Sunday, June 26, 2011

ภาคสี่ ตอนที่ 36

หลังจากที่เดินออกมาจากบอร์ดประกาศผล ผมก็ตามหากลุ่มรุ่นพี่คณะแพทย์ที่มารอต้อนรับและให้คำแนะนำแก่ผู้ที่สอบเอนทรานซ์ได้ ผมเข้าไปทักทายและรับทราบกำหนดการตรวจร่างกายและสอบสัมภาษณ์จากรุ่นพี่ จากนั้นก็เดินออกจากสนามจุ๊บไป

สถานที่ประกาศผลสอบปีนี้เป็นสถานที่เดียวกันกับปีที่แล้ว แต่สภาพการณ์กลับแตกต่างกัน ปีที่แล้วผมแทบไม่พบคนที่รู้จักเลยเลยแต่ทว่าในปีนี้ผมกลับพบเพื่อนร่วมรุ่นที่โรงเรียนเก่ามากมาย ส่วนเพื่อนในคณะก็มีพบบ้าง

เพื่อนมัธยมที่ผมพบนั้นสอบติดสถาบันต่างๆจนจำไม่ไหว บางคนก็สอบติดแพทย์ วิศวะ สถาปัตยฯ กรุงเทพฯก็มี ต่างจังหวัดก็มี บางคนก็เดินซึมเพราะสอบไม่ติดที่ใดเลย ผมเดินออกจากสนามจุ๊บในปีนี้ด้วยความสะเทือนใจเพราะเสียงหัวเราะและร้องไห้ในปีนี้ส่วนหนึ่งเป็นของเพื่อนๆที่ผมรู้จักมักคุ้นนั่นเอง

วิริเยน ทุกฺขมจฺเจติ ผมอดนึกถึงพุทธภาษิตบทนี้อีกไม่ได้ ความพยายามทำให้ผมฟันผ่าอุปสรรคในชีวิตไปได้อีกเปลาะหนึ่ง แต่ชีวิตไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ยังมีเส้นทางที่ผมยังต้องเดินอีกแสนไกล...

- - -

“แม่ อูสอบติดแพทย์ที่...นะแม่” ผมรีบโทรศัพท์ไปบอกแม่หลังจากที่กลับไปถึงหอพัก

“เหรอ” แม่ตอบ ไม่มีคำชมหลุดออกมาจากแม้แต่คำเดียว ที่บ้านผมก็เป็นแบบนี้แหละ “แต่ทำไมน้ำเสียงอูไม่ดีใจเลย”

“น้ำเสียงแม่ก็ไม่ได้ดีใจเหมือนกันนั่นแหละ” ผมย้อน

“เอ๊ดก็ไปเรียนเสียไกล นี่อูยังสอบได้ที่ไกลๆอีก อีกหน่อยบ้านคงเหงา” แม่พูด ในความรู้สึกเหมือนกับได้ยินแม่แอบถอนใจ

“แม่ก็...” ผมฝืนหัวเราะ “ปกติเอ๊ดกับอูก็ไม่ได้เรียนแถวบ้านอยู่แล้ว อยู่ที่กรุงเทพฯเป็นส่วนใหญ่ตั้งแต่เด็ก ยังไงที่บ้านก็เหมือนเดิมนั่นแหละ”

“ไม่รู้สิ” แม่พูดอีก “ตอนที่ลูกๆเรียนที่กรุงเทพฯแม่รู้สึกเหมือนกับว่ามันใกล้บ้านนิดเดียว นึกอยากไปหาก็ไปได้ พอไปเรียนแบบนี้รู้สึกว่า... มันไกลยังไงก็ไม่รู้ ดูเอ๊ดสิ ปีนี้ก็ไม่ได้กลับบ้านตอนปิดเทอม”

“ไม่ได้ไปเรียนทั้งชีวิตสักหน่อย เรียนจบแล้วก็กลับมาทำงานที่กรุงเทพฯอย่างเดิมนั่นแหละแม่” ผมพูด คิดอะไรสักครู่หนึ่งแล้วก็พูดต่อ “อ้อ แม่อย่าเพิ่งบอกป๊าเรื่องนี้นะ”

“ทำไมล่ะ” แม่สงสัย

“เอาเป็นว่าอย่าเพิ่งบอกก็แล้วกัน” ผมบ่ายเบี่ยง “เอาไว้อูหาจังหวะดีๆบอกป๊าเอง”

“เอ๊ะ เรานี่ยังไง ทำอะไรแปลกๆ” แม่ยังไม่หายสงสัย

“ให้อูสอบสัมภาษณ์เสร็จแล้วประกาศผลขั้นสุดท้ายก่อนดีกว่า” ผมเห็นว่าแม่สงสัยหนัก เกรงว่าจะไม่ยอมเก็บความลับให้ผม จึงอธิบายแต่เพียงสั้นๆ “ตอนนี้แค่ประกาศผลข้อเขียน เกิดสอบสัมภาษณ์ไม่ผ่านป๊าจะสมน้ำหน้าเอาอีก เอาไว้ให้สอบได้แน่ๆแล้วค่อยบอกดีกว่า”

“โอ๊ย ป๊าเค้าไม่คิดอะไรแบบนั้นหรอก” แม่แย้ง “แต่เอายังงั้นก็ได้ ตามใจอู”

- - -

หลังจากที่รู้ผลสอบผมไม่ได้รู้สึกดีใจเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม กลับรู้สึกหนักใจ โดยเฉพาะหลังจากที่โทรไปคุยกับแม่ ผมรู้ดีว่าหากผมตัดสินใจเรียนแพทย์ที่นี่ผมคงไม่ได้จากบ้านไปเพียงประเดี๋ยวเดียว เท่าที่ทราบมาตลอดหลักสูตรการเรียนผมคงมีโอกาสกลับบ้านไม่มากนัก เมื่อเรียนจบก็ต้องไปทำงานใช้ทุนในโรงพยาบาลต่างจังหวัดอีก รวมเวลาแล้วคงต้องจากบ้านไปร่วมๆสิบปีหรืออาจนานกว่านั้นหากไม่สามารถทำเรื่องโอนย้ายได้ หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องไปทำงานเป็นแพทย์ในโรงพยาบาลเอกชนแบบเต็มเวลาซึ่งในยุคนั้นยังไม่นิยมกัน รวมทั้งโรงพยาบาลเอกชนเองก็ยังไม่ได้มีมากมายเหมือนเช่นทุกวันนี้

ผมนึกถึงครูช่วย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่ว่าทุกครั้งที่มีเรื่องที่ต้องการคำปรึกษาจากผู้ใหญ่ผมมักนึกถึงครูช่วยทุกครั้ง แม้ว่าครูช่วยจะจากไปนานแล้วก็ตามแต่ผมก็ยังอดนึกถึงไม่ได้

ครูช่วยไม่อยู่แล้ว นี่ถ้าไอ้นัยอยู่ด้วยก็คงดี... ผมอดคิดถึงไอ้นัยไม่ได้ ในวัยเด็กไอ้นัยเป็นที่ปรึกษาที่ดีของผมเสมอ ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าจะพึ่งใครจึงได้แต่ต้องพึ่งตนเอง...

- - -

ที่คณะเทคโนโลยี

คณะที่ผมเรียนอยู่นี้เมื่อเรียนจบชั้นปีที่หนึ่งแล้ว นักศึกษาที่จะเข้าเรียนในชั้นปีที่สองจะต้องเลือกโปรแกรมการเรียนหรือที่เรียกว่าเข้าแผนกซึ่งมีอยู่หลายโปรแกรมให้เลือก แต่ละโปรแกรมการเรียนก็จะมีภาควิชาคอยจัดการเรียนการสอน อย่างเช่น โปรแกรมเคมีประยุกต์ก็จะมีภาควิชาเคมีประยุกต์เป็นผู้ดูแลการเรียนการสอนของนักศึกษาที่เลือกเรียนในสาขานี้ เป็นต้น

ปกติการเลือกเข้าแผนกนั้นจะเริ่มยื่นเอกสารกันในราวต้นเดือนพฤษภาคม ดังนั้นแม้แต่นักศึกษาที่ไปสอบเอนทรานซ์ใหม่ก็มักทำเรื่องเข้าแผนกเอาไว้ด้วยเพื่อกันพลาด ก่อนที่จะยื่นเอกสารแต่ละภาควิชาที่ดูแลแต่ละโปรแกรมการเรียนอยู่ก็จะจัดให้มีการเปิดบ้านหรือว่าเปิดภาควิชาและพานักศึกษาชมภาควิชาเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ใครอยากชมภาควิชาใดก็สามารถชมและซักถามได้

ผมมายืนอยู่หน้าตึกของภาควิชาเทคโนโลยีอุตสาหกรรม ที่จริงชื่อสาขาและชื่อภาควิชายาวกว่านี้อีก แต่ส่วนใหญ่นักศึกษามักเรียนว่าสาขาเทคโนอุตฯ ยืนเมียงๆมองๆอยู่ที่หน้าตึกสักครู่หนึ่งจากนั้นก็เดินเข้าไปในตึก

ผมหยุดยืนที่หน้าเคาน์เตอร์ธุรการและถามเจ้าหน้าที่

“พี่ครับ มีอาจารย์ในภาคเข้ามาบ้างไหมครับ” ผมถาม เนื่องจากช่วงนั้นยังปิดเทอมอยู่ อาจารย์อาจเข้าหรือไม่เข้าก็ได้

“แล้วน้องต้องการพบอาจารย์คนไหนล่ะ” พี่ธุรการงงกับคำถามที่ไม่เจาะจงตัวบุคคลของผม

“อยากถามเรื่องการเลือกโปรแกรมการเรียนน่ะครับ พี่แนะนำให้หน่อยว่าควรจะคุยกับอาจารย์คนไหนดี” ผมตอบ

“ก็เค้าพาทัวร์ภาควิชาและแนะนำโปรแกรมการเรียนไปแล้วนี่” เจ้าหน้าที่ยังสงสัยไม่หาย

“ครับ ผมก็ฟังมาแล้ว แต่อยากรู้เพิ่มเติมอีกน่ะครับ ผมยังเลือกไม่ค่อยถูก” ผมอธิบาย

“งั้นไปคุยกับอาจารย์กาญก็แล้วกัน เช้านี้เพิ่งมีอาจารย์กาญเข้ามาคนเดียวเอง” พี่ธุรการตอบ “ไม่มีให้เลือกหรอกน้อง”

เมื่อไม่มีอาจารย์ให้เลือกก็ไม่ต้องเลือก ผมเดินขึ้นบันไดไปที่ชั้นสองตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ธุรการ เมื่อถึงหน้าห้องพักของอาจารย์กาญก็เคาะประตู

“เชิญค่ะ” เสียงของหญิงสาวดังมาจากข้างใน

อาจารย์กาญเป็นหญิงสาวในวัยไม่เกินสามสิบปี ท่าทางและการแต่งตัวยังวัยรุ่นอยู่เลย ดูท่าคงเป็นอาจารย์ค่อนข้างใหม่ เมื่อผมเข้าไปในห้องก็ยกมือไหว้

“นักศึกษามาพบครูมีธุระอะไรเหรอ” อาจารย์กาญรับไหว้พร้อมกับถามผมด้วยสีหน้าแปลกใจ

“ผม... เอ้อ... มีเรื่องอยากจะปรึกษาอาจารย์น่ะครับ” ผมอึกอัก เริ่มต้นไม่ถูกเหมือนกัน

“ปรึกษาครู” อาจารย์สาวทวนคำอย่างงุนงง “เรื่องอะไรหรือ แล้วนักศึกษาชื่อ...”

“ผมชื่ออูครับ” ผมพยายามลำดับความคิดและเรียบเรียงคำพูด “คือผมสนใจอยากเข้าเรียนในแผนกนี้ แต่ก็ยังไม่ค่อยแน่ใจนัก ก็... ก็... ก็ยังไม่รู้ว่าจะปรึกษาใครดีครับ”

“ไม่แน่ใจเรื่องเกรดหรือเปล่า” อาจารย์กาญถาม

“เกรดผมน่าจะไม่มีปัญหาครับ แต่... ผมก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกันครับว่าทำไมถึงไม่ค่อยแน่ใจนัก” ผมจนปัญญาจะอธิบาย จะบอกว่าสอบเอนทรานซ์ติดที่อื่นก็ไม่กล้าพูดออกไป

“เอางี้ก็ได้ ครูถามอูก็แล้วกัน” อาจารย์กาญพูด “อูคิดจะเลือกเรียนโปรแกรมนี้เพราะอะไร เพราะว่าเรียนจบแล้วงานดี หรือเพราะว่าเกรดถึงก็เลยเลือกตามลำดับคะแนน หรือเพราะว่าอูรักที่จะเรียนสาขานี้”

“ที่ผมคิดจะเลือกเพราะว่าผมชอบครับ” ผมตอบ “แต่ก็ไม่แน่ใจว่าผมชอบจริงหรือเปล่า หรือแค่คิดไปเองว่าผมชอบ”

“แล้วที่อูคิดอยากเรียนจริงๆคืออะไรล่ะ” อาจารย์กาญถามอีก

“ผมก็เคยคิดอยากเรียนหมอครับ” ผมตอบอ้อมแอ้ม “แต่ก็ไม่ค่อยแน่ใจตัวเองอีกเหมือนกัน”

“นักเรียนสมัยนี้เลือกเรียนหมอ เลือกเรียนวิศวะ เพราะค่านิยมก็มากนะอู หลายคนที่สอบติดและได้เรียนแพทย์หรือวิศวะไม่ใช่ว่าจะเกิดจากความรักความชอบในวิชาชีพจริงๆ คนที่จะเรียนแพทย์ได้ดีและเป็นหมอที่ดีได้นั้นต้องมีคุณสมบัติที่เหมาะสมหลายๆอย่างด้วย แล้วทำไมอูถึงอยากเรียนหมอล่ะ”

“ก็... คงเป็นเพราะอยากช่วยคนมั้งครับ” ผมตอบด้วยน้ำเสียงลังเล

“เอาละนะ ครูจะเปรียบเทียบให้ฟัง หากอูเป็นหมอ สมมติว่าเป็นอายุรแพทย์ก็แล้วกัน ตรวจรักษาคนไข้ทั้งวัน วันหนึ่งอูอาจจะช่วยคนไข้จากอาการป่วยได้สัก ๕๐ คน” อาจารย์กาญพูด “แต่ถ้าอูเรียนเภสัช แล้วทำทางด้านการวิจัย อูอาจพัฒนาตัวยาใหม่ๆขึ้นมาได้ นั่นอูอาจช่วยคนป่วยได้นับไม่ถ้วน

“แต่ถ้าอูอยู่ในสายเทคโนโลยี แม้จะไม่ได้ช่วยผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วยโดยตรง แต่วิทยาการใหม่ๆประกอบกับการผลิตในระบบอุตสาหกรรมก็สามารถช่วยยกระดับชีวิตหรือพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของคนจำนวนมากได้ ผู้ที่ป่วยต้องการแพทย์ แต่ผู้ที่ไม่ป่วยก็ต้องการอย่างอื่นเช่นการมีคุณภาพชีวิตที่ดี โครงสร้างของสังคมต้องประกอบจากหลากหลายอาชีพนะอู ไม่ใช่มีแต่หมอ ถ้าอูอยากช่วยคนอูสามารถช่วยได้เสมอไม่ว่าอูจะอยู่ในสาขาอาชีพใด มันขึ้นอยู่กับใจ วิธีคิด และวิธีทำของเรามากกว่า”

ผมอึ้งไปชั่วครู่ คำพูดขออาจารย์กาญเป็นมุมมองอีกด้านหนึ่งที่ผมไม่เคยใส่ใจมาก่อน... ผมใช้เวลาคุยและซักถามอาจารย์กาญอีกครู่หนึ่งจากนั้นก็ลาจากมา

“ครูยังไม่เคยจอนักศึกษาที่เลือกเข้าแผนกมาถามอะไรแบบนี้เลยนะ อูนี่ก็แปลกดี” อาจารย์กาญปิดท้ายการสนทนาแบบขำๆ

- - -

“แม่ ป๊า” ผมทักทายแม่และพ่อเมื่อก้าวเข้าไปในบ้าน

“อ้าว อู ว่างเหรอถึงได้กลับบ้าน” แม่ทำหน้าเหรอหราเมื่อเห็นผม “แล้วเรื่อง...”

ผมรีบขยิบตาบอกให้แม่หยุด

“อีกตั้งหลายวันกว่าจะเปิดเทอม ช่วงนี้ไม่มีอะไรที่กรุงเทพฯ ก็เลยกลับมาอยู่ที่บ้านดีกว่า” ผมพูด “เดี๋ยวอูเข้าครัวไปหาอะไรกินก่อนนะ หิวจัง”

พูดจบผมก็เดินเข้าไปในห้องครัว สักครู่เดียวแม่ก็เดินตามเข้ามา

“แม่นึกว่าตอนนี้อูไปต่างจังหวัดเสียอีก” แม่ถามด้วยความแปลกใจ

“อูจะเรียนที่เดิมน่ะแม่” ผมตอบ สบตาแม่ พลางพิจารณาดูแม่อย่างละเอียด หลายปีนี้ทั้งแม่และพ่อดูร่วงโรยไปจริงๆ เวลาผ่านไป คนก็อายุมากขึ้น หลายปีก่อนใบหน้าของแม่ยังเต่งตึง มีริ้วรอยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่มาวันนี้ใบหน้าของแม่มีรอยย่นเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ส่วนพ่อนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง พ่อดูโรยไปเห็นได้ชัดยิ่งกว่าแม่เสียอีก “อูไม่เรียนหมอแล้ว”

“ทำไมอูเปลี่ยนใจล่ะ” แม่ถาม

“ก็ไม่มีอะไร อูคิดว่าอูคงไม่ได้อยากเป็นหมอจริงๆหรอก” ผมตอบ “อีกอย่าง ถ้าไปเรียนก็คงต้องจากบ้านไปหลายปีเลย อูอยากอยู่ใกล้ๆบ้านมากกว่า”

ผมสบตาแม่ แม่ยังไม่รู้ว่าตนเองป่วยเป็นอะไร เวลาของแม่จะเหลืออีกเพียงใดก็ไม่รู้ จนถึงตอนนี้ผมรู้แล้วว่าความต้องการที่แท้จริงของผมคืออะไร ผมอยากอยู่กับครอบครัว... ได้อยู่กับคนที่ผมรัก และได้อยู่กับคนที่รักผม เพียงแค่นี้ผมก็พอใจแล้ว ผมอาจจะโง่หรือไม่รักความก้าวหน้าก็เป็นได้ แต่มาคิดดูแล้วผมจะทิ้งวันเวลาที่จะได้อยู่กับครอบครัวไปหลายปีเพื่อแลกกับอะไร ทำไมผมต้องแลกสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้ากับสิ่งที่ยังเป็นความเลือนลางและไม่รู้ว่าดีกว่านี้จริงหรือเปล่า

นอกจากนี้ ผมยังมีความหวังลึกๆอยู่ในใจอีกประการหนึ่ง... นั่นคือ ผมอยากได้พบไอ้นัยอีกสักครั้ง เมื่อไอ้นัยเรียนจบปริญญาตรีมันคงกลับมาเมืองไทย หากผมยังอยู่ในกรุงเทพฯก็คงมีโอกาสพบมันหรือสืบหามันได้ แต่หากผมไปเรียนและทำงานที่ต่างจังหวัดเสียแล้วก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะมีโอกาสได้พบไอ้นัยอีก... ในชีวิตนี้ผมมีเรื่องติดค้างไอ้นัยอยู่มากมาย ผมอยากเห็นความสำเร็จของมัน อยากบอกเรื่องที่เก็บไว้ในใจอยู่นานปีให้มันรู้ รวมทั้งหากเป็นไปได้ผมจะได้มอบซองจดหมายที่เก็บไว้นานแล้วให้แก่มันเสียที... ไม่ได้หมายความว่าผมคิดจะหันกลับไปใช้ชีวิตในแบบเดิมอีก เพียงแต่อยากสะสางเรื่องที่ค้างอยู่ในใจตั้งแต่ในอดีตให้จบลงไปเท่านั้น

“อู” แม่ตีแขนผมเบาๆ “เป็นอะไร ตาลอยเชียว”

ผมสะดุ้งตื่นจากภวังค์

“เรื่องสอบปีนี้เราไม่ต้องบอกป๊าหรอกแม่” ผมพูด

“อ้าว ทำไมล่ะ” แม่ทำเสียงแปลกใจ “ทำไมไม่อยากให้ป๊ารู้ล่ะ”

ใจหนึ่งผมก็อยากบอกให้พ่อรู้ ผลการสอบในครั้งนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าผมไม่ใช่คนไม่เอาไหนอย่างที่พ่อคิด แต่เมื่อมาไตร่ตรองดูอีกที หากพ่อรู้ว่าผมสละสิทธิ์ผมอาจโดนด่าไปอีกสิบปีก็ได้ คิดแล้วก็อย่าบอกดีกว่า... ไม่เอาไหนก็ไม่เอาไหน

- - -

ที่คณะเทคโนโลยี ปลายเดือนพฤษภาคม

“เฮ้ย ไอ้อู ทำไมมาเดินอยู่แถวนี้” ผมได้ยินเสียงคนทักขณะที่เพิ่งเดินไปถึงใต้ตึกเคมีประยุกต์

ผมหันไปมอง พี่จุ้ยนั่นเอง

“ก็มาลงช่วยต้อนรับน้องใหม่น่ะสิพี่” ผมตอบ แม้ว่าผมกับพี่จุ้ยจะขึ้นปีสองเหมือนกันแต่ว่าเรียกพี่จนติดปากก็เลยไม่ได้เปลี่ยนคำเรียกหา

วันนี้เป็นวันแรกพบน้องใหม่ที่สอบเข้าคณะเทคโนได้ งานวันแรกพบจัดขึ้นที่ใต้ตึกเคมีประยุกต์อันเป็นสถานที่เดียวกับที่ผมเป็นน้องใหม่เมื่อปีที่แล้วนั่นเอง มองไปเห็นน้องใหม่คลาล่ำนับร้อยคนทำให้อดคิดถึงตนเองไม่ได้ เมื่อก่อนผมก็เป็นน้องใหม่แบบนี้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว... ผมเป็นพี่ปีสองแล้ว

ทีแรกมีแค่พี่จุ้ยที่เดินมากทัก แต่ต่อมาไอ้กี้และเพื่อนอีกหลายคนก็เดินมาสมทบจนกลายเป็นกลุ่มย่อย

“แล้ววันสอบสัมภาษณ์นายไปอยู่ไหนมา” พี่จุ้ยถาม “รู้ไหมว่าพวกอาจารย์ที่สอบสัมภาษณ์หานายกันให้วุ่น”

ผมใจหายวูบ นึกไม่ถึงเลยว่าตนเองจะก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมาอีก

“ก็... คิดว่าจะไม่เรียนน่ะพี่ เลยไม่ได้ไปตรวจร่างกายสอบสัมภาษณ์ ว่าแต่ทำไมพี่รู้ล่ะ” ผมชักสงสัยว่าทำไมพี่จุ้ยรู้เรื่องดีนัก

“ก็พี่ไปช่วยงานสอบสัมภาษณ์น่ะสิ พอดีอยู่แถวนั้น เห็นพวกอาจารย์ถามหาชื่อนายว่าไปไหน ทำไมไม่มาสอบสัมภาษณ์ ตามหากันให้วุ่น สงสัยนายถูกขึ้นบัญชีหนังหมาแน่เลยว่ะ” พี่จุ้ยตอบพลางหัวเราะ “ได้แล้วทำไมไม่เอาวะ ทำอย่างนี้ก็ไปกันที่คนอื่นเขา”

“นั่นสิพี่” ผมสำนึกผิด “รู้สึกไม่ดีเหมือนกัน เดิมก็ตั้งใจจะเรียนหรอกครับ แต่พอได้จริงๆแล้วก็ห่วงที่บ้าน เลยตัดสินใจไม่ไป ที่ผมไม่ไปตรวจร่างกายและสอบสัมภาษณ์ก็เพราะอยากให้เค้าเรียกตัวสำรองมาแทนไงพี่ ดีกว่าไปสละสิทธิ์หลังประกาศผลสัมภาษณ์แล้ว”

“ไอ้เหี้ยอูนี่ก่อเรื่องอีกแล้ว ทำไมมึงชอบก่อเรื่องนักวะ” ไอ้กี้หัวเราะจนตาหยีพลางพูดแทรกขึ้นมา “แล้วนี่มึงบ้าหรือเปล่า สอบได้หมอแล้วไม่เอา”

“ไอ้เวร มึงพูดยังกะเป็นพ่อกูเลย” ผมด่ามัน “ว่าแต่มึงก็สอบใหม่ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมยังมาเดินอยู่แถวนี้”

“กูสอบไม่ติดโว้ย เลยไม่ได้ไปไหน” ไอ้กี้หัวเราะอีก “คราวนี้ทำไม่ค่อยได้ คงหมดไฟแล้วว่ะ”

เรื่องหนึ่งในชีวิตที่ผมเสียใจมาจนถึงทุกวันนี้ก็คือเรื่องนี้นี่เอง การสอบได้คณะแพทย์ของผมทำให้ชีวิตของหลายคนเปลี่ยนไป คนที่ควรจะได้ตามลำดับคะแนนในการสอบกลับไม่ได้เรียน แต่คนที่ได้เรียนกลับเป็นตัวสำรองซึ่งเป็นคนละคนกัน หากผมไม่ไปสอบ ทุกอย่างก็คงเป็นไปตามครรลองของมัน

Saturday, June 18, 2011

ภาคสี่ ตอนที่ 35

“เฮ้ย ใครวะ” เสียงคนที่นั่งยองอยู่ในช่องข้างๆถามขึ้น

“นี่อู นั่นใครน่ะ” ผมตอบ ตอนนั้นมันมืดจนมองเห็นหน้ากันไม่ถนัด เห็นเพียงแค่ไฟวาบจากปลายมวนบุหรี่เท่านั้น

ไอ้คนนั้นตอบมา มันก็คือคนที่เรียน รด. ด้วยกันนั่นเอง เมื่อบอกผมก็ร้องอ๋อ

“เห็นแต่เงาตะคุ่ม ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร” ผมพูด

“ซักตัวมั้ย” ไอ้คนนั้นถามอีก พลางยกบุหรี่ขึ้นแกว่งไปมา “ดับกลิ่นส้วม แม่งโคตรเหม็นเลย”

“ไม่หรอก” ผมตอบปฏิเสธ “อาศัยดมจากมวนของนายก็พอแล้ว”

“เออๆ ขอขี้ก่อนนะ คุยกันแล้วขี้ไม่ออก” ไอ้คนนั้นขอจบการสนทนา

อ้าว ก็ไม่ได้ชวนมึงคุยสักหน่อย มึงชวนกูคุยเองนี่หว่า ผมคิดในใจ

การเข้าส้วม รด. เป็นไปอย่างทุลักทุเล กลิ่นส้วมและกลิ่นควันบุหรี่ตีกันอบอวล ผมพยายามกลั้นหายใจตลอดการเข้าส้วม ดูเหมือนว่าจะหายใจเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น เมื่อออกมาจากส้วมได้ก็รู้สึกโล่งขึ้นมาทันที รู้สึกว่าอากาศภายนอกนั้นสดชื่นเสียเหลือเกิน

เมื่อกลับไปถึงเต๊นท์ผมก็มุดเข้าเต๊นท์ เอามือกุมปากกระบอกไฟฉายไว้แล้วเปิดไฟเพื่อไม่ให้แสงจ้าเกินไป ผมเห็นเคี้ยงนอนตะแคง คงหลับไปเรียบร้อยแล้ว ผมจึงไม่ได้รบกวน จัดของให้เข้าที่อย่างแผ่วเบาแล้วก็ล้มตัวลงนอนข้างๆเคี้ยง

อากาศตอนกลางคืนเริ่มเย็น แตกต่างจากอากาศที่ร้อนอบอ้าวของตอนกลางวันโดยสิ้นเชิง เราต้องนอนบนพื้นดินแข็งๆอย่างที่เรียกว่านอนกลางดินจริงๆ ที่ดินที่เรานอนอยู่นี้เป็นลอนนิดหน่อยจึงทำให้การนอนไม่ค่อยสบายนัก หมอนของผมคือเป้ ผ้าห่มของผมคือผ้าผวยแบบเดินทางผืนเล็กๆ

เนื่องจากผมเป็นคนนอนง่าย ดังนั้นแม้สภาพที่นอนจะไม่ดีนักแต่ผมก็พอปรับตัวได้ ไม่นานผมก็ผลอยหลับไป แต่หลับไปได้ไม่นานเคี้ยงก็พลิกตัวไปมาอยู่นาน ทีแรกผมก็พยายามข่มตานอนต่อ แต่ตั้งนานเคี้ยงก็ไม่หยุดพลิกตัว จนในที่สุดผมก็นอนต่อไปไม่ไหว

“เฮ้ย เป็นไรหรือเปล่าเคี้ยง” ผมถามเคี้ยงในความมืด “ทำไมพลิกตัวอยู่นั่นแหละ”

“นอนไม่หลับ” เคี้ยงตอบ

“ก็รู้แล้วว่านอนไม่หลับ แต่ว่าเพราะอะไรล่ะ” ผมเบื่อไอ้พวกพูดแล้วกั๊กเอาไว้จริงๆ มีอะไรก็พูดให้มันจบๆไปเลยก็ไม่ได้ ต้องคอยให้ถามทีละนิด

“พื้นมันแข็ง นอนไม่สบาย ไม่คุ้นเลยว่ะ” เคี้ยงตอบ

“นี่มันฝึก รด. นะ ไม่ได้มาทัศนาจร มันก็ยังงี้แหละ” ผมปลอบใจไปงั้นๆ ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรให้ดีไปกว่านี้

“เฮ้อ ไม่น่ามาเลย” เคี้ยงบ่นอีก

ยังกับมึงเลี่ยงได้ยังงั้นแหละ ไปเกณฑ์ทหารแล้วถูกส่งไปฝึกมันไม่ยิ่งกว่านี้อีกหรือไง ผมคิดในใจ

“นายต้องพยายามนอนนะ” ผมพูดอีก

“เป็นห่วงเหรอ” เคี้ยงถาม

“เปล่า แต่ถ้านายนอนไม่หลับก็จะทำให้เราพลอยไม่หลับไปด้วย” ผมตอบ

“...” เคี้ยงพูดอะไรฟังไม่ชัด แต่คล้ายเป็นคำด่ามากกว่าคำชม

“พยายามนอนให้หลับนะเคี้ยง ไม่งั้นเราคงไม่ได้หลับไปด้วย พรุ่งนี้ต้องมีฝึกอีก” ผมตัดบทว่าแล้วก็ไม่พูดอะไรอีกจากนั้นก็พยายามนอน

หลังจากนั้นเคี้ยงก็ยุกยิกน้อยลง จนในที่สุดผมก็ผลอยหลับไปอีกครั้งหนึ่ง

- - -

“เฮ้ย อู ตื่นได้แล้ว” เคี้ยงเขย่าตัวพลางพูดกับผม “ไอ้นี่ปลุกยากจริง ได้เวลาตื่นแล้ว”

ในความงัวเงีย ความรู้สึกของผมราวกับนอนอยู่ที่หอพัก แต่เมื่อสติคืนมาผมก็เริ่มรู้ตัวว่ากำลังนอนอยู่บนพื้นดิน

“เฮ้ย เร็ว นกหวีดดังตั้งนานแล้ว ขืนช้ามีหวังโดนทำโทษ” เคี้ยงพูดอีก

ผมเด้งลุกขึ้นมาจากที่นอนทันที่ที่นึกได้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหนและมาผมที่นี่ทำไม ผมรีบแต่งตัวอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็วิ่งไปตั้งแถวร่วมกับเพื่อนๆในกองร้อย

กิจกรรมในแต่ละวันของการฝึกจะเป็นรูปแบบเดียวกัน กล่าวคือ ตอนเช้าตื่นนอนราวตีห้า จากนั้นก็มีเวลาราวยี่สิบนาทีเพื่อล้างหน้า แปรงฟัน แต่งตัว เก็บข้าวของ จากนั้นก็ออกไปตั้งแถว ฟังโอวาทจากผู้บังคับบัญชา รับปืน แล้วก็กินอาหารเช้า

หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ เวลาประมาณเจ็ดโมงก็เริ่มออกเดินทางเพื่อยังไปฐานฝึกต่างๆซึ่งจะแตกต่างกันออกไปในแต่ละวัน มีทั้งฝึกกำลังใจ ฝึกซุ่มโจมตี ฯลฯ ฝึกจบครบห้าวัน

ฐานฝึกในวันที่สองนั้นเดินไกลมาก ที่จริงก็เดินไกลทุกวันนั่นแหละ เช้าวันนี้เป็นวันที่ผมเริ่มใส่กางเกงในกระดาษ ทีแรกก็ไม่รู้สึกอะไร แต่พอเดินไปไกลๆแล้วรู้สึกได้ว่าผ้ากางเกง รด. ที่หนาและแข็งนั้นเสียดสีผิวกายอย่างมาก ตอนที่ใส่กางเกงในผ้าฝ้ายนั้นมีผ้าฝ้ายช่วยรับการเสียดสีเอาไว้ชั้นหนึ่ง แต่กางเกงในกระดาษนี่บางมาก มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย มิหนำซ้ำเมื่อมีการเคลื่อนไหวและมีเหงื่อออกมากๆผมรู้สึกว่ามันขาดวิ่นออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

“ไอ้กี้ กางเกงในมึงทำพิษแล้ว” ผมพูดกับไอ้กี้ในตอนที่เราแวะฉี่และผมได้รู้ความจริงว่ากางเกงในของผมขาดไปเรียบร้อยแล้วจริงๆ ยังอดนึกต่อไปไม่ได้ว่าเย็นนี้จะอาบน้ำอย่างไรหากกางเกงในละลายน้ำได้แบบนี้ คงต้องไปหยิบเอาตัวเก่าของเมื่อวานมาใส่อาบ ยุ่งยากไปอีก

“มันเป็นไงเหรอ” ไอ้กี้หัวราะตาหยีตามเคย

“ตอนนี้มันเปื่อยไปแล้ว ผ้าแข็งๆเสียดสีกับเนื้อ เจ็บฉิบหาย” ผมบ่นกับมัน “มึงไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ”

“กูไม่ได้ใส่กางเกงในกระดาษ” ไอ้กี้หัวเราะ “ลองใส่ดูที่บ้านแล้วมันโหวงเหวงยังไงก็ไม่รู้ เลยเอากางเกงในธรรมดามา”

“ไอ้ห่า แม่ง แล้วก็ไม่บอกกูด้วย” ผมด่ามัน รู้สึกเหมือนกับถูกหลอกยังไงยังงั้นเลย

“อ้าว กูจะไปรู้มึงเหรอ มึงลองใส่เองมึงก็รู้นี่ ทำไมต้องให้กูบอกด้วย ไอ้ควาย” ไอ้กี้นอกจากไม่เห็นใจผมแล้วยังด่ากลับอีกต่างหาก

การฝึกในวันนั้นเป็นการหมอบ คลาน และมุดรั้วลวดหนาม มุดๆกลิ้งๆทั้งวัน ผมรู้สึกว่าอวัยวะในกางเกงในและขาหนีบแสบไปหมดจากการเสียดสีและการกระแทก อดคิดไม่ได้ว่าเมื่อกลับไปแล้วจะเป็นไส้เลื่อนด้วยหรือเปล่า แต่ใครก็ช่วยไม่ได้เพราะว่าผมตัดสินใจของผมเอง ผมก็ต้องพยายามแก้ปัญหาด้วยตัวเอง

แม้การฝึกจะหนักและการเดินทางจะไกล แต่เรื่องอาหารและน้ำดื่มนั้นไม่ขาดแคลนเพราะมีร้านค้าเล็กๆตั้งอยู่ตามจุดต่างๆที่ นศท. แวะพัก สามารถซื้อเครื่องดื่มและขนมกินได้บ้าง นอกจากนี้ที่กองพันยังมีร้านค้าและร้านอาหารที่ นศท. สามารถใช้บริการได้อีกด้วย ทราบมาว่าเดี๋ยวนี้ที่กองพันมีแม้แต่ร้านสะดวกซื้อ 7-11 รวมทั้งเขาชนไก่ที่ว่าร้อนและแล้งนั้นในปัจจุบันยังใช้เป็นสถานที่จัดเทศกาลดนตรีอีกด้วย โดยมีชื่อเป็นภาษาอังกฤษเก๋ไก๋ว่า CHICK MOUNTAIN

“เฮ้ย ใครมีกางเกงในเหลือบ้างวะ” ผมถามเพื่อนๆในระหว่างพัก

“เอาแบบใช้แล้วหรือยังไม่ใช้ล่ะ” เพื่อนถามกลับ

“ยังไม่ใช้ดิ เอามาไม่พอโว้ย” ผมตอบ

“ร้อยนึง” เพื่อนตอบ

“เฮ้ย ทำไมแพงนักวะ ที่กรุงเทพฯขายห้าตัวร้อย” ผมโวย

“เฮ้ย กูใช้ของดีโว้ย จะเอาห้าตัวร้อยมึงไปหาที่อื่นก็แล้วกัน” เพื่อนตอบ “ขายให้ก็บุญแล้ว”

ผมใช้เวลาในระหว่างวันถามหาและขอซื้อต่อกางเกงในจากเพื่อนๆที่เอามาเกินพอ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีใครขายให้เพราะเอามาพอดี จนตอนเย็นต้องไปถามหาจากกองร้อยอื่นได้มารวมทั้งหมดสามตัว หมดเงินไปหลายร้อยบาท เพื่อนในกองร้อยเดียวกันคิดราคาตามจริงเพราะรู้จักกัน ส่วนเพื่อนกองร้อยอื่นนั้นก็โขกราคาในฐานะที่ไม่รู้จักกัน เรื่องการซื้อขายของในระหว่าง นศท. ด้วยกันนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่ส่วนใหญ่มักเป็นบุหรี่กับของกินมากกว่ากางเกงใน

- - -

ต้นเดือนกุมภาพันธ์

ในที่สุดการฝึกที่เขาชนไก่ก็ผ่านพ้นไปด้วยความเรียบร้อย ผมสามารถกลับมาถึงกรุงเทพฯได้โดยไม่บุบสลายแต่อย่างใด จะมีบ้างก็แผลและรอยขีดข่วนเล็กๆน้อยๆจากการฝึก เมื่อกลับมาแล้วรู้สึกว่าเกงเกงคับเสียด้วยซ้ำ คงเป็นเพราะว่าอยู่ที่เขาชนไก่กินเยอะกว่าปกตินั่นเอง เป้และเสื้อผ้าที่นำไปด้วยสกปรกเลอะเทอะมาก ขนาดซักตั้งหลายรอบน้ำซักผ้ายังเป็นสีแดงจากดินลูกรังที่ติดมาจากเขาชนไก่

“โห หน้าตกสกปรกมอมแมมไปเลย” แมวทักผมเมื่อผมกลับไปเรียนที่มหาวิทยาลัยอีกครั้งหนึ่ง

“มีขี้กลากหรือเปล่า อย่าเอามาติดเรานะ” จิ๊บพูดบ้าง “แล้วไหนล่ะของฝาก”

“นี่ไปเขาชนไก่นะ ไม่ได้ไปเที่ยว จะไปเอาของฝากมาจากไหน” ผมหัวเราะ “มิน่าล่ะ ถึงได้อ้วนเอาๆ ชอบทวงของฝากของกินนี่เอง”

ตอนที่ไปเขาชนไก่นั้นแม้จะลำบากนิดหน่อย แต่ผมกลับรู้สึกสบายใจ มันเหมือนกับเป็นการทิ้งเรื่องราวต่างๆเอาไว้ที่กรุงเทพฯจนหมด จนเมื่อกลับมาเรียนหนังสือผมก็ต้องรู้สึกหนักใจอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเรื่องที่หนักใจก็ไม่ใช่เรื่องอื่นใด เรื่องเพ็ญนั่นเอง

เรื่องเพ็ญเป็นเรื่องที่รบกวนจิตใจของผม ทำให้ผมไม่สบายใจมาตลอด ผมพยายามหลบหน้าเพ็ญอยู่เสมอ จนในที่สุดเพื่อนๆก็เริ่มสงสัยเนื่องจากเมื่อก่อนเราสนิทสนมกันมากและมักไปไหนมาไหนด้วยกัน แต่ตอนนี้ผมกลับเรียนคนเดียวและเดินคนเดียวตลอด การหนีเพื่อนที่เรียนอยู่ในคณะเดียวกันและต้องเห็นกันอยู่เป็นประจำนั้นเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดมาก แม้รู้ว่ามันเป็นการกระทำที่ผิดแต่ผมก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้ดีไปกว่านี้

จนล่วงเข้ากลางเดือนกุมภาพันธ์ วันหนึ่งแมวก็ยื่นซองจดหมายให้ผมฉบับหนึ่ง มันเป็นซองที่ถูกปิดผนึกเรียบร้อย

“เพ็ญฝากจดหมายนี่มาให้เธอ” แมวพูด ผมรับจดหมายมาแต่ยังไม่ฉีกซองออกดู

“นี่มันเรื่องอะไรกันเจ้าอู เธอสองคนมีเรื่องอะไรกัน แล้วทำไมไม่คุยกันถึงกับต้องใช้ฝากจดหมาย” แมวระดมคำถาม

“...”

“โอ๊ย อยากรู้ๆๆ” แมวทำท่าเหมือนอยากร้องกรี๊ด “ถามใครก็ไม่มีใครพูด เออ ดีแล้ว ถามไม่พูด ต่อไปมีอะไรไม่ต้องมาให้ช่วยนะ”

ผมหาที่เงียบๆ จากนั้นเปิดจดหมายออกอ่าน เห็นในจดหมายมีข้อความแต่เพียงสั้นๆว่า

“เราเข้าใจทุกอย่างแล้ว ขอให้อูลืมเรื่องที่เราพูดไปให้หมด”

ผมอ่านจดหมายจบ ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ฉีกจดหมายทั้งฉบับเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จากนั้นโปรยลงในถังขยะ ผมไม่อยากให้ใครได้อ่านจดหมายฉบับนี้อีก

คำพูดของพ็ญเหมือนกับให้อิสรภาพแก่ผมอีกครั้งหนึ่ง แต่ผมกลับไม่ได้รู้สึกดีใจในอิสรภาพครั้งนี้เลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม ผมกลับรู้สึกผิดมากยิ่งขึ้น ผมรู้ดีว่าผมได้ทำลายความฝันอันบรรเจิดของหญิงสาวผู้ตกอยู่ในห้วงทุกข์คนหนึ่งไปอย่างไรน้ำใจ หากเธอกลับไปจมในห้วงทุกข์เช่นเดิมอีกผมก็คงมีบาปติดตัวเพิ่มขึ้น แต่ผมก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้ดีไปกว่านี้จริงๆ

โชคดีช่วงนั้นเป็นช่วงปลายภาคแล้ว อีกทั้งการสอบเอนทรานซ์ก็ใกล้เข้ามาทุกที ผมจึงได้อาศัยโลกของหนังสือช่วยให้ผมหนีออกมาจากโลกของความเป็นจริง ผมพยายามสลัดเรื่องเพ็ญทิ้งไปชั่วคราวและทุ่มเทกับการอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบ

การสอบครั้งนี้ป็นการสอบที่ผมต้องเตรียมตัวมาก ผมต้องพยายามทำคะแนนให้ดีทั้งสองทาง คือทั้งการสอบของคณะกับการสอบเอนทรานซ์ เผื่อว่าหากผมพลาดจากการสอบเอนทรานซ์ผมจะได้มีทางถอยนั่นเอง

- - -

เดือนเมษายน

ในที่สุด การสอบปลายภาคก็ผ่านไป และหลังจากนั้นอีกเพียงเดือนเดียวการสอบเอนทรานซ์ก็เริ่มขึ้น

ขั้นตอนทุกอย่างเป็นเหมือนปีที่แล้ว คือสูตร สาม สี่ ห้า สมัครเดือนสาม สอบเดือนสี่ และรู้ผลเดือนห้า ปีนี้ผมเลือกแพทย์ทุกอันดับเท่าที่จะมีให้เลือก โดยใช้คะแนนสูงสุดต่ำสุดที่รับเข้าในปีที่แล้วประกอบในการจัดลำดับการเลือก ผมเลือกทั้งกรุงเทพฯและต่างจังหวัด อันดับสุดท้ายของผมเป็นคณะแพทย์ที่อยู่ต่างจังหวัดและมีคะแนนรับเข้าน้อยที่สุดในกลุ่ม ตอนนั้นคิดอยู่เพียงอย่างเดียวว่าขอให้ได้ไว้ก่อนเถอะ ที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น ถ้าหากไม่ได้ก็ขอเรียนที่เดิมดีกว่า

การเตรียมตัวสอบในปีนี้ต่างจากปีที่แล้วไปโขในด้านกำลังใจ ปีที่แล้วขณะที่เรียนอยู่ชั้น ม.๕ ผมรู้สึกมีกำลังใจและความมุ่งมั่นมาก แต่ในการสอบเอนทรานซ์ครั้งที่สอง ผมรู้สึกเนือยลงไปพอสมควร ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะว่าต้องพยายามรักษาผลการเรียนที่คณะเอาไว้ กับอีกส่วนหนึ่งคงเป็นความคิดว่าถึงอย่างไรก็มีที่เรียนอยู่แล้ว ความมุ่งมั่นในการเตรียมตัวสอบเอนทรานซ์จึงลดน้อยลงไป แต่ผมก็พยายามอย่างเต็มที่ คำสบประมาทของพ่อกับความต้องการหนีจากสภาพอันน่าอึดอัดเรื่องเพ็ญเป็นแรงผลักดันอันสำคัญของผมในการสอบครั้งนี้

เพื่อนๆในคณะมาสอบเอนทรานซ์กันตรึม คะเนด้วยสายตาคงมาสอบกันมากกว่าครึ่งคณะ สาเหตุที่มาสอบนั้นก็ต่างๆกันไป บางคนรู้ตัวว่าผลการเรียนย่ำแย่ ถูกรีไทร์แน่ จึงจำเป็นต้องสอบใหม่ ส่วนบางคนอยากได้คณะที่ดีกว่าเดิมหรือคณะที่ถูกใจมากกว่าเดิมจึงสอบใหม่

หลังจากสอบเอนทรานซ์เสร็จผมก็กลับบ้านต่างจังหวัด ปีนี้ผมไม่ได้เจอเอ๊ดเลยเนื่องจากเอ๊ดติดเรียนภาคฤดูร้อน ชีวิตในช่วงฤดูร้อนที่บ้านต่างจังหวัดในปีนี้แม้จะขาดเอ๊ดไปทำให้ครอบครัวดูไม่สมบูรณ์ไปบ้างแต่ก็เป็นวันเวลาที่สุขสงบ พ่อกระแนะกระแหนเรื่องคณะที่ผมเรียนบ้างเช่นเคยแต่ก็ไม่มากนัก ส่วนแม้นั้นดูมีสุขภาพดี

- - -

ต้นเดือนพฤษภาคม

ในที่สุด วันประกาศผลการสอบเอนทรานซ์ก็มาถึง ผมเดินทางมาถึงสนามจุ๊บอันเป็นสถานที่ประกาศผลสอบตั้งแต่เช้า ในขณะที่ผมก้าวเดินไปตามทางเดิน ภาพเดิมๆปรากฏให้ผมเห็นอีกครั้งหนึ่ง ผู้ที่สมหวังก็กระโดดโลดเต้น ผู้ที่ผิดหวังก็ร้องไห้เสียใจ

ผมเดินไล่หาเลขที่นั่งสอบของผมตามบอร์ดประกาศผล เมื่อพบบอร์ดที่ต้องการแล้วก็ไล่ดูประกาศในบอร์ดที่ละบรรทัด บรรทัดแล้วบรรทัดเล่าที่ผมกวาดสายตาดู ใจก็อดระทึกไม่ได้ จนในที่สุด...

“ไอ้อู ชื่อนายอยู่นี่โว้ย” ผมได้ยินเสียงดังที่ข้างๆตัว เมื่อหันไปดูก็เห็นเป็นเพื่อนคนหนึ่งที่คณะนั่นเอง มันชี้ให้ดูบรรทัดที่ปรากฏชื่อของผมอยู่ ท้ายชื่อเป็นรหัสคณะที่ผมเลือกเป็นอันดับสุดท้าย

“ติดหมอด้วยไอ้อู” เพื่อนคนนั้นพูดอีก

“แล้วนายล่ะ” ผมถามบ้าง

“วิศวะ...” เพื่อนตอบ น้ำเสียงซ่อนความดีใจเอาไว้ไม่มิด

ผมเดินออกมาจากบอร์ดอย่างงงๆ ส่วนหนึ่งก็ดีใจที่สอบติด แต่อีกส่วนหนึ่งก็หนักใจเพราะเป็นคณะแพทย์ที่อยู่ต่างจังหวัดซึ่งไกลจากกรุงเทพฯและบ้านของผมมาก...




<การฝึกในวันนั้นเป็นการหมอบ คลาน และมุดรั้วลวดหนาม มุดๆกลิ้งๆทั้งวัน ผมรู้สึกว่าอวัยวะในกางเกงในและขาหนีบแสบไปหมดจากการเสียดสีและการกระแทก อดคิดไม่ได้ว่าเมื่อกลับไปแล้วจะเป็นไส้เลื่อนด้วยหรือเปล่า แต่ใครก็ช่วยไม่ได้เพราะว่าผมตัดสินใจของผมเอง ผมก็ต้องพยายามแก้ปัญหาด้วยตัวเอง>