Sunday, November 25, 2007

ตอนที่ 69

“เฮ้ นัย เป็นไงเพื่อน” ไอ้ชิดเดินเข้ามาโอบไอ้นัย เหมือนเป็นเพื่อนสนิทกันมานมนาน “เป็นไง สบายดีนะ ขอคุยด้วยหน่อยสิ”

ไอ้นัยเพิ่งเดินเข้าห้องมา ยังไม่ทันตั้งหลักอะไร จึงถูกไอ้ชิดลากไปคุยตรงระเบียงนอกห้องอย่างง่ายดาย ไอ้นัยในตอนนั้นมันทำหน้าบอกไม่ถูก ดูแล้วสงสารมันมากเลย

ผมกับไอ้ชัชรีบเดินตามออกไป เพราะกลัวไอ้ชิดมันจะลงไม้ลงมือกับไอ้นัยอีก ส่วนเพื่อนๆในห้องบางคนก็เดินตามออกมาที่ระเบียงเช่นกัน

“พวกมึงจะออกมาทำไมวะ กูกับเพื่อนนัยมีเรื่องจะคุยกันสองคน คนอื่นไม่เกี่ยว” ไอ้ชิดพูดด้วยมาดแบบนักเลง ว่าแล้วก็ลากไอ้นัยหนีห่างออกไปอีก ผมเองก็ทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรทำยังไงเหมือนกัน

“มึงจะรังแกไอ้นัยอีกเหรอ” ผมถาม

“อาไร้ รังแกอะไร” ไอ้ชิดแกล้งร้องเสียงสูง เหมือนกับได้ยินเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ “กูกับไอ้นัยซี้กันจะตาย จริงมั้ยพวก” ว่าแล้วไอ้ชิดก็โอบไอ้นัยแน่นขึ้น ทำท่าให้ดูเหมือนกับว่าเป็นเพื่อนรักกันเต็มประดา แต่ผมดูเหมือนกับว่ามันกำลังพยายามล็อคคอไอ้นัยมากกว่า

“เฮ้ย กูคุยกับมันแป๊ปเดียว พวกมึงไม่ต้องเสือก รับรองไม่มีใครเจ็บตัว ไม่ต้องตามมาอีกนะโว้ย” ไอ้ชิดพูด

ว่าแล้วมันก็ลากไอ้นัยไปจนถึงปีกตึกอีกด้านหนึ่ง เห็นมันคุยกับไอ้นัย แต่ไม่ได้ยินว่ามันคุยอะไรกัน สักพักมันก็กอดคอกับไอ้นัย เดินกลับมา

“กูคุยกับไอ้นัยเรียบร้อยแล้วนะเว้ย เพื่อนซี้กัน เรื่องนิดหน่อยไม่ถือสากันอยู่แล้ว ถ้าพวกมึงปากหมาไปบอกครู เฮอะ อยากตายก็ลองดู” ไอ้ชิดพูด ว่าแล้วก็ปล่อยไอ้นัยให้เป็นอิสระ

หลังจากนั้น พวกเราก็กลับเข้าไปในห้อง ไอ้ชิดเองก็เข้าไปในห้องด้วยเช่นเดียวกัน มันตีหน้าตาย ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในขณะที่คนอื่นๆก็ซุบซิบกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อน ส่วนไอ้นัยนั้นสีหน้ามันเคร่งเครียดมากเลย ทั้งๆที่เมื่อครู่ยังดีๆอยู่

ตอนเข้าแถวเคารพธงชาติ ผมพยายามถามไอ้นัยว่าไอ้ชิดพูดว่าอะไร ผมรู้ดีว่ามันคงข่มขู่ไอ้นัย แต่ก็อยากรู้ว่ามันขู่ว่าอย่างไร ไอ้นัยไม่ยอมพูดอะไร สั่นหัวอย่างเดียว ไอ้นัยมันก็เป็นคนอย่างนี้เอง ถ้าเรื่องไหนมันไม่พูด ไปง้างปากมัน มันก็ไม่พูด

ตอนที่เข้าแถวเคารพธงชาติ ผมจึงได้รู้ความจริงจากเพื่อนๆว่า ที่จริงเพื่อนในห้องคุยกันเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับไอ้นัยในวันก่อนกันให้แซ่ดตั้งแต่เช้าแล้ว พอผมกับไอ้ชัชเดินเข้ามา มันก็เลยหยุดคุยกันเพราะว่าเกรงใจ

แต่หลังจากที่มีเรื่องไอ้ชิดเมื่อเช้า หลายๆคนก็ชักอดใจไม่ไหว เข้ามารุมซักถามเรื่องราวกับไอ้นัย เห็นไอ้นัยสีหน้าเคร่งเครียด สั่นหัวไม่ยอมตอบอยู่ท่าเดียว บรรยากาศในเช้าวันนั้น ซึ่งเป็นเช้าวันแรกหลังปีใหม่ แทนที่จะเริ่มต้นปีใหม่ด้วยบรรยากาศที่สดใส กลับกลายเป็นบรรยากาศที่อึมครึมและกดดัน

ผมเองสงสารไอ้นัยมาก รวมทั้งเครียดด้วย ที่เครียดนั้นส่วนหนึ่งเพราะเห็นไอ้นัยตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ มันคงอับอายมาก กับอีกส่วนหนึ่งเพราะเพื่อนๆพากันรุมตำหนิผม ทุกคนต่างก็บอกว่าผมวอนหาเรื่องให้ไอ้นัยเดือดร้อน

สัปดาห์นั้นทั้งสัปดาห์เป็นสัปดาห์ที่ผมเต็มไปด้วยความทุกข์ ตั้งแต่เด็กจนโตมาถึงชั้น ป.๖ ผมไม่เคยเป็นทุกข์ครั้งใดหนักหนาสาหัสเท่าครั้งนี้ ไอ้นัยเองก็มีสีหน้าเคร่งเครียด เศร้าหมองตลอดเวลา ไม่รู้ว่ามันคิดอะไรอยู่ ผมเองก็เข้าหน้ามันไม่ค่อยติด สถานการณ์ดูเลวร้ายไปหมด ส่วนไอ้ชิดเองกลับดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันยังคงเอะอะเฮฮา และทำตัวเป็นหัวโจกตามปกติ มันคงมั่นใจว่าไม่มีใครปากโป้งไปบอกครูเป็นแน่ ส่วนไอ้ชัชนั้น มันพยายามปลอบประโลมทั้งผมและไอ้นัยอย่างเต็มที่ ผมได้เห็นน้ำใจของมันก็คราวนี้ นี่แหละครับ ยามยากจึงจะเห็นน้ำใจกัน

- - -

เมื่อสิ้นสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม ผมรู้สึกโล่งใจขึ้น อยากให้ถึงวันเสาร์เร็วๆ เพราะวันหยุดจะได้ไม่ต้องเจอหน้าเพื่อนๆ ไม่ต้องได้ยินมันพูดถึงเรื่องเหตุการณ์ที่ผ่านมา เรื่องของไอ้นัยนั้นถูกลือกันให้แซ่ด ไม่รู้ว่าป่านนี้รู้กันไปทั้งโรงเรียนหรือยัง แต่ก็ยังโชคดีอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือ ไอ้ชิดมันไม่ได้มายุ่งกับไอ้นัยหรือผมกับไอ้ชัชอีกเลย

สาเหตุอีกประการที่ทำให้ผมอยากให้ถึงวันเสาร์เร็วๆ นั่นก็คือ วันเสาร์นี้เป็นวันที่ประกาศผลการสอบเข้า ม.๑ ครับ

การประกาศผลการสอบในสมัยนั้น ก็ใช้การติดประกาศอยู่ในโรงเรียน นักเรียนทุกคนต้องมาดูผลเอง ไม่มีการโทรแจ้งผลหรือดูผลทางอินเทอร์เน็ตเหมือนเช่นทุกวันนี้ และก็เช่นเคย งานนี้คุณอาของไอ้นัยมารับผมออกจากหอไปดูผลสอบพร้อมกับไอ้นัยเหมือนเคย ส่วนไอ้ชัชนั้น แม้มันอยากจะมาดูด้วย แต่ติดที่มันไม่ได้สอบเข้า ม.๑ ที่ไหน ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องออกมาจากหอ มันก็เลยต้องอยู่โยงเฝ้าหอไปตามระเบียบ

วันนั้นเป็นวันที่ผมใจจดใจจ่อมาก เดิมทีก็ตั้งความหวังไว้บ้าง แต่ไม่ได้มากมายนัก เพราะคิดว่าตนเองไม่ได้ไปติวที่ไหน ดูหนังสือสอบเอาเอง โอกาสได้คงไม่มาก แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา ผมกลับฝากความหวังไว้กับการสอบครั้งนี้มาก อยากให้ไอ้นัยกับผมได้เข้า ม. ๑ ที่นี่ด้วยกัน เพราะคิดว่าเป็นทางออกเพียงทางเดียวที่ไอ้นัยกับจะหลีกหนีไปจากสภาพที่น่าอับอายในโรงเรียนปัจจุบันไปได้

เช้าวันเสาร์ ที่โรงเรียนมีชื่อแห่งนั้น คึกคักไปด้วยนักเรียนจำนวนมาก เป็นพันคนเลยครับ ประกาศผลการสอบติดอยู่บนกระดานในสนามฟุตบอล ที่หน้าบอร์ด เด็กและผู้ปกครองต่างเบียนกันดูบอร์ดกันแน่นขนัด เด็กบางคนดีใจยิ้มร่า บางคนก็ผิดหวังหน้าเศร้า

ผมกับไอ้นัยเบียดเสียดนักเรียนจำนวนมาก ฝ่าไปจนถึงหน้าบอร์ด แล้วก็เริ่มต้นค้นหารายชื่อตามเลขที่นั่งสอบ ไล่ไปเรื่อยๆ ...

และแล้ว ผมก็พบรายชื่อของผมอยู่ในประกาศ และถัดจากชื่อผมไปไม่มากนัก ผมก็เห็นชื่อไอ้นัยปรากฏอยู่ด้วย

ไอ้นัยกับผมสอบได้แล้ว!!!

Sunday, November 18, 2007

ตอนที่ 68

ผมรู้สึกผิดเมื่อได้รู้ความจริง แต่พอรู้สึกผิดในสิ่งที่ได้คิดและได้ทำกับไอ้ชัชไป มันก็ทำให้ผมคิดถึงสิ่งที่ผมทำกับไอ้นัย ว่ามันแย่ยิ่งกว่าที่ทำกับไอ้ชัชเสียอีก ตอนนั้นผมรู้สึกขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ทำอะไรก็ผิดไปเสียทุกอย่าง ผมเริ่มร้องไห้อีก

“ไม่เอานะ หยุดร้องไห้ได้แล้ว” ไอ้ชัชปลอบผม ไม่พูดเปล่า มันนั่งลงข้างๆผมและเอาแขนโอบผมไว้แน่น เหมือนพี่ปลอบน้อง “มึงไม่เคยขี้แยแบบนี้เลยนี่หว่า”

ผมพยายามกลั้นสะอื้น แต่มันก็ไม่ได้ผล ไอ้ชัชโอบผมไว้แน่น ผมรู้สึกแปลกๆ ผมสามารถรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นและมิตรภาพที่มันถ่ายทอดมาให้ ซึ่งปกติแม้จะกินนอนอยู่กับมันมานานหลายปี แต่ก็ไม่ค่อยมีความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยนัก ตอนนั้นเองที่ผมเริ่มรู้สึกถึงตัวตนของมันที่อยู่ลึกลงไปข้างใน จากเปลือกนอกที่กวนประสาท ชอบต่อล้อต่อเถียง แต่ลึกลงไปข้างในกลับกลายเป็นคนที่จริงจัง และอบอุ่น

แต่ความรู้สึกนั้นมันปรากฏขึ้นเพียงวูบเดียว แล้วก็หายไป เพราะผมมัวไปพะวงถึงเรื่องของไอ้นัย น่าเสียดายครับ ที่โอกาสถ่ายทอดใจต่อกันของผมกับไอ้ชัชมันช่างสั้น อีกทั้งยังไม่ถูกเวลา ไม่อย่างนั้นอนาคตของเราทั้งสามคนอาจเปลี่ยนไปเป็นรูปแบบอื่น ที่ไม่ใช่อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ได้ ...

ไอ้ชัชนั่งปลอบผมอยู่สักพัก จนผมรู้สึกดีขึ้นและหยุดร้องไห้ จากนั้นมันก็พยายามคะยั้นคะยอให้ผมกินอาหาร ผมไม่อยากให้มันเสียน้ำใจก็เลยแข็งใจกินลงไป ทั้งๆที่ตอนนั้นไม่ได้หิวเลยแม้แต่น้อย

หลังจากนั้น ผมก็นั่งกระวนกระวายและวิตกกังวล ว่าไอ้นัยเป็นอย่างไร ผมหลบซ่อนตัวอยู่ในห้องนอน เพราะว่าไม่อยากลงไปเจอหน้าใครที่ชั้นล่าง ไม่อยากตอบคำถามใคร แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ผมคงหลบซ่อนได้ไม่นาน เพราะอย่างไรอีกเดี๋ยวทุกคนก็ต้องขึ้นมาเข้านอน

“ทำไมมึงไม่ลองโทรไปหาไอ้นัยดูล่ะ ถามมันหน่อยว่าเป็นยังไง” ไอ้ชัชแนะนำ

ที่จริงเรื่องโทรไปนั้นผมก็คิดอยู่เหมือนกัน แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่กล้าสู้กับความจริง ผมละอายต่อไอ้นัย และกลัวที่จะรู้ว่ามันเป็นอะไรมาก แต่ความรู้สึกนี้ไอ้ชัชคงไม่เข้าใจหรอกครับ

ผมนั่งนิ่ง ไม่มีท่าทีว่าจะลุกไปโทรศัพท์ จนไอ้ชัชต้องจับมือผมลากออกมาจากเตียง และกึ่งจูงกึ่งลากผมลงไปข้างล่าง ไปยังเครื่องโทรศัพท์

โทรศัพท์หยอดเงินสมัยนั้นมีสองแบบ คือเป็นตู้สีแดง หยอดเหรียญครั้งละ ๑ บาท เป็นเครื่องขององค์การโทรศัพท์ กับมีเครื่องโทรศัพท์บ้านที่ดัดแปลงโดยต่ออุปกรณ์หยอดเหรียญเข้าไป อย่างหลังนี่ต้องหยอดครั้งละ ๓ บาท มักใช้กันตามหอพักหรือว่าตามร้านค้า เพราะว่าเจ้าของเครื่องต้องการเอากำไรจากค่าโทรศัพท์ ในหอของเราก็มีทั้งสองแบบ เพราะเครื่องแบบขององค์การฯที่หยอดบาทเดียวนั้นมีเครื่องเดียว บางทีก็ต้องรอคิวกันนาน

คงยังจำกันได้นะครับ ว่าตอน ป.๖ นั้นที่บ้านไอ้นัยติดตั้งโทรศัพท์แล้ว ผมมีเบอร์ของมันเพราะเคยโทรไปคุย แต่ไม่ค่อยบ่อยเพราะว่าเกรงใจคุณอาของมัน

โชคดีที่ตอนนั้นเครื่องโทรศัพท์ว่าง ไอ้ชัชก็จัดแจงเจ้ากี้เจ้าการ หยอดเหรียญ ต่อโทรศัพท์ให้ผมเสร็จ เมื่อหยอดเหรียญกดเบอร์เรียบร้อยมันก็ยัดหูโทรศัพท์ใส่มือผม

“ฮัลโหล” เสียงเด็กๆ ใสๆ จากปลายสายข้างโน้นทักทายขึ้น เสียงไอ้นัยนั่นเอง

“นัย หวัดดีอ่ะ” ผมพูด

เสียงทางด้านโน้นเงียบไปชั่วครู่

“ฮื่อ” เสียงไอ้นัยพูด

ผมอึดอัด ไม่รู้จะพูดอะไรดี ไอ้ชัชคงสงสาร หรือว่าทนรำคาญไม่ไหวก็ไม่แน่ใจ มันเลยต้องบอกบทให้

“ก็ถามมันไปสิว่าเป็นยังไงบ้าง” ไอ้ชัชกระซิบ แต่เสียงกระซิบของมันก็ดังพอสมควร ผมคิดว่าไอ้นัยคงได้ยิน

“มึงพูดให้กูหน่อยละกัน นะ” ผมเอาหูโทรศัพท์ยัดใส่มือไอ้ชัช ตอนนั้นผมเสียศูนย์อย่างมาก คิดอะไรไม่ออกเลย

ไอ้ชัชยัดหูโทรศัพท์คืนมาใส่ในมือผม

“คุยเองสิวะ” ไอ้ชัชพูด “กล้าทำก็ต้องกล้ารับสิ” แน่ะ มันยังอดสอนผมไม่ได้ แต่ก็จริงอย่างที่มันว่านั่นแหละครับ พอผมกลัวขึ้นมา ผมก็พยายามหนีความจริง

ผมก็เลยคุยซักถามว่าไอ้นัยเป็นยังไงบ้าง มันก็ตอบว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องเป็นห่วง

“โดนคุณอาดุหรือเหล่า” ผมถาม

ไอ้นัยอึ้งไปนิดหนึ่ง “ เปล่าอ่ะ”

“พรุ่งนี้กูต้องกลับบ้านแล้ว แต่อดห่วงมึงไม่ได้ กลัวมึงเป็นอะไรมาก กลัวมึงโดนว่าด้วย” ผมพูดได้เพียงนี้ก็ต้องสะอึกสะอื้นออกมาอีก “กูขอโทษนะนัย มึงโกรธกูไหม”

ผมถามอะไรออกมาโง่ๆ ก่อเรื่องขนาดนี้จะไม่ให้โกรธได้ยังไง แต่ก็ถามไปอย่างนั้นเอง พยายามหลอกตัวเอง

“ไม่รู้ดิ” ไอ้นัยพูดเสียงครุ่นคิด “ไม่โกรธมั้ง”

ผมพูดต่อไปไม่ไหว เพราะว่ามันจะร้องไห้ออกมาเสียให้ได้ จึงยัดหูโทรศัพท์ให้ไอ้ชัชแล้วตัวผมเองก็หลบไปยืนสงบสติอารมณ์อยู่ข้างๆ

หลังจากนั้น ไอ้ชัชก็คุยกับไอ้นัยอีกสักครู่ โดยที่ผมไม่ได้ไปสนใจฟัง เพราะว่ามัวแต่คิดสับสนอยู่ จากนั้นโทรศัพท์ก็ถูกตัดไปเพราะว่าเวลาหมด

คืนนั้นผมนอนตาค้างอยู่เป็นนาน จนกระทั่งหลับไป ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บใจตนเองที่เป็นต้นเหตุทำร้ายเพื่อนที่ผมสนิทด้วยที่สุด

หลังจากนั้น วันรุ่งขึ้นก็เป็นวันหยุด พ่อของผม รวมทั้งพ่อของไอ้ชัช ต่างก็มารับเราเพื่อกลับไปบ้านต่างจังหวัดชั่วคราว เนื่องจากทางโรงเรียนหยุดเนื่องในวันปีใหม่ให้หลายวัน ผมเดินทางกลับบ้านด้วยจิตใจที่เศร้าหมองเพราะคิดถึงแต่เรื่องของไอ้นัย และเป็นห่วงมัน ตลอดเวลาที่อยู่บ้านต่างจังหวัด ผมขออนุญาตพ่อเพื่อโทรไปหาไอ้นัยทุกวัน โดยหลอกพ่อว่าไอ้นัยมันไม่สบายตอนสิ้นปีพอดี เลยเป็นห่วงมัน ซึ่งพ่อก็ไม่ว่าอะไร ตอนนั้นค่าโทรศัพท์ทางไกลแพงมากครับ ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ค่อยอยากโทรกัน ดังนั้นจึงได้แค่ทักทายและคุยกันสั้นๆ แต่เมื่อรู้ว่ามันค่อยๆดีขึ้นแล้ว ผมก็ค่อยสบายใจขึ้น ส่วนไอ้ชัชนั้น ผมไม่ได้โทรไปหามันเลย
- - -

หลังจากหยุดไปประมาณ ๔-๕ วัน เมื่อเปิดเรียนอีกครั้งก็กลายเป็นปี พ.ศ. ใหม่ไปแล้ว นักเรียนทุกคนต่างมีสีหน้าสดใส และคุยกันเสียงขรมถึงกิจกรรมที่ได้ทำเมื่อตอนปีใหม่ บางคนก็เล่าถึงเรื่องไปเที่ยว บางคนก็เล่าเรื่องงานเลี้ยงปีใหม่ที่พ่อแม่จัดขึ้น ส่วนผมนั้น เมื่อได้กลับไปพักผ่อนที่บ้านก็รู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย แต่วันนี้ก็รีบมาแต่เช้าเพราะอยากเจอไอ้นัย

รอไม่นานนัก ก็เห็นไอ้นัยถือกระเป๋านักเรียนเดินเข้ามาในห้อง วันนี้ไอ้นัยดูสดใส เสื้อผ้าขาวสะอาด หวีผมเป๋เสียเรียบแปร้ ผิดกับสภาพในวันก่อนที่มอมแมมอย่างสิ้นเชิง

แต่ก่อนที่ผมจะพูดคุยอะไรกับไอ้นัย ไอ้ชิดมาจากไหนก็ไม่รู้ มันโฉบเข้ามาคั่นกลางระหว่างผมกับไอ้นัย

Sunday, November 4, 2007

ตอนที่ 67

หลังจากนั้น พวกเราสามคนก็นั่งอยู่ด้วยกัน เพื่อรออาไอ้นัย ไอ้นัยมีอาการดีขึ้นทีละน้อยๆ ส่วนผมเองนั้นรู้สึกผิดมาก ยิ่งดูก็ยิ่งสงสารไอ้นัย

“แล้วนี่มึงจะบอกอามึงยังไงวะเนี่ย เน่าไปทั้งตัวแบบนี้” ไอ้ชัชถามขึ้น

ไอ้นัยทำตาปริบๆ นิ่งคิด “นั่นน่ะสิ คงต้องบอกว่าหกล้มมั้ง” ไอ้นัยว่า “หกล้มในห้องน้ำ”

“แล้วทำไมต้องไปหกล้มในห้องน้ำล่ะ” ไอ้ชัชยังไม่หายสงสัย

“นั่นน่ะสิ” ไอ้นัยพูดด้วยเสียงครุ่นคิด “ห้องน้ำลื่นมั้ง”

“ก็คงพอได้ เอาตามนี้ก็แล้วกัน” ไอ้ชัชสรุป

โชคดีครับที่เนื้อตัวไอ้นัยไม่ได้มีบาดแผลอะไร ดังนั้นถ้าจะบอกว่าหกล้มในห้องน้ำก็พอฟังได้อยู่

ครู่เดียวต่อมา คุณอาไอ้นัยก็มารับ เป็นอาผู้ชาย ปราดแรกที่คุณอาเห็นไอ้นัยก็อ้าปากหวอ พวกเราสามคนรู้สึกกระสับกระส่ายเหมือนคนกินปูนร้อนท้อง

“นัย นี่ไปทำอะไรมา ตัวเลอะเทอะเหม็นหึ่งเลย” อาผู้ชายอุทาน

“เอ้อ... อ้า... นัยหกล้มในห้องน้ำ พื้นมันลื่นครับ” ไอ้นัยพูดเสียงเบาๆ ก้มหน้า

“อ้อ หกล้ม” คุณอาทวนคำ “แล้วอูกับชัชก็ล้มด้วยเหรอ ตัวถึงได้เลอะด้วย”

ผมก็ลืมไป ที่จริงตัวผมกับไอ้ชัชก็เลอะเทอะและมีกลิ่นฉี่ด้วย เพราะไปกอดปล้ำกับไอ้นัยมาตอนลากมันออกมาจากห้องน้ำ เพียงแต่ว่าเลอะน้อยกว่าไอ้นัยเท่านั้นเอง

“เอ้อ...” ผมกับไอ้ชัชอึกอัก พยายามจะพูดแต่ก็นึกไม่ออกว่าจะพูดอะไรดี

หลังจากนั้น พวกเราสามคนก็โดนอาผู้ชายสอบสวนอย่างหนัก เพราะเราโกหกไม่เนียน ไอ้นัยมันเลยเล่าว่ามันชกกับเพื่อน

“เราเนี่ยนะ ชกกับเพื่อน” อาร้องอุทาน

สงสัยคงจะไม่ค่อยน่าเชื่ออีก เพราะผมเองก็ยังไม่เชื่อเลยครับว่าไอ้นัยจะชกกับใครได้ ผมเลยได้ความคิดใหม่ พูดเสริมไปว่าที่จริงผมมีเรื่องกับเพื่อน แล้วชกกัน ไอ้นัยมันอยู่ใกล้และพยายามเข้ามาแยก เลยโดนลูกหลง ไม่ทันระวัง ก็เลยล้มลงไป

คราวนี้รู้สึกว่าจะเนียนหน่อยครับ เพราะว่าคุณอาดูจะเชื่ออยู่บ้าง แต่เราสามคนก็ถูกซักอยู่พักใหญ่ คุณอาให้ความสนิทสนมกับผมกและไอ้ชัชดีมาก เห็นพวกเราเหมือนหลาน เลยเป็นห่วง พยายามเค้นเอาความจริง เมื่อคิดว่าไม่มีอะไรมากก็ปล่อยไป

“เด็กๆเรื่องชกกันมันก็มีได้บ้าง เป็นเรื่องธรรมดา ในเมื่อไม่เจ็บตัวมากอาก็ไม่ติดใจอะไร แต่อาผู้หญิงเค้าคงไม่ชอบใจที่นัยไปมีเรื่องกับคนอื่น ต่อไปต้องระวังกันหน่อย” อาผู้ชายพูด นัยของคำพูดแม้แต่เด็กอย่างผมก็ยังเข้าใจ ว่าหมายความว่าต่อไปพยายามอย่าหาเรืองเดือดร้อนให้ไอ้นัย

หลังจากนั้น คุณอาก็พาไอ้นัยกลับไป ส่วนผมกับไอ้ชัชก็เดินกลับเข้าหอ ระหว่างทางเดินกลับ เราไม่ได้พูดกัน ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร เพราะว่าใจหนึ่งรู้สึกเครียดและกดดันกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเนื่องจากผมเป็นต้นเหตุ อีกใจหนึ่งก็ยังเคืองไอ้ชัชอยู่

เมื่อไปถึงหอ เด็กในหอก็แห่กันมาล้อมรอบผมกับไอ้ชัช พร้อมกับซักถาม เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนบ่ายทั้งหมดคนในหอรู้กันหมดแล้ว สังคมของเด็กหอนี่ข่าวเร็วไม่เบาครับ

แต่ละคนก็พยายามซักถามรายละเอียดที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งอยากรู้เหตุการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้นเมื่อเย็น ผมพยายามเดินหนีเพราะไม่อยากนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แต่เพื่อนๆก็พยายามซักด้วยความอยากรู้ บางคนก็บอกว่าผมหาเรื่องใส่ตัว พูดเหมือนไอ้ชัชเลย ผมรู้สึกเหมือนถูกรุม ในที่สุดก็ทนไม่ได้และร้องไห้ออกมาต่อหน้าเพื่อนๆ

ในสถานการณ์เช่นนั้น คนที่ออกมาปกป้องผมกลับเป็นไอ้ชัช มันพยายามห้ามปรามเพื่อนๆ

“เฮ้ยๆๆ ดูดิ มันร้องไห้แล้ว พวกมึงอย่าซ้ำเติมเพื่อนสิวะ ไอ้เปรต” ไอ้ชัชว่าเพื่อนๆที่เข้ามารุมเราอยู่ จากนั้นก็พาผมปลีกตัวออกมาจากกลุ่มขึ้นไปยังห้องนอน

มันกอดไหล่ผมแน่นเหมือนกับจะปลอบ แล้วพูดว่า “ไป ไปอาบน้ำกันก่อน ตัวเลอะเหม็นจัง”

ผมงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไอ้ชัชนั้นบทจะกวนก็กวน บทจะดีก็ดีใจหาย ที่จริงปกติมันก็เป็นคนรักเพื่อนฝูงนั่นแหละครับ แต่อะไรๆหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงหลังทำให้ผมรู้สึกเคืองมันอยู่บ้าง จนลืมนึกไปว่าแต่ก่อนมันเคยดีอย่างไร พอมาตอนนี้ความรู้สึกดีๆเก่าๆที่เคยมีกับมันก็วูบกลับเข้ามาอีกครั้ง ความรู้สึกหลายๆอย่างที่ประดังกันเข้ามายิ่งทำให้ผมสับสน

ผมตามมันเข้าไปในห้องนอน หยิบเสื้อผ้า และตามมันไปอาบน้ำอย่างว่าง่าย ไอ้ชัชติดเอาผงซักฟอกไปด้วย และเอาชุดนักเรียนที่เหม็นฉี่ของเราทั้งสองคนซักด้วยผงซักฟอกรอบหนึ่งก่อน มันบอกว่าถ้าเหม็นแบบนี้ส่งซักไม่ได้ แม่บ้านด่าตายเลย

หลังจากอาบน้ำเสร็จ ก็ได้เวลาอาหาร เราก็ลงไปกินอาหาร ผมไม่อยากลงไปกินเลยครับ เพราะว่าคงต้องโดนเพื่อนๆซักอีก ผมไม่กล้าไปสู้หน้าเพื่อนๆ

“กูไม่กินละนะ มึงไปกินเถอะ ขอนอนที่ห้องดีกว่า” ผมบอกไอ้ชัช

ไอ้ชัชเหมือนจะเข้าใจความคิดของผม ก็เลยปล่อยให้ผมนอนอยู่ในห้องคนเดียว ตัวมันเองก็ลงไปกินข้าว

ผมล้มตัวลงนอน ในใจคิดถึงเรื่องเมื่อบ่าย คิดถึงภาพที่ไอ้นัยโดนข่มเหงโดยไม่มีทางสู้ แล้วผมก็เริ่มร้องไห้อีก ผมซุกหน้ากับหมอนแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น

ร้องไห้ไปได้พักเดียว ก็รู้สึกว่ามีมือมาวางบนไหล่ผม ผมเงยหน้าขึ้นจากหมอนเพื่อดูว่าใครมา ไอ้ชัชนั่นเอง

“กูเป็นห่วงมึงเลยขึ้นมาดู กะอยู่แล้วว่ามึงต้องร้องไห้อีก” ไอ้ชัชพูดเบาๆ น้ำเสียงไม่มีแววกวนโทโสเหลืออยู่เลย มีแต่มิตรภาพและความอบอุ่น... ในวูบหนึ่งของความคิด ผมหวนนึกไปถึงเวลาที่เราเล่นสนุกกันในบึงน้ำส่วนตัวที่บ้านต่างจังหวัดของผม ตอนปิดเทอม ป.๕ ตั้งแต่เด็กจนโต เมื่อผมมีความทุกข์ครั้งใด ภาพของเราสามคนตอนที่อยู่ในบึงน้ำส่วนตัวนั้นจะผุดเข้ามาในหัวของผมทุกครั้ง

“กูเอาข้าวขึ้นมาให้ด้วย” ไอ้ชัชพูดต่อ ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าที่โต๊ะเล็กข้างเตียงมีอาหารจานหนึ่งวางอยู่ เป็นข้าวและกับข้าวสองสามอย่าง จัดรวมในจานเดียวัน “กลัวมึงหิวน่ะ”

ผมรู้สึกซึ้งใจ และทำให้ยิ่งรู้สึกอยากร้องไห้ ผมสะอื้นไม่หยุด

“อ้าว ขี้แยอีกแล้ว” ไอ้ชัชดุผม ในความรู้สึกเหมือนกับมันดุน้องชาย น้ำเสียงทั้งสงสารแปละปรารถนาดี

ไอ้ชัชเห็นผมสะอื้นไม่หยุด ไม่ยอมกินข้าว มันก็เลยเดินไปเปิดตู้ล็อกเกอร์ของมันออก และหยิบของบางอย่างออกมา จากนั้นเดินกลับมาที่เตียง

“นี่ๆ ดูอะไรนี่สิ” ไอ้ชัชว่า พลางชูของในมือขึ้น มันเป็นถุงกระดาษบางๆ ข้างในไม่รู้ว่าบรรจุอะไรอยู่

“ลองทายดูสิ ว่านี่อะไร” ไอ้ชัชพูด พยายามชวนคุย ผมสั่นหัวแปลว่าไม่รู้ว่าเป็นอะไร

“เอ้า ไม่ทายก็ไม่ทาย มึงลองเปิดดูเองละกัน”

ผมเปิดถุงดู ข้างในเป็นกล่องใส่ทิชชู่เล็กๆ สำหรับใส่ทิชชู่ม้วนกลม มันเป็นกล่องผ้า ที่ข้างกล่องปักเป็นรูปหมาน่ารัก

“ของขวัญปีใหม่ของมึง ขอให้มีความสุขมากๆนะเพื่อน” ไอ้ชัชว่า

“มึงไปเอามาจากไหนน่ะ” ผมงง เพราะมันอยู่กับผมตลอด ไม่เคยเห็นมันออกไปซื้อของที่ไหน

“ก็เมื่อวานที่กูออกไปซื้อของมาแต่งห้องกับไอ้นัยไง” ไอ้ชัชเฉลย

ตอนนี้เอง ผมจึงได้เข้าใจ ว่าทำไมเมื่อวานไอ้ชัชจึงไม่ชวนผมและไปกับไอ้นัยสองคน แต่มันกลับทำให้ผมเข้าใจผิดและโกรธเคืองมัน ไอ้ชัชเองคงยังไม่รู้ว่าผมเคืองมันในเรื่องนี้