Saturday, March 31, 2007

ตอนที่ 23

หลังจากที่ผมกับชัชเค้นถาม จนถึงขนาดลงไม้ลงมือกับมัน คือรุมซ้อมมัน แต่ซ้อมเล่นๆนะครับ ไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งมันจริงๆ ก็ปกติไอ้นัยมันน่าแกล้งอยู่แล้ว ใครจะไปอดได้ ก็ขึ้นเข่าลงศอกกันพอสมควร มันก็ยังไม่ยอมบอก สรุปแล้วก็เลยต้องยอมปล่อยให้มันอุบเอาไว้ก่อน ที่สำคัญคือไอ้นัยมันบอกเสียด้วยว่ารู้กันเฉพาะเราสามคน แสดงว่ามันไม่ได้บอกเพื่อนคนอื่นๆเลย คันหัวใจเหมือนกันนะครับไอ้ความอยากรู้เนี่ย ไอ้ชัชยิ่งออกอาการมากกว่า มันโวยวายว่าถ้าเกิดมันไม่ได้ไป แล้วมันจะดูของดีได้ยังไง

“ยังงั้นก็ต้องอด” ไอ้นัยพูดแล้วยิ้มแบบเยาะเย้ย “กูก็รู้กับไอ้อูสองคน”

“ดีละนะมึง ถ้ากูไม่ได้ไปด้วยละก็มึงจำไว้เลย” ไอ้ชัชฝากคำอาฆาต

“ขี้เกียจจำโว้ย มึงก็หาทางมาให้ได้ก็แล้วกัน เอ้อ ยังงี้ก็ได้ มึงก็หนีออกมาแล้วออกอุบายว่าถูกจับไปเรียกค่าไถ่ ดีมั้ย กูช่วยเขียนจดหมายเรียกค่าไถ่ให้ก็ได้ นอกจากได้เที่ยวแล้วยังได้เงินใช้อีกต่างหาก ฮ่าฮ่า” ไอ้นัยพูดหน้าตาย ดูมันคิดสิครับ คิดได้ไงเนี่ย สงสัยจำมาจากทีวีแน่ๆเลย

“เฮ้ย อย่าไปเล่นยังงั้น” ผมห้าม “ลายมือมึงดูก็รู้ว่าเด็กเขียน ใครจะเชื่อวะ อีกอย่าง ถ้าเกิดพ่อมันไม่ยอมไถ่ แล้วไอ้ชัชมันจะทำยังไง”

“มันจ่ายค่าเทอมแล้วนี่ ยังไงเทอมนี้ก็ไม่อดละ เทอมหน้าค่อยคิดกัน” ไอ้นัยก็เอาสีข้างถูไถไปเรื่อย เวลาผมเล่านี่อาจไม่ค่อยตลก ต้องดูหน้ามันด้วยครับถึงจะตลก ขนาดไอ้ชัชฟังก็ยังต้องหัวเราะ

หลังจากจัดการเรื่องจ่ายเงิน ซื้อหนังสือเสร็จ ก็ถึงเวลาที่พวกเราต้องแยกย้ายกันกลับ ก่อนแยกจากกัน ผมกระซิบถามมันเบาๆด้วยความทะลึ่ง

“วันนี้มึงใส่กางเกงในมาหรือเปล่าวะ”

“ไม่ใส่ เอ๊ย ใส่ ทำไมเหรอ” ไอ้นัยถาม

“เปล่า แค่อยากรู้” ผมตอบ คืออันนี้เป็นมุขน่ะครับ เล่นกันเฉพาะพวกเราสามคนเท่านั้น เป็นมุขเวลาจะจับไอ้นัยแก้ผ้า ปกติไม่ได้ถามอย่างเดียวหรอกครับ ต้องจับดอมันแล้วก็ถามด้วย ส่วนไอ้นัยก็จะตอบมั่วไปเรื่อย บางทีใส่ก็บอกว่าไม่ใส่ บางทีไม่ใส่ก็บอกว่าใส่ แล้วมันก็จะถามกลับว่าถามทำไม จากนั้นก็จะถูกจับแก้ผ้า อิอิ แต่ว่าวันนี้คนเยอะ ไม่กล้าจับแก้ผ้า ได้แต่ถามเอาอย่างเดียว

ว่าจะไม่เล่าแล้วนะ เรื่องมุข เพราะคิดว่าจะเก็บเอาไว้เป็นความลับสมัยเด็กสักหน่อย แต่ไหนๆก็เล่ามาเยอะแล้ว ไม่รู้จะหวงไปทำไมอีก ก็เล่าให้หมดเปลือกละกันครับ

หลังจากวันนั้น ผมก็กลับบ้านไปอีก พร้อมกับตั้งหน้าตั้งตารอวันที่จะได้เจอกับไอ้ชัชไอ้นัยอีกครั้ง ตอนนั้นหยุดเขียนจดหมายแล้วครับ เพราะว่าใกล้เปิดเทอมแล้ว เขียนไปก็ไม่มีประโยชน์ คิดถึงไอ้นัยทุกวันเลย ช่วงนั้นเป็นช่วงที่อยากเร่งให้วันคืนมันผ่านไปเร็วๆเสียเหลือเกิน จนแม้แต่พ่อแม่ผมก็ยังรู้สึกผิดสังเกตว่าช่วงหลังๆนี่ผมดูอยู่ไม่ค่อยเป็นสุขอย่างบอกไม่ถูก จะอ่านหนังสือก็อ่านไม่ได้นาน เดี่ยวผุดลุกผุดนั่ง แต่ใครจะกล้าไปบอกละครับว่าคิดถึงไอ้นัย ตอนนั้นปากแดงๆ จมูกรั้นๆ ผมหยักศก ใบหน้าของมันลอยอยู่ข้างหน้าผมทั้งวันทั้งคืน ใครจะไปมีสมาธิได้ ส่วนไอ้ชัชนั้นก็คิดถึงบ้างเหมือนกันแหละครับ แต่ไม่มากเท่าไอ้นัย (ชัช มึงอย่าน้อยใจนะที่กูพูดความจริงแบบนี้) ตอนนั้นแยกแยะอารมณ์ตัวเองไม่ออกเหมือนกันครับว่าคิดถึงไอ้นัยแบบไหน และความรู้สึกที่ผมมีต่อมันเป็นแบบใด

และแล้ว วันที่รอคอยอย่างทุรนทุรายก็มาถึง ในที่สุด พ่อก็หอบหิ้วพาผมมาส่งที่บ้านของอาไอ้นัยเลย เพราะอาไอ้นัยอุตส่าห์วาดแผนที่ไว้ให้ตั้งแต่วันที่ไปชำระค่าเทอม กว่าจะไปถึงก็เกือบเที่ยงแล้ว เพราะพ่ออกช้า วันนั้นจำได้ว่าผมไม่พอใจบ่นพ่อใหญ่เลย เพราะว่าพ่อออกสายนี่แหละ ทำให้เวลาที่ผมจะเล่นอยู่บ้านไอ้นัยมีน้อยลง บ่นจนพ่อโมโหเกือบจะเตะผมและไม่พาผมมาแล้ว ดีที่ผมหยุดบ่นเสียก่อน

พอมาถึง ผมก็ต้องดีใจมาก เพราะนอกจากจะเจอไอ้นัยแล้ว ยังเจอไอ้ชัชยืนตีหน้าทะเล้นอยู่ข้างๆด้วย ตอนแรกก็ไม่ได้หวังเอาไว้เท่าไรเหมือนกันเรื่องไอ้ชัช เพราะพ่อมันธุระเยอะ แต่ในที่สุดมันก็มาได้จริงๆ

หลังจากเด็กๆทำความเคารพผู้ใหญ่ และพวกผู้ใหญ่ทักทายกันแล้ว พ่อของผมก็ลากลับ คราวนี้แมวไม่อยู่ หนูๆอย่างพวกเราก็ระเริงได้ แต่ยังก่อนครับ เพราะว่าคุณอาของไอ้นัย ทั้งอาผู้ชายและอาผู้หญิงยังอยู่บ้านกันทั้งคู่เลย เลยไม่ค่อยกล้าซนมากนัก ต้องวางฟอร์มสุภาพเคร่งขรึมเอาไว้ก่อน เด็กๆก็หน้าไหว้หลังหลอกกันยังงี้แหละครับ

หลังจากถามไถ่ไอ้ชัช ก็ได้ความว่าป๋ามันพามันมาส่งตั้งแต่เช้าแล้ว ครั้งนี้ไอ้ชัชมันตื๊อสุดชีวิต ดังนั้นแม้มีธุระแต่ก็ไม่อาจขัดลูกบังเกิดเกล้าได้ เลยรีบเอามาทิ้งไว้ที่บ้านไอ้นัยตั้งแต่เช้า แล้วป๋าหรือว่าพ่อก็ไปทำธุระต่อ

“ไหนวะนัย อะไรที่จะอวด” ผมไม่พูดพล่ามทำเพลง พอได้โอกาสที่อยู่กันเพียงสามคนก็ถามไอ้นัยทันที

“ฮึ ยังไม่บอก” ไอ้นัยส่ายหัวดิก

ไอ้ชัชมองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นว่าอาไอ้นัยไม่อยู่แถวนั้น ก็เตะตูดไอ้นัยไปหนึ่งป้าบ

“แม่งไม่บอกเสียที กูเบื่อชิบหาย” ไอ้ชัชบ่น

ไอ้นัยมีสีหน้าโกรธขึ้นมาทันที “มึงอย่าพูดแม่งได้ไหมวะ”

คือปกติไอ้ชัชไม่ค่อยพูดคำว่า “แม่ง” สักเท่าไร ผมก็ไม่ค่อยพูดครับ คือพูดเหมือนกันแต่ไม่ค่อยจะติดปากเหมือนเด็กบางคนที่อ้าปากก็แม่ง หุบปากก็แม่ง และปกติแล้วไอ้นัยจะไม่ค่อยพูดคำหยาบหรือคำสบถ พูดน้อยแทบจะนับครั้งได้เลย ดังนั้นผมกับไอ้ชัชจะเกรงใจมัน ไม่ค่อยพูดหยาบคายหรือสบถ หรือใช้ภาษาแรงๆกับมัน แต่วันนี้สงสัยไอ้ชัชจะหงุดหงิดเล็กน้อยเลยหลุดปากออกมา

ไอ้ชัชกับผมก็ตกใจสิครับ เพราะไม่เคยเห็นไอ้นัยโกรธใคร นี่เป็นครั้งแรกที่เคยเห็นจริงๆ ผมก็แปลกใจนะครับ ว่าทำไมคำว่าแม่งถึงทำให้ไอ้นัยโกรธได้ขนาดนี้ ทั้งๆที่มีเรื่องอื่นๆที่เราแกล้งมัน มันน่าโกรธกว่านี้อีกมันยังไม่โกรธเลย งงจริงๆครับท่านผู้ชม

“ไอ้นัย มึงเป็นไรไปว้า กูไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย” ไอ้ชัชพูดกับมัน น้ำเสียงอ่อนโยนเลยละครับทีนี้ ไอ้นัยเงียบ ไม่ตอบ แต่หน้ายังบึ้งตึงอยู่

“ขอโทษมันหน่อยเถอะชัช” ผมพูด เพราะเห็นอาการไอ้นัยไม่ค่อยจะดี ไอ้ชัชมันก็ดีครับ ไม่ถือทิษฐิอะไร พอได้ฟังรีบงอนง้อขอโทษไอ้นัยทันที

“อ่า อ่า อ่า กูขอโทษนะ ตะหลังไม่พูดคำนี้กับมึงแล้ว” ไอ้ชัชพูดตะกุกตะกัก ท่าทางตอนนั้นก็น่าขำดี เพราะมันอึกๆอักๆ วางสีหน้าไม่ค่อยจะถูก

เรื่องในวันนั้นเป็นเรื่องที่ผมและไอ้ชัชต้องจำไว้เลยครับ ว่าไอ้นัยไม่ชอบให้ใครพูดคำว่าแม่งกับมัน ไม่รู้เหตุผลเหมือนกันครับว่าทำไม ถามมันมันก็ไม่พูด

ที่จริงเจ้าบ้านต้องเอาใจแขกนะครับ แต่กลายเป็นว่าตอนนี้แขกสองคน คือผมกับชัช ต้องเอาใจเจ้าบ้าน คือไอ้นัย เพื่อให้มันหายหน้าบึ้ง ต้องแกล้งทำลิงทำค่างหยอกล้อมัน ในที่สุดไอ้นัยก็กลับมาอารมณ์ดีตีหน้าตายตามเคย

เมื่อมันอารมณ์ดีแล้ว ผมก็วกกลับมาที่เรื่องเก่าอีก

“ไหนวะนัย ไอ้อะไรที่จะให้ดูน่ะ” ผมถาม

“เดี๋ยวดิ รอก่อน คืนนี้ค่อยดู” ดูมันสิครับ ตอนแรกบอกให้มา ไม่มาแล้วจะเสียใจ พอมาแล้วบอกให้รอคืนนี้ก่อน ไอ้ชัชฮึดฮัดไม่พอใจอีก แต่ไอ้นัยไม่สนใจ

บ่ายวันนั้นไม่ค่อยมีสีสันเท่าไร เพราะว่าอาทั้งสองของไอ้นัยอยู่บ้าน พวกเราเลยไม่กล้าเล่นกันเสียงดัง ก็เล่นกับแบบเซ็งๆ เวลาผู้ใหญ่อยู่ด้วยนี่ไม่สนุกเอาเลย แต่ว่ายังโชคดีหน่อย ที่ตอนบ่ายแก่ๆ อาทั้งสองของไอ้นัยก็ออกจากบ้านไปเห็นบอกกับไอ้นัยว่าจะไปตรวจงานตกแต่งที่บ้านลูกค้า

เอาละครับ คราวนี้ได้เวลาหนูระเริงกันจริงๆแล้ว เพราะพวกผู้ใหญ่ไปกันหมด ตอนที่อาไอ้นัยอยู่นี่เงียบๆ พอออกจากบ้านไปเท่านั้นแหละครับ ไอ้ชัชแหกปากหัวเราะไล่หลังไปเลยทีเดียว (โธ่ ไอ้ลิงหลอกเจ้า) และแล้ว บ้านอันเงียบเหงาก็กลับกลายเป็นบ้านอันครึกครื้นเพราะมีแต่เด็กแก่นๆ ๓ คนอยู่ในบ้าน แหกปากกันได้ตามสบายเพราะเพื่อนบ้านอยู่ห่างตั้งโยชน์

พอปิดประตูบ้านเท่านั้นแหละครับ ผมก็พยักหน้ากับไอ้ชัช เป็นอันรู้กัน

“ไอ้นัย วันนี้มึงใส่กางเกงในหรือเปล่าวะ” ผมก็ถามคำถามเดิมอีก แต่คราวนี้ไม่ถามเฉยๆ และไม่รอคำตอบด้วย เอามือกระตุกกางเกงของมันออกมาเลย ตอนนั้นมันใส่กางเกงบอลอยู่ พอกางเกงบอลหลุดก็เห็นกางเกงใน

“อ้อ วันนี้ใส่แฮะ” ไอ้ชัชเสริม ว่าแล้วก็เตรียมจะลงมือถอดกางเกงในของไอ้นัย เรื่องแกล้งไอ้นัยนี่เราสองคนเข้าขากันดีครับ

“เฮ้ย เดี๋ยว ไม่อยากรู้เหรอว่ากูมีอะไรจะอวด” ไอ้นัยพูด

“มึงอวดจู๋มึงก่อนละกัน แล้วค่อยอวดอย่างอื่น” ไอ้ชัชไม่ยอมหยุดมือ สงสัยมันคงอยากล้างแค้นเรื่องเมื่อเที่ยงด้วยแหละ ผมก็ไม่ยอมน้อยหน้า เมื่อไอ้ชัชถอดกางเกงใน ผมก็ลงมือถอดเสื้อไอ้นัย

“โทษทีนะนัย ไอ้ชัชมันบังคับให้ทำ” ผมพูดไปยังงั้นแหละ อิอิ แก้เก้อ

พอกางเกงนัยหลุด ผมต้องกลืนน้ำลายเอื๊อกเลยละครับ เพราะว่าตรงเป้าของไอ้นัยเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างเยอะ เพราะไม่เจอกันสองเดือน ตอนนี้พงหญ้าอ่อนสีเทาของมันดกดำหนาตาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อิจฉาจัง ของผมยังไม่มีเลย

“หมอยดกจังวุ้ย” ไอ้ชัชแซวแบบเข้าเป้าไม่อ้อมค้อมเลย ไอ้นัยกระเดาะปากดังกึ๊กกั๊กแบบภูมิใจ

“มึงไม่ต้องอิจฉา เด็กๆ” ไอ้นัยว่า เลยโดนไอ้ชัชตบหัวเบาๆไปหนึ่งที

“พูดยังกับมึงไม่ใช่เด็กแน่ะ หมอยดกแค่นี้ทำคุย”

หลังจากต่อปากต่อคำกันพอสนุก ไอ้นัยก็พาพวกเราขึ้นไปชั้นบนเพื่อดูของที่มันต้องการจะอวด

ตอนที่ 22

ปิดเทอมปีนั้น หลังจากที่เราจบ ป.๕ เมื่อไอ้ชัชกับไอ้นัยกลับไปแล้ว เราก็ยังเขียนจดหมายติดต่อกัน สมัยนั้นเรื่องโทรศัพท์ทางไกลหากันจะยากครับ เพราะเบอร์มีแต่ขององค์การโทรศัพท์ (ไม่ได้เรียกว่า TOT เหมือนเดี๋ยวนี้) ผูกขาดอยู่รายเดียว บางพื้นที่ แม้แต่ในกรุงเทพฯเองก็ตาม ยังต้องรอกันเป็นปีๆ เรื่องการซื้อขายเบอร์โทรศัพท์เลยกลายเป็นธุรกิจอย่างหนึ่งไป อย่างบ้านไอ้นัยที่กรุงเทพฯนี่ ตอนเราจบ ป. ๕ กันก็ยังไม่มีโทรศัพท์ ตอน ป. ๖ นี่แหละครับ เลยไปซื้อต่อเบอร์ของคนอื่นมาในราคาหลายหมื่นบาท ที่บ้านผมตอนนั้นก็ไม่มีโทรศัพท์ (แล้วในที่สุดก็ต้องไปหาซื้อมาเช่นกัน) ถ้ามีเรื่องจำเป็นก็มีตู้โทรศัพท์สาธารณะอยู่แถวนั้นตู้หนึ่ง ไปหยอดเหรียญโทรกัน หรือถ้ามีใครมีเรื่องจำเป็นจะติดต่อมา ก็จะโทรมาที่บ้านผู้ใหญ่บ้านซึ่งอยู่ไม่ไกล แล้วบอกว่าจะพูดกับบ้านไหน ก็จะไปตามให้ หรือบางทีก็จะฝากบอกไว้ว่าเรื่องอะไรแล้วให้ติดต่อกลับ คนที่บ้านผู้ใหญ่ก็จะเอามาบอกให้

ที่ต่างจังหวัดในสมัยก่อนส่วนใหญ่ก็จะเป็นแบบนี้แหละครับ คือโทรออกก็โทรตู้ ส่วนรับเข้าก็ต้องโทรมาที่บ้านใดบ้านหนึ่งซึ่งเป็นศูนย์กลางของชุมชนนั้นที่ติดโทรศัพท์แล้ว เช่น บ้านผู้ใหญ่บ้าน เป็นต้น

อีกอย่าง ค่าโทรศัพท์ทางไกลตอนนั้นดูเหมือนจะแพงเอาการอยู่ คือจำได้ว่าแพง แต่ไม่รู้ราคาในสมัยนั้น เพราะมันแพงอีกทั้งโทรศัพท์เป็นของหายาก เลยไม่เคยใช้สักที ก็เลยไม่รู้อัตราค่าโทร ใช้เขียนจดหมายเอาครับ สมัยนี้มีใครยังเขียนจดหมายกันอยู่ไหม จดหมายแบบ snail mail ที่เขียนใส่ซองติดแสตมป์น่ะ

สมัยนั้นการติดต่อสื่อสารในช่วงปิดเทอม หลักๆก็คือเขียนจดหมายคุยกันนี่แหละครับ ตอนนั้นติดแสตมป์ ๗๕ สตางค์หรือ ๑ บาท ประมาณนี้แหละครับ ตามสถิติที่พอจะจำได้ก็คือส่งไปแล้วประมาณ ๔-๑๐ วันก็จะถึงมือผู้รับ เรื่องช้าเร็วนี่ไม่ค่อยแน่นอน เพราะเป็นการส่งข้ามจังหวัด เอาแน่นอนยาก บริการยังไม่ทันสมัยแบบปัจจุบัน

ในพวกเราสามคน ผมเขียนจดหมายเก่งที่สุด (ขอชมตัวเองหน่อย) เพราะเวลาเขียนแต่ละที่จะเขียนยาวกว่าเพื่อน ไอ้ชัชขี้เกียจเขียน ชอบดองจดหมายเอาไว้ตอบช้าๆ ส่วนไอ้นัยตอบเร็วครับ แต่เขียนน้อย มันเขียนเหมือนกับที่มันพูดเลย ตอนพูดก็พูดน้อย ตอนเขียนก็เขียนน้อย แต่น่าอ่าน เพราะกวนๆดี

ส่วนใหญ่ผมก็จะเขียนเล่าเรื่องโน่นเรื่องนี่ที่บ้านให้มันฟัง ไอ้ชัชก็เล่าเรื่องของมันตอนอยู่บ้าน ส่วนไอ้นัยชอบบ่นว่าเหงา เซ็ง เพราะอยู่บ้านคนเดียว อะไรประมาณนี้แหละครับ ผมอ่านแล้วสงสารมันจังเลย เลยพยายามเขียนไปถึงมันยาวๆ ให้มันอ่านแก้เหงา จำได้ว่าตอนนั้นเขียนยาวมาก เขียนบ้าเขียนบออะไรก็ไม่รู้ตั้งสี่ห้าหน้ากระดาษในแต่ละฉบับ คือจุดประสงค์อยากให้มันแก้เหงา แต่จดหมายของเราสามคนไม่มีเรื่องเซ็กซ์ปนนะครับ อิอิ ที่ไม่เขียนลงไปเพราะกลัวว่าใครจะมาอ่านเจอเข้า เลยเขียนแต่เรื่องธรรมดาๆ

จดหมายที่ไอ้นัยเขียนถึงผม ผมเก็บไว้ต่อมาอีกหลายปี ใจจริงว่าจะเก็บไว้จนถึงตอนแก่เลย เวลาอายุมากๆย้อนกลับมาอ่านคงมีความหมายดี แต่น่าเสียดายที่พอตอนโตขึ้นมาพอเอากล่องใส่จดหมายที่เก็บไว้อย่างดีออกมาดู (เก็บดีเกินไปครับ เอาไปซ่อนเสียมิดชิด หลายปีไม่เคยเปิดดูเลย) ปรากฏว่าปลวกกินจดหมายจนป่นไปหมด ผมเองก็ลืมนึกไป เพราะว่าบ้านต่างจังหวัดนี่เรื่องปลวกเป็นของธรรมชาติ น่าจะเก็บใส่กล่องเหล็ก แต่ก็ไม่ได้ทำ เสียดายมากเลยครับ ไม่อย่างนั้นจะลองคัดจดหมายไอ้นัยที่เป็นสำนวนของมันจริงๆมาให้อ่านกันสักท่อน น่ารักดี

ปีนั้นเป็นปีที่ผมใช้เวลาปิดเทอมอย่างเบื่อหน่ายที่สุด เพราะตั้งแต่ไอ้สองตัวนั่นกลับไปแล้วผมเองก็เหงามาก มักคิดถึงไอ้สองตัวนั่นอยู่เสมอ โดยเฉพาะไอ้นัย คิดถึงมันมากเลยครับ ไม่รู้ว่าเป็นอะไรแต่ไม่เคยบอกใคร แม้แต่ไอ้นัยเองก็ไม่รู้หรอกว่าผมคิดถึงมันแค่ไหน เพราะว่าผมปากแข็ง ซึ่งผมคิดว่าเรื่องปากแข็งน่าจะเป็นข้อเสียที่สำคัญของผม ส่วนไอ้นัยจะคิดถึงผมหรือเปล่านี่ตอบยากครับ เพราะเดาใจมันไม่ถูก ไอ้นี่ชอบทำหน้าตายอยู่แล้วด้วย อ่านสีหน้ามันก็ไม่ออก แต่คิดว่าน่าจะคิดถึงนะครับ ส่วนไอ้ชัชไม่มีอะไร มันเขียนมาในจดหมายเลยว่าคิดถึงพวกเรา อยากให้เปิดเทอมเร็วๆจะได้เจอกันอีก ไอ้ชัชเป็นคนเปิดเผยครับ มันคิดอะไรก็พูดออกมาอย่างนั้น

เวลาผมส่งจดหมายไปแต่ละครั้ง พอสามวันให้หลังผมจะเริ่มตั้งหน้าตั้งตารอแล้วครับ สามวันแรกยังไม่รอเพราะรู้ว่าถึงอย่างไรก็ยังไม่ถึง แต่พอหลังจากนั้นมีลุ้นครับ ลุ้นว่าเมื่อไรมันจะตอบกลับมาสักทีวะ นั่งลุ้นแบบนี้แหละทุกวันเลย

ประมาณต้นเดือนพฤษภาคม พวกเราจะได้มีโอกาสเจอกันก่อนเปิดเรียนครั้งหนึ่ง เพราะว่าจะมีอยู่วันหนึ่งที่ผู้ปกครองจะต้องไปจ่ายค่าเทอม ค่าหอ และซื้อหนังสือเรียน วันนั้นแหละเป็นวันที่ผมตั้งหน้าตั้งตารอคอย

พอผมไปถึงโรงเรียนกับพ่อ ก็ชะแง้หาไอ้ชัช ไอ้นัย อยู่ตลอด ก็เจอเพื่อนคนอื่นๆด้วยละ แต่ใจจดใจจ่อกับไอ้สองตัวเป็นพิเศษ ผมมาถึงเป็นรายแรก ไอ้สองตัวนั่นยังไม่พาผู้ปกครองมาเลย (ที่จริงคือผู้ปกครองพาพวกมันมา) คอยอยู่ตั้งเป็นนาน ไอ้ชัชถึงได้โผล่มา

ไม่ได้เจอกันแค่สองเดือน ยังกับไม่ได้เจอกันนานมาก รู้สึกว่าแต่ละคนเปลี่ยนไปพอสมควรทีเดียว ไอ้ชัชดูสูงขึ้นเยอะเลย ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า มันเองก็ทักว่าผมสูงขึ้น คงอยู่ในวัยกำลังโตกระมังครับเลยสูงเร็ว

ตอนที่ไม่มีใครเห็น มันแอบเอามือผมไปจับนมมัน รู้สึกว่าแข็งเป็นไตเล็กๆ อ้อ จะอวดว่ามันเริ่มแตกเนื้อหนุ่มแล้วนั่นเอง ผมเลยแกล้งบีบแรงๆ มันร้องจ๊ากเลยเพราะเจ็บ อยากอวดดีนัก

อีกสักพัก ไอ้นัยกับอาก็มาถึง นึกแปลกใจเหมือนกันว่าทำไมไม่ใช่พ่อหรือแม่พามา แต่กลายเป็นอาผู้ชาย

ผมเห็นไอ้นัยแล้วตะลึง แต่ก่อนเห็นมันแต่ในรูปโฉมของผมทรงนักเรียน หรือที่สมัยก่อนเรียกกันว่าทรงลานบิน ซึ่งก็คือทรง รด. นั่นเอง แต่เด็กประถมไม่รู้จักคำว่า รด. หรอกครับ เรียกกันแต่ทรงนักเรียน ทรงลานบิน ไอ้นัยในวันนี้มาด้วยผมที่ไว้ยาวแบบรองทรง ผมข้างหน้ามันสลวยแถมหยิกนิดๆตามธรรมชาติ ที่รียกว่าหยักศก รับกับจมูกที่เชิดนิดๆของมัน ริมฝีปากแดงๆ โคตรน่ารักเลยครับ ไม่รู้จะบรรยายอย่างไรให้สมกับความรู้สึกที่มีต่อมัน

ยังจำความหลังวันนั้นได้ดี เพียงแค่วูบแรกที่เจอไอ้นัยควยผมก็ลุกแล้วครับ เจอไอ้ชัชยังไม่เกิดอารมณ์ แต่เจอไอ้นัยเข้าที่เกิดอารมณ์ทันทีเลยครับ ใจนึกอยากกอดมันเสียเหลือเกิน นี่ถ้าไม่อยู่ต่อหน้าคนหมู่มาก สงสัยผมต้องจับมันฟัดเสียแล้ว อิอิ

หลังจากสวัสดีผู้ใหญ่ ตบหัวทักทายเองกันตามธรรมเนียม พวกเราก็ดำเนินขั้นตอนชำระค่าเทอมและซื้อหนังสือ ระหว่างนั้นก็คุยเล่นกันไม่ได้หยุด นักเรียนที่ไม่ได้เจอกันสามเดือน พอมาเจอกันเข้าเป็นร้อยคน ลองคิดดูก็แล้วกันครับว่าเสียงจะเซ็งแซ่ขนาดไหน

พวกเราสามคนพยายามอยู่ใกล้ๆกัน จะได้คุยกันถนัดหน่อย มีอยู่ช่วงหนึ่งที่คุยกัน ไอ้นัยก็ชวนผมกับไอ้ชัชไปเที่ยวบ้านมันก่อนเปิดเทอมสักครั้ง

“มีอะไรจะอวดพวกมึงด้วยล่ะ” ไอ้นัยว่า ทำสีหน้าลึกลับนิดๆ ถามว่าเป็นอะไรมันก็ไม่ยอมบอก

“มาเถอะน่า แล้วจะรู้เอง ไม่มาแล้วจะเสียใจนะ” มันขู่สำทับ

ด้วยความอยากรู้ ประกอบกับอยากไปเที่ยวบ้านไอ้นัยด้วย ก็เลยเดือดร้อนพวกเราสองคนที่ต้องไปเจรจาอ้อนวอนพ่อแม่ ให้ช่วยพาไป ตอนนั้นยังเด็กครับ ไปไหนมาไหนเองไม่ได้ ต้องให้พ่อแม่ไปส่ง เด็กต่างจังหวัดด้วยแหละครับ ไม่ค่อยรู้ทาง

สมัยนั้นโรงเรียนจะเปิดประมาณกลางเดือนพฤษภาคม ถ้าจะไปเที่ยวบ้านไอ้นัย ก็ต้องไปก่อนเปิดเทอมสักสองวัน ค้างบ้านมันสักคืนหนึ่ง แล้ววันรุ่งขึ้นให้อามันพาไอ้ชัชกับผมไปส่งที่โรงเรียน เพราะเด็กประจำต้องไปถึงก่อนเปิดหนึ่งวัน จะไปวันเปิดเทอมเลยไม่ได้เพราะต้องไปจัดข้าวจัดของก่อน ส่วนเรื่องการส่งตัวเด็กนั้น อาไอ้นัยส่งก็ได้ เพราะเป็นการส่งนักเรียนประจำเข้าหอ ใครส่งก็ไม่ค่อยเข้มงวดนัก แต่ถ้าเป็นตอนรับออกจากหอนี่จะเข้มงวด ต้องเป็นผู้ปกครองจริงๆเท่านั้น

ผมก็อ้อนวอนพ่อจนใจอ่อน ตอนแรกพ่อไม่ยอมเพราะเกรงใจอาไอ้นัย ต้องให้อามันมาช่วยพูดนั่นแหละจึงจะยอม อาไอ้นัยคงเห็นหลานเหงาด้วยมั้งครับ เลยมาช่วยพูด ส่วนพ่อไอ้ชัชนั้นยังไม่แน่ใจว่าจะพามาได้หรือไม่ เพราะช่วงนั้นอาจไม่ว่าง ไอ้ชัชบ่นอุบอิบว่าซวยทุกที ครั้งก่อนก็ไม่ได้มา ครั้งนี้ก็มีแววว่าจะไม่ได้มาอีก

เฮ้อ อยากรู้จังเลยครับว่าของที่ไอ้นัยจะเอามาอวดคืออะไร

ตอนที่ 21

ก่อนที่เหตุการณ์จะเลยเถิดไปยิ่งกว่านั้น ทันใดนั้นเอง ผมรู้สึกว่ามีมือข้างหนึ่งมาตบไหล่ผม แล้วเสียงไอ้นัยก็ดังขึ้นข้างๆหู

“อู อย่าทำเค้า”

สั้นๆแค่นั้นเองครับ คำพูดเพียงประโยคสั้นๆของไอ้นัยแต่ก็สามารถเรียกสติสัมปชัญญะของผมกลับคืนมาได้ ในขณะที่แม้ไอ้ตุ้มจะแหกปากร้องผมก็ไม่สนใจ เพื่อนๆที่เคยมีความรู้สึกดีๆเป็นพิเศษกับใครสักคนคงเข้าใจนะครับ ว่ามันเป็นความรู้สึกอย่างไร คำพูดของคนคนนั้นมีอิทธิพลกับเรามากเพียงไหน ตอนนั้นผมเองก็ยังไม่เข้าใจหรอกครับ ไม่รู้เหตุผลด้วยซ้ำว่าทำไมต้องฟังมัน จำได้แต่ว่าตอนเด็กๆ มีไอ้นัยคนเดียวเท่านั้นที่หยุดอารมณ์อันมุทะลุของผมได้

ผมหยุดทันที ปล่อยตัวไอ้ตุ้ม และเหตุการณ์ที่กำลังตึงเครียดหน้าสิ่วหน้าขวานก็สงบลง ไอ้ตุ้มพอหลุดจากวงแขนผมได้ก็ด่าๆๆๆๆผมเสียไม่มีชิ้นดี แต่ก็ยังเล่นน้ำต่อ มันเองก็คงโกรธแบบว่าโดนแกล้งเท่านั้นแหละครับ คงไม่ได้คิดเลยสักนิดว่าหวุดหวิดจะเสียความบริสุทธิ์ หรือมีท้องกับไอ้อูเสียแล้ว และเรื่องนี้เอง ที่ผมยังสำนึกถึงบุญคุณของไอ้นัยเสมอ นี่ถ้าไม่ได้มันห้ามเอาไว้ เกิดผมทำสำเร็จขึ้นมาจริงๆ เรื่องคงใหญ่โตบานปลายไม่น้อย

แต่มาคิดอีกที นี่ถ้าผมทำสำเร็จ มันจะมีส่วนเปลี่ยนแปลงชีวิตของผมไม่ให้เบี่ยงเบนมามากขนาดนี้ได้ไหมครับเนี่ย เฮ้อ

หลังจากนั้น เราก็เล่นน้ำกันต่อ และอีกเพียงครู่เดียว ไอ้ตุ้มก็ดูเหมือนจะลืมเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเสียทั้งหมด นี่แหละครับ เด็ก

เล่นกันไปอีกพักใหญ่ ตุ้มกับตุ้ยก็ขอกลับก่อน เพราะว่าขี้เกียจเล่นแล้ว มันกลัวพ่อแม่มันว่าที่หนีออกมาเล่นนานๆ ก็เลยแยกกลับไปก่อน ก็เลยเหลือแค่เราสามคนเช่นเดิม

เราสามคนเลยไปนอนแก้ผ้าผึ่งลมที่ริมบึงแทน บึงน้ำในสมัยนั้นสวยงาม บรรยากาศดีมาก ยิ่งในหน้าร้อน ลมริมบึงพัดแผ่วๆเย็นสบาย นอนดูฟ้าใสๆที่มีปุยเมฆลอยผ่าน บางก้อนวิ่งช้า บางก้อนวิ่งเร็ว เหมือนดูรถกำลังแข่งกัน อากาศที่ริมบึงกรุ่นไปด้วยกลิ่นหญ้าและกลิ่นเขียวๆ บึงน้ำและร่องสวนในวัยเด็กเป็นความทรงจำอันแสนวิเศษของผม เมื่อใดที่ผมเป็นทุกข์มักจะหวนนึกถึงฤดูร้อนตอน ป.5 เสมอ

ผมชวนไอ้สองตัวนี่ไปเก็บลูกเม่ากัน ในสวนของพ่อมีต้นใหญ่ๆอยู่ต้นหนึ่ง มันขึ้นเอง ไม่มีใครไปปลูก อยู่ไม่ห่างจากจุดที่เรานอนกันอยู่เท่าไร

ต้นเม่านี้เป็นไม้ยืนต้น สูงใหญ่ครับ ผลของมันเป็นลูกกลมๆ หน้าตาคล้ายลูกอมดับเบิลแอมเพล็กซ์ แต่ใหญ่กว่าหน่อยและมีสีม่วง ประโยชน์ของมันน่ะหรือครับ กินได้หรือเปล่าก็จำไม่ได้แล้ว แต่ที่แน่ๆคือเด็กชอบเอามาเล่นขว้างใส่กัน เพราะน้ำจากผลของมันสีม่วงเข้ม เหมือนหมึกเลย ทำเสื้อเปื้อนดีนัก

ผมชวนมันไปเก็บลูกเม่าโดยไม่ได้บอกว่าจะเอามาทำอะไร ไอ้ชัชเลยไม่สนใจ ผมเลยไปกับไอ้นัยสองคน ต้นมันอยู่ไม่ไกลนัก ก็เลยไม่ได้ใส่เสื้อผ้าไป ตอนนั้นชักคุ้นเคยกับการแก้ผ้าแล้วครับ อิอิ เลยแก้ผ้าเดินไป

ต้นเม่านี่สูงนะครับ หลายเมตรทีเดียว การจะเอาลูกมันมาเล่นได้ต้องปีนป่ายขึ้นไปเก็บ เด็กบ้านนอกกับการปีนต้นไม้น่ะเรื่องปกติอยู่แล้ว ผมกับไอ้นัยปีนขึ้นไปเสียสูงเลย แก้ผ้าปีนต้นไม้นี่มันก็เย็นดี ยังนึกในใจเลยว่าเราแน่กว่าทาร์ซานอีก เพราะทาร์ซานยังนุ่งผ้าเตี่ยวปีนต้นไม้ แต่เรานี่ไม่นุ่งอะไรเลย

พอผมเล่าความคิดนี้ให้ไอ้นัยฟัง มันก็ตีหน้าตายบอกว่า “ถ้าไม่แปลว่าแน่กว่าทาร์ซาน ก็แปลว่าเราจนกว่า เพราะทาร์ซานยังมีผ้าเตี่ยวนุ่ง”

ไอ้นัยเวลาปีนแล้วเซ็กซี่มาก เวลามันเกร็งแขนขานี่กล้ามขึ้นเลย ก้นก็งอน ยิ่งหว่างขานี่... เลยเกิดอารมณ์ครับ เอ ทำไมกับอีตุ้มมันไม่เกิดอารมณ์ยังงี้มั่งหว่า นี่ผมกำลังเบี่ยงแล้วแล้วใช่ไหมครับ

ปีนไปปีนมา ควยเลยแข็ง ไอ้นัยเห็นเข้าก็หัวเราะฮุฮุ ทำนองว่ารู้นะว่าผมคิดอะไร ในเมื่อมันรู้ทันผม ผมก็เลยชักว่าวกับมันบนต้นเม่าเสียเลย ชักว่าวบนต้นไม้ก็ได้อารมณ์ไปอีกแบบครับ แต่ต้องระวังตกต้นไม้หน่อย เวลามองน้ำว่าวตกลงไปข้างล่างหายลับไป อารมณ์มันต่างกับเห็นมันหยดลงบนพื้นดิน

เมื่อชักว่าวเสร็จ ผมป้ายเอาน้ำว่าวของมันกับของผมไปป้ายกับต้นไม้

“นี่ อนุสรณ์ของการชักว่าวบนต้นเม่า อีกสักสิบปีมาดูกันว่ามันยังอยู่ไหม” ผมพูด


เราได้ลูกเม่ามาคนละกำมือ เอามามากไม่ได้ ไม่มีที่ใส่ ตอนขาลงนี่ไปเจอเอามดคันไฟเข้าครับ ตัวใหญ่ๆ กัดเจ็บมากกกกกก ไอ้นัยโดนกัดเข้าที่ไข่ บวมเลยครับ ส่วนผมโดนเข้าไปตามแขนขา บวมเหมือนกัน เจอมดเข้าทีวิ่งกันป่าราบ

พอมาถึงริมบึง ผมก็แสดงการใช้งานลูกเม่าให้ไอ้นัยดู โดยใช้ไอ้ชัชเป็นพรีเซ็นเตอร์ พูดง่ายๆก็คือเอาลูกเม่าละเลงลงบนตัวเปล่าเปลือยของมันนั่นแหละครับ ตอนนั้นมันกำลังเคลิ้มอยู่ ไอ้นัยก็เอาตามบ้าง เพียงครู่เดียวไอ้ชัชก็เหมือนถูกบอดี้เพนท์ ม่วงไปทั้งตัว สารรูปไอ้ชัชตอนนั้นตลกมาก

เหตุการณ์ตอนไปเที่ยวบ้านของผมก็ไม่มีอะไรมากแล้วละครับ ปีนั้นคึกมาก ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันจะแก้ผ้าและมีเซ็กซ์กันตลอด แต่ก็แค่ชักว่าวถูไถกันเท่านั้นแหละครับเพราะว่าทำเป็นแค่นั้น รีดน้ำกันจนตัวซีดไปตามๆกัน

หลังจากการเที่ยวบ้านครั้งนั้น มิตรภาพระหว่างเราสามคนก็งอกงามแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ตอนขากลับ พ่อพาพวกเรามาส่งที่กรุงเทพฯ โดยนัดกันที่โรงเรียน ไอ้นัยนี่อาผู้ชายมารับ ส่วนไอ้ชัชนี่อามันหรือใครก็ไม่รู้มารับ เพราะพ่อมันไม่ว่าง

หลังจากเหตุการณ์วันนั้น โชคดีที่ไอ้ตุ้มกับไอ้ตุ้ยไม่ได้เล่าให้พ่อแม่ของมันฟัง (ผมคิดยังงั้นนะครับ เพราะถ้าเล่าผมคงเละไปแล้ว) ส่วนลุงหนู ปีรุ่งขึ้นก็หายตัวไป ได้ความว่าไปก่อเรื่องลวนลามสาว ลวนลามสาวนะครับ ไม่ใช่ลวนลามเด็ก เลยอยู่ไม่ได้ ที่จริงแกก็เป็นคนถิ่นอื่นอยู่แล้ว พอย้ายออกไปก็เลยไม่มีใครรู้ แต่ว่าป่านนี้คงไม่อยู่ในโลกแล้วละครับ เพราะเหตุการณ์มันก็นานแล้ว

พูดถึงต้นเม่าหน่อย อีกประมาณห้าปีให้หลัง หลังจากที่ผมจบ ม. 3 ผมก็แวะไปดูเม่าต้นนั้นอีกครั้ง ดูไปยังงั้นแหละครับ รู้ๆอยู่ว่าไม่มีอะไรเหลือ เพราะพอเข้าหน้าฝนคราบน้ำว่าวมันก็คงโดนฝนชะหมดไปตั้งแต่ปีแรกแล้ว แต่ที่ไปนี่เพื่อไปรำลึกถึงความหลังครับ เม่าต้นนั้นก็ยังอยู่ดี แต่หลังจากนั้นอีกหลายปีก็ถูกโค่นไปเพราะมีการปรับปรุงพื้นที่สวน น่าเสียดายอนุสรณ์ของผมกับไอ้นัยจังเลยครับ

เรื่องของผมกับไอ้ชัช ไอ้นัย ในสมัยป. 5 ก็คงจบแล้วละครับ คราวหน้าจะเล่าเรื่องที่เราติดต่อกันระหว่างปิดเทอมต่ออีกหน่อย แล้วจะได้ขึ้น ป. 6 กันเสียที ตอน ป. 6 นี่ก็มีสีสันไปอีกแบบ เพราะมีนักเรียนโค่ง 2 คนมาเรียนด้วย ชื่อพงษ์หรือว่าพงษ์ศักดิ์ กับไอ้ชิดหรือว่าชิดชัย

มีเพื่อนๆที่เป็นผู้อ่านรายหนึ่งบอกว่าอยากให้สรุปตอนจบว่าแต่ละคนเป็นอย่างไร เรื่องนี้ขอคิดอีกทีครับ เพราะเดิมทีตั้งใจว่าจะเล่าแค่จบ ม. 3 แค่ไหนก็แค่นั้น เพราะช่วงชีวิตที่บรรเจิดที่สุดของพวกเราคือวัยเด็กกับวัยรุ่นตอนต้น ความน่ารักต่างๆ (ถ้าจะมีอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่ว่าแก่แดดกันนี่ครับ อาจจะไม่ค่อยน่ารักเท่าไร) มันอยู่ในวัยนี้ เรื่องของผู้ใหญ่ก็มีแต่ความทุกข์ อยากให้เพื่อนๆรับรู้เฉพาะส่วนที่น่าประทับใจ ให้เก็บเอาไปฝันได้ดีกว่ามั้งครับ แต่ยังไงก็ขอฟังเสียงเพื่อนๆอีกที ถ้าอยากรู้กันจริงๆอาจจะเล่าแบบสรุปให้ฟัง แต่กว่าจะเล่าถึงตอนนั้นสงสัยว่าจะยังอีกนาน เพราะว่าเล่ามายี่สิบกว่าตอนแล้วยังเพิ่งจะ ป. 5 เอง

ตอนที่ 20

ไอ้ตุ้มกับไอ้ตุ้ยเล่นน้ำอย่างสนุกสนาน ขอเรียกยัยสองคนนี้ว่าไอ้ก็แล้วกันครับ เพราะเด็กบ้านนอกเรียนกันอย่างนั้น ทั้งเด็กหญิงเด็กชายมักจะเรียกว่าไอ้หมด เด็กผู้ชายจะเรียกเด็กผู้หญิงว่าอีก็มีบ้างแต่มักเรียกในบางโอกาสเท่านั้น เช่นตอนด่ากัน ไม่ค่อยจะเรียกแบบติดปาก ส่วนคำนำหน้า ยัยนั่น ยัยนี่ นั้นเป็นภาษาเด็กกรุงเทพฯ ผมเขียนไปแล้วก็รู้สึกฝืนๆ ขอเรียกไอ้ตามความเป็นจริงละกัน

ว่ายน้ำกันเล่นสักครู่ ต่างคนต่างว่ายกันห่างๆ สมองผมก็คิดแต่เรื่องลามกอยู่ในใจ ตัวก็ว่ายกระเถิบเข้าไปใกล้ไอ้ตุ้มอีกหน่อย ควยก็แข็งสิครับ น้ำแถวนั้นมันก็ใสเสียด้วย พอเข้าใกล้กันก็มองเห็นร่างท่อนล่างที่อยู่ในน้ำได้ถนัด (สงสัยว่าตอนนั้นไอ้สองตัวมันกลัวผู้หญิงเห็นจู๋มันมั้ง เลยว่ายน้ำแยกออกไปเสียห่างเชียว หรือมันจะเปิดโอกาสให้ผมก็ไม่รู้)

ไอ้ตุ้มเห็นจรวดของผมไหวๆอยู่ในน้ำก็ร้องทักเสียงลั่น

“โห ไอ้อู จู๋แข็งเด่เลย ทำไมมันแข็งได้วะ” ฟังมันแหกปากสิครับ ปากลำโพงจริงๆ ขนาดไอ้ตุ้ยน้องมันยังว่ายน้ำเข้ามาหา เพราะอยากดูผมตอนจู๋แข็ง

“น้ำมันเย็นมั้ง” ผมแก้ตัวไปตามเรื่อง “แกเองเถอะไอ้ตุ้ม ทำไมนมตั้งยังงั้นวะ” ผมย้อนกลับไปบ้าง

ไอ้ตุ้มหัวเราะเสียงใส “ก็ชั้นเป็นผู้หญิงนี่หว่า ก็ต้องมีนมสิ ถ้าแกมีละนมแบบชั้นถึงจะแปลก” ปากหนอปาก ผมบอกว่ามันแก่แดดน่ะผิดเสียที่ไหน

“อยากจับดูไหมล่ะ” ผมหักห้ามความอาย ถามเอาดื้อๆเลย ตอนนั้นก็อายๆอยู่เหมือนกัน กับเพื่อนผู้ชายมันก็แบบหนึ่ง แต่พอจะให้เด็กผู้หญิงเห็นหรือจับ มันชักอายแฮะ แต่เนื่องจากต้องการดำเนินแผนเพื่อปล้ำมัน ก็ต้องหาอะไรล่อมันไว้ก่อน

“อึ๋ย ไม่เอาอ่ะ” ตุ้มทำหน้าหยะแหยง จนผมอยากเตะมันสักป้าบ มันน่าหยะแหยงตรงไหนวะ มีแต่คนเค้าชอบกัน

“โด่เอ๊ย อยากจับก็ไม่ต้องมาทำอายหรอก เรารู้หรอกน่าว่าแกอยากรู้อยากเห็น”

“ตุ้ยอยากจับอ่ะอู” อ้าว ซวยแล้วไหมล่ะ จะหลอกล่อไอ้ตุ้ม พี่สาวมันยังไม่ทันกินเบ็ดเลย น้องสาวดันมาฮุบเบ็ดแทน น้องมันนี่ยุ่งจริง

“โน่น ไปจับของไอ้นัยดูสิ ของมันก็แข็ง” ผมบอก โยนเผือกร้อนไปให้ไอ้นัยเลย

ไอ้ตุ้ยมันก็ซื่อครับ ก็ยังเด็กนี่นา มันก็ว่ายน้ำตรงไปหาไอ้นัยจริงๆ หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นกับไอ้นัยไอ้ตุ้ยก็ไม่รู้แล้วละครับ เพราะว่าผมมัวสาละวนอยู่กับไอ้ตุ้ม

“ดิ ดิ ลองจับดูดิ” ผมคะยั้นคะยอ แล้วเขยิบเข้าไปใกล้ไอ้ตุ้มมากขึ้นอีก ตอนนี้พอมาหวนคิด เออ ตอนนั้นผมหน้าด้านมากเลย

ไอ้ตุ้มกล้าๆกลัวๆ เอามือมาจับจู๋ผม ท่าทางมันกลัวเหมือนจู๋ผมจะกัดมันยังงั้นแหละ แต่พอได้จับแล้วก็ชักติดใจ มีการบีบๆเพื่อทดสอบความแข็งด้วย

“โห แข็งจัง ทำไมมันถึงแข็งยังงี้เนี่ย” ตุ้มอุทาน แต่ผมไม่ได้ตอบเพราะอธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมถึงแข็ง อิอิ

“ขอเราจับนมแกมั่งสิ แลกกัน” ผมพูดขึ้นมา ทีแรกว่าจะพูดหว่านล้อมให้มันน่าฟังสักหน่อย แต่พอเอาเข้าจริงๆ ตื่นเต้นจนคิดอะไรไม่ออก เลยได้แต่เว้าซื่อๆออกไป

ไอ้ตุ้มไม่ยอม ผมอ้อนอีกสักพัก อ้างว่าเสียเปรียบเพราะโดนมันจับจู๋ไปแล้ว เพื่อความยุติมัน มันควรให้ผมจับนมบ้าง พูดไปพูดมา ไอ้ตุ้มก็ใจอ่อน ยอมให้จับนม

ผมก็บีบๆจับๆดู ฮื่อ นมมันเป็นเต้า แข็งๆ แปลกดีครับ ไม่ยักเหมือนนมของเด็กผู้ชาย พอแลกกันจับ มันก็เหมือนเพิ่มความกันเองมากยิ่งขึ้น ไอ้ตุ้มก็ชักเอาใหญ่ บีบๆจับๆควยผมหนักมือยิ่งขึ้น จับไปหัวเราะคิกคักไป ส่วนผมก็จับนมมันคลึงเล่นเหมือนกัน

“มาลองเอากันดูไหม” ผมพูดโพล่งขึ้นมาอีกแล้ว ก็มันนึกไม่ออกจริงๆครับตอนนั้น

“หวาย ไม่เอา” ตุ้มสั่นหัวดิก จนถึงทุกวันนี้ ผมก็ยังไม่รู้นะครับว่าตอนนั้นมันเข้าใจคำว่า “เอา” มากน้อยแค่ไหน แต่คงพอรู้บ้างมั้งครับ เพราะเวลาสัตว์เลี้ยงที่บ้านมันผสมพันธุ์กัน มันก็เรียกว่าเอากัน อย่างหมาเอากันนี่เห็นบ่อย คงพอเข้าใจได้ว่าเป็นกิจกรรมทางเพศประเภทใด

“น่า หน่อยน่า” ผมคะยั้นคะยอ

“ไม่เอา ไม่เคย” ไอ้ตุ้มปฏิเสธอีก

ผมนึกถึงวิธีการที่ลุงหนูสอน ปล้ำ จับนม แล้วก็จับมันเอา นี่ก็จับนมไปแล้ว ผิดลำดับนิดหน่อย แต่ก็เอาวะ งั้นขั้นต่อไปก็ปล้ำแล้วเอาก็แล้วกัน จะได้ครบสูตรตามที่ลุงหนูสอน ตอนนั้นผมมันซื่อจริงๆครับ ทั้งซื่อและโง่ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงจริงจังกับเรื่องที่ลุงหนูสอนขนาดนั้น แกบอกสามขั้นตอน ผมก็ต้องพยายามทำให้ได้ตามนั้น

ผมเข้าไปประชิดตัวไอ้ตุ้มแล้วกอดมันดื้อๆ ตอนนั้นไอ้ตุ้มยังหัวเราะ นึกว่าผมแกล้งเล่นพิเรนทร์กับมัน

“ไอ้อู วุ้ย ไม่เอา” มันพูดไปหัวเราะไป หารู้ไม่ว่าชะตาของมัน (คงจะรวมทั้งของผมด้วย) ใกล้ถึงฆาตแล้ว

ผมไม่ยอมเลิก ปลุกปล้ำมันในน้ำต่อไป พยายามเอาควยทิ่มเข้าไปแถวตูดมัน ก็ทิ่มมั่วละครับ ที่จริงตอนนั้นผมยังงงๆอยู่นะครับ ว่าผู้ชายเขาเอาผู้หญิงกันยังไง ลุงหนูสอนให้เอาจู๋ยัดเข้าไปในปิ๊มัน อีปิ๊ที่ว่านี่ก็คือร่องตรงหว่างขา ตำแหน่งเดียวกับจู๋ของเด็กผู้ชาย แล้วตำแหน่งของรูจริงๆมันอยู่ตรงไหนหว่า ไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วมันอึมันฉี่กันตรงไหน? ตกลงใต้หว่างขาเด็กผู้หญิงนี่มันมีกี่รูกันแน่ฟะ? แล้วรูไหนเป็นรูไหน? โอ๊ย งง ตอนนั้นรู้แต่ทฤษฎี ตอนลุงหนูสอนละไม่งง พอจะทำจริงๆปัญหามันเยอะไปหมด

“แล้วตูจะเอามันสำเร็จไหมเนี่ย” ผมนึกในใจ

ผมก็เอาควยทิ่มไปเรื่อยเปื่อย ใจนึกว่าเดี๋ยวมันคงเข้าเองแหละ ดูหมามันเอากันไม่เห็นต้องเล็งรูเลย ทิ่มๆไปเดี๋ยวก็ได้เรื่อง ไอ้อูหนอไอ้อู ละอ่อนจริงๆ

ไอ้ตุ้มก็ร้องโวยวาย แต่บรรยากาศตอนนั้นมันไม่ได้โหดร้ายทารุณอะไรหรอกนะครับ มันเหมือนเด็กผู้ชายรังแกเด็กผู้หญิง อย่าไปจินตนาการเหมือนเหตุการณ์ข่มขืนที่ลงกันในหน้าหนังสือพิมพ์

“ไออู แกทำอะไร ปล่อยโว้ย ชั้นไม่เล่นด้วยนะ” เสียงไอ้ตุ้มร้อง ตอนนั้นอารมณ์ผมเป็นยังไงน่ะเหรอ ตอบยากครับ มันไม่ได้หื่นนะครับ เพียงแต่รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่เรียนรู้มาแต่ทฤษฎี อยากลองลงมือทำจริงๆดูบ้าง ก็เท่านั้นเอง หน้าตามันก็ไม่ได้สวยเลยสักนิด หน้าตาบ้านๆ ถ้าพูดถึงอารมณ์เพศผมชอบมีอะไรกับไอ้นัยไอ้ชัชมากกว่าตั้งเยอะ

ผมไม่สนใจ ก้มหน้าก้มตาหาช่องทางเอาควยยัดเข้าไปในตัวไอ้ตุ้มให้ได้ ไอ้ตุ้มร้องดังยิ่งขึ้น เหตุการณ์ก็ตึงเครียดยิ่งขึ้น

ตอนที่ 19

แผนการของพวกเราก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ก็เด็กๆอ่ะนะ จะไปคิดอะไรได้มากมาย ก็แค่พวกเรานั่งกินข้าวไปเรื่อยๆ เสร็จแล้วก็นั่งแช่อยู่ที่ร้านลุงหนู นั่งไปฟังแกโม้เรื่องเอาหญิงสมัยหนุ่มๆไป รู้เรื่องมั่งไม่รู้เรื่องมั่ง ตาก็คอยดูกลุ่มยัยตุ้มที่เล่นอยู่

นั่งเล่นอยู่ได้ไม่นานก็เป็นจังหวะที่เด็กผู้หญิงพวกนี้เลิกเล่นกันพอดี คนเราพอคิดจะทำชั่วมันทำได้ง่ายครับ โอกาสจะมาหาได้เร็ว เข้าทำนองทำชั่วทำง่าย ทำดีทำยากนั่นเอง

พอเล่นเสร็จ ตุ้มก็เดินกลับบ้านพร้อมน้องสาวชื่อตุ้ย คงอายุห่างกันสักปีสองปีเอง เพราะท่าทางเด็กกว่ากันไม่มากนัก ตอนแยกย้ายกันกลับนี่ก็บ้านใครบ้านมัน เมื่อสบโอกาสดีเช่นนี้ผมก็เลยชวนไอ้ชัชไอ้นัย ขี่จักรยานตามไปประกบเด็กตุ้มและน้องสาว บ้านมันอยู่ไม่ไกลจากลานที่เล่นนี่หรอกครับ เดินเดี๋ยวเดียวก็ถึง

เมื่อเราขี่ไปทันตุ้ม ผมก็ชวนมันคุย พร้อมทั้งแนะเพื่อนที่มาจากกรุงเทพฯ ทักทายกันสักพักก็ชวนให้ไปเล่นน้ำที่ท้ายสวนของผมกันพรุ่งนี้ ยัยตุ้มนี่ก็ท่าทางจะแก่แดดอยู่เหมือนกัน เพราะพอรู้ว่ามีเด็กกรุงเทพฯหน้าตาหล่อเหลาจะไปเล่นน้ำด้วย มันก็รีบตกปากรับคำอย่างง่ายดาย ปิดเทอมปีที่แล้วตอนที่ผมกลับมาบ้าน ก็ยังเล่นกับมัน จำได้ว่าตอนนั้นยังไม่แก่แดดขนาดนี้เลย

ผมคงยังไม่เคยเล่าสินะครับว่าไอ้นัยหน้าตามันเป็นยังไง ตอนสมัยเด็กๆอยู่ป.๕ นั้นหน้าตามันน่ารักนะครับ เท่เลยแหละ หน้าคม ตาคม ไรหนวดเขียวอ่อนของเด็กที่เพิ่งแตกเนื้อหนุ่มยิ่งขับเน้นใบหน้ามันให้เท่ยิ่งขึ้น ผมยังหลงเลยครับ แหะๆ แต่พอโตขึ้นกว่านี้มันเปลี่ยนจากหน้ารักเป็นหล่อ หน้าตามันตอนมัธยมจะคล้ายกับออย ธนา ตอนเข้าวงการใหม่ๆ แต่ผิวสีแทนกว่า คางแหลมกว่าหน่อย และดูอารมณ์ดีกว่า เพราะมันชอบตีหน้าตาย ดูแล้วตลกดี ไม่รู้ว่ายกตัวอย่างเก่าไปหน่อยไหมครับ แต่ว่านึกคนอื่นที่คล้ายกว่านี้ไม่ออกจริงๆ

ส่วนไอ้ชัชนั้นมันขาวๆ ตี๋ๆ คล้ายลิงหน่อยๆ หน้าไม่หล่อ เลยไม่รู้จะเอาดาราคนไหนมาเทียบเคียง เชื่อไหมครับว่านึกอยู่หลายวันยังนึกไม่ออกเลยว่าเอาหน้ามันมาเทียบกับใครดี ในที่สุดก็บังเอิญไปดูรายการต่อหน้าต่อตา เลยนึกได้ว่าหน้าไอ้ชัชนี่มีเค้าคล้ายเศรษฐา นักร้องและพิธีกรอาวุโสอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ได้เหมือนกันหรอกนะครับ เพียงแต่เค้าหน้าทำนองนั้นเท่านั้นเอง เล่ามาเพื่อให้เพื่อนๆพอนึกภาพออกว่าใครหน้าตาเป็นอย่างไร

วันนั้นก็ไม่มีอะไรแล้วละครับ กลับบ้าน ตกกลางคืนก็หลับเป็นตายเพราะว่าวกันไปคนละหลายรอบ อ้อ ลืมบอกไป คืนนั้นผมกับไอ้ชัชก็แกล้งไอ้นัยอีกตามเคย ไอ้ชัชนี่ถ้าวันไหนไม่ได้แกล้งไอ้นัยสงสัยจะต้องจับไข้ไม่สบาย การแกล้งก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ แค่จับมันแก้ผ้านอนเท่านั้นเอง อิอิ ไอ้ชัชเอาเสื้อผ้าข้าวของของมันทั้งหมดไปยัดไว้ในตู้เสื้อผ้าแล้วล็อคกุญแจ โดยผมเป็นคนยึดกุญแจเอาไว้ แล้วก็ล็อคประตูห้องให้เรียบร้อยเผื่อว่าใครจะมาเห็นเข้า แต่นี่เป็นความคิดของไอ้ชัชมันนะครับ มันเป็นตัวการ ผมเป็นแค่ผู้สมรู้ร่วมคิดเท่านั้น ซึ่งไอ้นัยก็ไม่ได้ว่าอะไร (ตามเคย) ไม่เห็นมันร้องขอลูกกุญแจจากผมสักแอะ

เช้าวันรุ่งขึ้น กี่โมงก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าสว่างแล้ว ไอ้ชัชก็มาปลุกผม

“ไอ้อู ตื่นๆ” ชัชเขย่าตัวผม

“ไรเหรอ” ผมถามมันด้วยความงัวเงีย ยังไม่อยากตื่นเท่าไร

“ดูอะไรนี่ดิ” ไอ้ชัชว่า

ผมเลยลืมตาตื่นขึ้นมาดู ที่มันต้องการให้ดูก็คือไอ้นัยครับ มันนอนหงายหลับปุ๋ยอยู่บนที่นอน ควยลุกเด่ ผงกหงึกๆ

“สงสัยฝันเรื่องเซ็กซ์แน่เลย” ไอ้ชัชว่า ผมเลยตบหัวมันไป ไม่เห็นตื่นเต้นอะไรสักนิด เพราะผมเคยนอนแก้ผ้ากับมันทั้งคืนมาแล้ว

“ไอ้เปรต เรื่องแค่เนี้ยะ ต้องมาปลุกด้วย” ผมด่ามัน

“เดี๋ยวกูจะแกล้งมัน” ไอ้ชัชว่า นี่มันแกล้งให้ไอ้นัยนอนแก้ผ้าทั้งคืนแล้วยังไม่หนำใจ คิดจะแกล้งมันต่ออีก จนผมชักรู้สึกสงสาร

แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไร ไอ้ชัชก็ลงมือจัดการกับไอ้นัยทันที การแกล้งของมันก็คือจับไอ้นัยชักว่าวตอนมันหลับนั่นเอง สมัยนี้เขาเรียกกันว่าลักหลักน่ะครับ

ชักไปชักมา พักใหญ่ๆ จนไอ้ชัชเมื่อยมือ ไอ้นัยน้อยก็พ่นพิษออกมา น้ำนองเต็มมือไอ้ชัช วันนี้ไม่พุ่งแล้วครับ แค่ทะลักออกมาเฉยๆ สงสัยว่าเมื่อวานมันรีดน้ำออกไปจนหมดไข่จริงๆ

“อี๊ย เลอะมือกูหมด” ไอ้ชัชบ่น ว่าแล้วก็เอามือที่เปื้อนน้ำว่าวเช็ดลงบนพุงไอ้นัยเสียยังงั้นแหละ

“ใครทำน้ำว่าวกูแตก เช็ดให้กูด้วย” ไอ้นัยพูดทั้งๆที่หลับตาอยู่คล้ายกำลังละเมอ มันทำหน้าตายตลกมาก ผมยังจำหน้ามันในตอนนั้นได้ติดตาจนทุกวันนี้

ผมหัวเราะก๊าก “เฮ้ย มันไม่ได้หลับนี่หว่า ไอ้ชัช มึงโดนมันต้มแล้ว โดนหลอกให้ชักว่าวจนเมื่อย”

“ดีจัง มีคนมาบริการว่าวให้ ไม่ต้องชักเอง ขอบใจนะ” ไอ้นัยยังหลับตาพูดต่ออีก

“ไอ้หอก ตื่นแล้วเสือกทำเป็นแกล้งหลับ” ไอ้ชัชด่า

ผมล้วงไปใต้หมอนซึ่งเป็นที่ที่ผมเอากุญแจตู้เสื้อผ้าเก็บเอาไว้ กะว่าจะเอากุญแจให้ไอ้นัย จะได้เอาเสื้อผ้าออกมาใส่ แต่กุญแจหายไปแล้ว

“เฮ้ย กุญแจหายโว้ย” ผมพูด แล้วมองไปทางไอ้ชัช ไอ้ชัชทำหน้าคล้ายกับจะบอกว่ามันไม่ได้เอาไป

“อยู่นี่ว้อย” ไอ้นัยพูด ว่าแล้วก็หยิบกุญแจที่วางอยู่บนที่นอนข้างๆตัวมันขึ้นมา

“มึงเอาไปตั้งแต่เมื่อไรวะ” ไอ้ชัชถาม

“เมื่อคืนกูปวดฉี่ เลยไปเอากุญแจมาจะหาเสื้อผ้าใส่ไปเข้าห้องน้ำ” ไอ้นัยอธิบาย คือว่าห้องน้ำอยู่นอกห้องนอนครับ มันคงไม่กล้าแก้ผ้าเดินออกไป

“ไอ้อู มึงนี่นอนขี้เซาเหลือเกิน ไอ้นัยมันล้วงกุญแจใต้หมอนไปมึงยังไม่รู้เรื่อง” ไอ้ชัชต่อว่าผม

“มึงก็พอกันละว้าไอ้ชัช” ไอ้นัยพูด “กูถีบมึงไปสามทีมึงยังไม่รู้สึกตัวเลย ฮุฮุ” ว่าแล้วมันก็หัวเราะชอบใจที่ได้แก้เผ็ดไอ้ชัชบ้าง

“ไอ้เปรต มึงรังแกคนไม่มีทางสู้” ไอ้ชัชบ่นเมื่อรู้ว่าถูกถีบฟรีๆ “เยี่ยวแล้วมึงยังกลับมานอนแก้ผ้าต่อ”

“ฮื่อ สบายดีอ่ะ” ไอ้นัยตอบ

เป็นอันว่าเมื่อคืนจะว่าไอ้นัยโดนแกล้งก็คงไม่เชิง เพราะตอนหลังมันใส่เสื้อผ้าได้แต่มันขี้เกียจใส่เอง

หลังจากเฮฮากันยามเช้าบนที่นอนแล้ว พวกเราก็ลงไปกินอาหารเช้าที่ข้างล่าง จากนั้นก็อาบน้ำแต่งตัว และเตรียมออกไปเรียกยัยตุ้ม วันนี้แหละ ที่ผมจะได้ทดลองเอาหญิงสักที

เราขี่จักรยานกันออกไป ตามทางที่มุ่งไปสวน เมื่อผ่านบ้านยัยตุ้ม ผมก็กดกระดิ่งรถจักรยาน สักครู่เดียวมันก็ออกมา

“เสร็จยัง เดี๋ยวเราไปรอหน้าสวนนะ” ผมตะโกนบอกมัน หน้าสวนที่ว่าหมายถึงตรงประตูทางเข้าสวนของผมนั่นเอง (ที่จริงของพ่อ)

ตุ้มพยักหน้า จากนั้นพวกเราก็ขี่รถเลยไปรอที่หน้าสวน รอเพียงครู่เดียว ตุ้มก็ขี่รถมาโดยมีตุ้ยน้องสาวซ้อนท้ายมาด้วย

ทุกอย่างราบรื่น ผมนึกในใจ ว่าแล้วพวกเราก็ขี่รถเข้าไปในสวนกัน เมื่อมาถึงท้ายสวน พวกเราก็ชวนกันลงไปเล่นน้ำในบึง ผมไม่ได้ชวนให้ลงไปเล่นน้ำในร่องสวนที่พวกเราสามคนไปเล่นกันเมื่อวาน ที่ไม่เล่นตรงนั้นเพราะผมมีความรู้สึกว่าตรงนั้นเป็นที่สงวนไว้เฉพาะพวกเราสามคนเท่านั้น ไม่อยากให้คนอื่นมาใช้ มันเป็นความรู้สึกแบบเด็กที่หวงของน่ะครับ อยากเก็บไว้เฉพาะตัวเราหรือกลุ่มคนที่เราสนิทเป็นพิเศษเท่านั้น

เล่นน้ำในบึงก็ดีครับ เพราะวิวทิวทัศน์สวย การเล่นน้ำของพวกเราก็แก้ผ้ากันหมด ตอนนั้นยังเด็กๆ ที่บ้านนอก เด็กหญิงเด็กชายวัยขนาดพวกผมแก้ผ้าเล่นน้ำด้วยกันถือว่าเป็นเรื่องปกติ ไม่ต้องมาเหนียมอายกัน เด็กบ้านนอกอายุสิบเอ็ดสิบสอง ยังไม่คิดเรื่องเซ็กซ์กันหรอกครับ ไม่ได้เป็นเรื่องต้องห้ามหรือไม่สมควรแต่อย่างใด เพราะเด็กบ้านนอกค่อนข้างใสซื่อบริสุทธิ์ เหมือนกับผ้าขาว (ยกเว้นผม) แต่ถ้าโตขึ้นมาหน่อย วัยรุ่นมีหมอยขึ้นแล้ว ก็จะไม่กล้าแก้ผ้าเล่นน้ำกับผู้หญิง ต้องใส่กางเกงใน ส่วนเด็กผู้หญิงเอง ถ้าโตกว่านี้อีกหน่อย มีหน้าอกแล้วก็ไม่กล้าแก้ผ้าเช่นกัน ต้องใส่เสื้อเล่นน้ำ

ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจนะครับ ว่าทำไมตุ้มกับตุ้ยถึงมาเล่นน้ำกับพวกเด็กผู้ชายได้ เพราะมันไม่ได้คิดอะไรนั่นเอง ที่ผมบอกว่ามันแก่แดด ก็แก่แดดแบบเด็กบ้านนอก ไม่ได้แก่แดดอะไรมากมายหรอก

ผมถอดเสื้อผ้าแล้วเอามือกุมจู๋ (ต้องทำเหนียมอายนิดหน่อยตามธรรมเนียม)โดดตูมลงไปในน้ำ ส่วนตุ้มกับตุ้ยก็ถอดเสื้อผ้าเอามือปิดจิ๋มแล้วค่อยๆหย่อนตัวลงไปในน้ำ ส่วนไอ้สองตัวเมื่อเห็นดังนั้น ก็ถอดเสื้อผ้า เอามือปิดจู๋บ้าง แล้วกระโดดตูมลงไปในน้ำเช่นกัน

เล่นน้ำกันไปได้สักพัก ผมก็เตรียมดำเนินการในขั้นต่อไป นั่นคือจับนมและจับยัยตุ้มเอาตามที่ลุงหนูกุนซือจอมลามกสอนเอาไว้

ตอนที่ 18

ไอ้นัยน้อยเริ่มแข็งตัวอย่างรวดเร็ว หัวเห็ดที่ซ่อนอยู่ในหนังหุ้มปลายเริ่มดันขยายออกมาชมโลกอีกครั้งเหมือนกับดอกไม้ที่แย้มบานออกจากกลีบดอก และแล้วเมื่อแข็งตัวเต็มที่ หนังหุ้มปลายก็ร่นลงมาเผยให้เห็นหัวเห็ดแดงโร่อยู่ครึ่งหัว ส่วนไอ้ชัชน้อยก็เริ่มเบ่งบานตามมาเช่นกัน แน่นอน ของผมก็ด้วย

ชัชหัวเราะชอบใจที่ปลุกอารมณ์ไอ้นัยได้อีกรอบ จับไอ้นัยน้อยรูดขึ้นรูดลงช้า แต่คราวนี้ไอ้นัยปัดมือชัชออก

“ไอ้ชัช มึงทำควยกูลุก ต้องรับผิดชอบด้วย” ไอ้นัยทำเสียงดุ แต่ฟังยังไงก็ไม่ดุ เพราะรู้ว่ามันแกล้งทำ ว่าแล้วก็กลิ้งตัวไปกอดไอ้ชัชไว้ แล้วพลิกให้มันนอนคว่ำ

“มึงจะทำไรวะนัย” ชัชถาม

ไอ้นัยไม่ตอบ แต่ปีนขึ้นไปนอนทับตัวไอ้ชัชซึ่งนอนคว่ำอยู่ แล้วกระดกก้นขึ้นลง

“ทำงี้ไง” นัยพูด ไอ้ชัชหัวเราะกิ๊ก “เสียวก้นโว้ย ฮ่ะๆ”

ไอ้นัยไถก้นไอ้ชัชช้าๆ ก้นไอ้นัยสวยมากครับ สีแทน ผิวเนียน กลมกลึง เวลากระดกขึ้นลง เป็นภาพที่สวยงามเร้าอารมณ์อย่างบอกไม่ถูก ไถไปได้สักพักก็เริ่มเร่งจังหวะเร็วขึ้นและเร็วขึ้น เสียงไอ้นัยหายใจแรง ผมดูจนทนไม่ไหว หื่นตามขึ้นมาอีกรอบ เพราะก้นไอ้นัยมันเย้ายวนเหลือเกิน จึงปีนขึ้นไปทับบนลำตัวไอ้นัยและกระดกก้นใส่ก้นไอ้นัยบ้าง แหม อยากถ่ายรูปสามคนซ้อนกันนี้เก็บไว้ดูจังเลย

“โอ๊ย ทำไมอยู่ดีๆมึงหนักขึ้นยังงี้วะนัย” เสียงไอ้ชัชที่นอนอยู่ข้างใต้เอะอะขึ้นมา “กูจะแบนแล้ว” พอมันรู้ว่าผมทับอยู่ข้างบนอีกชั้นก็โวยวายไล่ผมลง

“ไอ้อูลงไป กูหายใจไม่ออก”

สงสัยมันจะหนักจริงๆ ผมจึงปีนลงมาจากตัวไอ้นัยด้วยความเสียดาย แล้วนั่งชักว่าวเอา เสียงไอ้นัยหัวเราะหฮุฮุอย่างขบขันพร้อมทั้งกระดกก้นต่อไป มันกระดกก้นเร็วขึ้นๆ และแล้วก็ร้องครางเบาๆพร้อมทั้งถอนหายใจเฮือกออกมา ไอ้นัยนี่เวลาน้ำแตกจะรู้เลยครับ เพราะชอบถอนหายใจเฮือกออกมา เป็นนิสัยประจำตัวของมัน

หลังจากน้ำแตกแล้วมันก็ยังไม่ยอมหยุด คงส่ายก้นละเลงอยู่บนก้นไอ้ชัชเล่น ส่วนผมก็ชักว่าวให้ตัวเอง จนใกล้จะน้ำแตกแล้วก็โถมลงไปบนตัวไอ้นัยอีกครั้งโดยไม่สนใจเสียงโวยของไอ้ชัช กระดกก้นต่ออีกเพียงสองสามทีก็น้ำแตกลงในร่องก้นไอ้นัยพอดี

หลังจากนั้นผมและไอ้นัยต่างก็กลิ้งตัวแยกย้ายลงมาจากตัวของไอ้ชัช น้ำแตกกันไปคนละหลายรอบเลยเพลีย ลมก็เย็นๆ ผมเลยเผลอหลับไปทั้งๆที่น้ำว่าวยังเปื้อนตัวอยู่ยังงั้น

ปรากฏว่าเราทั้งสามคนผลอยหลับกันไปหมด ตรงนั้นปลอดภัยครับ เป็นโลกส่วนตัวจริงๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาเห็น กว่าจะตื่นกันมาก็บ่ายแล้ว ตกลงกลางวันของวันนั้นเมื้อผ้าแทบไม่ได้ใส่เลย แบบนี้ก็ดีเหมือนกันครับ ไม่เปลือง

หลังจากลงไปอาบน้ำล้างตัวกันอีกรอบ เราก็ขึ้นมาผึ่งลมให้ตัวแห้งอีก ควยของผมบวมแดงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ส่วนของไอ้ชัชไอ้นัยไม่เป็นไร คงเป็นเพราะการเสียดสีจากการไถนั่นเองเพราะผมไถก้นไปหลายรอบและทำค่อนข้างรุนแรง

“โห ว่าวจนควยบวมเลยว้อยไอ้อู” ไอ้ชัชล้อผม

“ไอ้เปรต ควยบวมยังงี้ยังจับมึงไถตูดได้อีกนะโว้ย”

“เออ ถ้ามึงไถได้มาไถเลย” ไอ้ชัชท้า แต่ไม่ไหวแล้วละครับ ว่าวไปสามรอบ หมดอารมณ์แล้ว เจ็บควยด้วยละ

“ยังงั้นกูส่งไอ้นัยไปไถมึงแทนก็แล้วกัน” ผมพูด ว่าแล้วก็คว้าดอไอ้นัยหมับ เตรียมจะว่าวปลุกอารมณ์มันอีกรอบ

“ไม่ไหวแล้วอู น้ำว่าวหมดไข่แล้ว” ไอ้นัยว่า

แล้วเราทั้งสามคนก็หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน

ตกบ่ายก็ชักหิวแล้วสิ เพราะทั้งเล่นน้ำ ทั้งชักว่าว เสียพลังงานไปมาก ตอนจะเข้ามานี่ก็ไม่ได้เตรียมอาหารกลางวันมาด้วย ก็เลยต้องกลับกัน จะได้ไปหาอะไรกิน ตอนขากลับนั้นยังขี้เกียจใส่เสื้อผ้ากันอยู่ ก็เลยแก้ผ้าขี่จักรยานกันออกไป ขี่มาจนถึงตอนหน้าของสวนค่อยจอดลงใส่เสื้อผ้า ได้อารมณ์ดีจริงๆเลยครับ

หลังจากออกมาจากสวน เราสามคนแวะไปกินอาหารเที่ยง (ที่จริงตอนนั้นบ่ายแล้ว) ที่ร้านของลุงหนู ร้านลุงหนูนี่ก็เป็นเพิ่งขายอาหารเล็กๆ ไม่ได้เป็นร้านใหญ่โตอะไร เหตุที่เลือกกินร้านนี้เพราะอยู่ใกล้สวนและเป็นทางผ่าน ตอนนั้นหิวแล้วครับ ใกล้ร้านไหนก็กินที่ร้านนั้น

ลุงหนูเป็นคนแก่อายุน่าจะราวหกสิบกว่าแล้วละครับ เพราะผมขาวไปทั้งหัว หลังงุ้มแล้ว ตัวเล็กๆ ผมรู้จักแกเพราะนอกจากแกจะขายอาหารแล้วยังทำงานรับจ้างทั่วไปด้วย บางทีก็ไปเอาอิฐที่บ้านผม แกค่อนข้างช่างคุยครับ ตอนไปที่บ้านผมเพื่อเอาอิฐก็ชอบชวนคนโน้นคนนี้คุย รวมทั้งผมด้วย ผมเลยคุ้นเคยกับแกพอสมควร

บ่ายวันนั้นร้านของลุงหนูไม่มีใคร นอกจากพวกเราสามคน ลุงหนูไม่มีอะไรทำก็มานั่งคุยกับพวกเรา อีกฟากหนึ่งของถนนห่างจากร้านของแกไม่ไกลนักมีพวกเด็กผู้หญิงกำลังเล่นกันอยู่ การละเล่นก็เป็นพวกโดดหนังยาง เล่นบอลลูน ฯลฯ บอลลูนนี่ไม่รู้ว่าวัยรุ่นสมัยนี้เล่นเป็นกันหรือเปล่าเพราะไม่เห็นใครเล่นแล้ว แต่ถ้าเป็นที่บ้านนอกละก็ ตอนที่ผมยังเป็นเด็กยังเล่นกันอยู่

พวกเรานั่งกินกันไป คุยกันไป ดูพวกเด็กผู้หญิงเล่นเกมกันไป เรื่องที่คุยก็ไม่มีอะไรมาก เป็นเรื่องทั่วๆไป แต่เพียงสักพักเดียว ลุงหนูก็ชวนคุยเรื่องเด็กผู้หญิง

“อีตุ้มน่ะมันเริ่มมีหน้าอกแล้วนะ อกตั้งเลย” ลุงหนูพูดขึ้นมา อีตุ้มนี่หมายถึงเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ก็เป็นเด็กในหมู่บ้านละครับ ตอนนั้นก็กำลังเล่นอยู่ในกลุ่ม บ้านก็อยู่แถวๆนั้นเอง ผมรู้จักดีเพราะตอนเด็กๆเราก็เลยเล่นกัน อายุน่าจะแก่กว่าผมนิดหน่อยสักปีสองปี ตอนนั้นก็น่าจะอายุราวสิบสองหรือสิบสาม

พวกเราสามคนฟังอย่างตั้งใจ

“เป็นสาวแล้วเหรอลุง” ไอ้ชัชจอมแก่แดดถาม

“ใช่สิ นมเด็กสาวๆตอนเพิ่มเริ่มตั้งนี่มันน่าจับนัก พวกเอ็งเคยจับกันหรือเปล่าล่ะ” ลุงหนูถาม โห... ไม่นึกเลยนะเนี่ยว่าลุงหนูจะลามกได้ขนาดนี้ ก่อนหน้านี้ก็ไม่เห็นมีอะไรส่อเลยว่าจะเป็นเฒ่าลามก แต่ตอนนั้นผมก็ไม่ได้คิดหรอกนะครับว่าแกลามก คือก็ยังเด็กอยู่อ่ะครับ คิดไม่ถึง กำลังสนใจเรื่องนมเด็กสาวที่แกเล่ามาอยู่ด้วย

“ไม่เคยจับอ่ะครับ” ผมตอบ ไอ้สองตัวก็สั่นหัวเป็นทีว่าไม่เคยเหมือนกัน

“พวกเอ็งลองจับดูสิ” ลุงหนูพูดหน้าตาเฉย

“แล้วพวกผมจะไปจับได้ที่ไหนล่ะ” ผมถาม

“ก็จับนมอีตุ้มนั่นแหละ”

“แล้วเค้าจะยอมให้จับเหรอลุง” ไอ้ชัชถาม ชักจะสนใจแล้วล่ะสิ

“มันยอมหรอกน่า เด็กๆไม่คิดอะไรหรอก แต่ถ้ามันไม่ยอมนะ ก็ปล้ำจับเอาเลย เนี่ยกอดนะ ยังงี้ๆ แล้วจับเลย มันดิ้นไม่ได้หรอก” ลุงหนูสอนวิทยายุทธปล้ำสาวพร้อมทำท่าประกอบให้ดูว่าต้องปล้ำจับนมอย่างไร ตอนนั้นผมสนใจนะครับ คือสนใจจะจับนมสาวแต่ไม่ได้มีอารมณ์ ที่ว่าไม่มีอารมณ์น่ะเพราะว่าวไปหลายรอบแล้ว ไม่ใช่ว่าไม่มีอารมณ์กับผู้หญิง ตอนนั้นจำได้ว่ายังสนใจเรื่องผู้หญิงอยู่ อิอิ

“ถ้าพวกเอ็งมีโอกาสนะ ก็ชวนมันไปที่เปลี่ยว แล้วเอามันเลย” ลุงหนูสอนต่อ ฟังดูสิครับ แก่แล้วยังชั่วขนาดนี้

“เอามัน” ผมทวนด้วยความสงสัย ตอนนั้นยังไม่ค่อยรู้หรอกว่าเอากันนั้นเป็นอย่างไร

“ก็จับมันเย็ดน่ะ เข้าใจไหม” ลุงหนูเห็นผมไม่เข้าใจเลยพูดเสียชัดแจ๋วเลย

ลุงหนูคงเห็นผมทำสีหน้าแบบว่างงๆ ไม่รู้ว่าเย็ดกันนั้นทำอย่างไร ก็เลยพูดต่อ “เอาจู๋เองยัดเข้าไปในปิ๊มันน่ะ ทำเป็นไหม” ว่าแล้วแกก็ทำท่าทางประกอบอีก

บ้านนอกสมัยก่อนเค้าไม่เรียกจิ๋มกัน ท่าเรียกน่ารักๆก็เรียกว่า ปิ๊ หรือ อีปิ๊

พวกผมฟังจนพอเข้าใจ แกก็พยายามพูดยุยงให้พวกผมจับตุ้มปล้ำแล้วเอามันเสียเลย

“แล้วมันจะยอมให้เย็ดเหรอลุง” ผมถามซื่อๆ แต่ใจนั้นเริ่มคิดไม่ซื่อแล้วครับ คิดว่าถ้ามีโอกาสลองก็ไม่เลว

“โฮ้ย” ลุงหนูร้องเสียงสูง “มันจะไปว่าอะไร มันยังเด็กอยู่ ไม่รู้ประสีประสา โดนเย็ดขี้คร้านจะชอบ พวกเอ็งลองดูสิ แล้วเอ็งจะติดใจ รสชาติมันเหมือนขึ้นสวรรค์เลย” ลุงหนูบรรยายสรรพคุณ ส่วนผมก็คิดในใจว่ามันจะขึ้นสวรรค์เหมือนตอนที่ผมขึ้นคร่อมไอ้นัยหรือเปล่าหนอ

ก่อนจะเล่าต่อไป ต้องขอบอกเพื่อนๆเสียก่อนว่าเรื่องนี้ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่างนะครับ เพราะตอนนั้นตุ้มก็เริ่มแตกเนื้อสาวแล้ว ส่วนผมก็มีน้ำว่าวแล้ว ดังนั้นมีสิทธิ์จะท้องได้ ผมเองตอนนั้นยังเด็ก ไม่รู้หรอกครับว่าสิ่งที่กำลังจะทำต่อไปนั้นมันเป็นเรื่องใหญ่และเลวร้ายเพียงใด ไม่รู้หรอกว่าผมสามารถทำให้ใครตั้งท้องได้ และไม่รู้ด้วยว่ามันเป็นสิ่งผิดศีลธรรม รู้แต่เพียงว่าฟังลุงหนูเล่าแล้วท่าทางจะสนุกดี น่าลอง

“ลุงเคยลองแล้วหรอ” ชัชถาม

“เคยแล้วสิ ไม่งั้นจะรู้เหรอ” ลุงหนูตอบ

“ลองเย็ดกับอีตุ้มเนี่ยนะ” ผมถามบ้าง

“เฮ่ย กับอีตุ้มยังไม่เคย ลุงแก่แล้ว ปล่อยให้พวกเอ็งไปลองกับอีตุ้มก็แล้วกัน” ลุงหนูว่า

บ่ายวันนั้น ลุงหนูแนะนำเทคนิคการปล้ำและการเย็ดแก่พวกผม มันเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับเด็กอย่างพวกเรา ฟังไปก็ควยลุกไป โดยเฉพาะไอ้นัยโด่ออกมาชัดเลยเพราะมันไม่ได้ใส่กางเกงใน แต่มันก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ส่วนผมนั้นฟังแล้วติดใจ คิดว่ายังไงต้องหาโอกาสลองเย็ดอีตุ้มดูให้ได้

พรุ่งนี้ละครับที่ผมคิดจะพาอีตุ้มไปเอา ถ้าเป็นภาษาสมัยนี้ต้องเรียกว่ารุมโทรมเพราะมีผู้ชายหลายคน เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วขอไปวางแผนกับไอ้สองตัวนี่ก่อน โปรดคอยติดตามอ่านนะครับว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไร

ตอนที่ 17

ตัวไอ้นัยนี่น่ากอดมากเลยครับ เนื่องจากยืนอยู่ในน้ำ การไถก้นทำไม่ได้ถนัด ผมจึงกอดมันไว้เฉยๆแล้วปล่อยให้ไอ้ชัชว่าวไป เพียงครู่เดียว ผมก็รู้สึกว่าร่องก้นของไอ้นัยบีบเกร็ง แล้วมังกรน้อยของมันก็พ่นน้ำออกมา มันเหมือนเรือดำน้ำที่ยิงตอร์ปิโดในหนังเลยครับ ที่เวลายิงออกไปแล้วเห็นน้ำสีขาวเป็นทางวิ่งตามหลัง น้ำว่าวสีขาวขุ่นของไอ้นัยพุ่งออกมาเป็นสาย ไกลพอสมควร บางส่วนจับตัวเป็นก้อนตกลงไปข้างล่าง บางส่วนก็พลิ้วหายไปกับสายน้ำ

เมื่อน้ำไอ้นัยแตกเรียบร้อยแล้ว คราวนี้ก็ถึงตาของผมบ้าง ผมขึ้นจากน้ำแล้วดึงไอ้นัยให้ตามขึ้นมา ซึ่งมันก็ตามขึ้นมาอย่างว่าง่าย ผมให้นัยนอนคว่ำลงบนคันดิน แล้วตัวเองก็ล้มลงไปประกบทับมัน จากนั้นเริ่มถูไถกับร่องก้นของมัน

“ยังงี้ค่อยถนัดหน่อย” ผมบอกข้างหูมันเบาๆ ร่างกายของเราสองคนแทบจะแนบเป็นเนื้อเดียวกัน ได้อารมณ์แบบสุดๆ ผมแนบหน้าซุกไปในเส้นผมบนศีรษะด้านหลังของมัน ก้นก็ขยับถูไถไปมา โดยมีไอ้ชัชยืนดูควยเด่อยู่ข้างๆ

ไถไปได้สักพัก ผมก็ได้ไอเดียใหม่ ผมจับไอ้นัยนอนหงาย เห็นควยมันยังลุกแข็งอยู่ การถูไถของผมคงกระตุ้นให้มันเกิดอารมณ์อีกรอบ ผมโน้มตัวลงไปประกบไอ้นัยอีกครั้ง คราวนี้ประกบแบบท้องชนท้อง จับมังกรน้อยให้หงายขึ้น แล้วขยับก้นไปมา คราวนี้ควยของเราทั้งสองก็เลยบดขยี้กัน

ผมขยับก้นขึ้นลง มันก็คล้ายๆกับการชักว่าวแหละครับ แต่ว่ามันกว่า ได้อารมณ์ดีกว่ามากเพราะควยและหน้าท้องของเราเสียดสีกัน ไข่กระแทกไข่ ผมเผลอตัวทั้งไถทั้งกระแทกกระทั้นจนไอ้นัยร้องคราง เพราะน้ำหนักตัวของผมทับอยู่บนตัวมันทั้งหมด

“โอ๊ย เจ็บ”

“โทษทีว่ะ” ผมลดการกระแทกลง กลายเป็นการบดขยี้หน้าท้องอย่างนุ่มนวล แต่สักพักเดียวด้วยความเสียวก็เผลอกระแทกอีก คราวนี้ไอ้นัยไม่ร้องแล้ว ได้แต่ครางฮือๆเป็นนกเค้าแมว ไอ้ชัชยืนดูตาโต การเห็นมันยืนดูยิ่งเร้าอารมณ์ผมมากยิ่งขึ้น

เพียงครู่เดียว น้ำว่าวของผมก็แตกออกมา รู้สึกว่าคราวนี้มันจะแตกเยอะ เพราะเสียวมาก ควยเกร็งและกระตุกอยู่หลายทีเลย

แปลกนะครับ พอน้ำแตกแล้วรู้สึกเหมือนหมดแรงเลย ผมซบหน้าลงแนบแก้มไอ้นัยแบบคนหมดแรง

“แตกหรือยัง ไอ้นัย”ผมถามมันเบาๆ ไอ้นัยสั่นหัวแทนคำตอบ ลมหายใจอุ่นๆของมันรดต้นคอผม เป็นความอบอุ่นที่บอกไม่ถูก

ผมเลยไถหน้าท้องมันต่อ อยากให้มันแตกบ้าง แต่ไอ้ชัชเข้าขัดและฉุดผมขึ้นจากตัวไอ้นัย ผมมองไปที่หน้าท้อง น้ำว่าวของผมเปรอะพุงไอ้นัยเต็มไปหมด คราวนี้มันออกมาเยอะจริงๆด้วย

“เฮ้ย ขอกูลองบ้างดิ” ชัชพูด ผมเห็นมันควยเด่ หัวเห็ดแดงโร่ ของไอ้ชัชนี่ไม่ใหญ่นัก แต่ว่าพอแข็งแล้วถอกได้หมดทั้งหัว ส่วนของไอ้นัยนั้นแข็งแล้วถอกได้แค่ครึ่งหัว ของผมยังไม่ถึงครึ่งเลย เรื่องนี้นับว่าไอ้ชัชมันก้าวหน้ามากที่สุดในด้านหัวถอก

ชัชโน้มตัวลงไปนอนทับไอ้นัยทั้งๆที่น้ำว่าวของผมยังเลอะหน้าท้องมันอยู่ แล้วกระดกก้นถูไถไปมาบ้าง โดยมีผมยืนดูอยู่ข้างๆ ตอนแรกก็เห็นเงอะงะหน่อย ไถไปได้เดี๋ยวเดียวก็คล่อง คราวนี้สูดปากซี้ดซ้าดใหญ่

“โอว... นัย มันฉิบหาย น้ำว่าวมึงลื่นดีว่ะไอ้อู ไม่ฝืดเลย” มันครางเสียงลั่น ก้มหน้าไถไอ้นัยซึ่งนอนหงายอยู่บนพื้นดิน แถมยังไม่วายชมผม

“พูดเบาๆก็ด้ายยย กูได้ยิน รูหูกูอยู่ตรงปากมึงแค่นี้เอง” ไอ้นัยพูดขึ้นมาเบาๆ คงจะแสบแก้วหูเพราะไอ้ชัชมันพูดกรอกหูพอดี แต่ชัชไม่สนใจ ก้มหน้าก้มตาไถอย่างเมามัน

ลีลาไอ้ชัชคงทำให้ไอ้นัยเสียวไม่เบา เพราะเพียงพักเดียว มันก็ทำหน้าตายไร้ความรู้สึกต่อไปไม่ไหวแล้ว อดไม่ได้ต้องเด้งเอวสู้และร้องครางออกมาบ้าง สีหน้า แววตา บอกถึงความมันในอารมณ์ ผมเห็นแล้วทนไม่ไหว จนต้องชักว่าวตามไปด้วย

จากนั้นมันก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ อันเป็นความหมายว่าน้ำของมันแตกออกมาอีกรอบหนึ่งแล้ว และไอ้ชัชก็ร้องครางและถอนใจตามมาติดๆ บั้นท้ายหยุดทำงาน กลายเป็นนอนทับอยู่บนตัวไอ้นัยเฉยๆ และแล้ว อารมณ์ของผมก็พุ่งถึงขีดสุดเหมือนกัน ผมปล่อยน้ำว่าวให้แตกและหยดลงบนตัวไอ้ชัชที่กำลังนอนคว่ำอยู่บนตัวไอ้นัย ตอนนั้นมีแต่ไอ้นัยคนเดียวที่น้ำว่าวแตกแล้วพุ่งได้ พุ่งแรงด้วย ของผมแค่แตกแล้วพ่นออกมาตรงปลาย ส่วนไอ้ชัชนั้นมีแค่สองสามหยด แต่แค่นั้นมันก็ภูมิใจหนักหนาแล้ว

พูดถึงเรื่องน้ำว่าวแล้ว น้ำว่าวของเราทั้งสามคนนี่ไม่เหมือนกันเลย ตอนนั้นของไอ้นัยนี่ออกมาเยอะสุด พอแตกทีพุ่งได้สามสี่ปรี๊ด สีขาวเหมือนนมเลย แต่ข้นเหมือนนมข้น แถมมีกลิ่นคาวมาก โคตรคาวเลย ส่วนของผมนั้นออกทีไม่เยอะเท่าไร แต่ขาวอมเหลือง คล้ายน้ำมูก มีกลิ่นคาว แต่ไม่มากเท่าของไอ้นัย และคาวกันคนละกลิ่น ส่วนไอ้ชัชนี่ออกทีละสองสามหยดเอง แถมยังค่อนข้างใส กลิ่นคาวนิดหน่อยเท่านั้น

“ฮึ้ย ไอ้อู เล่นอะไรสกปรก” ไอ้ชัชว่าผมที่ปล่อยน้ำว่าวลงบนตัวมัน แต่ตัวของมันก็ยังนอนอยู่ยังงั้นแหละ

“ตัวมึงเลอะน้ำว่าวอยู่แล้ว เอาไปเพิ่มอีกหน่อยจะเป็นไรไป” ผมว่า

ตกลงทั้งไอ้ชัชละไอ้นัยก็เปื้อนน้ำว่าวทั้งของตัวเองและของอีกสองคนที่เหลือ เลอะเทอะไปหมดเลย ไอ้ชัชหลังจากที่ว่าผมแล้วก็นอนเงียบ เงียบอยู่เป็นนานก็ไม่ยอมลุก

“เฮ้ย อย่าหลับดิ ลุกได้แล้วว้อย” ไอ้นัยพูด พยายามผลักตัวชัชออกไปจากตัวมัน

“ฮื่อ ตัวมึงนี่สบายจังเลย ทั้งลื่น ทั้งอุ่น ขอยืมทำที่นอนสักพักไม่ได้เหรอ” ไอ้ชัชพูดชม ทำเสียงงัวเงีย ปกติไอ้ชัชมันชอบกัดคน ไม่ค่อยชมใครหรืออะไรง่ายๆ นี่ขนาดออกปากชมแสดงว่ามันประทับใจกับร่างกายของไอ้นัยมาก

“เฮ้ย ไม่ได้” ผมพูดเสียงเข้ม “ไอ้นัยนี่กูจองแล้ว จองถาวรเลย นี่แค่ให้มึงยืมใช้ชั่วคราว” ชักรู้สึกหวงไอ้นัยนิดๆ

“มันเป็นสมบัติของมึงตั้งแต่เมื่อไรวะ ไม่เห็นมีชื่อแซ่มึงสลักอยู่บนตัวมันเลย” ไอ้ชัชยังไม่ยอมเลิกรา หาทางต่อปากต่อคำกับผม

“ถ้ามึงไม่ลง กูจะถีบแล้วนะ” เสียงไอ้นัยพูดแทรกขึ้น “หนักชิบหาย”

ไอ้ชัชหัวเราะกิ๊กกั๊ก แล้วลุกขึ้น ก้มลงมองดูหน้าท้องของตัวเอแงละไอ้นัย ตอนนั้นแม้น้ำจะแตกไปแล้วแต่ควยของทั้งคู่ยังไม่สงบเสียทีเดียว ยังตึงๆอยู่

“โห น้ำว่าวของใครต่อใคร เลอะไปหมดเลย” มันพูด พลางเอามือละเลงหน้าท้องไอ้นัยซึ่งเปื้อนน้ำว่าวของทั้งสามคนเล่น แล้วเอามาป้ายที่หน้าท้องของผมซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆนั่นเอง

“เอ้า ให้มึง ไม่งั้นมึงจะไม่เปื้อนน้ำว่าวของกูเลย ในหนังจีนเค้ามีกรีดเลือดสาบานเป็นเพื่อนตาย นี่ของเราเอาน้ำว่าวมาป้ายตัวสาบานกันแทนละกัน”

“ไอ้เปรต” ผมด่า ทั้งผมและไอ้นัยก็อดหัวเราะในความคิดอันพิเรนทร์ของมันไม่ได้

หลังจากนั้นเราทั้งสามก็โดดลงไปล้างตัวในท้องร่องสวน ว่ายน้ำเล่นกันสักครู่ พอเหนื่อยก็ขึ้นมานอนแก้ผ้าผึ่งลมบนคันสวน รู้สึกสบายตัวดีเหมือนกันครับ เพราะอากาศตอนนั้นร้อนอบอ้าวนิดหน่อยเพราะเข้าหน้าร้อนแล้ว ความรู้สึกตอนที่นอนแก้ผ้าอยู่นั้นมันเป็นอิสระเสรี ไร้สิ่งผูกมัดใดๆ ตอนที่อยู่บ้านไอ้นัยก็แก้ผ้ากัน แต่ว่านั่นแก้ผ้าอยู่ในบ้าน แต่ว่าที่นี่เราอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ

“คนป่าในสมัยก่อนก็คงแก้ผ้ากันแบบนี้แหละ” ผมพูดขำๆ

“ไม่รู้จะคิดประดิษฐ์เสื้อผ้ากันขึ้นมาทำไม อยู่อย่างนี้ก็ดีออก” ไอ้นัยพูด ตอนนั้นผมก็ไม่ได้คิดอะไรหรอก แต่พอโตแล้วมาหวนคิด ก็พบว่าตั้งแต่ตอนอยู่ ป.๕ ไอ้นัยมันแสดงอาการอะไรออกมาหลายครั้งทีเดียวที่บ่งบอกว่ามันไม่ค่อยชอบใส่เสื้อผ้า แหะ พูดแบบนั้นเกินไปหน่อย เดี๋ยวจะหาว่าไอ้นัยทั้งวันทั้งคืนไม่อยากใส่เสื้อผ้า คือหมายความว่าในบางโอกาสก็ดูเหมือนมันชอบแก้ผ้าน่ะครับ

“ไม่ใส่เสื้อผ้าแล้วกูจะแต่งตัวหล่อๆได้ไงฟะ” ไอ้ชัชขัดขึ้น ไอ้นี่ชอบแต่งตัว ชอบทำหล่อครับ ทั้งๆที่ตัวมันไม่หล่อสักนิด

นอนเล่นกินลมชมว่าว เอ๊ย ชมเมฆ กันไปได้สักพัก พอตัวแห้ง ผมกำลังจะเคลิ้มหลับ ไอ้นัยก็ตาปรือ มีแต่ชัชที่ยังซนอยู่ เอื้อมมือมาลูบคลำบริเวณหัวเหน่าไอ้นัยเล่น

“ฮื่อ หมอยเริ่มยาวแล้วเว้ย หยิกเสียด้วย” พูดไม่พูดเปล่า ดึงหมอยไอ้นัยเล่นเสียอีก หมอยมันเริ่มยาวขึ้นมาอีกหน่อย สักครึ่งเซ็นต์ได้แล้วมั้งครับ เริ่มหยิกนิดๆแล้ว

ไอ้นัยเฉย ปล่อยให้ชัชดึงหมอยเล่น แต่อารมณ์ของมันคงไม่เฉย เพราะดอของมันเริ่มผงกหงึกๆขึ้นมาอีกแล้ว

ตอนที่ 16

ผมจับมันปลิ้นเข้าปลิ้นออก แต่แล้วรถก็เซเพราะขี่ไม่ถนัด เลยต้องเลิกช่วยมัน หันมาตั้งใจขี่อย่างเดียว

“เฮ้ย ตามมาเร็วๆดิ” เสียงไอ้ชัชตะโกนมาจากทางข้างหน้า ตัวอยู่ไกลลิบๆ

จนเราขี่ไปทันกัน ผมกับไอ้นัยช่วยกันทวงกางเกงคืน ไอ้ชัชก็ไม่คืน ขี่หนีไปอีก ตกลงไอ้นัยเลยต้องแก้ผ้าควยแข็งไปเรื่อยๆ แต่ท่าทางมันก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรนักหนา ยังหัวเราะได้ แต่ก็ยังดี เพราะอีกครู่เดียวก็เข้าสู่เขตสวนของที่บ้านผมแล้ว

สวนของที่บ้านมีพื้นที่กว้างใหญ่มากครับ ตอนนั้นเด็กๆ ไม่รู้หรอกว่ากี่ไร่ รู้แต่เพียงว่าใหญ่มาก พ่อทำสวนส่วนหนึ่งเป็นแบบยกร่อง (ที่จริงคือจ้างให้คนทำให้) ขออธิบายนิดหนึ่งเผื่อคนกรุงจะนึกภาพไม่ออก คือเหมือนกับว่าปลูกต้นไม้บนคันดิน แล้วสองข้างของคันดินเป็นร่องน้ำหรือว่าคูน้ำเล็กๆ ในสวนของที่บ้านจะมีสวนยกร่องแบบนี้หลายร่องเลย ดังนั้นก็เหมือนกับว่ามีคูคลองเล็กๆเดินอยู่ในที่ดินของเรา ด้านหลังเป็นบึงน้ำใหญ่ที่ชักน้ำมาเข้าร่องสวน บึงของใครก็ไม่รู้ คือจำไม่ได้แล้วว่าบึงนั้นเป็นพ่อขุดไว้ในที่ดินของเรา หรือเป็นบึงในที่ดินของคนอื่น

ลองนึกภาพสวนที่ติดบึงน้ำสิครับ บรรยากาศจะดีขนาดไหน น้ำในบึงใสแจ๋ว เห็นปลาว่ายได้อย่างชัดเจน มองไปฝั่งตรงข้ามของบึงน้ำก็เป็นท้องนาอยู่ลิบๆ สงบร่มเย็น ไม่มีผู้คน ไม่มีเสียงอึกทึก มีแต่เสียงลมพัด เสียงนกร้อง เสียงเหยียบใบไม้แห้งกรอบแกรบ โลกทั้งโลกเหมือนมีแต่เพียงพวกเราสามคน

บึงน้ำท้ายสวนนี้แหละครับที่เป็นจุดหมายของพวกเราในวันนี้

ถ้าเรานั่งอยู่ที่คันดินคันสุดท้ายของสวน แล้วหันหน้าไปทางบึง เราก็จะเห็นธรรมชาติของบึงที่กว้างใหญ่ แต่ถ้าเรานั่นอยู่บนคันดินสวนคันเดียวกันนี้แล้วหันหน้าเข้าไปในสวน (คือหันไปด้านตรงข้ามกับบึง) สิ่งที่เราเห็นก็คือร่องสวนที่มีน้ำอยู่เต็ม เหมือนเป็นคลองสายสั้นๆ ร่องสวนนั้นน้ำก็ใสสะอาด เพราะเป็นน้ำที่ชักเข้ามาจากบึง แต่เป็นทำเลที่มิดชิดมาก ถ้าเล่นน้ำกันในบึง คนที่อยู่ไกลๆอาจมองเห็น แต่ถ้าเล่นน้ำในร่องสวนแล้วละก็ ต่อให้มาใกล้ๆก็จะมองไม่เห็น เว้นแต่จะได้ยินเสียง ต้องชะโงกเข้ามามองในร่องสวนที่เราอยู่จึงจะมองเห็น

พอไปถึงท้ายสวน ไอ้สองตัวนี่ก็ร้องอื้อฮือ โอ้โฮ ชมไม่ชาดปากถึงความสวยงามของธรรมชาติ เรานั่งชมบึงน้ำกัน ตอนนี้ไอ้นัยก็ยังไม่ได้ใส่กางเกง เพราะไอ้ชัชไม่ยอมคืนให้ แต่ดูมันจะไม่ค่อยสนใจเท่าไรแล้วเพราะไม่มีใครเห็น นั่งแก้ผ้าชมบึงเสียยังงั้นแหละ โดยมีไอ้ชัชนั่งอยู่ห่างๆ ไม่ยอมเข้าใกล้ผมกับไอ้นัยเพราะกลัวโดนแย่งกางเกงคืน

สักครู่ ก็ตกลงกันว่าจะลงเล่นน้ำกัน โดยจะเล่นน้ำในร่องสวน เพราะมิดชิดดีกว่า จะได้แก้ผ้าเล่นน้ำได้สะดวก

ไอ้นัยไม่ต้องทำอะไรมาก แค่ถอดเสื้อแล้วก็โดดตูมลงไป ส่วนผมกับไอ้ชัชต้องถอดเสื้อ กางเกง และกางเกงในออกเสียก่อน เลยช้ากว่ามัน

“โห ไอ้ชัช ทำไมมึงใส่กางเกงในสีแสบตายังงั้นวะ จะโชว์ใครเหรอ” เสียงไอ้นัยแซวมาจากร่องสวน ตอนนี้มันกำลังแช่น้ำอยู่

“เออ กูชอบของกู มึงไม่ต้องเสือก” ไอ้ชัชตอบ ว่าแล้วก็ถอดแอ๊ปเปิ้ลสีแสบตาออกจากร่าง

ขอเล่าเรื่องกางเกงในเสียหน่อย รำลึกถึงความหลัง หุหุ กางเกงในในยุคที่ผมเป็นเด็กนั้นไม่เหมือนกับตอนนี้ คือในยุคนั้นนิยมกางเกงในแบบผ้ายืดทอทั้งตัว ลักษณะจะเป็นผ้ายืดๆเหมือนถุงเท้าน่ะครับ ลักษณะของกางเกงในจะเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ค่อนไปทางทรงที่เรียกว่า trunk แต่สั้นกว่า ไม่ใช่กางเกงในทรงสามเหลี่ยมแบบบิกินีที่นิยมกันในปัจจุบัน ลักษณะเด่นของกางเกงในยุคนั้นก็คือทอทั้งตัวด้วยผ้ายืด ไม่มีตะเข็บ สีสันลายพร้อยแบบเจ็ดสีประกายรุ้งกันเลยทีเดียว แต่ที่สลับลายด้วยสีเข้มๆไม่ฉูดฉาดนักก็มี

กางเกงในยุคนั้นยี่ห้อที่ดังๆก็มีแอ๊ปเปิ้ล เป็นเจ้าตลาดออกมาก่อน หลังจากนั้นก็เป็นที่นิยมและก็มีเจ้าอื่นๆตามมา เป็นยี่ห้อ มิ้ง และอื่นๆ จำได้แต่แอ๊ปเปิ้ลและมิ้ง สโลแกนของหนังโฆษณากางเกงในยุคนั้นที่จำได้ติดหูก็มี “แอ๊ปเปิ้ล ปราการด่านสุดท้ายของผู้ชาย” (ถ้าจำไม่ผิดนะครับ) อีกนี่ห้อก็คือ “ของเก่าถอดทิ้ง ใส่มิ้งดีกว่า”

ที่จริงตอนที่ผมเป็นเด็ก ป. 5 นั้นเป็นปลายยุคที่นิยมกางเกงในทอทั้งตัวแบบแอ๊ปเปิ้ลกันแล้ว อีกไม่กี่ปีหลังจากนั้นก็เปลี่ยนไปเป็นแบบทรงสามเหลี่ยม กางเกงในแบบแอ๊ปเปิ้ลปัจจุบันก็ยังมีวางขายนะครับ แต่สมัยนี้เขาเรียกกันว่า “กางเกงในยุคแฟนฉัน” อันหมายถึงว่านิยมกันในยุคของหนังแฟนฉันนั่นเอง เคยเห็นวางขายริมถนนที่ไหนสักแห่ง จำไม่ได้แล้ว ยังนึกอยากหามาใส่เหมือนกันครับ

ว่าจะเล่าเรื่องเล่นน้ำในร่องสวน ไหงวกมาที่เรื่องกางเกงในเสียได้ เล่าแล้วชักติดลมเสียแล้ว...

พอแก้ผ้าเล่นน้ำก็คงพอเดาออกนะครับว่าต่อไปอะไรจะเกิดขึ้น

“ไอ้อู จับไอ้นัยชักว่าวแก้เซ็งดีกว่า” ไอ้ชัชว่า ดูยังไงก็ไม่เห็นมันจะเซ็งตรงไหน มันคึกจะตาย

“ได้เลย” ผมตอบ ไอ้นัยพยายามว่ายน้ำหนี ผมรีบโผเข้าไปล็อคตัวมันไว้ ล็อคเบาๆน่ะครับ ไม่เจ็บหรอก ไอ้นี่มันดิ้นเป็นกับเขาเสียที่ไหน

พอได้กอดตัวมัน ไฟฟ้าก็ลัดวงจรสิครับ เพราะตัวมันเปลือยเปล่า แช่อยู่ในน้ำ ช่างเหมือนวันที่ผมได้เล่นสนุกกับมันที่บ้านวันนั้นไม่มีผิด น้องชายของผมแข็งอย่างรวดเร็ว ผมรั้งไอ้นัยเข้ามากอดอย่างลืมตัว วินาทีนั้นลืมไปเลยว่าไอ้ชัชอยู่ด้วย แนบไอ้อูน้อยเข้ากับร่องก้นของไอ้นัย ร่างของเราประกบแบบท้องชนหลังกันอย่างแนบแน่น

ไอ้ชัชโผเข้ามาด้านหน้าไอ้นัย มือคว้าหมับเข้าที่ไอ้นัยน้อย หัวเราะ แล้วรูดเข้าออกอย่างช้าๆ

“ไหน ขอดูหน่อยซิ เวลาน้ำว่าวแตกในน้ำแล้วจะเป็นไง จะเหมือนอย่างที่ไอ้อูบอกไหม” ไอ้ชัชว่า พูดไม่พูดเปล่า จี้เองไอ้นัยอีก ไอ้นัยดิ้นกระแด่ว

“เฮ้ย มึงชักเฉยๆดิ อย่าจี้เอว” ไอ้นัยว่า พูดไปหัวเราะไป

แล้วไอ้นัยก็ปล่อยให้ไอ้ชัชชักว่าวให้ โดยมีผมประกบข้างหลังไถก้นมันอย่างเมามัน

- - -

เมื่อคืนผมพยายามเล่าเรื่องจนเก็บเอาไปฝันเลยอ่ะครับ ในความฝันนั้นมันย้อนอดีตไปเหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งจริงๆ แน่นนอนครับ ไอ้ชัช ไอ้นัย และเพื่อนอีกหลายๆคนในวัยเด็กก็อยู่ในฝันของผมด้วย แต่ไม่เซ็กซ์นะครับ เป็นฝันอันอบอุ่นกลางฤดูหนาว ไม่ได้ฝันเรื่องสมัยเด็กมานานนนนนนนมากแล้ว จนเมื่อมาเล่าเรื่องนี่แหละครับ เลยอดไม่ได้ต้องมาขอบคุณเพื่อนๆที่มีส่วนทำให้ผมได้มีโอกาสย้อนกลับไปสู่วัยเด็กอันแสนสุขอีกครั้ง ความทรงจำของคนเรามีพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่จริงๆ มันสามารถให้พลังที่จะขับดันเราให้สู้ชีวิตต่อไปข้างหน้า ในทางตรงข้าม มันก็สามารถผลักเราให้จมอยู่กับห้วงอดีตอันเจ็บปวดได้เหมือนกัน

Friday, March 30, 2007

ตอนที่ 15

เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากนอนหลับเต็มอิ่ม ทุกอย่างก็กลับเข้าสู่สภาพปกติ ไอ้นัยหายดีเกือบเหมือนเดิม ยกเว้นแต่ว่าตรงลิ้นปี่มันยังเจ็บอยู่ กดเบาๆก็เจ็บแล้ว สงสัยจะช้ำ

“ไปไหนกันดีวะเรา” ผมถามไอ้สองตัว

“นี่บ้านมึง แล้วมึงจะมาถามกูเอาอะไรวะ” ชัชว่า

“ไปเตะบอลอีกมั้ย” นัยพูดเบาๆ มันตั้งใจจะพูดเล่นน่ะครับ ผมเข้าใจ แต่พอฟังแล้วความรู้สึกมันไม่ดีเอาเลยสำหรับผม

“คราวนี้มึงอย่าให้มันเจาะอกอีกนะโว้ย อย่าซ้ำแผลเก่า บอกให้มันทำตรงอื่น” ไอ้ชัชเสริม ผมฟังแล้วอยากเตะมันจริงๆ เรื่องที่ผมไม่อยากฟัง มันยิ่งอยากจะพูด

“งั้นกูบอกให้มันมาทำมึงบ้างก็แล้วกันไอ้ชัช” เออ เอากันเข้าไป คุยกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ไอ้สองคนนี่มันคงไม่ได้คิดติดใจอะไรแล้ว กลับเอามาพูดเป็นเรื่องสนุกไปเสียอีก

หลังจากคุยหยอกล้อกันสักพัก เหตุการณ์เมื่อวานก็กลายเป็นประวัติศาสตร์ไปอย่างรวดเร็ว ผมเริ่มคลายจากความรู้สึกผิด และแล้วทุกคนก็อยู่ในอารมณ์รื่นเริงตามปกติ นี่แหละครับเด็ก จะปล่อยวางอะไรมันง่าย ไม่เหมือนผู้ใหญ่

เป็นอันว่าเช้าวันนั้นเราตกลงว่าจะเข้าไปเที่ยวในสวนของที่บ้านผมกัน อย่างที่เคยเกริ่นไว้ มันอยู่ห่างจากถนนใหญ่เข้าไปอีกไกลพอสมควร ต้องขี่จักรยานไปตามทางลูกรังแคบๆ

จากบ้านผมที่ริมถนนใหญ่ เราขี่จักรยานไปตามถนนหมู่บ้าน พอห่างจากถนนใหญ่ออกไปก็จะเป็นท้องนาก่อน คือเป็นโซนที่ทำนา ถัดออกไปอีกจะเป็นโซนที่ทำสวนกันแล้ว ดังนั้นถ้ามองจากถนนใหญ่จะเห็นท้องนาอยู่ติดถนน ส่วนที่เป็นสวนนั้นจะเห็นอยู่ไกลลิบๆ ที่ว่านี้เป็นภูมิประเทศโดยทั่วไปแถวบ้านผมนะครับ คือนิยมใช้พื้นที่กันอย่างนั้น แต่ไม่ใช่เรื่องตายตัว สวนบางแห่งที่อยู่ใกล้ถนนใหญ่ก็มี ลึกเข้าไปอีกเป็นท้องนาก็มีเช่นกัน

วันนี้ผมขี่จักรยานคนเดียว ส่วนชัชเปลี่ยนไปซ้อนท้ายไอ้นัย เป็นความต้องการของไอ้ชัชเอง มันบอกว่านั่งซ้อนท้ายผมไม่สนุก ไอ้นัยก็ไม่ว่าอะไร วันนี้ขี่เก่งขึ้นเยอะ ตอนไอ้ชัชขึ้นซ้อนใหม่ๆพาล้มไปครั้งสองครั้งเอง หลังจากนั้นก็แค่เซๆ ขี่ต่อไปสักพักก็เริ่มทรงตัวนิ่ง

พอพ้นจากโซนท้องนา เข้าโซนสวน บรรยากาศจากแดดเปรี้ยงก็เปลี่ยนเป็นร่มครึ้ม เวลาขี่จักรยานจะได้ยินเสียงกรอบแกรบอันเกิดจากล้อจักรยานบดใบไม้แห้งไปตลอดทาง

เมื่อเข้าเขตปลอดคน ชัชก็เริ่มแกล้งไอ้นัยด้วยมุขเดิมที่แกล้งผมเมื่อวาน

“นัย วันนี้มึงไม่ได้ใส่กางเกงในมาเหรอ” ชัชถาม หลังจากที่เอามือลูบคลำเป้ากางเกงไอ้นัย

“ฮื่อ ขี้เกียจซักอ่ะ” ไอ้นัยตอบ

ไอ้ชัชไม่คุยเปล่า มือก็จัดการปลดตะขอและซิปกางเกงขาสั้นของไอ้นัย แล้วงัดเจ้านัยน้อยออกมา มันยังสงบนิ่งอยู่เลย

“แล้วมึงขี้เกียจซักกางเกงขาสั้นนี่ไหม” ชัชถามต่อ

“ก็ขี้เกียจ”

“แล้วมึงใส่กางเกงทำไมวะ ไม่ถอดออกจะได้ไม่ต้องซักกางเกง”

ไอ้นัยไม่ตอบ เอาแต่หัวเราะฮุฮุ ผมชอบมันเสียงหัวเสียงนี้จังเลย

ว่าแล้วชัชก็พยายามถอดกางเกงขาสั้นของไอ้นัยออกทั้งๆที่มันกำลังขี่จักรยานอยู่ ลองนึกดูสิครับว่าจะไปถอดออกมาได้อย่างไร ก้นมันติดอยู่กับอาน แต่ไอ้ชัชก็แก่นสุดๆ พยายามปล้ำถอดให้ได้ ปล้ำไปหัวเราะไป

“ไม่สำเร็จหรอกไอ้ชัช เล่นอะไรแผลงๆ” ผมพูด

แต่ไอ้ชัชมันก็เก่งครับ พยายามจนเปิดก้นไอ้นัยออกมาจนได้ แต่ก็ได้แค่นั้นแหละ เมื่อเห็นไม่สำเร็จมันเลยใช้ยุทธวิธีจี้เอว

นัยมันบ้าจี้ครับ ถ้าโดนจี้เอวละก็เรียบร้อย ครั้งนี้ก็เหมือนกัน พอมันถูกจี้เอวเท่านั้นก็หัวเราะกิ๊ก ดิ้นไปดิ้นมา เท่านั้นแหละรถจักรยานก็เสียหลักล้ม

โครม!

นี่แหละครับ ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว ชัชหล่นจากจักรยานลงไปนอนวัดพื้นที่ของสวนเล่น ส่วนไอ้นัยเนื่องจากกางเกงหลุดมาครึ่งตูด ทำให้ก้าวขาไม่ถนัด ก็เลยเอาขายันไม่อยู่ ล้มลงไปนอนกินฝุ่นกับพื้นเหมือนกัน

ไอ้ชัชยังร้ายไม่เลิก พอลุกขึ้นมาได้ก็บุกเข้าไปถอดกางเกงไอ้นัยอีก จนไอ้นัยร้องให้ช่วย

“โอ๊ย อู ช่วยด้วย ไอ้ชัชมันบ้าไปแล้ว”

ผมจอดจักรยานลงมายืนหัวเราะ แต่ไม่ได้เข้าไปช่วย “กลัวมันกัดว่ะไอ้นัย ปีนี้กูยังไม่ได้ฉีดยาเลย เอ๊ย ไม่ใช่ ไอ้ชัชมันยังไม่ได้ฉีดยาเลย พูดผิด มึงช่วยตัวเองนะ กูเอาใจช่วย” ยาที่ว่าหมายถึงวัคซีนป้องกันโรคกลัวน้ำ

ไอ้ชัชจี้เอวไอ้นัยอีก เท่านี้เองไอ้นัยก็ดิ้นเป็นไส้เดือนถูกขี้เถ้า หัวเราะร่วน ถูกจับถอดกางเกงอย่างง่ายดาย นอนโป๊ใส่แต่เสื้อไม่ใส่กางเกงอยู่กับพื้น

“กูเก็บกางเกงไว้ให้นะนัย ไม่ใส่มึงจะได้ไม่ต้องซัก”

“เฮ้ย ชัช คืนกางเกงมันไป ยังงี้จะขี่รถได้ไง เดี๋ยวใครมาเห็น” ผมดุชัช

“ไม่เห็นมีใครสักคน สวนนี้เงียบยังกับป่าช้า”

“มึงเคยไปป่าช้ามาเหรอวะ ถึงได้รู้น่ะ เอากางเกงกูคืนมา” เสียงไอ้นัยสอดขึ้นมา ยังไม่ยอมลุกจากพื้น ไม่รู้ว่าอายหรือขี้เกียจลุกกันแน่ ดูดิ ขนาดถูกแกล้งแล้วยังไม่วายไปต่อปากต่อคำกับมันอีก

“อ้าว ยังปากดีได้ ยังงี้กูไปล่ะ” ชัชพูดแล้วรีบคว้าจักรยานที่ล้มขึ้นมาขี่ไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับถือกางเกงไอ้นัยไปด้วย ขี่ไปตั้งหลักรออยู่ตั้งไกล

“อยากได้ตามมาเอาโว้ย” มันตะโกน

“ไอ้ห่าชัช ดูแม่งทำดิ” ไอ้นัยบ่นอุบอิบ แล้วลุกขึ้นยืน ตัวมันเปื้อนฝุ่นลูกรังเต็มไปหมด โดยเฉพาะตรงก้น ตอนมันยืนแก้ผ้าใส่แต่เสื้อไม่ใส่กางเกงนี่ตลกมาครับ ทั้งตลก ทั้งเซ็กซี่อย่าบอกใคร

ผมแทะโลมเรือนร่างมันด้วยสายตา อยากแก้ผ้าให้ดูเอง ช่วยไม่ได้ นับตั้งแต่วันที่ไปเที่ยวบ้านมันจนถึงตอนนี้ก็ห่างกันเป็นเดือนสองเดือน หมอยที่หัวเหน่ามันดกดำขึ้นเยอะครับ จากเดิมดูจะไม่เห็นอะไรเพราะขนอ่อนเพิ่งขึ้น ตอนนี้เริ่มเห็นเป็นพงหญ้าสีเทาๆแล้ว

“มึงซ้อนท้ายกูไปก็แล้วกัน เดี่ยวกูตามไปเอากางเกงมาให้มึงเอง” ผมอาสา

“ทำไมเมื่อกี้ไม่ช่วยอ่ะ” นัยต่อว่าผม

“ก็เห็นไอ้ชัชมันทำเองได้ ก็เลยไม่ได้ช่วยน่ะสิ” ผมตอบยียวน พยายามทำหน้าตายเลียนแบบมัน

“ไม่ใช่ว้อย โธ่ ไอ้อูนี่” มันบ่นอุบอิบ แต่ไม่เห็นว่ามันแสดงสีหน้าโกรธเคืองอะไรเลย ไอ้นัยก็ยังเป็นนัยคนเดิมที่ยอมให้เพื่อนๆแกล้งเล่นได้เหมือนตุ๊กตา ส่วนผมเองวันนั้นก็นึกสนุกไปด้วยครับ เลยไม่ได้ห้ามไอ้ชัชอย่างจริงจัง ที่จริงอยากดูเหมือนกันว่าไอ้นัยมันจะทำยังไง พูดก็พูดเถอะ คืออยากแกล้งไอ้นัยมันด้วยเหมือนกัน ผมเป็นเพื่อนที่เลวไหมครับเนี่ย อิอิ

ว่าแล้วผมก็ขึ้นคร่อมจักรยาน ไอ้นัยซ้อนท้ายทั้งที่แก้ผ้าอย่างนั้น ที่จริงจะสละกางเกงของผมให้มันใส่แล้วตัวเองใส่แต่กางเกงในก็ยังพอไหว ไม่อุจาดนัก แต่ก็อย่างที่บอก อยากแกล้งไอ้นัยด้วยเหมือนกัน เลยไม่ได้ทำยังงั้น ปล่อยมันแก้ผ้าซ้อนท้ายไป ที่จริงไม่ประเจิดประเจ้ออะไรหรอกครับ เพราะในสวนนั้นตอนกลางวันเงียบมาก ไม่มีใครอยู่ ถ้ามีการฆ่าหมกป่ากันก็ต้องหลายวันละครับกว่าจะมีใครมาเจอ

ไอ้นัยพยายามเอาชายเสื้อยืดลงมาปิดท่อนล่าง อิอิ ขำดีครับ แล้วเราก็ขี่รถไปหาไอ้ชัชเพื่อแย่งเอากางเกงคืนมา

“เป็นไงไอ้นัย” ผมถาม

“เย็นดีอ่ะ” ไอ้นัยตอบเสียงอ้อมแอ้ม ผมเลยเอื้อมมือไปคลำข้างหลัง ทายสิครับเจออะไร เจอตอ เอ๊ย เจอดอครับ ดอไอ้นัยแข็งเด่เลย

Thursday, March 29, 2007

ตอนที่ 14

ไอ้ชัชก็เลยหยุด แหม น่าเสียดายเหมือนกัน นี่ถ้าไม่เป็นเพราะกำลังขี่จักรยานอยู่คงไม่เรียกมันหยุดหรอกครับ

หลังจากตระเวนขี่จักรยานเที่ยวจนเย็น พวกเราก็กลับบ้าน ไอ้นัยขี่เก่งขึ้นกว่าเมื่อตอนบ่ายเยอะเลย ไม่ขี่เซไปเซมาแล้ว

ระหว่างทาง พวกเราขี่รถผ่านสนามฟุตบอลของหมู่บ้าน เรียกชื่อให้มันหรูยังงั้นแหละ ที่จริงมันก็คือสนามขนาดกำลังดีที่พวกเด็กแถวนั้นใช้เป็นที่เตะฟุตบอลกันนั่นเอง สนามนี้ปรับดินแล้วค่อนข้างเรียบ เหมาะสำหรับเล่นกีฬา ไม่เหมือนกับเอาท้องนามาทำสนาม แต่มีข้อเสียคือลูกรังเยอะไปหน่อย เวลาเตะฟุตบอลแต่ละคนต้องกินฝุ่นกันเข้าไปไม่น้อย

ตอนนั้นก็มีพวกเด็กๆกำลังเตะบอลกันอยู่เกือบสิบคน เด็กแถวนั้น ผมรู้จักทั้งนั้น ส่วนใหญ่ก็เจอกันแล้วเมื่อกลางวัน ผมเลยชวนไอ้สองตัวหยุดดูมันเล่นกันเสียหน่อย

ที่จริงว่าจะดูเฉยๆ เพราะกำลังจะกลับบ้าน แต่ดูไปดูมาก็ถูกชวนให้เล่นด้วยกัน เพราะตอนนั้นคนเล่นไม่เท่ากัน ข้างหนึ่งมี 4 คน อีกข้างมี 5 คน เล่นไม่ค่อยสนุก เอาก็เอาวะ เล่นสักเดี๋ยวไม่น่ากลับบ้านค่ำ ก็เลยชวนไอ้สองตัวมันมาเล่นด้วย

“เฮ้ย ข้าเอาเพื่อนลงเล่นด้วยนะ จะได้ข้างละหกคนพอดี” ผมพูดกับกลุ่มที่เล่นฟุตบอล

“เออ ดี ดี ลองดูฝีตีนเด็กกรุงเทพฯหน่อยก็ดี” ไอ้ทิวพูดขึ้น ไอ้ทิวนี่เป็นเด็กค่อนข้างเฮี้ยว มักทำตัวเป็นหัวโจกของกลุ่มเด็ก ตอนนั้นเพิ่งจบ ป. 6 หมาดๆ อายุคงแก่กว่าผมหน่อย ปกติมันพูดจาหมาไม่รับประทานแบบนั้นเสมอ แต่ก็ไม่เคยมีปัญหาอะไรกันเพราะเป็นเด็กบ้านเดียวกัน คือคนบ้านเดียวกันมักจะไม่ค่อยรังแกกันน่ะครับ ถ้าจะรังแกมักไปมีเรื่องกับคนบ้านอื่นมากกว่า อันนี้คือค่อนข้างเป็นธรรมเนียมในถิ่นที่ผมโตมา อีกอย่าง ผมไม่ค่อยอยู่ที่บ้านด้วย โอกาสที่จะเจอหน้ากับมันก็เลยน้อย

ผมเล่นข้างเดียวกับไอ้ทิว ส่วนไอ้ชัชไอ้นัยเล่นอีกข้างหนึ่ง ก็ไม่ได้ตั้งใจเลือกอยู่ข้างมันหรอก เหตุการณ์มันพาไปแบบตกบันไดพลอยโจนมากกว่า

หลังจากที่พวกเราสามคนมาเล่นด้วย เกมก็ชักสนุกขึ้น เพราะคนมากก็สนุกกว่าคนน้อยอยู่แล้ว ไอ้นัยนี่ฝีเท้าเล่นฟุตบอลของมันไม่เลวเลยครับ เห็นมันเฉยๆ อย่าคิดว่ามันจะเฉื่อย เพราะปกติเวลาพวกเราอยู่ที่โรงเรียน ไอ้นัยก็เล่นบอลอยู่เสมอ เนื่องจากถูกพวกเราลากมันลงไปเล่น ไอ้นี่มันขัดใจเพื่อนเป็นที่ไหน เพื่อนให้เล่นมันก็เล่น เล่นบ่อยๆเข้าฝีเท้าก็ไม่เลว ที่จริงไอ้นัยเก่งหลายอย่างครับ เรียนหนังสือก็เก่ง เรียนพวกศิลปะวาดเขียนก็ได้คะแนนดี เวลาเรียนวาดเขียน รูปที่มันวาดมักได้เกือบเต็มเสมอ มันวาดมะม่วงก็ดูเป็นมะม่วง แต่ผมวาดแล้วดูเป็นอุนจิ แหะๆ แต่เรื่องที่ไม่เก่งของมันก็มีครับ คือมันร้องเพลงห่วยมาก ยิ่งช่วงนี้เสียงแตก ถ้ามันอยากร้องเพลงต้องไล่ให้มันไปร้องไกลๆ

อ้าว เล่าเลยเถิดไปถึงไหนแล้วเนี่ย กลับมาต่อกันเรื่องเตะบอล

เตะกันฝุ่นโขมง เพียงไม่นาน ข้างไอ้นัยก็ได้ประตูไป ใครเตะเข้าก็ไม่รู้ จำไม่ได้แล้ว เล่นไปเล่นมาอีกสักพัก ข้างผมก็เสียประตูอีก ไอ้ทิวทำปากจึ๊กจั๊กไม่พอใจ

“พวกมึงเล่นกันประสาอะไรวะ อย่างนี้เราก็แพ้ลุ่ยเลยสิ” ไอ้ทิวโวย

ผมเฉยๆ ไม่พูดอะไร ที่จริงผมก็มีส่วนผิด เพราะเป็นกองหน้าแต่หลวม ปล่อยให้ข้างโน้นบุกเข้ามาได้

“เออ โทษทีโว้ย เดี๋ยวขอแก้ตัว” ผมบอกมัน

เตะกันไปอีกสักพัก ไอ้นัยก็ได้ลูก บุกฝ่าเข้ามา คราวเคราะห์ของมันจริงๆครับ ผมแย่งบอลจากมันไม่สำเร็จ ไอ้นัยเลยฝ่าเข้าไป และเตรียมจะยิงประตู

ไอ้ทิวบุกเข้าชาร์จทันที ไม่รู้ว่าแย่งลูกกันยังไง เพราะดูไม่ทัน อีกอย่าง ฝุ่นฟุ้งด้วย รู้แต่ว่าหลังจากที่ไอ้ทิววิ่งเข้าใส่ ไอ้นัยก็ล้มลงไปนอนบิดตัวกับพื้น

ผมรีบเข้าไปดู ไอ้ชัชก็วิ่งเข้ามา เห็นไอ้นัยหน้าเขียว เขียวจริงๆครับ ไม่ใช่เขียวเล่นๆ ตัวงอเป็นกุ้งเผาร้าน ป.กุ้งเผา ผมรีบฉุดมันลุกขึ้น แต่มันลุกไม่ไหว ได้แต่เอามือกุมหน้าอกบิดตัวไปมา ท่าทางน่ากลัวมากเหมือนกำลังจะตาย

ผมเพิ่งจะเห็นนี่แหละครับ ว่าไอ้นัยเป็นคนใจเด็ด มันเจ็บแต่ไม่ร้องสักแอะ ผมเห็นมันกัดกรามแน่นพยายามไม่ร้องออกมา วันนั้นเองที่ผมได้รู้จักไอ้นัยลึกซึ้งขึ้นอีกชั้นหนึ่ง ว่าเปลือกนอกของมันที่เห็นเฉยๆ เดาใจยาก และชอบถูกเพื่อนแกล้ง แต่ที่จริงแล้วมันเป็นคนที่เด็ดเดี่ยวคนหนึ่ง

“เฮะ ทำไมเด็กกรุงเทพฯร่วงง่ายยังงี้วะ กระดูกอ่อนจัง” ได้ยินเสียงไอ้ทิววิจารณ์

ผมโมโหมาก แน่ใจเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่อุบติเหตุ แต่เป็นเพราะไอ้ทิวจงใจแกล้ง แล้วนี่ไอ้นัยมันจะตายไหมวะ ผมเดินไปหาไอ้ทิวและเอามือผลักอกมัน

“ไอ้สัตว์ แม่งจงใจแกล้งเพื่อนกูนี่หว่า”

ทิวเมื่อโดนผลักอก มันก็ผลักอกผมคืนบ้าง ผลก็คือผมล้มก้นกระแทกเลยครับ ไอ้ทิวมันตัวใหญ่กว่าผมเยอะเลย คือความสูงน่ะสูงกว่าไม่มาก แต่ตัวมันล่ำกว่า ก็มันช่วยพ่อแม่ทำนำทำไร่ใช้แรงงานนี่ครับ ตัวเลยบึก ส่วนไอ้นัย ไอ้ชัช กับผม ตัวบางๆกันทั้งนั้น

มันทำเพื่อนผมแบบนี้จะไปยอมได้ไง เล็กกว่าก็ต้องสู้ ผมลุกขึ้นมาอีกครั้ง พุ่งเข้าไปหามัน แต่ไม่สำเร็จ เพื่อนๆช่วยกันจับตัวผมไว้แล้วลากออกไปให้ห่างไอ้ทิว

“มึงอยากตายเหรอไอ้อู ตัวมึงยังกับลูกหมา ตัวมันยังกับควาย” เพื่อนคนไหนก็ไม่รู้พูดกับผม ตอนนั้นชุลมุน ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ได้ยินแต่เสียง

ผมยังไม่ยอม ดิ้นจะไปฟัดกับไอ้ทิว (หรือให้ไอ้ทิวมันฟัดก็ไม่รู้) แต่ดิ้นไม่หลุดหรอกครับ เพราะคนจับผมไว้มีหลายคน

“มึงไปดูเพื่อนมึงดีกว่า” ใครก็ไม่รู้พูดอีก

ผมนึกได้ เลยเลิกดิ้น เพื่อนๆก็ปล่อยผม ผมวิ่งไปดูไอ้นัย เห็นมันกำลังนอนอยู่ ไม่ดิ้นแล้วแต่ยังไม่ลุก หน้ายังเขียวอยู่ มีไอ้ชัชนั่งอยู่ข้างๆ

มันจะตายไหมวะ ความคิดเรื่องตายแว่บเข้ามาในใจอีก ตอนนั้นยังเด็กครับ พอเห็นมันชักดิ้นชักงอก็กลัวว่ามันจะเป็นไรไป

“นัย นัย เป็นไงบ้าง” ผมคุกเข่าลงไปนั่งข้างๆมัน

“มันเงียบไปเลยว่ะ ไม่รู้สลบไปหรือเปล่า” ไอ้ชัชพูดด้วยความกังวล

“ไม่เป็นไร...” เสียงไอ้นัยพูดขึ้นกระท่อนกระแท่น “แค่จุก...”

ว่าแล้วมันก็พยายามจะลุกขึ้น ผมดีใจมาก เหมือนกับยกภูเขาออกจากอก รู้สึกโล่งไปหมด คิดว่ายังไงมันก็ต้องไม่ตายแน่แล้ว

พวกเพื่อนๆช่วยกันดึงไอ้นัยให้ลุกขึ้นจากพื้น แถมยังช่วยปัดฝุ่นที่เปื้อนตัวให้อันเป็นการแสดงน้ำใจและความเป็นมิตร ส่วนไอ้ทิวยืนดูอยู่ห่างๆไม่พูดอะไร

เย็นวันนั้น ผมเลยต้องพาไอ้นัยกลับบ้านโดยให้มันซ้อนท้ายจักรยานของผม ส่วนไอ้ชัชก็ขี่คันของไอ้นัยกลับไป เพราะนัยมันขี่ไม่ไหว

ไอ้นัยบอกว่า ตอนที่มันได้ลูกเตรียมจะยิงประตู ไอ้ทิวเข้าชาร์จโดยเอาศอกกระแทกอกมันอย่างแรง (ที่จริงคือกระแทกลิ้นปี่) มันรู้สึกจุกและหมดแรงไปทั้งตัว หายใจก็ไม่ออก อย่าว่าพูดเลย แม้แต่มันเองตอนนั้นก็คิดว่ามันกำลังจะตาย เรื่องโดนกระแทกลิ้นปี่จนจุกนี่ ถ้าใครไม่โดนไม่รู้หรอกครับว่าเป็นอย่างไร

หลังจากถึงบ้าน ผมปิดเรื่องนี้ไม่ให้พ่อแม่รู้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมไม่บอก ตอนนั้นคงคิดอย่างเด็กๆว่าถ้ามีอะไรแล้วเอาแต่บอกพ่อแม่ มันเหมือนคนขี้ฟ้อง ไอ้นัยเปลี้ยอยู่เป็นชั่วโมงเลย ผมต้องพาไปหลบนอนอยู่ในห้องนอน เมื่อพ่อถามว่าทำไมมันซึมไป ผมก็บอกว่าคงเป็นเพราะตากแดดมากเกินไป

วันนั้นเป็นวันที่ผมเองก็คับแค้นใจมาก เพื่อนรักที่มาเป็นแขกโดนรังแก ส่วนผมเองที่ถือว่าเป็นเจ้าของบ้านกลับทำอะไรไม่ได้ รู้สึกผิดมากๆ ความรู้สึกที่ว่าปกป้องเพื่อนไม่ได้นั้น ผมรับไม่ได้เลยครับ ยิ่งคิดยิ่งโมโห โมโหจนน้ำตาไหล (แต่ไม่มีใครเห็นครับ แอบเช็ดออก)

“กูขอโทษนะ นัย” ผมพูดกับมันสองต่อสองตอนไอ้ชัชไปเข้าห้องน้ำ “มึงเจ็บแต่กูช่วยอะไรมึงไม่ได้ ไม่น่าพามึงมาเจ็บตัวเลย ขอโทษจริงๆว่ะเพื่อน”

ไอ้นัยมองหน้าผม มันทำหน้าตายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ไม่เป็นไรหรอก หายแล้วล่ะ นายไม่ผิดสักหน่อย”

ปกติผมกับไอ้นัย ไอ้ชัชจะพูดกูมึงกัน ไอ้นัยนี่นานๆมันจะหลุดเรียกผมว่า “นาย” สักที ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมมันถึงหลุดเรียกผมแบบนี้ แต่ฟังดูดีครับ ไม่ค่อยแข็งแบบคำว่ามึง ส่วนผมเองนั้นปกติเรียกมันมีคำว่า “ไอ้” นำหน้าเสมอ นานๆก็หลุดเรียกมันว่านัยเฉยๆ สักทีเหมือนกัน โดยมากมักเป็นอารมณ์ที่อยากสุภาพกับมันเป็นพิเศษ

เห็นมันทำหน้าตายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมยิ่งรู้สึกผิด นี่ถ้ามันตำหนิผม ผมจะไม่รู้สึกผิดเท่านี้

หลังจากนั้น พวกเราก็ถูกเรียกลงไปกินข้าวเย็น ตกค่ำก็อาบน้ำและเข้านอน อยู่ต่างจังหวัดเข้านอนกันเร็วครับ สองสามทุ่มก็ปิดไฟหมดบ้านแล้ว

เป็นอันว่าการมาเที่ยวบ้านผมในวันแรกก็กลายเป็นวันแห่งความเศร้า เพราะไอ้นัยเจ็บหนัก ไม่อยากนึกเลยว่าพรุ่งนี้จะมีเรื่องร้ายๆอะไรอีกหรือเปล่า

Tuesday, March 27, 2007

ตอนที่ 13

บ้านไอ้ชัชแม้จะอยู่ต่างจังหวัด แต่มันอยู่ในตัวเมือง ของผมนั้นอยู่นอกเมือง ก็เป็นโรงงานนี่ครับ จะอยู่ในเมืองไปทำไม อยู่นอกเมืองสะดวกกว่า ดังนั้นสภาพแวดล้อมแบบชนบทเช่นบ้านของผมเป็นสิ่งที่ไอ้ชัชไม่ค่อยคุ้นเท่าไร ส่วนไอ้นัยนี่ตอนนี่ไม่รู้เหมือนกันว่าบ้านพ่อแม่มันเป็นอย่างไร เพราะมันไม่ค่อยเล่าอะไรเกี่ยวกับบ้านต่างจังหวัดของมัน ส่วนใหญ่จะเล่าเฉพาะเรื่องบ้านอามันที่กรุงเทพฯเท่านั้น ก็เลยไม่รู้ว่าบ้านต่างจังหวัดของมันนั้นอยู่ในเมืองหรืออยู่นอกเมือง แต่ผมเข้าใจเอาเองว่าน่าจะอยู่ในตัวเมืองทำธุรกิจหรือทำการค้าอะไรสักอย่างมากกว่า

จะว่าไปบ้านที่ผมอยู่มันก็บ้านนอกดีๆนี่เอง แต่ว่าบ้านผมทันสมัยกว่าคนแถวนั้นหน่อยเพราะว่าเป็นคนทำการค้า เข้าเมืองบ่อยๆ ตัวบ้านผมเป็นบ้านสองชั้นครึ่งตึกครึ่งไม้ ชั้นล่างเป็นก่ออิฐโบกปูน ข้างบนเป็นไม้ ถ้าเป็นบ้านชาวบ้านในชนบททั่วไปก็บ้านไม้ล้วนๆ ชั้นเดียว คือบ้านแบบไทยน่ะครับ บ้านชั้นเดียวใต้ถุนสูง มีเงินหน่อยก็สองชั้นแบบในเมือง แต่เป็นไม้ทั้งหมด สมัยนั้นบ้านไม้ถูกกว่าบ้านตึกครับ เพราะเอาไม้แผ่นพวกไม้เนื้อแข็งมาทำฝาบ้าน อย่าไปนึกถึงบ้านไม้สักหรือเรือนทรงไทยในหนังนะครับ คนละเรื่องกัน

ที่จริงผมก็อายไอ้นัยมันเหมือนกันนะครับ เพราะบ้านผมไม่ได้ตกแต่งอะไรเลย เครื่องเรือนวางๆก็ใช้ได้แล้ว บ้านมันแต่งเสียสวย ส่วนบ้านไอ้ชัชไม่เคยเห็น เพราะไม่เคยไป แต่มันบอกว่าเป็นบ้านแบบตึกแถวในเมืองทั่วๆไป

หลังจากไหว้ทักทายแม่ผมแล้ว ผมก็พาไอ้สองตัวนี่ไปดูห้องนอน ห้องนอนอยู่ชั้นสองครับ อยู่กับพี่ชาย ชื่อเอ๊ด คือถ้ากลับมาบ้านทั้งคู่ตอนปิดเทอมก็พักกันห้องนี้แหละครับ แต่ว่าตอนนี้เอ๊ดยังไม่กลับ มันเรียน ม.2 แล้วครับ เรียนอยู่โรงเรียนรัฐบาลในกรุงเทพฯ ไม่ได้อยู่โรงเรียนประจำแบบผม เดิมก็เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกันนี่แหละครับ แต่พอขึ้น ม. 1 ก็ย้ายไปเรียนโรงเรียนอื่น ซึ่งดีกว่า (พ่อว่างั้นนะ) แต่ไม่มีแผนกประจำ เพราะเป็นโรงเรียนไปกลับ พ่อเลยฝากให้อยู่กับเพื่อนของพ่อ ส่วนผมนั้นอยู่ที่เดิมไป

เมื่อเอ๊ดยังไม่กลับบ้าน ผมก็ยึดห้องทั้งห้องไว้เสียเลย หาฟูกมาปูเพิ่มที่พื้นอีก 2 ที่ แค่นี้ก็นอนได้แล้ว 3 คน ยังนึกไว้ในใจว่าถึงเอ๊ดกลับมา ผมก็คงยึดห้องนี้ไว้อยู่ดี แล้วไล่เอ๊ดให้ไปนอนห้องพ่อ

ห้องนอนของผมอยู่ด้านหลังของตัวบ้าน หน้าต่างจึงไม่ได้หันหน้าเข้าถนน แต่หันออกด้านหลังของบ้านซึ่งเป็นป่าละเมาะ ทิวทัศน์ก็ไม่เลวครับ

“แปลกดี ไม่เคยอยู่บ้านนอกแบบนี้” ชัชบอก แต่คำว่าบ้านนอกของมันนั้นไม่ได้แฝงน้ำเสียงชื่นชมเลยสักนิด ผมเลยตบหัวมันเบาๆ

“ถ้ามึงไม่ชอบบ้านนอกก็นั่งรถเมล์กลับเข้ากรุงเทพฯเองก็แล้วกัน” แล้วผมก็ลดเสียงลง พูดเบาๆ “กูจะได้อยู่กับไอ้นัยสองคน”

“อ๋าย ไม่ได้สิ” ชัชว่า “ยังไงกูก็ต้องอยู่ที่นี่แหละ กลับกรุงเทพฯก็ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน เพราะพ่อยังไม่มารับ ที่สำคัญ...” มันหยุดพูด

“นอนที่ป้ายรถเมล์ดิ กูเคยเห็นคนนอน” นัยพูดหน้าตายสอดขึ้นมา

“ที่สำคัญอะไร” ผมถามชัชถึงข้อความที่ยังพูดไม่จบ รู้แล้วล่ะต้องไม่ใช่เรื่องดี

ชัชทำหน้าเจ้าเล่ห์ “กลัวพวกมึงจะแอบทำอะไรกันโดยที่กูไม่รู้ส่ะสิ ม่ายด้ายยยย กูต้องอยู่ร่วมสนุกด้วย”

“ไอ้เปรต ถ้าอยากอยู่ก็ไม่ต้องวิจารณ์มาก”

“แค่บอกว่าบ้านนอก วิจารณ์นิดเดียวเองยังไม่มากสักหน่อย” ชัชยังไม่วายกวนต่อ ไอ้นัยเลยเอาม้วนกระดาษทิชชู่ที่ใช้จนเกือบหมดม้วนแล้วและวางอยู่บนโต๊ะในห้องยัดเข้าปากมัน แล้วหัวเราะฮุฮุ

ไม่อยากบอกเลยครับ ว่าภาพของไอ้นัยตอนเอาม้วนทิชชู่ยัดปากไอ้ชัชนั้น มันยังตราตรึงในความทรงจำของผมมาจนทุกวันนี้ จากเด็กที่เงียบๆ ไม่เป็นตัวของตัวเอง วันนั้นเองที่ผมเห็นด้านที่ขี้เล่น มีอารมณ์ขัน
และมีความเป็นตัวของตัวเองของมัน อยู่ที่โรงเรียนไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้เลย ในบรรดาความทรงจำเกี่ยวกับไอ้นัย ภาพนี้เป็นภาพที่ผมรักมากที่สุดภาพหนึ่ง หลังจากนี้แม้เราจะโตด้วยกัน และเห็นความขี้เล่นอะไรของมันอีกหลายๆอย่าง แต่ก็ยังไม่มีความทรงจำใดประทับใจเท่ากับภาพนี้

ชัชมองไอ้นัยอย่างประหลาดใจ ทำหน้าคล้ายกับจะบอกว่า มึงเล่นแบบนี้เป็นด้วยหรือวะ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่พยายามเอาม้วนทิชชู่ยัดปากไอ้นัยบ้างเป็นการแก้แค้น ไอ้นัยเบือนหน้าหลบ

“แน่ะ วันนี้มึงหลบด้วยนะ ไอ้นัย” ไอ้ชัชพูด จริงสินะ ทุกทีใครแกล้งอะไรมันมันยอมเพื่อนหมด

“เอาละ พอแล้ว” ผมห้าม “ข้างบนร้อน วางของแล้วลงไปนั่งข้างล่างกันดีกว่า หายเหนื่อยแล้วเดี๋ยวจะพาพวกเอ็งเที่ยว”

บ้านชนบทสมัยนั้นไม่ติดแอร์กันหรอกครับ ใช้เปิดหน้าต่างเปิดพัดลมเอา กลางวันข้างบนจะร้อนอบอ้าวหน่อย ส่วนกลางคืนเย็นสบาย เปิดหน้าต่างกว้างๆ แม้หน้าร้อนก็แทบไม่ต้องเปิดพัดลม เพราะบ้านนอกลมแรง

บ่ายวันนั้น ผมพามันขี่จักรยานไปเที่ยวรอบๆหมู่บ้านที่ผมอยู่ จักรยานมีแค่ 2 คัน ดังนั้นจึงต้องมีคนหนึ่งซ้อนท้าย ชัชตัวเล็กกว่าเพื่อน เลยให้มันซ้อนท้ายผม ส่วนไอ้นัยขี่จักรยานไม่ค่อยแข็ง ก็ให้มันขี่คนเดียว

เราขี่จักรยานไปตามถนนใหญ่ จากนั้นเลี้ยวเข้าถนนในหมู่บ้าน ลัดเลาะไปตามถนนลูกรังซึ่งแตกแขนงออกไปตามบ้านต่างๆ ถ้าในตัวหมู่บ้าน บ้านเรือนจะรวมตัวกันอยู่เป็นกระจุก แต่พอพ้นตัวหมู่บ้านออกไปก็เป็นที่ทำการเกษตรแล้ว เป็นนา เป็นสวน บ้านเรือนกระจายกันอยู่ห่างๆ

ผมทักทายเพื่อนในหมู่บ้านไปด้วยตามรายทาง เพื่อนผมที่ต่างจังหวัดไม่ค่อยเยอะหรอกครับ เพราะส่วนใหญ่อยู่กรุงเทพฯ เรียนประจำตั้งแต่เด็ก เพื่อนที่นี่จะเจอกันเฉพาะตอนปิดเทอมเท่านั้น

“เพื่อนเยอะนะมึง” ไอ้ชัชพูดขึ้นเมื่อพวกเราขี่รถพ้นหมู่บ้านออกมาในท้องทุ่งแล้ว

“ก็ไม่มากหรอก ไม่ค่อยสนิทกันมากนัก เพื่อนที่กรุงเทพเยอะกว่า” ผมว่า

ไอ้นัยพยายามขี่รถเข้ามาใกล้ๆ เพื่อฟังการสนทนา เต่เนื่องจากมันขี่ไม่แข็ง จึงเลื้อยไปเลื้อยมา หวิดจะชนผมล้มหลายครั้ง ผมต้องรีบหักหลบ ไอ้ชัชตกใจ กลัวจนหล่นจากรถ รีบกอดเอวผมแน่น

“นัย มึงขี่ห่างๆหน่อยได้ไหมวะ มันเสียวไส้” ชัชร้องบอกไอ้นัย

“กูก็อยากจะขี่ห่างๆหรอกว้อย แต่มันเซไปเอง” ไอ้นัยพูด ว่าแล้วก็เซมาอีก ผมรีบหักหลบอีกครั้ง

ชัชร้องลั่น คราวนี้ไม่กอดเอวผมอย่างเดียว ตะปบไปที่หว่างขาผมกำไว้แน่น

“เฮ้ย นั่นควยกู” ผมว่า แต่ก็ปล่อยให้มันจับอย่างนั้นแหละครับ เพราะแถวนั้นเป็นทุ่งโล่ง ไม่มีคนเห็น อีกอย่าง ผมกับมันแก้ผ้าเห็นกันจนเคย มากกว่าจับก็ยังทำ อิอิ จะไปกลัวมันจับทำไม

“จับไว้แล้วอุ่นใจหน่อย” มันพูด ไม่เห็นจะเกี่ยวกันตรงไหนเลย

“ขี่ไป เสียวไป” ไอ้นัยพูดขึ้นมา ไอ้ชัชได้ยินก็รีบรูดซิป ควักดอของผมซึ่งตอนนั้นเริ่มแข็งแล้วออกมาชมโลก

“มึงจะเอามันออกมาทำไม” ผมดุไอ้ชัช “เก็บเข้าไป”

แต่ไอ้ชัชไม่ยอมเก็บ พูดหน้าทะเล้น “ยังงี้แหละ เย็นดี มึงจะเก็บไว้ทำไมในกางเกงให้มันอบอ้าว จริงมั้ยไอ้นัย”

“ฮื่อ” ไอ้นัยตอบรับ

แล้วเราก็ขี่จักรยานกันไปโดยมีไอ้ชัชคอยชักว่าวให้ผม

“เฮ้ย พอแล้ว เดี๋ยวน้ำแตกเลอะกางเกง” ผมบอกไอ้ชัช หลังจากที่ชักว่าวไปได้สักครู่ จนน้ำใกล้จะแตก

Monday, March 26, 2007

ตอนที่ 12

หลังจากที่ไปค้างบ้านไอ้นัยวันนั้น รู้สึกว่าผมกับไอ้นัยจะสนิทกันมากขึ้น เข้าใจกันมากขึ้น มันก็เป็นความรู้สึกที่แปลกๆ ชอบมัน อยากอยู่ใกล้มัน พออยู่ใกล้มันแล้วเกิดอารมณ์เซ็กซ์ขึ้นมาครับ ปนกับความรู้สึกอบอุ่นใจ บรรยายไม่ถูก ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร แต่ก็พอบอกได้ว่าความรู้สึกที่ผมมีต่อไอ้นัยนั้นเริ่มต่างไปจากที่มีกับไอ้ชัช กับชัชนั้นมันเป็นเพื่อนซี้ก็จริง แต่มันขาดความรู้สึกอบอุ่นแบบที่มีกับไอ้นัยครับ อาจจะเป็นเพราะชัชมันเป็นคนทะลึ่ง ห่ามๆ ต่างจากไอ้นัยที่เงียบขรึม นิ่งเฉย กระมังครับ แต่โดยรวมแล้วก็เรียกว่าไอ้นัยกับไอ้ชัชเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของผมในช่วงนั้น

ช่วงนั้นผมเองก็เริ่มจับความรู้สึกที่เปลี่ยนไปของตนเองได้เหมือนกัน ผมจะแกล้งไอ้นัยน้อยลง คือปกติก็แกล้งกันแบบเล่นๆ จับมันชักว่าวเล่น ปล้ำมันเล่น อะไรประมาณนี้ แต่ตอนนี้แกล้งมันน้อยลง และเริ่มหวงมันมากขึ้น เวลาใครแกล้งมันก็มักจะคอยกันเอาไว้ไม่ให้มันถูกแกล้ง หมาหวงก้างน่ะครับ

ผมไม่มีโอกาสมีเซ็กซ์กับไอ้นัยอีกเลย เพราะโอกาสและสถานที่ไม่อำนวย ได้แต่จับๆของมันเล่น แล้วกลางคืนก็กลับไปเล่นงานไอ้ชัชแทน ก็ไม่ได้เล่นงานมันฝ่ายเดียวหรอกครับ ช่วยๆกันเสียมากกว่า มันเล่นงานผมโดยจับผมไถก้นก็มี แต่ก็ทำกันไม่ได้บ่อย เพราะต้องตื่นมาแอบทำกันตอนดึกๆในห้องน้ำ เวลาทำก็ต้องระวังและรีบทำให้เสร็จเร็วๆ ผมกับชัชจึงมีความสามารถพิเศษ เพราะน้ำแตกเร็วมาก นาทีสองนาทีต้องแตกแล้ว ขืนช้าพอดีคนมาเห็น ผมเลยมีนิสัยที่ติดมาจนโตอย่างหนึ่งก็คือน้ำแตกค่อนข้างเร็ว คือแบบว่ารีบทำรีบเสร็จ ก็ไม่รู้เหมือนกันครับว่าเป็นข้อดีหรือข้อเสีย แต่สงสัยจะเสียมากกว่า

ความสัมพันธ์ก็ดำเนินไปในลักษณะนี้จนพวกเราจบ ป.๕ ก่อนที่พวกเราจะปิดเทอมเล็กน้อย ผมก็วางแผนพยายามชวนไอ้นัยไปเที่ยวบ้านผมตอนปิดเทอมให้ได้ ที่จริงตอนนั้นอยากไปกับไอ้นัยสองคนมากกว่า เพราะรู้สึกพิเศษๆกับมัน แต่ว่าเกรงใจไอ้ชัช เดี๋ยวมันจะเสียใจ ก็เลยชวนชัชไปด้วย แต่ก็คิดไว้ว่าโอกาสที่มันจะได้ไปคงน้อย

บ้านของผมนั้นอยู่ภาคกลางตอนบน จังหวัดอะไรไม่บอก อิอิ ส่วนบ้านไอ้นัยนั้นอยู่ภาคกลาง ไม่ไกลจากกรุงเทพเท่าไร แต่ก็ไปกลับไม่ไหวเลยต้องมาอยู่บ้านอา ส่วนชัชนั้นบ้านอยู่ภาคกลางตอนล่างหรือภาคใต้ตอนบนนี่แหละครับ บ้านมันไกลที่สุดในพวกเราสามคน

ปัญหาของการไปเที่ยวบ้านผมสำหรับไอ้ชัชก็คือ ผู้ปกครองของมันต้องมารับตัวออกจากโรงเรียนไปเสียก่อน จากนั้นก็ต้องรออีกหลายวันเพื่อให้มันเที่ยวบ้านผมเสร็จกลับมากรุงเทพอีกครั้งเสียก่อน จึงจะพามันกลับลงใต้ได้ ใครจะไปยอมเสียเวลาแบบนั้นละครับ ปกติพ่อแม่มันมารับแล้วก็พากลับบ้านไปเลย จะให้พ่อผมไปส่งมันที่ใต้เลยก็ไม่ไหว

ส่วนไอ้นัยนั้นก็มีปัญหาอยู่เหมือนกัน เพราะถ้ามันไปเที่ยวบ้านผม พ่อผมต้องพามันไปส่งที่บ้านพ่อแม่มัน หรือไม่งั้นก็ต้องพามาส่งบ้านอามันที่กรุงเทพ ก็ไม่ง่ายเหมือนกัน แต่พอจะเป็นไปได้มากกว่า

ในที่สุด ก่อนที่พวกเราจะปิดเทอม ป.๕ หลังจากวางแผนและแต่ละคนก็ไปใช้เล่ห์กระเท่ตื๊อและกล่อมผู้ปกครองของตน ทุกอย่างก็เรียบร้อย ทั้งไอ้ชัชและไอ้นัยก็สามารถไปเที่ยวบ้านผมได้ ถ้าจำไม่ผิด เข้าใจว่าพ่อแม่ของพวกเราทั้งสามคนจะคุยตกลงกันไว้และแจ้งอาจารย์ผู้ปกครองหอไว้ว่าขอมอบฉันทะให้พ่อผมรับไอ้นัยกับไอ้ชัชกลับไปจากหอได้ แล้วพ่อผมก็พาเราสามคนกลับบ้าน หลังจากไปเที่ยวบ้านผมสี่ห้าวัน ก็พ่อก็จะนัดพ่อไอ้ชัชและอาไอ้นัยให้มารับตัวไอ้สองคนนี้ที่กรุงเทพฯ

ก็ไม่ได้รังเกียจอะไรไอ้ชัชหรอกนะครับ มันไปด้วยก็สนุกดี ไม่ได้คิดว่ามันเป็น กขค แต่อย่างใด เพียงแต่มีความรู้สึกอย่างอยู่สองต่อสองกับไอ้นัยบ้างเท่านั้นเอง ดูสิครับ ตอนนั้นเด็กๆก็เริ่มมีความรู้สึกอย่างอยู่สองต่อสองแล้ว แก่แดดไหมครับ

----------

เมื่อสอบเสร็จวิชาสุดท้าย ก็เป็นอันว่าการเรียนชั้นจบลงโดย ป.๕ โดยสมบูรณ์ (ถ้าสอบไม่ตก) ปีนั้นเป็นปีที่ตื่นเต้นมากกว่าทุกปีเพราะว่าคราวนี้จะมีเพื่อนๆตามกลับไปเที่ยวที่บ้าน แถมเป็นเพื่อนซี้เสียด้วย

บ้านของผมไม่ได้อยู่ในตัวเมือง อยู่ชานเมืองออกไปอีก ลองนึกดูว่าสมัยสิบกว่าปีก่อน ชานเมืองของต่างจังหวัดนั้นจะชนบทอย่างไร บ้านผมทำการค้าครับ จะบอกดีไหมเนี่ยว่าทำอะไร บอกก็ได้ เป็นโรงงานเผาอิฐครับ ตัวบ้านอยู่ริมถนนใหญ่ ด้านข้างเป็นโรงงาน ข้างบ้านอีกด้านก็เป็นท้องนา หลังบ้านก็เป็นป่าละเมาะ ลึกเข้าไปอีกหน่อยก็เป็นสวนซึ่งเป็นที่ดินของคนอื่น และลึกเข้าไปอีกก็เป็นสวนของที่บ้าน ที่บ้านก็ทำสวนไว้เหมือนกัน แต่ว่าจ้างชาวบ้านแถวนั้นดูแลให้ ชนบทชานเมืองส่วนใหญ่ถ้าไม่เป็นสวนก็เป็นนา ถ้าทิ้งว่างไว้ก็กลายเป็นป่าละเมาะ

คงนึกออกนะครับ ว่าปิดเทอมครั้งนี้ของพวกเราจะสนุกสนานและเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียกันเพียงใด ไอ้นัยคนหน้าตายก็มาแผลงฤทธิ์ที่บ้านผมนี่แหละครับ

Sunday, March 25, 2007

ตอนที่ 11

รุ่งขึ้น เช้าวันอาทิตย์ เราทั้งสองตื่นขึ้นมาในสภาพเปลือยเปล่า อือม์ รสชาติการนอนแก้ผ้าครั้งแรกนี่มันก็แปลกๆดีครับ ควยโด่เป็นเสากระโดงเรือสองอันค้ำอยู่ในผ้าห่ม

ผมเลิกผ้าห่มออก เพื่อให้เห็นภาพเรานอนแก้ผ้าได้ถนัดๆ อิอิ ไอ้นัยยังหลับอยู่ครับ แต่ควยมันโด่เต็มที่ ขนาดกำลังดี ไม่ใหญ่เท่าของผู้ใหญ่ แต่ก็ไม่เล็กแบบเด็กๆ หนังหุ้มปลายร่นมาได้ครึ่งหัว เห็นหัวเห็ดสีชมพูโผล่มาชมโลกภายนอกได้ครึ่งนึง

มือผมไวเท่าความคิด ผมพลิกตัวตะแคง กอดไอ้นัยไว้ เอาขาก่ายลำตัวมัน แล้วเอาต้นขาอ่อนของผมถูกควยมันเล่น กะว่าจะเอาน้ำว่าวมันออกอีกสักรอบ

“ตื่นมาก็เงี่ยนเลยเหรอ” ไอ้นัยพูดทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่

“อือม์ ว่าวอีกแมะ” ผมถามมัน แต่ไม่ได้รอคำตอบหรอกครับ มือผมจับท่อนลำมันมาชักเสียแล้ว

“เจ็บอ่ะ อู” นัยทำหน้าไม่สู้ดี สงสัยเมื่อคืนจะเสียดสีหนักไปหน่อย อวัยวะเลยชอกช้ำ

ผมรู้สึกสงสารมัน ก็เลยเอาวะ ไม่กวนมันก็ได้ เช้านั้นก็เลยแค่นอนกอดมันเฉยๆ

หลังจากนั้นเราก็ตื่นนอน เก็บที่นอน ล้างหน้าแปรงฟัน แล้วลงไปข้างล่าง อาหารเช้ารออยู่แล้ว รอให้เราทำนะครับ ไม่ใช่รอให้เรากิน

บ้านไอ้นัยนี่มื้อเช้ากินยังกับในหนังฝรั่ง คือจะกินพวกขนมปัง เนย แยม ชีส เนยถั่ว ไข่ดาว อะไรพวกนั้นแหละ ก็เป็นเรื่องที่แปลกใหม่สำหรับผมในตอนนั้น เพราะถ้าอยู่ที่บ้านต่างจังหวัด มื้อเช้าต้องข้าวต้มยืนพื้น ถ้าอยู่ที่โรงเรียนก็ข้าวสวยกับกับข้าว แต่มาสมัยนี้ก็ไม่แปลกแล้วครับ เพราะผมเองเดี่ยวนี้ตอนเช้าก็กินพวกขนมปัง ไม่ได้กินข้าว เพราะไม่ชอบกินมื้อเช้าหนักๆ แต่ที่จริงผิดหลักโภชนาการนะครับ เขาสอนกันว่าตอนเช้าต้องเป็นมื้อใหญ่ เพราะกินแล้วยังต้องทำงานทั้งวัน แต่ผมกินไม่ลง

นอกเรื่องไปถึงไหนแล้วเนี่ย อ้อ เรื่องอาหาร หลังจากนั้นเราก็กินอาหารมื้อเช้ากับคุณอาทั้งสองของไอ้นัย แต่ก่อนกินต้องทำก่อนครับ คือปิ้งขนมปังเอง พอได้ขนมปังแล้วก็ทาเนยทาแยมเองตามอัธยาศัย ส่วนไข่ดาวทอดให้อยู่แล้ว โอวัลติน (หรือไมโลก็ไม่แน่ใจ) ก็ชงไว้แล้ว

วันนั้นทั้งวันก็ไม่ค่อยมีอะไรหรอกครับ เพราะว่าอาไอ้นัยอยู่บ้านทั้งสองคนเลย เราก็ได้แค่นั่งดูทีวีกับนั่งฟังเพลงเล่นในห้อง แต่ใส่เสื้อผ้านะครับ เพราะว่าเกรงใจอา แหะๆ ตอนบ่ายแก่ๆ พ่อก็มารับเพื่อกลับไปส่งที่โรงเรียน

- - - - - -

พอกลับมาถึงหอ เห็นไอ้ชัชมันกำลังดูทีวีอยู่ในห้องพักผ่อน ก็เลยเดินเข้าไปในห้อง ไอ้ชัชพอเห็นผมเข้า มันรีบเดินรี่เข้ามาถามทันที

“หายไปซะหลายวันเลยนะมึง เป็นไงวะ บ้านไอ้นัย ใหญ่ไหม สวยไหม พวกมึงว่าวกันไปกี่รอบวะ” โห มาถึงไม่พูดพล่ามทำเพลงก็ถามตรงเป้าเลย ท่าทางมักออกอาการอยากรู้มากถึงมากที่สุด

“ไอ้เปรต” ผมด่ามัน ไอ้เปรตเป็นคำด่าสมัยนั้นครับ เดี๋ยวนี้วัยรุ่นไม่ใช้กันแล้วมั้ง สมัยนั้นก็ด่ากันด้วยไอ้เหี้ย ไอ้ห่า ไอ้สัตว์ ไอ้ไปรต แล้วก็ไอ้เวร แต่ไอ้เวรนี่ใช้กันน้อยหน่อย “กูไปวันกว่าๆเท่านั้นเอง ยังไม่ถึงสองวันเลย เสือกบอกว่าหลายวัน นี่มึงไม่คิดถึงเรื่องอื่นเลยเหรอ มาถึงก็ถามแต่เรื่องนี้”

“พูดยังกับว่ามึงคิดถึงเรื่องอื่นเป็นยังงั้นแหละ อย่ามาทำเป็นเด็กดีหน่อยเลยว้า” ชัชย้อนผม “สารภาพมาตรงๆว่าว่าวกันไปกี่หน”

“เฮ้ย มึงพูดเบาๆหน่อยเป็นไหม เดี๋ยวคนอื่นได้ยินหมด” ผมกระซิบ เพราะคนอื่นในห้องดูทีวีชักเริ่มสนใจการสนทนาของเราบ้างแล้ว มีอะไรว่าวๆแพลมออกมา “ตอนนี้คนเยอะ คืนนี้กูค่อยเล่าให้มึงฟังละกัน ถ้าถามอีกกูจะไม่เล่านะเฟ้ย”

ผมพูดกับมันเสร็จก็ทำเป็นไก๋ไปทักทาย คุยเล่นกับคนโน้นคนนี้ ทิ้งไอ้ชัชไว้ให้มันคันหัวใจอยากรู้อยู่อย่างนั้น

ตอนกลางคืน ราวสองทุ่มเห็นจะได้

หลังจากกินข้าวเสร็จ ผมก็มานั่งดูทีวีเล่น เพราะยังไม่ง่วง ตอนนั้นในห้องมีคนดูทีกันเยอะแยะ ชีวิตเด็กประจำก็ยังงี้แหละ ไม่ดูทีวี อ่านหนังสือ ก็ทำการบ้าน

ชัชตามมานั่งประกบข้างๆ คราวนี้มันกระซิบเบาๆ ไม่แหกปากเหมือนเมื่อตอนเย็น

“เฮ้ย จะเล่าหรือยัง กูอยากรู้จะแย่อยู่แล้ว”

“คนเยอะแยะ จะเล่ายังไง” ผมบอก

“ไปเล่าชั้นบนละกัน” มันหมายถึงไปเล่าในห้องนอน

ตอนนั้นเอง ผมก็มีความคิดอันชั่วร้ายขึ้นมา

“ไม่เอาดีกว่า เล่าแล้วมันเงี่ยนโว้ย เดี๋ยวเล่าแล้วต้องว่าวอีกรอบ” ผมบอก

“ก็ว่าวไปดิ ใครไปห้ามล่ะ”

“ขี้เกียจน่ะสิ เมื่อยมือ” ผมเอามุขขี้เกียจของไอ้นัยมาใช้บ้างครับ อิอิ ตอนพูดพยายามตีหน้าตายด้วย

“วะ มึงจะเอายังไงกันแน่วะเนี่ย เล่นตัวจริง” ไอ้ชัชชักฉุนคราวนี้ ฉุนจริงครับ สงสัยอยากฟังมาก ไม่ยอมรับมุขใดๆทั้งสิ้น

“เอางี้ กูเล่าให้มึงฟังแล้วมึงต้องชักว่าวให้กูเป็นการตอบแทน เข้าใจหรือยัง” เห็นมันโง่นักผมเลยบอกมันไปตรงๆ

“เออ ได้ เล่าซะทีถอะ กูอยากรู้” ชัชรีบรับปาก

แล้วเราก็ขึ้นไปห้องนอนชั้นบน ทำทีว่าจะเข้านอนกันแล้ว ตอนนั้นสองทุ่มกว่านิดหน่อย ยังหัวค่ำอยู่ ไม่มีคนเข้านอน ห้องนอนจึงว่างเปล่า

ผมเล่าเรื่องให้ชัชฟัง ตอนแรกเล่าคร่าวๆ แต่เล่าไปเล่ามามันซักเสียละเอียดยิบ เลยกลายเป็นว่าต้องเล่าให้มันฟังอย่างอย่างละเอียดถึงรูขุมขน โดยเฉพาะบทเซ็กซ์ เล่าไปควยก็ลุกไป ไอ้ชัชเองก็ควยตั้งเด่อยู่ในกางเกง

“ว่าวทั้งวันจนเพลียเลยเว้ย” ผมสรุปอย่างภาคภูมิใจ ปนอวดมันนิดๆ

“ถ้ากูไปกับพวกมึง สงสัยเพลียแย่เลย” ชัชพูดด้วยความเสียดาย เอามือกุมกระดอแล้วชักเล่นเบาๆ แบบว่าอยากว่าวจัด

“มึงไม่เพลียหรอกไอ้ชัช เพราะมึงไม่มีน้ำให้แตก” ผมกัดมัน มันเป็นความเชื่อของวัยรุ่นตอนนั้นครับ เชื่อว่าว่าน้ำว่าวมาจากเลือด ถ้าเสียน้ำว่าวไปมากๆจะเหมือนเสียเลือด จะทำให้เพลีย “เอ้า เล่าจบแล้ว มึงจะทำอะไรก็ไปทำ เดี๋ยวดึกๆมาทำตามสัญญาด้วย” ผมบอกมัน

“ทำตามสัญญาไรวะ” มันทำหน้าสงสัย

“อ้าว เพิ่งรับปากไปเมื่อกี้มึงจะเบี้ยวแล้วเหรอ ก็สัญญาที่มึงบอกว่าจะว่าวให้กูไง”

“อ้าว เอาจริงเหรอ นึกว่าพูดเล่น”

“เอาจริงสิวะ เดี๋ยวรอดึกๆก่อน ให้คนอาบน้ำเสร็จให้หมดแล้วมึงไปว่าวให้กูในห้องน้ำ”

ผมบอกมัน ว่าแล้วไอ้ชัชก็เดินตัวโก่งเพราะควยตุงเป้า รีบเดินไปทางห้องน้ำ สงสัยไปรีบชักว่าวก่อน ส่วนผมนั้นนอนเล่นบนเตียง ไม่กล้าลงไปดูทีวีข้างล่าง เพราะควยกำลังโด่เช่นกัน แต่ยังไม่อยากว่าวตอนนี้ อยากเก็บไว้ให้ไอ้ชัชว่าวให้ ตั้งแต่กลับมาจากบ้านไอ้นัย รู้สึกว่านิสัยชักจะเริ่มเปลี่ยนไป ไม่ค่อยอยากว่าวเองแล้วครับ อยากให้มีคนทำให้ เพราะมันรู้สึกสนุกกว่า แต่จะให้ไอ้ชัชว่าวให้ตอนนี้ก็ยังไม่สะดวกเพราะสองทุ่มกว่าคนยังพลุกพล่าน พวกเด็กหอยังทยอยกันอาบน้ำอยู่ ส่วนจะว่าวในห้องนอนก็ยังมีคนเดินไปเดินมาตรงทางเดินหน้าห้องอยู่ ดังนั้นต้องรอดึกๆ หน่อย ให้ทุกคนหลับกันหมดแล้ว

เดี๋ยวเดียวไอ้ชัชก็เดินควยตุงกลับมา แล้วกระโดดขึ้นเตียงนอน นอนตะแคงห่มผ้าห่ม เห็นแขนมันสั่นกระเพื่อม สงสัยจำกำลังชักว่าว

“อ้าว เห็นมึงเดินไปข้างนอก นึกว่าไปว่าวในห้องน้ำ” ผมพูด

“คนเยอะ” มันบอก หมายถึงว่าห้องน้ำมีคนเยอะ แขนก็ยังขยุกขยิกอยู่

“ว่าวที่เตียงแต่แรกก็หมดเรื่อง ไม่ได้ทำอะไรเลอะเทอะ ไม่รู้จะไปห้องน้ำทำไม” ผมกัดมันอีก ช่วงนั้นชอบล้อมันเรื่องไม่มีน้ำว่าวครับ เพราะว่าผมมีแล้ว เลยใช้ข่มมันได้ ที่จริงผมก็นิสัยไม่ดี เพราะสังเกตว่าไอ้ชัชจะคิดเอาเป็นปมด้อยเหมือนกันว่ามันโตเร็วไม่ทันเพื่อน ยังเป็นเด็กอยู่

เห็นมันว่าวแล้วก็อยากช่วยมันเหมือนกันแหละครับ แต่กลัวคนเห็น เลยปล่อยให้มันว่าวเองไปก่อน หลังจากนอนเล่นได้ไม่นาน ผมก็ผล็อยหลับไป สงสัยจะเพลียจริงๆแหละครับวันนั้น

แล้วตอนดึกของคืนนั้น ประมาณสักตีหนึ่งเห็นจะได้ ผมก็ตื่นขึ้นมาเพราะปวดฉี่ หอนักเรียนเงียบสนิท ทุกคนหลับกันหมดแล้ว

พอตื่นขึ้นมา เรื่องแรกที่คิดขึ้นมาในสมอง ก็คือให้ไอ้ชัชเรื่องชักว่าวให้ อิอิ ช่วงนั้นบ้ากามครับ ในสมองมีแต่เรื่องเซ็กซ์

“ชัช ตื่นๆ” ผมเขย่าตัวมันเบาๆ เขย่าอยู่ตั้งนานกว่าไอ้ชัชมันจะยอมตื่น ไอ้นี่นอนขี้เซาแฮะ

“มีไร” มันถามเสียงงัวเงีย

“มานี่กับกู เร็ว... ตามสัญญา” ผมกระซิบบอกมัน

แล้วผมก็ฉุดกระชากลากถูไอ้ชัชออกมาจากห้องนอนจนได้ แต่กว่าจะออกมาได้ก็กินเวลาอยู่ เพราะไอ้ชัชมันจะนอนต่อท่าเดียว ส่วนผมเรื่องอะไรจะยอม แต่ทำอะไรเสียงดังไม่ได้ เพราะดึกแล้วเงียบมาก ต้องทำค่อยๆ

พอไปถึงห้องน้ำ ผมรีบพามันเดินมาที่โถฉี่ข้างห้องส้วม คือพอเข้าประตูห้องน้ำมา ด้านนึงจะเป็นห้องส้วมมีประตูปิด เรียงรายเป็นแถว แต่ส้วมนี้ไม่ได้ยาวไปจนสุดห้องน้ำเลย ส่วนที่อยู่ต่อจากห้องส้วมคือโถฉี่ ถ้ามายืนตรงโถฉี่นี้ คนจากด้านนอกจะมองไม่เห็นเพราะมีห้องส้วมบังอยู่

ผมยืนตรงโถฉี่ ถอดกางเกงนอนออก ควยลุกเด่รอให้ไอ้ชัชชักว่าวให้

“เอ้า ว่าวให้กูหน่อย” ผมบอกมัน

ไอ้ชัชพอเห็นผมแก้ผ้าเข้าก็ชักหายง่วงเหมือนกัน เข้ามาว่าวให้ผมแต่โดยดี

เพียงครู่เดียว น้ำว่าวของผมก็แตกออกมารดมือไอ้ชัช แต่ไม่ค่อยเยอะนักหรอกครับ เพราะแตกไว้ที่บ้านไอ้นัยเยอะแล้ว

“อึ๋ย” ไอ้ชัชทำหน้าแหวะเมื่อเห็นน้ำว่าวผมเลอะมือมัน

“มา กูชักให้มึงมั่ง” ผมบอก ว่าแล้วก็จับไอ้ชัชถอดกางเกงออก ไอ้ชัชนี่แม้จะซี้กับผม แต่เรื่องชักว่าวนี่ก่อนหน้านี้ต่างคนต่างชัก เพิ่งจะมาเริ่มช่วยกันก็หลังจากที่พาไอ้นัยมานอนที่หอนี่แหละครับ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นมันช่วยผมมากกว่า มันก็ชักของมันเอง ตอนนั้นมันเด็กอยู่ครับ ควยมันตอนแข็งแล้วก็ยังเป็นแค่จำปีเล็กๆอยู่เลย ผมจับไม่ถนัด (ขอเผาหน่อยนะไอ้ชัช 55) อีกอย่างคือมันว่าวแล้วเสร็จยากครับ ตั้งหลายนาที ผมเลยขี้เกียจจะช่วยมัน

แต่มาวันนี้ดูควยมันจะโตขึ้นมาหน่อยแล้ว เพราะรู้สึกว่าจับถนัดมือขึ้น หรือผมคิดไปเองก็ไม่รู้ หรือไม่อีกที มือผมก็อาจจะเล็กลง ผมอ้อมมาข้างหลังมัน เอากระดอแนบเข้ากับร่องก้นไอ้ชัช เหมือนกับที่ทำกับไอ้นัย แล้วก็ชักว่าวให้มัน เริ่มจากเบาๆ แล้วแรงขึ้น ดุดันขึ้น

สักพักเดียว ควยไอ้ชัชก็กระตุก ผมรู้สึกว่ามีอะไรเหนียวๆเลอะมือ เลยยกมือขึ้นดู

“เฮ้ย ไอ้ชัช มึงมีน้ำว่าวแล้วโว้ย” ผมบอกมัน ตอนนั้นมันมีน้ำว่าวหลั่งออกมาสองสามหยดเอง แต่ถึงแม้จะมีเพียงสองสามหยด แต่รู้สึกว่าไอ้ชัชมันดีใจเสียเหลือเกิน

“โห แม่ง ชักว่าวมาตั้งนาน เพิ่งจะมีน้ำว่าวกับเขาเสียที” มันพูดอย่างภาคภูมิใจ “คราวนี้มึงไม่ได้ล้อกูแล้วนะไอ้อู”

“เออ ไม่ล้อก็ได้วะ เดี๋ยวพรุ่งนี้กูจะบอกข่าวดีนี้ให้ไอ้นัยรู้ด้วย” ผมไม่วายกัดมันอีก

“เออ ใช่ มันจะได้เลิกล้อกูเหมือนกัน” ไอ้ชัชว่า

- - - - - -

วันนี้ขอจบตอนก่อน ชีวิตตอน ป. 5 ใกล้จบแล้วครับ หลังจากนั้นจะเป็นเรื่องตอนปิดเทอม แล้วก็ตอน ป. 6 โดยเฉพาะตอน ป. 6 นั้นยิ่งมีสีสันกว่า ป. 5 เพราะมีเพื่อนใหม่ตัวแสบเข้ามา ชื่อไอ้พงษ์ ชื่อเต็มว่าพงษ์ศักดิ์ ค่อยๆตามอ่านก็แล้วกันครับ

Friday, March 23, 2007

ตอนที่ 10

ตอนบ่าย อาของไอ้นัยก็กลับมา คู่นี้เป็นคนที่วุ่นวายกับการทำมาหากินมากครับ กลับมาบ้านก็ยังต้องมานั่งทำงานกันต่อ ไม่รู้ว่าจะทำงานไปถึงไหนกัน คิดแล้วก็สงสารไอ้นัยอยู่เหมือนกันครับ เพราะว่ามันเหงา เป็นใครก็ต้องเหงาครับแบบนี้

มื้อเย็น ทายซิครับว่ากินอะไรกัน กินกับข้าวถุงอ่ะ คือซื้อเป็นถุงๆมาแล้วหุงข้าวเอาที่บ้าน มีพวกแกง ผัด 3-4 อย่าง โห นี่ยุ่งขนาดไม่มีเวลาทำอาหารเลย คือต้องเข้าใจว่าสมัยเมื่อสิบกว่าปีก่อน วัฒนธรรมอาหารถุงซื้อกลับบ้านยังไม่เหมือนตอนนี้ สมัยนั้นส่วนใหญ่ก็ทำกับข้าวกินกันเอง ไม่อย่างนั้นก็รับปิ่นโต การซื้อกับข้าวถุงกินยังค่อนข้างน้อย หรือว่าผมรู้ชีวิตในกรุงเทพฯน้อยก็ไม่ทราบ เพราะว่าเด็กประจำนี่ครับ โรงเรียนทำให้กิน ปิดเทอมกลับบ้าน แต่ที่บ้านต่างจังหวัดไม่มีใครซื้อกับข้าวถุงหรอก

เราทั้งสี่คนนั่งกินอาหารเย็นด้วยกันที่โต๊ะอาหาร คุณอาทั้งสองคนของไอ้นัยเป็นคนดีมาก มีอัธยาศัยดี แม้กับเด็กอย่างผม ชวนผมคุยบ้าง แต่รวมๆแล้วก็คุยไม่มากเท่าไร เพราะได้คุยกันแค่ช่วงกินอาหารเท่านั้น

“ไอ้นัย วันๆอามึงคุยกับมึงบ้างมั้ยวะ” ผมแอบถามในตอนค่ำหลังอาหารเย็น

“ก็คุยกันตอนกินข้าวนี่แหละ” มันว่า

“วันๆได้คุยกันแค่นี้ แล้วน้ำลายมึงไม่บูดมั่งเหรอ”

“คุณอาเค้ายุ่งโว้ย ก็ไม่รู้จะทำยังไง” ไอ้นัยพูดแบบเฉยๆ เหมือนไม่รู้สึกอะไร ไอ้นี่มันเหมือนดินน้ำมันหรือตุ๊กตาจริงๆเลยครับ ใครจับมันทำอย่างไร มันก็ยอมทั้งนั้น ไม่หือไม่อือ แต่พอผมโตแล้วจึงค่อยมาได้คิดว่าที่จริงใช่ว่ามันไม่รู้สึกหรอกครับ แต่มันเก็บความรู้สึกเอาไว้มากกว่า เก็บกดไงครับ

“วันหยุดไม่พามึงไปเที่ยวไหนเลยเหรอ” ผมถามอีก

“ไม่ค่อยอ่ะ นานๆที”

“โฮ้ย ยังงี้มึงมาอยู่โรงเรียนประจำกับกู กับไอ้ชัชดีกว่า สนุกกว่าเยอะ” ผมยุส่งไปเลย

หลังจากกินอาหารเย็น พวกเราก็นั่งดูทีวีกัน ผมก็ดูไปงั้นๆแหละครับ ไม่ค่อยจะใส่ใจเท่าไร ก็อยู่กับผู้ใหญ่นี่ครับ จะไปสนุกอะไร สักสามทุ่มก็ได้เวลาแยกย้าย ต่างคนต่างก็เข้าห้องนอนของตน

ลืมบอกไปว่าบ้านไอ้นัยนั้นมี 3 ห้องนอน อาทั้งสองใช้ห้องนอนใหญ่ ในนั้นมีห้องน้ำในตัว (ไม่ได้เข้าไปดูหรอกครับ ไอ้นัยมันบอก) ส่วนอีก 2 ห้องนอนใช้ห้องน้ำร่วมกัน สรุปก็คือยังมีห้องนอนเหลือว่างอีกห้องหนึ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าห้องนอนนั้นจะเอาไว้สำหรับแขกหรือกะจะมีลูกสักคนแล้วให้ลูกอยู่ห้องนั้น

ผมไม่ได้ไปนอนห้องว่างนั้นหรอกครับ นอนกับไอ้นัยนี่แหละ เรื่องอะไรจะไปนอนคนเดียว ก็นอนเตียงไอ้นัย เบียดกันหน่อยก็นอนได้แล้ว ตอนนั้นเด็กๆ ตัวไม่โตหรอก

แต่ยังก่อนครับ เข้าห้องแล้วยังไม่นอนกันหรอก อิอิ ต้องอาบน้ำก่อน คืนนี้ต้องของแช่ตัวในอ่างอาบน้ำให้สะใจสักที เมื่อบ่ายแช่เดี๋ยวเดียวเอง

ผมอาบน้ำแล้วลงไปแช่ตัวอยู่ในอ่างอาบน้ำ อือม์ แสนสบายเลยครับ ยังนึกในใจว่าที่บ้านผมน่าจะเปลี่ยนจากตุ่มมาเป็นอ่างอาบน้ำบ้างก็ดี ไอ้นัยไม่ได้มาอาบด้วยครับ เพราะกลัวอามันรู้ว่าเราทำอะไรกันในห้องน้ำ อิอิ มันก็เลยนั่งเล่นเกมรอผมอยู่ในห้องนอน ก็ห้องติดกันแหละครับ

เมื่ออาบน้ำเสร็จ ผมก็นุ่งผ้าเช็ดตัวออกมา แล้วไอ้นัยก็เข้าไปอาบต่อ หลังจากนั้น ไม่ต้องบอกก็รู้นะครับ ล็อคห้องเรียบร้อย ปิดไฟแล้วแก้ผ้านอนกัน เราปิดไฟเพดาน แล้วเปิดโคมไฟอ่านหนังสือที่โต๊ะเขียนหนังสือแทน ไฟสีเหลือง สลัวๆ ให้บรรยากาศที่โรแมนติกครับ ตอนนั้นยังไม่รู้หรอกว่าโรแมนติกคืออะไร แต่มีความรู้สึกว่าอบอุ่นและมีความสุข

แสงไฟสีเหลืองนวลสาดส่องร่างเปลือยเปล่าของเราสองคนบนเตียง แหะๆ ยังงี้จะนอนหลับได้ยังไงละครับ ผมอดไม่ได้เอามือไปคลึงเคล้าน้องชายไอ้นัยเล่น ปลิ้นไปปลิ้นมา สักพักเดียวมันก็สู้มือ ไอ้นัยก็มาจับของผมเล่นมั่งเพื่อไม่ให้เสียเปรียบ

“ว่าวกันอีกรอบนะ นัย” ผมกระซิบเบาๆที่ข้างหูมัน น่าเสียดายมากครับ ตอนนั้นยังเด็กเกินไป ไม่ค่อยรู้ประสีประสา รู้แต่ชักว่าว แล้วก็ไถร่องก้นไอ้นัย ยังไม่ได้เรียนรู้เรื่องการจูบ การไซร้ การเล้าโลม ที่จริงคืนนั้นเป็นคืนที่...จะเรียกยังไงดีล่ะ ก็ต้องเรียกว่าโรแมนติกละครับ แม้ว่าศัพท์คำนี้อาจจะไม่ค่อยเหมาะกับวัยเด็กเท่าไร โรแมนติกมาก เพราะเป็นช่วงหน้าหนาว อากาศเย็นๆ ลมหนาวพัดเข้ามาในห้องทำให้รู้สึกสบาย (สมัยนั้นส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้ห้องแอร์กัน หน้าร้อนก็เปิดพัดลม เปิดหน้าต่างกว้างๆ หน้าหนาวก็เหลือแค่เปิดหน้าต่างแง้มๆ) มันเหมือนทั้งโลกมีแต่ผมกับไอ้นัย ถ้าย้อนเวลาได้อยากกลับไปไซร้ไอ้นัยในตอนนั้นจัง แต่ก็อย่างว่าละครับ เด็กก็คือเด็ก

ผมว่าวไอ้นัยเบาๆ ไอ้นัยก็ว่าวให้ผม สักพักผมก็ได้ความคิดใหม่ เท่าที่ผ่านมา มีแต่คนจับไอ้นัยชักว่าวทั้งนั้น ยังไม่เคยเห็นมันชักว่าวตัวเองสักที

“มึงว่าวตัวเองให้กูดูหน่อยสิ” ผมบอก

ไอ้นัยแสนจะว่าง่าย บอกยังไงก็ยังงั้น แล้วมันก็เริ่มชักว่าวให้ตัวเอง โดยมีผมนอนดูอยู่ข้างๆ หัวของมันตอนแข็งตัวปลิ้นออกมาได้แค่ครึ่งเดียว เวลาชักหัวมันจะผลุบเข้าผลุบออก สักพักใหญ่ๆ มันก็เริ่มสาวมือเร็วขึ้นๆ น้ำคงใกล้จะแตกเต็มที

“เฮ้ย เดี๋ยวเตียงเลอะ” ผมเตือนมัน เพราะรู้ว่าน้ำว่าวไอ้นัยพุ่งแรง แต่ไอ้นัยบอกไม่เป็นไร มือไม่ยอมหยุดชัก

สักพักมันก็หยุดชัก แล้วดึงหนังหุ้มปลายมาคลุมที่หัวควย บีบเอาไว้ ผมเห็นควยมันกระตุกอยู่หลายที แล้วหนังหุ้มปลายที่ส่วนหัวก็โป่งออก ยังงี้นี่เอง มันใช้นิ้วบีบหนังหุ้มปลายเอาไว้เพื่อไม่ให้น้ำทะลักออกมา เออ ไอเดียดีแฮะไอ้นี่ ผมยังนึกไม่ถึงเลย ของผมปกติจะปล่อยให้มันแตกออกมาแล้วเอาทิชชู่รองไว้

มันถอนใจดังเฮือกแล้วก็คลายนิ้วออกจากหนังหุ้มปลาย พอคลายนิ้วเท่านั้นแหละครับ น้ำว่าวทะลักพลั่กๆออกมาจากหนังหุ้มปลายเลอะท้องน้อยไปหมด ขนาดกลางวันออกไปแล้วหลายรอบ น้ำมันยังมีเหลือเยอะขนาดนี้

ภาพที่เห็นนั้นได้อารมณ์อย่างสุดๆ ผมทนไม่ไหว รับชักว่าวให้ตัวเองตามทันที และไม่นาน น้ำว่าวของผมก็แตกออกมา ผมไม่ต้องบีบปลายอย่างมันหรอกครับ เพราะตอนนั้นน้ำว่าวผมยังไม่พุ่ง แค่รินทะลักออกมากองที่โคนเท่านั้น

หลังจากนั้น เราก็เอาทิชชู่เช็ดเอา ขี้เกียจล้างตัวแล้วครับ เพราะน้ำมันเย็น แล้วก็แก้ผ้านอน ห่มผ้าผืนเดียวกัน หลับสบายไปเลย ตกลงวันนั้นเสร็จกันไปคนละ 4 รอบ

ก่อนจะหลับ ผมเอื้อมไปกอดไอ้นัยไว้ ร่างเปลือยเปล่าของเราสัมผัสกันโดยไร้เสื้อผ้ามากั้น เช่นเดียวกับสัมพันธภาพของเราที่ดูเหมือนจะสนิทแน่นแฟ้นขึ้น

“นัย” ผมเรียก ปกติจะเรียกไอ้นัยนะครับ น้อยครั้งที่จะเรียกนัยเฉยๆ แต่วันนี้ไม่รู้ว่าเป็นอะไร รู้สึกว่าอยากสุภาพกับมันสักหน่อย “ปิดเทอมมึงไปเที่ยวที่บ้านกูบ้าง ไปให้ได้นะ”

ไอ้นัยพยักหน้าตอบรับ

“สัญญาแล้วนะ ห้ามคืนคำ” ผมคาดคั้น ไอ้นัยพยักหน้าอีก

ผมกอดมันไว้ แล้วเราสองคนก็ผลอยหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าคืนนั้นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีใครมานอนในอ้อมกอดของผม

ตอนที่ 9

ผมจับมันนั่งบนตักผมในอ่างอาบน้ำ ก้นของมันทับอยู่บนดอของผม ผมกอดมันจากข้างหลัง ความรู้สึกเมื่อผิวกายของเราเสียดสีกันมันดีมากเลยครับ ผมขยับก้นไปมาพยายามเอาดอสีก้นไอ้นัย แต่มันไม่ค่อยถนัด ผมเลยจับมันชักว่าวแทน ชักว่าวในน้ำนี่ก็แปลกดีครับ ให้ความรู้สึกไปอีกแบบ ที่สำคัญ ชักแรงๆได้ไม่ค่อยแสบเท่าไรเพราะมันไม่แห้ง

ผมชักให้ไอ้นัยช้าๆ เน้นคลึงที่หัวมัน ไอ้นัยครางเสียงอู้อี้ สักพักเดียวเท่านั้นแหละครับ ควยมันกระตุกเหมือนน้ำกำลังจะแตก ผมชักไม่หยุดมือและรีบก้มลงไปดู อยากเห็นว่าเวลาน้ำแตกในน้ำจะเป็นอย่างไร

แล้วน้ำของไอ้นัยก็แตกพุ่งออกมา มันพุ่งเป็นสายสีขาวขุ่นในน้ำ ไปได้ไกลเหมือนกัน แล้วบางส่วนก็จับตัวเป็นก้อนสีขาวขุ่นตกลงที่ก้นอ่าง ไอ้นัยพ่นน้ำอยู่สามสี่ทีจึงหมด วุ้นสีขาวขุ่นกระจายเต็มอ่าง โห มันพ่นน้ำว่าวออกมาเยอะจริงๆ นี่ขนาดรอบสองนะเนี่ย

“น้ำสกปรกหมด ยังไม่ทันจะแช่เลย” มันบ่น แล้วลุกขึ้นยืน ฉุดผมขึ้นมาด้วย “เปลี่ยนน้ำเถอะ”

“พอก่อนก็ได้ คืนนี้ค่อยแช่อีก ขี้เกียจรอน้ำอ่ะ” ผมบอก ก็เลยยุติการแช่น้ำในอ่างไว้เพียงเท่านี้

พอถึงตอนเช็ดตัว ไอ้นัยยืนเฉยอีก แล้วก็กางแขนขึ้นมา “เช็ดตัวให้หน่อยดิ” มันพูด

“ใกล้จะเป็นง่อยแล้วมั้งมึงนี่ ถึงได้ไม่ยอมทำอะไรเอง”

“เป็นง่อยก็ได้ มึงจะได้คอยช่วยดูแลกูไง” แน่ะ มันพูดหวานๆก็เป็นด้วย เพิ่งจะเคยได้ยินก็วันนี้แหละ

“คงช่วยมึงอาบน้ำ เช็ดตัว ชักว่าวระบายอารมณ์ได้เท่านั้นแหละ อย่างอื่นกูทำไมเป็นโว้ย อาหารก็ไม่เป็น” ผมบอก พลางเช็ดตัวให้มัน

“เออ แค่ว่าวก็ยังดีวะ”

หลังจากเช็ดตัวเสร็จ ไอ้นัยก็เดินแก้ผ้าตัวปลิวเข้าไปในห้องนอน ไม่ยอมใส่เสื้อผ้า เปิดเทปเพลงฟัง แล้วก็ล้มลงไปนอนบนเตียง

ในเมื่อมันไม่ใส่เสื้อผ้า ผมก็ไม่ใส่บ้าง เรื่องอะไรจะยอมแพ้มัน

“เฮ้ย นัย ปกติมึงอยู่บ้านแก้ผ้าจริงๆหรือวะ นึกว่ามึงล้อเล้น” ผมถาม

“จริงๆ แต่เป็นตอนที่ไม่มีใครอยู่นะ ถ้าคุณอาอยู่ก็ใส่เสื้อผ้า” มันพูดหน้าตาเฉย อธิบายซะละเอียด ใครมันจะกล้าแก้ผ้าต่อหน้าอามันล่ะ ไม่เห็นต้องบอกเลย

“มึงขี้เกียจซักเสื้อผ้าเหรอ” ผมถามยั่ว

“ฮื่อ คงงั้นมั้ง” มันตอบ “มันสบายดีอ่ะ มึงลองดูบ้างดิ”

“กูก็ลองอยู่นี่ไง”

“แล้วรู้สึกยังไงล่ะ”

“มันแปลกๆดีว่ะ เย็นๆ” ผมตอบ แล้วมองดูเรือนร่างทั้งของตัวเองและของนัยอย่างเต็มตา มันทำให้ผมเกิดอารมณ์ขึ้นมาอีก ผมเอื้อมมือไปลูบไล้พงหญ้าอ่อนของมัน อยากมีอย่างมันมั่งจัง ไม่รู้เมื่อไหร่จะขึ้น จากนั้นทั้งควยของผมและไอ้นัยก็ผงกหัวขึ้นมาอีก “แต่กูว่าถ้าแก้ผ้าแบบนี้คงต้องชักว่าวทั้งวันตัวเหลืองแน่เลย”

ไอ้นัยเอื้อมมาจับควยผมบ้าง จับมันถอกเล่นแล้วก็ชักเบาๆ ปกติไอ้นัยมันจะเป็นฝ่ายถูกกระทำข้างเดียวครับ โดนจับ โดนว่าวอยู่เรื่อย แต่วันนี้มันจับผมชักว่าวบ้างแล้ว

ชักไปสักครู่ อารมณ์ผมกำลังบรรเจิดอยู่ มันก็หยุด “นี่ จะให้ดูอะไร ลุกขึ้นมาก่อน” มันบอก

เราลุกขึ้นจากเตียง แล้วไอ้นัยก็เลิกผ้าปูเตียงออกมาให้ดูฟูกที่อยู่ข้างใต้

“มีอะไรเหรอ” ผมไม่เข้าใจ

“ดูดีๆดิ”

อ้อ สังเกตเห็นแล้ว ฟูกที่มันนอนมีคราบด่างดวงเต็มไปหมด โดยเฉพาะตรงกลางที่นอนประมาณระดับเอว “เปื้อนอะไรน่ะ” ผมถาม

“น้ำว่าวกูเอง” มันพูดอย่างภูมิใจ

“นี่มึงชักว่าวแล้วเอามาป้ายที่ฟูกเหรอ แหวะ สกปรกฉิบหาย” ผมด่ามัน

“ไอ้อู มึงนี่เซ่อจริงๆ ใครจะเอาน้ำว่าวไปป้ายฟูกวะ นี่กูฝันเปียกว้อย ตอนแรกๆยังไม่รู้อะไร พอตื่นนอนขึ้นมา กางเกงกับผ้าปูที่นอนเลอะไปหมด เลอะไปถึงฟูกนั่นแหละ กูเก็บเอาไว้ให้มึงดู” เออ ไม่รู้จะเอามาให้ผมดูทำไม แต่มันก็ได้อารมณ์ดี ดูคราบน้ำว่าวมันแล้วอารมณ์ยิ่งกระเจิง ไอ้นัยเลยจับผมนอนหงายชักว่าวต่อจนน้ำแตก น้ำว่าวไหลทะลักจากหัวดอลงมากองที่โคนเป็นก้อนข้นคลั่ก น่าแปลก น้ำว่าวผมไม่ค่อยคาวเท่าไร ส่วนของไอ้นัยคาวมาก

“ใครทำน้ำกูแตกช่วยเช็ดให้ด้วย” ผมนอนพูดหน้าตาย เลียนแบบไอ้นัยบ้าง ไอ้นัยเลยต้องเอาทิชชู่มาเช็ดคราบน้ำว่าวให้ผม ดีแล้ว ให้มันบริการผมบ้าง อิอิ

หลังจากนั้นผมก็แก้ผ้าคุยกับไอ้นัย ค่อยๆเริ่มชินและรู้สึกสนุกกับการอยู่บ้านโดยไม่ใส่อะไร ตลอดทั้งเช้าผมกับไอ้นัยไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเลย เราเดินลงมาข้างล่าง หาขนมกิน ดูโทรทัศน์ ทั้งๆที่ตัวเปล่าเปลือย ผมควยแข็งเกือบตลอดเวลาเลยครับ เพราะรู้สึกเร้าอารมณ์ ตื่นเต้น และแปลกใหม่ ส่วนไอ้นัยก็แข็งเหมือนกัน

“เวลามึงแก้ผ้า ควยมึงลุกตลอดเวลาหรือเปล่าวะ” ผมสงสัย

“ไม่หรอก ปกติก็ลุกมั่ง ไม่ลุกมั่ง นี่กูเห็นควยมึงลุกเลยลุกเป็นเพื่อนน่ะ” ฟังมันอธิบายเข้าสิครับ

ขณะนั่งฟังเพลงในห้องนอน ผมนอนฟังอยู่บนเตียง ไอ้นัยนั่งฟังอยู่ที่เก้าอี้โต๊ะเขียนหนังสือ ผมฟังไม่รู้เรื่องเลยครับ ตอนนั้นมันเกิดอารมณ์ขึ้นมาอีกรอบแล้ว มัวแต่ดูเรือนร่างของไอ้นัย และแล้ว ผมก็ทนไม่ไหว ลุกขึ้นไปคว้าดอของไอ้นัยซึ่งกำลังแข็งอยู่ กะว่าจะเปิดเกมอีกสักรอบ แต่พอจับดอมันก็สังเกตเห็นว่าหนังหุ้มปลายที่หัวมีน้ำใสๆหยดใหญ่ๆเกาะอยู่ ที่เก้าอี้ตรงดอของมันก็มีน้ำคล้ายๆกันหยดอยู่สองสามหยด ผมเอามือไปจับดู มันเหนียวๆ ยืดได้เหมือนกาวน้ำ

“น้ำไรวะ” ผมถาม “น้ำว่าวเหรอ”

“ไม่ใช่มั้ง” ไอ้นัยตอบ “ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไร แต่มันจะออกมาตอนกูเงี่ยนน่ะ”

มันก็คือน้ำหล่อลื่นนั่นเองครับ แต่ไอ้นัยมันไม่รู้จัก ผมเองก็ไม่รู้จัก แสดงว่าไอ้นัยมันเป็นหนุ่มเร็วมาก อายุไม่เท่าไรก็มีน้ำหล่อลื่นแล้ว ของผมยังไม่มีเลยครับ

น้ำอะไรก็ไม่สนใจแล้ว ผมจับไอ้นัยจะชักว่าว แต่ไอ้นัยกลับพาผมไปที่เตียง ไม่พูดไม่จา จับผมนอนคว่ำ แล้วมันก็ล้มลงทับตัวผม กอดก่าย แล้วเอาควยของมันสอดเข้ามาในร่องก้นของผม ถูไถไปมา มันจะเอาคืนผมบ้างนั่นเอง

ผมนอนเฉยปล่อยให้มันทำตามใจ ไหนๆก็ข่มเหงมันที่โรงเรียนมามากแล้ว วันนี้ยอมให้มันเอาคืนบ้าง ลีลาการถูไถของมันเร่าร้อนมาก ไม่นึกเลยว่าคนที่เฉยๆตลอดเวลาจะมีเซ็กซ์ที่ร้อนแรง

“ฝืดอ่ะ” มันบ่น “คอยเดี๋ยวนะ อย่าไปไหน” มันพูดยังกับว่าผมจะไปไหนได้ ว่าแล้วมันก็เดินหายเข้าไปในห้องน้ำ สักพักก็ออกมา มือข้างหนึ่งเต็มไปด้วยฟองสบู่ มันเอาน้ำสบู่มาป้ายที่ก้นผมเพื่อให้ลื่นนั่นเอง จากนั้นก็บรรเลงเพลงไถต่อ

สักพักเดียว ผมก็รู้สึกร้อนวูบที่ร่องก้น น้ำไอ้นัยแตกออกมาแล้วนั่นเอง

แม้น้ำจะแตกออกมาแล้ว มันก็ยังไม่ยอมหยุด เคล้าคลึงก้นผมอยู่อย่างนั้นแหละ จนน้ำว่าวของมันกระจายเลอะไปทั้งก้นและเอวของผม ลีลามันสุดยอดมากเลยครับ นี่ขนาดยังเด็กนะครับเนี่ย

และแล้วมันก็ลุกจากตัวผม

“หนักฉิบหาย ทับควยกูแทบหัก” ผมบ่น “ว่าวให้กูด้วยดิ อย่าเสร็จคนเดียว”

หลังจากนั้น นัยก็ชักว่าวให้ผม เป็นอันว่าวันนั้น แค่ช่วงเช้า เราก็น้ำแตกกันไปคนละ 3 รอบ หลังจากอาบน้ำอีกรอบแล้ว เราก็มานั่งแล่นเกม ฟังเพลง โดยยังแก้ผ้าอยู่ จนถึงราวๆเที่ยง ค่อยใส่เสื้อผ้า เพราะคุณอาของมันบอกว่าจะกลับมาในช่วงบ่าย เลยใส่เสื้อผ้ารอท่าเอาไว้ก่อน

Thursday, March 22, 2007

ตอนที่ 8

ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณเพื่อนๆมากครับ สำหรับแรงเชียร์ที่ช่วยดันกระทู้ไม่ให้ตก รวมทั้งยังคอยตามเวลาผมทิ้งช่วงการโพสต์ไป อยากจะถามเพื่อนๆเหมือนกันว่าผมเล่าเรื่องช้าไปหรือเปล่า เพราะเดิมทีตั้งใจจะเล่าเรื่องของไอ้นัยตั้งแต่ประถมจนถึงมัธยม แบบสั้นๆ พอให้รู้ว่าชีวิตของไอ้นัยและผมนั้นเป็นอย่างไร มีพัฒนาการอย่างไร มีอะไรเป็นแรงจูงใจ ให้เป็นไปแบบนั้น แต่พอเล่าจริงๆแล้วกลายเป็นว่าผมเล่าด้วยรายละเอียดที่ค่อนข้างเยอะ ดูสิครับ โพสต์มาหลายครั้งแล้ว เรื่องยังไม่ไปถึงไหนเลย ป.๕ ยังไม่จบเลย ไม่รู้ว่าถ้าเล่าแบบนี้เมื่อไรจะถึงมัธยม

ก็คงต้องขอสารภาพความในใจว่า เดิมทีอย่างเล่าเรื่องนี้เพื่อให้เพื่อนๆได้สนุกสนาน เพราะคงมีน้อยคนที่จะเจอเรื่องแบบผม พอดีตอนที่เริ่มเล่านั้นเป็นช่วงใกล้ปีใหม่ด้วย ปีใหม่ทีไรมันทำให้ผมนึกถึงไอ้ชัชไอ้นัยครับ ว่าจะเล่าสั้นๆ แต่ว่าพอเล่าไปแล้วมันสะกิดความหลังครับ ภาพของผมกับไอ้นัยไอ้ชัชมันผุดขึ้นมาเป็นฉากๆแจ่มชัดในความทรงจำเหมือนเพิ่งเกิดเมื่อไม่กี่วันนี้เอง ทั้งๆที่เรื่องนี้เกิดขึ้นสิบกว่าปีเกือบยี่สิบปีมาแล้ว หลายๆเรื่องในช่วงชีวิตวัยนั้น ผมลืมไปเยอะแล้ว แต่กับเรื่องของไอ้ชัชไอ้นัยนั้นไม่เคยลืมเลย ยังงี้กระมังครับที่เรียกว่าความฝังใจ

ก็เลยอยากถามเพื่อนๆว่า อยากให้ผมเล่ารวบรัด หรือปล่อยให้ผมเล่าไปเรื่อยๆแบบที่เป็นอยู่นี้ ถ้าเล่าแบบนี้ก็ต้องคอยตามอ่านกันนานหน่อย ผมจะรอฟังความเห็น

คราวนี้มาเล่าต่อครับ

- - - - - - - - - - - - - - - - - - -

พอผมจับไอ้นัยแก้ผ้าได้ มือผมก็เริ่มซน คว้าดอไอ้นัยหมับแล้วปลิ้นเล่น

“ไหนดูหน่อยดิ๊ ควยถอกได้หมดหรือยัง”

ปรากฏว่าตอนยังไม่แข็งนี่ถอกได้สุดเลยครับ สงสัยไอ้นี่แอบว่าวตอนปิดเทอมมาอย่างโชกโชน ผมเลยจับดอมันปั่นเล่นเพื่อให้แข็ง

“ฮื่อ ถอกได้สุดแล้วนี่ ไหนดูตอนลุกดิ๊ ถอกได้หมดไหม”

คราวนี้ไอ้นัยเดินหนีครับ

“จะอาบน้ำ” มันบอก “ตั้งแต่เช้าตื่นมายังไม่ได้อาบเลย”

ว่าแล้วมันก็เดินแก้ผ้าเข้าไปในห้องน้ำซึ่งอยู่ติดกับห้องนอน

ได้การ ปากผมไวเท่าความคิดอันชั่วร้าย

“ไม่ต้องล็อคประตูนะไอ้นัย เดี๋ยวกูอาบด้วยคน ขอหยิบผ้าเช็ดตัวก่อน”

ว่าแล้วผมก็รีบเดินไปซื้อเป้ที่สะพายมาเพื่อหยิบผ้าเช็ดตัว ในนั้นผมเอาชุดนอนกับผ้าเช็ดตัวแปรงสีฟันมาครับ

ปรากฏว่าไอ้นัยมันไม่เพียงแต่ไม่ได้ล็อคประตูเท่านั้น มันยังไม่ปิดประตูห้องน้ำอีกด้วย เปิดแง้มเอาไว้ โอ มันน่ารักจริงๆ ไม่เคยขัดใจเพื่อนสักที

ห้องน้ำบ้านอามันนี่ตกแต่งสวยครับ ยังกับไม่ใช่ห้องน้ำ เป็นห้องพักผ่อนอะไรสักอย่าง ประดับประดาต้นไม้เล็กๆไว้ด้วย คล้ายเป็นสวนย่อมๆในห้องน้ำ ผมนึกในใจว่าคนเราหนอคนเรา ช่างคิดพิเรนทร์จริงๆ แม้กระทั่งห้องน้ำยังอุตส่าห์จะทำสวน ในห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำด้วยละครับ โห ในฝันผมเลย อยากนอนอาบน้ำในอ่างอาบน้ำมานานแล้ว เพราะเห็นจากในหนังฝรั่งท่าทางจะน่าใช้ เคยอาบแต่น้ำในตุ่ม วันนี้ต้องขอลองอ่างอาบน้ำดูสักที

ไอ้นัยกำลังรองน้ำใส่อ่างอยู่

“โห มีอ่างอาบน้ำด้วย” ผมอุทาน “ขอลองอาบในอ่างสักทีได้ไหม”

“ก็รองน้ำให้อยู่นี่ไง” มันตอบ “จำได้ว่ามึงเคยบอกว่าอยากลองใช้อ่างอาบน้ำ ปกติกูไม่ค่อยได้ใช้หรอก เพราะขี้เกียจรองน้ำ ขี้เกียจขัดอ่างด้วย”

เพิ่งจะรู้นะครับว่าไอ้นัยมันก็เป็นคนที่ละเอียดอ่อนเหมือนกัน เพราะผมพูดกับมันเรื่องอ่างอาบน้ำตอนไหนเองยังจำไม่ได้เลย แต่มันกลับจำได้

วิธีอาบของมันก็คือ อาบน้ำจากฝักบัวให้ตัวสะอาดก่อน จากนั้นก็ลงไปนอนแช่น้ำอุ่นในอ่างอาบน้ำ ในนั้นมันจะหยดสารอะไรลงไปด้วย ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่าอะไร แต่ตอนนี้พอเดาได้ว่าน่าจะเป็นพวกน้ำมันหอมระเหยหรือพวกน้ำมันบำรุงอะไรประมาณนั้น

“เอ้า อาบฝักบัวก่อน เดี๋ยวค่อยลงไปแช่” ไอ้นัยบอก ว่าแล้วมันเองก็ลงมือเปิดฝักบัวอาบน้ำ ผมไม่รอช้า รีบถอดเสื้อผ้า รีบเข้าไปแทรกในสายน้ำฝักบัวทันที

เมื่อผิวกายสัมผัสกันกลางสายน้ำไหล ผมก็เกิดอารมณ์ทันที ดอผมแข็งเด่อย่างรวดเร็ว ส่วนไอ้นัยพอเห็นของผมแข็ง ของมันก็เริ่มแข็งตัวบ้าง

“ของกูถอกได้หมดแล้วนะ” ผมคุยอวดไอ้นัย ว่าแล้วก็ถอกดอให้มันดู หนังหุ้มปลายสามารถร่นไปจนถึงคอหยัก ผมว่าวบ่อยน่ะครับ หนังหุ้มเลยร่นเข้าไปได้เร็ว ขนาดน้ำยังไม่ค่อยมีนะครับ ยังว่าวบ่อย ถ้าตอนโตจะขนาดไหน

ไอ้นัยเห็นของผม มันก็ถอกของมันดูบ้าง ปรากฏว่ามันยังเปิดหัวได้ไม่หมดเลยครับ พอแข็งเต็มที่รูดลงมาได้แค่ครึ่งหัวเท่านั้น แต่ของมันใหญ่กว่าของผมครับ เพราะมันเข้าวัยรุ่นแล้ว โตเร็วกว่าผม

“ขี้เกียจจังวันนี้” อยู่ดีๆไอ้นัยก็เปรยขึ้นมา ผมยังตามมุขของมันไม่ทัน เลยเฉยๆ ไม่ได้ตอบอะไร แช่ฝักบัวอยู่สักพัก จนผมถูกสบู่ทั่วทั้งตัวแล้ว มันก็ยังไม่ถูสบู่สักที

“เอ้า ฟอกเสียทีสิ” ผมเร่งมัน

“ขี้เกียจฟอกสบู่อ่ะ เมื่อยมือ” มันยืนเฉย พูดหน้าตาย ถึงตอนนี้ผมก็เก็ตเลย

“เออ ระวังเป็นง่อยนะมึง ขี้เกียจหนักขนาดนี้ แต่ไม่เป็นไร วันนี้กูบริการฟอกสบู่ให้มึงเอง”

ว่าแล้วไม่รอช้า เอาสบู่ถูมาถูละเลงตัวไอ้นัยจนทั่วตัว จากนั้นก็เริ่มฟอกไล่มาตั้งแต่ลำคอ หน้าอก ช่วงอกที่มีกล้ามเนื้อของมันเซ็กซี่มาก ฟอกไปก็สะดุดหัวนมมันไป อารมณ์กระเจิงหมด

ผมเลยจับมันยืนหันหลังให้ผม ลำตัวผมแนบแผ่นหลังของมัน กระดอแนบเข้าไปในร่องก้นที่ลื่นด้วยสบู่ ผมไล้ฟองสบู่ไปทั่วหน้าอก ท้อง และท้องน้อยของมันในสภาพตัวประกบกันอย่างนั้น

ธรรมชาติได้สอนให้ผมรู้ว่าการกระเด้าร่องก้นของไอ้นัยนั้นมันวิเศษเพียงใด ผมค้นพบเองโดยบังเอิญครับ ไม่ได้ไปอ่านจากหนังสือที่ไหน เพราะตอนนั้นยังไม่เคยดูหนังสือโป๊เลย แต่เสียดายผมไม่ค่อยมีพรสรรค์ด้านการคิดค้น เลยคิดได้แค่การไถร่องก้นมัน ถ้ามีพรสวรรค์มากกว่านี้คงคิดได้ล้ำลึกถึงถ้ำโพรงไปเลย ฮ่าฮ่า

ผมกอดไอ้นัยจนแน่น ผิวเนื้อที่ลื่นด้วยสบู่สัมผัสเสียดสีกันเป็นอะไรที่มีความสุขมากๆ กระดอผมเสียบอยู่ในร่องก้นมัน ไถไปมา ไข่ก็เบียดกับแก้มก้นมัน สบู่ทำให้ทุกอย่างลื่นไปหมด ไม่ฝืดเลย เป็นความสุขแปลกใหม่ที่ผมไม่เคยเรียนรู้มาก่อน

ผมจับกระดอไอ้นัยชักไปด้วย ของตัวเองก็ไถไปด้วย เพียงครู่เดียว น้ำของผมก็แตก รู้สึกว่าการแตกคราวนี้มันสุดๆ แต่ไม่รู้ว่าแตกเยอะหรือเปล่านะครับ เพราะมันเลอะอยู่ในร่องก้นไอ้นัย ส่วนไอ้นัยนั้น ผมปั่นดอมันต่อ โดยท้องน้อยของผมก็ยังบดบี้กับก้นของมันอยู่ หลังจากนั้นอีกไม่นาน ไอ้นัยก็น้ำแตกตามมา น้ำของมันออกมาเยอะมาก ฉีดออกมา 6-7 ที แถมพุ่งไกลอีกต่างหาก กลิ่นคาวคลุ้งไปทั่วห้องน้ำ

“โห ทำไมมันออกเยอะยังงี้วะ” ผมอุทาน

“ของมึงก็คงออกเยอะนะ น้ำของมึงร้อนจัง ก้นกูร้อนไปหมดเลยเนี่ย” ไอ้นัยว่า

หลังจากนั้นเราก็ล้างสบู่ออกจากตัว ตอนจะล้างสบู่ ไอ้นัยยืนเฉยอีก

“ขี้เกียจอ่ะ ล้างตัวให้หน่อยดิ” ไอ้นัยทำเสียงอ้อน แต่ตีหน้าตาย

ผมก็เลยต้องล้างตัวให้มันด้วย แต่เป็นการกระทำที่ผมมีความสุขและเต็มใจทำ เหมือนอาบน้ำเด็กเล็กยังไงยังงั้นเลยครับ แต่ไอ้นี่มันเป็นเด็กโข่ง

หลังจากนั้น ไอ้นัยก็ให้ผมลงไปนอนแช่ในอ่าง โดยมีมันนั่งเปลือยกายดูผมอยู่ที่ขอบอ่าง ความรู้สึกตอนแช่อยู่ในอ่างอาบน้ำเป็นครั้งแรกในชีวิต มันอุ่นสบายอย่างบอกไม่ถูก

“เป็นไง ชอบไหม”

“โคตรเลย” ผมบอก “ลงมาแช่ด้วยกันดิ”

ว่าแล้วผมก็เอื้อมมือไปฉุดกระดอของมัน (ไม่ใช่ฉุดมือนะครับ) ลากให้ลงมาในอ่างน้ำด้วยกัน