Sunday, February 27, 2011

ภาคสี่ ตอนที่ 24

“หวัดดีปู

หนุ่ยจะขึ้นไปหาพี่สาวที่กรุงเทพฯวันเสาร์ที่ ... พี่สาวหนุ่ยอยู่แถวสะพานควาย อยากเจอปูด้วย มาหาหนุ่ยได้ไหม หนุ่ยจะรออยู่ที่ห้างเมอร์รี่คิงส์ตอนบ่าย อยากดูหนังโรงสักเรื่อง โทรมาหาหนุ่ยหน่อยนะ จะได้นัดกัน เบอร์หนุ่ย ...

คิดถึง

หนุ่ย”

หลายวันมานี้ผมมัวแต่ขลุกอยู่ในโรงพยาบาลจนค่ำ ทำให้ไปไขตู้ไปรษณีย์ไม่ทัน เว้นไปหลายวันเมื่อกลับมาไขตู้อีกทีก็พบจดหมายของหนุ่ย ช่วงนั้นเหลือหนุ่ยเพียงคนเดียวที่ยังเขียนติดต่อกับผม

หนุ่ยเคยเล่าให้ฟังว่ามีพี่สาวมาทำงานที่กรุงเทพฯ เช่าห้องพักแถวสะพานควายโดยพักร่วมกับเพื่อนเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ตั้งแต่ติดต่อกันมาหนุ่ยไม่เคยพูดเรื่องเดินทางเข้ากรุงเทพฯเลย เราจึงไม่เคยคุยเรื่องนัดเจอกันมาก่อน ครั้งนี้จู่ๆหนุ่ยก็จะเข้ากรุงเทพฯมาพร้อมกับชวนผมดูหนัง

หนุ่ยหน้าตาเป็นยังไงก็ไม่รู้ ส่วนนิสัยนั้นเท่าที่คุยน่าจะเป็นคนซื่อๆ จริงใจ เมื่อคิดถึงเรื่องการนัดกันก็ทำให้อดนึกไปถึงโอ๋ไม่ได้ เมื่อได้เจอกับหนุ่ยแล้วเราจะยังคบกันต่อไปได้หรือไม่ หากว่าได้พบกันแล้วจะต้องทำให้ห่างหายกันไป ถ้าอย่างนั้นสู้อย่าได้พบกันจะดีกว่า...

“ฮัลโหล ผมขอสายหนุ่ยครับ” ผมกรอกเสียงลงไปในหูโทรศัพท์ของเครื่องโทรศัพท์สาธารณะที่ตั้งอยู่ภายในซอยหอพัก ขณะนั้นเป็นเวลาเกือบๆสี่ทุ่มแล้ว เมื่อผมอ่านจดหมายของหนุ่ยก็ลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจลองโทรหาหนุ่ยดู เรื่องของโอ๋เพียงเหตุการณ์เดียวยังไม่ทำให้ผมเข็ดขยาด คนเราอาจไม่ใช่เป็นอย่างโอ๋ไปเสียทุกคน

ผมรอสายอยู่สักครู่ก็ได้ยินชายหนุ่มคนหนึ่งรับสาย

“ฮัลโหล”

“หนุ่ยเหรอ นี่ปู...” ผมพูด

“ปู... หูย ดีใจจัง หนุ่ยรอโทรศัพท์อยู่หลายวันแล้ว นึกว่าปูจะไม่โทรมาแล้ว” หนุ่ยพูดด้วยความดีใจ เสียงของหนุ่ยทุ้มๆ ฟังรื่นหูดี แต่ทว่าสำเนียงนั้นเหน่อกระจาย

“ช่วงนี้เพื่อนไม่สบายน่ะ ไปเยี่ยมเพื่อนแล้วทำให้ไขตู้ไม่ทัน เลยไม่ได้ไปไขเสียหลายวัน” ผมอธิบาย

เราคุยกันสักครู่จากนั้นก็พูดกันถึงเรื่องการนัดเจอกัน

“อยากดูหนังสักรอบจัง ไม่ได้ดูหนังที่กรุงเทพฯนานแล้ว” หนุ่ยอ้อน “แต่อย่าไปดูไกลเพราะไม่อยากกลับบ้านดึก”

จากการพูดคุยกันทำให้ผมคิดว่าหนุ่ยคงไม่น่าจะมาแผนสูงแบบโอ๋ แค่ดูหนังสักรอบแล้วรีบกลับคงไม่น่ามีอะไร ในที่สุดผมจึงตกลงนัดหมายกับหนุ่ยที่ห้างเมอร์รี่คิงส์ สะพานควาย ตอนบ่ายสามโมงที่ศูนย์อาหาร ห้างเมอร์รี่คิงส์ในตอนนั้นเพิ่งเปิดได้เพียงไม่กี่ปี ยังเป็นห้างใหม่อยู่ ก็น่าเดินอยู่เหมือนกัน จำได้ว่าห้างนี้หลังจากที่เปิดมาไม่นานก็เกิดไฟไหม้ จากนั้นปิดปรับปรุงไปพักหนึ่งแล้วก็เปิดทำการอีกครั้ง

“หนุ่ยขอเบอร์ปูได้ไหม” หนุ่ยถามก่อนที่เราจะจบการสนทนาในคืนวันนั้นลง

“เอ้อ... อย่าเลย” ผมปฏิเสธด้วยเสียงอึกอัก แม้รู้สึกเกรงใจหนุ่ยแต่ก็จำใจต้องทำ ผมจะประมาทไม่ได้เป็นอันขาด “เบอร์โทรหอพัก โทรมาก็ไม่สะดวกหรอก เขียนจดหมายคุยกันดีกว่า”

“งั้นพรุ่งนี้โทรมาหาหนุ่ยอีกได้ไหม” หนุ่ยถาม หลายๆคำที่หนุ่ยพูดนั้นออกเสียงเหมือนในภาษาเขียน เช่นในภาษาพูดคำว่าได้ไหมเรามักออกเสียงว่าได้มั้ย แต่หนุ่ยออกเสียงว่าได้ไหม คำว่าเขาที่ปกติออกเสียงว่าเค้าในภาษาพูด หนุ่ยก็ออกเสียงว่าเขาอย่างชัดถ้อยชัดคำ เหน่อกระจายแบบนี้ฟังแล้วก็น่ารักดี

“จะพยายามนะหนุ่ย” ผมตอบแบ่งรับแบ่งสู้ แต่ที่จริงผมอยากโทรไปคุย

“ฝันดีนะปู” หนุ่ยหยอดคำหวานด้วยสำเนียงท้องถิ่น

“ฝันดีเช่นกันหนุ่ย” ผมตอบ

- - -

เที่ยงวันหนึ่ง

ผมก้าวขึ้นบันไดตึกกิจกรรมเพื่อขึ้นไปยังชมรมวิชาการหลังจากที่กินอาหารเที่ยงเสร็จ เปิดเทอมสองมาได้หลายวันแล้วแต่ผมแทบไม่ได้ย่างกรายไปที่ชมรมเลยเนื่องจากตอนกลางวันผมต้องช่วยแมวกับจิ๊บเตรียมเอกสารวิชาเรียนให้เพ็ญ ส่วนตอนเย็นหลังเลิกเรียนก็เอาไปส่งให้เพ็ญ แม้เพ็ญจะอ่านบ้างไม่อ่านบ้างเนื่องจากสภาพจิตใจคงยังไม่พร้อม แต่ถึงกระนั้นก็ตาม พวกเราก็ยังเตรียมวิชาเรียนไปให้เพ็ญทุกวัน

เมื่อผมขึ้นไปถึงชมรม แค่ยืนอยู่หน้าประตูก็ได้ยินเสียงร้องเพลงลอยออกมาจากห้องชั้นในแล้ว เมื่อผมเดินเลี้ยวเข้าไปในห้องชั้นในก็เห็นพี่ตั้วกำลังเล่นกีตาร์และมีคนอื่นๆช่วยร้องคลออยู่ หนึ่งในคนเหล่านั้นเป็นคนที่ผมนึกไม่ถึงว่าจะเจอที่นี่

“อ้าวๆๆ ไอ้เหี้ยอู มึงขึ้นมานี่ได้ไง” นักศึกษาขาวตี๋ หุ่นผอมๆ ที่กำลังนั่งร้องเพลงอยู่เมื่อเห็นผมเข้าก็ร้องทักทาย ทั้งร่างและเสียงนั้นผมคุ้นเคยมาตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นมัธยม

“กูมีตีนกูก็เดินขึ้นมาน่ะสิ ถามได้” ผมตอบ

“ไอ้สัตว์นี่” นักศึกษาคนนั้นหัวเราะจนตาหยี “มึงขึ้นมาทำไมวะ”

“ก็กูทำงานที่ชมรมนี้ตั้งแต่เทอมที่แล้ว มึงต่างหากที่ขึ้นมาทำไม” ผมตอบไม่ลดราวาศอก

นักศึกษาคนนั้นไม่ใช่ใครอื่น ไอ้กี้นั่นเอง มันหันไปมองหน้าพี่ตั้วเป็นเชิงถาม พี่ตั้วพยักหน้ารับว่าใช่

“มึงเนี่ยนะทำงานวิชาการ โอย กูอยากขำให้เหงือกหลุด” ไอ้กี้หัวเราะแบบตัวร้ายในหนังจีน แถมยังเอามือจี้เอวตนเองเพื่อเพิ่มระดับความขบขันเสียอีก ดูแล้วน่ากระโดดเตะเหลือเกิน

ผมรู้ดีว่าไอ้กี้คงสงสัยว่าคนที่เรียนห่วยอย่างผมนั้นมาทำงานวิชาการได้อย่างไร ผมรู้สึกสะเทือนใจขึ้นมาวูบหนึ่ง ภาพความห่วยในอดีตของผมคงติดตาตรึงใจอยู่ในความรู้สึกของหลายๆคน แม้จนบัดนี้ภาพนั้นก็ยังไม่ได้ถูกลบเลือนไป

“มึงรู้หรือเปล่าว่าชีตติวแคลคูลัสที่ช่วยให้มึงสอบผ่านในเทอมที่แล้วน่ะ ส่วนหนึ่งก็ฝีมือกูเอง ไม่ต้องเสือกมาพูดมากเลย” ผมยังไม่ยอมมัน

“เอ้อ ไอ้อู ยายเพ็ญมันหายไปไหนของมันวะ” พี่ตั้วพูดแทรกขึ้นมา ทำให้การต่อปากต่อคำของผมกับไอ้กี้ต้องหยุดลง “พี่ไปตามหาเพ็ญที่กลุ่มก็ไม่เจอ ได้ยินพูดกันว่าเพ็ญไม่ค่อยสบาย ตั้งแต่เปิดเทอมยังไม่ได้มาเรียนเลย”

“เพ็ญเหรอครับ” ผมเสียววาบ พี่ตั้วไม่น่ามาถามผมเลย ผมไม่อยากโกหกแต่ก็พูดความจริงไม่ได้ “พี่จะหาเพ็ญไปทำไมล่ะ”

“ก็จะตามตัวมาช่วยงานอีกน่ะสิ นายสนิทกับเพ็ญ พอรู้ไหมว่าเพ็ญไม่สบายเป็นอะไร” พี่ตั้วถามอีก

“ไม่รู้เหมือนกันครับพี่” ผมมุสา “ก็สนิทกันแค่ตอนทำงานในชมรมเท่านั้น”

“อะไรกันฟะ” พี่ตั้วบ่น “ไม่ได้มาเรียนตั้งแต่เปิดเทอมแต่ไม่ยักมีใครรู้ว่าเป็นอะไร พวกนี้มันเป็นเพื่อนกันยังไงนะ”

“แล้วพี่เอาไอ้ตัวนี่ขึ้นมาทำไมครับ” ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง หันไปมองทางไอ้กี้ “เกะกะมากเลย”

“เฮ้ย พี่เปล่าพามา กี้กับเพื่อนขึ้นมาเอง บอกว่าอยากทำกิจกรรม ขึ้นมาตั้งแต่เปิดเทอมแล้ว” พี่ตั้วพูด “แล้วนายหายไปไหนมา ตั้งแต่เปิดเทอมยังไม่ค่อยเห็นหน้าเลย”

“ผมเห็นว่าที่ชมรมยังไม่ค่อยมีงานน่ะครับ ก็เลยไม่ค่อยได้ขึ้นมา เอาไว้มีงานแล้วผมก็ขึ้นมาช่วย” ผมตอบเลี่ยง

ผมนั่งเล่นอยู่ที่ชมรมจนได้เวลาเข้าเรียนในภาคบ่ายจึงจากมา เป็นอันว่าในเทอมปลายนี้ชมรมได้นักศึกษาปีหนึ่งมาช่วยงานเพิ่มขึ้นอีกสองคน นั่นคือกี้และเพื่อนที่มาจากกลุ่มเดียวกัน คิดแล้วก็อดแปลกใจในชะตาชีวิตไม่ได้ ดูเหมือนว่าผมกับไอ้กี้จะหลีกหนีกันไม่พ้น หลายปีมานี้เพื่อนแล้วคนเล่าได้ผ่านเข้ามาในชีวิตของผมแล้วก็จากไป เพื่อนสมัยประถมก็ขาดการติดต่อกัน ส่วนเพื่อนมัธยมนั้นเมื่อผมจบมาแล้วก็ไม่ได้ติดต่อกับใคร คงมีแต่ไอ้กี้เพื่อนมัธยมที่เหมือนจะไม่กินเส้นกับผมเท่าไรนักเพียงคนเดียวที่ยังได้พูดคุยกัน

- - -

“หวัดดีจ้าเพ็ญ” พวกเราเคาะประตูห้องผู้ป่วยที่เพ็ญพักฟื้นอยู่ จากนั้นพวกสาวๆก็บุกเข้าไปทักทายเพ็ญเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว ตอนนั้นเพ็ญกำลังเตรียมกินอาหารเย็น

วันนี้สามสาวอันได้แก่ จุ๋ม แมว และจิ๊บ พร้อมด้วยผมนัดมาเยี่ยมเพ็ญด้วยกัน เมื่อเพ็ญเห็นเพื่อนๆสีหน้าก็สดชื่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“แหม ดีจัง วันนี้มากันพร้อมหน้า” เพ็ญพูด

“เป็นไงบ้าง” เพื่อนๆถามไถ่อาการ

“หมอบอกว่าวันมะรืนก็กลับได้แล้ว” เพ็ญตอบ

เมื่อเพ็ญพูดจบพวกเราทั้งหมดต่างก็อึ้งกับไปวูบหนึ่ง แม้แต่เพ็ญเองก็มีสีหน้าที่หม่นและอึ้งไปด้วยเช่นกัน การพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาลเปรียบเหมือนกับเพ็ญได้อาศัยอยู่ในหลุมหลบภัย เมื่อออกจากที่นี่ไปเมื่อไรก็เท่ากับว่าเพ็ญต้องกลับเข้าไปเผชิญโลกของความเป็นจริงอีกครั้งหนึ่ง

พวกสาวๆพยายามชวนเพ็ญคุย ส่วนผมนั้นได้แต่ฟังเพราะพูดไม่ทัน คุยกันจนค่ำสามสาวก็ขอตัวกลับ ส่วนผมนั้นยังคงนั่งอยู่ในห้อง

“เดี๋ยวอีกสักพักเราค่อยกลับ” ผมบอกกับทุกคน “บ้านเราอยู่ไม่ไกล นั่งเป็นเพื่อนเพ็ญอีกสักหน่อยเพ็ญจะได้ไม่เหงา”

ผมนั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบเอนทรานซ์อย่างเงียบๆ อยากจะพูดกับเพ็ญว่าดีจังที่จะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว แต่ผมก็รู้ดีว่าเพ็ญคงไม่ได้รู้สึกดีเท่าไรนัก เมื่อออกจากโรงพยาบาลแล้วเพ็ญคงต้องกลับไปเรียนต่อที่เดิม กลับไปพักที่เดิม แต่ตัวเพ็ญนี่สิกลับไม่ใช่เพ็ญคนเดิมแล้ว แต่เป็นเพ็ญที่เต็มไปด้วยริ้วรอยบาดแผลในชีวิต หากเป็นผมผมก็ไม่รู้ว่าจะมีความกล้าและกำลังใจที่จะกลับเข้าไปในโลกอันโหดร้ายใบนี้ได้อย่างไรเหมือนกัน คิดแล้วก็ไม่พูดเสียดีกว่า ผมนึกคำพูดที่จะปลอบใจเพ็ญไม่ออกจริงๆ

ผมนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ ส่วนเพ็ญก็ดูทีวีโดยเปิดเสียงเพียงเบาๆเพื่อไม่ให้รบกวนผม จนถึงเวลาประมาณสองทุ่มผมจึงเตรียมตัวกลับ

“ขอบใจนะอูที่มาอยู่เป็นพื่อน พรุ่งนี้จะมาอีกหรือเปล่า” เพ็ญถาม

“มาดิ” ผมตอบ

“มะรืนไม่ต้องมานะ เราต้องออกก่อนเที่ยง” เพ็ญพูดต่อ ผมเข้าใจดีเพราะว่าเคยมานอนเฝ้าแม่ที่โรงพยาบาลมาก่อน รู้ดีว่าหากออกหลังเที่ยงทางโรงพยาบาลจะคิดค่าห้องเพิ่มอีกหนึ่งวัน

“จะให้มาช่วยไหม” ผมอาสา

“เธอมีเรียนนี่นา” เพ็ญพูด

“โดดได้ สบายมาก” ผมพูด

“ไม่ต้องหรอก ข้าวของเราไม่ได้มากมายอะไร เรากลับเองได้” เพ็ญตอบ

เราสองคนเงียบไปพักหนึ่ง เพ็ญทำท่าเหมือนกับอยากพูดอะไรแต่แล้วก็ไม่พูด

“คิดอะไรอยู่เหรอ” ผมถามนำเพื่อเปิดโอกาสให้เธอพูด

“เราอยากขอบใจเธอ...” เพ็ญพูดช้าๆ “ที่จริงก็อยากถามอะไรเธอด้วย”

“อะไรล่ะ ว่ามาสิ” ผมพูดกระตุ้นเมื่อเห็นเพ็ญลังเล

“เราอยากขอบใจอูที่... ที่ไม่ถามอะไรเรา” เพ็ญพูดช้าๆ “แต่ก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าหลายวันมานี้เธอไม่เคยถามอะไรเราเลย มาถึงก็มาชวนเราคุยเรื่องทั่วๆไป แล้วก็นั่งอ่านหนังสือเงียบๆ”

ผมนิ่งไปเมื่อได้ยินคำพูดของเพ็ญ มันเป็นคำถามที่ผมนึกไม่ถึงว่าจู่ๆเพ็ญจะถามขึ้นมา

หลายวันมานี้ผมทำอย่างที่เพ็ญพูดจริงๆ นั่นคือ ชวนเพ็ญคุยในเรื่องสัพเพเหระ จากนั้นก็นั่งอ่านหนังสือ ผมไม่เคยถามเพ็ญเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลยทั้งๆที่มีโอกาสจะถาม มีเรื่องหลายเรื่องที่ผมยังไม่กระจ่างว่าเกิดอะไรขึ้นกับเพ็ญจนต้องกลับกลายมาอยู่ในสภาพแบบนี้ แต่สุดท้ายผมก็ไม่ได้ถาม

จำได้ว่าความคิดวูบแรกที่เกิดขึ้นในหัวของผมเมื่อผมได้รู้เรื่องของเพ็ญก็คือคำว่าฆาตกร แต่เมื่อได้เห็นสภาพของเพ็ญแล้วผมก็อดสงสารไม่ได้แม้ในใจยังนึกตำหนิอยู่ก็ตาม

หลังจากที่ผมมาเยี่ยมเพ็ญและอยู่เป็นเพื่อนเพ็ญในวันต่อมา ได้เห็นเพ็ญผลอยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย ยามอยู่เงียบๆผมจึงคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย... ผมอดนึกถึงเรื่องของตี๋ไม่ได้...

ตอนนั้นถ้าไม่ได้ไอ้นัยช่วยเตือนสติผมด้วยเรื่องพระเยซูกับหญิงคนชั่วผมก็ยังคงคิดรังเกียจไอ้ตี๋เหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆ แล้วเพ็ญล่ะ เพ็ญต่างอะไรจากตี๋

ตั้งแต่นั้นมา ทัศนคติของผมที่มีต่อเพ็ญก็กลับกลาย มันไม่ใช่หน้าที่ของผมที่จะไปตัดสินโทษของเพ็ญ ผมเป็นเพียงแค่เพื่อน... และเพื่อนก็มีหน้าที่ของเพื่อนที่จะต้องทำ...

“เพ็ญ...” ผมพูดช้าๆ พยายามเรียบเรียบคำพูดอยู่ในใจเพื่อไม่ให้พูดผิดพลาด “ที่เราไม่ถามถึงเรื่องในอดีตเพราะเราอยากให้เพ็ญรู้ว่าปัจจุบันต่างหากคือเวลาที่สำคัญที่สุด ดังนั้นเราจึงไม่ได้สนใจอดีตของเพ็ญ แต่เราสนใจในปัจจุบันของเพ็ญมากกว่า เธอจะก้าวต่อไปข้างหน้าไม่ได้หากยังมัวแต่ยึดติดอยู่กับอดีต”

เพ็ญมองหน้าผมนิ่ง ไม่พูดอะไร ผมจึงพูดต่อ

“คนเราต่างก็มีอดีตที่ไม่น่าจดจำด้วยกันทั้งนั้น ถ้าเราก้าวข้ามมันไปได้ และทำปัจจุบันให้ดีที่สุด นั่นก็เท่ากับว่าเราได้สร้างอดีตอันงดงามขึ้นมาสำหรับอนาคต แต่ถ้าเพ็ญก้าวข้ามอดีตไปไม่ได้ เพ็ญก็จะไม่อาจสร้างอดีตอันงดงามสำหรับวันในอนาคตได้ ดังนั้นเราไม่อยากให้เพ็ญอยู่กับอดีต แต่อยากให้เพ็ญอยู่กับปัจจุบัน”

โห พระเอกโคตรๆเลย ผมนึกในใจ พลางก้มลงมองดูที่พื้นห้อง อุปาทานทำให้ผมเห็นเงาของตนเองบนพื้นที่เกิดจากแสงไฟเพดานเหมือนกำลังทำท่าอ้วกอยู่ อะไรที่ผมพูดออกไปนั้นผมเองทำไม่ได้สักอย่าง แต่ก็อย่างว่า บทพูดของพระเอกมันก็ต้องเป็นแบบนี้แหละ

เพ็ญมองหน้าผมนิ่ง ไม่พูดอะไร แต่น้ำตาเริ่มพรูออกมาจากหัวตา จากนั้นเธอก็เริ่มสะอื้น เมื่อผมเห็นน้ำตาของเพ็ญมือไม้ก็ปั่นป่วนทำอะไรไม่ถูก คิดได้อยู่อย่างเดียวว่ากลับก่อนดีกว่า

“พักผ่อนก่อนเถอะนะ ค่อยๆคิด เราไปก่อนล่ะ” ผมทิ้งท้ายก่อนเดินออกจากห้องไป




<ห้างเมอร์รี่คิงส์เป็นห้างสรรพสินค้าที่เกิดขึ้นในยุคห้างสรรพสินค้าเฟื่องฟู คือในราว พ.ศ. ๒๕๒๖ เป็นต้นมา ห้างเมอร์รี่คิงส์สาขาแรกอยู่ที่วังบูรพา ผมเห็นมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม ต่อมาได้มาเปิดสาขาที่สองที่ย่านสะพานควาย โดยห้างเมอร์รี่คิงส์ สะพานควาย นี้เปิดดำเนินการตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๘ และหลังจากนั้นก็ยังมีห้างเมอร์รี่คิงส์สาขาอื่นๆตามมาอีก

เมื่อผ่านพ้นยุครุ่งเรืองของห้างสรรพสินค้ายุคต่อมาก็เป็นยุคร่วงโรย หลังจากที่ห้างสรรพสินค้าแข่งกันเปิดจนกรุงเทพฯมีห้างสรรพสินค้าทั้งใหญ่ กลาง และเล็กเป็นจำนวนมากมาย หลายปีผ่านไป ห้างที่มีสายป่านไม่ยาวมากนักก็เริ่มประสบปัญหาการเงินเนื่องจากการแข่งขันในธุรกิจสูง หลังวิกฤตเศรษฐกิจปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ห้างเมอร์รี่คิงส์สาขาต่างๆก็ทยอยปิดตัวลง สำหรับห้างที่สะพานควายนี้ไม่แน่ใจว่าปิดในปีใด แต่น่าจะหลังจากปี พ.ศ. ๒๕๔๕

จากภาพ ภาพบนเป็นห้างเมอร์รี่คิงส์ สะพานควายในช่วงที่เพิ่งเปิดไม่นานนัก ราว ๒๕ ปีมาแล้ว ส่วนภาพล่างเป็นภาพในปัจจุบันที่ห้างปิดกิจการไปแล้ว>

Saturday, February 19, 2011

ภาคสี่ ตอนที่ 23

“ไม่คุยกับเธอแล้ว ไปดีกว่า ไปเถอะยายแมว” จิ๊บตัดบทเอาดื้อๆพลางฉุดแมวให้เดินจากไป

ผมแกล้งเดินตามสองสาวไปห่างๆ ตั้งใจจะให้สองสาวรู้ว่าผมกำลังเดินตามพวกเธออยู่ อยากปิดดีนักผมเลยเดินตามเสียเลยจะได้รู้ว่าไปที่ไหน แต่จนแล้วจนรอดสองสาวก็คุยกันเองจนเพลินจนไม่รู้ว่าผมเดินตามหลังอยู่

สองสาวเดินไปจนถึงป้ายรถเมล์หน้าตลาดสามย่านซึ่งเป็นป้ายที่ผมขึ้นรถกลับหอเป็นประจำทุกวัน ปกติสองคนนี้ขึ้นรถเมล์ที่ป้ายอื่น วันนี้คงไปที่อื่นไม่ได้กลับบ้าน ผมเดินไปยืนใกล้ๆทั้งสองคนก็ยังไม่รู้ตัว

“เฮ้ย ปอ.๒ มาแล้ว รีบขึ้นเร็ว” ได้ยินจิ๊บพูดกับแมว

ขึ้นรถ ปอ.๒ เสียด้วย จากเดิมที่ผมแกล้งตามเพื่อจะสร้างความรำคาญให้สองสาวแต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าผมอยากรู้ขึ้นมาจริงๆว่าทั้งสองคนกำลังจะไปที่ไหน เพ็ญที่ทั้งสองคุยกันน่าจะเป็นเพ็ญคนเดียวกับที่ผมรู้จักและทำงานด้วยกันที่ชมรมอีกทั้งยังมีอาจารย์ที่ปรึกษาคนเดียวกัน เพ็ญป่วยเป็นอะไรไปนะถึงได้เข้าโรงพยาบาล แถมสองคนนี้ยังทำราวกับเป็นเรื่องลึกลับเสียอีก

ผมตัดสินใจขึ้นรถ ปอ.๒ ตามไป รถสายนี้เป็นรถที่ผมต้องขึ้นทุกวันเพื่อกลับหอพักอยู่แล้ว ลองตามไปดูเสียหน่อย หากไม่ได้ผลอย่างไรก็กลับหอพักไป ส่วนความคิดเดิมที่ว่าจะขึ้นไปนั่งเล่นที่ชมรมนั้นเอาไว้วันอื่นก็ได้

สองสาวกำลังคุยกันอย่างออกรส แม้ว่าผมขึ้นรถตามไปและยืนอยู่ใกล้ๆแต่ทั้งสองก็ไม่ได้สนใจ

“นี่ คุยกันเบาๆหน่อย คนอื่นเค้ารำคาญนะ” ผมยื่นหน้าเข้าไปทักทาย

“อุ๊ย ตาอู มาได้ยังไง ตามพวกเรามาเหรอ” จิ๊บอุทานเมื่อเห็นผม

“เราก็ขึ้นรถสายนี้กลับทุกวัน” ผมพูดพลางเกทับกลับไป “เราต้องถามพวกเธอต่างหากว่าตามเรากลับบ้านทำไม”

“บ้า ใครจะไปตามเธอ หล่อก็ไม่หล่อ” จิ๊บหัวเราะ

เราสามคนคุยหยอกล้อกันอีกเล็กน้อยแล้วก็เงียบกันไปเนื่องจากในรถแน่นมาก การคุยกันย่อมสร้างความรำคาญให้แก่ผู้ที่อยู่ใกล้เคียง ผมไม่ได้พูดถึงเรื่องเพ็ญอีกเลย

รถ ปอ.๒ ผ่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเข้าสู่ถนนพหลโยธิน สองสาวมองออกไปนอกหน้าต่างรถเป็นระยะ ยืนต่อไปได้อีกพักหนึ่งแมวก็สะกิดจิ๊บเป็นความหมายว่าถึงที่หมายแล้ว

“ไปละนะ” แมวร่ำลา จากนั้นทั้งสองก็ลงจากรถไป

จากป้ายที่ทั้งสองคนลงรถทำให้ผมรู้ได้ทันทีว่าเพ็ญพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลอะไร ผมตัดสินใจลงจากรถตามไปทันที

“ไปด้วยคนสิ” ผมเรียกสองสาวเอาไว้เมื่อเรายืนอยู่บนทางเท้า

ทั้งสองคนทำหน้าตกใจเมื่อเห็นผม

“เฮ้ย ตามลงมาทำไม” จิ๊บพูด

“เพ็ญก็เป็นเพื่อนเรานะ เมื่อไม่สบายทำไมต้องทำเป็นลึกลับด้วย เพื่อนๆไปยี่ยม ไปช่วยเป็นกำลังใจ มันไม่ดียังไง” ผมอำไปราวกับว่ารู้แล้วว่าเพ็ญที่นอนอยู่ในโรงพยาบาลนี้คือเพ็ญไหน แต่ที่จริงดูจากรูปการณ์แล้วก็คงเป็นเพ็ญอื่นไปไม่ได้

สองสาวมองหน้ากันแล้วอึ้งไป แมวมีสีหน้าอึดอัด

“ให้ไอ้อูมันเยี่ยมด้วยจะดีเหรอ” แมวพูดเปรยๆ

“นี่มันเรื่องของผู้หญิงเค้า พวกผู้ชายไม่ต้องยุ่งหรอก” จิ๊บไม่ตอบแมวแต่หันมาพูดกับผมแทน

ตอนนั้นยังไม่ได้คิดอะไรมากว่าอาการป่วยบางโรคก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อน บางครั้งผู้ป่วยก็อาจจะอับอายได้ เพียงคิดง่ายๆว่าเมื่อเพื่อนป่วยก็ควรไปเยี่ยม และผู้ป่วยเองหากมีเพื่อนๆไปเยี่ยมก็น่าจะดีใจ ดังนั้นจึงไม่มีอะไรน่าปกปิด

“อะไรวะ เยี่ยมคนป่วยมีแบ่งหญิงแบ่งชายด้วย” ผมงง “แต่แค่นี้เราก็รู้แล้วว่าเพ็ญอยู่โรงพยาบาลไหน จะรู้ว่าพักอยู่ห้องไหนก็ไม่ยาก ไปถามประชาสัมพันธ์บอกว่ามาเยี่ยมไข้เค้าก็บอก ยังไงพวกเธอก็ปิดเราไม่ได้อยู่แล้ว เราไปเยี่ยมเองก็ยังได้”

“นี่เธอไม่ต้องไปเยี่ยมเองเลยนะ” แมวรีบห้าม

ผมชักเอะใจว่าเรื่องนี้คงมีเบื้องหลังที่ลึกลับอยู่

“มันเป็นเรื่องส่วนตัวของเค้า เธอไปยุ่งอะไรด้วยล่ะ” จิ๊บห้ามปรามผมอีกคน

“จะบอกมันดีไหมเนี่ย” แมวเปรยกับจิ๊บ “ถ้าไอ้อูมันไม่รู้ว่าสำคัญขนาดไหน เกิดหลุดปากเอาไปพูดต่อละก็แย่เลย”

“ต้องถามเพ็ญก่อนมั้ย” จิ๊บลังเล

“ถามแล้วมันจะเครียดมั้ยก็ไม่รู้” แมวก็ลังเล พลางหันมาถามผม “นี่เธอ เรื่องนี้เป็นความลับนะ ถ้าเธอรู้แล้วเธอสัญญาได้ไหมว่าจะเหยียบเอาไว้”

ผมขยี้ปลายเท้ากับพื้นทางเท้าที่เป็นคอนกรีต พลางยกมือขวาชูสามนิ้ว

“เหยียบมิดเลยจ้ะ” ผมพูด “ด้วยเกียรติของลูกเสือสามัญ”

“ลูกเสือสามัญรุ่นไหนวะ” จิ๊บอดหัวเราะไม่ได้

“ลูกเสือสามัญประจำบ้าน” ผมตอบ

สองสาวหัวเราะจากนั้นก็หยุดราวกับรถยนต์ที่ถูกเหยียบเบรก จากนั้นปั้นสีหน้าจริงจัง จิ๊บพูดกับผมว่า

“เพ็ญมันไปทำแท้งมาแล้วตกเลือด”

“หา...” ผมตกใจ แทบไม่เชื่อหูตนเอง

- - -

สองสาวช่วยกันเล่าให้ฟังว่ารู้เรื่องจากจุ๋มอีกทีหนึ่ง จุ๋มเป็นเพื่อนสนิทของเพ็ญและเป็นเพื่อนสนิทของแมวด้วยเช่นกัน ตอนที่แมวรู้เรื่องนี้จากจุ๋มเพ็ญก็มานอนที่โรงพยาบาลนี้แล้ว โดยจุ๋มเป็นผู้ที่รู้เรื่องเกี่ยวกับเพ็ญมากที่สุด

จุ๋มเล่าให้แมวฟังว่าเดิมทีนั้นเพ็ญพักอยู่ในหอพักของมหาวิทยาลัย จากนั้นก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพ็ญขอย้ายออกไปพักนอกมหาวิทยาลัย มารู้ภายหลังว่าที่ย้ายออกไปพักนอกมหาวิทยาลัยนั้นเพราะต้องการไปพักอยู่กับแฟนหนุ่มซึ่งเป็นเพื่อนนักเรียนมัธยมปลายจากโรงเรียนเดียวกันแต่สอบติดที่มหาวิทยาลัยอื่นในกรุงเทพฯ หลังจากที่มาเรียนในกรุงเทพฯด้วยกันแล้วจึงคบกันต่อและย้ายมาพักด้วยกัน หลังจากนั้นเพ็ญก็เกิดท้องขึ้น และเหตุการณ์ก็จบลงคล้ายนิยายชีวิตทั่วไป นั่นคือ ฝ่ายชายไม่ยอมรับผิดชอบ พร้อมทั้งขอเลิก ทิ้งให้ฝ่ายหญิงต้องดิ้นรนกับชะตากรรมแต่เพียงฝ่ายเดียว

เพ็ญตัดสินใจทำแท้งในที่สุดเนื่องจากต้องการปกปิดทางบ้าน เพ็ญให้พ่อกับแม่รู้เรื่องไม่ได้และคาดเดาไม่ออกว่าผลที่จะตามมาจะเลวร้ายเพียงใดหากพ่อแม่เกิดรู้เข้า ประกอบกับเพ็ญต้องการเรียนให้จบ เพ็ญมีความมุ่งมั่นกับการเรียนมาก และตั้งใจจะเรียนให้ถึงปริญญาเอก

ผมก็ไม่ทราบกฎระเบียบของสถานศึกษาในยุคนั้นว่าเป็นอย่างไร แต่บทบาทของภาครัฐกับของสถานศึกษายังไม่ก้าวไปถึงขั้นโครงการแม่วัยใสเหมือนในปัจจุบัน เมื่อก่อนหากใครตั้งครรภ์ก็เป็นที่รู้กันว่าเป็นเรื่องชิงสุกก่อนห่ามและต้องลาออกจากสถานศึกษาไปเองเพราะทนความอับอายไม่ได้ ดังนั้นหากต้องการปกปิดทุกคนก็คงมีทางเลือกอยู่เพียงไม่กี่หนทางเท่านั้น

ในที่สุดเพ็ญก็ตัดสินใจทำแท้งโดยไปทำกับคลินิกเถื่อน ซึ่งเรื่องการตั้งท้องโดยไม่ได้ตั้งใจ คลินิกเถื่อน และการทำแท้ง ในยุคนั้นก็เหมือนกับในยุคนี้ ผู้ที่ทำแท้งเป็นใครก็ไม่รู้ มีความรู้เพียงใดก็ไม่รู้ เมื่อทำแล้วเกิดมีผลแทรกซ้อนตามมาภายหลังก็อาจทำให้คนไข้ถึงกับเสียชีวิตได้ และเพ็ญก็คงเป็นหนึ่งในผู้โชคร้ายที่มีผลแทรกซ้อนตามมา แต่โชคยังดีที่เพ็ญมีฐานะดีเพียงพอและคิดแก้ไขสถานการณ์ได้ทันโดยเข้ามารักษาในโรงพยาบาลเอกชนจึงยังไม่ถึงกับเสียชีวิตไป การเข้ารักษาในโรงพยาบาลเอกชนทำให้ลดความยุ่งยากไปได้มาก

เมื่อเพ็ญมาอยู่ที่โรงพยาบาลก็มีอาการหดหู่ ถ้าเป็นภาษาสมัยนี้ก็ต้องบอกว่าจิตตกอย่างรุนแรง จุ๋มเกรงว่าเพื่อนสนิทอาจคิดสั้นได้จึงได้บอกกับเพื่อนสนิทอีกสองสามคนเพื่อคอยแวะเวียนมาดูแลเพราะตัวจุ๋มเองจะให้มาเฝ้าทั้งวันก็คงไม่ไหว ประกอบกับคิดว่ากำลังใจจากเพื่อนๆอาจช่วยเพ็ญจากอาการจิตตกได้บ้าง

ฆาตกร... เป็นความคิดวูบแรกที่เข้ามาในสมอง ในตอนนั้นรู้สึกตำหนิเพ็ญที่ฆ่าเด็กในท้องได้ลงคอ ทำไมไม่คิดอะไรให้มันดีกว่านี้ ในใจจึงอดมีอคติกับเพ็ญอยู่บ้างไม่ได้ แต่อีกใจหนึ่งก็แว่บขึ้นมาว่าถึงอย่างไรเพ็ญก็เป็นเพื่อน ไม่ควรมีอคติกับเธอถึงขนาดนั้น

“ไหนๆก็มาแล้ว อยากเข้าไปเยี่ยมเพ็ญไหม” แมวถามผมเมื่อเราเดินมาเข้ามาในตัวอาคารของโรงพยาบาลและยืนอยู่หน้าลิฟต์

“เอ้อ... ไม่รู้สิ” ผมชักไม่แน่ใจ

“ยายเพ็ญมันอาจจะเข็ดกับพวกผู้ชายพายเรืออยู่ก็ได้ ไอ้อูไปเยี่ยมจะดีเหรอ” จิ๊บแย้งพลางมองหน้าผมด้วยสีหน้าขุ่นเคือง “พวกผู้ชายก็ยังงี้แหละ ทำอะไรแล้วไม่ยอมรับผิดชอบ พวกเห็นแก่ตัว”

“อ้าว แล้วมาว่าอะไรเราล่ะ” ผมแย้ง อยากจะบอกต่อไปว่าผมไม่ได้เป็นยังงั้นเพราะว่าผมไม่ได้ชอบผู้หญิงแต่ก็ไม่ได้พูดออกไป

สุดท้ายสองสาวให้ผมขึ้นลิฟต์ไปด้วยและรออยู่ที่ล็อบบี้ประจำชั้น จากนั้นทั้งสองก็หายเข้าไปในห้องคนไข้ห้องหนึ่ง สักครู่ใหญ่แมวก็เดินออกมา

“อู เธอเข้าไปเยี่ยมเพ็ญสิ เราเล่าเรื่องของเธอแล้ว เพ็ญบอกว่าไหนๆก็มาแล้ว... เธอก็เข้าไปทักทายเพ็ญเสียหน่อยก็แล้วกัน” แมวพูด

เมื่อได้ยินเช่นนั้นผมจึงตามแมวเข้าไปในห้อง ปราดแรกที่ได้เห็นเพ็ญ ความคิดตำหนิเธอก็สลายคลายไปจนหมด มันคงไม่ใช่เวลาและไม่ใช่หน้าที่ของผมที่จะมาตัดสินเธอว่าผิดหรือถูก สภาพของเพ็ญในตอนนั้นย่ำแย่มาก เธออยู่ในสภาพครึ่งนั่งครึ่งนอน ใบหน้าผอมซูบ สีหน้าซีดเซียวอมทุกข์ราวกับแบกความทุกข์เอาไว้ทั้งโลก ที่เธอต้องการมากที่สุดในขณะนั้นน่าจะเป็นกำลังใจ

เราสองคนทักทายกัน เราไม่ได้คุยกันมากนัก ส่วนใหญ่เป็นแมวกับจิ๊บที่เป็นคนคุยกับเพ็ญ ชวนคุยในเรื่องนั้นเรื่องนี้ ส่วนพ็ญนั้นพูดโต้ตอบบ้างแต่น้อย หนักไปในทางฟังมากกว่า หลังจากที่เยี่ยมอยู่ได้พักใหญ่เราทั้งสามก็ขอตัวกลับ

“เรากลับละนะเพ็ญ” ผมกล่าวคำอำลา “แล้วจะมาเยี่ยมอีก”

เพ็ญพยักหน้า “ขอบใจนะอู”

- - -

เรื่องราวของเพ็ญถูกปิดเป็นความลับสุดยอด รู้กันอยู่เพียงไม่กี่คน ที่พวกเรากลัวกันก็คือกลัวเป็นเรื่องอื้อฉาวจนพ่อแม่ของเธอรู้ อีกประการก็คือพวกเรากลัวกันว่าหากเรื่องนี้แพร่ออกไปเธออาจถูกไล่ออกได้ ดังนั้นแม้ว่าเธอจะหายตัวไปเกือบสองสัปดาห์แล้วก็ตามแต่เพื่อนๆส่วนใหญ่ก็ยังไม่รู้ข้อเท็จจริง เพียงคิดว่าเธอป่วยธรรมดาเท่านั้น

เนื่องจากเพ็ญป่วยอยู่และต้องการติดตามการเรียนให้ทัน จึงขอให้เพื่อนๆช่วยถ่ายเอกสารสมุดจดวิชาเรียนต่างๆในแต่ละวันมาให้ จุ๋มกับแมวช่วยกันเป็นต้นฉบับและนำไปถ่ายเอกสารให้ และเนื่องจากโรงพยาบาลที่เธอพักรักษาตัวอยู่นั้นอยู่ในเส้นทางกลับหอของผม การเดินทางของผมสะดวกที่สุด ดังนั้นผมจึงรับหน้าที่เป็นผู้ส่งสำนาสมุดจดคำบรรยายให้เพ็ญ

การที่ได้เห็นสภาพของเธอ ประกอบกับคิดว่าเพ็ญเป็นเด็กต่างจังหวัดที่มาเผชิญชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯเหมือนกันทำให้ผมรู้สึกเห็นใจเธอ ไม่น่าเชื่อว่าเด็กเรียนอย่างเพ็ญจะพลาดพลั้งได้ถึงขนาดนี้แต่มันก็เป็นไปแล้ว เมื่อก่อนผมเองก็เกือบเสียผู้เสียคนไปเพราะเพื่อนเช่นกัน จังหวะชีวิตของคนเราอาจไม่ได้ดีและโชคช่วยไปเสียทุกคน ผมโชคดีที่รอดมาได้ แต่เพ็ญเป็นเหยื่อของความโชคร้ายและเป็นเหยื่อของเพื่อนชายใจร้าย ผมรู้ดีว่าคนที่อยู่ในสภาพท้อแท้สิ้นหวังสิ่งที่ต้องการมากคือกำลังใจ เมื่อได้คิดเช่นนี้ผมจึงเต็มใจที่จะมาเยี่ยม เอาเอกสารมาให้ และอยู่เป็นเพื่อนเธอทุกวัน

“หวัดดีเพ็ญ” ผมทักทายเมื่อโผล่หน้าเข้าไปในห้องของเพ็ญในตอนเย็นวันหนึ่ง “วันนี้มีของกินมาฝากด้วย”

ผมเดินเข้าไปในห้องพลางยกถุงในมือให้เพ็ญดู

“ทายดูสิว่าอะไร”

เพ็ญส่ายหน้า “ทายไม่ถูกหรอก”

เพ็ญก็เป็นแบบนี้เอง สภาพจิตใจของเธอย่ำแย่จึงไม่กระตือรือร้นต่อเรื่องใดๆ

“ซาละเปา มีตั้งหลายไส้ เผื่อว่าเพ็ญจะเบื่ออาหารของโรงพยาบาล” ผมพูด ผมเคยนอนเฝ้าแม่ที่โรงพยาบาลมาก่อนจึงรู้ว่าอาหารของโรงพยาบาลมักจะจืดๆ ขาดความหลากหลาย กินเพียงไม่กี่วันก็เบื่อแล้ว “แล้วก็นี่ วิชาเรียนของวันนี้ แมวถ่ายมาให้”

“ขอบใจนะอู” เพ็ญพูดพลางรับซาละเปากับเอกสารเอาไว้ จากนั้นก็วางลงที่โต๊ะข้างๆโดยไม่ได้สนใจ

แม้ว่าเพ็ญจะขอให้พวกเราถ้ายเอกสารสมุดจดมาให้แต่ผมไม่เคยเห็นเพ็ญเปิดอ่าน วันๆเอาแต่นั่งซึมกระทือเหมือนคิดอะไรอยู่ในใจตลอด ผมเองเคยมีอาการแบบนี้มาแม้จะไม่รุนแรงเท่ากับเพ็ญแต่ก็รู้ว่าเมื่อมีอาการแบบนี้ โลกทั้งโลกจะน่าเบื่อหน่ายจนไม่รู้ว่าความหมายของชีวิตอยู่ที่ไหน ผมเองก็กลัวว่าเพ็ญจะคิดสั้นอยู่เหมือนกัน

ผมพยายามชวนเพ็ญคุย เพ็ญก็คุยแบบถามคำตอบคำ คุยจนคุยไม่ออกผมก็ได้แต่นั่งเป็นเพื่อน เสียงโทรทัศน์ภายในห้องช่วยให้บรรยากาศไม่เงียบจนกลายเป็นความน่ากลัว ผมไม่ต้องรีบกลับบ้านจึงนั่งเป็นเพื่อนเพ็ญไปเรื่อยๆโดยเอาหนังสือเตรียมสอบเอนทรานซ์ในเป้ออกมาอ่านเพื่อไม่ปล่อยให้เวลาเสียไปโดยเปล่าประโยชน์

“นั่นอะไรน่ะอู” เพ็ญถาม

“หนังสือติวเอนทรานซ์” ผมตอบ

“คิดจะสอบเอนทรานซ์ใหม่” เธอมองหน้าผมแล้วพูดเป็นเชิงถาม

“ฮื่อ ใช่” ผมพยักหน้า “พ่อเราคิดว่าเราไม่เอาไหน ไม่มีปัญญาทำได้ เราเลยต้องพยายามทำให้ได้”

ผมเล่าความในใจให้เพ็ญฟัง เมื่อผมรู้ความลับบางอย่างของเธอได้ ผมก็ควรให้เธอรู้ความลับบางอย่างของผมบ้าง จะได้ไม่เป็นการเอาเปรียบกัน

ผมปล่อยให้เพ็ญนั่งเงียบๆในขณะที่ผมเองอ่านหนังสือทบทวนไปเรื่อยๆ บรรยากาศในห้องแอร์ทำให้ผมอ่านหนังสือได้อย่างสบายแม้ว่าจะมีกลิ่นยาหรือกลิ่นโรงพยาบาลที่ไม่ค่อยชินจมูกอยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าไม่เลวสำหรับการดูหนังสือ ผมนั่งอยู่เป็นชั่วโมงจนประมาณสองทุ่มก็ขอตัวกลับ

“ไปละนะ แล้วพรุ่งนี้จะมาเยี่ยมใหม่” ผมกล่าวคำอำลา

“อือม์ หวัดดีอู” เพ็ญตอบ



<ถนนพหลโยธินย่านสนามเป้าสามยุค ภาพบนเป็นถนนพหลโยธินย่านสนามเป้าที่ถ่ายในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๑๒-๒๕๑๖ ขณะนั้นถนนพหลโยธินยังไม่ได้ขยายช่องทางการจราจรเช่นในปัจจุบัน ฝุ่นควันจากไอเสียและจากพื้นถนนลอยอบอวล สองฝั่งถนนยังเป็นดินลูกรังและมีต้นไม้ใหญ่ ย่านสนามเป้าในยุคก่อนเป็นแหล่งชุมนุมของอู่ซ่อมรถยนต์ ร้านซ่อมหม้อน้ำ ซ่อมท่อไอเสีย สังเกตดูรถเมล์สาย ๕๙ ในยุคก่อน

ภาพกลางเป็นสนามเป้าในยุคถัดมา มองไปเห็นอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิที่ไร้รางรถไฟฟ้าและทางด่วน ไม่ทราบปีที่ถ่ายภาพแต่สังเกตจากรุ่นรถเมล์น่าจะอยู่ในยุคที่ผมเรียนมหาวิทยาลัย มีการขยายช่องการจราจร สองฝั่งถนนโค่นต้นไม้ใหญ่ออกและทำเป็นทางเท้า ปลูกต้นไม้ใหม่แทน สังเกตป้ายชื่อร้านอึ้งกิมกี่ที่ด้านขวามือของภาพ ร้านนี้เป็นร้านทำเบาะรถยนต์และเป็นที่มาของคำสแลงอึ้งกิมกี่ ที่หมายความว่าตะลึง พูดไม่ออก ปัจจุบันร้านนี้ก็ยังอยู่ที่เดิม ใกล้กับจุดลงทางด่วน

ภาพล่าง สนามเป้าในปัจจุบัน ในวันที่มีทั้งทางด่วนและรางรถไฟฟ้า ตึกแถวและที่ดินบางส่วนถูกเวนคืนเพื่อทำจุดขึ้นลงทางด่วน>

Sunday, February 13, 2011

ภาคสี่ ตอนที่ 22

มุขมาตรฐาน ผมคิดในใจ ผมไม่ได้เพิ่งเคยเจอเรื่องแบบนี้เป็นครั้งแรกดังนั้นจึงรู้ดีว่าต่อไปจะมีอะไรเกิดขึ้น แม้ว่าผมจะเคยผ่านประสบการณ์แบบนี้มาแล้ว แต่เมื่อเหตุการณ์กำลังจะเกิดขึ้นอีกถึงอย่างไรผมก็ยังรู้สึกตื่นเต้นอยู่ดี

โอ๋นั่งชิดกับผม เอามือลูบเป้ากางเกงในที่นูนจนเห็นเป็นรูปท่อนลำไปมา สายตาก็มองดูภาพลับที่อยู่ในมือของผมสลับกับเป้ากางเกงของผมที่กำลังพองเป็นลำเช่นกันซึ่งผมก็ปล่อยให้โอ๋ดูตามสบาย สักครู่เดียวโอ๋ก็เอื้อมมือมาจับที่เป้ากางเกงของผม

ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมือของโอ๋สัมผัสถูกเป้ากางเกงแต่ก็ปล่อยให้โอ๋จับ เมื่อโอ๋เห็นว่าผมไม่ว่าอะไรก็รุกคืบด้วยการเคล้นคลึงไปตามรอยนูนของเป้ากางเกง ผมไม่ยอมเสียเปรียบ เอื้อมมือไปจับรอยนูนที่เป้ากางเกงในของโอ๋บ้าง ใจเต้นระทึก ผมรู้สึกได้ถึงความแข็งแรงพร้อมกับของเหลวที่ซึมจากกางเกงในมาติดที่ปลายนิ้วของผม

“แข็งดีจัง เอาออกมาเถอะ” โอ๋พูด พลางปลดตะขอกางเกงของผมออก

ผมนั่งนิ่ง ปล๋อยให้โอ๋ปลอดตะขอแต่โดยดี จากนั้นโอ๋ก็รูดซิปและรูดกางเกงของผมลงไปกองที่ปลายขา โอ๋ไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น แต่ถอดกางเกงออกจากขาของผมเอาไปกองไว้ที่พื้นข้างๆ จากนั้นก็ลงมือรูดกางเกงในของผมลง

โอ๋สัมผัสเล้าโลมกับผมสักครู่จนผมรู้สึกทนไม่ไหวจึงรูดกางเกงในของโอ๋ลงบ้าง

“ถอดออกให้หมดก็แล้วกัน” โอ๋พูด

ผมทำตามอย่างว่าง่าย และแล้ว ในที่สุด เราสองคนก็อยู่ในสภาพเปลือยเปล่า โอ๋ใช้มือกับผมอย่างชำนาญจนผมอดไม่ได้ต้องครางออกมา จากนั้นผมก็ลงมือกับโอ๋เป็นการตอบแทนบ้าง โอ๋สูดปากเบาๆจากนั้นจับข้อมือของผมเอาไว้ไม่ให้รุกคืบต่อไป

“พอก่อนๆ” โอ๋คราง จากนั้นมองตาผมด้วยสายตาที่ตื่นเต้นและเร่าร้อน “เอากันมั้ย”

ยังไม่ทันที่ผมจะตอบอะไร โอ๋พูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอารมณ์ปรารถนา

“ขอเราเอานายสักครั้ง นะ นะ”

“เอ้อ ไม่ล่ะ” ผมอึกอัก ไม่นึกว่าจะเจอกับคำขอเช่นนี้

“ทำไมล่ะ” โอ๋ทำเสียงอ้อน มือยังไม่หยุด เคล้นคลึงจนผมตัวอ่อนระทวย คงหวังจะให้ผมคล้อยตาม

“เราไม่ชอบถูกเอา” ผมตอบดื้อๆ

“ลองดูสักครั้งน่า นะ อยากเอานายมากเลย” โอ๋พยายามอ้อนต่อ

“เราไม่ชอบจริงๆโอ๋” ผมส่ายหัว

โอ๋นิ่งไปนิดหนึ่ง แต่แล้วก็พูดต่อ “งั้นเราให้นายเอาเรา นะปู”

จากนั้นโอ๋ก็ลุกขึ้นไปเปิดตู้เสื้อผ้าในสภาพที่เปลือยเปล่า เมื่อโอ๋ลุกขึ้นยืน ผมจึงเห็นว่าร่างอันเปลือยเปล่าของโอ๋นั้นงดงามและได้สัดส่วน โอ๋เป็นคนที่มีหุ่นดีทีเดียว ทรวงอกมีกล้ามเล็กน้อย หน้าท้องแบนราบ ต้นขาและปลีน่องมีมัดกล้ามพอสมควร

โอ๋หยิบหลอดที่คล้ายหลอดยาสีฟันขนาดเล็กสีฟ้าขาวออกมาจากในตู้ ดูก็รู้ว่าเป็นหลอดอะไรจากนั้นลงมานั่งที่ข้างๆผมอีก

“ถ้านายไม่ชอบ เรายอมให้นายก็ได้” โอ๋พูดอีก

ตลอดเวลาที่โอ๋พูด ผมนั่งนิ่ง ในใจรู้สึกสับสน เรือนกายอันงดงามของโอ๋ประกอบกับความรู้สึกถูกคอจากการคุยกันเป็นทุนเดิมทำให้ผมปฏิเสธคำเชิญชวนนั้นไม่ลง ผมเริ่มรู้สึกคล้อยตามไปกับคำเชิญชวนนั้น... ถ้าได้มีอะไรกับโอ๋ผมคงมีความสุขไม่น้อยเลยทีเดียว

เมื่อโอ๋เห็นผมเงียบโดยไม่ปฏิเสธอีก จึงคิดเอาว่าผมยอมรับโดยดุษณี

“ไปที่เตียงเถอะ นายอยากทำอะไรกับเราก็เชิญได้เลย” โอ๋พูดเสียงแผ่วเบาพลางจ้อมมองผมด้วยสายตาที่ทั้งเร่าร้อน เชิญชวน และท้าทาย สายตาของโอ๋ราวกับเป็นกองไฟเล็กๆกองหนึ่งเพราะสายตานั้นทำให้ผมรู้สึกน้ำลายเหนียว ลำคอแห้งผาก พร้อมกันนั้นรู้สึกร้อนและหน่วงที่ท้องน้อย

เราสองคนย้ายจากพื้นห้องขึ้นไปบนเตียง ผมเอื้อมมือหยิบหลอดเจลจากมือของโอ๋ บิดเกลียวเปิดฝาออก บีบเนื้อเจลออกมาชโลมที่นิ้วชี้ เมื่อโอ๋เห็นเช่นนั้นก็นอนชันขาขึ้นและพร้อมทั้งแยกเข่าออก

ผมใช้นิ้วชี้ที่ชโลมไปด้วยเจลเบิกทาง ขณะที่สอดปลายนิ้วเข้าไปผมสามารถรับรู้ได้ถึงผนังถ้ำที่นุ่มแต่หยุ่นกระชับจากความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหูรูด มันเป็นความรู้สึกที่ดีมาก ความรู้สึกของผมในตอนนั้นเหมือนกับมีกองไฟกำลังลุกไหม้อยู่ในท้องน้อย ส่วนในใจนั้นเหมือนกับทะเลทรายอันแห้งแล้งที่เริ่มได้รับฝนปรอย ความรู้สึกทั้งร้อนรุ่มและทั้งชุ่มฉ่ำเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน

โอ๋แย่งหลอดเจลไปจากมือผม บีบเจลลงในฝ่ามือของตนเอง จากนั้นนำมาชโลมให้แก่ผม มือที่ชุ่มเจลของโอ๋ขณะที่ลูบไล้ไปมาทำให้ผมรู้สึกเสียววาบที่ท้องน้อยจากนั้นความเสียวก็แผ่ซ่านไปทั่วทั้งตัว

“ลงมือได้เลยปู” โอ๋ใช้น้ำเสียงพูดปนเสียงครางเร่งรัดผมหลังจากที่เราพร้อมกันแล้วทั้งคู่

ผมจับโอ๋นอนหงาย ตัวของผมเองขึ้นคร่อมลำตัวของโอ๋ สองเข่ายันฟูกพร้อมทั้งใช้แขนข้างหนึ่งสอดลอดข้อพับขาของโอ๋และใช้มือยันกับฟูกเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งใช้คลำหาตำแหน่ง เมื่อพบตำแหน่งปากถ้ำแล้วก็เตรียมที่จะสอดใส่

ผมอดนึกถึงวันที่ไปขึ้นครูไม่ได้ ภาพเหตุการณ์ในวันที่ไปขึ้นครูไหลเข้ามาในห้วงคำนึง... ผมลังเลไปชั่ววูบ...

- - -

“ปู เป็นอะไรน่ะ” เสียงโอ๋ถามอย่างแปลกใจเมื่อเห็นผมล้มตัวลงไปนอนข้างๆแทนที่จะเดินหน้าต่อไป

“เราไม่อยากทำแบบนั้นน่ะโอ๋” ผมตอบ

“เฮ้ย นี่มันอะไรกันว้า นายจะล้อเล่นอะไร” โอ๋พูด ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าแสดงความไม่พอใจออกมาเนื่องจากอารมณ์สะดุด

“ขอโทษนะโอ๋ เราไม่ได้แกล้งนาย แต่เราทำไม่ได้จริงๆ” ผมตอบ รู้สึกเสียใจอยู่เหมือนกันที่ทำร้ายความรู้สึกของโอ๋ไปแบบนั้น แต่หากอธิบายอะไรออกไปอีกคงยิ่งเป็นการทำร้ายความรู้สึกของโอ๋มากยิ่งขึ้น สู้ไม่อธิบายเสียจะดีกว่า

“แล้วไอ้ที่ทำไปเมื่อกี้นี่ทำไปเพื่ออะไร” โอ๋ยังใช้น้ำเสียงที่ไม่พอใจ “นายทำแล้วหยุดแบบนี้มันเสียอารมณ์มากเลยนะ”

“ขอโทษนะโอ๋ ขอโทษนายจริงๆ เราใช้มือช่วยนายก็แล้วกัน” ผมพูดด้วยความเสียใจ

ผมพร่ำกล่าวคำขอโทษ ขณะเดียวกันก็ใช้มือช่วยโอ๋แทน แม้จะมีสีหน้าที่ไม่พอใจแต่โอ๋ก็ยอมให้ผมช่วยแต่โดยดี

โอ๋หลับตาพริ้ม จากนั้นไม่นานก็ส่งเสียงครางเบาๆ มือของโอ๋ควานมาที่ท้องน้อยของผมและและไม่ยอมอยู่นิ่งเช่นกัน เวลาผ่านไปได้ชั่วครู่ ผมรู้ว่าเวลาของเราทั้งคู่ใกล้มาถึงแล้ว มือของผมเร่งเต็มที่ เพียงไม่นานผมก็รู้สึกว่ามีของเหลวอุ่นๆและเหนียวข้นเลอะมือของผมไปหมด ขณะเดียวกันมือของโอ๋ก็เริ่มคลายออก

โอ๋ปล่อยมือจากผมและนอนนิ่ง ของเหลวขุ่นข้นยังเลอะเต็มมือของผมและท้องน้อยของโอ๋อยู่

“โอ๋ เรายังไม่เสร็จเลย” ผมเรียกโอ๋แต่โอ๋เหมือนกับไม่ได้ยิน

โอ๋เอื้อมมือลงไปในตะกร้าเสื้อผ้าที่อยู่ข้างเสียง ในนั้นมีเสื้อผ้าหลายตัวกองซ้อนกันอยู่โดยไม่ได้พับให้เรียบร้อย ดูแล้วคงเป็นตะกร้าเสื้อผ้าที่ใส่แล้วและรอซัก ผมเห็นโอ๋ล้วงหยิบเอาเสื้อยืดออกมาตัวหนึ่งมาใช้เช็ดคราบของเหลวที่ท้องน้อยของตนเอง

เมื่อผมเห็นสีสันของเสื้อยืดปราดแรกก็รู้สึกคุ้นๆ พอเห็นชัดก็ต้องตกใจ

เพราะมันเป็นเสื้อยืดของโรงเรียนเก่าของผมเอง!

เสื้อยืดตัวนี้อยู่ในตะกร้าเสื้อผ้าในห้องนอนของโอ๋ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นเสื้อยืดของคนอื่น ดูจากรูปแบบแล้วเป็นเสื้อยืดนี้เป็นเสื้อยืดประจำรุ่นของรุ่นพี่ผมถัดไปสองรุ่น นั่นคือเป็นเสื้อรุ่นของรุ่นพี่หมีกับพี่เอ้นั่นเอง

ผมใจหายวาบ อารมณ์ที่ค้างคาอยู่หมดความหมายไปในทันที นึกไม่ถึงว่าจะมาจุดใต้ตำตอ ตอนที่เราติดต่อกันโอ๋เคยบอกว่าเรียนมัธยมแถวฝั่งธนฯ ผมก็ไม่ได้ซักถามอะไรต่อเนื่องจากเห็นว่าหากเรียนมัธยมและเรียนมหาวิทยาลัยย่านฝั่งธนฯมาตลอดก็คงปลอดภัยสำหรับผม โอกาสที่เราจะเคยรู้จักกันมาก่อนคงแทบไม่มี แต่นี่แสดงว่าโอ๋คงปิดบังความจริงกับผมหลายเรื่องทีเดียว เรื่องเรียนปีหนึ่งก็คงเช่นกัน ถ้าโอ๋ไม่ได้สอบเอนทรานซ์ใหม่ปีนี้โอ๋คงเรียนอยู่ปีสอง ไม่ใช่ปีหนึ่งอย่างที่เคยบอกเอาไว้

ผมรู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นมาทันที เราเรียนห่างกันสองรุ่น คงเห็นหน้ากันน้อยมากดังนั้นผมจึงไม่รู้สึกคุ้นหน้าเลยแม้แต่น้อย แต่ใครจะรู้เล่าว่าโอ๋อาจเป็นเพื่อนสนิทของพี่หมี พี่เอ้ หรือกับใครสักคนในโรงเรียนที่ผมรู้จักก็ได้ รวมทั้งอีกหน่อยหากมีงานโรงเรียน เราก็ยังมีโอกาสพบกัน แค่คิดก็หนาวแล้ว... หากโอ๋เอาเรื่องของผมไปพูดละก็ผมคงพังแน่

หลังจากที่โอ๋เช็ดร่างกายเสร็จก็ใส่กางเกง จากนั้นจึงหยิบกางเกงในและกางเกงของผมที่กองอยู่กับพื้นห้องโยนให้ผม

“ตอนนี้คนที่บ้านคงใกล้กลับมาแล้วล่ะ” โอ๋พูดด้วยเสียงที่ราบเรียบ ไม่มีน้ำเสียงที่สนิทสนมและออดอ้อนเหมือนที่ผ่านมาเลย

ผมเข้าใจดีว่าโอ๋หมายถึงอะไร รู้สึกหน้าชาไปหมด วางสีหน้าไม่ถูก ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งเคยถูกคนขับไล่ออกจากบ้านในครั้งนี้... คนที่ผมเคยคิดว่าเป็นเพื่อนที่รู้ใจ เพื่อนที่เข้าใจกลับเปลี่ยนท่าทีไปโดยสิ้นเชิงเพียงเพราะผมไม่สนองความปรารถนาทางเพศให้ ความรู้สึกในตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนกับถูกหลอก... ผมเป็นตัวอะไรสักชนิดที่ทั้งโง่ ไร้ประโยชน์ และไม่มีความหมาย ไม่สมควรจะเก็บเอาไว้ให้รกหูรกตา จริงอยู่ แม้ว่าผมจะเคยถูกพ่อไล่ออกจากบ้าน แต่นั่นไม่เหมือนกัน

ผมรับกางเกงมาพร้อมกับแต่งตัวอย่างรวดเร็ว และภายในเวลาเพียงไม่กี่นาทีต่อมาผมก็ถูกส่งออกมายืนอยู่หน้าประตูบ้านอย่างงงๆ ไม่มีคำร่ำลาจากเพื่อนผู้เป็นเจ้าของบ้านเลยแม้สักคำเดียว ส่วนผมเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรเช่นกัน

- - -

ต้นเดือนพฤศจิกายน เปิดเทอมแล้ว

ในที่สุดการเรียนในภาคปลายของชั้นปีหนึ่งก็เริ่มขึ้น ในตอนเช้าวันแรกของการศึกษาภาคปลายพวกเราแทบไม่เป็นอันเรียนเนื่องจากมัวแต่พูดคุยกันถึงเรื่องผลการสอบในภาคต้นที่ผ่านมา มีนักศึกษาที่ถอนรายวิชาหรือว่าสอบตกและต้องลงทะเบียนเรียนใหม่เป็นจำนวนไม่น้อย ทำให้การจัดตารางเรียนในภาคสองค่อนข้างวุ่นวาย หลายคนบ่นว่าคงไปไม่รอดหรือคงไปไม่รุ่ง หรือหากรุ่งก็คงเป็นแบบรุ่งริ่งมากกว่ารุ่งโรจน์ ดังนั้นการพูดคุยจึงเลยไปถึงเรื่องการสอบเอนทรานซ์ใหม่ด้วย

เมื่อมาถึงตอนนี้ผมจึงเพิ่งเข้าใจว่าเหตุใดนักศึกษาปีหนึ่งในคณะนี้จึงนิยมสอบเอนทรานซ์ใหม่กันเป็นจำนวนมาก ที่เป็นเช่นนี้คงเนื่องจากบางส่วนสอบใหม่เพราะอยากได้คณะที่ดีกว่าเดิม แต่ว่าบางส่วนสอบใหม่เพราะความจำใจเนื่องจากเห็นว่าหากอยู่ต่อไปก็อาจไปไม่รอด

สำหรับผมนั้นเมื่อดูจากเกรดเฉลี่ยแล้วคิดว่าน่าจะพอเอาตัวรอดได้หากไม่กลับไปทำตัวเหลวไหลเหมือนเก่า อันที่จริงผมก็รู้สึกชอบเรียนที่นี่อยู่เหมือนกัน แต่ความต้องการลบคำสบประมาทของพ่อทำให้ผมมุ่งมั่นที่จะสอบเอนทรานซ์ใหม่อีกครั้งหนึ่ง

หลังจากการเรียนในวันแรกของภาคการศึกษาสิ้นสุดลง ผมยังไม่อยากกลับหอพักจึงขึ้นไปนั่งเล่นที่ชมรมวิชาการ ที่ชมรมในวันนั้นเอะอะเฮฮากันตามสบายเนื่องจากยังไม่มีกิจกรรมอะไรให้ทำเพราะเพิ่งเปิดเทอม ดังนั้นจึงนั่งจับกลุ่มคุยและร้องเพลงกันตามอัธยาศัย ผมเองก็ไปนั่งจับกลุ่มร้องเพลงกับเข้าด้วย พี่ตั้วเป็นคนเล่นกีตาร์ น้องๆกางเนื้อเพลงจากหนังสือรวมเพลงฮิตและร้องตาม

หลังจากที่ร้องเพลงกันจนเย็น คนที่อยู่ในชมรมต่างก็ทยอยกลับกันไปทีละคน ท้ายที่สุดเหลืออยู่เพียงสี่ห้าคนก็ปิดชมรมและพากันไปกินเต้าฮวยเย็นที่สามย่านโดยมีผมติดสอยห้อยตามไปด้วย ช่วงนั้นผมรู้สึกว่างๆไม่มีอะไรทำจริงๆ ดังนั้นชีวิตตอนเย็นของแต่ละวันมักจบลงที่แผงเต้าฮวยเย็นกับพวกพี่ๆที่ชมรม

เรื่องของโอ๋ในวันนั้นทำให้ผมคิดมาก หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นแล้วผมก็ไม่ได้โทรไปหาโอ๋อีกเลย สาเหตุสำคัญไม่ใช่เพราะว่าผมโกรธเคืองโอ๋แต่เป็นเพราะว่าผมกลัว... ผมกลัวโอ๋เนื่องจากรู้ความจริงแล้วว่าโอ๋นั้นเป็นรุ่นพี่โรงเรียนของผมเอง กลัวว่าโอ๋จะจำผมได้ว่าเป็นรุ่นน้อง ขณะเดียวกันก็รู้สึกสะท้อนใจและตั้งข้อสงสัย จากจำนวนเพื่อนทางจดหมายที่เหลือน้อยลง ประกอบการเหตุการณ์ของโอ๋ทำให้ผมครุ่นคิดว่าคนเหล่านี้กำลังแสวงหาอะไรกันแน่ แล้วผมเองล่ะ ผมกำลังแสวงหาอะไรอยู่ การมีเรื่องค้างคาอยู่ในจิตใจทำให้ผมเนือยไปบ้าง เรื่องการเตรียมตัวสอบเอนทรานซ์จึงยังไม่ได้เริ่มอย่างจริงจังนัก

- - -

การเรียนดำเนินไปอย่างราบรื่น หลังจากที่เปิดเทอมไปได้ประมาณสองสัปดาห์ในที่สุดความคิดของผมเกี่ยวกับการสอบเอนทรานซ์ก็ค่อนข้างลงตัว หลังจากที่ไตร่ตรองมาสักระยะหนึ่ง ในที่สุดผมก็ตัดสินใจที่จะไม่สมัครติวเอนทรานซ์เนื่องจากการไปติวต้องใช้เวลาเดินทางค่อนข้างมาก ทำให้เสียเวลาไปในท้องถนนโดยใช่เหตุ สู้อ่านหนังสือเองดีกว่า ส่วนเนื้อหาวิชาที่ผมยังไม่แน่นนั้นดูรายวิชาเทอมนี้แล้วมีเนื้อหาใกล้เคียงกัน หากผมตั้งใจเรียนในห้องเรียนก็น่าจะพอปรับพื้นฐานให้ดีขึ้นได้ และท้ายที่สุด หากคิดว่าจำเป็นจริงๆค่อยไปติวพวกหลักสูตรโค้งสุดท้ายตอนใกล้ๆสอบก็ได้

ด้านเพื่อนทางจดหมายนั้น ผมยังคงไปไขตู้ไปรษณีย์บ่อยๆ แต่จดหมายในช่วงหลังยิ่งเหลือน้อยลงจนน่าใจหาย ในที่สุดก็เหลือเพียงคนเดียวที่ยังเขียนติดต่อกัน นั่นคือหนุ่ยที่อยู่ราชบุรี หลังจากเกิดเรื่องโอ๋ขึ้นแทนที่จะทำให้ผมเข็ด ตรงกันข้าม ผมกลับโหยหามิตรภาพจากเพื่อนที่มีวิถีชีวิตในเงามืดเช่นเดียวกันกับผมมากยิ่งขึ้น แต่สุดท้ายคนที่ผมติดต่อด้วยก็หายกันไปทีละคนสองคน

ผมพยายามระมัดระวังในการติดต่อเนื่องจากเกรงว่าจะไปพบกับคนที่มีความสัมพันธ์กับผมเข้าอีก แต่กับหนุ่ยคนนี้ผมติดต่อด้วยอย่างสบายใจเพราะรู้ดีว่าหนุ่ยเรียนอยู่ที่ราชบุรีจริงๆโดยดูจากตราประทับที่หน้าซองจดหมาย อีกประการ หนุ่ยไม่เคยเรียกร้องอะไรเลยไม่ว่าจะเป็นรูปถ่ายหรือเบอร์โทรศัพท์ เคยขออยู่เหมือนกันแต่เมื่อผมปฏิเสธหนุ่ยก็ไม่ว่าอะไร ดังนั้นผมจึงคิดอยู่เสมอว่าแม้ว่าเพื่อนทางจดหมายจะหายกันไปจนหมดแต่อย่างน้อยก็น่าจะเหลือหนุ่ยอยู่คนหนึ่ง และหนุ่ยคนนี้แหละที่น่าจะคบกันเป็นเพื่อนอย่างยืนยาวได้

- - -

บ่ายวันหนึ่ง หลังจากที่เลิกจากการประชุมเชียร์ ผมเดินออกจากห้องประชุมและเดินลัดเลาะไปตามทางเดินข้างตึกเพื่อจะไปยังชมรมวิชาการ

“นี่ตาอู” ได้ยินเสียงเรียกจากข้างหลังพร้อมกับรู้สึกว่ามีใครเอามือมาตีต้นแขนของผม

“อ้อ แมว จิ๊บ ว่าไงเหรอ” ผมหันไปมองผู้ที่เรียกและตีต้นแขนของผม

“แหม่ ตาคนนี้ ทำไมประสาทช้ายังงี้ เรียกตั้งนานไม่ได้ยิน ต้องให้สะกิดแรงๆถึงจะรู้สึก” จิ๊บบ่นพลางหัวเราะ

เราสามคนหยุดคุยทักทายกันชั่วครู่ ตั้งแต่เปิดเทอมมาผมยังไม่ค่อยมีโอกาสคุยกับแมวและจิ๊บมากนัก รวมทั้งชาญก็เช่นกัน เนื่องจากในชั่วโมงวิชาบรรยายผมพยายามนั่งเรียนแยกห่างจากเพื่อนๆเพื่อจะได้มีสมาธิในการเรียน ประกอบกับวิชาเรียนในเทอมนี้บางวิชาก็ไม่ได้ถูกจัดให้เรียนด้วยกันอีก นอกจากนี้ตอนเย็นผมก็ขลุกอยู่ที่ชมรม ไม่ค่อยได้ไปที่กลุ่มอีก ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีโอกาสคุยกันมากนักทั้งๆที่เรียนอยู่คณะเดียวกันและเห็นหน้ากันทุกวัน

แมวกับจิ๊บยังคงร่าเริงและคุยสนุกเช่นเดิม หลังจากที่ทักทายกันชั่วครู่ต่างฝ่ายต่างก็เตรียมจะแยกย้ายกันไป

“เธอจะไปไหนละเนี่ย” จิ๊บถาม

“ไปชมรมวิชาการ เธอสองคนล่ะ” ผมตอบพร้อมทั้งถามกลับ

“จะไปโรงพยาบาลเยี่ยมเพ็ญเขาหน่อย อุ๊ย เจ็บ” จิ๊บตอบ พูดยังไม่ทันจบประโยคดี จิ๊บก็โดนแมวหยิกหมับเข้าให้

“เพ็ญ” ผมทวนคำ “เพ็ญไหน”

เมื่อเห็นท่าทีอ้ำอึ้งของทั้งสอง ผมก็รู้ได้ทันทีว่าเรื่องนี้คงมีเลศนัย

“เพ็ญเป็นอะไรถึงต้องเข้าโรงพยาบาล” ผมถามอีก

“ไม่ใช่ คนละเพ็ญกันน่ะ” จิ๊บพูดเสียงอึกอัก

“แล้วเธอรู้หรือว่าเราหมายถึงเพ็ญไหน ถึงได้รู้ว่าเป็นว่าคนละคนกัน” ผมย้อน





<โรงภาพยนตร์เฉลิมสิน ตั้งอยู่บนถนนประดิพัทธ์ ใกล้สี่แยกสะพานควาย ย่านสะพานควายนี้เดิมเป็นทุ่งเลี้ยงควายมาก่อน ต่อมาในราวปี พ.ศ. ๒๕๐๐ เป็นต้นมา มีการพัฒนาที่ดินในย่านนี้ จากสภาพทุ่งเลี้ยงควายค่อยๆพัฒนามาเป็นย่านสะพานควายชุมชนใหญ่โดยมีตลาดขนาดใหญ่ถึงสามตลาด นั่นคือ ตลาดศรีศุภราช (ปัจจุบันคือส่วนที่เป็นห้างเมอร์รี่คิงและศรีศุภราชอาเขต) ตลาดศรีสวัสดิ์ และตลาดศรีไทย (สองตลาดหลังนี้อยู่ติดกัน ปัจจุบันเป็นห้างบิ๊กซีสะพานควาย)

โรงหนังในย่านสะพานควายนั้นเดิมมี ๓ โรง นั่นคือ พหลโยธินรามา มงคลรามา และเฉลิมสิน สร้างในยุคเดียวกันคือในยุครุ่งเรืองของโรงหนัง ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๒ มงคลรามาและเฉลิมสินเจ้าของเดียวกัน มงคลรามาฉายหนังฝรั่งส่วนเฉลิมสินฉายหนังไทย เคยอ่านพบว่าสมัยก่อนเฉลิมสินฉายหนังอินเดียด้วย โดยเฉลิมสินในยุคแรกนั้นอยู่ติดกับตลาดสดศรีศุภราชซึ่งมีเนื้อที่กว้างขวางกินมาจนถึงสี่แยกสะพานควาย ต่อมามีการพัฒนาพื้นที่ มีห้างเมอร์รี่คิงสะพานควายมาเปิดกิจการ พร้อมกับเกิดศรีศุภราชอาเขต พื้นที่ตลาดสดเดิมจึงถูกลดขนาดลงจนเหลือเพียงตลาดเล็กๆ แต่โรงหนังเฉลิมสินก็ยังอยู่คู่กับสี่แยกสะพานควายเรื่อยมา ในช่วงปลายยุคของโรงหนังเฉลิมสินก่อนที่จะหยุดกิจการไปนั้นฉายถึง ๓ เรื่องควบ ค่าตั๋ว ๔๐ บาท และบางครั้งก็ยังมีการจัดเป็นคอนเสิร์ตหมอลำหรือเพลงลูกทุ่งอีกด้วย

โรงหนังเฉลิมสินหยุดกิจการไปเมื่อใดไม่ทราบชัด แต่น่าจะหลังปี พ.ศ. ๒๕๔๐ พื้นที่โรงหนังต่อมาถูกปรับเปลี่ยนเป็นสนามเทนนิส

จากภาพ ภาพบนเป็นภาพโรงหนังเฉลิมสินที่ถ่ายเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๖ ตอนนั้นที่หน้าโรงหนังยังไม่มีสะพานลอยคนข้าม และชั้นล่างตรงที่เห็นกันสาดผ้าใบคือตำแหน่งร้านหนังสือซึ่งต่อมาเป็นเชิงสะพานลอยพอดี เป็นร้านหนึ่งในย่านนั้นที่ขายนิตยสารเกย์ ส่วนภาพล่างถ่ายเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๓ แม้โรงหนังปิดตัวไปนานแล้วแต่ยังพอมองเห็นโครงสร้างเดิมอยู่>

Sunday, February 6, 2011

ภาคสี่ ตอนที่ 21

“หวัดดีปู

วันก่อนผ่านไปแถวลาดพร้าว ตอนที่นั่งรถอยู่ก็คิดถึงนาย พยายามวาดภาพว่านายอยู่ในส่วนไหนของลาดพร้าว หอพักของนายเป็นอย่างไร ห้องพักของนายเป็นอย่างไร นายอยู่ยังไง อยากเห็นหอพักของนายว่าจะเหมือนกับที่เราวาดภาพเอาไว้หรือเปล่า

นายไม่อยู่เราเหงาเลยว่ะ ขี้เกียจรอจดหมายของนายแล้ว เอาเบอร์โทรไปละกัน xxx-xxxx เผื่ออยู่ต่างจังหวัดก็จะได้คุยกันได้ โทรมาดึกๆจะได้คุยสะดวก

โอ๋”

หลังจากที่ผมกลับมาจากบ้านที่ต่างจังหวัด เรื่องแรกที่ผมทำหลังจากลงรถที่หมอชิตก็คือ... ไปไขตู้ไปรษณีย์

แล้วก็ไม่ผิดหวัง หลังจากที่ไม่ได้ไขตู้มาหลายวัน วันนั้นมีจดหมายนอนรออยู่ในตู้หลายฉบับทีเดียว ก่อนไปบ้านต่างจังหวัดผมเขียนจดหมายไปบอกทุกคนที่ติดต่อด้วยว่าอาจจะหายไปจนใกล้ๆเปิดเทอมเนื่องจากต้องกลับบ้าน ตอนนั้นคิดว่าจะอยู่ที่บ้านให้นานที่สุดเพื่อชดเชยกับการที่ไม่ค่อยได้ให้เวลากับแม่มากนักในช่วงเปิดเทอม แต่แล้วเหตุการณ์ก็ไม่เป็นไปอย่างที่คิด ผมกลับบ้านได้เพียงไม่กี่วันก็ต้องเข้ากรุงเทพฯอีกแล้ว

หลังจากที่กลับมาถึงห้องพัก ผมก็เปิดจดหมายอ่าน ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องคุยกันทั่วไป ยกเว้นเพียงรายเดียวที่ไม่ได้คุยอะไร แต่ให้เบอร์โทรศัพท์มา

ในบรรดาเพื่อนทางจดหมาย มีอยู่สองคนที่คุยแล้วถูกคอกันมากกว่าคนอื่นๆ คนหนึ่งคือโอ๋ เรียนชั้นปีหนึ่งเช่นเดียวกับผมในมหาวิทยาลัยย่านธนบุรี ส่วนอีกคนชื่อหนุ่ย เรียนอยู่ชั้นปีหนึ่งในวิทยาลัยในจังหวัดราชบุรี สาเหตุที่คุยกันถูกคอส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าเรามีวัยใกล้เคียงกันอีกทั้งยังเรียนอยู่ปีหนึ่งเช่นเดียวกันก็เป็นได้

โอ๋เป็นเพื่อนทางจดหมายคนแรกที่ยอมให้เบอร์โทรศัพท์แก่ผม จากการพูดคุยในจดหมายดูเหมือนว่าเราจะเข้ากันได้ค่อนข้างดีทีเดียว โอ๋มีอารมณ์ขัน ชอบเขียนอะไรตลกๆ บางทีก็อ่อนไหว ช่างคิดช่างฝัน การที่โอ๋ให้เบอร์โทรศัพท์แก่ผมทำให้ความคิดเดิมของผมที่คิดจะติดต่อกับเพื่อนเกย์เฉพาะทางจดหมายเท่านั้นเริ่มคลอนคลายไป

สี่ทุ่ม...

ผมเดินออกจากหอพักไปที่ตู้โทรศัพท์ในซอยเพื่อจะโทรไปหาโอ๋ สี่ทุ่มนี่น่าจะดึกพอแล้ว กลัวแต่ว่ามันจะดึกเกินไปเสียมากกว่า กลัวคนที่บ้านของโอ๋เมื่อรับสายแล้วจะด่าเอาว่าโทรมารบกวน

“ฮัลโหล” ได้ยินสียงใสๆรับสาย

“ขอพูดกับโอ๋หน่อยครับ” ผมพูด

“พูดอยู่ นั่นใครหว่า” โอ๋ทำเสียงงงๆ

“เราอ... เอ๊ย ปูไง นายให้เบอร์เรา เราก็เลยโทรมาคุย” ผมตอบ

“เฮ้ย ปู” โอ๋พูดด้วยน้ำเสียงดีใจ น้ำเสียงของโอ๋มีส่วนคล้ายกับแป๋งอยู่บ้างตรงที่ฟังดูร่าเริง เฮฮา นี่ถ้าไม่ได้อ่านเนื้อความจากในจดหมายคงไม่รู้เลยว่าโอ๋เป็นคนที่ช่างคิดและอ่อนไหว “ไม่คิดว่าจะเป็นนาย ไหนว่าจะมาใกล้ๆเปิดเทอมไง ตอนแรกยังงงอยู่เหมือนกันว่าใครโทรมา เสียงไม่คุ้นเลย”

น้ำเสียงที่ร่าเริงและแฝงความรู้สึกยินดีทำให้ผมเกิดความประทับใจในตัวโอ๋ ในยามที่เหงาและอ้างว้าง การที่ใครสักคนดีใจเมื่อได้คุยกับเราย่อมทำให้เรารู้สึกประทับใจในบุคคลผู้นั้นเป็นพิเศษ

“เพิ่งมาถึงวันนี้เอง เปลี่ยนแผนนิดหน่อย” ผมตอบ “เห็นจดหมายของนายแล้วก็รีบโทรมาเลย...”

ผมคุยโดยไม่รับรู้ถึงกาลเวลา เหรียญแล้วเหรียญเล่าที่หยอดลงในช่องหยอดเหรียญของตู้โทรศัพท์ จากเดิมที่ผมคิดว่าจะโทรมาทักทายและคุยกันเพียงเล็กน้อยกลายเป็นว่าเรามีเรื่องให้คุยกันยาว เราคุยกันหลายต่อหลายเรื่อง ถามถึงนิสัยและสิ่งที่ชอบและไม่ชอบของกันและกัน แต่ก็หลีกเลี่ยงที่จะบอกข้อมูลที่จะสืบสาวถึงตัวบุคคลได้ เช่น ไม่บอกชื่อมหาวิทยาลัย ไม่บอกชื่อคณะ รวมทั้งไม่บอกชื่อจริงของตนเอง ฯลฯ

“เหรียญหมดแล้วละโอ๋” ผมพูดหลังจากที่คุยกันนานกว่าสิบห้านาที “พรุ่งนี้ค่อยคุยกันต่อก็แล้วกัน”

ผมวางหูโทรศัพท์ลงที่เครื่องอย่างเสียดาย นานแล้วที่ผมไม่ได้คุยกับใครอย่างสนุกสนานแบบนี้ ผมรู้สึกตื่นเต้นกับมิตรภาพใหม่ในครั้งนี้มาก รวมทั้งกระตือรือร้นที่จะให้ถึงวันต่อไปเพื่อที่เราจะได้กลับมาคุยกันอีกครั้งหนึ่ง ผมเฝ้าคิดถึงแต่เรื่องโอ๋และเรื่องที่เราคุยกันจนกระทั่งผมเข้านอนและหลับไป

- - -

วันรุ่งขึ้น ผมตื่นแต่เช้า จากนั้นก็ออกจากหอพักไป ผมนั่งรถเมล์สาย ๙๖ เพื่อมายังถนนราชดำเนินกลาง

เอ... โรงหนังเฉลิมไทยหายไปไหนแล้วเนี่ย ผมคิดในใจขณะที่นั่งรถข้ามสะพานผ่านฟ้าลีลาศและเข้าสู่ถนนราชดำเนินกลาง ผมไม่ได้ผ่านแถวนี้มานานหลายเดือนแล้ว โรงภาพยนตร์เฉลิมไทยที่เคยเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงหัวมุมถนนราชดำเนินและมีข่าวว่าจะถูกรื้อเนื่องจากบดบังทัศนียภาพของโลหะปราสาทแต่ก็มีเสียงคัดค้านจากกลุ่มผู้ที่ต้องการอนุรักษ์อาคารเก่าเอาไว้ มาบัดนี้เฉลิมไทยได้ถูกรื้อไปแล้ว โลหะปราสาทและวัดราชนัดดาที่เคยถูกอาคารโรงหนังเฉลิมไทยบดบังมาตลอดบัดนี้สามารถมองเห็นได้แต่ไกล

ผมลงรถที่ถนนดินสอ ข้างศาลาว่าการ กทม. จากนั้นก็เดินสำรวจโรงเรียนกวดวิชาดังในย่านถนนราชดำเนินว่าในเทอมปลายนี้มีหลักสูตรติวเข้ามหาวิทยาลัยอะไรที่เปิดบ้างและราคาเท่าไร ในตอนนั้นไม่มีอินเทอร์เน็ตให้ค้นหาข้อมูล หากไม่โทรถามก็ต้องเดินทางไปถามข้อมูลถึงที่ เมื่อเสร็จจากการสำรวจในย่านราชดำเนินแล้วจากนั้นก็ไปแถวสยาม สามย่าน และรองเมืองเพื่อหาข้อมูลหลักสูตรและราคาของโรงเรียนกวดวิชาต่างๆ ในปีนั้นอาจารย์อุ๊เพิ่งจะเริ่มเปิดสอนกวดวิชาที่เซ็นทรัลลาดพร้าว ยังไม่ค่อยมีชื่อเสียงนัก

ที่จริงถ้าเป็นนักเรียนที่เคยติวเอนทรานซ์มาก่อนก็พอจะรู้ว่าที่ไหนดีหรือด้อยอย่างไร แต่สำหรับผมนั้นไม่เคยติวเอนทรานซ์มาก่อนจึงรู้เรื่องเกี่ยวกับสำนักติวต่างๆไม่มากนัก ดังนั้นเมื่อยามที่ต้องการติวจึงต้องหาข้อมูลจากทุกแห่งเพื่อเปรียบเทียบกัน

กว่าจะเสร็จธุระก็เป็นเวลาเย็นแล้ว หลังจากกลับมาที่หอพักผมก็หาอะไรทำเพื่อฆ่าเวลาและรอให้ถึงเวลาสี่ทุ่มด้วยความกระวนกระวาย

“ฮัลโหล ปูใช่ไหม” เสียงใสๆของโอ๋รับสาย

“เราเอง” ผมตอบ

“กำลังรอให้นายโทรมาอยู่” โอ๋พูด “วันนี้ทำอะไรมาบ้างล่ะ”

“ก็ไปหลายที่” ผมตอบ “ไปดูพวกหลักสูตรติวเอนทรานซ์มา”

“เฮ้ย จะสอบเอนทรานซ์ใหม่เหรอ” โอ๋ถาม

“คิดว่างั้นนะ” ผมตอบ “นายไม่คิดสอบเอนทรานซ์ใหม่เหรอ”

“ไม่แล้วล่ะ สอบติดที่นี่เราก็ถือว่าดีแล้ว ไม่รู้ว่าจะสอบใหม่ไปทำไมอีก” โอ๋ตอบ “ทำไมนายคิดจะสอบใหม่ล่ะ ไม่ชอบคณะที่เรียนอยู่หรือไง”

จะว่าไปมันก็จริงอยู่ พวกที่เรียนจบ ม.๖ ตามปกติมีแนวโน้มที่จะสอบเอนทรานซ์ใหม่น้อยกว่าพวกเด็กสอบเทียบเนื่องจากไม่อยากเสียเวลาอีกหนึ่งปี ส่วนเด็กสอบเทียบนั้นถือว่าได้กำไรเวลามาหนึ่งปี ดั้งนั้นจึงสอบเอนทรานซ์ใหม่ได้ง่ายๆโดยไม่กลัวเสียเวลา แต่ผมไม่เคยบอกโอ๋ว่าผมสอบเทียบมา รวมทั้งไม่ได้บอกว่าจบมาจากโรงเรียนอะไร โอ๋จึงแปลกใจในความคิดที่จะสอบเอนทรานซ์ของผม

“เอ้อ... ที่จริงที่นี่ก็ดีแหละ แต่ว่า...” ผมหยุดคิดนิดหนึ่งและพยายามเล่า “พี่ชายเราสอบได้วิศวะ... พอเราได้ที่นี่พ่อเราก็... พ่อคิดว่าเราคงมีปัญญาสอบได้แค่นี้”

ผมตะกุกตะกัก เรียบเรียงคำพูดไม่ค่อยถูกเนื่องจากปกติไม่ค่อยเล่าความในใจให้ใครฟัง

“เข้าใจล่ะ พ่อนายคิดว่านายโง่ สู้พี่ชายไม่ได้ ว่ายังงั้นเถอะ” โอ๋สรุป “นายก็เลยอยากทำให้พ่อเห็นว่านายก็ทำได้”

“เออ นั่นแหละ ใช่เลย” ผมพูด อดแปลกใจไม่ได้ที่โอ๋เข้าใจความรู้สึกของผมได้เป็นอย่างดีราวกับเพื่อนที่สนิทสนมกันมานานจนรู้ใจกัน

เมื่อโอ๋พูดจี้ใจดำของผมได้อย่างถูกต้อง ผมก็พรั่งพรูความในใจที่เก็บเอาไว้ออกมา ผมเล่าเรื่องเกี่ยวกับที่บ้าน เกี่ยวกับพ่อ ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ผมแม้แต่จะคิดก็ไม่เคยคิดว่าจะเล่าให้ใครฟัง ผมเล่าความในใจมากมายให้แก่เพื่อนที่เพิ่งรู้จักกันทางจดหมายเพียงไม่นานฟัง แม้แต่หน้าตาก็ยังไม่เคยเห็นเลยด้วยซ้ำ

“แล้วปีนี้นายจะเลือกอะไรล่ะ” โอ๋ถาม

“ก็คงแพทย์มั้ง” ผมตอบ “ปีที่แล้วก็พลาดมาทีหนึ่งแล้ว แต่ปีที่แล้วเราดูหนังสือสอบเอง ไม่ได้ติวเลย ปีนี้ไม่อยากพลาดอีกก็เลยคิดว่าจะลองติวดู”

โอ๋เป็นคนที่คุยสนุก ยิ่งคุยยิ่งรู้สึกว่าโอ๋มีส่วนผสมของบุคคลที่ผมรู้จักหลายคน เช่น ร่าเริงเหมือนแป๋งและเข้าใจผมเหมือนกับไอ้นัย... เราคุยกันอยู่นานจนมีคนมาเคาะตู้โทรศัพท์ ผมจึงต้องวางสายลงอย่างจำใจ

“ต้องวางแล้วล่ะ มีคนจะใช้ตู้ต่อ” ผมพูด

“ฝันดีนะปู แล้วพรุ่งนี้คุยกัน” โอ๋ทิ้งท้ายก่อนที่จะวางสายไป

- - -

ผมกลับเข้ากรุงเทพฯในครั้งนี้พร้อมกับการตัดสินใจที่จะสอบเอนทรานซ์ใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยการตัดสินใจครั้งนี้มีเพียงโอ๋มิตรผู้ไม่รู้จักคนเดียวเท่านั้นที่รู้ หลายๆคนพูดกันว่าการเรียนปีหนึ่งแล้วไปสอบเอนทรานซ์ใหม่จะทำให้ได้เปรียบ ดีกว่าไปเรียนกวดวิชาเสียอีก เนื่องจากวิชาเรียนปีหนึ่งพวก คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา และภาษาอังกฤษ นั้นเรียนลึกกว่าในระดับมัธยมปลาย ข้อสอบเอนทรานซ์จะกลายเป็นของง่ายไปเลย แต่พอได้มาเรียนเข้าจริงผมกลับไม่คิดอย่างนั้น

สำหรับผมแล้ว เมื่อเรียนปีหนึ่งชีวิตก็เป็นอีกแบบหนึ่ง ความสนุกของชีวิตในมหาวิทยาลัยมีส่วนบั่นทอนความตั้งใจที่จะสอบใหม่ อีกประการหนึ่งก็คือผมสอบเทียบมา คะแนนสอบที่ได้มานั้นส่วนหนึ่งได้มาจากการวางแผนในการสอบ อย่างเช่นวิชา ม.๖ ส่วนใดที่ผมดูไม่ทันหรือคิดว่าจะยากจนทำให้เสียเวลาเกินไปผมจะอ่านเพียงรอบเดียวหรือสองรอบเท่านั้น ตอนทำข้อสอบดูคร่าวๆก่อน หากทำได้ก็ทำ หากคิดว่ายากก็มั่วไปเลย ยอมเสียคะแนนสอบในส่วนนั้นแล้วไปทำคะแนนในส่วนอื่นชดเชยแทน รวมทั้งพยายามใช้คะแนนวิชาภาษาอังกฤษมาชดเชยด้วย ดังนั้นแม้คะแนนรวมจะทำให้ผมสอบเข้าได้แต่ในความเป็นจริงแล้วพื้นฐานของผมไม่แน่นนัก หากต้องการสอบใหม่และทำคะแนนให้สูงขึ้นกว่าเดิมผมอาจจำเป็นต้องติวบ้างในบางวิชา

หลังจากที่หาข้อมูลและหมายตาหลักสูตรติวที่จะสมัครในตอนเปิดเทอมเอาไว้แล้ว ผมก็ใช้เวลาว่างขณะที่ยังปิดเทอมอยู่ด้วยการทบทวนวิชาเอนทรานซ์ด้วยตนเอง ผมมีเวลาเตรียมตัวอีกประมาณ ๖ เดือนเท่านั้นซึ่งไม่มากนัก

ความสัมพันธ์ของผมกับโอ๋ มิตรผู้ไม่รู้จัก ก็เพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาไม่นานนัก โอ๋กลายเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินชีวิตของผม กลายเป็นเหมือนสิ่งเสพติด ผมติดโอ๋อย่างหนัก ต้องโทรคุยกันทุกคืน แต่ละคืนใช้เวลาคุยกันนานทีเดียว ผมกล้าเล่าเรื่องราวต่างๆที่เป็นความในใจของผมที่ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง เรียกว่าคุยกันได้โดยไม่รู้เบื่อราวกับเพื่อนที่สนิทสนมกันมานาน แต่ที่เรียกว่ามิตรผู้ไม่รู้จักก็เพราะว่าแม้ว่าเราจะดูเหมือนว่าสนิทสนมกันแต่เราต่างก็ยังปกปิดตัวตนในสังคมจริงๆเอาไว้ เราต่างไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งเรียนที่ใด ชื่ออะไร หรือว่าพักอยู่ที่ใด มันเป็นความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างประหลาด แต่ก็อย่างว่า ชีวิตแบบนี้มันก็ประหลาดอยู่แล้ว การมีความสัมพันธ์ที่ประหลาดก็คงไม่แปลกอะไร

จนกระทั่งวันหนึ่ง...

“เฮ้ย ปู ผลสอบเป็นไงบ้าง” โอ๋ถามผมในคืนวันหนึ่งขณะที่เราโทรศัพท์คุยกัน ตอนนั้นเป็นช่วงปลายเดือนตุลาคม ใกล้เปิดภาคปลายแล้ว ก่อนหน้านั้นผมบอกโอ๋ว่าวันนี้จะไปดูผลสอบที่คณะ

“รอดว่ะ” ผมตอบ “แคลคูลัสได้ C ส่วนฟิสิกส์ได้ D สงสัยจะเป็นคนสุดท้ายของเกรด D ละมั้ง”

ในที่สุดผมก็โล่งอก สองวิชาที่หวาดเสียวว่าจะสอบตกก็ผ่านมาได้อย่างหวุดหวิด คิดไปแล้วก็ต้องขอบคุณจีฉ่อยที่ขายมัจจุราชสีชมพูฉบับสุดท้ายให้แก่คนอื่นไป ไม่อย่างนั้นผมคงต้องวุ่นวายกับการเรียนซ้ำในภาคฤดูร้อนซึ่งทำให้มีผลกระทบทั้งกับการสอบเอนทรานซ์และการเลือกแผนกอีกด้วย

“ยังงั้นต้องฉลองกันหน่อย” โอ๋พูดขึ้น “พรุ่งนี้นายมาเที่ยวที่บ้านเราไหม”

“นายว่าไงนะ” ผมคิดว่าตนเองหูฝาดไป โอ๋อยู่ที่ไหนผมยังไม่รู้เลย อีกทั้งระยะเวลาที่รู้จักกันก็ยังไม่นานนัก แต่จู่ๆกลับกล้าชวนผมไปเที่ยวที่บ้าน

“เอ๊ะ หูตึงหรือไง” โอ๋หัวเราะ “ถามนายว่าพรุ่งนี้มาบ้านเราไหม พรุ่งนี้คนอื่นไม่มีใครอยู่บ้านเลย มีแต่เรา อยู่คนเดียวคงเหงา เลยชวนนายมาเที่ยวบ้านดีกว่า”

“แล้วบ้านนายอยู่ที่ไหนล่ะ รู้แต่ว่าอยู่ฝั่งธน อย่างอื่นยังไม่รู้เลย” ผมถาม

“บ้านเราอยู่บางแค ใกล้ๆตลาดบางแค” โอ๋ตอบ

โลกของผมมีแค่ลาดพร้าว สะพานพุทธ สยาม สามย่าน สะพานเหลือง แค่เลยจากสยามสแควร์ไปก็ยังไม่ค่อยรู้จักเลย แล้วบางแคนี่มันตรงไหนกัน ที่คุ้นๆก็มีเพียงบ้านบางแค

“ไปดิ” ผมพูดอย่างดีใจ อารามดีใจทำให้รับคำไปอย่างง่ายดายโดยลืมไปว่าหากเราพบกันก็เท่ากับว่าตัวตนในสังคมของผมต้องถูกเปิดเผย “แต่ไปยังไงล่ะ แถวนั้นไม่คุ้นเลย”

โอ๋บอกให้ผมมารอที่ป้ายรถเมล์หน้าตลาดบางแคในเวลาสิบโมงเช้า โดยบอกสายรถเมล์ที่ผ่านให้ การนัดของเราเป็นแบบการนัดบอดเนื่องจากเราไม่เคยเห็นหน้ากัน ดังนั้นเราจึงต้องใช้สัญลักษณ์บางอย่างเพื่อการสังเกต เราจึงบอกลักษณะการแต่งตัวของตนเองในวันรุ่งขึ้นโดยละเอียด

“พรุ่งนี้เจอกัน” โอ๋บอกก่อนวางสาย “คิดถึงนายนะ ในที่สุดก็จะได้เจอกันเสียที”

คืนนั้นผมกลับเข้าห้องพักอย่างมีความสุข การคุยกับโอ๋ได้แทบจะทุกเรื่องแม้เป็นเรื่องความในใจทำให้ผมรู้สึกดี เราคุยกันได้แม้แต่เรื่องการเป็นเกย์ของเรา ผมไม่เคยรู้สึกดีที่ได้คุยกับใครเช่นนี้มาก่อน พรุ่งนี้แล้วสินะที่เราจะได้พบตัวตนกันจริงๆ ใจหนึ่งก็อดหวั่นไม่ได้กับการเปิดเผยตัวตนให้โอ๋รู้จัก หากมันเกิดเป็นคนที่ผมรู้จักขึ้นมาหรือว่าเป็นเพื่อนของเพื่อนอีกที หากเกิดเอาผมไปแฉที่คณะว่าผมเป็น... แล้วผมจะทำอย่างไร แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าเท่าที่คุยกันโอ๋น่าจะไว้วางใจได้ คิดไปคิดมาสุดท้ายความอยากเจอก็มีมากกว่า

- - -

วันต่อมา

แม้ว่าผมจะออกจากหอพักแต่เช้าแล้วก็ตาม แต่กว่าที่ผมจะไปถึงตลาดบางแคได้ก็เป็นเวลาสิบโมงครึ่งแล้วเพราะบางแคอยู่ไกลจากลาดพร้าวมาก ทางด่วนก็ยังไม่มี โทรศัพท์มือถือที่จะติดต่อก็ยังไม่มี ผมรู้สึกกระวนกระวายเพราะเกรงว่าโอ๋จะคอยนาน

ผมยืนหันรีหันขวางอยู่ที่ป้ายรถเมล์หน้าตลาดบางแค ป้ายรถเมล์นี้คนเยอะมากจนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร การมองหาคนที่ไม่รู้จักสักคนหนึ่งจึงไม่ง่ายนัก

ในที่สุด ผมก็รู้สึกว่ามีใครมาตบไหล่ผม ผมหันกลับไปดู เห็นผู้ชายในวัยเดียวกับผม แต่งตัวตามที่นัดกันเอาไว้ กำลังยืนยิ้มให้ผมอยู่

“โอ๋ใช่ไหม” ผมถามเพื่อความแน่ใจ

“ใช่แล้ว” โอ๋ตอบ “เราตะโกนเรียกนายตั้งนาน นายก็ไม่หันมา ไม่ได้ยินหรือไง”

“เอ้อ... ไม่ได้ยินเลย มัวแต่มองหานายอยู่” ผมตอบอ้อมแอ้ม ที่จริงเมื่อสักครู่ได้ยินเสียงคนเรียกปูๆอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ได้สนใจ คิดว่าเรียกคนอื่น

“ขอโทษที มาสายไปเยอะเลย” ผมพูด “มันไกลมาก กะเวลาไม่ถูกเลย”

“ไม่เป็นไร” โอ๋ตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แม้จะคอยอยู่นานแต่ก็ดูยังอารมณ์ดี “นายไม่หลงก็ดีแล้ว”

จากนั้นโอ๋ก็พาผมเดินห่างจากตลาดออกไป ผมแอบพิจารณาโอ๋ขณะที่เราเดินด้วยกัน โอ๋มีรูปร่างเตี้ยกว่าผมเพียงเล็กน้อย ผิวสีเข้ม หน้าตาดูน่ารักทีเดียว

โอ๋พาผมเดินเลี้ยวเข้าไปในซอยซอยหนึ่ง เดินจากปากซอยมาอีกครู่หนึ่งก็มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าทาวน์เฮ้าส์ขนาดใหญ่

“ถึงแล้ว นี่บ้านเรา” โอ๋พูด “วันนี้ไม่มีใครอยู่ ออกไปข้างนอกกันหมด”

บ้านของโอ๋เมื่อดูจากภายนอกเห็นเป็นทาวน์เฮ้าส์สามชั้น แต่เมื่อเข้าไปแล้วจึงรู้ว่าข้างในมีการเล่นระดับ นับได้หกระดับ เท่ากับว่าบ้านนี้มีอยู่ ๖ ชั้น ภายในตกแต่งแบบเรียบง่าย ดูกว้างขวางน่าอยู่ทีเดียว

เมื่อเราได้พบตัวจริงกัน แทนที่จะมีเรื่องคุยกันมากมาย ตรงกันข้าม ผมกลับคุยไม่ออก ผมคงต้องการการปรับตัวนิดหน่อยสำหรับการนำเพื่อนในจดหมายมาซ้อนทับกับเพื่อนในชีวิตจริง

“เฮ้ย เป็นอะไรไป” โอ๋ถาม “ทำไมไม่ช่างคุยเหมือนในโทรศัพท์เลย” โอ๋ชวนคุย

“นั่นสิ” ผมยอมรับ “รู้สึกแปลกๆเหมือนกัน คงยังไม่คุ้นที่มีเพื่อนแบบว่า... เอ้อ...”

“ที่เป็นแบบเดียวกัน ใช่ไหม” โอ๋ต่อให้

ผมพยักหน้ารับ

“แล้วนายรู้ว่าตัวเองป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรวะ” โอ๋ถามอีก

ผมอึ้ง ไม่เคยมีใครถามผมตรงขนาดนี้มาก่อน แต่เมื่อมาคิดว่าโอ๋เองก็เป็นแบบเดียวกับผม ผมก็กล้าพูดความจริงกับมัน

“ตั้งแต่เด็กแล้วมั้ง” ผมตอบ พลางหวนนึกไปถึงประสบการณ์ที่เคยมีกับไอ้นัยและไอ้ชัชเมื่อตอนอยู่ชั้นประถม “นายล่ะ”

“คิดว่าตอน ม.ต้นนะ” โอ๋ตอบอย่างครุ่นคิด “แล้วเคยมีอะไรกับใครมาหรือยัง”

ผมพยักหน้ารับ

“โห เห็นหน้าซื่อๆใช่ย่อยเลยโว้ย” โอ๋พูด ไม่แน่ใจเหมือนกันว่านี่เป็นคำชมหรือเปล่า “นายเป็นแบบไหนล่ะ”

“เอ้อ ไม่รู้สิ มีแบบไหนให้เลือกบ้างล่ะ” ผมเริ่มกวนเมื่อเห็นมันอยากรู้มาก คุยกับมันแล้วสบายใจดี เลยกวนเสียหน่อย

“กวนโอ๊ยนักนะ” โอ๋ด่ายิ้มๆ กวนโอ๊ยเป็นสแลงในยุคนั้น แปลว่ากวนตีน “บอกมาเร็วๆ เป็นแบบไหน”

“ไม่รู้สิ ไม่แน่ใจ คิงมั้ง” ผมตอบ พลางนึกถึงประสบการณ์ที่เคยผ่านมา ที่จริงก็ทำได้ทั้งสองแบบแต่เมื่อนึกถึงตอนที่ไอ้นัยทำกับผมแล้วผมรู้สึกขยาดยังไงก็ไม่รู้ เลยเลือกบอกว่าเป็นคิงดีกว่า “นายล่ะ”

“เราเป็นควิง” โอ๋ตอบ สมัยนั้นถ้าเป็นรุกมักเรียกคิงหรือภาษาเขียนบางทีเขียนว่า K หากเป็นรับก็เรียกควีนหรือภาษาเขียนจะเขียน Q หากได้ทั้งรุกและรับมักเรียกว่าควิง คือคิงรวมกับควีน หรือเรียกไบก็ได้ แต่ไบนี้มีสองความหมายนอกจากหมายถึงรุกก็ได้รับก็ได้แล้วยังหมายถึงหญิงก็ได้ชายก็ดีอีกด้วย แต่ส่วนใหญ่มักใช้ในความหมายแรกคือเป็นได้ทั้งรุกและรับมากกว่า

คนที่ได้ทั้งรุกและรับยังมีศัพท์อีกสองคำ นั่นคือ เวอร์แซตไทล์ (versatile) กับโบท (both) แต่สองคำนี้มานิยมกันในช่วงหลัง ช่วงที่ผมเรียนอยู่นั้นยังไม่ใช้กัน ส่วนควิงนั้นใช้กันได้ไม่นานนักก็ไม่เป็นที่นิยมและเลิกเรียกกันไป

“นายลงประกาศคงมีคนเขียนมาหาเยอะละสิ” ผมเลียบเคียงถาม

“ใช่” โอ๋พยักหน้า “เขียนมาเยอะ แล้วก็ค่อยๆหายไป ที่นัดเจอก็มีแต่นายนี่แหละ”

“ทำไมนัดเราล่ะ” ผมถาม

“ถูกชะตากันมั้ง คุยถูกคอกันดี” โอ๋ตอบง่ายๆ แม้เป็นคำพูดสั้นๆ ง่ายๆ แต่ก็เป็นคำตอบที่ทำให้ผมประทับใจ

หลังจากนั้นเราก็นั่งคุยกันอีกหลายเรื่อง โอ๋เป็นคนที่คุยเก่ง ยิ่งได้คุยก็ยิ่งรู้สึกปลื้มกับเพื่อนคนนี้มากยิ่งขึ้น

“นายเคยสั่งซื้อภาพลับไหม” จู่ๆโอ๋ก็ถามขึ้นมา แต่ผมก็เข้าใจว่าโอ๋หมายถึงภาพอะไร

“ไม่เคย” ผมส่ายหน้า “ไม่กล้าสั่ง”

“เรามีอยู่หลายชุดเลย อยากดูไหมล่ะ” โอ๋ชวน

“เหรอ เอาดิ” ผมดีใจ “ไหนล่ะ”

“อยู่ในห้องของเราข้างบน ขึ้นไปดูในห้องเราดีกว่า” โอ๋ตอบ หลังจากนั้นก็เดินนำผมขึ้นบันไดไปสู้ชั้นบนของบ้าน

ห้องนอนของโอ๋แม้ไม่ได้ตกแต่งอย่างสวยงาม แต่ข้าวของก็ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย ที่หัวเตียงมีตู้หนังสือเล็กๆ ที่ผนังห้องมีโปสเตอร์นักร้องและดาราติดอยู่ ดูมีรสนิยมไม่น้อย

โอ๋เดินไปที่โต๊ะทำงาน หยิบลูกกุญแจดอกหนึ่งออกมาจากลิ้นชัก จากนั้นเดินไปเปิดตู้ทึบที่ข้างเตียง

“ต้องเก็บในตู้แล้วซ่อนกุญแจเอาไว้” โอ๋พูดแล้วหัวเราะ “ไม่งั้นแม่เห็นคงช็อก”

เมื่อเปิดตู้ออกมา เห็นเป็นชั้นวางหนังสือ มีหนังสือเรียงรายอยู่ข้างใน มีทั้งหนังสืออ่านเล่นและหนังสือเรียน โอ๋ยกหนังสือลงจากชั้น เมื่อเอาหนังสือลงก็เห็นด้านหลังของแถวหนังสือยังมีหนังสือวางอยู่อีกแถวหนึ่ง มีทั้งมิถุนา นีออน มรกต วีกเอนด์ และชื่ออื่นๆอีกเต็มไปหมด พร้อมกับมีซองกระดาษสีน้ำตาลซองหนึ่งวางอยู่

“นี่นายเปิดแผงขายได้เลยนะเนี่ย” ผมชมมัน

“ปากนะเนี่ย” โอ๋พูด “เดี๋ยวก็ไม่ให้ดูเสียหรอก”

“อะ อะ ไม่พูดแล้ว” ผมหัวเราะ “กลัวไม่ได้ดู”

แค่เห็นนิตยสารผมก็ตะลึงแล้ว แต่เมื่อโอ๋เปิดซองสีน้ำตาลออกผมก็ตะลึงมากยิ่งขึ้น เพราะในนั้นมีแต่ภาพลับที่เห็นหมดทุกส่วนสัดอยู่ปึกใหญ่ กว่าจะสะสมได้ขนาดนี้คงหมดเงินไปหลายทีเดียว

โอ๋ส่งภาพปึกใหญ่ให้ผม ผมเลิกสนใจกับนิตยสารทันที หันมาสนใจกับภาพลับแทน ผมนั่งลงกับพื้นห้องพลางดูภาพอย่างตั้งอกตั้งใจโดยมีโอ๋นั่งดูเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ ภาพบางภาพมีรอยคราบปรอะเปื้อนอยู่ ขณะที่ดูภาพ อารมณ์ของผมที่เคยสงบราบเรียบมาพักใหญ่ก็กลับพลุ่งพล่านขึ้นมา

“เฮ้ย คราบอะไรติดที่ภาพวะ” ผมแกล้งถาม อยากรู้ว่ามันจะตอบว่าอย่างไร

“น้ำว่าวโว้ย” โอ๋ตอบสั้นแต่ได้ใจความ “ดูไปชักว่าวไป”

ผมได้ยินเสียงสวบสาบจึงหันไปดูโอ๋ เห็นโอ๋ถอดกางเกงขาสั้นออก เผยให้เห็นกางเกงในบิกินีสีขาวสะอาดที่มีรอยนูนเป็นลำใหญ่อยู่ตรงกลาง

“โอย ใส่กางเกงแล้วอึดอัดจัง ขอถอดออกดีกว่า” โอ๋พูด



<โรงภาพยนตร์เฉลิมไทยเป็นอาคารที่สร้างขึ้นที่หัวมุมถนนราชดำเนินกลางประมาณปี พ.ศ. ๒๔๙๐ เพื่อใช้เป็นโรงละครแห่งชาติ เปิดทำการในปี พ.ศ. ๒๔๙๒ หลังจากที่ใช้เป็นสถานที่แสดงละครเวทีมาหลายปี ต่อมาก็เปลี่ยนไปเป็นโรงภาพยนตร์ มีทั้งยุคที่ฉายหนังฝรั่งและยุคที่ฉายหนังไทย ต่อมาในราวช่วงปี พ.ศ. ๒๕๒๐ กว่าๆ ทางการต้องการรื้อถอนอาคารและโรงภาพยนตร์แห่งนี้เพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์หัวมุมถนนราชดำเนินกลางเสียใหม่เนื่องจากอาคารนี้บดบังความงามโลหะปราสาทและวัดราชนัดดาเอาไว้ มีเสียงคัดค้านจากผู้ที่ต้องการอนุรักษ์อาคารเก่าเอาไว้ แต่แล้วในที่สุดอาคารโรงภาพยนตร์เฉลิมไทยก็ถูกรื้อถอนออกไปในปี พ.ศ. ๒๕๓๒ ต่อมามีการปรับปรุงภูมิทัศน์ใหม่โดยสร้างพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์และสวนหย่อมไว้ในตำแหน่งอาคารเดิม เผยให้เห็นโลหะปราสาทอันงดงามที่อยู่ด้านหลัง

ในภาพ ภาพบนเป็นโรงภาพยนตร์เฉลิมไทยที่ถ่ายในปี พ.ศ. ๒๕๒๓ ตอนนั้นกำลังฉายเรื่องแผ่นดินแห่งความรัก ส่วนภาพล่างเป็นภาพพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ในปัจจุบัน>