว่าบำรุงตับได้จริง ทำให้สินค้าขายดีมาก แต่หากเป็นผู้บริโภคในยุคปัจจุบันซึ่งมีความรู้มากขึ้น เมื่อได้อ่านโฆษณาในอดีตชิ้นนี้ คงมีคำถามเกิดขึ้นในใจมากมาย โดยเฉพาะคำถามด้านจริยธรรมทางธุรกิจ>


ดูโฆษณาลิโพวิตันดีในปี ๒๕๒๔




<ตำนานสยามสแควร์ (2)>




ดังที่ได้เล่าไปแล้วว่าในยุคต้นรัชกาลที่ ๔ หรือประมาณ พ.ศ. ๒๔๐๐ อันเป็นช่วงปีที่วังสระปทุมและวัดปทุมวนารามสร้างเสร็จนั้น ในยุคนั้นถนนการก่อสร้างถนนหนทางมีอยู่เพียงภายในพระนคร หรือว่าภายในเขตกำแพงพระนครเท่านั้น พื้นที่นอกกำแพงพระนครอาศัยการคมนาคมทางน้ำเป็นหลัก ส่วนทางถนนนั้นเป็นเพียงทางธรรมชาติสำหรับม้า เกวียน เท่านั้น ดังนั้นการตั้งถิ่นฐานในยุคนั้นจึงตั้งอยู่ภายในกำแพงพระนครกับตามตามแนวเส้นทางคมนาคมทางน้ำ โดยหากเป็นธุรกิจการค้าก็ตั้งอยู่ตามเส้นทางน้ำที่สำคัญ เช่น ริมน้ำเจ้าพระยา ปากน้ำสมุทรปราการ ฯลฯ ส่วนการตั้งถิ่นฐานของประชาชนทั่วไปก็อยู่ตามแนวคลองเป็นหลัก เช่น ริมคลองพระโขนง ริมคลองแสนแสบ ฯลฯ ส่วนพื้นที่บริเวณสยามสแควร์ในยุคนั้นเป็นเพียงท้องนานอกกำแพงพระนครที่มีประชาชนอาศัยเพียงเบาบางเท่านั้น

ภาพในตอนนี้มีสี่ภาพย่อย

ภาพบนสุดเป็นภาพถ่ายสภาพของกรุงเทพฯภายในเขตกำแพงพระนครในปี พ.ศ. ๒๔๑๑ อันเป็นปีที่รัชกาลที่ ๔ สวรรคต ถนนหนทางเป็นถนนดิน ภาพนี้ถ่ายหน้าพระบรมมหาราชวัง ยังมีการใช้ช้างและมีเพนียดช้างตั้งอยู่ริมถนน

ภาพที่สองจากบน เป็นภาพถ่ายในปี พ.ศ. ๒๔๐๔ แสดงให้เห็นการตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนตามแนวลำคลองนอกกำแพงพระนคร บ้านในยุคนั้นตั้งอยู่ริมชายคลอง หรือไม่เช่นนั้นก็เป็นเรือนแพหรือเรือบ้าน คืออาศัยเรือเป็นบ้านไปเลย

ภาพที่สามจากบน เป็นภาพท้องนาในกรุงเทพฯ ในปี พ.ศ. ๒๔๔๓ ซึ่งเป็นสมัยรัชกาลที่ ๕ แล้ว ผมหาภาพในสมัยรัชกาลที่ ๔ ไม่ได้ แต่ภาพนี้ก็ทำให้พอจะจินตนาการและเห็นบรรยากาศได้ว่าท้องทุ่งปทุมวันหรือสยามสแควร์ในยุค ๒๔๐๐ นั้นมีสภาพเป็นอย่างไร

ภาพล่างสุด เป็นภาพถ่ายสยามสแควร์ในปัจจุบัน ตรงทางเข้าออกของห้างสยามพารากอน ตรงแยกที่ตัดกับถนนอังรีดูนังต์ ลูกศรเหลืองในภาพชี้ไปที่โครงสร้างสะพานเก่าคือสะพานเฉลิมเผ่า ๕๖ สะพานนี้เป็นหลักฐานที่บ่งชี้ถึงแนวคลองอรชรอายุ ๑๕๐ ปี ที่ขุดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ เพื่อใช้เป็นคลองส่งน้ำเข้าสระบัวใหญ่ทั้งสองสระ รวมทั้งใช้เป็นทางสัญจรเข้าออกจากวังสระปทุมไปสู่คลองแสนแสบ