Sunday, October 21, 2007

ตอนที่ 66

ไอ้ชิดกดตัวของไอ้นัยลง และพยายามโน้มหัวของไอ้นัยมาถึงดอมันจนได้ โดยที่ไอ้นัยไม่สามารถขัดขืนได้ มันพยายามเอาดอของมันยัดใส่ปากไอ้นัย แต่ว่าไอ้นัยไม่ยอม เม้มปากแน่น ไอ้ชิดจึงเอาดอของมันลูบไล้อยู่บนใบหน้าของไอ้นัย

“อ้าปาก เร้ว เพื่อนๆอยากดูแย่แล้ว” ไอ้ชิดพูดพลางแสยะยิ้ม ถึงตอนนี้ผมรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาในหัวใจ เกิดความกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

มันพูดพลางเอาดอถูไถไปตามใบหน้าของไอ้นัย ไอ้นัยหลับตาปี๋ เม้มปากแน่น ไอ้ชัชยืนอ้าปากหวอ ตอนนั้นเองที่ผมได้สติอีกครั้ง รีบบอกไอ้ชัช

“เฮ้ย ไอ้ชัช วิ่งไปบอกครูเร็วเข้า”

ไอ้ชัชคงจะเพิ่งได้สติ ขยับตัววิ่งไปทางประตูห้องน้ำ ทันใดนั้นเอง ไอ้ชิดยกมือข้างหนึ่งขึ้นสูง แล้วรวบเป็นกำปั้น ทุบหัวไอ้นัยเต็มแรงจนไอ้นัยทรุดลงไปคุกเข่ากับพื้น

“ถ้าใครไปบอกครู กูจะเอาไอ้นี่ให้ตายห่าเลย สาบานได้” ไอ้ชิดคำราม ส่วนไอ้นัยนั่งคุกเข่านิ่งเงียบ ไม่ได้ยินมันร้องสักแอะ ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรแล้ว

ไอ้ชัชหยุดนิ่งอยู่ที่ปากประตู ไม่กล้าไปต่อ ความคิดที่ผมจะแหกปากร้องดังๆก็ต้องระงับไป เพราะกลัวมันเล่นงานไอ้นัยจริงอย่างที่พูด

“บอกให้อ้าปาก เร้ว” เสียงไอ้ชิดตวาดสั่งไอ้นัยซึ่งตอนนั้นอยู่ในท่าคุกเข่า ไอ้นัยนั่งนิ่งเม้มปากแน่น

ไอ้ชิดพยายามเอาดอลูบไล้ที่ใบหน้าไอ้นัยอีก พยายามเอาดอยัดเข้าไปในปาก แต่ไม่สำเร็จ คราวนี้มันโมโหมาก มันทุบหัวไอ้นัยอย่างรุนแรงอีกครั้ง

บึ้ก!!! เสียงกำปั้นทุบหัวไอ้นัยดังลั่น ทำให้ผมนึกไปถึงคนขายมะพร้าวอ่อนที่เอามีดอีโต้เฉาะมะพร้าว เสียงคล้ายๆกันเลย ตอนนั้นผมรู้สึกกลัวมาก ไม่กล้าร้องเอะอะอีกแล้ว ไม่รู้เหมือนกับครับว่ากลัวความเหี้ยมโหดของไอ้ชิด กลัวว่าไอ้นัยจะถูกทำร้ายจนถึงตายจริงๆถ้าไม่ยอมมัน หรือว่ากลัวอะไรกันแน่ ไอ้ชัชเองก็ยืนนิ่งเฉย เดิมทีคิดจะบอกให้ไอ้นัยสู้ไอ้ชิดมัน แต่แล้วก็กล้าไม่พูด เพราะแม้ว่าไอ้นัยตัวจะสูงกว่าไอ้ชิดนิดหน่อย แต่หุ่นมันบางกว่ามาก อีกอย่าง ไอ้ชิดเป็นนักมวยเก่าด้วย เคยอยู่ค่ายมวยมา แรงมันคงเยอะ ผมกลัวว่าไอ้นัยหากสู้มันแล้วจะยิ่งตายเปล่า

พร้อมกับเสียงกำปั้นสัมผัสหัว ไอ้ยินเสียงไอ้นัยร้องอึ๊ตามหลังมาเบาๆ ไอ้ชิดถึงตอนนี้แสดงอารมณ์โกรธออกมาเหมือนคนบ้าคลั่งแล้วครับ มันคงโกรธที่ไอ้นัยไม่ยอมทำตามที่มันต้องการ เอาดอทิ่มหน้าทิ่มตาไอ้นัยอย่างบ้าคลั่ง ไอ้นัยหลับตาปี๋เม้มปากแน่น

“ไอ้สัตว์ ไม่ยอมเหรอ” ไอ้ชิดคำราม พลางกระชากคอเสื้อไอ้นัยให้มันลุกขึ้น แล้วต่อยหมัดฮุกล้วงท้องไอ้นัยเต็มแรง ท่าทางของมันเหมือนนักมวยกำลังชกมวยบนเวที

ไอ้นัยร้องโอ๊ก ทรุดฮวบลงไปกองกับพื้นห้องน้ำที่เฉอะแฉะ ไอ้ชิดก้มลงจะกระชากตัวไอ้นัยขึ้นมาซ้ำ ทันใดนั้นเอง ผมรู้สึกว่าแขนของไอ้พงษ์ที่รัดตัวผมอยู่คลายลง แล้วไอ้พงษ์ก็ปราดเข้าไปขวางไอ้ชิดเอาไว้

“เฮ้ย พอเถอะ” ไอ้พงษ์พูดขึ้น

ไอ้ชิดตอนนี้กลายเป็นบ้าไปแล้ว มันพยายามจะเข้าไปอัดไอ้นัย ไม่สนใจใครทั้งนั้นแม้แต่ไอ้พงษ์

“ไอ้สัตว์ มันกล้าลองดีกับกู กูต้องสั่งสอนมัน มึงอย่าเสือก มึงจะลองดีกับกูด้วยเหรอ” ไอ้ชิดคำราม พยายามผลักไอ้พงษ์ออกไป แต่ไอ้พงษ์ก็ตัวใหญ่เหมือนกัน พยายามกันเอาไว้อย่างเต็มที่

ถึงตอนนี้ผมตั้งสติได้อีกครั้ง รีบบอกให้ไอ้ชัชกับเพื่อนคนอื่นช่วยกันลากไอ้นัยออกไปจากห้องน้ำโดยเร็ว ที่จริงจุดเกิดเหตุในห้องน้ำกับประตูห้องน้ำใกล้กันมาก เพียงแค่ห้าวินาทีพวกเราก็ลากไอ้นัยออกมาได้ ในขณะที่ไอ้พงษ์กับไอ้ชิดกำลังต่อปากต่อคำกันอยู่

แต่มาอยู่แค่ปากประตูห้องน้ำแค่นั้นไม่พอครับ กลัวมันจะตามออกมา เพราะว่าห้องน้ำหลังตึกในเวลานี้ค่อนข้างเงียบสงัด หากไอ้ชิดตามออกมาลากไอ้นัยเข้าไปในห้องน้ำอีกก็ยังพอจะได้อยู่ ดังนั้น ถ้าจะให้ปลอดภัยจริงๆต้องพามันมาให้ถึงหน้าอาคารเรียน

ตอนนั้นไอ้นัยยังเดินไม่ไหวอยู่ พวกเราก็ต้องพยายามประคองมัน ถูลู่ถูกังออกมา เสื้อผ้าเนื้อตัวของไอ้นัยเลอะเทอะเหม็นฉี่คลุ้งไปหมด เพราะว่าน้ำที่เจิ่งนองอยู่บนพื้นห้องน้ำนั้นปนไปด้วยฉี่ที่ล้นออกมาจากโถฉี่ และดินทรายที่มาจากรองเท้าของนักเรียน ไอ้ชัชกับผมก็พลอยเลอะเทอะไปด้วย

“นัย เป็นไงบ้าง” เสียงไอ้ชัชถาม หลังจากจากพวกเราพยุงมันไปนั่งที่ม้าหินหน้าตึกได้สำเร็จ เมื่อมาถึงตรงนี้ก็คงไม่เป็นไรแล้ว เพราะว่ายังมีคนเดินอยู่ที่หน้าตึก ทั้งนักเรียนและผู้ปกครอง กลุ่มเพื่อนที่ช่วยกันหิ้วไอ้นัยออกมาก็แยกย้ายกันไป ที่ต้องรีบแยกย้ายกันไปเพราะไม่ต้องการให้เป็นที่สนใจของนักเรียนและผู้ใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าอาคาร เนื่องจากแต่ละคนต่างก็กลัวว่าความผิดจะมาถึงตัว คงยังจำกันได้ถึงเรื่องไม้เรียววันศุกร์ ไม่มีใครอยากโดนกันหรอกครับ ยิ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้หากเรื่องราวบานปลายขึ้นมา คงต้องโดนกันมากกว่าไม้เรียววันศุกร์เป็นแน่

ตอนนั้นเหลือกันเพียงแค่ไอ้นัย ไอ้ชัช แล้วก็ผม ไอ้นัยหน้าซีดอมเขียว หลับตาพริ้ม ริมฝีกปากที่อยู่ใต้ไรหนวดเขียวๆยังคงเม้มแน่น มันทำให้ผมนึกถึงตอนที่ไอ้นัยโดนไอ้ทิวเล่นงาน ที่ลานเตะฟุตบอลเมื่อครั้งปิดเทอม ป.๕ ทั้งสองครั้งล้วนแต่มีผมเป็นต้นเหตุ แต่ว่าคราวนี้ไอ้นัยโดนหนักกว่าคราวก่อนมาก

ผมรู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมาอีกแล้ว ก้อนสะอื้นจุกอยู่ในอก แต่พยายามกลั้นเอาไว้ ไม่ยอมร้องไห้ออกมา แม้ไม่ร้องไห้สะอึกสะอื้น แต่ผมก็รู้สึกว่าน้ำตาของผมไหลพรากออกมา

“นัย นัย” ผมเรียกไอ้นัยบ้าง คราวนี้มันลืมตาขึ้นมา พยักหน้าให้ผมในความหมายว่ามันไม่เป็นไร

“หาเรื่องแท้ๆเลยนะมึง ไอ้อู” ไอ้ชัชบ่นพึมพำ คำพูดของไอ้ชัชบาดลึกเข้าไปในหัวใจของผม ใช่สิ ผมหาเรื่องแท้ๆ แต่ไม่ได้หาเรื่องใส่ตัวเอง กลับกลายเป็นหาเรื่องให้เพื่อนที่ผมสนิทด้วยที่สุดต้องเดือดร้อน

“เป็นไงบ้างนัย” ผมถามอีก ไอ้นัยยั่งนิ่งเฉย เพียงแค่กระพริบตาปริบๆ แต่สีหน้าที่ซีดขาวอมเขียวดูมีเลือดฝาดมากขึ้น

“มันโดนซ้อมจนเละเป็นผ้าขี้ริ้วแบบนี้แล้วมึงจะให้มันเป็นยังไงอีกล่ะ” ไอ้ชัชบ่นอีก น้ำเสียงบ่งบอกแววไม่พอใจอย่างชัดเจน คราวนี้ผมโกรธมาก ผมรู้ว่าผมผิด แต่ก็ไม่อยากให้มันมาตอกย้ำแล้วย้ำอีก ผมเอาความละอายในความผิดของผมเปลี่ยนมันเป็นความโกรธแล้วไปลงที่ไอ้ชัชแทน

“มึงจะหุบปากเสียทีได้ไหม” ผมหันไปตะคอกใส่มัน ช่วงนี้ผมกับไอ้ชัชไม่รู้ว่าเป็นอะไร เราทะเลาะกันค่อนข้างบ่อย ความอดทนของผมต่อมันน้อยลงเรื่อยๆ

“อ้าว ไอ้หอก มึงก่อเรื่องแท้ๆยังมาตะคอกกูอีก ทำไมมึงเลวยังงี้วะ” ไอ้ชัชฉุนขึ้นมาบ้าง คราวนี้มันขึ้นเสียงใส่ผม ไม่ยอมให้ผมว่าข้างเดียว

เมื่อได้ยินคำพูดของมันผมถึงกับอึ้ง จริงสินะ ผมผิดแล้วยังจะมีหน้ามาพูดอะไรได้ ผมได้คิด เงียบเสียงลง แต่ในความสำนึกผิดของผมนั้น มันเจืออยู่ด้วยความรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือ รู้สึกเกลียดปากของไอ้ชัช เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมรู้สึกไม่ชอบความปากเสียของมัน แม้มันจะพูดถูกต้องและเป็นความจริงก็ตาม

“อูย...” เสียงไอ้นัยครางขึ้นมาขัดจังหวะการทะเลาะย่อยๆของผมกับไอ้ชัช ทั้งผมและไอ้ชัชต่างหยุดต่อปากต่อคำกันและหันไปสนใจไอ้นัย

“ค่อยยังชั่วหรือยัง เจ็บมากไหมไอ้นัย” ไอ้ชัชถาม

ไอ้นัยยังไม่ทันตอบอะไร พลันพวกเราก็เห็นไอ้พงษ์กับไอ้ชิดเดินออกมาจากทางเดินด้านข้างของตึก มันเป็นทางเดินที่ทอดออกมาจากห้องน้ำหลังตึกนั่นเอง ไอ้ชิดพยายามเดินเข้ามาหาพวกเรา แต่ถูกไอ้พงษ์กันเอาไว้ไม่ให้เข้ามาใกล้ คงยืนห่างกันช่วงหนึ่ง

“ฝากไว้ก่อนนะมึง ถ้ามีใครเอาไปฟ้องครู กูเอาไอ้นัยตายแน่” ไอ้ชิดขู่ จากนั้นมันกับไอ้พงษ์ก็เดินจากไป

Sunday, October 14, 2007

ตอนที่ 65

หลังจากนั้นพวกเราทั้งสี่คนก็ลงมือชักว่าว แรกๆผมก็รู้สึกเขิน แต่หลังๆรู้สึกว่าได้อารมณ์ดีมาก เวลาชักว่าวพร้อมกันหลายๆคนมันทำให้ตื่นเต้นเพิ่มขึ้นมาก อีกทั้งมีคนดูยิ่งรู้สึกว่าเพิ่มความตื่นเต้นให้มากยิ่งขึ้นไปอีก ตื่นเต้นสุดๆเลยครับในตอนนั้น เพราะเป็นการชักว่าวต่อหน้าเพื่อนๆร่วมห้องเป็นครั้งแรก

ส่วนไอ้นัยนั้นน่าจะตื่นเต้นไม่แพ้กัน เพราะทีแรกเห็นไม่ค่อยกล้าชัก กล้าๆกลัวๆ แต่ไปๆมาๆก็แอ่นตัวหลับตาพริ้ม สูดปากเบาๆ ท่าทางจะเสียวมาก

ส่วนไอ้พงษ์กับไอ้ชิดลีลาการชักว่าวดุเดือดเลือดพล่าน มันสองคนชักว่าวแรงจนดูแล้วกลัวแทนเลยครับคือกลัวว่าดอของพวกมันจะพัง มิน่าละครับดอของไอ้สองตัวนี่ถึงได้ดำคล้ำนัก ของไอ้ชิดนั้นเวลาแข็งค่อนข้างใหญ่ ประเภทหัวใหญ่กว่าโคน

ผมชักว่าวไปก็ดูดอของคนอื่นที่ชักไปด้วย แล้วก็ดูหน้าเพื่อนๆที่มุงดูการแข่งขันไป แต่ละคนอ้าปากค้าง คงไม่ค่อยได้ดูหนังสดแบบนี้กันเท่าไร ยิ่งดู ยิ่งชัก ก็ยิ่งเสียว

เพียงครู่เดียว น้ำของผมก็แตกออกมาเป็นคนแรก มันพุ่งไปได้ไม่ไกลหรอกครับ ไม่ได้หวังจะชนะอยู่แล้ว แ เสียงเพื่อนๆที่มุงดูครางอู้ฮูๆตอนน้ำผมแตกยิ่งทำให้ผมเกิดอารมณ์แบบสุดๆ วันนั้นผมรู้สึกว่าน้ำแตกออกมาเยอะมากกว่าปกติ พอน้ำแตกออกมาหมดแล้วรู้สึกว่าเข่าอ่อนไปหมดเลย

หลังจากนั้นอีกเพียงครู่ ไอ้นัยก็ถอนหายใจเฮือกแล้วก็น้ำแตกตามมา น้ำว่าวของไอ้นัยทั้งเยอะและพุ่งออกมาไกล มันพุ่งออกมาถึงห้าหกระลอก เสียงเพื่อนๆฮือฮาดังยิ่งกว่าตอนน้ำของผมแตกเสียอีก

พอน้ำของผมกับไอ้นัยแตก ก็หยุดชักว่าว เอาแต่ดูไอ้พงษ์กับไอ้ชิดชัก หลังจากนั้นอีกสักพัก เพื่อนๆที่มุงดูก็ได้เฮกันอีก ไอ้พงษ์น้ำแตกตามมาเป็นที่สาม ไอ้พงษ์นี่เรียกว่าอึดพอควรทีเดียว ชักตั้งนานกว่าจะแตก

น้ำว่าวของไอ้พงษ์พุ่งไม่ค่อยไกลครับ ไปได้พอๆกับผมเท่านั้นเอง แต่ที่สำคัญก็คือ มีกลิ่นคาวคลุ้งไปหมด น้ำว่าวของมันเหม็นคาวมาก เพื่อนๆทำหน้าเบ้บ่นกันใหญ่

สุดท้ายก็เหลืองเพียงไอ้ชิดที่โชว์ลีลาการชักอยู่คนเดียว มันชักอยู่ตั้งนานน้ำก็ไม่ยอมแตกเสียที อึดมากเลยครับ

ชักไปชักมา ท่าทางจะเมื่อยมือ มันก็หยุดชักแล้วปล่อยมือออกจากดอ ปล่อยให้ดอตั้งเด่ชูชันออกมาจากพงหญ้าดกหนาสีดำ ท้าทายสายตาของเพื่อนๆ

“เมื่อยมือแล้วว่ะ ไม่แตกสักที” ไอ้ชิดบ่น “ของกูแตกยาก ต้องอมถึงจะแตกเร็ว”

“เอ้า ใครช่วยอมให้มันหน่อยเร็ว” เสียงเพื่อนๆที่มุงดูยุกันไปยุกันมา ถ้ามีใครยอมอมให้ไอ้ชิด พวกเราคงมีหนังสดให้ดูกันอีกเรื่องหนึ่งซึ่งคงตื่นเต้นยิ่งกว่าการชักว่าวเป็นไหนๆ เพราะเด็กในวัยนั้นและในยุคนั้นคงไม่เคยมีใครเห็นการโม้คกันมาก่อน

“ไอ้นัย มึงมาโม้คให้กูหน่อย” เสียงไอ้ชิดสั่ง

ผมใจหายวาบ ไม่นึกว่ามันจะเจาะจงไอ้นัย ไอ้นัยเองก็อึ้งไป พูดอะไรไม่ถูก

“เร็วดิ ไอ้นัย โม้คให้กูเร็วเข้า” ไอ้ชิดพูดอีก น้ำเสียงของมันเหมือนการออกคำสั่ง ไม่ใช่การขอร้อง

“ไม่เอาอ่ะ” ไอ้นัยสั่นหัวดิก ภายในวันเดียวกัน ไอ้นัยต้องปฏิเสธถึงสองครั้ง ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีใครเห็นมันปฏิเสธมาก่อน สงสัยวันนี้เกิดอาเพศแน่ๆ

“ไอ้สัตว์นี่” ไอ้ชิดคำรามด้วยน้ำเสียงดุดัน เริ่มแสดงความกักขฬะออกมา “กูสั่งให้มึงโม้คมึงก็ต้องโม้ค เข้าใจไหม”

“มันไม่อยากทำมึงก็อย่าไปบังคับมันสิ” ผมพูด

“มึงอย่ายุ่งไอ้อู” ไอ้ชิดหันมาทำเสียงดุใส่ผม

แล้วสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น ไอ้ชิดปราดเข้ามาประชิดตัวไอ้นัย มันจับหัวไอ้นัยแล้วกดลง พยายามจำโน้มหัวไอ้นัยไปที่ควยของมัน ไอ้นัยตัวบางและเล็กกว่ามันอยู่โข แม้พยายามขัดขืนแต่ก็สู้แรงมันไม่ได้ ต้องทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้นห้องน้ำ

“ไม่เอาว้อยไอ้ชิด กูไม่โม้ค” ไอ้นัยเอ็ดตะโร ผมคบกับไอ้นัยมาตั้งหลายปีก็เพิ่งจะเคยได้ยินมันเอ็ดตะโรมีปากมีเสียงวันนี้แหละ แสดงให้เห็นถึงความวิกฤติของสถานการณ์ในตอนนั้น ส่วนเพื่อนๆที่มุงดูเงียบกริบ ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอยากดูไอ้นัยโม้คให้ไอ้ชิดหรือว่าเพราะตกใจกับเหตุการณ์

“มานี่ อย่าให้ต้องใช้กำลัง” ไอ้ชิดพูดอีก มันยิ้มแสยะ สีหน้าเหี้ยม

ไอ้นัยพยายามขัดขืนด้วยการยกมือทั้งสองของไอ้ชิดออกจากหัว แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะสู้แรงมันไม่ได้

“เฮ้ย มันไม่ชอบมึงก็อย่าไปบังคับมันสิ” ผมพูด พลางรีบเก็บดอใส่กางเกงเตรียมรับสถานการณ์ ตอนนั้นมือและปลายหัวดอยังเลอะน้ำว่าวอยู่เลยเพราะลืมติดเอากระดาษทิชชู่มาด้วย แต่ก็ช่างมันแล้วครับ ปล่อยให้มันเลอะเทอะไป

ไอ้ชิดไม่สนใจผม คงพยายามโน้มหัวไอ้นัยมาที่ดอของมัน เมื่อผมเห็นมันไม่ฟัง จึงตัดสินใจเดินเข้าไปขวางพลางปัดมือมันออกจากหัวไอ้นัย ไอ้ชิดนี่แรงโคตรเยอะเลย ขนาดผมช่วยด้วยแล้ว มือของมันก็ยังไม่หลุดจากการจับหัวไอ้นัย

“ไอ้อู มึงไม่ต้องเสือกเลย ไอ้สัตว์นี่” ไอ้ชิดด่าอย่างหยาบคาย ตอนนี้นิสัยที่แท้จริงของมันก็แสดงออกมา “ไอ้พงษ์”

เสียงไอ้ชิดร้องเรียกไอ้พงษ์ ไอ้พงษ์ก็เข้าใจความหมาย รีบเข้ามาลากตัวผมออกไป ไอ้พงษ์นี่อุบาทว์มากครับ ดอของมันยังครึ่งอ่อนครึ่งแข็งปล่อยให้แกว่งไปมาอยู่นอกกางเกง ไม่ยอมเก็บกลับเข้าไปเสียที มันรวบตัวผมกอดไว้แน่น ผมสู้แรงมันไม่ได้ ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด

“เฮ้ย ช่วยไอ้นัยกันหน่อยสิโว้ย” ผมร้องเอะเอะบอกเพื่อนๆที่มาดูการแข่งขันชักว่าว

“เฮ้ย ใครอย่าเสือกนะโว้ย ถ้าเสือกต้องโดนกูกระทืบ” ไอ้ชิดขู่สวนเสียงร้องของผม

เพื่อนๆที่มามุงดูส่วนใหญ่ก็พวกไอ้ชิดอยู่แล้ว ดังนั้นผลก็คือมีใครช่วยไอ้นัยกันเลย คงดูกันเฉย ส่วนไอ้นัยแม้พยายามดิ้นแต่ก็ดิ้นไม่หลุด ถึงตอนนี้เอง ผมจึงได้ตระหนักว่าอิทธิพลของไอ้ชิดในฐานะหัวโจกของแก๊งนั้นมีมากเพียงใด

Friday, October 12, 2007

ตอนที่ 64

“ไม่พอ สี่ห้าคนถึงจะพอ” ไอ้ชิดตอบ

“งั้นเอาไอ้ชัชอีกคน” ผมเจ้ากี้เจ้าการให้เสร็จ ไอ้นัยกับไอ้ชัชอ้าปากหวอเพราะนึกไม่ถึงต่อการกระทำของผม

“เฮ้ย ไม่เอานะ” ไอ้นัยพูดเบาๆ รู้สึกว่านี่จะเป็นครั้งแรกกระมังครับที่ผมได้ยินมันปฏิเสธ

“ไม่เป็นไรน่าไอ้นัย เอาหน่อยนะ” ผมพูด พยายามคิดหาเหตุผลมาหว่านล้อมมันให้เห็นดีเห็นงามด้วย แต่ก็นึกไม่ออก ก็เลยยุมันดื้อๆยังงั้นแหละ

ไอ้นัยเงียบ ท่าทีอึกอัก ไอ้ชัชโพล่งขึ้นอย่างแปลกใจ

“มึงจะเล่นอะไรวะไอ้อู”

นั่นน่ะสิ ผมจะเล่นอะไรกันนี่ รู้สึกว่าครั้งนี้ผมจะเล่นแผลงผิดปกติ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันครับว่าทำไมจึงได้ทำไปแบบนั้น

“มึงนั่นแหละไอ้อู เที่ยวยุคนอื่นดีนัก มึงก็แข่งด้วย” ไอ้พงษ์พูดขึ้น

“เฮ่ย...” ผมสะอึก ถึงแม้ผมจะเคยชินกับการชักว่าวหมู่ในห้องอาบน้ำ แต่ว่านั่นก็เป็นในหมู่เพื่อนฝูงที่อยู่หอด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก อีกทั้งเป็นเวลาอาบน้ำที่ทุกคนแก้ผ้าเหมือนกันหมด แต่นี่เป็นการชักว่าวต่อหน้าเพื่อนๆเด็กไปกลับ แต่ละคนใส่เสื้อผ้ากันทั้งนั้น แล้วผมต้องมาแก้ผ้าให้มันดู อายตายเลย

ถึงตอนนี้เพิ่งจะได้คิดว่าทำไมไอ้นัยถึงได้อึ้ง รู้สึกว่าผมจะเล่นกับมันแรงไปหน่อย...

“ไม่ต้องเฮ่ย มึงแข่งด้วยเลยไอ้อู” เสียงไอ้พงษ์สรุปเอาดื้อๆโดยไม่ฟังความเห็นของผม “ได้สี่คนแล้วโว้ย ไป พวกเราไปที่ห้องน้ำกัน”

หลังจากนั้น ไอ้พงษ์ ไอ้ชิด และพวกเราทั้งหมดสิบกว่าคนก็ยกโขยงเดินไปที่ห้องน้ำหลังตึกประถมปลาย ในสิบกว่าคนนี้ ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนในกลุ่มไอ้ชิดกับไอ้พงษ์ ผมพยายามจะหนีออกไปจากกลุ่ม แต่ก็โดนประกบตัวเอาไว้ไม่ให้หนีไปไหน ส่วนไอ้นัยแม้มีท่าทีอิดออด แต่ก็แปลกที่ไม่เห็นมันพยายามจะหนี คงเดินตามไปด้วยดี ในที่สุด ไอ้นัยก็ยังเป็นไอ้นัยผู้ไม่เคยปฏิเสธใครเช่นเดิม

เอาวะ ชักก็ชัก ดีเหมือนกัน ท่าทางจะตื่นเต้นดี ผมนึกในใจ อีกอย่าง ยังไงก็มีไอ้นัยชักเป็นเพื่อนด้วย

“ไอ้ชัช มึงจะเล่นด้วยไหม” ผมกระซิบถามไอ้ชัชขณะที่เดินยกโขยงไปยังห้องน้ำหลังตึก

“ไม่เอาล่ะ เชิญมึงกับไอ้อูละกัน กูขอเป็นกองเชียร์” ไอ้ชัชกระซิบตอบ “ของกูไม่ใหญ่ อายเค้าว่ะ”

เพียงครู่เดียว พวกเราทั้งหมดประมาณสิบกว่าคนก็ไปถึงห้องน้ำประถมปลาย ห้องน้ำนี้ก็อยู่หลังตึกที่พวกเราเรียนกันนั่นเอง ตัวห้องน้ำเป็นเรือนห้องน้ำโดยเฉพาะแยกห่างออกมาจากตึกเรียน มีประตูทางเข้าสองประตู ประตูทางเข้านี้มีประตูเหล็กแบบประตูห้องแถว คือเป็นประตูเหล็กที่ยืดหดได้เหมือนหีบเพลง กลางวันก็จะเปิดเอาไว้ ตอนเย็นก็ปิดแล้วคล้องกุญแจ

ตอนนั้นก็เป็นเวลาบ่ายแก่แล้ว บ่ายสามโมงกว่าๆ เกือบจะสี่โมง ผู้คนในโรงเรียนบางตาไปมากแล้วเพราะกลับกันไปจนเกือบหมด โดยเฉพาะห้องน้ำหลังตึกไม่มีใครอยู่เลย

ไอ้พงษ์กับไอ้ชิดเดินนำขบวนเข้าไปในห้องน้ำ หลังจากที่พวกเราทั้งหมดเดินเข้าไป ไอ้ชิดก็สั่งให้ปิดประตูเหล็กทั้งสองด้านทันที

ประตูเหล็กที่ปิดนั้นก็แค่กันไม่ให้คนอื่นเข้ามาใช้ห้องน้ำได้เท่านั้นเอง แต่มองลอดเข้ามาได้ เพราะเป็นเหล็กที่มีช่องโปร่ง แต่ก็ยังดีครับ เพราะว่าถึงจะมองเข้ามาได้แต่ก็คงอะไรข้างในไม่ชัดนักเพราะว่าข้างในห้องน้ำค่อนข้างมืด

“เอ้า พร้อมหรือยัง ใครน้ำแตกได้ไกลกว่าเพื่อนถือว่าชนะ”

ไหนๆก็เลี่ยงไม่ได้แล้ว เอาก็เอาวะ ผมคิดในใจ

“น้ำแตกชนะแล้วได้อะไร” ผมถาม

“เอ้อ... ยังไม่รู้โว้ย เอาไว้ชนะก่อนแล้วค่อยว่ากัน” ไอ้พงษ์เองก็นึกไม่ออก เลยตอบมั่วๆ

“ชักว่าวกันเสียทีสิว้อย กูจะรีบกลับ” เสียงเพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้น

“ไอ้ห่า มึงไม่ได้แข่งแล้วยังเสือกมาเร่ง” ไอ้ชิดด่าเบาๆ “เอ้าๆ เริ่มได้ ผู้ชมเงี่ยนกันแล้ว พวกมึงหลบกันให้ดีละกัน เดี๋ยวน้ำว่ากระเด็นใส่”

ว่าแล้วพวกที่ลงแข่งอันประกอบด้วยไอ้ชิด ไอ้พงษ์ ไอ้นัย และผม ต่างก็ยืนเรียงแถวหน้ากระดาน ผมยืนอยู่ริมแถว ติดกับไอ้นัย พวกที่เหลือที่เป็นคนดูก็หลบไปยืนข้างๆ สงสัยจะกลัวน้ำว่าวกระเด็นใส่จริงๆ

ไอ้ชิดกับไอ้พงษ์รูดซิปงัดดอออกมาปั่นหน้าตาเฉยอย่างไม่อายใคร เมื่อไอ้ชิดงัดดอออกมาว่าว ทุกคนก็ต้องฮือฮา เพราะว่าดอของมันใหญ่มาก คือใหญ่แบบเด็กหนุ่มน่ะครับ ไม่ได้ใหญ่มโหฬารเป็นพิเศษอะไร เพราะว่ามันอายุมากกว่าพวกเรา ดอก็เลยใหญ่กว่า หมอยของไอ้ชิดนั้นเยอะมาก เห็นเป็นพงหญ้าสีดำเต็มช่องซิปกางเกง แถมพงหญ้านั้นยังล้นออกมาข้างนอกอีกด้วย

ไอ้ชิดปั่นดอได้พักเดียว มันก็ขยายใหญ่เต็มที่ ผมเพิ่งเคยเห็นดอของคนที่โตแล้วชัดๆก็วันนี้เอง มันใหญ่ สีคล้ำ มีเส้นเลือดปูดโปนเต็มไปหมด หนังหุ้มปลายร่นไปกองที่คอหยัก เผยให้เห็นหัวดอที่บาน ใหญ่ มันแตกต่างจากดอของเด็กๆอย่างพวกผมค่อนข้างมาก ส่วนดอของไอ้พงษ์นั้นแม้จะใหญ่แต่ก็สู้ของไอ้ชิดไม่ได้

ผมกับไอ้นัยยังไม่ยอมงัดดอออกมา เพราะยังอายๆอยู่เหมือนกัน แต่สังเกตเห็นเป้ากางเกงของไอ้นัยตุงออกมาเป็นลำชัดเจน คงเป็นเพราะเห็นดอของไอ้สองคนนี่จนเกิดอารมณ์

“เฮ้ย พวกมึงเอาควยออกมาชักได้แล้ว” ไอ้ชิดเร่งผมกับไอ้นัย

ไอ้นัยยังเฉย ท่าทีอายๆ แต่ตอนนั้นผมชักเกิดอารมณ์สนุกขึ้นมาบ้างแล้ว อยากลองๆชักว่าวโชว์เพื่อนอยู่เหมือนกัน ประกอบกับกลัวว่าหากใช้เวลานานไปจะมีคนมาเห็น เดี๋ยวใครไปฟ้องครูเข้าจะเป็นเรื่อง ก็เลยงัดดออกมาเหมือนกัน แล้วยุไอ้นัยไปด้วย

“เอาเถอะวะไอ้นัย ไหนๆก็ไหนๆ”

ดอของผมนั้นไม่ต้องเอาออกมาปั่นให้แข็งก่อน เพราะว่ามันแข็งรออยู่นานแล้ว ตื่นเต้นเหมือนกันครับงานนี้

ไอ้นัยเห็นผมงัดดอออกมา ในที่สุดมันก็เลยรูปซิปและงัดออกมาบ้าง แม้ดอไอ้นัยไม่ใหญ่เท่าไอ้พงษ์ ไอ้ชิด แต่ก็ถือว่าใหญ่พอตัวสำหรับเด็กในวัยอย่างพวกเรา พอไอ้นัยงัดดอออกมา พวกเราก็ฮือฮากันอีก เพราะว่าไอ้นัยไม่เคยโชว์ดอให้ใครเห็นมานานแล้ว ตอนอยู่ ป.๕ มันยังโดนเพื่อนๆจับและเอาออกมาดูเล่นบ้าง แต่พอขึ้น ป.๖ แล้วมันแค่โดนจับๆเฉยๆ แต่ไม่ได้งัดออกมา เพราะว่าสถานที่ไม่อำนวยเนื่องจากทำเลที่ตั้งแก๊งยามเที่ยงของพวกเรามีคนพลุกพล่าน แล้วก็ช่วง ป.๖ นี้เองเป็นช่วงที่ไอ้นัยโตขึ้นอย่างผิดหูผิดตาเพราะว่าย่างเข้าสู่วัยรุ่น ดอของมันแตกต่างจากตอนอยู่ ป.๕ มากทีเดียว คงไม่ต้องถามนะครับว่าทำไมผมถึงรู้ ก็ติดตามดูของมันมาตลอดนี่ครับ

ดอของไอ้นัยนั้นแม้ไม่ใหญ่เท่าไอ้ชิดกับไอ้พงษ์ แต่ก็สวยกว่าของไอ้สองตัวนั้นมาก เพราะว่าแท่งลำตั้งตรง ไม่เอียงเลย เป็นสีขาวอมชมพูตลอดแท่ง สะอาดสะอ้าน หัวเห็ดก็เป็นสีชมพูอ่อน ไม่ได้คล้ำน่าเกลียดแบบไอ้สองตัวนั่น ที่ส่วนโคนก็มีหญ้าสีดำขึ้นปกคลุมบางๆ กำลังสวย

Sunday, October 7, 2007

ตอนที่ 63

หลังจากเข้าแถว เคารพธงชาติแล้ว งานเลี้ยงปีใหม่ก็เริ่มอย่างเป็นทางการ บรรยากาศรื่นเริงเต็มที่ แต่ละห้องก็มีสไตล์การแต่งห้องและกิจกรรมที่ไม่เหมือนกัน

ห้องของผมตอนเช้าเริ่มด้วยครูประจำชั้นกล่าวให้โอวาทและเปิดงาน วันนี้แม้แต่ครูก็ดูใจดีและรื่นเริงกว่าทุกวัน หลังจากนั้นก็เป็นการเล่นเกม เล่นกันอยู่หลายเกมเหมือนกัน จำไม่ค่อยได้แล้วครับ แต่ที่จำได้อยู่เกมหนึ่งก็คือเกมกระบอกเสียง คือให้คนทั้งห้องมาล้อมวงกัน แล้วให้คนต้นแถวคิดประโยคอะไรก็ได้หนึ่งประโยค แล้วบอกใส่หูคนถัดไปโดยห้ามไม่ให้คนอื่นได้ยิน พอบอกไปจนถึงคนสุดท้ายก็ให้คนสุดท้ายบอกออกมาดังๆว่าได้ยินอะไร ส่วนใหญ่ข้อความมักจะเพี้ยนไปจากคนต้นแถว หลังจากนั้นก็มาไล่เรียงกันว่าคนที่ถ่ายทอดเพี้ยนคนแรกคือใคร

จำได้อยู่ประโยคหนึ่ง คนต้นแถวบอกว่า “กินข้าวกับนมตราหมี” มันคิดได้ไงเนี่ย กินข้าวกับนมตราหมี แล้วมันก็บอกไปเรื่อยๆจนคนสุดท้ายบอกว่าที่มันได้ยินคือ “กินข้าวตัวดำปิ๊ดปี๋” เออ แล้วมันจะเกี่ยวกันมั้ยครับ กินข้าวกับตัวดำเนี่ย

จากนั้นก็มาเริ่มไล่ย้อนหลังกันว่าไปเริ่มเพี้ยนที่ใคร ตอนไล่หาคนเพี้ยนคนแรกนี่ฮากันมาก ปรากฏว่าไม่ใช่ใครอื่น ไอ้นัยนั่นเอง และเหตุที่ผมยังจำได้ก็เพราะว่าคำนี้ไอ้นัยเป็นคนทำเพี้ยนนี่แหละครับ ไม่อย่างนั้นคงจำไม่ได้

หลังจากเล่นกันไปได้หลายๆประโยค คนที่ทำเพี้ยนในแต่ละครั้งจะถูกนำมารวมกันทำโทษ การทำโทษก็ให้มาเต้นท่าอุบาทว์ๆ ตอนทำโทษนี่แหละครับ ฮากันกลิ้งเลย โดยเฉพาะไอ้นัย เต้นได้น่ารักมาก ทำท่าเหมือนสัตว์ประหลาดตลกๆ พอลงโทษกันเสร็จแล้ว ครูประจำชั้นก็สรุปตบท้ายว่านี่แหละคือส่วนหนึ่งของกาลามสูตร คือ อย่าเชื่อคำบอกเล่าที่บอกต่อๆกันมา อะไรประมาณนี้แหละครับ ขนาดวันงานปีใหม่ยังไม่วายสอนธรรมะ

หลังจากเล่นเกมแล้วก็มีประกวดร้องเพลง แต่ไม่ใช่เพลงปกติ เป็นเพลงแปลง แต่ไม่ได้เลียนแบบเพลงแปลงของใคร คนร้องต้องคิดแปลงเนื้อเอาเอง สนุกตรงนี้แหละครับ เพราะบางคนก็แปลงเก่ง บางคนก็แปลงได้ห่วย แต่รวมแล้วก็สนุกมาก หัวเราะกันท้องแข็ง

หลังจากนั้นก็เป็นรายการอาหารกลางวัน แล้วก็ต่อด้วยการจับฉลากแลกของขวัญ ส่วนใหญ่ก็ของทั่วไปครับ เช่น ปากกา กรอบรูป อัลบั้มรูป ผ้าขนหนู ชุดดินสอสี ของกินพวกขนม คุกกี้ บางคนก็ให้เทปคาสเส็ตที่อัดเพลงเอาไว้ คือ เลือกเพลงมาแล้วอัดกันเอง สมัยนั้นมีแต่วิทยุกับเทปคาสเส็ต แล้วก็แผ่นเสียง ซีดี ดีวีดี ยังไม่มีครับ

พวกของพิเรนทร์หน่อยก็มีครับ มีคนหนึ่งให้กางเกงใน อีกคนเอากะละมังพลาสติกห่อของขวัญมา ห่อใหญ่เบ้อเริ่ม ตอนแรกทุกคนแปลกใจว่าของอะไร ใหญ่ๆ เบาๆ แต่มันไม่ยอมบอก สุดท้ายคนที่จับได้ของขวัญมันบ่นใหญ่เลย เพราะมันนั่งรถเมล์ ขี้เกียจหอบขึ้นรถเมล์

สำหรับผมนั้น ตอนเช้าๆก็รู้สึกเซ็งๆ เพราะกำลังเคืองไอ้ชัชกับไอ้นัย แต่พอสายๆหน่อยก็กลับมาอารมณ์ดี เพราะความสนุกสนานของงานเลี้ยงทำให้ลืมความขุ่นเคืองไป

และท้ายที่สุดของงาน ก็เป็นการเฉลยบัดดี้ ตอนนั้นบ่ายสามโมงกว่าแล้วครับ เล่นกันไปเล่นกันมาจนรายการสุดท้ายช้ากว่ากำหนด ครูประจำชั้นขอตัวกลับไปก่อน มีอยู่กลุ่มหนึ่งประมาณครึ่งห้องขอตัวกลับเช่นกันเพราะวางแผนกันไว้แล้วว่าจะไปดูหนัง เดี๋ยวจะไม่ทันรอบฉาย เพราะนัดกันไว้แล้วว่าหลังเลิกงานเลี้ยงแล้วจะไปดูหนังกัน แล้วก็อีกส่วนหนึ่งผู้ปกครองมารับพอดี เด็กประจำบางคนจะรีบกลับต่างจังหวัดเพราะว่าหลังจากงานเลี้ยงแล้วเราหยุดกันยาวหลายวัน

สุดท้ายก็เลยตกลงกันว่า ให้อยู่ร่วมกันจนแค่เฉลยว่าใครเป็นบัดดี้ของใคร แล้วหลังจากนั้นใครจะไปไหนก็ไป ไม่มีการลงโทษคนที่ทายบัดดี้ไม่ถูกเพราะว่าเวลาไม่พอ

การเฉลยก็เป็นไปอย่างรีบเร่งนิดหน่อย เพราะว่าไอ้พวกที่มันจะไปดูหนังคอยเร่งอยู่ เลยไม่สนุกเท่าที่ควร แต่ก็สรุปได้ว่าผมได้เป็นบัดดี้ไอ้ชิด แล้วไอ้ชิดก็ทายไม่ถูก

ไอ้ชัชเป็นบัดดี้ของไอ้นัย และไอ้นัยก็ทายไม่ถูก ตอนนี้เองที่ผมได้รู้ความจริงว่าทำไมไอ้ชัชถึงดีกับไอ้นัยเป็นพิเศษ ที่แท้มันพยายามดูแลไอ้นัยนั่นเอง

ส่วนบัดดี้ของไอ้ชัชนี่เป็นเพื่อนในกลุ่มไอ้เชียรที่อยู่หลังห้อง ไอ้ชัชก็ทายไม่ถูกเหมือนกัน

สรุปแล้วคนที่ทายบัดดี้ของตนเองไม่ถูกมีค่อนข้างเยอะทีเดียว สงสัยจะเป็นเพราะว่าไม่ค่อยได้สนใจที่จะเล่นเกมนี้กันมั้งครับ

หลังจากเฉลยแล้วก็ถือว่างานเลี้ยงปีใหม่จบลงโดยปริยาย ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกัน คนที่จะไปดูหนังก็ไป ส่วนที่เหลือก็อยู่ต่ออยากทำอะไรก็ทำ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นงานเก็บห้องให้คืนสภาพเดิมเสียมากกว่า สมัยนั้นก็ยังเด็ก ไม่ค่อยเกี่ยงกันครับ ใครอยู่ก็ช่วยๆกัน ไม่ได้คิดว่าเพื่อนกินแรงหรืออะไร

หลังจากงานเลี้ยงเลิกแล้ว คนก็จากไปกว่าครึ่งห้อง ขณะที่พวกเราที่เหลือซึ่งรวมทั้งผม ไอ้นัย และไอ้ชัช ที่ไม่ได้ไปดูหนัง กำลังจะลงมือเก็บห้องกันนั่นเอง ใครคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นมา

“เฮ้ย ยังไม่ได้ลงโทษคนที่ทายบัดดี้ไม่ถูกเลย เสียดายจริง”

“ไม่ต้องเสือกเลยมึง งานเลิกแล้ว” ไอ้พงษ์พูดขึ้น ไอ้พงษ์นี่ก็เป็นคนหนึ่งที่ทายบัดดี้ไม่ถูก “มึงอยากให้ลงโทษอะไรล่ะ”

ไอ้พงษ์มันคงอยากรู้เหมือนกันว่าไอ้คนเสนอความคิดมันอยากลงโทษอะไร

“ให้ไอ้พงษ์ถอกควยชักว่าวโชว์ก็แล้วกัน” ไอ้จ๋อพูดขึ้น จำได้ไหมครับ ไอ้จ๋อที่นั่งใกล้ไอ้พงษ์เวลาเรียน และไอ้พงษ์นี่มันก็ชอบควักดอออกมาโชว์บ่อยๆเวลาอยู่ในห้องเรียนตอนครูไม่อยู่ ไอ้จ๋อมันเห็นเป็นประจำ

“เออๆ ดีๆ” เสียงคนที่เหลือในห้องสนับสนุนกันเซ็งแซ่ “ว่าวโชว์เลยๆ”

“อ๋อ ถ้างั้นได้เลย” ไอ้พงษ์พูดขึ้น ไอ้เปรตนี่มันชอบโชว์อยู่แล้วครับ พอมีใครพูดแบบนี้มันก็รับมุขทันที ผมว่าถึงมันไม่เล่นเกมแพ้ หากมีใครบอกให้มันโชว์มันก็คงยินดี

สำหรับผมกับไอ้ชัชนั้นไม่ได้ตื่นเต้นอะไร เพราะชักว่าวหมู่กับไอ้พงษ์ในห้องอาบน้ำจนชินแล้ว แถมยังรู้ความลับของมันว่าคู่ขาของมันคือไอ้ติ๊ก แต่กับคนอื่นโดยเฉพาะพวกนักเรียนไปกลับแล้วคงอยากดูหนังสดที่แสดงเดี่ยวโดยไอ้พงษ์เพราะว่าคงไม่มีโอกาสได้เห็นของดีแบบที่เด็กหอเห็นกัน

ว่าแล้วไอ้พงษ์ก็บอกให้ใครช่วยดูต้นทางที่ประตูห้องให้หน่อย แล้วมันเองก็ยืนกลางห้องให้เพื่อนๆที่เหลือมุงรอบตัวมัน จากนั้นมันงัดดอออกมาปั่นเล่นต่อหน้าเพื่อนๆ

พริบตาเดียว ดอของไอ้พงษ์ก็ขยายใหญ่ และลุกชันเต็มที่ มันชักว่าวเสียงดังพั่บๆอย่างไม่อาย โคตรหน้าด้านเลย เพื่อนๆจ้องเป๋งตาเป็นมัน เพราะไม่ได้นึกว่าจะได้ดูหนังโป๊เป็นของแถมหลังเลิกงานเลี้ยง

“เฮ้ย ชักว่าวคนเดียวไม่มันว่ะ ไอ้พวกที่แพ้นี่แหละ มาชักว่าวแข่งกันดีกว่า ใครน้ำว่าวพุ่งไกลกว่ากัน” ไอ้พงษ์เสนอ

เสียงเพื่อนๆเชียร์กันสนั่นห้อง โดยเฉพาะพวกที่ไม่ได้แพ้เกมบัดดี้ ทำไมจะไม่เชียร์ละครับ ก็อยู่ดีๆได้ดูหนังสดฟรีๆ แต่พวกคนที่แพ้เกมบัดดี้นี่สิครับ หนาวๆร้อนๆ เพราะแต่ละคนไม่ได้ชอบโชว์อย่างไอ้พงษ์

“มา ไอ้ชิด มาชักว่าวแข่งกันฉลองปีใหม่ดีกว่า” ไอ้พงษ์พูดอีกเมื่อไม่เห็นมีใครเสนอตัวเป็นคู่แข่งกับมัน

คราวนี้ยิ่งเฮกันใหญ่ เพราะไอ้ชิดมันเป็นวัยรุ่นแล้ว ตัวของมันโตกว่าเพื่อน อีกทั้งยังมีเสียงลือกันว่าไอ้ชิดดอใหญ่มาก ใครๆก็อยากเห็นของจริง

“ไม่เอาโว้ย แข่งกันสองคนจะไปสนุกอะไร” ไอ้ชิดปฏิเสธ มันไม่ได้บอกไม่กล้าแข่งนะครับ แต่บอกว่าคนเข้าแข่งน้อยไป

“เฮ้ย ไอ้พวกที่แพ้น่ะ ใครจะมาแข่งกับพวกกูบ้าง เร็วๆเข้า” ไอ้พงษ์เชิญชวน แต่ไม่มีใครเล่นด้วย

ตอนนั้นผมสังเกตเห็นไอ้นัยเป้ากางเกงตุงเป็นลำออกมาชัดเจน คงดูไอ้พงษ์ชักว่าวจนเกิดอารมณ์ มันนูนออกมามากเลย สงสัยวันนั้นจะไม่ได้ใส่กางเกงในมา

“วันนี้มึงใส่กางเกงในมาป่าว” ผมกระซิบถามมันด้วยคำถามเดิมที่เคยชอบถามก่อนจะแกล้งมันเล่น

ไอ้นัยสั่นหัวเป็นคำตอบ ไหมล่ะ ไม่ได้ใส่มา ผมก็นึกไม่ถึงนะครับ ว่ามันจะไม่ใส่มา เพราะช่วงหลังเห็นมันโตขึ้นเยอะแล้ว ไม่ใช่เด็กๆ อีกทั้งกิจกรรมจับจู๋เล่นยามพักเที่ยงก็เลิกไปตั้งนานแล้ว มันคงใส่กางเกงในมาทุกวันเหมือนคนอื่นๆ

ฉับพลันนั้น ผมก็มีความคิดแปลกๆเกิดขึ้น เป็นความคิดอยากแกล้งไอ้นัย ความคิดถึงเรื่องที่ไอ้ชัชไปมีอะไรกับไอ้นัยกันสองคน รวมทั้งเรื่องเมื่องวานที่ไอ้ชัชชวนไอ้นัยไปซื้อของแต่ไม่ชวนผมไป จริงอยู่ เรื่องหลังนั้นอาจเกี่ยวกับการที่มันสองคนเป็นบัดดี้กัน แต่คิดไปคิดมาก็ไม่เชิง เพราะหากมันเป็นบัดดี้กัน ไอ้ชัชจะชวนผมไปซื้อของด้วยก็ได้ ไม่เห็นจำเป็นต้องกีดกันผมแบบเมื่อวาน

คิดไปคิดมา ความขุ่นเคืองที่เก็บซ่อนเอาไว้ในระหว่างวันก็กลับเข้ามาในใจของผมอีก ผมรู้สึกอยากแกล้งไอ้นัยสักหน่อย หารู้ไม่ว่าเหตุการณ์ในวันนั้นกลายเป็นจุดหักเหที่สำคัญยิ่งในชีวิตของเราทั้งสามคนซึ่งผมจะไม่มีวันลืมได้เลยชั่วชีวิต

“ไอ้นัย เอาหน่อยนะ” ผมกระซิบกับมัน ว่าแล้วก็หันไปบอกไอ้ชิด

“เอาอีกคนพอไหม กูขอส่งไอ้นัยเป็นตัวแทน”

Tuesday, October 2, 2007

ตอนที่ 62

“ไอ้นัย ไปซื้อของกันดีกว่า” เสียงไอ้ชัชเรียก ไอ้ชัชได้รับมอบหมายจากหัวหน้าห้องให้ดูแลเรื่องการประดับตกแต่งห้องเรียน มันก็เลยต้องไปซื้อพวกสายรุ้ง ระย้า ตุ้ม หมวกปีใหม่ เป็นหมวกกระดาษทรงแหลมๆน่ะครับ มาตกแต่ง งบประมาณก็ลงขันเฉลี่ยกันทั้งห้อง ครูประจำชั้นก็ช่วยออกด้วยส่วนหนึ่ง

จนแล้วจนรอด ผมก็ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นบัดดี้ของไอ้ชิดเสียที แต่ก็ช่างมันเถอะครับ ผมก็ทำดีที่สุดแล้ว (มั้ง) ส่วนบัดดี้ของไอ้สองตัวนั่นเป็นใครก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะว่าถามมันมันก็ไม่บอก จะดูว่ามันดีกับใครเป็นพิเศษก็ไม่เห็นมี

“ไปดิ” ไอ้นัยตอบ มันเองก็ว่างๆ ไม่มีอะไรทำเป็นชิ้นเป็นอัน เป็นเด็กรับใช้ทั่วไป ช่วยคนโน้นนิด ช่วยคนนี้หน่อย

ว่าแล้วทั้งสองคนก็พากันเดินออกไปซื้อของที่ร้านค้านอกโรงเรียน ผมชักฉุนที่ไอ้ชัชไม่ชวนผม ปกติมันมีอะไรก็มักชวนผมเสมอ แต่วันนี้ไม่

เพิ่งเดินออกไปพ้นห้องเรียน ไอ้ชัชกับไอ้นัยก็ย้อนกลับมาอีก ไอ้ชัชเข้ามาถามผม

“กูจะซื้อของขวัญจับฉลากมาด้วย มึงจะฝากซื้อไหม”

ตอนนั้นของขวัญจับฉลากกำหนดกันไว้ว่ามูลค่าไม่ต่ำกว่า ๕๐ บาท เงิน ๕๐ บาทกับเด็ก ป.๖ สมัยนั้นก็ถือว่าไม่มากไม่น้อย ถึงจะไม่ได้ของอะไรเป็นชิ้นเป็นอันนัก แต่ก็พอสนุกๆ เช่น สมุดเฟรนชิป กรอบรูปเล็กๆ ฯลฯ

ดูมันทำสิครับ แทนที่จะชวนผมไปเลือกซื้อด้วยกัน มันกลับถามว่าผมจะเอาอะไรแล้วจะไปกับไอ้นัยกันสองคน

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวกูไปเลือกซื้อเอง” ผมตอบ พยายามทำเสียงให้ปกติ แต่ตอนนั้นเคืองมาก

“อยากเดินเมื่อยก็ตามใจ” ไอ้ชัชพูด ว่าแล้วก็เดินไปกับไอ้นัย

มันหายกันไปชั่วโมงกว่าสองชั่วโมง แล้วก็กลับมาพร้อมกับของพะรุงพะรัง นอกจากของแต่งห้องแล้วยังมีน้ำหวานกับถุงขนมติดมือไอ้นัยมาด้วย สมัยก่อนตอนเด็กๆน้ำหวานยังไม่ได้ใส่เป็นถ้วยกระดาษหรือถ้วยพลาสติกแบบสมัยนี้ มีแต่พวกโค้ก เป๊ปซี่ ตระกูลน้ำอัดลมต่างๆที่กดจากเครื่องเท่านั้นที่ใช้ถ้วย หากเป็นน้ำหวานหรือน้ำอัดลมที่เทจากขวดก็จะใช้ถุงพลาสติกแล้วก็เอาหนังยางมัดปากถุง ปักหลอดลงไป แล้วก็หิ้วไปดูดไป

“โห มีขนมด้วย กินไม่แบ่งเลยนะมึง” ผมพูดกับไอ้นัย แกล้งหน้าชื่นไปยังงั้นแหละครับ พยายามเก็บอารมณ์อย่างเต็มที่

“ไอ้ชัชมันเลี้ยงอ่ะ ดูดิ ของเต็มเลย” ไอ้นัยบอกด้วยเสียงอู้อี้พราะขนมยังเต็มปากอยู่ พลางชูถุงขนมให้ผมดูชัดๆ

ผมฉุนกึกขึ้นมาทันที ความไม่พอใจในครั้งนี้เอาไปรวมกับครั้งที่แล้วที่มันไปมีอะไรกันสองคนโดยไม่บอกผม เหมือนกับเงินต้นทบดอกเบี้ย มันทำให้ผมรู้สึกโมโหมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

“ไอ้นัย มาช่วยกูแต่งห้องเร็วๆ เดี๋ยวไม่ทัน” ไอ้ชัชเรียกพร้อมทั้งดึงตัวไอ้นัยไปช่วยแต่งห้อง “อ้อ ไอ้อู มาช่วยกูหน่อยดิ”

ไอ้ชัชเรียกผม เฮอะ ในที่สุดมันก็เรียกให้ผมไปช่วย แต่ช้าไปแล้วครับ ตอนนั้นเคืองมันทั้งคู่ไปเรียบร้อยแล้ว แต่เคืองไอ้ชัชมากกว่า

“ไม่ว่างโว้ย” ผมตอบเสียงขุ่นๆ

“ไม่ว่างอะไรกัน เห็นมึงนั่งซื่อบื้ออยู่ ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย มาช่วยกันหน่อยเร็ว”

ไอ้ชัชพูดพลางเข้ามาดึงมือผม ถึงตอนนั้นจะงอนก็งอนไม่ออกแล้ว เพราะถ้าไม่ช่วยมันหรือพาลใส่มัน ผมก็ดูจะเป็นฝ่ายขาดเหตุผล ก็เลยฝืนใจช่วยมันไปก่อน แต่ก็ทำไปแบบแกนๆ

“โฮ้ย ชักช้าจริงไอ้อู” ไอ้ชัชบ่นผมเมื่อเรียกให้หยิบนั่นหยิบนี่แล้วผมทำช้าๆ ก็คนมันไม่เต็มใจทำนี่ครับ อีกทั้งกำลังเคืองด้วย ก็เลยใจลอยนิดหน่อยพำราะเอาแต่โมโห

“มาๆๆ ไอ้นัยช่วยกูแขวนระย้าหน่อย” ไอ้ชัชเรียกไอ้นัยแทน พลางบ่นผมอุบอิบ

ในที่สุดก็กลายเป็นว่าไอ้นัยเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของไอ้ชัชไป วันนี้มันเอางานเอาการดีครับ ที่จริงปกติมันก็เอางานเอาการอยู่แล้ว ถ้าได้รับมอบหมายอะไรก็มักทำงานเต็มที่ แม้ปกติจะดูขี้เล่นไม่มีสาระก็ตาม

มันเรียกใช้ไอ้นัยไม่หยุดปาก เดี๋ยวก็นั่น เดี๋ยวก็นี่ ไม่สนใจผมอีกเลย มันยิ่งทำให้ผมขุ่นเคืองใจหนักยิ่งขึ้น แต่ก็พยายามเก็บอาการเอาไว้

บ่ายวันนั้น เราตกแต่งห้องและเตรียมงานปีใหม่กันจนเย็น ทุกคนสนุกสนานเฮฮากับการเตรียมงาน ยกเว้นผม

- - -

วันรุ่งขึ้น ...

และแล้ว วันที่พวกเรารอคอยกันก็มาถึง วันงานปีใหม่ ที่จริงปีใหม่ปีนี้เป็นงานที่มีความหมายเป็นพิเศษสำหรับเด็ก ป.๖ เพราะมันอาจเป็นการฉลองปีใหม่ครั้งสุดท้ายกับเพื่อนๆ ณ โรงเรียนแห่งนี้ เนื่องจากบางคนอาจต้องไปเรียนต่อที่อื่น และที่พิเศษยิ่งไปกว่านั้นก็คือมันเป็นวันหายนะของเราทั้งสามคน เหตุการณ์ในวันนั้นยังสร้างรอยแผลเป็นอยู่ในหัวใจและวิญญาณของผมจนถึงทุกวันนี้...

ตั้งแต่เมื่อบ่าย ตอนกลางคืนวันวาน ตลอดมาจนถึงวันนี้ ผมพูดกับไอ้ชัชน้อยมาก มันถามคำหนึ่งผมก็ตอบคำหนึ่ง ไอ้ชัชเองก็รู้สึกผิดสังเกตและพยายามถามผม แต่ผมก็บอกว่าไม่มีอะไร จนมันขี้เกียจถาม ก็เลยปล่อยผมเงียบอยู่อย่างนั้น

เราไปถึงที่ห้องเรียนกันแต่เช้า พวกที่ดูแลเรื่องอาหารก็ไปรับอาหารเที่ยงที่สั่งเอาไว้แล้วจากแม่ค้าในโรงอาหาร ไอ้ชัชเอาหมวกปีใหม่มาแจกเพื่อนๆ คนที่มีกล้องก็เอากล้องมาถ่ายรูปกัน สมัยนั้นยังเป็นกล้องใช้ฟิล์มอยู่ ไม่ใช่กล้องดิจิตอลแบบปัจจุบัน ฟิล์มม้วนหนึ่งดูเหมือนจะ ๕๐ บาท ประมาณนี้แหละครับ กล้องที่เด็กๆใช้กันส่วนมากเป็นกล้องโกดัก เพราะเป็นกล้องราคาประหยัด แต่คุณภาพก็พอใช้ได้ ราคาไม่กี่ร้อยบาทเอง ถ้าเป็นกล้องดีหน่อยก็จะเป็นพวกโอลิมปัส ยี่ห้อนี้จะมีรุ่นอินสแตนต์ให้เลือกเยอะหน่อย มีอยู่คนหนึ่งเอากล้องโพลารอยด์มา ถ่ายปุ๊ป ภาพก็ไหลออกมาปั๊บ ทันใจดี

กล้องอินสแตนต์ที่ว่าคือกล้องที่ถ่ายได้เลย ไม่ต้องปรับโฟกัส เพราะว่าโฟกัสตายตัว ถ่ายไปก็ชัดทั้งภาพ ระบบออโตโฟกัสยังไม่รู้จัก คงยังไม่มีกระมังครับ เด็กๆก็ใช้ได้แค่กล้องอินสแตนต์แหละครับ กล้องที่ดีกว่านั้นบางบ้านก็มีใช้กัน แต่ผู้ใหญ่คงไม่ยอมให้เอามาเพราะว่าราคาแพง