Monday, October 29, 2012

ภาคสี่ ตอนที่ 64

“น้องอู ชั้นสี่ รับโทรศัพท์” เสียงเรียนจากลำโพงอินเตอร์คอมประจำชั้นสี่ดังขึ้นในตอนกลางคืน

“ครับ...” ผมออกไปยืนที่หน้าห้องแล้วแหกปากตะโกนตอบ “ไปเดี๋ยวนี้”

ผมวิ่งลงไปบันเพื่อไปยังชั้นล่าง เมื่อลงไปถึงก็ตรงไปที่เครื่องโทรศัพท์และหยิบหูที่วางอยู่นอกเครื่องขึ้นมา ใครโทรมากันนะ

“ฮัลโหล” ผมพูด

“โอ๊ย นานจริงกว่าจะมา” เสียงจากปลายสายอีกด้านหนึ่งบ่น เสียงนั้นเป็นเสียงงุ้งงิ้งคล้ายเสียงแมว

“พี่ลงมาจากชั้นสี่นะ เร็วกว่านี้ไม่ได้หรอก เดี๋ยวตกบันไดตาย” ผมหัวเราะ รู้สึกดีใจที่ได้ยินเสียงนี้ เมื่อบ่ายตอนนั่งรถกลับจากบ้านก็นึกถึงหน้าเจ้าของเสียงนี้มาตลอดทาง ไม่ได้เจอกันหลายวันไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง พร้อมทั้งคิดถึงว่าพรุ่งนี้จะสอนอะไรดี

“พี่อูทำอะไรอยู่” เสียงงุ้งงิ้งนั้นถามอีก

“กำลังคุยโทรศัพท์อยู่” ผมตอบ

“เฮอะ” เสียงนั้นร้องเบาๆ “กวนได้อีกนะ แล้วเมื่อกี้ล่ะ ทำอะไร”

“เมื่อหนึ่งนาทีที่แล้วก็คุยโทรศัพท์อยู่” ผมตอบอีก

“โอ๊ย เอาคำตอบจริงๆดิพี่อู” ทางโน้นเริ่มโวย

“อ้าว พี่ก็ตอบตามจริง ป้อมก็ถามให้ชัดเจนหน่อยสิ อย่างเช่นว่าเมื่อสิบนาทีที่แล้วพี่ทำอะไรอยู่” ผมยวนอีก

“ไม่ถามแล้ว เบื่อคนสติไม่ดี” เสียงงุ้งงิ้งจากอีกด้านหนึ่งหรือน้องป้อมพูด

“แล้วคนที่คุยกับคนสติไม่ดีได้นี่เป็นคนประเภทไหนกันล่ะ” ผมต่อปากต่อคำ วันนี้ไม่รู้ว่าเป็นอะไร เหมือนกัน เมื่อก่อนก็ไม่เคยกระเซ้าเย้าแหย่กับป้อมขนาดนี้

“วันนี้พี่อูเมายาม้ามาเหรอ” ป้อมหัวเราะ

“เปล่าหรอก แต่อยากแกล้งคน” ผมตอบแล้วก็หัวเราะบ้าง “แล้วป้อมโทรมาหาพี่มีเรื่องอะไรละเนี่ย”

“ก็อยากรู้ว่าพี่อูกลับมาหรือยัง พรุ่งนี้จะมาสอนหรือเปล่า” ป้อมตอบ

“สอนสิ” ผมตอบ “งานคือเงิน เงินคืองาน ไม่สอนแล้วจะเอาเงินที่ไหนใช้”

“สอนที่ไหนกัน มาแล้วก็มานอนหลับ” ป้อมพูด “ขากลับมีตะขาบบนหน้าด้วย กิ๊วๆ ขึ้นรถเมล์อายเขาไหม”

“อย่าพูดเอะอะไป เดี๋ยวมีใครได้ยิน” ผมหัวเราะ “ตะขาบตัวนี้น่ารักออก พี่ยังไม่ได้ลบทิ้งเลย ว่าจะเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึก”

“โอ๊ย ยังงี้ป้อมไม่เดินด้วยแล้วนะ” ป้อมหัวเราะบ้าง

“ป้อม...” ผมพูดแล้วหยุดคิดนิดหนึ่ง “วันอาทิตย์ไปดูหนังกันมั้ย”

“นี่พี่อูชวนป้อมเหรอ” ป้อมทำเสียงแปลกใจ

“เอ้อ...” ผมอึกอัก “มีหนังที่พี่อยากดูน่ะ เลยลองชวนป้อมดู เผื่อป้อมอาจจะอยากดูหนังบ้าง”

“ไปสิๆ” ป้อมรีบตอบ ยังไม่ได้ถามด้วยซ้ำว่าเป็นหนังเรื่องอะไร “แล้วไปว่ายน้ำด้วยหรือเปล่า”

“ก็ได้” ผมตอบ “ดีเหมือนกัน ได้ออกกำลังกาย”

เราคุยสัพเพเหระกันต่ออีกครู่หนึ่ง จนเสียงสัญญาณเตือนใกล้ครบห้านาทีดังขึ้น ผมจึงรีบจบการสนทนาจากนั้นก็วางสายลง

“น้องอู...” พี่พร คนดูแลหอพักเรียกผมแบบลากเสียงยาว พร้อมกับทำสีหน้าอมยิ้ม “คุยกับใครเหรอ”

“เพื่อนน่ะครับ” ผมตอบแบบระวังตัว ปกติพี่พรไม่ค่อยซักถามเรื่องการคุยโทรศัพท์ของผม จะมีอยู่บ้างก็ตอนที่มีเรื่องนายเอกเข้ามา “ทำไมเหรอครับพี่พร”

 “ก็เห็นน้องอูคุยหัวร่อต่อกระซิก หน้าบานเป็นจานเชิง” พี่พรตอบพร้อมกับหัวเราะ

พี่พรใส่คำขยายจนเห็นภาพ ผมรู้สึกหนาววูบที่ทำอะไรไปโดยไม่ระวังตัว ปกติพยายามระวังตัวเรื่องการคุยโทรศัพท์อยู่แล้ว แต่วันนี้ทำไมเผลอได้ก็ไม่รู้ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าพี่พรกำลังระแวงอะไรผมอยู่หรือเปล่า หรือแค่แซวไปเรื่อยเปื่อย

“เปล่าพี่” ผมรีบปฏิเสธ “แซวกันไปแซวกันมาขำๆน่ะครับ”

พูดจบผมก็รีบเดินหนีขึ้นห้องไปทันที

-    - -

วันเสาร์นั้นเป็นวันที่ผมรู้สึกสดชื่นอย่างประหลาด หลายครั้งทีเดียวที่ผมรู้สึกเบื่อกับการเดินทางไกลเพื่อไปสอนป้อม แต่วันนี้ผมกลับรู้สึกกระตือรือร้น

เมื่อมาถึงหน้าบ้านของป้อม ผมเกิดกริ่งที่หน้าประตู สักครู่เดียวใบหน้าที่ผมคุ้นเคยก็โผล่ออกมาตอนรับที่ประตูเล็ก

“สวัสดีคร้าบคุณชาย” ผมทัก

“เย้ พี่อู” ป้อมร้องอย่างดีใจ จนผมลังเลใจอยู่วูบหนึ่ง มองถุงในมือว่าจะให้ดีหรือเปล่า...

ผมเดินเข้าไปในบ้านพร้อมกับยื่นถุงที่อยู่ในมือให้ป้อม ให้ไปก็แล้วกัน ไหนๆก็เตรียมมาแล้ว

“พี่มีของมาฝากป้อมด้วย ไปบ้านทีไรชอบทวงนัก คราวนี้จะได้ไม่ต้องทวง” ผมพูด

ดวงตาของป้อมเป็นประกายเมื่อเห็นถุงขนม เอื้อมมือจะมารับ

“เดี๋ยวก่อน” ผมชักถุงขนมกลับ “ในนี้มีอยู่สองอย่าง ป้อมเลือกได้อย่างเดียว”

“มีอะไรบ้างล่ะ” ป้อมถาม “ให้หมดไม่ได้เหรอ ทำไมขี้เหนียวยังงี้”

“ให้ได้อย่างเดียว ไม่บอกด้วยว่าเป็นอะไร” ผมหัวเราะ พลางยื่นถุงขนมออกไปใหม่แล้วแง้มปากถุงให้เปิดออก “ป้อมวัดดวงล้วงออกมาอย่างหนึ่ง ได้อะไรก็เอาอย่างนั้นแหละ”

“แน่ะ มีเล่นเกมด้วย” ป้อมหัวเราะสนุก พลางยื่นมือล้วงเข้าไปในถุง ป้อมขยับมืออยู่ในถุงสักครู่ ทำสีหน้าแปลกใจ แล้วดึงมือออกมาพร้อมกับดูของที่อยู่ในมือ

“เฮ้ย” ป้อมสะดุ้งโหยง หน้าถอดสี พร้อมกับขว้างสิ่งที่ล้วงได้ลงกับพื้น

สิ่งที่ป้อมทิ้งลงมาเป็นตะขาบสีน้ำตาลดำตัวใหญ่ แน่นอน มันเป็นตะขาบปลอมที่ทำจากยาง แต่ว่าทำสีสันได้เหมือนจริง ดูน่ากลัวมาก วัสดุยางทำให้มันยืดหยุ่นและดิ้นไปมาได้ ยิ่งเหมือนจริงเข้าไปใหญ่ ป้อมเห็นวูบแรกถึงกับตกใจ ผมหัวเราะก๊ากด้วยความสะใจ

ใบหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นบึ้งตึง “มาแกล้งป้อม”

ผมยังหัวเราะขำ รู้สึกภูมิใจที่แกล้งป้อมได้สำเร็จ ผมนึกมุขที่จะแก้เผ็ดป้อมอยู่หลายวัน ในที่สุดก็เห็นตะขาบตัวนี้ได้โดยบังเอิญจากพ่อค้าเร่ที่เร่ขายของหลอกเด็ก พวกงูยาง ตะขาบยาง นิ้วขาด ฯลฯ ที่อยู่หน้าสถานีขนส่งหมอชิต ผมจึงได้ความคิดขึ้นมา

ป้อมเดินหันหลังกลับเข้าบ้านโดยไม่สนใจผมอีก ผมรีบหยุดหัวเราะเมื่อเห็นป้อมโกรธจริงๆ แล้วรีบเดินตามเข้าบ้านไป เมื่อเข้าไปถึงในห้องเรียนป้อมก็นั่งลงที่เก้าอี้อย่างเงียบๆ

“ป้อม” ผมเรียก พลางนั่งลงที่ด้านตรงข้าม เห็นใบหน้าของป้อมบึ้งตึง ผมเริ่มใจไม่ดี

ฉิบหายแล้ว เช้าวันใหม่ เพิ่งจะเจอกันก็เป็นเรื่องเสียแล้ว ผมคิดในใจ

“ป้อม โกรธพี่เหรอ” ผมถาม พลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้

ป้อมไม่ยอมพูดอะไร แต่ลุกหนีไปนั่งที่โซฟา ผมรีบเดินตามไปนั่งลงข้างๆ

“ป้อม ทำไมแค่นี้ต้องโกรธด้วย พี่แค่ล้อเล่น” ผมพูด ยังนึกงงอยู่เหมือนกันว่าทำไมแหย่แค่นี้ต้องโกรธด้วย ทีป้อมเขียนตะขาบบนหน้าผม ผมยังไม่โกรธเลย

ป้อมยังไม่พูดอะไร แต่สีหน้ายิ่งบึ้งตึงหนักยิ่งขึ้น ทำให้ผมยิ่งใจไม่ดี

“ป้อม พูดกับพี่หน่อยสิ” ผมพูดอีก “ล้อเล่นหน่อยเดียว ทำไมป้อมต้องโกรธพี่ด้วย”

“ใครๆก็ล้อป้อม แกล้งป้อม ป้อมนึกว่ามีแต่พี่อูคนเดียวที่ไม่แกล้งป้อมเสียอีก...” ป้อมพูดโพล่งขึ้นมา เสียงของป้อมแหบเครือ

โอย ตายห่าแล้ว ผมนึกคร่ำครวญอยู่ในใจ พร้อมกับนึกเสียใจที่ไม่น่าคิดแกล้งป้อมจนเป็นเรื่องบานปลายขึ้นมา ดูเหมือนว่าการกระทำของผมไปกระตุ้นต่อมน้อยใจของป้อมขึ้นมา หากเป็นคนอื่นอาจไม่มีอะไรมาก แต่ป้อมที่ถูกล้อเลียนปมด้อยมาตลอดชีวิตอาจมีความรู้สึกอ่อนไหวกับเรื่องเหล่านี้ แม้ว่าผมจะไม่เข้าใจความรู้สึกของป้อมดีนัก แต่ประสบการณ์ที่ผมคบกับตี๋มานานทำให้ผมรู้ว่าครั้งนี้ผมทำพลาดไปจริงๆ

“เอ้อ คุณชาย พี่ขอโทษนะ” ผมพูดอย่างเสียใจ “พี่ขอโทษจริงๆ พี่แค่อยากล้อป้อมเล่น แต่ไม่นึกเลยว่าป้อมจะโกรธ พี่ขอโทษ”

ป้อมยังหน้าก้มหน้ายิ่ง ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ

“ป้อม หายโกรธพี่นะ” ผมพยายามอ้อนวอน “พี่ขอโทษ... พี่ให้ต่อยหน้าทีนึงด้วยเอ้า”

ผมพูดพลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้ป้อม... ใกล้จนได้กลิ่นสบู่อ่อนๆระเหยออกมาจากเรือนกายของป้อม

พลั่ก

“โอ๊ย” ผมร้อง “เฮ้ย ต่อยจริงๆเหรอ”

ป้อมชกหน้าผมไปทีหนึ่งโดยที่ผมไม่ทันระวัง แม้ว่าผมจะยื่นหน้าให้ป้อมชกแต่ไม่นึกว่าป้อมจะชกจริงๆ ป้อมชกผมไม่แรงแต่เข้าเบ้าตาพอดี ผมกุมเบ้าตาด้วยความเจ็บปวด

“โอย... จะตาบอดไหมเนี่ย โอย ปวดเหลือเกิน” ผมร้องครวญคราง พลางล้มตัวลงนอนบิดบนโซฟา

“พี่อู” ป้อมอุทานด้วยน้ำเสียงตกใจ พลางลุกขึ้นมา แล้วเดินมาจับมือที่กุมเบ้าตาของผมออกเพื่อดูอาการ “ป้อมไม่ได้ตั้งใจ...”

“แหะๆ หายแล้ว” ผมเอามือออกจากเบ้าตาพร้อมกับยื่นหน้าไปใกล้ๆเพื่อให้ป้อมดูให้ถนัด เมื่อป้อมเห็นดังนั้นก็จะถอยห่างออกไป แต่ผมจับแขนของป้อมเอาไว้

“เดี๋ยวก่อนป้อม ป้อมอย่าเพิ่งหนี มาคุยกันก่อน” ผมพูดอย่างจริงจัง พลางรั้งให้ป้อมนั่งลงข้างๆ “พี่ขอโทษป้อมนะ ขอโทษจริงๆ”

ผมพูดอย่างเสียใจ หยุดนิดหนึ่งแล้วพูดต่อ

“ป้อมอย่าโกรธพี่เลยนะ บอกหน่อยสิว่ายกโทษให้พี่แล้ว” ผมอ้อนป้อม “เร้ว พี่ขอโทษป้อมแล้ว ป้อมก็ยกโทษให้พี่เถอะ นะนะนะ”

ป้อมนั่งนิ่ง ความเงียบนั้นเหมือนกับผมได้สัมผัสความรู้สึกบางอย่างในตัวของป้อม มันใช่ความโกรธ แต่มันเป็นความน้อยเนื้อต่ำใจ ความรู้สึกอยากเข้าไปกอดน้องน้อยผู้น่าสงสารคนนี้วูบขึ้นมา แต่ผมพยายามหักห้ามใจเอาไว้

“พูดหน่อยเร็ว พี่ขอร้องละ” ผมพูดพร้อมจับมือป้อมมาบีบเบาๆ ผมรู้สึกว่ามือของผมเปียกชื้น ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเหงื่อที่ซึมออกมาจากมือของใคร “ป้อม พี่ขอโทษ และขอร้องป้อมด้วย พูดกับพี่หน่อย”

ผมอ้อนวอนอย่างถึงที่สุด

ป้อมนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ เหมือนกับคิดอะไรอยู่ ในที่สุดก็พยักหน้าพร้อมกับพูดเบาๆ

“ฮื่อ ก็ได้”

“ดีใจจัง คุณชายหายโกรธแล้ว” ผมพูดแก้เก้อ รู้สึกเขินเหมือนกันที่อ้อนป้อมเสียขนาดนั้น มันเป็นสิ่งที่ผมไม่นึกว่าจะทำมาก่อน ทำไปได้อย่างไรก็ไม่รู้เหมือนกัน และเมื่อนึกขึ้นได้ว่าผมยังบีบมือป้อมอยู่ ผมก็รีบคลายมือออก

“...”

“หายโกรธจริงนะ” ผมอ้อนอีก

“...” ป้อมไม่พูดแต่พยักหน้า

เราสองคนนั่งเงียบกันอยู่ครู่หนึ่ง จนผมรู้สึกอึดอัด...

“เอ้อ ถ้าหายโกรธแล้ว เราไปเรียนกันก่อนดีกว่าป้อม” ผมตัดบทเปลี่ยนเรื่องเอาดื้อๆ หลังจากแก้ไขสถานการณ์ไปได้แล้ว ตอนนั้นผมไปต่อไม่ออกจริงๆ ได้แต่ตัดไปเข้าบทเรียน

“ไม่เอา ไม่อยากเรียนแล้ว” ป้อมพูด

“น่า น้องป้อม ทนเรียนหน่อยนะ” ผมพูดอย่างจริงจัง “พี่ก็เข้าใจว่าป้อมคงยังไม่อยากเรียน แต่นี่เป็นงานของพี่ เป็นหน้าที่ของพี่ เอายังงี้ วันนี้เราเรียนกันเบาๆ พี่สัญญาว่าจะไม่ดุป้อมเลย ตกลงมั้ย”

ป้อมพยักหน้าพลางลุกขึ้นยืน และเดินไปนั่งที่โต๊ะเรียน แม้ว่าป้อมจะโกรธผม แต่ก็โกรธเพียงไม่นาน ป้อมก็ยังเป็นเด็กว่าง่ายสำหรับผมเสมอ ความว่าง่ายของป้อมยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิดและพร้อมกันนั้นก็รู้สึกสนิทสนมกับป้อมมากยิ่งขึ้น...

-    - -

วันอาทิตย์

ในวันต่อมา ผมไปว่ายน้ำและไปดูหนังกับป้อมตามที่ได้นัดกันเอาไว้ ด้วยความที่ผมรู้สึกผิดที่แกล้งป้อม วันนั้นผมจึงเอาใจป้อมเต็มที่ ผมยอมเลิกกฎผลัดกันสั่งอาหารตามที่เคยตกลงกันไว้กับป้อม ผมสั่งอาหารให้ป้อมทุกอย่างโดยที่ป้อมไม่ต้องพูดสั่งอาหารเองเลย ยิ่งนานผมยิ่งรู้สึกว่าตนเองไม่ใช่ครูสอนพิเศษ แต่เป็นพี่เลี้ยงหรือพี่ชายของป้อมมากกว่า

“โอย ป้อมอิ่ม กินไม่ไหวแล้วพี่อู” ป้อมพูดกับผมขณะที่นั่งกินอาหารเที่ยงจานสุดท้ายจนหมด ป้อมรวบช้อมซ่อมพลางเอนตัวพิงพนักแบบอ่อนแรง “วันนี้สั่งเยอะจัง กว่าจะสวาปามเข้าไปหมด เฮ้อ...”

“วันนี้พี่เลี้ยงเพื่อขอโทษป้อมน่ะ อยากทำอะไรสักอย่างเพื่อชดเชยให้ป้อม” ผมพูดตามตรง ป้อมรู้ดีว่าผมพูดเรื่องอะไร

ผมรู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าแข้ง ป้อมกำลังเตะหน้าแข้งผมอยู่ที่ใต้โต๊ะอาหาร

“เจ็บมั้ย” ป้อมถามยิ้มๆ

“ไม่เจ็บ” ผมตอบ

“เจ็บมั้ย” ป้อมเตะอีก คราวนี้แรงขึ้นกว่าเดิม

“ไม่เจ็บ” ผมกัดฟันพูด

“ฮ่ะฮ่ะ” ป้อมหัวเราะอย่างพออกพอใจ

“อ้าว พอแล้วเหรอ” ผมถามเมื่อรู้สึกว่าป้อมหยุดเตะแล้ว

“พอแล้ว” ป้อมตอบ “ป้อมรู้แล้วว่าพี่อูจริงใจ...”

คำพูดของป้อมทำให้ผมถึงกับอึ้ง คำพูดสั้นๆนั้นทำให้ภาพในอดีตมากมายไหลพรูเข้ามาในห้วงความคิด พร้อมกับความรู้สึกหลายๆอย่างที่อธิบายไม่ถูกก็ไหลประดังเข้ามาในใจของผม...

-    - -

ตอนกลางคืน

“น้องอู ชั้นสี่ รับโทรศัพท์” เสียงพี่พรดังจากอินเตอร์คอมในตอนดึก

“คร้าบ ไปเดี๋ยวนี้” ผมออกไปยืนตอบอินเตอร์คอมที่หน้าห้อง พลางรีบลงไปที่ชั้นล่าง

“ฮัลโหลลลล...” ผมรีบรับโทรศัพท์ด้วยความดีใจ พลางพูดกรอกเข้าไปในลำโพงด้วยเสียงแผ่วเบา อีกทั้งยังหันหลังให้พี่พรด้วยเพื่อไม่ให้พี่พรจับสังเกตท่าทางและน้ำเสียงของผมได้อีก “สวัสดีคร้าบ”

การเที่ยวกับป้อมเมื่อตอนกลางวันผมรู้สึกสนุกมากที่สุด ไม่เคยเที่ยวกับป้อมครั้งไหนแล้วมีความสุขเท่ากับในครั้งนี้ ผมคิดว่าป้อมเองก็คงสนุกไม่แพ้กัน ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรทำให้ผมแน่ใจว่าโทรศัพท์สายนี้เป็นป้อมโทรมา

“อู ทำไมวันนี้พูดเพราะจัง” เสียงผู้หญิงพูดจากปลายสายอีกด้านหนึ่ง น้ำเสียงแปลกใจ ปรากฏว่าความรู้สึกของผมผิดโดยสิ้นเชิง

“อ้อ แม่” ผมงงไปชั่ววูบแล้วก็ตั้งหลักได้ “ก็อยากพูดเพราะๆให้แม่ชื่นใจมั่งไง”


ผมทำเนียน ไม่รู้เหมือนกันว่าแม่จะเชื่อหรือเปล่า

“นี่รอคุยกับสาวอยู่เหรอ” แม่พูดเหมือนกับรู้ทันพร้อมกับหัวเราะ แม่รู้ทันผมก็จริง แต่ก็ไม่ได้รู้ไปทั้งหมด... แม่พูดถูกเพียงแค่ครึ่งเดียว...

“แม่โทรมาต้องมีอะไรแน่เลย” ผมเฉไฉ “มีอะไรเหรอแม่”

“ก็มีน่ะสิ” แม่ตอบ พร้อมกับวกเข้าเรื่อง “ป๊าอยากดูบ้านทาวน์เฮาส์ที่อูพูดถึง อูช่วยนัดเจ้าของบ้านเพื่อดูบ้านหน่อย วันอังคาร พุธ หรือพฤหัสนี้ วันไหนก็ได้”

“หา จริงเหรอแม่” ผมพูดอย่างแทบไม่เชื่อหู

“แค่ดูนะ อย่าหวังมาก” แม่ตอบ “นี่เอ๊ดกับแม่ช่วยกันคะยั้นคะยอป๊า บอกให้ลองไปดูหน่อย อูอุตส่าห์เลือกมาให้ตั้งเยอะตั้งแยะ เดี๋ยวอูจะเสียใจ”

“ถ้าไม่สนใจก็ใม่ต้องนัดหรอกแม่” ผมได้ยินคำพูดของแม่แล้วก็ใจฝ่อ ความหวังและความดีใจหายไปหมด “ถ้าไม่มีความคิดจะซื้ออยู่เลย ดูหรือไม่ดูมันก็เท่ากันนั่นแหละ ช่างเถอะแม่”

“ก็ป๊าเค้าตกลงว่าจะไปดูแล้วนี่” แม่พูด “เอาตามนี้แหละ พูดกลับไปกลับมาเดี๋ยวป๊าเคืองอีก อีกหน่อยจะยิ่งพูดยากนะอู”

“ยังงั้นก็ได้ พรุ่งนี้อูจะนัดให้แล้วจะโทรไปบอกแม่อีกที” ผมตอบ

ในที่สุดพ่อก็ตกลงจะมาดูบ้านให้ แต่ในใจของผมไม่ได้รู้สึกยินดีเลยแม้แต่น้อย เพราะผมรู้ดีว่าดูไปก็เท่านั้น พ่อมาดูให้อย่างเสียไม่ได้เพราะถูกคะยั้นคะยอ ผมไม่ได้มีความคาดหวังอะไรกับการมาดูบ้านของพ่อกับแม่ในครั้งนี้เลย...

Monday, October 1, 2012

ภาคสี่ ตอนที่ 63


“พี่อู พี่อู พี่อูโว้ย” เสียงป้อมเรียกพร้อมกับเอาเท้ามาเขี่ยที่เท้าของผมทำให้ผมสะดุ้งตื่น

“เอ้อ มีอะไรเหรอป้อม เดี๋ยวนี้เอาตีนเขี่ยพี่เลยเหรอ” ผมทำเสียงดุทั้งๆที่ยังงัวเงีย

“ก็ป้อมเรียกตั้งหลายทีพี่อูก็ยังนั่งหลับ เลยต้องลงมือลงไม้” ป้อมพูดด้วยเสียงดุบ้าง แต่ถึงดุยังไงก็ยังเป็นเสียงงุ้งงิ้ง “จะมาสอนหนังสือหรือจะมานั่งหลับกันแน่”

“นี่พี่หลับไปเหรอ” ผมยังไม่หายงัวเงีย พยายามคิดทบทวนว่าเมื่อกี้ทำอะไรอยู่ “ไม่ได้หลับเสียหน่อย”

“หลับไปตั้งนาน ยังจะเถียงอีก” ป้อมเอาสองเท้าของป้อมมาหนีบเท้าของผมเอาไว้แล้วถูเล่น พร้อมกับมองหน้าผมแล้วถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พี่อูเหนื่อยเหรอ”

น้ำเสียงที่จริงจังพร้อมกับสายตาห่วงใยที่ป้อมจ้องดูผม ผมรู้สึกอบอุ่นวูบขึ้นมาในหัวใจ ความรู้สึกแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับผมมานานแล้วนับแต่ตั้งผมกับบอยเริ่มเหินห่างกัน ผมรู้สึกแปลกใจตนเองที่ทำไมจู่ๆจึงเกิดความรู้สึกนี้ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งได้

“ฮื่อ เมื่อคืนพี่อดนอนนิดหน่อยน่ะ มีเรื่องต้องทำหลายอย่าง” ผมตอบ ที่จริงไม่ใช่เรื่องธุระสำคัญอะไรหรอก เพียงแต่พวกคนในหอมาใช้ห้องผมเป็นโรงหนังชั่วคราวและดูอยู่จนดึกเท่านั้นเอง

“งั้นพี่อูไปนอนที่โซฟาสักงีบก่อนไหม” ป้อมพูด สองเท้ายังถูเท้าของผมเล่นอยู่ เหมือนพี่น้องที่สนิทกันกำลังคุยเล่นกัน

“ไม่หรอก” ผมปฏิเสธ พร้อมทั้งพูดดักอย่างรู้ทัน “ทำยังงั้นได้ไง เฮอะ ป้อมจะหาโอกาสอู้ละสิ”

“ไม่อู้ พี่อูไปนอนก่อนไป เดี๋ยวป้อมนั่งทำการบ้านไปเรื่อยๆ ไม่ต้องเป็นห่วง” ป้อมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังอีก ดูไม่คล้ายกับการปล่อยมุข “ป้อมอยากให้พี่อูพักบ้าง”

“แน่ใจนะ” ผมเริ่มคล้อยตาม ที่จริงก็ง่วงเต็มทน ข้อเสนอของป้อมเย้ายวนจนผมไม่อาจปฏิเสธได้

“ไว้ใจได้น่า” ป้อมรับรอง

“งั้นของีบสักสิบห้านาทีก็แล้วกัน เดี๋ยวครบเวลาแล้วถ้าพี่ไม่ตื่นก็ปลุกได้เลย” ผมกำชับ พร้อมกับยืดตัวลุกขึ้นจากที่นั่ง แล้วย้ายไปนอนที่โซฟาแทน

- - -

“เฮ้ย ตายละ นี่มันสี่โมงกว่าแล้วนี่” ผมโวยวายกับป้อมหลังจากที่ตื่นขึ้นมาและดูนาฬิกาข้อมือ “พี่บอกให้ป้อมปลุกแล้วทำไมไม่ปลุก”

“พี่อูนอนยังกะหมู เรียกเท่าไรก็ไม่ยอมตื่น ยังจะมาว่าป้อมอีก” ป้อมดุกลับ

“ไม่จริงหรอก” ผมไม่เชื่อ

“ถ้าพี่อูไม่เชื่อก็ไปส่องกระจกดูสิ” ป้อมพูดพลางทำหน้าเหมือนกับอมยิ้ม

“ส่องกระจกดูทำไมกัน” ผมงง

“ก็ไปส่องกระจกดูจะได้รู้ว่าพี่อูง่วงขนาดไหนไง” ป้อมอมยิ้มอีก

“ไม่เอา ไม่ต้องส่องหรอก พี่หายง่วงแล้ว” ผมพูด แต่ก็ยังอดบ่นป้อมไม่ได้ “ดีนะที่พ่อไม่มาเห็น ไม่งั้นพี่โดนหักเงินแน่”

“ป้อมอุตส่าห์หวังดี ปล่อยให้นอนสบายๆ ยังจะมาว่าป้อมอีก” ป้อมทำหน้าน้อยใจ “ไปผูกคอตายดีกว่า”

ผมได้คิด ที่ป้อมพูดมันก็จริง ป้อมหวังดีแต่ผมกลับเอาแต่ต่อว่าป้อม ผมไม่น่าจริงจังกับเรื่องนี้เกินไป

“อะ อะ พี่ขอโทษคร้าบ” ผมเดินไปโอบไหล่ป้อม “คุณชายพูดถูก พี่ไม่ควรต่อว่าคุณชายเลย”

ป้อมเอามือโอบแขนของผมเอาไว้ พลางเอียงหน้าซบท่อนแขนของผม เราอยู่ใกล้กันจนผมได้กลิ่นหอมอ่อนๆจากตัวของป้อม ความอบอุ่นจากแก้มของป้อมแผ่ซ่านมาตามท่อนแขนของผมและค่อยๆลามไปสู่หัวใจ... ผมรู้สึกว่าภายในตัวของผมเริ่มมีอุณหภูมิสูงขึ้น กางเกงที่ใส่อยู่ก็เริ่มอึดอัด...

ผมดึงแขนออกจากซอกแก้มของป้อม จากนั้นเอาสมุดของป้อมมานั่งตรวจดู ป้อมทำงานไปได้เยอะทีเดียว แสดงว่าไม่ได้อู้ตามที่ได้รับปากเอาไว้จริงๆ

“ดีมาก” ผมชมป้อม “วันนี้ทำได้เยอะแฮะ ต่อไปพี่ต้องหลบไปนอนอีกน่าจะดี ป้อมจะได้ทำงานเยอะๆ”

“เฮอะ นอนแล้วติดใจละสิ” ป้อมประชด

ผมหัวเราะ พลางปิดสมุดของป้อมลง

“พี่ต้องกลับแล้วละ เย็นแล้ว” ผมพูด พลางเก็บของลงในเป้

“พี่อู พรุ่งนี้ว่างหรือเปล่า” ป้อมถาม

“ก็ทำงานบ้าน ไม่มีอะไรพิเศษ” ผมตอบ

“งั้นตอนเช้าไปว่ายน้ำกัน แล้วสายๆไปดูหนัง” ป้อมชวน

“เอางั้นเหรอ” ผมพูดอย่างลังเล ผมไม่ได้ลังเลที่จะไปเที่ยวกับป้อม เพียงแต่ลังเลเรื่องการไปว่ายน้ำนิดหน่อย

“นะ นะ ไปนะพี่อู” ป้อมทำสีหน้าอ้อนสุดชีวิต

“ก็ได้ ไปสิ” ผมตอบตกลงอย่างง่ายดาย “จะดูหนังเรื่องอะไรล่ะ”

จากนั้นเราก็คุยกันเรื่องหนังที่ป้อมอยากดู หลังจากตกลงเรื่องหนังและนัดเวลากัน ผมก็หิ้วเป้เตรียมกลับบ้าน

“ไปละ พรุ่งนี้เจอกัน” ผมอำลาป้อม

“เดี๋ยวก่อนพี่อู” ป้อมหัวเราะ เมื่อป้อมเห็นผมงงก็หัวเราะอีก “พี่อูไปส่องกระจกก่อนแล้วค่อยกลับบ้าน”

ผมเอะใจ รีบเดินไปที่ห้องน้ำเพื่อส่องกระจกทันที

ที่หน้ากระจกเงา ผมเห็นที่แก้มของผมมีรอยเย็บเป็นตัวตะขาบสีน้ำเงินยาวเฟื้อย รอยเย็บนี้ไม่ใช่รอยเย็บจริงๆแต่เป็นรอยสีเมจิก คนที่เขียนรอยนี้ลงบนหน้าผมจะเป็นใครอื่นไปไม่ได้

“เฮ้ย มันมาได้ไง” ผมเอะอะ แกล้งทำเป็นไม่รู้ว่าใครทำ

“ฝีมือป้อมเองแหละ” ป้อมหัวเราะชอบใจ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงภูมิใจ “อยากเรียกแล้วไม่ตื่น ดูสิ เขียนขนาดนี้พี่อูยังไม่ตื่นเลย”

หากเป็นเมื่อก่อนผมคงโกรธ แต่วันนี้ผมกลับรู้สึกขำไปด้วย ไม่ได้โกรธป้อมเลย เห็นสีหน้าที่แจ่มใสของป้อมแล้วทำให้โกรธไม่ลง

ผมเอาสบู่ล้างรอยตะขาบที่แก้มออก แต่สีเมจิกไม่ได้ล้างออกง่ายๆ ป้อมเอาสก็อตไบรต์ขัดอ่างมาช่วยถู

“บ๊องใหญ่แล้วป้อม” ผมดุ พลางเบือนหน้าหลบสก็อตไบรต์ “เอาไอ้นี่ถูหน้าพี่พังพอดี”

“สก็อตไบรต์พังละไม่ว่า” ป้อมหัวเราะอีก ดูป้อมอารมณ์ดีมากที่สามารถแกล้งผมได้

หลังจากล้างอยู่ชั่วครู่ รอยตะขาบบนใบหน้าก็จางลงไปบ้างแต่ก็ยังออกไม่หมด

“แล้วจะกลับบ้านยังไงวะเนี่ย” ผมเปรย “อายเค้าตายเลย”

“อยู่ค้างคืนที่นี่ก็ได้พี่อู” ป้อมชวน “ดีเสียอีก พรุ่งนี้รีบออกแต่เช้าได้เลย ไม่ต้องไปๆมาๆ”

ผมรู้สึกอบอุ่นวูบขึ้นมาในใจอีกครั้งหนึ่ง มันเป็นข้อเสนอที่ผมคาดไม่ถึง แต่ก็แสดงให้เห็นว่าป้อมให้ความสนิทสนมกับผมมากเพียงใด

“ไม่ได้หรอก ไม่ได้เอาชุดอะไรมาเลย พรุ่งนี้ใส่ชุดนี้อีกพอดีเน่า” ผมตอบ ที่จริงเรื่องชุดก็ปัญหาหนึ่ง แต่ปัญหาที่สำคัญก็คือไม่รู้จะพูดกับพ่อแม่ของป้อมยังไงมากกว่า

ในที่สุดผมก็กลับบ้านทั้งๆที่มีรอยตะขาบสีเมจิกจางๆอยู่บนใบหน้า ตลอดทางที่กลับบ้าน หลายคนในรถเมล์มองผมอย่างขำๆ แต่ผมแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

- - -

การเที่ยวในสัปดาห์นั้นดูป้อมสนุกมาก ส่วนผมเองก็รู้สึกสนุกไปด้วยเช่นกัน เราปล่อยมุขใส่กันบ่อยๆ ยิ่งนานป้อมก็ยิ่งช่างพูด ย้อนหลังไปเมื่อหลายเดือนก่อน ป้อมในวันนี้กับป้อมเมื่อหลายเดือนก่อนแทบเป็นคนละคนกัน ส่วนผมเองก็เริ่มรู้สึกว่าการวางตัวของตนเองเปลี่ยนไปเช่นกัน ยิ่งนานผมก็ยิ่งไม่เหมือนกับครูสอนพิเศษของป้อม แต่เหมือนกับเป็นพี่ชายหรือพี่เลี้ยงมากกว่า

“วันพุธนี้พี่อูมาใช่มั้ย” ป้อมพูดกับผมก่อนที่เราจะแยกย้ายกันกลับบ้านในตอนเย็น

ช่วงปิดเทอม บางครั้งผมก็มาติวให้ป้อมในระหว่างสัปดาห์ด้วย แรกๆก็ไม่ค่อยอยากไปนักเพราะว่าไกล แต่มาระยะหลังๆหากสัปดาห์ไหนไปสอนเพียงวันเดียวผมกลับรู้สึกเหงาๆเหมือนกับชีวิตขาดอะไรไปบางอย่าง

“พรุ่งนี้พี่จะกลับบ้าน” ผมตอบ “อาจจะอยู่บ้านหลายวันหน่อย คงมาอีกทีวันเสาร์มากกว่า”

“เหรอ” ป้อมดูหน้าจ๋อย “งั้นวันอาทิตย์หน้าเรามาดูหนังกันอีกนะ”

เรื่องวันพุธกับเรื่องวันอาทิตย์ดูไม่ค่อยจะเกี่ยวกันเท่าไร แต่ป้อมก็โยงเข้ามากี่ยวกันจนได้

“ได้ ไปสิ” ผมตามใจ ตอบตกลงในทันที

“เดี๋ยวนี้พี่อูพูดง่ายจัง” ป้อมหัวเราะ

หลังจากนั้นเราก็แยกย้ายกันกลับ ระหว่างที่รอรถเมล์ที่หน้ามาบุญครอง ผมคิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อยเปื่อย ตั้งแต่รู้แน่ว่าผมหมดหวังเรื่องบ้านแล้วผมก็เซ็งไปมาก อุตส่าห์พยายามเดินหาบ้านที่ถูกใจจนรองเท้าสึก แต่แล้วก็ไม่มีเงินซื้อ ความพยายามที่สูญเปล่าบั่นทอนกำลังใจผมไปมาก ดีที่สองวันนี้ได้เจอป้อม ทำให้รู้สึกหายเซ็งไปได้ ยามอยู่กับป้อมทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น แต่เมื่อแยกจากกัน ผมก็กลับมาคิดเรื่องเดิมอย่างเซ็งๆอีก

คิดเรื่อยเปื่อยอยู่นานทีเดียว ตอนนั้นรู้สึกท้อ คิดว่าจะเลิกสนใจเรื่องบ้านแล้ว เอาไว้เรียนจบแล้วค่อยหาเงินซื้อบ้านเองก็ได้ แต่แล้วก็ทำใจไม่ได้ แม้ในยามที่แทบจะสิ้นหวังผมก็มักมีความหวังเหลืออยู่ใยหนึ่งเสมอ จะเรียกว่าหวังลมๆแล้วๆหรือรอปาฏิหาริย์ หรือจะเรียกอะไรก็ตามที แต่ทุกครั้งที่มีเรื่องให้สิ้นหวังผมก็มักรู้สึกเช่นนี้เสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน...

ผมเกิดนึกอยากได้นิตยสารบ้านและที่ดินขึ้นมาอีก จึงแวะเข้าไปซื้อที่ร้านหนังสือข้างในมาบุญครอง แล้วซื้อมาอีกสองสามฉบับ

หลังจากที่กลับถึงหอพัก ผมก็เอานิตยสารฉบับเก่ากลับมาย้อนอ่านดูอีกครั้งหนึ่ง รวมทั้งฉบับใหม่ที่ซื้อมานี้ด้วย โดยในครั้งนี้ผมให้ความสนใจทาวน์เฮ้าส์เป็นพิเศษ ครั้งก่อนผมไม่ค่อยสนใจทาวน์เฮ้าส์นัก เพียงแค่อ่านผ่านๆ หลังที่ไปดูมาแล้วก็ดูแบบไม่ค่อยอยากได้ คือไหนๆผ่านไปแล้วก็ดูไปยังงั้นเอง เพราะใจอยากได้บ้านเดี่ยวมีรั้วรอบขอบชิดมากกว่า แต่เมื่อที่บ้านไม่มีกำลังพอ ผมก็หันมาสนใจทาวน์เฮ้าส์เพราะว่ามีราคาถูกกว่า บางที... ถ้าโชคดีก็อาจได้ทาวน์เฮ้าส์ที่ถูกใจและราคาไม่แพงสักหลัง บางทีพ่ออาจพอมีกำลังซื้อก็ได้

- - -

วันพุธ

ผมออกเดินทางเพื่อกลับบ้านต่างจังหวัดตั้งแต่เช้าตรู่ รถทัวร์วิ่งผ่านถนนเส้นเดิม... ถนนที่พาผมกลับสู่บ้านเกิด แม้จะเป็นเส้นทางเดิม แต่กาลเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไป เส้นทางกลับบ้านของผมในครั้งนี้สองข้างทางมีแต่ต้นไม้สีซีดเพราะอมฝุ่นเอาไว้ ทุ่งนาสีน้ำตาลหลังเกี่ยวข้าว และผืนดินที่แห้งแล้งเพราะขาดน้ำ...

ขณะที่อยู่ในรถทัวร์ ขณะที่ดูทิวทัศน์สองข้างทาง ผมก็ปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปไกล...

ผมไม่ได้กลับบ้านในวันจันทร์ตามที่ได้พูดไว้กับป้อม ทั้งนี้ เนื่องจากผมใช้เวลาในวันจันทร์กับอังคารเพื่อดูทาวน์เฮ้าส์มือสอง แน่นอน ผมต้องเดินจากปากทางลาดพร้าวยันซอยโชคชัยสี่ใหม่อีกครั้งหนึ่ง เพราะนอกจากผมเดินดูบ้านตามประกาศในนิตยสารแล้วผมยังอาศัยการดูป้ายประกาศขายตามปากซอยและตามเสาไฟฟ้าในซอยด้วย คราวก่อนไม่ได้สนใจทาวน์เฮ้าส์อย่างจริจัง ครั้งนี้จึงต้องมาเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด

แสงแดดกลางหน้าร้อนร้อนอย่างสาหัส ผมรู้สึกว่าเพียงแค่สองวันที่ผมเดินตากแดด ผิวของผมคล้ำลงไปอีกมาก การเดินตระเวนดูทาวน์เฮ้าส์ในรอบนี้ได้ผลไม่ค่อยดีนัก ไม่มีที่ถูกใจมากๆเลยสักหลัง แต่ก็อาจเป็นเพราะว่าผมฝังใจกับการอยู่บ้านเดี่ยวก็ได้ จึงไม่ค่อยเปิดใจยอมรับทาวน์เฮ้าส์นัก แต่ที่พอกล้อมแกล้มรับได้ก็มีอยู่หลังหนึ่ง อยู่ในซอยภาวนา ราคาล้านต้นๆ แม้ว่าจะเก่าและดูยังแพงอยู่ แต่ก็ตั้งอยู่ในทำเลที่เดินทางสะดวก เดินไม่ไกลก็ถึงถนนใหญ่แล้ว น่าจะต่อรองราคาได้อีก แต่ก็มีตะขิดตะขวงใจอยู่บ้างคือบ้านหลังนี้อยู่ในละแวกเดียวกับบ้านคุณลุงคุณป้า หากได้อยู่ที่นี่จริงสักวันคงต้องเดินปะกันที่หน้าปากซอยบ่อยๆเป็นแน่

ผมเดินลงจากรถประจำทางที่หน้าบ้าน ตอนนั้นเป็นเวลาสายแล้ว แสงแดดยามสายร้อนแรงราวกับตอนเที่ยง ผมสังเกตว่าปีนี้แถวบ้านของผมดูแห้งแล้งกว่าปกติ บรรยากาศที่แห้งแล้งดูแล้วเศร้าปนเหงา จู่ๆผมก็รู้สึกเหงาขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ

ผมเดินเข้าบ้านอย่างเงียบๆ ผ่านหน้าร้านที่เงียบเชียบไม่มีลูกค้า ทักทายกับลูกน้องของพ่อนิดหน่อย จากนั้นก็เดินเข้าสู่ชั้นใน วันนี้ผมเห็นพ่อนั่งทำงานอยู่ในห้องทำงาน จึงแวะเข้าไปทัก

“ป๊า” ผมชะโงกหน้าเข้าไปในห้อง “อูกลับมาแล้ว”

“อ้อ อู” พ่อเงยหน้าจากกองบิลและเอกสารอื่นๆ “เป็นไงบ้างล่ะ”

“ปีนี้อากาศร้อนเหลือเกิน อูว่าบ้านเราร้อนกว่าทุกปีเลยนะ” ผมชวนคุย

“ป๊าก็ว่ายังงั้น ปีนี้แถวบ้านเราแล้งกว่าทุกปีจริงๆด้วย” พ่อเห็นด้วย

“เอ๊ดอยู่ไหมป๊า” ผมถามถึงเอ๊ด

“อยู่ข้างใน” พ่อตอบ “เข้าไปหาแม่สิ แม่บ่นถึงอูบ่อยๆว่าไม่ค่อยกลับบ้าน” พ่อพูดด้วยเสียงเรียบๆ ไม่มีน้ำเสียงต่อว่าหรือประชดประชันแต่อย่างใด

ผมออกจากห้องทำงานของพ่อและเดินเข้าไปในบ้าน เดินไปจนถึงห้องครัวจึงเห็นแม่และเอ๊ดอยู่ในนั้น แม่กำลังทำครัวส่วนเอ๊ดเป็นผู้ช่วย

“แม่” ผมทัก “เป็นไงบ้างเอ๊ด”

“อู” แม่ทำเสียงแปลกใจ “ทำไมมาเงียบยังงี้ละ”

“แล้วต้องให้ตีฆ้องมาก่อนเหรอแม่” ผมกวน

“ก็ทุกทีอูมาต้องเอะอะเอ็ดตะโร วันนี้มาเงียบๆ ไม่สบายหรือเปล่า” แม่รู้สึกผิดสังเกต

จริงสินะ แม่ไม่ทักผมก็แทบไม่ได้สังเกตตนเองเหมือนกัน ทุกครั้งที่ผมมมาผมมักเอะอะจริงๆด้วย

“ไม่มีอะไรหรอกแม่ อากาศร้อน อูเลยรู้สึกเนือยๆ” ผมอธิบาย พูดไปยังงั้นแหละ ที่จริงผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมวันนี้ผมจึงรู้สึกเนือย

“เห็นว่าช่วงนี้ดูบ้านเป็นการใหญ่เลยเหรอ” เอ๊ดทัก

“ฮื่อ” ผมตอบ “เนี่ย สองวันนี้ก็ไปดูมาอีก โคตรร้อนเลย เดินแล้วเหมือนจะละลาย”

“จะไปดูอีกให้เหนื่อยทำไม” แม่ถอนใจแล้วพูดเบาๆ “ก็บอกแล้วว่ายาก”

“แม่ ฟังอูก่อนสิ คราวนี้อูไปดูทาวน์เฮ้าส์มา ราคาประมาณล้านบาทต้นๆเอง” ผมพูด “อูรู้ว่าซื้อบ้านไม่ไหว เลยลองไปดูเป็นทาวน์เฮ้าส์แทน”

ผมเอาเป้ลงจากไหล่ จากนั้นดึงข้อมูลที่จดเอาไว้ออกมา เมื่อพูดถึงเรื่องบ้านผมก็กระตือรือร้นขึ้นมาทันที

“แม่ดูนี่สิ” ผมพูดพลางกางข้อมูลที่จดออกมาดู

“โอ๊ย แม่ทำครัวอยู่ ยังไม่ดูหรอก” แม่ปฏิเสธ มือกำลังง่วนอยู่กับการหั่นผัก

ผมจ๋อย ดูแม่ไม่ค่อยสนใจนัก ทั้งๆที่แม่เองก็เป็นคนที่เปรยเรื่องบ้านขึ้นมา เมื่อเห็นแม่ไม่สนใจผมก็รู้สึกท้อขึ้นมาอีก

“ไหนอู เอามาดูกันหน่อยสิ” เอ๊ดเรียกผม ผมรู้ดีว่าเอ๊ดทำเพื่อรักษากำลังใจของผม

ผมเอารายละเอียดของบ้านคุณอาคม และทาวน์เฮ้าส์ในซอยภาวนาให้เอ๊ดดู แล้วก็บรรยายรายละเอียดให้ฟังตามที่ได้ไปดูและคุยกับเจ้าของบ้านมา

“เอ๊ดได้งานหรือยัง” ผมถาม

“ได้แล้ว อยู่บางกระดีโน่น” เอ๊ดตอบ

“จังหวัดอะไรหว่า” ผมงง ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน “จะไปเลี้ยงปลาเหรอ”

“บางกระดี อยู่ปทุมธานี ไม่ใช่ปลากระดี่” เอ๊ดหัวเราะ

“แล้วเริ่มงานเมื่อไร พักที่ไหนล่ะ” ผมอยากรู้

“เริ่มงานต้นเดือนพฤษภา คงต้องหาที่พักแถวโรงงาน” เอ๊ดตอบ “อยู่ใกล้โรงงานก็สะดวกหน่อย ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง”

ผมพยักหน้ารับรู้ จากนั้นเราก็คุยกันต่อในเรื่องอื่นๆ

ผมพักอยู่ที่บ้านสามวันและเดินทางกลับในเย็นวันศุกร์ ผมมีโอกาสคุยกับพ่อและพูดเรื่องทาวน์เฮ้าส์ให้พ่อฟัง พ่อฟังแล้วก็เฉยๆ พ่อเฉยนี่ไม่แปลก แต่แม่ก็เฉยและเอ๊ดก็เฉยด้วยนี่สิ ที่ทำให้ผมหมดกำลังใจ

“แม่ อูไปละนะ” ผมลาแม่ก่อนจะออกจากบ้านในตอนหลังเที่ยงของวันศุกร์ หลังจากที่กินอาหารเที่ยงเสร็จ

“เมื่อไรจะมาอีกล่ะ” แม่ถาม “ช่วงนี้เอ๊ดได้อยู่บ้านนานหน่อย แต่ต่อไปทำงานแล้วก็คงไม่ค่อยได้กลับบ้าน”

น้ำเสียงของแม่ฟังแล้วใจหายนิดๆ ผมอดสะท้อนใจไม่ได้ แม่คงรู้สึกเหงา ผมเข้าใจความเหงาดีเพราะว่ามันเป็นเพื่อนสนิทของผมมาแต่ไหนแต่ไร

“แม่” ผมพูด “แม่คุยกับป๊าเรื่องบ้านให้หน่อยสิ ทาวน์เฮ้าส์ก็ได้ เอ๊ดทำงานอยู่ที่ปทุมฯ ถ้ามีบ้านก็คงไปกลับได้ทุกวันหรืออย่างน้อยก็กลับเสาร์อาทิตย์ แม่เองก็อาจจะมาพักอยู่กับอูกับเอ๊ดได้บ่อยๆ มันน่าจะดีนะแม่”

“แล้วจะปล่อยป๊าอยู่บ้านคนเดียวได้ไง ทำยังงั้นไม่ได้หรอก” แม่พูดเฉไปเรื่องพ่อ เป็นยังงั้นไป แม่ห่วงนั่นพะวงนี่ โน่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ดี จนผมไม่รู้จะพูดยังไง ผมรู้สึกว่าการกลับบ้านในครั้งนั้นล้มเหลวไม่เป็นท่า