Tuesday, June 5, 2012

ภาคสี่ ตอนที่ 60

ผมยืนตะลึง ตลอดเวลาที่ผ่านมาแม้ว่าผมกับป้อมจะสนิทกันยิ่งขึ้นทุกวัน แต่ผมก็เห็นป้อมเพียงแค่ในชุดเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นเท่านั้น

ภาพที่ผมเห็นตรงหน้าเป็นป้อมที่มีเพียงกางเกงว่ายน้ำตัวจิ๋วปกปิดกาย ป้อมมีผิวกายสีน้ำผึ้ง ลำตัวอวบเล็กน้อย แต่หัวไหล่ที่หนา แผ่นอกที่แน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ และต้นขาที่อวบใหญ่ ยังคงบ่งบอกร่องรอยของนักกีฬาว่ายน้ำเก่าเอาไว้ เป้ากางเกงว่ายน้ำของป้อมที่เห็นเป็นลำชัดเจนออกมาทำให้ผมต้องแอบกลืนน้ำลายไปหลายอึก

“ไปกันเร็ว พี่อู” ป้อมเร่งผมอีก พลางเอื้อมมือมาจับมือผมลากให้เดิน

ผมตื่นจากภวังค์ รีบหยิบเสื้อผ้าและเดินตามป้อมออกไปจากห้องแต่งตัว เมื่อไปถึงริมสระ วางจัดแจงวางเสื้อผ้าลงบนที่นั่งริมสระ จากนั้นก็รีบโดดลงน้ำทันที เช้าวันนั้นสระว่ายน้ำค่อนข้างว่าง มีคนมาว่ายน้ำรวมทั้งผมและป้อมประมาณ ๑๐ คนเท่านั้น

“เฮ้อ เย็นสบาย” ป้อมพูดหลังจากโดดลงน้ำมาและมายืนอยู่ข้างๆตัวผม “ไม่ได้ว่ายน้ำตั้งนานแล้ว”

“ที่ว่านานนี่นานแค่ไหน” ผมถาม

“ก็ตั้งแต่เลิกแข่งนั่นแหละ ตอนจบ ม.๓” ป้อมตอบ “พอเรียน ม.๔ ก็มัวแต่เรียน ไม่ได้ลงสระอีกเลย”

“มิน่าล่ะ อ้วนเชียว” ผมเหน็บ

“นี่แน่ะอ้วน” ป้อมหัวเราะแล้วเอามือผลักน้ำให้กระเซ็นสาดใส่ผม “ไม่อ้วนซะหน่อย แน่จริงว่ายน้ำแข่งกับป้อมดีกว่า”

“พี่ยอมแพ้ ไม่สู้หรอก” ผมตอบ “พี่ได้แค่ว่ายน้ำป๋อมแป๋ม จะเอาอะไรไปแข่งกับนักกีฬาว่ายน้ำ”

“งั้นว่ายไปด้วยกัน ไม่ต้องแข่งก็ได้” ป้อมโอนอ่อนผ่อนตาม

เราสองคนว่ายน้ำไปด้วยกันตามความยาวของสระ ว่ายไปได้หลายรอบจนผมรู้สึกเหนื่อยจึงหยุดพัก ป้อมก็หยุดพักด้วยเช่นกัน

ป้อมเอามือเสยผมที่เริ่มยาวปรกหน้าผาก หยดน้ำที่เกาะที่ใบหน้า หัวไหล่ และแผ่นอกเป็นเสมือนมุกที่ประดับบนเรือนกาย ช่วยขับเน้นให้ผิวกายสีน้ำผึ้งของป้อมดูเด่น แผงอกที่อูมได้รูปทรงและหัวนมสีชมพูทำให้ผมอดคิดฟุ้งซ่านไม่ได้

“เหนื่อยเหมือนกันแฮะ ขอพักก่อน” ผมพูด

“ป้อมก็เหนื่อย พี่อูช่วยพาป้อมไปส่งที่ขอบสระหน่อย” ป้อมพูด แถมไม่พูดเปล่า กระโดดขึ้นขี่หลังผมทันที “ไปเร็ว ม้าใช้”

“นี่แน่ะ ม้าใช้” ผมเอื้อมมือไปเขกกะโหลกป้อมที่เกาะอยู่บนหลังของผม ความหนาแน่นของน้ำทำให้เกิดแรงพยุง ผมจึงไม่รู้สึกหนักแต่อย่างใด

ป้อมเอาแขนโอบรอบคอผม แผ่นอกและหน้าท้องของป้อมแนบชิดกับแผ่นหลังของผม ใบหน้าของป้อมแทบจะจรดกับใบหน้าของผม

“หนักวุ้ย โยนทิ้งดีกว่า” ผมแกล้งพูด พลางสลัดตัวป้อมให้หลุดจากลำตัวของผม

“เฮอะ ม้าพยศเหรอ” ป้อมหัวเราะ พลางโอบผมแน่นยิ่งขึ้น ขาของป้อมเกี่ยวล็อกกับต้นขาของผมแน่น ขาของป้อมเสียดสีกับต้นขาของผมไปมาและบางทีก็ล่วงเลยมาจนเสียดสีกับกางเกงว่ายน้ำ...

แม้น้ำในสระจะเย็นสบาย แต่ผมกลับรู้สึกว่าร่างกายของผมร้อนผ่าวไปทั้งตัว หัวใจของผมเต้นแรง... ผมกลัวว่าขาที่เกี่ยวตวัดรัดพันของป้อมจะสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างในร่างกายของผม...

โครม...

ผมสลัดป้อมจนหลุด ป้อมหล่นลงไปในน้ำ เมื่อตั้งตัวได้ก็โผมาขี่หลังผมอีก ผมรีบกระโดดหนีการตามล่าของป้อม แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้น...

“นี่แน่ะ พยศนัก” ป้อมกระตุกปอยผมของผมเล่น พลางหัวเราะชอบใจ

“อะ ยอม ยอม” ผมพูด “เป็นม้าให้ก็ได้ แต่อย่ากอดแน่นสิ พี่หายใจไม่ออก”

“แล้วอย่าพยศอีกนะ” ป้อมพูดอย่างมีชัย พลางคลายวงแขนและขาที่กอดรัดผมเอาไว้

ผมปล่อยให้ป้อมขี่หลังและพาเดินไปจนถึงขอบสระ ป้อมปีนขึ้นจากหลังของผมไปนอนหงายบนพื้นขอบสระ กางเกงว่ายน้ำทรงบิกินีตัวจิ๋วเมื่อเปียกน้ำก็ยิ่งแนบเนื้อ เห็นรอยลำภายในกางเกงนูนเด่นอย่างชัดเจน

“เฮ้อ สบายจังวันนี้” ป้อมพูดอย่างอารมณ์ดี “พี่อูขึ้นมาพักก่อนสิ”

“ไม่ล่ะ” ผมปฏิเสธ “แช่น้ำเล่นดีกว่า เย็นดี”

เราว่ายน้ำอยู่ประมาณชั่วโมงกว่า จนรู้สึกว่าแดดเริ่มร้อนแล้วจึงเลิก วันนี้ดูป้อมสนุกมาก ใบหน้าของป้อมแดงและแจ่มใส

“พาป้อมขึ้นจากสระที” ป้อมพูดพลางโผมาเกาะหลังผมอีก

วันนี้ไม่รู้เป็นอะไร ดูป้อมจะชอบกอดรัดผมเสียจริง เมื่อผิวกายของป้อมเสียดสีกับผิวกายของผม ใจและกายที่เริ่มสงบของผมก็ระทึกปั่นป่วนขึ้นมาอีก

“เอ้อ ป้อม” ผมพูด “ปล่อยพี่ก่อน พี่ต้องรีบขึ้นแล้วล่ะ”

“มีอะไรเหรอ” ป้อมสงสัย

“พี่ปวดอึ” ผมพูด “เร้ว ปล่อยพี่ก่อน จะรีบไปเข้าส้วม”

“เฮ้อ พี่อูนี่วุ่นวายจริง” ป้อมดุ พลางโดดลงจากหลังของผม “รีบไปเร็วเข้า”

“พี่คงอาบน้ำแต่งตัวไปเลย แล้วเดี๋ยวเจอกัน” ผมพูด พลางปีนขึ้นจากสระอย่าร้อนรนจากนั้นรีบวิ่งตัวงอไปที่ห้องส้วมที่อยู่ในบริเวณเดียวกับห้องล็อกเกอร์ชาย...

- - -

ผมใช้เวลาอยู่ในห้องส้วมพักใหญ่ รอจนป้อมอาบน้ำเสร็จผมจึงออกมาอาบน้ำบ้าง ผมรีบอาบน้ำอย่างรวดเร็วที่สุด พยายามไม่คิดฟุ้งซ่านเพื่อไม่ให้ขายหน้าป้อม จนในที่สุด เราทั้งสองคนก็อาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยและเดินออกมาจากสระว่ายน้ำ ป้อมดูสนุกมากในวันนี้ สำหรับผมเองก็รู้สึกสนุกเช่นกัน แต่เป็นความรู้สึกที่มีความรู้สึกแปลกๆเจือปน ซึ่งผมเองก็จำแนกไม่ถูกเหมือนกันว่าความรู้สึกแปลกๆที่เจือปนเข้ามานั้นเป็นความรู้สึกประเภทใดกันแน่

ป้อมเดินคุยอย่างอารมณ์ดี เราสองคนเดินกลับในเส้นทางเก่า นั่นคือ เดินตัดสนามหญ้าใหญ่เพื่อไปยังประตูมหาวิทยาลัย

“คุณชายจะกลับบ้านเลยหรือเปล่า” ผมถาม

“ป้อมหิว” ป้อมพูด “ไปหาอะไรกินกันก่อนดีกว่า”

“นั่นสิ พี่ก็หิวเหมือนกัน งั้นเราไปหาอะไรกินกัน” ผมคล้อยตาม

สถานที่กินของเราก็หนีไม่พ้นศูนย์อาหารที่ชั้นสองของตลาดสามย่าน ตอนนั้นยังเช้าอยู่ แต่ร้านอาหารก็เปิดขายแล้วประมาณครึ่งหนึ่ง

“ที่นี่แหละ ที่ฝากปากท้องของพี่” ผมพูดขำๆและแนะนำให้ป้อมรู้จักกับศูนย์อาหารตลาดสามย่าน “ปกติตอนเช้ากับเที่ยงพี่กินที่โรงอาหารในมหาวิทยาลัย ส่วนตอนเย็นกับวันหยุดก็มักจะมากินที่นี่กับเพื่อนๆที่ชมรม ของกินเยอะดี”

ผมพาป้อมไปกินที่ร้านประจำของผมที่เป็นร้านอยู่ใกล้บันไดตรงห้องกวดวิชา หากกินขนมกับจุ๋มก็จะไปที่ร้านขนม หากกินเป็นมื้อกับเพื่อนๆก็มักจะมาที่ร้านนี้ ของโปรดของผมก็คือข้าวผัดกะเพราไข่ระเบิด หากมากันหลายคนและสามารถสั่งกับข้าวได้หลายอย่างก็มักสั่งต้มยำนมสดด้วย

“ป้อมอยากกินอะไร” ผมถาม

“แล้วแต่พี่อูละกัน” ป้อมพูด

“ตามใจพี่ก็ได้ แต่ป้อมเป็นคนสั่งอาหารนะ ตามกติกา” ผมพูด

ป้อมพยักหน้า “สบายอยู่แล้ว”

ผมสั่งเมนูโปรดคือต้มยำกับผัดกะเพรา พร้อมกับข้าวเปล่าและน้ำแข็ง เมื่อบอกป้อมเสร็จ พนักงานก็เดินมาพอดี แทนที่ป้อมจะพูดสั่งอาหารกับพนักงาน ป้อมกลับหยิบปากกาและสมุดฉีกเล่มเล็กๆที่วางอยู่บนโต๊ะ เขียนยุกยิกลงไปจากนั้นก็ส่งให้พนักงาน

“เฮ้ โกงนี่หว่า” ผมโวย

“โกงอะไรล่ะ” ป้อมหัวเราะ “ก็เค้าจัดกระดาษกับปากกาให้เขียนป้อมก็เขียนสิ จะพูดให้เมื่อยทำไม”

“เฮ้ย ไอ้อู” ได้ยินเสียงเรียกผมขณะที่ผมกับป้อมกำลังเถียงกันเรื่องโกงไม่โกงอยู่ ผมหันไปดูรอบๆ เห็นเจ้าของเสียงนั่งกินอาหารที่ร้านติดกัน อยู่ถัดจากผมไปเพียงไม่กี่โต๊ะ เจ้าของเสียงนั้นคือตี๋นั่นเอง

“ป้อมรอพี่เดี๋ยวนะ ขอไปคุยกับเพื่อนหน่อย” ผมพูด พลางลุกจากที่นั่งและเดินไปหาตี๋ ขณะเดียวกันตี๋ก็ลุกจากที่นั่งเดินมาหาผมเช่นกัน ตี๋มากับกลุ่มเพื่อนอีกสองสามคน เราสองคนจึงพบกันที่ครึ่งทางโดยยืนคุยกันตรงทางเดินนั่นเอง

“ไม่นึกว่าจะเจอมึงตอนนี้” ผมทักทายด้วยความแปลกใจ “มาทำอะไรวะ”

“กูมาทำงาน” ตี๋ตอบพลายขยายความ “หารายได้”

“งานอะไรน่ะ” ผมถามด้วยความอยากรู้

“ช่วยอาจารย์ทำข้อมูลแบบสอบถาม เป็นงานวิจัย” ตี๋ตอบ พลางมองข้ามไหล่ผมไป “มึงมาสอนพิเศษเหรอ”

ผมรู้สึกระวังตัวนิดหน่อย ผมมักรู้สึกอยู่เสมอว่าตี๋รู้ดีว่ารสนิยมของผมเป็นอย่างไร เพียงแต่มันไม่เคยพูดออกมา แม้ว่าเราสองคนต่างรู้จักและเข้าใจกันอย่างลึกซึ้ง แต่ผมก็อดเขินมันไม่ได้เมื่อผมมากับเด็กชายวัยรุ่นคนหนึ่ง และยิ่งไปกว่านั้น ผมเกรงว่ามันจะเข้าใจผิดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผมกับป้อม

“ก็ไม่เชิง” ผมตอบอ้อมแอ้ม “นี่นักเรียนกูเอง แต่วันนี้พามันมาว่ายน้ำ”

“ว่ายน้ำ” ตี๋ทวนคำ ทำสีหน้ายู่ยี่คล้ายพยายามทำความเข้าใจกับคำอธิบายของผมว่าทำไมต้องพานักเรียนที่สอนมาว่ายน้ำด้วย

“แบบว่าเรื่องมันยาวน่ะ” ผมชักอายมัน รู้สึกเหมือนกับว่ามันคลำเข้ามาใกล้ปมด้อยของผมมากยิ่งขึ้นทุกที

“เออ กูก็ถามไปยังงั้นแหละ ไม่มีอะไรหรอก” ตี๋ตอบ ตี๋มันดียังงี้นี่เอง ไม่เคยคิดต้อนให้ผมจนมุม แต่ตรงกันข้าม มันพยายามหาทางออกให้แก่ผมเสมอ

“มีข่าวเรื่องไอ้เล็กบ้างไหม” ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง แต่ลืมคิดไปว่าเรื่องของเล็กในที่สุดก็วกกลับมาเข้าตัวผมอีกจนได้

“จะว่ามีก็มี จะว่าไม่มีก็ได้” ตี๋ตอบ

“อะไรของมึงวะ” ผมงงกับคำตอบของมัน

“ก็หลังจากปีใหม่ ไอ้เล็กมันไม่ได้กลับมาเรียน แต่หลังจากนั้นไม่นานเพื่อนของมันคนนั้นก็กลับมาเรียนและเข้าสอบ...”

“แล้วไอ้เล็กล่ะ มันเป็นไง” ผมรีบถาม

“ก็นี่แหละปัญหา ไอ้เพื่อนคนนั้นมันกลับมาเรียนแล้วก็ไม่ยอมพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเลย ใครถามมันมันก็บอกแต่เพียงว่ามันกับไอ้เล็กไม่ได้คบกันแล้ว มันเองก็ไม่รู้ว่าไอ้เล็กไปไหน” ตี๋เล่า “มันบอกว่าที่มันกลับมาเพราะมันเสียดายการเรียน เสียดายที่อุตส่าห์พยายามสอบเข้าจนได้ มันอยากเรียนให้จบ... มันไม่อยากคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาอีก”

“ไอ้เล็กเอ๊ย...” ผมอดรำพึงออกมาไม่ได้ เรื่องของไอ้เล็กทำให้ผมสะเทือนใจอยู่ไม่น้อย ทำไมนะ... ก็แค่ผู้ชายรักกัน แต่ทำไมจึงดูเหมือนกับเป็นอาชญากรร้ายไปได้ รู้สึกสงสารคนทั้งคู่ พร้อมกับอดรู้สึกสงสารตัวเองไปด้วยไม่ได้ ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับความสัมพันธ์ของทั้งสองคน แต่รู้ว่าเพื่อนของเล็กคนนี้ต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมากในการกลับมาเรียนอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่เกิดเรื่องนี้ขึ้นมาแล้ว เพราะไหนจะต้องเผชิญกับสายตาและทัศนคติของคนรอบข้าง ไหนจะต้องเจ็บปวดกับบาดแผลที่เกิดขึ้นในใจ มันเป็นการเคี่ยวกรำที่ผมเองก็เข้าใจได้ไม่ถ่องแท้เพราะไม่ได้ประสบมาด้วยตนเอง สองคนนี้ต้องจ่ายคุณค่าไปมากมาย สุดท้ายที่แต่ละคนแลกได้มาคือตราบาปในชีวิต

“แล้วนี่มันหมดสภาพนักศึกษาไปหรือยัง” ผมถาม ยังแอบหวังว่าในที่สุดมันจะกลับมาเรียนตามเดิมบ้าง เพื่อตัวของมันเอง

“กูก็ไม่แน่ใจ แต่ถ้าปล่อยไว้นานไปโดยไม่กลับมามันก็คงหมดสภาพไปนั่นแหละ” ตี๋ตอบ

ผมคุยกับตี๋สักครู่ก็กลับมานั่งที่โต๊ะ ป้อมรีบถามผมทันที

“พี่อู พี่คนนี้ใช่ไหม” ป้อมถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

“คนนี้... คนไหนเหรอ” ผมงง

“ก็เพื่อนสนิทคนที่พี่อูชอบเล่าให้ป้อมฟังไง ที่แขนลีบน่ะ” ป้อมพูด

“ใช่ คนนี้แหละ ป้อมนี่ช่างสังเกตแฮะ” ผมชม “คนนี้แหละ พี่ตี๋”

ป้อมมองดูเงาหลังของตี๋ สายตาทอแววชื่นชม

“มันลำบากมาเยอะนะ เคยท้อ เคยล้ม แต่ในที่สุดก็ลุกขึ้นมาอีก นี่ก็มาทำงานพิเศษหาเงินเป็นค่าเทอม” ผมเล่าอีก

ผมพยายามเก็บความรู้สึกสะเอนใจเอาไว้ แต่ดูเหมือนว่าผมจะเก็บความรู้สึกในใจเอาไว้ไม่มิด เพราะในที่สุดป้อมสามารถสังเกตออกได้

“พี่อู เป็นไรไปน่ะ ทำไมคุยกับพี่ตี๋แล้วซึมไปเลย” ป้อมถาม

“พี่น่ะเหรอซึม ล้อเล่นน่า” ผมเฉไฉ “ไม่ได้ซึมสักหน่อย”

“มีเรื่องเหรอพี่อู” ป้อมถามอีก

“มันเป็นเรื่องของเพื่อนที่โรงเรียนเก่าอีกคนน่ะ พอดีว่ามันมีปัญหาในชีวิตนิดหน่อย” ผมตอบเลี่ยงๆ

ป้อมพยักหน้า ไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อ ผมก็พยายามกลบเกลื่อนอาการเพื่อไม่ให้ป้อมรู้สึกผิดสังเกตได้อีก...

- - -

กว่าที่ผมจะแยกจากป้อมก็เป็นเวลาบ่ายแก่แล้ว วันนั้นผมกับป้อมไม่ได้เพียงแค่ไปว่ายน้ำ สุดท้ายก็ไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่ต่ออีก

ขากลับ ในระหว่างที่ผมนั่งอยู่ในรถ ปอ.๒ เพื่อกลับหอพัก ผมอดนึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระหว่างวันไม่ได้ ภาพที่ป้อมเกาะหลังผมแน่น ความรู้สึกที่ผิวเนื้อของเราสองคนสัมผัสและเสียดสีกันทำให้จิตใจของผมเตลิดเปิดเปิง... ความรู้สึกบางอย่างที่ถูกเก็บกักไว้เป็นเวลานานพลุ่งพล่านอยู่ในจิตใจอย่างยากที่จะระงับลงได้

เมื่อรถวิ่งเข้าถนนลาดพร้าว ผมทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างรถ เหม่อมองออกไปในระยะไกล สมองก็คิดฟุ้งซ่านไปต่างๆนานา

รถวิ่งไปเรื่อยๆตามเส้นทางถนนลาดพร้าว หลังจากที่เหม่อมองไปนอกหน้าต่างอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุดผมก็เริ่มสังเกตอะไรอย่างหนึ่ง แม้ว่ามันเป็นภาพที่เห็นจนชินตาเพราะผ่านไปมาอยู่ทุกวัน แต่ผมก็ไม่เคยเกิดความรู้สึกเช่นที่เกิดขึ้นในขณะนี้มาก่อน... นั่นคือ ผมรู้สึกว่าปากซอยแต่ละซอยรกรุงรังไปด้วยป้ายห้อยแขวนต่างๆนานา บางซอยมีนับสิบป้ายห้อยอยู่ตรงเสาไฟฟ้าบริเวณหน้าปากซอย...

ผมรู้ดีว่าป้ายเหล่านี้คือป้ายประกาศขายบ้าน ให้เช่าบ้าน ให้เช่าอพาร์ตเมนต์ นอกจากป้ายประกาศพวกขายหรือให้เช่าแล้ว ยังมีป้ายพวกบริการกำจัดปลวกอีกเป็นจำนวนมาก ป้ายเหล่านี้เองที่แขวนเต็มปากซอย รวมทั้งบางซอยที่เป็นซอยที่มีคนอาศัยอยู่มากก็ยังมีป้ายติดไปจนตลอดถึงท้ายซอย ปากซอยหอพักที่ผมอาศัยอยู่นี้ก็มีเต็มอยู่ไปหมดเช่นกัน

มันจะขายอะไรกันนักหนาวะ ผมบ่นอยู่ในใจ ขณะที่ลงจากรถและเดินเข้าซอย ทันใดนั้น สายตาของผมก็สะดุดเข้ากับประกาศแผ่นหนึ่ง ประกาศแผ่นนี้ติดอยู่นานแล้วแต่ผมไม่เคยสนใจอ่านมาก่อน เพิ่งมาอ่านอย่างจริงจังก็ครั้งนี้นี่เอง

ขายบ้านสองชั้น ๕๐ ตารางวา ๓ น. ๒ น้ำ ซอยลาดพร้าว ๓๕ ราคาถูกมาก ติดต่อ...

บ้าน... ผมเริ่มคิด พลางนึกถึงคำพูดของพ่อและแม่ ในเมื่อพ่อกับแม่อยากได้บ้านสักหลังแต่ยังไม่ได้ดำเนินการอะไร ทำไมผมไม่ลองกระตุ้นเสียหน่อยล่ะ ไม่แน่ว่าอาจสำเร็จก็ได้

บ่ายวันนั้นที่จริงผมก็ไม่ได้มีงานค้างอะไร ดังนั้นเมื่อได้คิดผมก็เริ่มลงมือเลย โดยหยิบกระดาษและปากกาออกมาจากเป้ จากนั้นก็เดินจดข้อความตามป้ายประกาศขายบ้านหน้าปากซอยต่างๆ เดินไปตามซอยคี่เรื่อยๆจนถึงซอยโชคชัยสี่โดยไม่รู้ตัว ผมเห็นว่าเดินมาไกลและจดมาได้พอสมควรแล้ว จึงเริ่มเดินกลับ โดยขากลับนี้ผมย้ายมาเดินฝั่งซอยคู่และจดป้ายประกาศต่างๆด้านซอยคู่มาอีก

กว่าจะกลับถึงหอพักก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว ประกาศเหล่านี้ที่ซ้ำกันก็มีมาก แต่เมื่อคัดที่ซ้ำกันออกไปแล้วก็ยังได้ประกาศขายบ้านถึงสิบกว่าหลังทีเดียว

บ้าน... ผมพึมพำ คำนี้ราวกับมีมนต์ขลังสำหรับผม ผมใฝ่ฝันอยากมีบ้านสักหลังมานานแล้ว... หวังว่าคงมีโอกาสเป็นจริงได้สักวัน