Thursday, January 31, 2013

ภาคสี่ ตอนที่ 67


ผมวางหูโทรศัพท์จากการคุยกับแม่ด้วยความรู้สึกงงๆ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตอนนั้นอธิบายได้ยาก จู่ๆก็ได้บ้านมาอย่างไม่คาดหมาย ที่ใช้คำว่าไม่คาดหมายก็เพราะว่าผมมีความหวังกับเรื่องบ้านหลังใหม่ค่อนข้างน้อย ฐานะทางบ้านเท่าที่พอรู้ก็อาจจะไม่อำนวยนัก คิดว่าอาจต้องพยายามอีกเป็นปีกว่าจะได้มา แต่พอบทจะได้ขึ้นมากลับได้มาอย่างง่ายๆในเวลาไม่นานนัก

หากถามว่าผมดีใจกับเรื่องนี้ไหม ถ้าจะให้ตอบตามตรงก็คือดีใจนิดหน่อย ไม่มากนัก ความรู้สึกคล้ายๆกับตอนสอบเอนทรานซ์ติดตัวเลือกอันดับสุดท้ายนั่นเอง มันเป็นความดีใจที่เจือปนความผิดหวังอยู่บ้าง ทำไมจึงไม่เป็นบ้านหลังที่มีต้นไม้ร่มรื่นหลังนั้นนะ แต่ก็เอาเถอะ ได้บ้านทาวน์เฮาส์ก็ย่อมดีกว่าไม่ได้อะไรเลย

วันต่อมา

ผมรีบโทรไปคุยต่อรองกับเจ้าของทาวน์เฮาส์ในตอนสายๆ ความรู้สึกที่ไม่ค่อยตื่นเต้นยินดีกับบ้านหลังนี้ทำให้ผมต่อรองราคากับเจ้าของบ้านอย่างไม่ค่อยกระตือรือร้นนัก

“เอ้อ...” ผมตะกุกตะกัก หลังจากที่ทักทายกันแล้วและกำลังจะเข้าเรื่อง ที่จริงก็เตรียมคำพูดมาไว้แล้วเหมือนกันแต่ว่าพอจะพูดจริงๆกลับพูดไม่ค่อยออกเพราะความประหม่า กลังจะทำพลาด เพราะการเจรจาครั้งนี้มูลค่าถึงล้านกว่าบาท “คือผมคิดว่าราคานี้สูงไปหน่อยน่ะครับ”

“คุณพ่อไม่โทรมาคุยราคาเองหรือน้อง” เจ้าของบ้านถาม

“คือ... พ่อให้ผมคุยน่ะครับ ผมตัดสินใจได้” ผมตอบ ชักเริ่มรู้สึกอึดอัดกับการเจรจาธุรกิจ ดูเหมือนว่าทางเจ้าของบ้านไม่ค่อยอยากคุยกับผมนัก

“เอายังงั้นก็ได้ น้องก็ลองเสนอราคามาสิ อยากได้ราคาเท่าไร”

“หนึ่งล้านหนึ่งแสนก็แล้วกันครับ” ผมพูด

“@#%&*+#$%$#@!+*” เจ้าของบ้านบ่นพึมกับราคาที่ผมต่อรองไป พลางสาธยายแม่น้ำทั้งห้าว่าบ้านนี้ดียังไง พร้อมกับลดราคาให้ผมสองหมื่นบาท

“บ้านหลังนี้ยังหากได้มาแล้วยังต้องตกแต่งปรับปรุงอีกเยอะครับ” ผมพูดตามที่จำมาจากคำพูดของเอ๊ด เนื่องจากว่าบ้านหลังนี้เจ้าของขายตามสภาพที่เป็นอยู่ ไม่ได้ผ่านการตกแต่งใหม่แล้วเอามาขาย ดังนั้นทุกอย่างจึงเก่าไปตามอายุใช้งาน “เรามีงบประมาณเท่านี้เอง พี่ก็ช่วยหน่อยละกันครับ”

“$#@%^%^&*+%$##@” เจ้าของบ่นอีกยาวสองกิโล แล้วลดราคาลงให้อีกเป็นหนึ่งหมื่น รวมแล้วลดให้สามหมื่นบาท ก็ยังเกือบๆหนึ่งล้านสองแสนบาท

“ครับ ยังงั้นสงสัยว่างบคงจะไม่พอละครับ” ผมถอดใจ ไม่เอาก็ได้วะ ไม่ได้อยากได้สักเท่าไรอยู่แล้ว “คงไม่ไหวละครับ”

ไม่ได้ก็ดีเหมือนกัน ผมคิดในใจ เพราะว่าในใจชอบบ้านสวนร่มรื่นหลังนั้นมากกว่า หากไม่ได้หลังนี้ก็ยังมีโอกาสซื้อบ้านหลังนั้นได้ในอนาคต แต่หากได้บ้านหลังนี้ก็เป็นอันหมดโอกาสในบ้านหลังนั้น

เจ้าของบ้านเงียบไปครู่หนึ่ง

“เอายังงี้ดีกว่า ถ้าราคาที่ว่าน้องพร้อมโอนได้เลยก็พอรับได้” เจ้าของบ้านพูด แต่ถ้าต้องรอโอนเป็นเดือนพี่ก็ไม่ไหวเหมือนกัน”

“พร้อมโอนเลย...” ผมทวนคำ พ่อไม่ได้พูดเลยว่าจะมีเงินพร้อมโอนเมื่อไร ข้อนี้ผมตอบไม่ถูก “เดี๋ยวขอผมปรึกษากับทางบ้านก่อนนะครับ”

หลังจากนั้นผมก็รีบโทรไปถามพ่อ

“ป๊า เค้าถามว่าพร้อมจะโอนเลยหรือเปล่า” ผมพูด

“แล้วเค้าพร้อมจะย้ายออกเมื่อไรล่ะ” พ่อถาม ผมอึ้งไป ก็ไม่รู้เหมือนกันเพราะทางนั้นก็ไม่ได้บอก ทำไมไม่คุยกันเองนะ จะได้รู้เรื่องกันไปเลย

“อูก็ไม่รู้ ป๊าคุยเองไม่ดีเหรอ” ผมพูด

“ถ้าอูอยากได้ก็คุยเอง” พ่อตัดบท

“งั้นเอาทางเราก่อนละกัน ป๊าพร้อมโอนได้เร็วที่สุดเมื่อไร แล้วที่เหลืออูจะคุยต่อเอง” เอาไงก็เอา

“ตั้งแต่สัปดาห์หน้าเป็นต้นไป นัดวันว่างได้ตรงกันแล้วไปโอนได้เลย” พ่อพูด

งานต่อรองไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนตอนไปขอสปอนเซอร์ ผมต้องโทรไปคุยกับเจ้าของบ้านใหม่อีกครั้ง คุยกันเรื่องการย้ายออก ก็เป็นอันว่าตกลงกันได้ว่าให้เจ้าของบ้านย้ายข้าวของออก แล้วไปโอนกันในช่วงปลายเดือน เมี่อตกลงในหลักการได้ก็ต้องวางมัดจำกันก่อน เรื่องวางมัดจำก็ไม่ได้คุยกับพ่ออีก ก็ต้องย้อนกลับไปคุยกับพ่อใหม่ กว่าจะลงตัวผมก็มึนเหมือนกัน พร้อมกับอดบ่นพ่อในใจไม่ได้ว่าทำไมไม่คุยเสียเองจะได้หมดเรื่อง คนที่รู้เรื่องก็ไม่คุย แต่ให้ผมที่ไม่รู้เรื่องมาคุย เรื่องที่ควรจะง่ายก็เลยกลายเป็นยาก...

- - -

ผู้ที่รู้ข่าวดีเรื่องบ้านนี้เป็นบุคคลที่สองนอกจากคนที่บ้านของผมแล้วจะเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกจากป้อม นักเรียนพิเศษซึ่งตอนนี้แทบจะกลายเป็นเจ้านายของผมไปแล้ว ผมได้เล่าเรื่องบ้านหลังใหม่ที่กำลังจะได้มาให้ป้อมฟังในวันต่อมาที่ได้ไปสอนป้อม ช่วงนี้เราย้ายไปเรียนกันที่มหาวิทยาลัย

“โห ดีจังเลย ต่อไปป้อมจะได้ไปเล่นที่บ้านพี่อูบ้าง” ป้อมดีใจไปด้วยกับผม “เมื่อไรพี่อูจะย้ายเข้าไปอยู่ล่ะ”

เมื่อพูดถึงย้าย ผมก็ใจแป้วไปหน่อย เนื่องจากเรื่องราวที่ต้องสะสางยังมีอีกมากมาย

“ยังไม่รู้เลย” ผมตอบ “ยังเหลือขั้นตอนอีกหลายขั้น ไหนจะวางมัดจำ แล้วไปโอน หลังจากนั้นก็ต้องมาตกแต่งปรับปรุงบ้านอีก คิดถึงตอนย้ายก็เหนื่อยแล้ว ต้องแบกของกันหลายลังเลยทีเดียว ไหนจะเรื่องงานเก็บกวาดทำความสะอาดอีก”

“เดี๋ยวป้อมไปช่วยเอง ไม่ต้องห่วง ป้อมจะช่วยพี่อูย้ายแล้วก็ทำความสะอาด จัดบ้าน” ป้อมพูดอย่างประตือรือร้น “ป้อมคิดไม่แพง”

ผมเผลอยกมือขยี้ผมป้อมอย่างลืมตัว ท่าทางของป้อมสดใส กระตือรือร้น ป้อมดูน่ารักขึ้นทุกวัน

“งกจริง งานบ้านน่ะทำเป็นเหรอ อยู่ที่บ้านพี่ยังไม่เคยเห็นคุณชายจับไม้กวาดเลย” ผมเหน็บแนม

“ฮึ ดูถูก นี่แน่ะ” ป้อมร้องอย่างไม่พอใจ ไม่ร้องเปล่า ยกเท้าเตะหน้าแข้งของผมด้วย “งานบ้านทำไมจะทำไม่เป็น ที่พี่อูไม่เห็นป้อมจับไม้กวาดเพราะว่าที่บ้านป้อมใช้เครื่องดูดฝุ่น สมัยนี้เขาใช้เครื่องดูดฝุ่นกันแล้วพี่ไก่อูเชย”

“อูย เจ็บนะคุณชาย” ผมบ่น “พี่พูดนิดเดียว ว่าพี่เป็นชุดเลย”

“สมน้ำหน้า อยากดูถูกป้อม” ป้อมหัวเราะ

“เอาล่ะ ไม่ต้องต่อล้อต่อเถียงแล้ว” ผมตัดบท “มาเรียนกันก่อน มัวแต่เล่นเดี๋ยววันนี้ไม่จบบทกันพอดี”

“พี่อูได้บ้านใหม่ วันนี้เราไปฉลองกันดีกว่า งดเรียนสักวัน นะพี่อู” ป้อมคิดมุขขึ้นมาได้อีก

“ไม่เอา ไม่งด” ผมปฏิเสธ ทั้งๆที่ใจก็อยากจะไปเที่ยวกับป้อมเช่นกัน “เรียนเสร็จแล้วตอนบ่ายค่อยไปก็ได้”

“แต่วันนี้ป้อมขี้เกียจเรียนน่ะ ไม่มีอารมณ์จะเรียนเลย” ป้อมงอแงอีก

“แต่พี่อยากสอนนี่” ผมพูด “อุตส่าห์เขียนชีตมาตั้งเยอะ ถ้าไม่เรียนเดี๋ยวชีตบูดหมด เสียดายของ”

“ไม่เอา ไม่เรียน” ป้อมสะบัดหน้า

“โอ๋ๆๆ คุณชาย เรียนหน่อยนะ ได้โปรดเถอะ” ผมวิงวอน “พี่อูอยากสอนจะแย่แล้ว สงสารพี่อูเถอะนะ”

ป้อมนิ่งคิด

“เอา เรียนหน่อยก็ได้ สงสารเด็ก” ป้อมพูดแล้วหัวเราะ

ผมเอามือขยี้ผมป้อมอีก แล้วก็หัวเราะตาม สนามหญ้าสีเขียวรอบตัวดูกลายเป็นสีชมพูสว่างไสวไปทั้งหมด

“บ้ากันไปแล้ว” ผมพูด “คนสอนต้องอ้อนวอนคนเรียน แบบนี้ก็มีในโลกด้วย”

ป้อมดูจะรู้ใจและเข้าใจผมมากขึ้นทุกวัน วันนั้นหลังจากเรียนเสร็จเราไปฉลองกันเล็กๆน้อยๆตามที่ป้อมต้องการ โดยเราเลิกเรียนก่อนเที่ยงเล็กน้อย จากนั้นไปกินสุกี้กันที่สยามสแควร์

- - -

บ้านหลังที่สองในชีวิตของผมนั้นได้มาไม่ง่ายเลยจริงๆ หลังจากที่คุยตกลงกันกับเจ้าของบ้านแล้วผมก็ต้องนัดพบกันเพื่อเซ็นสัญญาจะซื้อจะขายและวางเงินมัดจำ พ่อบอกไม่ยุ่งก็ไม่ยุ่งจริงๆ บอกว่าจะเขียนเช็คค่ามัดจำส่งมาให้ แต่ให้ผมทำสัญญาเอง แต่ก็ไม่วายกำชับว่าให้ระวังโดนโกง ต้องดูสัญญาให้ดี เมื่อผมถามพ่อว่าแล้วต้องดูยังไง พ่อก็บอกว่าไม่รู้

เมื่อพ่อไม่รู้ แม่ก็ยิ่งไม่รู้ใหญ่ สมัยก่อนไม่เหมือนกับสมัยนี้ที่มีเว็บบอร์ดชุมชนออนไลน์ต่างๆให้ถาม ถ้าเป็นสมัยนี้คงไม่ยาก แต่ในยุคนั้นสำหรับผมแล้วยากมาก เพราะว่าไม่เคยทำเรื่องพวกนี้มาก่อน ก็ต้องไปหาความรู้เอาเองว่าต้องดูสัญญาอย่างไร แหล่งความรู้ที่ดีที่สุดในตอนนั้นก็คือห้องสมุด ผมจึงไปค้นหาหนังสือเกี่ยวกับนิติกรรมสัญญาและหนังสือเกี่ยวกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งนิตยสารวัฎจักรที่ดินที่เคยซื้อมาหาประกาศขายบ้านก็พอมีบทความพวกนี้อยู่บ้าง

ผมโทรไปหาเจ้าของบ้านเพื่อขอสัญญามาดูก่อนล่วงหน้าโดยอ้างว่าที่บ้านต้องการดู เจ้าของก็บอกว่าจะส่งมาให้ทางโทรสารหรือไม่ก็ไปหาซื้อเอาเอง เพราะว่าใช้สัญญาสำเร็จรูปที่มีขายตามร้านเครื่องเขียน ผมก็ต้องไปหาซื้อมาอ่านดู เมื่อได้มาแล้วก็เอามาอ่านเทียบดูกับตัวอย่างสัญญาจะซื้อจะขายที่มีอยู่ตามหนังสือต่างๆว่ามีแง่มุมใดที่เอาเปรียบเราหรือไม่ โชคดีที่เจ้าของบ้านรายนี้คงไม่สันทัดเรื่องสัญญาเหมือนกันหรืออย่างน้อยก็ไม่เขี้ยว เพราะใช้สัญญาที่เขียนไว้อย่างกลางๆ สั้นๆ ง่ายๆ ไม่มีใครเอาเปรียบใคร

“เอ๊ด วันเสาร์ช่วยมาเซ็นสัญญามัดจำหน่อยสิ” ผมโทรหาเอ๊ด ตอนนั้นเอ๊ดได้งานแล้ว พักอยู่ที่ที่พักของโรงงาน

“อูเซ็นเองสิ ป๊าให้อูจัดการนี่” เอ๊ดพูด

“อะไรว้า อะไรก็อูหมด” ผมโวย “ได้มาแล้วเอ๊ดไม่อยู่หรือไง”

“ไม่รู้” เอ๊ดปัด “ก็ป๊าบอกให้อูทำ อูก็ทำสิ ป๊าไม่ได้สั่งให้เอ๊ดทำนี่”

“งั้นช่วยมาเป็นเพื่อนหน่อยละกัน มาเซ็นเป็นพยานก็ได้” ผมพูด “ตอนทำสัญญาควรมีพยานข้างละหนึ่งคน”

ผมก็ว่าไปตามที่อ่านพบมา หลายอย่างทำไปแบบตามตำรา ไม่ได้ทำจากประสบการณ์ ตำราว่ายังไงก็พยายามทำตามนั้น ซึ่งเอ๊ดก็ตอบตกลงว่าจะมาเซ็นพยานให้ในวันนัดชำระเงินค่ามัดจำ

“อู อย่าลืมตกลงกันให้เรียบร้อยนะว่ามีของใช้เครื่องเรือนอะไรที่ยกให้เราบ้าง ทำบันทึกเอาไว้ก็ดี จะได้ไม่ผิดพลาดในภายหลัง” เอ๊ดไม่วายกำชับ “ของที่รื้อถอนยากเพราะติดอยู่กับโครงสร้างก็อย่าให้เอาไป เพราะรื้อถอนออกแล้วตัวบ้านอาจช้ำ ซ่อมก็ยาก อย่างเช่นตู้บิลต์อิน ถ้าตู้ตั้งลอยๆก็ไม่เป็นไร แต่ก็คงไม่มีใครคิดรื้อของพวกนี้ไปหรอก เอ๊ดพูดเผื่อไว้เท่านั้น”

“อ้าว แล้วไม่บอกแต่แรก” ผมบ่นอีก “อูลืมเรื่องนี้ไป ยังไม่ได้คุยกันเลย”

“นั่นแหละ ไปคุยมาให้เรียบร้อย” เอ๊ดแนะนำ แม้เอ๊ดไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องธุรกิจมาก่อนเช่นกัน แต่ด้วยความที่เป็นคนละเอียดรอบคอบมาแต่ไหนแต่ไรทำให้เอ๊ดนึกประเด็นนี้ขึ้นมาได้

ช่วงนั้นเรื่องบ้านหลังใหม่ทำเอาผมโกลาหลวุ่นวาย กว่าจะได้เซ็นสัญญาจะซื้อจะขายกันสำเร็จก็ทำเอาเหนื่อย หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรยุ่งยากแล้ว แค่รอให้ถึงวันนัดโอนก็ไปจดทะเบียนนิติกรรมกันที่สำนักงานที่ดิน โดยก่อนวันโอนเล็กน้อยผมได้ไปตรวจดูที่บ้านทาวน์เฮาส์หลังที่จะซื้อ ว่ามีการย้ายออกเรียบร้อยแล้วหรือยัง เครื่องเรือนต่างๆทิ้งไว้ให้ตามที่ตกลงกันไว้หรือไม่ ซึ่งปรากฏว่าเจ้าของบ้านจัดการตามที่ตกลงกันไว้ ไม่มีอะไรบิดพลิ้ว

เมื่อถึงวันโอน พ่อไปรับผมที่หอพักเพื่อไปสำนักงานที่ดินด้วยกัน วันนั้นพ่อมาคนเดียว แม่ไม่ได้มา ส่วนเอ๊ดทำงาน เมื่อเราไปถึงสำนักงานที่ดินผมก็พบว่าเจ้าของทาวน์เฮาส์รออยู่แล้ว

พ่อทักทายกับเจ้าของทาวน์เฮาส์ พลางยื่นเอกสารอะไรบางฉบับให้เจ้าของบ้านดู แล้วคุยกันอีกสักครู่ ซึ่งผมไม่ได้ยินและไม่ได้สนใจ เพราะยืนอยู่ห่างๆ คิดว่าแค่มาเป็นเพื่อนพ่อ ปล่อยให้พ่อจัดการเอาเอง แต่หลังจากที่พ่อคุยกับเจ้าของบ้านเสร็จพ่อก็เรียกผมไปคุย พร้อมกับยัดซองเอกสารใส่มือผม

“อูเอาไปจัดการ เดี๋ยวเจ้าหน้าที่เรียกให้ทำอะไรก็ทำไปตามนั้น” พ่อพูด

“อ้าว ป๊า...” ผมพูดแล้วหยุดไป ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรเหมือนกัน หลายปีมานี้ผมกับพ่อพูดกันน้อยมาก ไม่รู้ว่าพ่อพูดกับผมน้อยหรือว่าผมพูดกับพ่อน้อยกันแน่ รู้แต่ว่ามันกลายเป็นนิสัยของผมไปโดยปริยายคือจะพูดน้อยเมื่ออยู่กับพ่อ ดังนั้นเมื่อว่ามาแบบนี้ผมก็ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงอะไร

ผมถือซองเอกสารไว้ในมือ รออยู่สักครู่เจ้าหน้าที่ของสำนักงานที่ดินก็เรียกผมและเจ้าของทาวน์เฮาส์ไป เรียกสำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้านของผม ให้เซ็นรับรอง หลังจากนั้นก็ซักถามเรื่องราคา เรื่องตัวบ้านและที่ดิน ซึ่งเจ้าของเป็นคนตอบ  หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็เรียกไปอีก เอาเอกสารมากมายมาให้เซ็น แล้วก็นั่งรอ จนท้ายที่สุดเจ้าหน้าที่ก็เรียกไปอีก พร้อมกับให้ชำระเงินกันต่อหน้าเจ้าหน้าที่

ผมรู้ว่าในซองมีแคชเชียร์เช็คอยู่ จึงหยิบมาส่งให้เจ้าของทาวน์เฮ้า แล้วก็ไปนั่งรออีก

หลังจากนั้นอีกสักพัก เจ้าหน้าที่ก็เรียกชื่อผม ผมก็เดินไปหาที่โต๊ะ เจ้าหน้าที่ยื่นเอกสารให้ผมหนึ่งฉบับ มันเป็นโฉนดที่ดิน มีตราครุฑหราอยู่ที่หน้าเอกสาร พร้อมกับให้ผมเซ็นรับ

“ตรวจดูชื่อ นามสกุล ให้ถูกต้องเรียบร้อยนะคะ หากผิดให้แจ้งเดี๋ยวนี้เลย จะได้แก้ไขให้ทันที” เจ้าหน้าที่กำชับ

ผมก้มหน้าลงตรวจดูโฉนดที่ดิน ในโฉนดสะกดชื่อผมอย่างถูกต้อง ผมรู้สึกงงไปชั่วครู่ ชื่อของผมอยู่ในโฉนด นั่นก็แสดงว่า...

เจ้าของทาวน์เฮาส์ ไม่สิ ต้องเรียกว่าอดีตเจ้าของทาวน์เฮาส์ มอบกุญแจบ้านให้แก่ผม ร่ำลากันเล็กน้อยแล้วก็กลับไป ผมรีบเดินไปหาพ่อที่รออยู่ทันที

“ป๊า ทำไมในโฉนดนี้เป็นชื่อของอูล่ะ” ผมถาม อูคิดว่าจะเป็นชื่อป๊าหรือชื่อเอ๊ด”

“อูอยากได้บ้านมานานแล้วไม่ใช่เหรอ อูเป็นเจ้าของก็ถูกแล้วนี่” พ่อพูดสั้นๆเช่นเคย “เสร็จแล้ว กลับกันได้แล้ว เก็บโฉนดเองนะ เก็บให้ดี ถ้าหายละก็ยุ่งเชียว”

ผมขึ้นรถกับพ่อเพื่อกลับบ้าน ตอนนี้ผมกลายเป็นเจ้าของทาวน์เฮาส์หลังนี้โดยสมบูรณ์แล้ว มันเป็นทรัพย์สินมีค่าชิ้นแรกในชีวิตที่ผมมี... ผมหามันพบและได้มันมาอย่างนึกไม่ถึง ตลอดทางที่ผมนั่งรถกับพ่อ ผมแทบไม่ได้พูดอะไรเลย สมองของผมคิดอะไรต่ออะไรวุ่นวายไปหมด ผมเคยคิดว่าผมเป็นลูกที่พ่อไม่เคยรัก แต่มาวันนี้ผมอาจต้องคิดทบทวนดูใหม่...

ป๊า ถ้าป๊ารักอู ไม่ต้องให้เป็นทรัพย์สินเงินทองก็ได้ แค่แสดงให้ออกว่าห่วงใยอูบ้างก็ใช้ได้แล้ว... ผมบอกกับพ่ออยู่ในใจ

ภาพในอดีตลอยเข้ามาในห้วงความคิด นึกถึงตอนที่เรียนอยู่ชั้นประถม พ่อมารับผมกลับบ้านในวันสุดสัปดาห์บ่อยๆ ตอนอยู่มัธยม พ่อพยายามเอาผมกลับไปเรียนต่อที่บ้านเพราะว่าผมมีปัญหากับคุณลุงคุณป้า จะว่าพ่อไม่แสดงออกอะไรเลยก็ไม่ใช่ เป็นเพียงแต่ว่าการแสดงออกของพ่อไม่ได้เป็นดังที่ผมต้องการ

อือม์ แล้วพ่อจะเคยตั้งคำถามในใจบ้างไหม ว่าทำไมอูไม่แสดงออกว่ารักและห่วงใยป๊าบ้างเลย...

บางที... บางทีนะ... ผมอาจต้องคิดทบทวนดูใหม่จริงๆ...