Sunday, January 31, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 46

ผมรู้สึกหน้าชา อับอายเหลือที่จะกล่าว แม้ว่าตอนนั้นผมเริ่มยอมรับในความรู้สึกของตนเองแล้วว่าผมชอบผู้ชาย ไม่ได้ชอบผู้หญิง แต่มันก็เหมือนกับคนที่ยอมรับว่าตนเองป่วยหรือผิดปกติ มันก็แค่ยอมรับความจริงเท่านั้นแต่ไม่ได้ยินดีไปกับมันเลย ยิ่งไม่เคยคิดว่าจะต้องมายอมรับความจริงต่อหน้าธารกำนัลอีกด้วย ดังนั้นเมื่อผมได้ยินเช่นนั้น แม้ว่าผู้พูดอาจไม่มีเจตนาก็ตาม แต่ก็ทำให้ผมรู้สึกอับอาย ผมไม่กล้ามองไปรอบๆว่ามีใครดูผมอยู่บ้างหรือเปล่า รีบเดินหนีไปจากบริเวณนั้นในทันที...

โชคดีที่ผมซื้อหนังสือที่ต้องการมาได้เรียบร้อยแล้ว พอเดินหนีออกมาได้ก็กลับหอพักเลย เมื่อกลับมาแล้วก็เอาหนังสือติวต่างๆมานั่งดูพร้อมทั้งวางแผนว่าจะอ่านอย่างไร เพราะว่าเนื้อหาที่ต้องอ่านมีมากมาย ตั้ง ๘ หมวด อีกทั้งยังต้องอ่านเนื้อหาตั้งแต่ ม.๔ ยัน ม.๖ อีกด้วย ไอ้กี้และเพื่อนคนอื่นๆจะได้เปรียบเพราะเริ่มดูหนังสือมาตั้งแต่เทอมต้น เท่ากับว่ามันมีเวลาเตรียมตัวสอบเทียบและสอบเอนทรานซ์ถึง ๒ ปี ในขณะที่ผมมีเวลาเพียงปีเดียว

ผมวางแผนเอาไว้ว่าจะเริ่มดูหนังสือของ ม.๔ ก่อน ทั้งสายวิทย์ที่จะใช้สอบเอนทรานซ์ และทั้งสายศิลป์คำนวณที่จะใช้สอบเทียบ เพราะว่าวิชา ม.๔ จะได้เอาไว้สอบปลายภาคด้วย หลังจากปิดเทอมแล้วจึงค่อยดูวิชาของ ม.๕ จากนั้นเปิดเทอมใหม่ค่อยมาดูวิชา ของ ม.๖ แล้วตอน ม.๕ เทอมปลายก็เอาไว้เป็นเวลาทบทวนและทำข้อสอบเอนทราซ์เก่าๆ

วิชาของ กศน. ในส่วนที่เป็นสังคม ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ ก็คล้ายๆกับที่ผมเรียนในโรงเรียน ดูๆแล้วเนื้อหาไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ส่วนคณิตศาสตร์นั้นก็แตกต่างกันไม่มาก ที่จะต่างกันคือวิทยาศาสตร์ ของ กศน. เป็นพวกวิทยาศาสตร์กายภาพชีวภาพอะไรพวกนั้น ซึ่งไม่ได้เรียนเนื้อหามากเหมือนสายวิทย์ ดังนั้นโดยรวมแล้วความยากของการเรียน กศน. ไม่ได้อยู่ที่เนื้อหาวิชา แต่อยู่ที่ความเยอะของเนื้อหาที่ต้องดูให้จบและจำให้ได้ในเวลาอันจำกัด

ดังนั้นหลังจากปีใหม่เป็นต้นมา ผมก็เริ่มอ่านหนังสือตามแผนที่วางเอาไว้ ในเวลาเรียน ผมพยายามตั้งใจเรียนมากขึ้น เพราะวิชาต่างๆไม่ว่าสังคม ภาษาไทย ฯลฯ ที่พวกนักเรียนสายวิทย์ไม่ค่อยสนใจกันเหล่านี้ล้วนแต่เป็นประโยชน์ในการสอบเทียบ การเรียนกับอาจารย์ในห้องเรียนก็เหมือนช่วยการเรียน กศน. ไปด้วยในตัว ผมพยายามทำให้เนียนโดยไม่เอาหนังสือติวไปดูที่โรงเรียน เพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่าผมกำลังจะสอบเทียบ ถ้าเกิดไม่สำเร็จจะได้ไม่เสียหน้า แต่เพียงแค่อาการตั้งใจเรียนของผมก็ทำให้เพื่อนๆแปลกใจกันมากพอดูแล้ว

นับว่าเป็นโชคดีของผมอยู่บ้าง ที่หลังจากถูกป้ายขี้เป็นต้นมา ผมไม่ได้ถูกเวชแกล้งอะไรแรงๆอีกเลย จะมีบ้างก็เป็นไอ้เกรียงที่ชอบพูดกระทบกระเทียบ หรือบางทีก็แกล้งเล็กๆน้อยๆ เช่น เอาชอล์คปาหัว ซึ่งก็พอทนได้ ถึงแม้การแกล้งของเวชและพวกจะซาลงไปแต่ก็ไม่ได้ทำให้ความตั้งใจที่ผมจะไปจากที่นี่เปลี่ยนแปลงไป

ปัญหาใหญ่ที่สุดของผมอยู่ที่การปรับตัวในการดูหนังสือด้วยตนเอง เป็นปีๆแล้วที่ผมไม่ตั้งใจเรียน ชอบนั่งฝันสร้างวิมานในอากาศทั้งกลางวันและกลางคืน ทำอะไรก็ห่วยแตกไปวันๆ การบ้านก็อาศัยลอกเพื่อนๆเป็นหลัก สอบก็แค่พอให้ผ่านเอาตัวรอดได้เท่านั้น การที่จะกลับมาตั้งใจเรียนอีกทั้งดูหนังสือในตอนกลางคืนด้วยนั้นเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับผม

ในยามค่ำคืน ปกติผมจะนั่งฟังเพลงในความมืด ปล่อยอารมณ์ไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ก็คิดฟุ้งซ่าน คิดถึงไอ้นัยบ้าง คิดถึงไอ้บอยบ้าง วาดวิมานในอากาศบ้าง บางทีก็ดูหนังสือนิดๆ ทำการบ้านหน่อยๆ ตามแต่ความจำเป็น จากนั้นก็เข้านอน จนเพาะเป็นนิสัยขี้เกียจ ส่วนเรื่องไอ้นัยนั้นเดิมทีที่ผมตั้งใจว่าจะลืมมันให้ได้ แต่แท้ที่จริงแล้วไม่ว่าจะทำอะไรผมมักหวนนึกถึงวันเก่าๆ ประสบการณ์เก่าๆ ใจประหวัดคิดถึงมันโดยตลอด โดยเฉพาะเวลาที่ผมพบไอ้บอยเป็นเวลาที่ผมคิดถึงไอ้นัยบ่อยที่สุด นอกจากนี้ ทุกครั้งเมื่อผมมีความเครียดหรืออยู่ในภาวะกดดัน อย่างเช่นตอนใกล้สอบ ผมมักฝันร้ายเรื่องเดิมๆอยู่เสมอ ดังนั้นจึงกลายเป็นว่าผมพยายามหลอกตนเองมาโดยตลอดว่าผมลืมมันไปได้แล้ว

- - -

เดือนมกราคมในปีนั้นเป็นเดือนที่ยากลำบากมากเดือนหนึ่งในชีวิต ไม่ได้ลำบากแบบอดๆอยากๆ แต่ลำบากในการพยายามเอาชนะตนเอง ใครที่เคยขี้เกียจมาก่อนแล้วพยายามจะกลับมาขยันคงเข้าใจความรู้สึกได้ดี ไม่ใช่เพียงความเคยชินเก่าๆที่ฉุดรั้งเราเอาไว้เท่านั้น แต่ความท้อแท้ ความที่ไม่เคยทำอะไรได้สำเร็จ เป็นตัวการสำคัญที่คอยบั่นทอนกำลังใจของผม เปรียบเหมือนคนที่ล้มลงไปนอนอยู่กับพื้นแล้วลุกไม่ขึ้น และก็ชินกับการนอนให้คนเหยียบผ่านไปผ่านมาอยู่เช่นนั้นอยู่นานๆ เมื่อยามจะกลับมาลุกขึ้นยืนใหม่อีกนั้นนั้นมันยากเย็นแสนเข็ญสิ้นดี

ผมพยายามดูหนังสือในเวลากลางคืน แต่ว่าแทบจะไม่มีสมาธิเลย ดูไปได้เดี๋ยวเดียวก็ต้องลุกมาทำนั่นทำนี่ เหมือนคนสมาธิสั้น พอดูไปๆกำลังจะติดลมก็เกิดง่วงขึ้นมาอีก ทำอะไรก็มีแต่ความขัดข้องไปหมด

“แป๋ง ดูหนังสือแล้วง่วงนี่ต้องทำไงวะ” ผมถามแป๋งในวันหนึ่งในตอนที่ผมกลับเข้าหอ แป๋งนั่งเฝ้าชั้นล่างอยู่พอดี เราจึงนั่งคุยกันเป็นปกติ เรื่องของผมกับแป๋งที่ผ่านมานั้นผมไม่ได้ติดใจอะไรแล้ว เป็นเพียงแค่เสียความรู้สึกนิดหน่อยเท่านั้นเอง เหตุที่ไม่ได้ติดใจเพราะว่าผมไม่ได้คิดจะพัฒนาความสัมพันธ์อะไรกับแป๋งให้ไกลไปกว่านี้อีกเนื่องจากช่วงนั้นสนิทกับบอยมาก ผมมองแป๋งเป็นแค่เพื่อนที่มีประสบการณ์บางอย่างร่วมกันนิดหน่อย...ก็เท่านั้นเอง

“กินกาแฟดิ” แป๋งแนะนำ

“แล้วนายเคยกินเหรอ” ผมถาม

“ไม่เคยหรอก กินแต่เหล้า” แป๋งตอบหน้าทะเล้น

“ไอ้นั่นน่ะรู้อยู่แล้ว” ผมหัวเราะ จากนั้นผมนึกยังไงก็ไม่รู้ ลดเสียงลงเป็นเสียงกระซิบแล้วถามต่อ “แล้วน้ำว่าวไอ้วุฒิล่ะ เคยกินหรือยัง”

“ไอ้บ้า” แป๋งด่า ทีแรกแป๋งทำท่าตกใจ เหลียวมองซ้ายขวา จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นท่าทีเขิน เพิ่งจะเคยเห็นเด็กทะเล้นอย่างมันเขินก็วันนี้เอง “นายเอาอะไรมาพูดวะ”

ผมไม่ได้คุยอะไรเรื่องวุฒิต่อ แปลกใจตนเองเหมือนกันว่าพูดออกไปได้ยังไง มันหลุดปากจริงๆ จากนั้นผมก็เปลี่ยนเรื่องด้วยการซื้อกาแฟซองจากแป๋งและเดินขึ้นห้องไป

กาแฟผงสำเร็จรูปในยุคนั้นยังไม่มีแบบซอง 3 in 1 หรือว่าซองเล็กแบบชงได้หนึ่งแก้วอย่างในปัจจุบัน ต้องซื้อกาแฟผงสำเร็จรูป ครีมเทียม และน้ำตาลแต่ละอย่าง แล้วมาชงกับน้ำร้อนเอาเอง ครีมเทียมนี่ขายเป็นกล่องใหญ่ ดังนั้นที่ร้านของแป๋งจึงไม่ได้รับมาขาย คงมีแต่กาแฟผงซองขนาดย่อมกับน้ำตาล ผมจึงซื้อมาแต่กาแฟเพราะว่าไม่ได้ตั้งใจกินเอาอร่อย แต่จะกินเพื่อให้หายง่วง ส่วนน้ำตาลทรายนั้นมีอยู่แล้วในห้อง

เมื่อกลับมาถึงห้องพัก ผมก็ต้มน้ำเตรียมชงกาแฟ ผมก็อดนึกถึงพี่เอ้ไม่ได้ จำได้ว่าพี่เอ้เคยไปกินกาแฟที่ร้านออนล็อกหยุ่นกับไอ้นัยและพี่เต้ กลับมาแล้วบ่นนอนไม่หลับไปทั้งคืน กาแฟนี่น่าจะช่วยผมได้

น้ำร้อนแล้ว ผมชงกาแฟด้วยกาแฟผงกับน้ำตาลทราย ครีมเทียมไม่มีก็ช่างมัน ใส่กาแฟเท่าไรจึงจะหายง่วงก็ไม่รู้ ใส่ไปหนึ่งช้อนก่อนละกัน ตั้งแต่เด็กไม่เคยดื่มกาแฟเลย ต่างจากวัยรุ่นสมัยนี้ที่มีบางส่วนนิยมดื่มกาแฟสด ยุคของผมไม่มีกาแฟสดขายกันทั่วไปแบบนี้ อีกทั้งผู้ใหญ่มักบอกว่าดื่มกาแฟแล้วนอนไม่หลับ ก็เลยไม่ดื่ม เคยลองชิมเหมือนกันแต่ว่าขมจึงไม่ชอบ ดังนั้นผมจึงโตมาด้วยการดื่มน้ำเปล่า น้ำหวาน น้ำอัดลม แล้วก็ข้ามมาเหล้ากับเบียร์ไปเลย

“โอย แม่ง ขมฉิบหาย” ผมอดอุทานออกมาไม่ได้เมื่อได้ลิ้มรสกาแฟฝีมือตนเองแก้วแรกในชีวิต น่าแปลกที่กาแฟแก้วนี้นอกจากความขมแล้วมันยังทำให้ผมคิดถึงไอ้นัยขึ้นมาอย่างรุนแรง... ขมที่ลิ้น แต่ว่าขื่นที่ใจ...

ผมกัดฟันดื่มกาแฟจนหมดแก้ว จากนั้นก็ไปอาบน้ำ จากนั้นก็มานั่งอ่านหนังสือ เพียงครึ่งชั่วโมงหลังจากดื่มลงไปเท่านั้น กาแฟแก้วนั้นก็ออกฤทธิ์ ผมรู้สึกใจเต้น ตื่นเต้น กระสับกระส่าย ถึงแม้จะไม่ง่วงแต่ก็ดูหนังสือไม่รู้เรื่องเอาเลยเพราะความรู้สึกกระสับกระส่าย

ตีสามแล้ว...

คืนนั้นเป็นคืนที่แสนทรมาน จะนอนก็ไม่หลับ จะดูหนังสือก็ไม่ได้ ผมรู้สึกฟุ้งซ่านจึงขึ้นไปนั่งเล่นรับลมที่ชั้นดาดฟ้า ในยามดึกสงัด แทบปราศจากแสงไฟ ผมเหม่อมองดวงดาวที่พราวพรายในท้องฟ้ายามปลายฤดูหนาว ความคิดคำนึงก็หวนไปถึงไอ้นัย ไม่รู้ว่าคืนนี้เป็นอะไรขึ้นมา ผมคิดถึงไอ้นัยมากเป็นพิเศษ ทั้งๆที่ผมพยายามจะลืมมันไปให้ได้ ความรู้สึกอ้างว้างหวนกลับมาเคียงคู่ผมอีกครั้งหนึ่ง

ก่อนหน้านี้ผมพยายามจะลืมมัน ทั้งนี้ ก็เพราะผมต้องการหนีจากมโนธรรมของตนเอง แต่มันก็เปรียบเหมือนกับการที่ผมเอาล็อกเก็ตที่มีรูปไอ้นัยห้อยเอาไว้ที่หน้าอก ผมบอกว่าจะลืมมัน แต่เมื่อก้มลงไปผมก็เห็นมันอยู่ทุกครั้ง แล้วผมก็พยายามหลอกตนเองว่าผมลืมมันได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วผมไม่สามารถที่จะลืมมันได้เลย รวมทั้งไม่สามารถหนีพ้นจากมโนธรรมองตนเองด้วย ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ ชีวิตของผมคงไปไม่ถึงไหน เป็นแน่

“ไอ้นัย ขอโทษนะที่กูพยายามจะลืมมึง ทั้งๆที่กูไม่ควรจะลืมเพื่อนที่ดีที่สุดอย่างมึงเลย แต่ที่กูทำเพราะกูอยากหนีความผิดที่กูทำเอาไว้กับมึง” ผมพูดกับเวิ้งฟ้าและดาราพรายด้วยเสียงแผ่วเบา อากาศในตอนตีสามเย็นยะเยือก แต่ผมรู้สึกว่าหัวใจของผมเยียบเย็นยิ่งกว่า “ต่อไปกูจะไม่ลืมมึงแล้ว กูจะไม่หนีความผิดที่กูทำไว้กับมึงอีก เมื่อไรที่เราได้พบกันอีก กูจะพยายามชดใช้ให้นะนัย ไม่ว่าจะต้องชดใช้ด้วยอะไรตาม กูก็จะพยายาม”

- - -

ฤทธิ์ของกาแฟทำให้ผมนอนไม่หลับและฟุ้งซ่านตลอดทั้งคืน กว่าจะหลับได้ก็เป็นตอนเช้าของวันอาทิตย์ แต่ก็เป็นการหลับที่ไม่สนิทนัก ดังนั้นตลอดวันอาทิตย์ทั้งวันผมจึงรู้สึกมึนตลอดทั้งวันแต่ก็พยายามแข็งใจดูหนังสือ

การพยายามตั้งใจเรียนและดูหนังสือในช่วงเดือนมกราคมเป็นช่วงที่ขลุกขลักมาก ท้อจนเกือบจะเลิกกลางคันอยู่หลายครั้ง แต่ในที่สุดผมก็ผ่านมาได้ กำลังใจอันน้อยนิดได้สะสมจนมากขึ้นและมากขึ้น... จนในที่สุดผมก็สามารถปรับตัวได้ กลางวันผมตั้งใจเรียน แต่ก็ทำเนียนไม่ให้เพื่อนๆ โดยเฉพาะไอ้กี้ รู้ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ ส่วนกลางคืนผมดูหนังสืออย่างหนัก รวมทั้งทำการบ้านด้วยตนเองทั้งหมด เพราะว่าการบ้านเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมสามารถทบทวนความเข้าใจไปได้ในตัว

ตอนนี้ผมเลิกคิดที่จะลืมไอ้นัยแล้ว แต่ก็พยายามไม่ไปคิดถึงมัน เปรียบเหมือนกับผมเอาล็อกเก็ตรูปไอ้นัยห้อยเอาไว้ที่หลังของผม ผมไม่ได้ลืมความดำรงอยู่ของมัน แต่ผมก็ไม่พยายามคิดถึงมันเพื่อให้มารบกวนสมาธิในการเรียนของผม ที่จริงข้อเท็จจริงต่างๆก็ยังเป็นเช่นเดิม เพียงแต่ผมเปลี่ยนวิธีคิดเท่านั้นเอง สำหรับผมแล้วมันได้ผลทีเดียว

ในยามเหงาหรือยามท้อ ผมมักคิดถึงบอยอยู่เสมอ แม้ว่าในช่วงนั้นจะเป็นช่วงปลายภาคแล้ว ทั้งผมและบอยต่างก็มีภาระเรื่องการเรียนและพบกันน้อยลงไปบ้าง แต่ผมเริ่มรู้สึกอย่างจริงจังแล้วว่าบอยเป็นกำลังใจอันสำคัญของผม

- - -

ต้นเดือนมีนาคม

ในที่สุดการสอบปลายภาคของภาค ๒ ก็สิ้นสุดลง ผมคิดว่าสอบครั้งนี้ผมน่าจะทำคะแนนได้ดีพอควร ที่นั่งสอบของผมในครั้งนี้อยู่ในเส้นทางของกลุ่มเวชและพวก ซึ่งนั่นหมายความว่าผมอยู่ในเส้นทางลำเลียงฝิ่นอีกแล้ว แต่ว่าโชคดีที่การสอบครั้งนี้ไม่มีฝิ่นส่งผ่านมาทางผมเลย ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าครั้งนั้นไม่มีการส่งฝิ่นกันหรือว่าเพื่อนๆส่งอ้อมผมไป ที่ไม่แน่ใจเพราะว่าผมตั้งใจทำข้อสอบมากจนไม่ได้สังเกตเรื่องเหล่านี้

ในราวต้นเดือน แก๊งพี่ธิตในหอพักมีการจัดเลี้ยงสังสรรค์กัน ถือเป็นการส่งท้ายปิดเทอม เพราะว่าหลังจากนี้ไปแล้วพวกชาวหอที่เป็นนักเรียนและนักศึกษามักจะกลับภูมิลำเนากันไปเป็นเวลานาน คงเหลืออยู่แต่พวกที่ทำงาน กว่าจะได้พบกันพร้อมหน้าพร้อมตาอีกก็ต้องเป็นเดือนพฤษภาคมที่บรรดาน้องๆทยอยกลับมากัน

ที่จริงนักเรียนนักศึกษาที่มาเช่าหอพักค่อนข้างเสียเปรียบ เพราะว่าแม้จะกลับบ้านแต่ก็ต้องจ่ายค่าเช่าห้องอยู่ตลอด จะพักจ่ายไม่ได้ เพราะหากหยุดจ่ายเมื่อไรก็เท่ากับว่าเลิกเช่า ดังนั้นแม้ไม่ได้อยู่แต่ก็ต้องจ่ายค่าเช่าเต็ม

งานเลี้ยงสังสรรค์จัดขึ้นที่ชั้นดาดฟ้า พวกชาวหอที่สนิทสนมกับพี่ธิตรวมทั้งคนอื่นๆในหอที่อยากมาร่วมด้วยรวมแล้วสิบกว่าคนมาสังสรรค์กัน แป๋งกับวุฒิก็มาด้วย

“มาๆ อู ชนแก้วกัน” พี่ธิตยื่นแก้วน้ำบรรจุของเหลวสีเหลืองอำพันมาให้ผม ส่วนพี่ธิตเองก็ถือเอาไว้แก้วหนึ่ง

ผมรับแก้วมา จากนั้นชนแก้วกับพี่ธิต

“นิดเดียวนะพี่ ผมกินไม่เก่ง” ผมพูด

ไอ้แป๋งยักคิ้วแอบหัวเราะ ต่อหน้าพวกพี่ๆและเพื่อนๆในหอ ผมเป็นเด็กที่เรียบร้อย ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ โคตรสร้างภาพได้ดีเลย ซึ่งผมก็อยากให้เป็นอย่างนั้นต่อไป คงมีเพียงแป๋งเท่านั้นที่พอรู้อะไรลึกๆอยู่ ดีที่มันไม่แฉออกมา

ผมสังเกตเห็นแป๋งนั่งติดกับวุฒิตลอดทั้งงาน บางครั้งก็เหมือนนั่งอิงกัน บางทีก็ส่งสายตาให้แก่กัน ไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างที่ผมเห็นจริงๆหรือว่าผมคิดไปเอง


<แผงหนังสือสนามหลวงในอดีต เป็นแหล่งรวมหนังสือติวและกวดวิชาของนักเรียนทุกระดับชั้น อีกทั้งยังเป็นแหล่งขายหนังสือปกขาวหรือว่าหนังสือโป๊ บางคนก็ไม่ได้มาหาซื้อหนังสือเรียนแต่ว่าเจาะจงมาหาซื้อหนังสือโป๊ วิธีการขายจะไม่ได้วางขายให้เห็นเพราะว่าจะถูกตำรวจจับ ในการขายนั้นผู้ขายจะเดินถามลูกค้าทีละคนด้วยคำพูดที่ติดปาก นั่นคือ โป๊มั้ยครับ โป๊มั้ยครับ ใครที่ไปเดินดูหนังสือหากเป็นผู้ชายเป็นต้องโดนถาม ผู้ซื้อก็มีทั้งนักเรียน นักศึกษา และคนทำงาน ผู้ที่ไม่ซื้อก็อาจรู้สึกรำคาญเพราะกว่าจะเดินดูหนังสือเสร็จอาจถูกสะกิดถามไม่ต่ำกว่า ๑๐ ครั้ง

การซื้อขายกันนั้นบางทีผู้ขายก็มีหนังสือตัวอย่างให้ดู บางทีก็ไม่มี ต้องซื้อแบบหลับหูหลับตา เมื่อมีการตกลงซื้อ คนขายก็จะรับเงินไปก่อน สักครู่จะเอาหนังสือมาส่งให้ และที่น่าสังเกตคือไม่เคยเห็นคนขายที่เป็นหญิงเลย อาจจะมีแต่ผมไม่เคยเห็นก็ได้>


<สถานที่ซึ่งเคยเป็นแผงหนังสือสนามหลวงในปัจจุบัน หลังจากที่แผงหนังสือถูกย้ายไป สถานที่นี้ก็ถูกปรับปรุงเป็นสวนหย่อม มีสุมทุมพุ่มไม้เล็กๆ ตอนที่เป็นแผงหนังสือก็มีสินค้าทางเพศเอาไว้บริการ นั่นคือหนังสือโป๊ พอตอนเป็นส่วนหย่อมก็ยังมีสินค้าทางเพศมาคอยบริการอีก นั่นคือ ผีขนุน

ผีขนุนคือผู้ขายบริการทางเพศ เดิมทีหมายถึงหญิงขายบริการ ในยุคเมื่อหลายสิบปีก่อน หลังศาลอาญาตรงสนามหลวง ติดกับแผงหนังสือนั่นเอง จะปลูกต้นขนุนเอาไว้ โดยการปลูกต้นขนุนนั้นเป็นเคล็ดของคนโบราณ โดยเฉพาะในวงข้าราชการ เพราะขนุนมีความหมายมงคล หมายถึงได้รับการหนุนส่งนั่นเอง

ต้นขนุนหลังศาลนี้ในยามกลางคืนจะมีหญิงทั้งสาวและไม่สาวมายืนขายบริการอยู่ เมื่อลูกค้าตกลงราคาได้แล้วส่วนใหญ่ก็มักเดินข้ามคลองหลอดไปเพื่อใช้บริการห้องพักชั่วคราวซึ่งมีราคาถูกและสภาพย่ำแย่สมราคา ที่ถูกมากๆก็จะมีห้องกับเสื่อ น้ำขวดหนึ่ง และกระดาษหนังสือพิมพ์ ยุคนี้คงเป็นยุคของพี่ๆ ม.๘ ผมเองก็ไม่ทัน

จากนั้นมา คำว่าผีขนุนจึงเป็นสแลง หมายถึงหญิงขายบริการ ซึ่งต่อมาการขายบริการไม่ได้มีเพียงใต้ต้นขนุน แต่ลามไปถึงใต้ต้นมะขามสนามหลวง พวกนั้นก็ยังเรียกผีขนุนอยู่ บางทีก็เรียกผีมะขาม รวมทั้งบางครั้งผู้ขายเป็นสาวประเภทสองก็ยังเรียกผีขนุน และเมื่อกิจการลามไปถึงด้านวังสราญรมย์อันเป็นแหล่งของชายขายบริการ แม้ผู้ขายเป็นชายและไม่มีต้นขนุน แต่ก็ยังเรียกว่าผีขนุนเช่นกัน ต่อมาจนเมื่อแผงหนังสือย้ายออกไปและกลายเป็นสวนหย่อม ผีขนุนก็มาสิงสถิตอยู่แถวนี้บ้างเหมือนกัน

มาจนถึงยุคปัจจุบัน สแลงผีขนุนก็มีวิวัฒนาการ เกิดเป็นผีขนุนสก๊อยขึ้นมา โดยเป็นพวกสาววัยรุ่นมาหาเงินเพื่อเอาไปแต่งรถกับเด็กแว้น ผีขนุนสก๊อยจะอยู่อีกด้านหนึ่งของสนามหลวง>

Wednesday, January 27, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 45

เนื่องจากในปัจจุบัน กศน. ไม่มีการสอบเทียบ ม.๖ เหมือนเช่นแต่ก่อนแล้ว ดังนั้นการสอบเทียบจึงเป็นเพียงตำนานบทหนึ่งของนักเรียนในยุคก่อนที่ต้องการเรียนระดับมัธยมให้จบเร็วกว่าปกติ

การศึกษาไทยในสมัยก่อนโน้นเป็นระบบ ๔-๖-๒ นั่นคือ ประถม ๔ ปี มัยธมต้น ๖ ปี และมัธยมปลาย ๒ ปี การศึกษาในยุคนั้นก็คือยุคที่มีมัธยมปลายถึงชั้น ม.๘ นั่นเอง

ต่อมาภายใต้แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๓ มีการจัดระบบการศึกษาของไทยเสียใหม่ เป็นระบบ ๗-๓-๒ (ประถม ๗ ปี มัธยมต้น ๓ ปี มัธยมปลาย ๒ ปี) หรือยุคที่มี ป.๗ ม.ศ. ๕ นั่นเอง โดยปีการศึกษา ๒๕๐๗ เป็นปีที่มีชั้น ม.๘ เป็นรุ่นสุดท้าย

ต่อมาในยุคของแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๒๐ การเรียนในโรงเรียนสามัญในระบบ ๗-๓-๒ ถูกเปลี่ยนแปลงไปเป็นระบบ ๖-๓-๓ นั่นคือเข้าสู่ยุค ป.๖ และ ม.๑-ม.๖ ที่ใช้มาจนปัจจุบันนั่นเอง โดย ม.ศ.๑ รุ่นสุดท้ายคือปีการศึกษา ๒๕๒๑ ปีนั้นจะมีนักเรียน ม.๑ รุ่นแรกเข้ามาด้วย และ ม.ศ.๕ รุ่นสุดท้ายคือปีการศึกษา ๒๕๒๕

การศึกษานอกโรงเรียนนั้นเป็นระบบการศึกษาที่เคียงคู่ไปกับระบบการศึกษาในโรงเรียน ทั้งนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้แก่ผู้ที่ไม่มีโอกาสเรียนในระบบโรงเรียนได้มีโอกาสศึกษาต่อได้ โดยในสมัยก่อนเรียกว่าการศึกษาผู้ใหญ่ การศึกษาผู้ใหญ่ของไทยมีมาตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๘๓ และการสอบเทียบนั้นเริ่มมีเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๔๙๑ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเริ่มมีในยุคของระบบ ม.๘ นั่นเอง

การศึกษาผู้ใหญ่นั้นดำเนินการโดยกองการศึกษาผู้ใหญ่ กรมสามัญศึกษา ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า ‘เรียนศึกษาผู้ใหญ่’ นั่นเอง ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๒๔ จึงได้มีการตั้งกรมการศึกษานอกโรงเรียนขึ้น คำว่าศึกษาผู้ใหญ่จึงหมดไปและกลายเป็นคำว่า กศน. แทน

แนวทางการเรียนการสอนนอกระบบโรงเรียนในยุคก่อน สมัยที่ยังเป็นการศึกษาผู้ใหญ่นั้น การเรียนการสอนจะแตกต่างไปจาก กศน. ในปัจจุบัน และนอกจากนี้ ระบบศึกษาผู้ใหญ่ยุคที่มีการสอบเทียบนั้นทำให้เกิดธุรกิจที่เรียกว่า ‘โรงเรียนกวดวิชา’ ขึ้นมา โดยโรงเรียนกวดวิชาในยุคดั้งเดิมนั้นหมายถึงโรงเรียนที่สอนแบบติวเพื่อให้ผู้เรียนสามารถสอบเทียบได้ โดยสมัยก่อนมักมีป้ายแขวนตามเสาไฟฟ้าว่า เรียนจบ ม.ศ. ๓ ในหกเดือน หรือว่าเรียนจบ ม.ศ. ๕ ในหนึ่งปี สมัครเรียนได้ที่... ซึ่งก็เป็นการโฆษณาของธุรกิจกวดวิชานั่นเอง และในยุคต่อมาความหมายของโรงเรียนกวดวิชาจึงเปลี่ยนไป กลายเป็นการติวเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยแทน

และในยุคของศึกษาผู้ใหญ่นี่เองที่ทำให้เกิดสำนวน ‘โตแล้วเรียนลัด’ ขึ้นมา สำนวนนี้เดิมเป็นคำขวัญของโรงเรียนกวดวิชา หมายถึงว่าเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้วหากไม่ได้เรียนในระบบโรงเรียนก็มาเรียนแบบศึกษาผู้ใหญ่เอา และต่อมาสำนวนโตแล้วเรียนลัดนี้ก็ได้กลายความหมายไป โดยหมายถึงการใช้วิธีลัด การซิกแซก การใช้วิธีไม่ปกติเพื่อการลดขั้นตอนหรือร่นระยะเวลา

การสอบเทียบในศึกษาผู้ใหญ่มีปีละครั้ง ตอนปลายปีของทุกปี วิชาที่ต้องสอบมีกี่หมวดผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ของสายวิทย์กับศิลป์คำนวณจะต้องสอบคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคม ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ และนอกนั้นจะมีวิชาในหมวดอื่นด้วยหรือนี่เปล่าไม่แน่ใจ

การคิดคะแนน การตัดสินได้-ตก ในการสอบเทียบก็เหมือนกับในโรงเรียนสามัญในยุคนั้น นั่นคือ คิดคะแนนจากทุกวิชารวมกัน หากคะแนนรวมไม่ถึงร้อยละ ๕๐ ก็สอบตก ปีหน้ามาสอบใหม่ทั้งหมด เช่นเดียวกับในโรงเรียนสามัญ ถ้าคะแนนสอบปลายปีทุกวิชารวมกันได้ไม่ถึงร้อยละ ๕๐ ก็ต้องเรียนซ้ำชั้นเดิมอีกหนึ่งปี เรียนซ้ำทุกวิชา ไม่มีการซ่อมเป็นรายวิชา

ต่อมาในยุคของแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๒๐ การเรียนในโรงเรียนสามัญในระบบ ๗-๓-๒ ถูกเปลี่ยนแปลงไปเป็นระบบ ๖-๓-๓ นั่นคือ ยุค ป.๖ และ ม.๑-ม.๖ ที่ใช้มาจนปัจจุบันนั่นเอง โดย ม.ศ.๑ รุ่นสุดท้ายคือปีการศึกษา ๒๕๒๑ ปีนั้นจะมีนักเรียน ม.๑ รุ่นแรกเข้ามาด้วย และ ม.ศ.๕ รุ่นสุดท้ายคือปีการศึกษา ๒๕๒๕ และในห้วงเวลาใกล้เคียงกัน คือปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ก็เป็นการสิ้นสุดยุคการศึกษาผู้ใหญ่และเริ่มต้นยุค กศน.

ระบบการศึกษาแบบ ๖-๓-๓ นั้นใช้การเรียนระบบหน่วยกิต สอบตกและซ่อมเป็นรายวิชา ไม่ต้องเรียนซ้ำชั้นเหมาทุกวิชาเหมือนแต่ก่อน การเรียน กศน. เพื่อสอบเทียบในยุคนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงไป และสอดคล้องไปกับระบบของโรงเรียนสามัญเช่นกัน การเรียน กศน. และการสอบเทียบนั้นจะไปเข้าสอบเอาตอนปลายปีเพียงอย่างเดียวเหมือนในยุค ม.ศ. ๕ ไม่ได้แล้ว แต่ต้องมีการลงทะเบียนเรียนและเข้าชั้นเรียนด้วย

ตลอดเวลาหลายสิบปีที่ผานมา ระบบการศึกษานอกโรงเรียนมีพัฒนาการมาโดยตลอด แต่ละยุคก็จะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันออกไป แต่ในยุคที่ผมเรียน ม.ปลายนั้นการเรียน กศน. มี ๓ ประเภท นั่นคือ แบบชั้นเรียน แบบทางไกล และแบบศึกษาด้วยตนเอง

การเรียน กศน. หากเป็นระบบชั้นเรียนจะต้องมาเรียนในชั้นเรียนภาคค่ำ หากเป็นระบบทางไกลก็ต้องมาเข้าชั้นเรียนบ้าง เรียกว่าการพบกลุ่ม การพบกลุ่มก็หมายถึงการไปพบปะอาจารย์และผู้เรียนคนอื่นๆ ในวันอาทิตย์ทุกสัปดาห์ตลอดภาคเรียน หากเป็นการศึกษาด้วยตนเองก็คล้ายๆกับแบบทางไกล แต่มีการพบกลุ่มน้อยครั้งกว่า ดูเหมือนว่าจะ ๖-๘ ครั้งตลอดภาคเรียน สามารถขาดได้บ้าง

เมื่อถึงปลายภาคก็จะมีการสอบ วิชาใดผ่านก็จบไป ถ้าไม่ผ่านก็ต้องซ่อม ในตอนที่ผมเรียน ม.ปลาย วิชาของ กศน. ที่ต้องสอบจะต้องมีอย่างน้อย ๘ หมวด บังคับ ๕ หมวด ได้แก่ วิทยาศาสตร์ สังคม ภาษาไทย พลานามัย และพื้นฐานวิชาชีพ แล้วก็มีวิชาเลือกอย่างน้อย ๓ หมวด ตามแต่โปรแกรมการศึกษา เช่น สายวิทย์หรือศิลป์คำนวณก็จะต้องมีคณิตศาสตร์ อังกฤษ กับอะไรอีกสักอย่าง วิชาพิมพ์ดีดนี่อยู่ในหมวดไหนก็จำไม่ได้แล้ว แต่นักเรียนนิยมเรียนกันมากเพราะว่าไม่เรียนก็ผ่านได้เนื่องจากโตแล้วเรียนลัด ใช้วิธีซื้อใบประกาศนียบัตรพิมพ์ดีดเอา ทุ่นแรงไปได้มาก เรื่องการสอบ กศน. นี่ผมจำได้ไม่ค่อยแม่นนักเนื่องจากในชีวิตก็สอบเพียงครั้งเดียว จึงไม่ค่อยมีความทรงจำกับมันมากนัก เมื่อสอบผ่านจบครบ ๘ หมวดแล้วก็ถือว่าจบ ม.ปลาย

การเรียน กศน. ในยุคของผมหากวางแผนให้ดีก็สามารถเก็บทั้ง ๘ หมวดและสามารถจบ ม.๖ ได้ภายในปีเดียว ดังที่มีนักเรียนบางคนสอบเทียบจนจบ ม.๖ ได้ตั้งแต่ตอนที่เรียน ม.๔ บางคนร้ายยิ่งกว่านั้นคือ ม.ต้นก็สอบเทียบมาแล้วครั้งหนึ่ง จากนั้นเมื่อขึ้น ม.ปลายก็มาสอบเทียบอีกครั้งหนึ่ง และก็สามารถสอบได้เสียด้วย

การที่นักเรียนสายสามัญไปสอบเทียบนี้มีปัญหามาทุกยุคทุกสมัย เพราะแนวคิดของ กศน. นั้นคือเปิดโอกาสให้ผู้ที่อยู่นอกระบบโรงเรียนได้เรียน แต่ว่านักเรียนที่อยู่ในระบบโรงเรียนใช้ช่องทางนี้เรียนลัดเพื่อให้จบไวขึ้น การป้องกันไม่สามารถทำได้เพราะระเบียบของ กศน. นั้นอายุเกิน ๑๔ ปีก็สมัครเรียนได้แล้ว อีกทั้งในสมัยก่อนระบบทะเบียนนักเรียนยังเป็นระบบที่เป็นเอกสารกระดาษ ต่างหน่วยงานก็ต่างเก็บ ดังนั้นการตรวจสอบว่าผู้สมัครเรียน กศน. คนใดเป็นนักเรียนสายสามัญอยู่ด้วยจึงเป็นไปไม่ได้เลย

ผลของการที่นักเรียนในระบบโรงเรียนไปสอบเทียบของ กศน. ได้ก็คือ ชั้น ม.๖ ของโรงเรียนชื่อดังต่างก็มีนักเรียนเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว นอกจากนี้ ม.๕ ที่เข้ามหาวิทยาลัยได้ยังเป็นบ่อเกิดของการสอบเอนทรานซ์ใหม่ ทำให้ระบบการสอบเอนทรานซ์อลเวง เพราะว่าตอนที่อยู่ ม.๕ เมื่อสอบเทียบและเอนทรานซ์ได้ ก็เท่ากับว่าไปแย่งที่ของรุ่นพี่ ม.๖ ที่เรียนตามปกติ ครั้นพอตนเองได้คณะที่ไม่ถูกใจ เมื่อเรียนปี ๑ ไปแล้วก็มาสอบเอนทรานซ์ใหม่อีก หากติดขึ้นมาก็เท่ากับไปแย่งที่ของเพื่อน ม.๖ รุ่นตนเองเสียอีก ดังนั้นทุกปีจึงมีนักเรียน ม.๖ ที่จบตามปกติจำนวนไม่น้อยต้องสอบเอนทรานซ์ไม่ติดเพราะถูกนักเรียนสอบเทียบกับพวกเอนทรานซ์ใหม่แย่งที่นั่ง พวก ม.๖ ก็มองว่าพวกสอบเทียบไม่ควรมาแย่งที่นั่ง ส่วนพวกสอบเทียบก็มองว่าเป็นเสรีภาพทางการศึกษา มองต่างมุมกันเช่นนี้มาตลอด

ต่อมา ในที่สุด กศน. ก็แก้ปัญหาเรื่องนักเรียนในระบบโรงเรียนมาสอบเทียบได้โดยเด็ดขาด นั่นคือ มีการปรับหลักสูตรของ กศน. เสียใหม่ และยกเลิกการสอบเทียบไปเสียเลย โดยปีสุดท้ายที่มีการสอบเทียบคือปีการศึกษา ๒๕๔๐ หลังจากนั้นเป็นต้นมา ตั้งแต่ปีการศึกษา ๒๕๔๑ ก็ไม่มีการสอบเทียบอีก โดยกศน. หลักสูตรใหม่มีการปรับระบบการเรียนการสอน โดยผู้เรียน กศน. จะต้องใช้เวลาเรียนถึง ๒ ปี จะจบเร็วกว่านี้ไม่ได้ยกเว้นโดยการเทียบโอน รวมทั้งระบบสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยที่เรียกว่าเอนทรานซ์ระบบใหม่ก็ได้เริ่มใช้ในปีการศึกษา ๒๕๔๒ เอนทรานซ์ระบบใหม่นี้มีส่วนช่วยในการสกัดพวกนักเรียนสอบเทียบด้วย เช่น คณะทางสายวิทย์จะต้องตรวจสอบการเรียน กศน. ด้วยว่าเรียนวิทยาศาสตร์ภาคปฏิบัติมาครบหรือไม่ หากเวลาเรียนไม่ครบก็ไม่รับ เป็นต้น ดังนั้นตำนานการเรียนลัดสอบเทียบ กศน. ของเหล่านักเรียนสายสามัญจึงปิดฉากลงไปในที่สุด

แต่เนื่องจากการเรียนเร็วเรียนลัดเป็นเรื่องที่ชื่นชอบของนักเรียนบางส่วนอยู่ ดังนั้นจึงเป็นช่องทางการทำธุรกิจได้ ปัจจุบันการสอบเทียบจึงเกิดขึ้นในรูปแบบใหม่ แต่ไม่ใช่โดย กศน. แต่เป็นการสอบเทียบตามหลักสูตรต่างชาติ เช่น สอบเทียบเกรด ๑๒ ตามหลักสูตรของอเมริกัน หรือหลักสูตรอังกฤษก็มี จากนั้นมาเทียบเป็น ม.ปลายของไทยอีกที แล้วไปสอบแอดมิชชันกลาง (รับตรงไม่ได้) ก็ทำให้สามารถจบ ม.ปลายได้ภายใน ๒ ปีและสามารถเรียนต่อในมหาวิทยาลัยได้ (ถ้าติด)

หรืออีกวิธีหนึ่งก็คือการเรียนพรีดีกรีกับมหาวิทยาลัยรามคำแหง โดยขณะที่อยู่ ม.ปลายก็ลงทะเบียนเรียนเก็บรายวิชาระดับปริญญาตรีไปเรื่อยๆ เมื่อไรที่จบ ม.๖ แล้วไปสมัครเรียนที่ม.รามฯ ทางมหาวิทยาลัยก็จะนับหน่วยกิตที่เคยเรียนมาแล้วให้ทั้งหมด ดังนั้นบางคนที่ขยันและวางแผนดีก็สามารถเรียนจบ ม.ปลาย รวมทั้งปริญญาตรีได้ภายในเวลา ๔ ถึง ๕ ปี จากปกติ ๖ ปีครึ่งถึง ๗ ปี

- - -

หลังจากที่ผมเริ่มตั้งเข็มทิศให้แก่ชีวิตของตนเองได้แล้วว่าจะหนีไปจากที่นี่โดยการสอบเทียบ ตอนนั้นก็ไม่ค่อยได้คิดมากมายนักว่าจะไปแย่งที่ใครบ้างหรือไม่ คิดแต่ว่าผมก็มีความจำเป็นของผม ผมอาจจะคิดเห็นแก่ตัวไปสักหน่อยก็ได้ ขั้นต่อมาผมก็เริ่มวางแผนจัดระเบียบชีวิตของตนเองเสียใหม่หลังจากที่เป็นเวลาหลายปีมาแล้วที่ผมไม่มีเป้าหมายใดๆในชีวิตเลย

ในสมัยเด็กผมเคยมีความใฝ่ฝัน อยากเป็นนั่น อยากเป็นนี่ อยากเป็นกระเป๋ารถเมล์ อยากเป็นครู อยากเป็นนักบินอวกาศ ฯลฯ แต่นับตั้งแต่ช่วง ม.๒ ที่เริ่มมีปัญหากับไอ้นัยจนถึง ม.๔ ผมกลายเป็นเด็กวัยรุ่นที่เติบโตขึ้นมาอย่างไร้ความฝัน เรียนหนังสือไปวันๆ ไม่สนใจว่าชีวิตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้ผมเริ่มกลับมามีความฝันอีกครั้งหนึ่งแล้ว ผมฝันถึงอนาคตอันก้าวหน้า เส้นทางชีวิตอันรุ่งเรือง และมีคำถามหลายอย่างที่ผมยังตอบไม่ได้ ใช่แล้ว ผมจะต้องหาคำตอบให้แก่ชีวิตด้วย

หลังจากที่ผมได้ภาพคร่าวๆของการสอบเทียบมา ผมก็เริ่มสนใจการพูดคุยของไอ้กี้ จอมมารดำขาว และกลุ่มไอ้เฉา เพราะพวกนี้ล้วนแต่ตั้งเป้าหมายที่จะสอบเทียบกันทั้งสิ้น ผมฟังพวกเพื่อนๆคุยกันแต่ก็ไม่ได้บอกให้ใครรู้ว่าผมจะสอบเทียบบ้าง เพราะเหตุผลหลายๆประการ ส่วนหนึ่งก็เกรงว่าเวชกับเกรียงจะแกล้งผมมากยิ่งขึ้น กับอีกส่วนหนึ่งก็คือยังไม่ค่อยมั่นใจตนเองนักว่าจะทำได้ เกรงว่าจะเสียหน้า จึงไม่ได้บอกใคร เพื่อนๆที่สมัครเรียน กศน. เอาไว้ตั้งแต่ต้นปี ถึงตอนนี้ก็สามารถสอบผ่านได้ในบางวิชาแล้ว

เมื่อก่อนไม่ได้สนใจฟังก็เลยไม่ค่อยรู้อะไร ตอนนี้เมื่อสนใจฟังเพื่อนๆพูดคุยก็พอได้ข้อมูลมาหลายอย่าง พวกเพื่อนๆหลายคนเลือกที่จะสอบเทียบในสายศิลป์คำนวณกัน ได้ยินมาว่าหากเลือกสายวิทย์จะมีปัญหาเรื่องเวลาทำแล็บ สายศิลป์คำนวณนั้นท่องอย่างเดียว ไม่ติดเรื่องภาคปฏิบัติ

เมื่อได้ข้อมูลมาพอสมควร ส่วนใหญ่ก็ฟังเขาเล่ามา ไม่ทราบว่าจริงหรือไม่ แต่ก็เชื่อเอาไว้ก่อน ผมก็คิดว่าน่าจะสมัครสอบเทียบในสายศิลป์คำนวณ ส่วนตอนสอบเอนทรานซ์ก็เอาไว้ว่ากันอีกที เพราะยุคนั้น จบ ม.๖ อะไรมา แล้วจะไปเอนทรานซ์เข้าคณะอะไรก็ได้ ขอให้ทำข้อสอบเอนทรานซ์ได้ก็เป็นอันใช้ได้

จากนั้น ขั้นต่อของผมก็คือต้องไปซื้อหนังสือติวมา ในยุคนั้นชั้นเรียนติวเพื่อสอบเทียบก็มี แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่ากับการติวเพื่อสอบเอนทรานซ์ แต่ครั้นจะไปสมัครติวก็กลัวว่าจะเจอเพื่อนๆ เดี๋ยวความจะแตก ประกอบกับตอนที่ผมสอบเข้า ม.๑ นั้นผมดูหนังสือด้วยตนเองมาตลอด ไม่เคยไปติวที่ใดเลย ซึ่งเป็นเพียงความภูมิใจเพียงเรื่องเดียวในชีวิตวัยเด็ก ผมคิดว่าเมื่อก่อนผมเคยทำได้ ตอนนี้ก็น่าจะมีโอกาสทำได้เช่นกัน ดังนั้นผมจึงเลือกที่จะซื้อหนังสือมาอ่านเองทั้งติวสอบเทียบและติวสอบเอนทรานซ์

- - -

วันเสาร์ถัดมา

หลังจากที่วางแผนซื้อหนังสือเอาไว้แล้ว ในวันเสาร์นั้นเอง หลังจากที่เรียนเปียโนเสร็จแล้วผมก็ไปที่แผงหนังสือสนามหลวงอันเป็นศูนย์รวมหนังสือกวดวิชาและหนังสือเรียนต่างๆทันที

ผมใช้เวลาตลอดทั้งสัปดาห์คิดอยู่ตลอดว่าจะบอกบอยดีหรือไม่เรื่องการเรียน กศน. ของผม ใจหนึ่งก็อยากบอกเพราะว่าตอนนี้ผมสนิทกับบอยมาก มีอะไรผมก็มักเล่าให้มันฟัง ยกเว้นเรื่องที่เกี่ยวกับเวชและพวก มีความรู้สึกว่าอยากได้กำลังใจจากมันอยู่เหมือนกัน แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากเล่าเพราะยังไม่รู้ว่าจะทำได้สำเร็จหรือไม่ คิดไปคิดมาในที่สุดก็คิดไม่ออก จึงยังไม่ได้บอกกับบอย

เมื่อผมไปถึงสนามหลวง ผมก็ต้องแปลกใจ เพราะว่าสถานที่ด้านริมคลองหลอดและติดกับศาล ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของแผงหนังสือมากมาย ตอนนี้กลับกลายเป็นพื้นราบ ไม่มีซุ้ม ไม่มีหนังสือ และไม่มีคนซื้อขาย!

เฮ้ย มันอะไรกันวะ ผมงง เมื่อสอบถามคนที่เดินผ่านไปมาแถวนั้นจึงได้ความว่าแผงหนังสือสนามหลวงถูกรื้อและย้ายไปอยู่ที่ตลาดนัดสวนจตุจักรมาตั้งหลายเดือนแล้ว

ผมรู้สึกเซ็งขึ้นมา ความพยายามเปลี่ยนแปลงตนเองของผมเพียงแค่เริ่มต้นก็ดูจะไม่ราบรื่นเสียแล้ว เริ่มต้นก็ต้องเสียค่าโง่ ที่จริงผมก็โง่เองจริงๆ หลายปีก่อนตอนที่ทำงานอยู่ที่สหกรณ์ ผมเคยมาเดินซื้อหนังสือที่นี่อยู่บ้าง แต่พอชีวิตมีปัญหาและเลิกสนใจการเรียนก็เลยไม่ได้สนใจเรื่องตำรับตำราอีก ยิ่งช่วง ม.๔ นี้ตอนที่คบอยู่กับกลุ่มของเวช พวกนี้มันอ่านหนังสือกันเสียที่ไหน ดังนั้นเรื่องการย้ายแผงหนังสือผมจึงตกข่าวไป

ผมตามไปที่ตลาดนัดสวนจตุจักร แผงหนังสือจตุจักรในตอนนั้นก็คือที่เดียวกับที่ตั้งอยู่ในปัจจุบัน ตอนนั้นสภาพยังใหม่อยู่มาก แต่แผงหนังสือยังไม่มากเท่ากับที่สนามหลวง แต่ถึงแม้ว่าแผงหนังสือจะยังไม่มากนัก ผมก็หาซื้อหนังสือที่ผมต้องการมาได้ ผมซื้อพวกหนังสือติวสอบเทียบ ม.๖ มาดู ส่วนพวกติวสอบเอนทรานซ์นั้นแค่เล็งๆเอาไว้ก่อน ยังไม่ซื้อเพราะว่าถือไม่ไหว

“น้อง โป๊มั้ย” เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้นที่ด้านหลังของผม ผมหันไปดู เห็นเป็นชายหนุ่มในวัยยี่สิบกว่าปีคนหนึ่ง

“โป๊มั้ยน้อง เจ๋งๆทั้งนั้น” ชายคนนั้นถามอีก โห นี่ขนาดย้ายมาจากสนามหลวง หนังสือโป๊ก็ยังตามมา

ผมส่ายหน้าและรีบเดินหนี ขณะที่ผมเดินซอกแซกไปตามซุ้มหนังสือต่างๆ ผมไปชะงักตรงซอกแผงเล็กๆซอกหนึ่งมีหนังสือขนาดพ็อกเก็ตบุ๊กวางกองระเกะระกะอยู่ ภาพหน้าปกมีแต่ภาพผู้ชาย ที่หัวหนังสือมีชื่อมิถุนา มรกต นีออน ฯลฯ พร้อมกับมีป้ายเขียนด้วยลายมือตัวโตว่า ๓ เล่ม ๒๐

“อ้อ น้องชอบดูพวกนี้เหรอ” เสียงดังขึ้นที่ข้างหลังผมอีก เป็นเสียงชายหนุ่มคนเดิมนั่นเอง คงเดินตามผมมาเรื่อยๆโดยที่ผมไม่รู้ตัว คราวนี้ผมตกใจจนสะดุ้งเนื่องจากมีคนรู้ความจริงเกี่ยวกับรสนิยมทางเพศของผม


<แผงหนังสือสนามหลวง สวรรค์ของนักเรียนและคนรักหนังสือในยุคหนึ่ง ถ้าเป็นหนังสือทั่วไป ที่นี่มีหนังสือมือทั้งเก่าและใหม่ ทั้งไทยและเทศให้เลือกมากมาย และถ้าเป็นหนังสือแนวกวด ติว ที่นี่มีให้เลือกครบครัน และยังมีส่วนลดให้จากราคาหน้าปกอีกด้วย แม้แต่นักเรียนต่างจังหวัดก็ยังต้องมาเลือกซื้อหนังสือที่นี่ ภาพนี้ถ่ายไว้ก่อนที่แผงหนังสือที่จะถูกรื้อไม่นานมากนัก คลิกที่ตัวภาพจะเห็นภาพขนาดขยายซึ่งสามารถเห็นซุ้มหนังสือต่างๆได้>


<หลังจากที่ตลาดนัดสนามหลวงย้ายไปอยู่ที่ย่านสวนจตุจักรในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ แผงหนังสือสนามหลวงยังคงอยู่ที่เดิมไม่ได้ย้ายตามไป แม้ทาง กทม. จะพยายามผลักดันให้ย้ายตามตลาดนัดไป แต่ก็ยื้อมาได้อีกหลายปี แต่แล้วในที่สุดแผงหนังสือสนามหลวงก็เหลือแต่เพียงตำนาน โดยถูก กทม. รื้อไปในตอนที่ผมเรียนอยู่ชั้น ม.๔ นี่เอง เพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์รอบๆสนามหลวง ภาพนี้เป็นภาพในปัจจุบัน ถ่ายจากมุมเดียวกัน นั่นคือ จากด้านแม่ธรณีบีบมวยผม คลิกที่ตัวภาพจะเห็นภาพขนาดขยายได้>

Thursday, January 21, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 44

เช้าวันรุ่งขึ้น

เมื่อไปถึงห้องเรียน ภาพแรกที่ผมเห็นก็คือเวชและพวกกำลังนั่งลอกการบ้านกันอยู่ ผมเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง สายตามองไปรอบข้าง เวชก้มหน้าก้มตาทำการบ้านทำทีเป็นไม่สนใจกับการมาถึงของผม นั่นยิ่งทำให้ผมหวาดระแวงมากยิ่งขึ้น

เมื่อไปถึงเก้าอี้เล็กเชอร์ซึ่งผมเอามาใช้ชั่วคราว ผมก็พยายามมองว่ามีกับดักอะไรอยู่หรือเปล่า เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรจึงวางเป้ลง เพื่อนๆมองผมแล้วก็ทำหน้ายิ้มๆ ไม่รู้ว่าแอบสงสารหรือว่าแอบสมเพชกันแน่

ผมขอแรงนนกับแมนให้ช่วยผมยกโต๊ะตัวเดิมของผมขึ้นมาจากชั้นล่างเพื่อเอามาใช้ตามเดิม โต๊ะแห้งดีแล้ว แต่ที่ไม่แน่ใจคือเรื่องกลิ่น เพราะว่าเมื่อผมนั่งที่โต๊ะจมูกมักได้กลิ่นขี้อยู่ตลอดเวลา

“มึงล้างโต๊ะสะอาดแน่หรือเปล่าวะไอ้อู” ไอ้กี้ถามผมขณะที่นั่งเรียนในช่วงเช้าขณะที่เปลี่ยนคาบและรออาจารย์ มันทำจมูกฟุดฟิด

“ทำไมเหรอ” ผมถามกลับ ต้องการให้มันพูดออกมาเอง อยากรู้ว่ามันรู้สึกอย่างเดียวกับที่ผมรู้สึกไหม

“กูว่ากูยังได้กลิ่นขี้อยู่นะ” กี้พูด

“อุปาทานมั้ง” ผมพยายามโน้มน้าวมัน แต่ที่จริงแล้วผมก็ว่าผมยังได้กลิ่นอยู่เหมือนกัน

“ไม่รู้ดิ โอ๊ย” จู่ๆไอ้กี้ก็แหกปากร้อง “หมาตัวไหนปาหัวกูวะ”

หลังจากที่กี้โวยวาย ผมเห็นบนโต๊ะเรียนของมันมีชอล์คเล็กๆชิ้นหนึ่งตกอยู่ คงมีใครบางคนปาชอล์คใส่หัวไอ้กี้

“เฮ้ย โทษที” เกรียงพูด “ปาผิดว่ะ”

แค่เกรียงบอกว่าปาผิดก็เป็นที่รู้กันแล้วว่าถ้ามันปาถูกชอล์คชิ้นนั้นจะไปถูกหัวใครเข้า

“เฮ้อ ไอ้เหี้ยอู มึงทำกูเดือดร้อนไปด้วยเลยเห็นไหม ต้องมาถูกลูกหลงแทนมึง” กี้บ่นพึมพำด้วยความไม่พอใจ “กูบอกแล้ว คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล เสือกไปคบกับไอ้พวกห่านั่น”

“เฮอะ มึงคบบัณฑิตหวังประโยชน์” นน จอมมารดำ นักอำประจำห้องหัวเราะขำ พูดสอดขึ้นมา “บัณฑิตเค้าก็คงคิดแบบนี้เหมือนกัน แล้วบัณฑิตที่ไหนจะยอมคบควายอย่างมึงเป็นเพื่อนวะ”

“มึงไม่ต้องเสือกเลย” ไอ้กี้หัวเราะกับเหตุผลของนน

แม้แต่ผมเองก็อดขำไม่ได้ จริงของนน เพราะว่าถ้าทุกคนพยายามคบแต่คนที่ดีกว่าเป็นเพื่อน แล้วใครจะมายอมคบกับคนที่ด้อยกว่า ถ้าเลือกคบเพราะว่าใครอำนวยประโยชน์ให้แก่เราได้ คำว่าเพื่อนก็คงไม่ได้แปลว่าเพื่อนอีกต่อไป

ผมรู้สึกขำกับคำพูดของนนได้เพียงครู่เดียวก็ต้องหวนกลับมาสู่สภาพความจริงอีก ดูท่าเวชและพวกคงยังไม่หายเคืองผม แถมผมยังพลอยทำให้เพื่อนคนอื่นต้องเดือดร้อนไปด้วย ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปนานๆผมคงประสาทกินแน่

โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนที่ผมรัก ตลอดสี่ปีมานี้ได้ให้อะไรแก่ผมมากมาย ชีวิตวัยรุ่นในโรงเรียนนี้แม้ไม่ได้ราบรื่นโดยตลอด แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่มีสีสันมากที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิต มีความทรงจำมากมายที่เกิดขึ้นที่นี่ ทั้งสุขและทุกข์ ทั้งดีและร้าย ทั้งหวานและขมขื่น...

แม้ว่าผมจะรักที่นี่มากก็ตาม แต่สักวันหนึ่งผมก็ต้องจากที่นี่ไปตามครรลอง เดิมทีผมคิดอยากเรียนอยู่ที่นี่จนจบ ม.๖ แต่มาถึงตอนนี้ผมกลับรู้สึกว่าเวลาของผมที่นี่ใกล้หมดลงแล้ว... ใช่แล้ว ผมอยากไปจากที่นี่ ไปเริ่มต้นชีวิตในที่แห่งใหม่ ผมอยากจะหลุดพ้นจากอดีตที่คอยตามหลอกหลอนผม หลายปีมานี้ชีวิตของผมดูเหมือนจะวนเวียนอยู่ในวังวนของความทุกข์ในอดีตจนผมก้าวเดินต่อไปข้างหน้าไม่ได้เลย เรื่องของเวชและพวกที่จริงแล้วเป็นเหมือนกับฟางเส้นสุดท้ายที่ผมจะแบกรับเอาไว้ได้เท่านั้น สาเหตุสำคัญของความทุกข์ก็คือเรื่องของไอ้นัยมากกว่า เพราะว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาผมเผชิญการติเตียนจากมโนธรรมของตนเองมาตลอด

- - -

พักเที่ยงวันนั้น ผมพยายามเดินหาตี๋ ที่จริงชั้น ม.๔ ก็มีกันอยู่เพียงสองชั้นในตึกนี้ ผมกับตี๋ปกติก็เดินสวนกันบ่อยๆ ดังนั้นการหาตัวมันจึงไม่ใช่เรื่องยาก วันนี้ที่ผมหาตัวมันเพราะมีเรื่องที่จะคุยกับมันเป็นพิเศษ

“เฮ้ย ไอ้ตี๋ เป็นไงบ้าง” ผมทักมันในขณะที่พวกนักเรียน ม.๔ กำลังเดินไปทางโรงอาหาร ผมรีบมาดักรอตี๋แถวหน้าห้องของมันตั้งแต่ตอนหมดคาบ เมื่อเห็นมันก็เดินตามไปแล้วทำเป็นเนียนเหมือนกับว่าเราเจอกันโดยบังเอิญ

แม้ว่าตี๋จะจะดูสูงขึ้นและหน้าตาไม่ใสเหมือนตอน ม.ต้น แล้ว แต่นอกนั้นตี๋ก็ยังเป็นตี๋คนเดิม โดยเฉพาะการแต่งตัว ตี๋ยังแต่งกายด้วยชุดนักเรียนเก่าๆ รองเท้าผ้าใบที่ขาดจนนิ้วก้อยโผล่

“ก็เรื่อยๆ แล้วมึงล่ะเป็นไง” ตี๋ตอบ

“ก็เรื่อยๆเหมือนกัน” ผมพูด

“เรื่อยห่าอะไรของมึง โดนเสียขนาดนั้น” ตี๋พูด

ผมอึ้งไป ไม่นึกว่าตี๋จะรู้เรื่องนี้ด้วย

“มึงรู้ด้วยเหรอวะ” ผมถาม

“มึงถามใหม่ว่า ม.๔ ทั้งระดับใครไม่รู้บ้างดีกว่า ไอ้อ๊อดมันก็รู้ เมื่อเช้าเจอมันมันยังบ่นสงสารมึงเลย” ตี๋พูด อ๊อดนั้นก็คือเพื่อนสนิทที่นั่งติดกับผมตอนเรียนอยู่ชั้น ม.๒ นั่นเอง “เรื่องเหม็นๆแบบนี้ใครจะไม่รู้วะ”

คำพูดของตี๋ทำให้ผมสูญเสียความเชื่อมั่นในตนเองไปมาก ผมมองไปรอบๆตัว นักเรียนชั้น ม.๔ ที่กำลังเดินไปโรงอาหารด้วยกันเหล่านี้รู้เรื่องของผมกันทั้งหมด ผมอายจนไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ผมเริ่มคิดว่าทุกคนที่อยู่รอบตัวผมกำลังมองผมด้วยสายตาแปลกๆทั้งๆที่เมื่อสักครู่นี้ผมไม่ได้คิดอะไรเลย

“เฮ้ย แต่มึงโคตรอึดเลยว่ะ” ตี๋ชม ผมรู้ว่ามันชมจริงๆ ไม่ได้ประชด “ทนได้ขนาดนี้เก่งมาก”

“แล้วมึงท่องหนังสือไปถึงไหนแล้ววะ” ผมเปลี่ยนเรื่องพูด วกมาที่เรื่องที่ผมต้องการจะรู้

“ก็ดูทุกวันนั่นแหละ วันเสาร์ก็ไปติวและพบอาจารย์” ตี๋พูด

“วันเสาร์พบอาจารย์ที่ไหนวะ” ผมงง

“ก็ที่เรียนสอบเทียบไง” ตี๋ตอบ

นี่แหละคือเรื่องที่ผมต้องการจะรู้ นั่นคือ เรื่องการเรียน กศน. หรือว่าการศึกษานอกโรงเรียน แต่ก่อนเรียกว่าศึกษาผู้ใหญ่ ต่อมาเรียกว่าการศึกษานอกโรงเรียน แต่พวกนักเรียนมักเรียกกันว่าสอบเทียบเพราะจะมีการสอบเพื่อเทียบชั้น ม.๖ ผู้ที่สอบเทียบชั้น ม.๖ ได้ก็ไปสมัครสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยได้เลยโดยไม่ต้องรอให้จบชั้น ม.๖ จากโรงเรียนสามัญ

เมื่อตี๋พูดเรื่องการเรียน กศน. ขึ้นมา ผมจึงได้โอกาสชวนตี๋ไปนั่งกินอาหารเที่ยงด้วยกันและคุยเกี่ยวกับเรื่องการเรียน กศน. ใช่แล้ว... ช่องทางการหนีไปจากที่นี่ของผมไม่ใช่การหนีกลับต่างจังหวัด แต่คือการสอบเทียบ ม.๖ ให้ได้และรีบเข้ามหาวิทยาลัยโดยเร็วนั่นเอง

ที่จริงไอ้กี้และเพื่อนอีกหลายคนในกลุ่มไอ้เฉาก็เรียน กศน. อยู่ แต่ผมไม่อยากถามเพื่อนๆในห้อง เพราะถ้าเพื่อนในห้องรู้เข้ามันคงเดาออกว่าผมคิดจะเรียนเพราะอะไร มันก็เสียหน้าอยู่ ผมจึงเลือกที่จะถามเอาจากตี๋แทนเนื่องจากมันก็เรียนเช่นกัน แต่ว่าการถามจากตี๋นั้นผมต้องระมัดระวังอยู่บ้าง เพราะว่าถ้าตี๋รู้ว่าผมต้องการเรียน กศน. และสอบเอนทรานซ์เมื่อจบ ม.๕ แบบมัน มันก็คงจะเอาหนังสือติวทั้งหมดที่ผมให้มันไปคืนแก่ผมเนื่องจากนิสัยมันเป็นคนขี้เกรงใจ ดังนั้นผมจึงต้องเลียบๆเคียงๆถามเพื่อไม่ให้มันรู้ว่าผมคิดจะทำอะไร

การเรียนและสอบเทียบชั้น ม.๖ กับ กศน. นั้นต้องไปสมัครเรียนตามศูนย์ กศน. ซึ่งมีอยู่หลายที่ จากนั้นก็เอาหนังสือมาเรียนด้วยตนเองเป็นหลัก แล้วไปเข้ากลุ่ม ทำกิจกรรม ติว และพบอาจารย์เพื่อซักถามปัญหาเกี่ยวกับวิชาที่เรียนในวันหยุด วิชาที่ต้องสอบมี ๘ วิชา มีทั้งสายวิทย์คณิตและสายศิลป์ ใครสอบผ่านครบทั้ง ๘ วิชาก็เท่ากับจบชั้น ม.๖ สามารถนำวุฒิ ม.๖ ไปสมัครสอบเอนทรานซ์ได้

นักเรียน ม.ปลายสายสามัญที่ต้องการเรียนลัดให้จบเร็วขึ้นมักวางแผนการเรียนโดยให้จบ ม.ปลายภายใน ๒ ปี นั่นคือ ตอนอยู่ชั้น ม.๔ และ ม.๕ ก็เรียน กศน. รวมทั้งเตรียมสอบเอนทรานซ์ไปด้วย โดยให้สอบเทียบจนจบ ม.๖ ภายในสองปี แล้วเอาวุฒิ ม.๖ กศน. ไปสมัครสอบเอนทรานซ์ ถ้าทำได้สำเร็จตามแผนก็เท่ากับว่าเรียนเร็วกว่าเพื่อนๆหนึ่งปี แต่ก็มีบางคนที่เรียนเก่งมากๆ เมื่อขึ้น ม.๔ แล้วก็สามารถเรียน กศน. จนจบและสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้คณะดีๆอีกด้วยโดยใช้เวลาเพียงปีเดียวเท่านั้น ซึ่งถ้ามีก็มักเป็นข่าวดัง

เมื่อรู้รายละเอียดพอสมควรแล้วผมก็เดินหน้าต่อไปทันที หลังเลิกเรียนวันนั้นผมแวะลงที่สะพานควายเพราะจำได้ว่าที่นั่นมีศูนย์ กศน. อยู่แห่งหนึ่ง นั่งรถผ่านไปมาอยู่หลายปีเห็นป้ายอยู่เป็นประจำ แต่ก็ไม่เคยนึกว่าสักวันหนึ่งจะต้องมาใช้บริการ

ผมไปขอรายละเอียดกลับมาก่อน ยังสมัครไม่ได้ ต้องรอให้เปิดเทอมใหม่เสียก่อน ถึงแม้วันนี้จะสมัครไม่สำเร็จแต่ก็ถือว่าวันนี้มีความคืบหน้ามากทีเดียว

- - -

ดึกแล้ว...

อากาศหนาวยังปกคลุมกรุงเทพฯอยู่ ผมใส่ชุดวอร์ม แถมยังต้มน้ำด้วยเตาไฟฟ้าเพื่อเพิ่มความอบอุ่นในห้อง ผมปิดดวงไฟและนั่งฟังเพลงอยู่ในความมืด ปล่อยความคิดไปเรื่อยๆ

ผมใช้เวลายามดึกอันเงียบสงัดไปกับการครุ่นคิด ผมหวนคิดทบทวนถึงเรื่องที่ผ่านมา รู้สึกว่าวันนี้เพียงวันเดียวได้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในชีวิตของผมมากมาย

ผมหวนคิดถึงบ้านที่ใหญ่โตของเวช ผมเริ่มมีความใฝ่ฝันขึ้นมาอีกครั้ง ถ้าผมเรียนได้เร็วขึ้นอีกปีหนึ่ง ผมก็คงจบเร็วขึ้น ทำงานหาเงินได้เร็วขึ้น ก็คงไม่เลว ผมควรจะเรียนอะไรดีที่ประกอบอาชีพแล้วมีความก้าวหน้า มีความสำเร็จ มีความร่ำรวย เรียนแพทย์ดีไหม หรือเรียนวิศวฯดี บัญชีก็คงใช้ได้... เมื่อมีอาชีพ มีเงิน มีความสำเร็จ จากนั้นเกียรติและความมีหน้ามีตาก็คงตามมา แล้วชีวิตก็คงสมบูรณ์แบบ...

คิดไปก็น่าขำ ชีวิตนั้นไม่มีอะไรแน่นอนจริงๆ ความปรารถนาดีของอาจารย์วารีที่ต้องการให้พวกเรามีมานะพยายามทำเกรดให้ดีขึ้นได้กลายเป็นผลร้ายต่อผม แต่ในผลร้ายนั้นก็ทำให้ผมได้คิดและมองเห็นช่องทางที่จะหนีจากชีวิตแบบเดิมๆที่ไม่เอาไหน แม้มันจะไม่ใช่วิธีที่เห็นผลทันใจนัก เพราะว่าผมไม่สามารถหนีได้ในทันที ยังต้องทนเรียนในชั้น ม.๕ อีกปีหนึ่ง แต่เท่าที่คิดออกในตอนนี้วิธีนี้น่าจะดีที่สุดแล้ว ถ้าทำได้ผมจะก้าวออกจากโรงเรียนนี้อย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ใช่แบบคนขี้แพ้ไม่เอาไหน ตกลงผมก็ไม่ค่อยแน่ใจแล้วว่าที่จริงความคิดของอาจารย์เป็นผลดีหรือผลร้ายกันแน่ หรือว่าดีหรือร้ายอาจขึ้นกับมุมมองก็ได้

ในตอนนี้ผมขอมองในด้านดีเอาไว้ก่อน ถ้าเป็นภาษาสมัยนี้ก็ต้องบอกว่าเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส แต่มาคิดอีกที... นั่นมันไม่ใช่ความถนัดของผมเลย ความถนัดของผมเท่าที่ผ่านมาคือการเปลี่ยนโอกาสให้เป็นวิกฤตต่างหาก หรือว่าผมตัดสินใจผิดอีกแล้ว?

ในท่ามกลางคืนอันหนาวเย็นและเงียบสงัด เสียงเปียโนจากเพลง Varitions on the Kanon by Johann Pachelbel ทำให้อารมณ์เหงาเข้ามาครอบคลุมจิตใจของผม ผมหวนคิดไปถึงคนที่ให้เทปม้วนนี้แก่ผม... แล้วบอยล่ะ ผมจะทำอย่างไรต่อไป ความสำเร็จในการเร่งเรียนของผมเท่ากับทำให้เวลาที่ผมจะอยู่ร่วมกับบอยที่โรงเรียนนี้เหลือสั้นลง แล้วมันจะคุ้มกันไหม? อีกทั้งผมกำลังคิดหนีอะไรอยู่กันแน่ ถ้าหนีเวชและเกรียงก็อาจพอมีหวังสำเร็จ แต่ถ้าจะหนีจากมโนธรรมที่คอยติเตียน วิธีนี้จะทำให้ผมหนีพ้นได้จริงหรือ

ในสมองของผมสับสนและเต็มไปด้วยคำถาม มีคำถามอีกมากที่ผมต้องครุ่นคิดหาคำตอบ...



<เมื่อไปถึงห้องเรียน ภาพแรกที่ผมเห็นก็คือเวชและพวกกำลังนั่งลอกการบ้านกันอยู่ ผมเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง สายตามองไปรอบข้าง เวชก้มหน้าก้มตาทำการบ้านทำทีเป็นไม่สนใจกับการมาถึงของผม นั่นยิ่งทำให้ผมหวาดระแวงมากยิ่งขึ้น>

Sunday, January 17, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 43

เมื่อแป๋งไม่ว่างเสียแล้วเรื่องการลงไปนั่งคุยกันจึงต้องล้มเลิกไป ผมเดินกลับขึ้นมาบนห้องอย่างเงียบๆ พฤติกรรมของแป๋งในตอนนั้นถ้าเป็นคนอื่นอาจไม่คิดอะไร เพราะว่าแป๋งกับวุฒิมีวัยไล่เลี่ยกัน ก็คงคิดว่าเป็นการมาหาเพื่อนตามธรรมดา แต่สำหรับผมนั้นในส่วนลึกของความรู้สึกบอกกับตนเองว่าการมาหาของแป๋งน่าจะมีอะไรที่มากกว่าธรรมดาเป็นแน่

ผมย้อนนึกไปถึงตอนที่มาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ แป๋งกุลีกุจอช่วยผมเป็นอย่างดี จนผอดรู้สึกชมในน้ำใจไม่ได้ พร้อมกับคิดว่าต่อไปแป๋งน่าจะเป็นเพื่อนที่ดีของผม จนเมื่อมาอยู่ได้สักพักและเรามีอะไรกันก็ยิ่งทำให้ผมคิดไปว่าแป๋งคงรู้สึกดีๆกับผมด้วยเช่นกัน

แต่เหตุการณ์ที่ผมพบในวันนี้ทำให้ผมอดรู้สึกสะท้อนใจไม่ได้ เพราะว่ามันทำให้ผมรู้สึกว่าตนเองเป็นเพียงเครื่องเล่นชิ้นหนึ่งของแป๋งที่เล่นจนเบื่อแล้วก็เปลี่ยนไปหาของเล่นชิ้นอื่นแทน ประกอบกับช่วงนั้นเป็นช่วงที่มีเรื่องกับเวช เดิมทีผมมองเวชในแง่ดีเสมอและคิดว่ามันเป็นเพื่อนที่ดี คงเป็นเพราะว่าเราเป็นเด็กขี้เหงาเหมือนกัน แต่แล้วเหตุการณ์ก็กลับไม่เป็นอย่างที่คิด พอมาเจอเรื่องของแป๋งเข้าอีกจึงทำให้ผมยิ่งรู้สึกแย่

ตั้งแต่ไอ้นัยไม่อยู่ ผมรู้สึกเหมือนกับว่ากลายเป็นคนขี้เหงาและอยากมีเพื่อนสนิท ผมพยายามหาใครสักคนที่ไม่ใช่คบกันเพียงผิวเผิน แต่เข้าใจผม พร้อมที่จะแบ่งปันเสียงหัวเราะและน้ำตาด้วยกัน ถ่ายทอดความรู้สึกดีๆให้แก่กันและกัน ผมพยายามหาเพื่อนแบบนั้นตลอดมา ผมเคยคิดว่าเวชหรือแป๋งอาจจะเป็นเพื่อนในแบบที่ผมคาดหวังเอาไว้ได้ แต่กาลเวลาก็ได้พิสูจน์แล้วว่าทั้งคู่ไม่ใช่...

ผมเคยถามตนเองเหมือนกันว่าแล้วบอยใช่เพื่อนในแบบที่ผมคาดหวังหรือเปล่า ผมเองก็ตอบได้ยาก เพราะว่าบอยเป็นรุ่นน้อง ในด้านความสนิทสนมนั้นเราสองคนสนิทกันมาก และผมเองก็มีความสุขที่ได้เจอมัน แต่ผมคิดว่าบอยอาจจะยังไม่โตพอที่จะเข้าใจความรู้สึกของผมและพร้อมจะแบ่งปันทุกข์สุขด้วยกันอย่างเต็มที่เหมือนกับเพื่อนรุ่นเดียวกัน แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ผมก็ยังคิดว่าสักวันหนึ่งบอยจะโตพอและกลายมาเป็นเพื่อนมากกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้ได้

- - -

เช้าวันจันทร์

ในที่สุดวันหยุดยาวในช่วงปีใหม่ก็ผ่านพ้นไป ปีใหม่ครั้งนี้เป็นปีที่ผมรู้สึกแย่มากๆเพราะว่ามีแต่ความงียบเหงาและอ้างว้าง หลายๆคนอาจรู้สึกมีความสุขกับวันหยุดและไม่อยากให้เปิดเรียนเร็วนัก แต่กับผมแล้วผมกลับเร่งวันเร่งคืนเพื่อที่จะได้กลับไปที่โรงเรียนอีก

เช้าวันนั้นเมื่อผมเข้าโรงเรียน ผมตรงไปที่สหกรณ์ทันทีโดยยังไม่ไปเก็บเป้ที่ห้องเรียน

ไม่ผิดหวัง เมื่อผมไปถึงสหกรณ์ก็เห็นบอยกำลังคุยโขมงเกี่ยวกับเรื่องไปเที่ยวในช่วงวันหยุดกับเพื่อนๆอย่างสนุกสนาน หน้าของมันยิ้มแย้มแจ่มใส เวลาบอยยิ้มมันจะยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาว แม้แต่ดวงตาที่หยีเวลายิ้มก็ดูเหมือนจะพลอยยิ้มไปด้วย

“อ้าว พี่อู มาแต่เช้าเชียว” บอยทัก ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่ผมสังเกตว่าเพื่อนๆของมันมองผมและยิ้มแบบแปลกๆ

“เซ็งจะตายห่า” ผมตอบตามตรง “แทบไม่ได้ไปไหนเลย หนาวอีกต่างหาก”

“แล้วนี่อาบน้ำมาหรือเปล่าเนี่ยพี่อู” ไอ้บอยแซว

“อาบโว้ย” ผมรีบตอบ

“อ้อ แล้วไป” บอยหัวเราะ “เชียงใหม่หนาวยิ่งกว่ากรุงเทพฯอีก ตอนอยู่บนดอยนี่โคตรหนาวเลย”

“ได้ไปเที่ยวแล้วไม่ต้องมาคุยข่ม ไหนล่ะของฝาก” ผมทวงของฝากทันที

ไอ้บอยล้วงมือไปไหนกระเป๋ากางเกงนักเรียก พลางหยิบอะไรออกมาอย่างหนึ่ง มันกำอยู่ในมือ ทำเป็นลึกลับ

“เอ้า หลับตาแล้วแบมือ” บอยพูด

“ของอะไรของมันวะ ทำไมลึกลับจริง” ผมงง แต่ก็ยังทำตามที่มันบอก

ผมรู้สึกมีอะไรเบาๆตกที่มือ เมื่อลืมตาขึ้นมาก็พบเปลือกลูกอมอยู่ในมือ บอยและเพื่อนหัวเราะครืนที่เห็นผมถูกรุ่นน้องหลอก โดยเฉพาะบอยหัวเราะจนตัวงอ

“ไอ้เปรตนี่” ผมด่ามัน แต่ก็ไม่ได้นึกน้อยใจอะไรเพราะว่าไม่ได้คาดหวังของฝาก ทวงมันไปเล่นๆยังงั้นเอง แค่เห็นหน้ามันก็มีความสุขแล้ว

ผมคุยกับบอยสักครู่จนเมื่อใกล้ได้เวลาเข้าแถวเคารพธงชาติ ทุกคนก็แยกย้ายกันไป บอยเดินไปกับเพื่อนๆของมันเพราะว่าเรียนอยู่ตึกเดียวกัน

“บอย ตามพี่มาหน่อย” ผมแอบกระซิบบอกมัน

บอยเดินแยกออกมาจากกลุ่มเพื่อนและเดินไปกับผม ผมอดรู้สึกแปลกใจในความเปิดเผยของมันไม่ได้ ถ้าเป็นผมผมคงทำเนียนเดินไปกับเพื่อนๆสักพักแล้วหาทางแยกออกมา แต่นี่มันแยกออกมาและเดินตามผมเฉยเลย

“อะไรเหรอพี่อู” บอยถาม

เมื่อเดินห่างจากเพื่อนๆของมันจนไม่เห็นกันแล้ว ผมจึงล้วงของออกมาจากเป้ มันเป็นถุงกระดาษเล็กๆใบหนึ่ง

“ของขวัญปีใหม่ของนายไง” ผมตอบ

“ขอบคุณฮะพี่อู อะไรอะ” บอยยิ้งแฉ่ง ดีใจที่ได้ของขวัญ

“อย่าเพิ่งแกะตอนนี้ เอาไปแกะทีหลัง” ผมบอกมัน เพราะว่าตอนนั้นรอบข้างมีนักเรียนเดินไปมาอยู่ ผมไม่อยากให้ใครเห็นของขวัญของผม

ข้างในถุงนั้นเป็นเสื้อยืดตัวหนึ่ง ผมซื้อมาพร้อมๆกับชุดวอร์มและผ้าห่มตอนที่ไปห้าง ทีแรกว่าจะให้เป็นเทปเพลงแต่แล้วก็เห็นว่าคงไม่ค่อยเข้าท่านักเพราะว่าบอยเองก็ให้เทปเพลงแก่ผม คิดไปคิดมาก็มาลงเอยที่เสื้อยืด ผมซื้อเบอร์เอ็มให้มันเพราะว่าผมใส่เบอร์แอล และบอยตัวเล็กกว่าผม เบอร์เอ็มน่าจะใส่ได้พอดี

เมื่อผมไปถึงห้องเรียน ตอนนั้นใกล้เวลาเคารพธงชาติมากแล้ว ไอ้นนกับไอ้กี้ก็เพิ่งมาถึงและเดินตามผมเข้ามาในห้องเรียน ผมรีบเอาเป้ไปวางที่เก้าอี้ จากนั้นหยิบสมุดและหนังสือส่วนหนึ่งออกจากเป้มาใส่ไว้ในช่องใต้โต๊ะเรียน

“โอ๊ย กลิ่นขี้หมามาจากไหนวะ ไอ้เหี้ยอูมึงไปเหยียบขี้หมามารึเปล่า” ไอ้กี้โวยวายพลางทำจมูกฟุดฟิด

“ปีใหม่แล้วมึงจะเรียกกูให้มันดีหน่อยไม่ได้หรือไงวะ” ผมเอะอะใส่มันบ้าง ไอ้กี้หัวเราะ

“แน่ะ เดี่ยวนี้หือ ไอ้สัตว์” ไอ้กี้พูดไปหัวเราะไป ปากมันเสียแบบนี้มาตลอดจนผมเองก็จนปัญญา กับไอ้กี้นี่ก็แปลก แม้ว่าผมจะไม่ค่อยชอบปากมันเท่าไรแต่ก็ไม่เคยทะเลาะกันแรงๆสักที

“แม่ง เหม็นฉิบหาย ไอ้เหี้ยนนมึงเหยียบขี้หมาเข้ามาในห้องหรือเปล่าวะ” กี้หันไปสงสัยไอ้นนแทน

นนยกเท้าขึ้นมาดูที่พื้นรองเท้า จากนั้นก็ยกเท้าใส่หน้าไอ้กี้จนเท้าเกือบไปทิ่มหน้ามัน “เปล่าโว้ย ไม่ได้เหยียบ มึงดูดิ”

ผมเองก็ได้กลิ้นขี้หมาเหมือนกัน ตอนเดินเข้าห้องมายังไม่รู้สึก แต่ตอนมาถึงที่โต๊ะแล้วรู้สึกว่ากลิ่นรุนแรงมาก มองไปรอบๆก็เห็นเวช เกรียงและเพื่อนในแก๊งนั่งคุยและหัวเราะกันอยู่ อาจเป็นไอ้พวกนั้นเหยียบมาก็ได้แต่ผมคงไม่ไปถามมัน

หลังจากเคารพธงชาติเสร็จเรียบร้อยและนักเรียนกลับเข้ามาในห้อง ผมก็หยิบหนังสือกับสมุดขึ้นมาจากใต้โต๊ะเพื่อเตรียมเรียนวิชาแรกของเช้าวันนั้น กลิ่นขี้หมายิ่งเข้มข้นรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

“เฮ้ย” ผมอุทานด้วยความตกใจ เมื่อสมุดและหนังสือที่ผมหยิบขึ้นมาจากใต้โต๊ะและตอนนี้วางอยู่บนโต๊ะมีขี้สีเหลืองอร่ามเปื้อนอยู่เต็มไปหมด กลิ่นขี้กระจายหึ่ง ผมกระโดดลุกขึ้นจากที่นั่งทันที ไอ้กี้เมื่อเห็นหนังสือเปื้อนขี้บนโต๊ะก็กระโดดออกมาจากเก้าอี้หนีไปยืนห่างๆ เพื่อนที่อยู่ใกล้ๆต่างก็วงแตกเช่นกัน

“มึงเล่นอะไรวะไอ้อู อี๋ย์ย์ย์ กูจะอ้วก” กี้พูดเสียงดัง

ผมกลั้นหายใจและก้มลงไปดูในช่องใต้โต๊ะ เห็นในส่วนลึกของช่องใต้โต๊ะมีวัตถุที่ไม่มีรูปทรงแน่นอนกระจายเต็มไปหมด เดิมทีมันคงเป็นขี้กองหนึ่ง แต่ว่าตอนนี้มันไม่เป็นกองแล้ว มันแตกกระจายเพราะโดนหนังสือและสมุดของผมวางทับ กลิ่นของกองขี้ที่แตกกระจายยิ่งเหม็นเข้มข้น ผมรู้สึกคลื่นไส้อยากจะอ้วก

เสียงหัวเราะกิ๊กกั๊กลอยมาเข้าหูผม ผมเห็นเวชและเกรียงที่หนีไปยืนตั้งหลักห่างๆกำลังก้มหน้าและพยายามกลั้นหัวเราะอย่างเต็มที่

เพียงแค่นี้ผมก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น น่าแปลกที่ตอนนั้นผมไม่ได้รู้สึกว่าโกรธจนเลือดขึ้นหน้าแต่อย่างใด ความรู้สึกของผมในตอนนั้นมันสับสนไปหมด ทั้งโกรธ เสียใจ และทั้งท้อใจ ผมโกรธเวชกับเกรียงมาก ไม่คิดว่ามันจะทำกับผมได้ถึงขนาดนี้ ที่เสียใจเพราะผมเคยคิดว่าเวชเป็นเพื่อน และที่ท้อก็เพราะเมื่อคิดไปถึงอนาคตข้างหน้าว่าอีกสองปีที่เหลือผมจะต้องเจอกับอะไรอีกบ้าง ไอ้พวกนี้มันคงตามจองเวรกับผมไปจนถึงจบ ม.ปลายจริงๆ ผมทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนงง

“เฮ้ย เอาโต๊ะออกไปนอกห้องก่อนไอ้อู” นนแนะนำผม ทำให้ผมตื่นขึ้นมาจากความสับสน

นนไม่พูดเปล่า เดินเข้ามาจับมุมโต๊ะสองข้างเป็นความหมายว่าจะช่วยผมยก ผมกับนนจึงช่วยกันยกโต๊ะออกมาตั้งข้างนอกห้อง ผมวิ่งไปหานักการเพื่อขอถุงพลาสติกกับกระดาษหนังสือพิมพ์ เมื่อได้มาก็เอามาใส่หนังสือกับสมุดที่เปื้อน จากนั้นก็เอากระดาษหนังสือพิมพ์เช็ดขี้ที่เปื้อนอยู่ในช่องใต้โต๊ะและบนโต๊ะ ขณะที่ทำนั้นผมรู้สึกขยะแขยงมาก แต่ไม่ทำก็ไม่ได้เพราะว่าเป็นโต๊ะเรียนของผมเอง กลิ่นของมันบอกผมว่ามันไม่น่าจะเป็นขี้หมา แต่น่าจะเป็นขี้คนมากกว่า!

เมื่อเช็ดเสร็จผมก็เอากระดาษหนังสือพิมพ์ที่เช็ดแล้วใส่ในถุงพลาสติก และเอาไปทิ้งถังขยะ ผมเสียสมุดจดงาน สมุดการบ้าน และหนังสือไปหลายเล่ม สมุดการบ้านขึ้นเล่มใหม่เอาก็ได้ หนังสือก็ซื้อใหม่ได้ แต่ที่เสียดายคือสมุดจดงาน จดอะไรเอาไว้เยอะแยะในที่สุดก็ต้องโยนทิ้งไป

ระหว่างที่เช็ดไปนั้นผมคิดอะไรไม่ออก ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นเพราะว่าสมองว่างเปล่าหรือว่าคิดเยอะจนสับสน หลังจากที่เช็ดเสร็จ กลิ่นในโต๊ะก็ยังไม่หมดไป ขณะที่นึกไม่ออกว่าควรทำอย่างไรต่อไปดี นนก็เข้ามาช่วยผมอีก

“เอาลงไปล้างที่หลังตึกดีกว่าไอ้อู” นนแนะนำ

ผมเห็นดีด้วย นนกับผมจึงช่วยกันยกโต๊ะลงบันไดไปที่ชั้นล่างโดยมีแมนคอยช่วยผลัดเพราะว่าโต๊ะเรียนไม้รุ่นเก่านั้นหนักมาก จากนั้นก็ยกไปที่ก๊อกน้ำหลังตึก นนวิ่งไปหาผงซักฟอกกับแปรงขัดพื้นมาให้ เมื่อได้มาผมก็ลงมือล้างโต๊ะด้วยน้ำกับผงซักฟอกและขัดด้วยแปรง

เมื่อล้างจนคาดว่าสะอาดหมดจดแล้ว ผมก็ทิ้งโต๊ะเรียนเอาไว้ที่ข้างล่างก่อนเพื่อรอให้มันแห้ง จากนั้นก็ไปที่โรงยิม ที่ด้านข้างของโรงยิมเป็นสุสานของโต๊ะและเก้าอี้เรียนที่ชำรุดและเลิกใช้แล้ว ผมเลือกได้เก้าอี้เล็กเชอร์ที่เป็นเก้าอี้และมีเท้าแขนสำหรับรองเขียนมาตัวหนึ่ง แม้มันจะเก่าและชำรุดแต่ก็พอใช้แก้ขัดได้ จากนั้นก็แบกขึ้นไปยังห้องเรียน

กว่าจะจัดการกับปัญหาเฉพาะหน้าได้เสร็จก็หมดไปหนึ่งคาบพอดี เสื้อผ้าและรองเท้าของผมเปียกไปหมด กลิ่นขี้ติดจมูกอยู่ตลอดเวลาชวนให้อยากอ้วก ผมไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะว่ากลิ่นติดจมูกหรือว่าตัวผมมีกลิ่นติดตัวอยู่จริงๆ

และแล้ว ในคาบเรียนที่สองผมก็กลายเป็นตัวตลกของห้องไป เพราะว่าโต๊ะเรียนที่ผิดแปลกไปจากของคนอื่นๆ ประกอบกับเนื้อตัวที่มอมแมมและเปียกน้ำของผม ทุกคนต่างพากันพูดว่ากลิ่นยังไม่หมดไปจากห้อง ซึ่งก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าเป็นกลิ่นจากตัวผมหรือว่าเป็นกลิ่นที่ตกค้างอยู่ภายในห้อง

แน่นอน เมื่อเรื่องหึ่งเสียขนาดนี้ คือทั้งกลิ่นหึ่งและทั้งพูดกันหึ่ง อาจารย์ที่เข้ามาสอนทุกคาบต่างก็ทราบกันหมด ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่อาจารย์วารีจะไม่ทราบเรื่อง

และแล้ว ผมก็ถูกอาจารย์วารีเรียกให้เข้าไปพบในตอนพักเที่ยง

“เป็นไงอู ได้ยินว่ามีเรื่อง มันเป็นยังไงมายังไง” อาจารย์ทักทาย

“เอ้อ...” ผมพูดไม่ออก “ไม่มีอะไรหรอกครับอาจารย์”

“ขนาดนี้แล้วยังบอกไม่มีอะไรอีก” อาจารย์ดุผม “บอกครูมาเถอะว่าใครเป็นคนแกล้งเธอ”

“...”

“ครูรู้นะว่าเธอรู้ เพราะว่าเรื่องแกล้งกันแบบนี้มันต้องมีสาเหตุ” อาจารย์คาดคั้นผมอีก

ที่จริงผมก็ได้แต่สันนิษฐานเอาเพราะว่าไม่ได้เห็นด้วยตาว่าเป็นการกระทำของใคร รวมทั้งถ้าผมจะเล่าถึงสาเหตุก็คงต้องเท้าความไปถึงเรื่องขบวนการฝิ่น ซึ่งถ้าเรื่องนี้ถูกขุดคุ้ยขึ้นมาพวกเวชคงต้องถูกเอาผิดย้อนหลัง และเรื่องราวคงบานปลายไปมากกว่านี้อีก ผมจึงตัดสินใจเงียบ

และแล้ว ในที่สุดประวัติศาสตร์ก็ซ้ำรอยเดิม ผมอดนึกถึงตอน ม.๑ ไม่ได้ ตอนนั้นผมก็ถูกอาจารย์คาดคั้นเรื่องสาเหตุที่วิวาทกับไอ้โหนกแต่ผมก็ไม่ได้ตอบอะไรเช่นกัน วันนี้เหตุการณ์น้ำท่วมปากแบบเดียวกันนั้นก็ได้ย้อนกลับมาเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

อาจารย์วารีปล่อยให้ผมกลับห้องโดยที่ไม่ได้ข้อมูลอะไรไป วันนั้นทั้งวันผมเรียนหนังสือแทบไม่รู้เรื่อง เพราะมัวแต่คิดหาทางออกว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไรดี ผมเหลือบมองเวชและพวกบ่อยๆ เห็นเวชมักตีหน้าตาย ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ส่วนเกรียงและเพื่อนในแก๊งมักหันมามองทางผมบ่อยๆตลอดทั้งวันพร้อมทั้งแซวและหัวเราะกันสนุก

- - -

ในที่สุด เสียงออดหมดคาบสุดท้ายก็ดังขึ้นอันเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าการเรียนในวันนั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว

“เวช ขอคุยด้วยหน่อยสิ” ผมพูดกับเวชหลังเลิกเรียนขณะที่เวชกำลังเตรียมตัวจะกลับ ตอนนั้นนักเรียนบางส่วนทยอยกันออกไปจากห้องแล้ว แต่ก็ยังมีบางคนเหลืออยู่ในห้อง

“มีอะไรข้องใจเหรอน้อง” เวชตอบแบบกวน

“ก็อยากคุยน่ะ” ผมตอบ

“งั้นไปคุยกันหลังตึก” เวชพูด

ผมอึ้งไปนิดหนึ่งกับสถานที่นัดคุยของเวช

“คุยกันในห้องนี่แหละ” ผมตอบ

ผมใคร่ครวญดูแล้วหากไปคุยกันหลังตึก ใครจะรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เวชและเกรียงอาจลงไม้ลงมือกับผม ถ้าผมสู้ก็จะกลายเป็นวิวาททั้งสองฝ่าย โดนลงโทษทั้งคู่อีก แต่ถ้าผมไม่สู้ผมก็อาจถูกซ้อมจนปางตายก็ได้ ผมจึงเสนอให้คุยกันในห้องเรียน เพราะว่าหากเกิดอะไรขึ้นก็มีคนเห็นเหตุการณ์ได้โดยตลอดและสามารถเป็นพยานได้

“มึงจะคุยอะไร” เวชถาม เพื่อนๆหลายคนยังอยู่ในห้อง คิดไปก็น่าอาย แต่ผมทำเป็นไม่สนใจ

“อยากปรับความเข้าใจกับมึงหน่อย เรื่องส่งฝิ่นที่กูไม่ทำเพราะเมื่อก่อนกูเคยมีปมเรื่องนี้มาก่อน ก็เลยไม่อยากทำ แต่ไม่ได้หมายความว่ากูไม่อยากช่วยเพื่อน ขอให้กูช่วยทางอื่นดีกว่า แต่พวกมึงก็ไม่ถามกูก่อน ไม่ให้โอกาสกูพูดเลย” ผมพูด

“มึงจะอธิบายห่าอะไรวะ ก็เห็นๆอยู่ว่ามึงขี้ขลาดไม่ยอมช่วย ถ้าเกรดไม่ถึง ๒.๕ กันก็มีปัญหาอีก นี่หรือวะเพื่อน” เกรียงพูดสอดขึ้นมา

ผมไม่สนใจไอ้เกรียงเพราะคิดว่าคงพูดกับมันไม่รู้เรื่องเนื่องจากมันไม่ฟังเหตุผลอะไร คุยกับเวชน่าจะง่ายกว่า อีกอย่าง เวชเป็นหัวโจก คุยกับลูกสมุนถึงคุยกันรู้เรื่องก็อาจไม่มีประโยชน์นัก สู้คุยกับหัวโจกไม่ได้

“เวช กูคิดว่ามึงเป็นเพื่อนมาตลอดนะ ถ้ากูขี้ขลาดกูคงไม่ไปรับผิดพร้อมกับมึงในวันนั้น ที่กูทำเพราะกูอยากให้มึงรู้ว่ากูไม่ทิ้งมึง แต่ส่งฝิ่นนี่มันไม่เหมือนกัน” ผมพูด “วันนี้อาจารย์วารีก็เรียกกูไปถาม ถ้ากูจะเอาคืนกับพวกมึงกูก็เล่าเรื่องส่งฝิ่นไปแล้ว แต่กูก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะกูยังคิดว่ามึงเป็นเพื่อนอยู่”

ผมหยุดไปนิดหนึ่ง จากนั้นพูดต่อ

“ถ้ามึงยังคิดว่ากูเป็นเพื่อน... หรืออย่างน้อยคิดว่ากูเคยเป็นเพื่อน... ก็ช่วยอย่ารังควานกูอีกเลย ที่มึงแกล้งกูวันนี้กูก็แย่มากแล้ว ถือว่ากูยอมให้มึงลงโทษ มึงคงเหม็นหน้ากูอีกไม่นานมากนักหรอก”

เมื่อพูดจบผมก็คว้าเป้เดินออกไปจากห้อง ท่ามกลางสายตาของเพื่อนๆ ส่วนเวชนั้นยืนนิ่งเฉยไม่พูดอะไร

ขณะที่ผมเดินทางกลับ ผมคิดไปตลอดทาง ทั้งหนักใจและทั้งอับอายเพื่อนๆมาก ในที่สุดผมก็คิดหาทางออกของปัญหานี้ได้วิธีหนึ่ง นั่นคือ

หนี!

Tuesday, January 12, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 42

วันสิ้นปี

หลังจากวันคริสต์มาสแล้วสัปดาห์ถัดมามีวันเรียนเพียงไม่กี่วันก็ได้หยุดช่วงปีใหม่อีก ช่วงนั้นผมไปโรงเรียนด้วยจิตใจที่หวาดระแวง ระวังตัวอยู่ตลอดเวลาเพราะกลัวว่าจะถูกเวชและเกรียงแกล้งอีก แต่ก็โชคดีที่สัปดาห์สิ้นปีนั้นไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น

ช่วงปีใหม่มีวันหยุดติดต่อกันถึง ๔ วันทำให้หอพักถึงกับเงียบเหงาไปถนัดใจเนื่องจากชาวหอกลับบ้านต่างจังหวัดไปฉลองเทศกาลปีใหม่ที่บ้านของตนกันจนเกือบหมดหอ แม่โทรมาเรียกให้ผมกลับบ้านไปในช่วงปีใหม่เช่นกันแต่ด้วยความที่ผมยังน้อยใจพ่ออยู่จึงบอกแม่ไปว่ายังไม่อยากกลับบ้าน ทั้งที่จริงแล้วผมอยากกลับไปใช้เวลาช่วงปีใหม่ที่บ้านมากเพราะรู้ว่าเอ๊ดก็กลับบ้านด้วย เพียงแต่อยากให้พ่อเป็นคนเรียก ผมตั้งใจเอาไว้ว่าหากพ่อเรียกก็จะกลับไป แต่ชีวิตก็มักมีเรื่องที่ไม่สมหวัง ปรากฏว่าพ่อไม่เรียกผมกลับ แต่แม่เป็นคนเรียกแทน ด้วยความน้อยใจผมจึงไม่ได้กลับบ้านในช่วงปีใหม่ ส่วนบอยนั้นไปฉลองปีใหม่ทางภาคเหนือกับครอบครัว

อากาศที่เริ่มหนาวเย็นมาตั้งแต่ปลายปีเนื่องจากมีลมหนาวจากประเทศจีนพัดเข้ามาก็กลายเป็นหนาวจัด จำได้ว่าเมื่อตอนผมยังเป็นเด็ก สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล ฤดูหนาวก็ยังหนาว ฤดูฝนฝนก็ตกมาก ครั้นพอผมเรียนอยู่ชั้นมัธยม ผมสามารถรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ ฤดูหนาวและฤดูฝนมีจำนวนวันที่น้อยลง ฤดูหนาวบางปีก็ไม่หนาวเท่าไร แต่ถึงอย่างไรก็ยังดีกว่าภูมิอากาศในปัจจุบันมากที่ตลอดปีมีแต่เพียงฤดูร้อนกับฤดูร้อนโคตร แถมช่วงปีใหม่ก็ยังมีฝนตกหนักได้อีกด้วย

อุณหภูมิในช่วงสิ้นปีต่อปีใหม่ลดลงอย่างรวดเร็ว ผมไม่ค่อยทนทานกับอากาศที่หนาวเย็นเท่าไรนัก อุณภูมิขนาด ๒๐ องศาเซลเซียสผมก็รู้สึกว่าหนาวมากแล้ว ผมอดนึกถึงความสุขสบายตอนอยู่ที่บ้านคุณลุงคุณป้าไม่ได้ ที่นั่นชั้นบนจะเป็นพื้นไม้กระดานอันทำจากไม้เนื้อแข็ง ไม่ใช่ไม้ปาร์เก้ ซึ่งบ้านที่ปลูกใหม่ในปัจจุบันจะหาบ้านที่ใช้ไม้แผ่นทำพื้นได้ยากแล้วแม้แต่บ้านในชนบทก็ตาม ทั้งนี้ เนื่องจากไม้หายากขึ้นนั่นเอง

พื้นไม้บ้านคุณลุงทำให้ผมรู้สึกอุ่นสบายในฤดูหนาว ต่างจากที่หอพักนี้ซึ่งเป็นพื้นปูนปูคั่นไว้ด้วยเสื่อน้ำมันบางๆเพียงชั้นเดียว เวลาเดินในห้องจะรู้สึกว่าพื้นเย็นมาก ยิ่งในยามค่ำคืน ภายนอกลมหนาวพัดแรง ภายในยิ่งหนาวเหน็บ ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับอยู่ภายในตู้เย็นก็ไม่ปาน

ผมไม่ได้เตรียมเสื้อกันหนาวมาจากบ้านเลยเพราะว่านึกไม่ถึงเนื่องจากตอนที่ย้ายมานั้นยังเป็นปลายฤดูฝน เมื่ออากาศหนาวเย็นลงอย่างรวดเร็ว ประกอบกับเป็นยามดึกไม่รู้จะไปหาซื้อเสื้อกันหนาวจากที่ไหน ผ้าห่มก็ไม่มี ทำให้ผมต้องเอาเสื้อยืดมาใส่ถึงสามสี่ตัวซ้อนกัน ส่วนช่วงขานั้นก็ใส่กางเกงยีนเอา เพราะว่าส่วนใหญ่ผมใส่กางเกงขาสั้นนอน ไม่ได้เอากางเกงนอนขายาวมาด้วยเลย

ใส่เสื้อผ้าตั้งหลายชั้นก็ยังไม่หายหนาว จนในที่สุดผมต้องเอาเตาไฟฟ้าที่ปกติใช้ต้มน้ำต้มมาม่ามาเปิดเสมือนกับเป็นเครื่องทำความร้อน แถมต้มน้ำร้อนไปด้วย แล้วมานั่งผิงไออุ่นจากเตาไฟฟ้าและไอน้ำร้อนนั่นเอง คนในชนบทจุดกองไฟผิงเพื่อขับไล่ความหนาว แต่ผมต้องผิงเตาไฟฟ้า จะนอนก็ไม่ได้เพราะไม่กล้าเปิดเตาไฟฟ้าทิ้งไว้ กลัวไฟไหม้ ก็เลยต้องทนง่วงนั่งอยู่ที่เก้าอี้นั่นเอง

ดึกแล้ว...

เวลาเพิ่งผ่านเที่ยงคืนไปได้ไม่นาน เสียงพลุและเสียงเฮเนื่องในโอกาสก้าวข้ามปีปฏิทินดังได้เพียงครู่เดียวก็เงียบหายไป บรรยากาศในยามดึกเงียบสงัด ผมหยิบเทปที่บอยให้เป็นของขวัญขึ้นมาดู ท้องฟ้าหม่น ต้นสนเดียวดาย และพื้นหิมะที่ขาวโพลนในหน้าปกเทปทำให้ผมรู้สึกเหงาขึ้นมาจับใจ ในห้วงคำนึงผมรู้สึกว่าไอ้นัยที่อยู่ในอีกซีกโลกหนึ่งก็กำลังก้าวข้ามวันเวลาอันเดียวดายและเหน็บหนาวเช่นกัน...

ผมหยิบตลับเทปมาใส่ในเครื่องวอล์กแมน จากนั้นก็เปิดเทปชุดดีเซ็มเบอร์ฟังไปเรื่อยๆ เทปเริ่มต้นที่เพลง Varitions on the Kanon by Johann Pachelbel เพลงเริ่มต้นด้วยจังหวะช้า เสียงเปียโนในคืนอันเงียบสงัดและหนาวเย็นทำให้ผมรู้สึกเหงาจนต้องร้องไห้ ในชีวิตผมรู้สึกเหงาอยู่บ่อยๆ แต่ที่เหงาจนร้องไห้นี่มีอยู่เพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น และในคืนนี้ก็เป็นครั้งหนึ่งในชีวิตของผม

เสียงเปียในในเพลง Variations on the Kanon เริ่มเปลี่ยนมาเป็นจังหวะที่เร็วขึ้น ฟังดูเหมือนกับจะร่าเริง แต่ในความรู้สึกของผมกลับกลายเป็นความรู้สึกร่าเริงที่แฝงไว้ด้วยความเงียบเหงา เปรียบเหมือนกับคนที่เดียวดายและพยายามทำตนเองให้ร่าเริงเข้าไว้ แต่แท้ที่จริงแล้วในส่วนลึกกลับเก็บซ่อนความเหงาที่ไม่อาจลบล้างไปได้อยู่ ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกคิดถึงบ้าน คิดถึงคนที่บ้าน คิดถึงไอ้นัย และในบางวูบของอารมณ์ก็คิดถึงบอย อยากมีใครสักคนที่ผมรักมาอยู่ใกล้ๆ คอยปลอบประโลม คอยเป็นกำลังใจ ช่วยให้ผมผ่านวันเวลาในชีวิตไปได้อย่างไม่เดียวดาย

เสียงเปียโนกลับกลายเป็นช้าและแผ่วเบาลง ในที่สุด เพลง Variations on the Kanon ก็จบลง ความเงียบเหงาทำให้ผมเริ่มเข้าใจคำว่า ‘บ้าน’ และ ‘ครอบครัว’ อย่างลึกซึ้งก็ในวันนี้เอง...

- - -

“สวัสดีปีใหม่ครับคุณน้า” ผมเอ่ยทักทายคุณน้าเจ้าของหอในตอนเช้าของวันปีใหม่ ขณะที่ผมลงไปข้างล่างเพื่อจะออกไปข้างนอก ผมพบคุณน้านั่งเฝ้าอยู่ที่ชั้นล่างพอดี

“อ้าว อูไม่กลับบ้านหรอกเหรอ” คุณน้าทักด้วยน้ำเสียงที่แปลกใจ

“เอ้อ ไม่ครับ” ผมอ้อมแอ้ม “อยากอยู่เที่ยวกรุงเทพฯในช่วงปีใหม่น่ะครับ”

“โอ๊ย คิดผิดเสียแล้วล่ะอู” คุณน้าหัวเราะ “ปีใหม่กรุงเทพฯยังกับเมืองร้าง ร้านปิดกันหมด คนก็ออกไปเที่ยวต่างจังหวัดกัน อูจะไปเที่ยวที่ไหน มันไม่ใช่สงกรานต์นะจ๊ะ”

“แป๋งก็ไปเที่ยวต่างจังหวัดเหรอครับ” ผมพยามยามเปลี่ยนหัวข้อสนทนาให้พ้นไปจากเรื่องการกลับบ้านของผม

“โน่น อยู่บนโน้น” คุณน้าเหลือบตาขึ้นข้างบนอันเป็นความหมายว่าแป๋งยังอยู่บนชั้นบน สีหน้าแฝงความระอาใจนิดๆ “เมื่อคืนไปฉลองปีใหม่บ้านเพื่อน ป่านนี้ยังไม่ตื่นเลย”

“มีลูกชายวัยรุ่นก็ยังงี้แหละครับคุณน้า ต้องอดทนหน่อย” ผมเผลอแก่แดดออกไป คุณน้าหัวเราะขำ

วันนั้นผมออกไปห้างเซ็นทรัลลาดพร้าวเพื่อซื้อเสื้อกันหนาวกับผ้าห่ม ที่จริงในตลาดอย่างเช่นตลาดสะพานสองหรือว่าตลาดตรงปากทางลาดพร้าวก็จะมีแผงขายเสื้อผ้า ปากทางลาดพร้าวตรงที่เป็นยูเนี่ยนมอลล์ในปัจจุบันนั้นเมื่อก่อนเป็นตลาดสดขนาดใหญ่ รวมทั้งมีโรงหนังชั้นสองด้วย ดูเหมือนจะชื่อลาดพร้าวเธียเตอร์ ฉายหนังควบ มีแผงขายเสื้อผ้าระดับชาวบ้านมากมาย ราคาไม่แพง เสื้อกันหนาวก็มี แต่ก็เป็นแบบทั่วๆไปเช่นกัน ถ้าต้องการเสื้อผ้าหรือเสื้อกันหนาวแบบแฟชั่นในยุคนั้นก็ต้องไปที่ตึกใบหยกและห้างซิตี้ที่อยู่ใกล้ๆกัน ทั้งสองแห่งอยู่ในย่านประตูน้ำ แต่เนื่องจากเป็นช่วงปีใหม่ คิดว่าแหล่งเสื้อผ้าเหล่านี้น่าจะปิด ผมจึงไปซื้อที่ห้างแทน

หลังจากที่เดินเลือกอยู่เป็นชั่วโมง ในที่สุดผมก็ซื้อชุดวอร์มคือเสื้อกับกางเกงวอร์ม และผ้าห่มเดินทางมา เหตุที่เลือกซื้อชุดวอร์มเพราะว่าราคาไม่แพง อีกทั้งเมื่อหมดหนาวแล้วช่วงอื่นก็ยังใส่ได้อีก เช่นใส่ตอนเล่นกีฬา หากซื้อเป็นเสื้อไหมพรมหมดหนาวแล้วก็ต้องเก็บอีกนาน ส่วนผ้าห่มนั้นเป็นผ้าห่มลายสก็อตขนาดห่มคนเดียว ไม่หนาไม่บาง กำลังดี บรรจุในกระเป๋าพลาสติกใส สามารถพกเดินทางไปไหนมาไหนได้ เพียงแค่นี้ก็หมดไปเกือบพันบาทแล้ว

เมื่อกลับเข้าหอพัก ผมก็ได้พบกับแป๋ง แป๋งนั่งเฝ้าชั้นล่างอยู่ที่โต๊ะประจำตำแหน่งเช่นเคย ตอนนั้นแป๋งกับกำลังคุยกับวัยรุ่นคนหนึ่งอยู่ ดูน่าจะอ่อนกว่าผมและแป๋งเล็กน้อย หน้าตาดูน่ารักดี ตี๋ๆ ตัวหนาๆ ตันๆ

“เฮ้ อู ปีใหม่ไม่กลับบ้านเหรอ” แป๋งทักทาย วันนี้ทั้งวันเจอใครก็ทักแบบนี้ จนเบื่อที่จะตอบแล้ว

“กลับแล้วนายจะเห็นเหรอ” ผมแกล้งตอบอย่างกวนๆ

ตี๋หุ่นหนาคนนั้นเมื่อเห็นแป๋งคุยกับผมจึงหันมายิ้มให้ จากนั้นก็เดินเข้าไปข้างในเพื่อจะขึ้นบันไดไปชั้นบน

“เฮ้ย คนเช่าใหม่เหรอ ไม่เคยเห็นมาก่อน ใครน่ะ” ผมถามแป๋ง

“อยู่ชั้น ๒ ชื่อวุฒิ เป็นเด็ก ม.๓ มาเช่าตั้งเดือนแล้ว นายไปอยู่ที่ไหนมา วันก่อนยังไปนั่งกินเหล้าบนดาดฟ้ากับพวกพี่ธิตเลย” แป๋งตอบ

ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่วันที่ผมกลับหอเร็วแทบจะนับไม่ถูก ไม่ใช่เพราะว่าเยอะมาก แต่มันน้อยจนแทบจะนับไม่ถูกต่างหาก ส่วนใหญ่ผมใช้เวลาเถลไถลอยู่ข้างนอก ไปกับเวชบ้าง ไปกับบอยบ้าง กับพวกพี่ธิตก็มีไปสังสรรค์บ้างเป็นครั้งคราว แต่ไม่เคยเห็นตี๋วุฒิคนนี้มาก่อนเลย

หลังจากที่คุยทักทายกับแป๋งสักครู่ ผมก็ขอตัวกลับขึ้นห้อง ในยามที่รู้สึกโดดเดี่ยวเช่นนี้ แป๋งเป็นเหมือนขอนไม้ในทะเลเหงาที่ให้ผมไขว่คว้า ผมตั้งใจว่าจะเอาของไปเก็บหลังจากนั้นจะลงมาคุยกับมันแก้เซ็งสักหน่อย ยังอีกหลายวันกว่าโรงเรียนจะเปิด ถ้าไม่ได้คุยกับใครเลยมีหวังเหงาตาย เคยคิดหวังให้มันขึ้นไปหาผมสักหน่อยมันก็ไม่ขึ้นไปสักที

หลังจากที่วางของที่เพิ่งซื้อมาใหม่ลงในห้อง และอู้อีกสักครู่ ผมก็ออกจากห้องเพื่อลงไปคุยกับแป๋งที่ชั้นล่าง ขณะที่เดินลงบันไดมาถึงชั้นสามนั้นเอง ผมก็ได้ยินเสียงคนขึ้นบันไดมา และแล้วเสียงคนเดินขึ้นบันไดนั้นเงียบหายไป แสดงว่าคนผู้นั้นเดินขึ้นมาแค่ชั้นสอง

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่ว่าจู่ๆผมก็รู้สึกเอะใจขึ้นมา ผมผ่อนฝีเท้าจนเบา จากนั้นเดินลงบันไดต่อไปยังชั้นสองอย่างเงียบกริบ

ที่ชั้นสอง ผมเห็นเงาหลังของผู้ที่เดินขึ้นมาอยู่กำลังเดินอยู่บนทางเดิน เจ้าของเงาหลังนั้นคือแป๋งนั่นเอง ผมเห็นแป๋งเดินเปิดประตูห้องหนึ่งเข้าไปโดยที่ไม่ต้องเคาะประตู!

- - -

ฟังเพลง Varitions on the Kanon by Johann Pachelbel เดี่ยวเปียโนโดย จอร์จ วินสตัน
เพลงนี้เป็นหนึ่งในเพลงที่ผมรักมากที่สุด ฟังทีไรก็ให้ความรู้สึกที่อ้างว้างและเงียบเหงาทุกครั้ง แต่ก็ยังชอบฟัง



ฟังเพลง Canon in D Major by Johann Pachelbel เวอร์ชันต้นตำรับ บรรเลงด้วยเครื่องดนตรีโบราณ
<เพลง Varitions on the Kanon by Johann Pachelbel นำมาบรรเลงด้วยเปียโนนั้นใช้ theme หรือว่าแนวทำนองหลักมาจากเพลง 'แคนอนในบันไดเสียงดีเมเจอร์' (Canon in D Major) ซึ่งประพันธ์โดย โยฮันน์ พาเคลเบล (Johann Pachelbel) นักประพันธ์เพลงชาวเยอรมนีในยุคบารอกอันเป็นยุคเดียวกับบาคนั่นเอง เพลงนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นเพลงที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักมากที่สุดในบรรดาเพลงทั้งหมดของพาเคลเบลที่บรรเลงกันในยุคปัจจุบัน ถูกนำมาเรียงเรียงใหม่และบรรเลงในรูปแบบต่างๆกันและใช้เครื่องดนตรีต่างๆกันมากมาย เพลงนี้เป็นการบรรเลงแบบต้นตำรับโดยใช้วงเครื่องสายที่เป็นเครื่องสายโบราณที่ใช้กันในยุคบารอกหรือเมื่อราว ๓๐๐ ปีที่แล้ว>

ฟังเพลง Canon in D Major by Johann Pachelbel บรรเลงด้วยวงออร์เคสตรา
<เวอร์ชันนี้บรรเลงด้วยวงออร์เคสตรา ถือเป็นเวอร์ชันที่นิยมกันเป็นมาตรฐานในปัจจุบัน>



<เครื่องเล่นเทปพร้อมวิทยุ โซนี่ วอล์กแมน รุ่นผมใช้ตอนเรียนมัธยม ซื้อมาตั้งแต่ตอนมัธยมต้น ใช้จนพังในตอนมัธยมปลาย หลังจากนั้นก็ไม่ได้ซื้อใหม่อีกเลย ถือเป็นวอล์กแมนเครื่องสุดท้ายที่ผมใช้ ในภาพนำมาเปรียบเทียบกับปากกาและเครื่องเล่น MP3 ในยุคปัจจุบันเพื่อให้เห็นขนาด ถ้าเป็นตอนนี้ก็ถือว่าเทอทะ แต่ในตอนนั้นก็ต้องถือว่าขนาดย่อมใช้ได้แล้ว>

Friday, January 8, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 41

ผมเข้าไปในร้านโดนัทตามใจบอยแม้ตนเองจะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนักก็ตาม ผมให้บอยเลือกโดนัทและเครื่องดื่มที่ต้องการ จากนั้นให้บอยไปนั่งรอที่โต๊ะ ส่วนผมเองไปยืนต่อแถวสั่งของให้ เมื่อได้ของมาแล้วก็ยกมาเสิร์ฟบอยที่โต๊ะ ภาพอดีตหวนเข้ามาในความคิดคำนึงของผมเป็นระยะๆ

“พี่อู วันนี้เป็นอะไรอะ ดูซึมๆไป ไม่กวนโอ๊ย อุ๊บ โทษฮะ ไม่กวนเหมือนเคย” บอยพยายามแหย่ผม กวนโอ๊ยเป็นภาษาสแลงของวัยรุ่นในยุคนั้น กวนเป็นคำไทย โอ๊ยเป็นคำจีนแต้จิ๋ว รวมแล้วแปลว่ากวนตีน สแลงคำนี้ติดภาษาอยู่พอสมควร นิยมใช้กันมาหลายปีอยู่เหมือนกัน

จริงสินะ วันคริสต์มาสปีนี้ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไร ไหนจะคิดมากเรื่องเวชและพวก ไหนยังจะคิดเรื่องวันเก่าๆที่สยามสแควร์อีก ไม่มีอารมณ์สนุกไปกับเทศกาลเลย ผมพยายามบ่ายเบี่ยงบอกบอยว่าไม่มีอะไร และพยายามทำตัวให้ร่าเริงเพื่อกลบเกลื่อนเพราะไม่อยากทำลายบรรยากาศสนุกสนานของมัน

กว่าจะกินโดนัทเสร็จก็เป็นเวลาพลบค่ำ สยามสแควร์เริ่มสว่างไสวจากแสงของหลอดไฟแทนแสงตะวัน อากาศเย็นลงอย่างรวดเร็ว ช่วงปลายเดือนธันวาคมในปีนั้นอากาศเย็นพอดูเลยทีเดียว เราสองคนเดินออกมาจากร้านโดนัทและเดินไปบนทางเท้าริมถนนใหญ่ เมื่อมาเกือบถึงโรงหนังลิโด้ ผมก็พบกับหญิงชราคนหนึ่งนั่งอยู่ที่ริมทางเท้า

ท่ามกลางบรรยากาศอันรื่นเริงของวันคริสต์มาส ผู้คนที่เดินขวักไขว่ล้วนแต่งตัวสวยงาม ต่างก็มุ่งมาเฉลิมฉลองและสนุกกับเทศกาล แต่หญิงชราคนนี้นั่งหลับตาพริ้มอยู่บนทางเท้า ดวงหน้าเรียบเฉยปราศจากความรื่นเริง ในมือของเธอถือถ้วยเล็กๆใบหนึ่ง ผู้คนเดินผ่านเธอไปมาอย่างไม่สนใจราวกับว่าเธอไม่มีตัวตน ใช่แล้ว เธอคือขอทานนั่นเอง

ขณะที่ผมเดินผ่านหญิงชราขอทาน ผมชะลอฝีเท้าโดยไม่รู้ตัว ผมหันไปมองเธอและมองผู้คนที่อยู่รอบตัวเธอ ทำไมนะ โลกของเธอกับโลกของคนที่อยู่รอบๆตัวเธอมันช่างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

เมื่อเดินมาอีกเพียงไม่กี่เมตร ที่ทางเท้าหน้าโรงหนังลิโด้ ผมก็ได้พบกับภาพชีวิตอีกฉากหนึ่ง เป็นภาพของวัยรุ่นสองคน คงแก่กว่าผมเพียงสองสามปีเท่านั้น ทั้งสองคนนั่งอยู่กับพื้น ตรงหน้าของทั้งสองมีขิมอยู่คนละตัว คนหนึ่งกำลังตีขิมขณะที่อีกคนหนึ่งกำลังนั่งพัก ตรงหน้าขิมมีกล่องหนังใบเล็กๆวางอยู่กับพื้น ในนั้นมีเศษเงินอยู่นิดหน่อย

แม้คนที่ตีขิมอยู่จะบรรเลงเพลงไทยได้อย่างไพเราะก็ตาม แต่วัยรุ่น นักเรียน และหนุ่มสาวที่อยู่ในวัยเดียวกับสองคนนี้ล้วนแต่เดินผ่านไปมาอย่างไม่สนใจไยดี

ภาพที่เห็นทำให้ผมอดสะท้อนใจไม่ได้ ขณะที่วัยรุ่นบางคนอิ่มหนำสำราญและกำลังรื่นเริงกับเทศกาล วัยรุ่นบางคนกลับต้องมานั่งตีขิมเพื่อหารายได้เลี้ยงปากเลี้ยงท้องโดยไม่มีโอกาสไปรื่นเริงเลย ไม่แน่ว่าสองคนนี้อาจยังไม่ได้กินอาหารเย็นเลยด้วยซ้ำ ทำไมชีวิตจึงแตกต่างกันได้มากขนาดนี้ นี่ถ้าแต่ละคนช่วยสนับสนุนฝีมือพี่สองคนนี้คนละนิดละหน่อย ไม่แน่ว่าป่านนี้สองคนนี้อาจจะได้ไปเดินดูแสงสีในวันคริสต์มาสบ้างแล้วก็ได้ ไม่ต้องมานั่งตีขิมด้วยกล่องที่ว่างเปล่าขนาดนี้

“พี่อู” บอยเขย่ามือผม “ว้า แย่แล้ว นั่งก็ใจลอย ยืนก็ใจลอย นี่เดินยังใจลอยอีก”

ผมตื่นจากภวังค์ จากนั้นเดินย้อนไปหยอดเหรียญจำนวนหนึ่งลงในกล่องที่วางอยู่หน้าขิม ดูเหมือนจะมีผมคิดเรื่องนี้อยู่เพียงคนเดียวกระมัง แม้แต่บอยก็ดูจะไม่สนใจกับภาพที่เพิ่งประสบมา ผมอดคิดไปถึงไอ้นัยไม่ได้ นี่ถ้าไอ้นัยยังอยู่ ผมแน่ใจว่ามันต้องเข้าใจผม

เมื่อบอยกับผมเดินดูแสงสีทางด้านถนนใหญ่แล้ว จากนั้นเราก็ไปเดินตรงถนนเส้นที่อยู่หลังโรงหนังทั้งสาม ลานจอดรถด้านหลังโรงหนังถูกดัดแปลงให้เป็นเวทีแสดงดนตรี วัยรุ่นและหนุ่มสาวมาชุมนุมกันคับคั่งเพื่อชมการแสดง ผู้คนเบียดเสียดจนเดินแทบไม่ได้

“นายจะดูไหม” ผมถามบอย

“ดูดิ” บอยหัวเราะแจ่มใส “เบียดเข้าไปใกล้ๆเวทีอีกพี่อู ตรงนี้ไกลไปหน่อย”

เราสองคนเบียดเสียดฝ่าผู้คนเพื่อที่จะเดินเข้าไปใกล้เวทีแสดงให้มากขึ้น เมื่อเข้ามาในระยะที่พอมองเห็นเวทีได้ชัดแล้วก็หยุดยืนดู การแสดงบนเวทีเป็นเกมตอบปัญหาชิงรางวัลสลับกับการร้องเพลงของวงดนตรีวัยรุ่น

เวลาค่ำแล้ว แสงไฟที่เวทีสว่างไสว ส่วนลานที่คนดูยืนอยู่ค่อนข้างมืด มีเพียงแสงจากเสาไฟเพียงไม่กี่ต้นที่คอยให้ความสว่าง คนดูเบียดกันแน่น เบียดกันยิ่งกว่าตอนชมพลุเสียอีก ผู้ที่มาชมการแสดงส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นและหนุ่มสาว มาทั้งชุดนักเรียนก็มี ความเบียดเสียดทำให้ผมกับบอยต้องยืนแนบชิดกัน

ผมเหลือบไปมองบอย วงหน้าอันแจ่มใสของมันมักมีรอยยิ้มแบบอารมณ์ดีอยู่เสมอ ผมสังเกตว่าเริ่มเห็นไรหนวดเขียวอ่อนๆที่เหนือริมฝีปากของมันแล้ว เวลามันแกล้งทำหน้าตายนี่... ผมอดไม่ได้เอื้อมมือไปกุมมือบอยเอาไว้

บอยจับมือผมบีบเบาๆ ผมกุมมือมันเอาไว้สักครู่จากนั้นก็เปลี่ยนจากการเอามือกุมมาเป็นการสอดนิ้วมือประสานกับนิ้วมือของมัน เรากุมมือประสานกันเช่นนั้นอยู่นาน ไม่มีใครเห็นว่าเราสองคนทำอะไรอยู่เพราะว่าคนเบียดเสียดกันมาก ผมอดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ รู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วขึ้น ผมบีบมือบอยเอาไว้จนแน่น บอยก็บีบมือผมตอบ ในท่ามกลางความรู้สึกอันลางเลือน ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่ากำลังกุมมือบอยหรือว่ากุมมือใครอยู่กันแน่...

“ทำไมนายไม่ไปเที่ยวกับเพื่อนๆของนายวะ” ผมถามมันเบาๆ

“ก็อยากมากับพี่อูน่ะ ไปกับเพื่อนๆต้องออกเงินเอง มากับพี่อูสบายจะตาย ฮิฮิ” บอยตอบแบบทะเล้น ผมจ้องหน้ามัน มองเข้าไปในดวงตาของมันเพื่อค้นหาความจริงอะไรบางอย่าง บอยมองผมตอบแบบไม่หลบสายตา

“มองหน้าบอยทำไม มีอะไรเหรอ” บอยถาม “หน้าบอยเหมือนใครเหรอ”

“เอ้อ นายมีหนวดแล้วว่ะ เพิ่งสังเกต” ผมตอบเสเรื่องออกไป อดสะดุ้งกับคำถามของมันไม่ได้

“โธ่เอ๊ย นึกว่าอะไร” บอยหัวเราะเบาๆ บีบมือของผมที่ประสานอยู่กับมือของมัน “มือพี่อูเย็นเฉียบเลย หนาวเหรอ”

“รู้สึกเย็นนิดหน่อย” ผมตอบ บอยบีบมือที่ประสานกันให้กระชับแน่นขึ้นอีก ความอบอุ่นแผ่ซ่านออกมาจากมือของบอยถ่ายทอดสู่มือของผมเหมือนกับจะช่วยขับไล่ความหนาวเย็นที่ปกคลุมหัวใจของผมอยู่ออกไป...

- - -

บอยเพลิดเพลินกับการแสดงดนตรีมาก เห็นมันมีความสุขขนาดนั้นผมเองก็พลอยรู้สึกสดชื่นขึ้นมาด้วย เรายืนชมกันจนเกือบสี่ทุ่มจึงกลับ ตอนขากลับ เราเดินออกไปทางถนนพญาไทเพราะว่าผมต้องไปขึ้นรถที่หน้ามาบุญครองเพื่อกลับหอพัก

“พี่อู บอยมีของขวัญวันคริสต์มาสให้พี่อู” บอยพูดขึ้นขณะที่เราเดินไปยังป้ายรถเมล์พร้อมกับยื่นถุงที่ถืออยู่ในมือมาตั้งแต่ตอนเย็นให้แก่ผม ผมสังเกตเห็นถุงกระดาษใบเล็กๆในมือของมันตั้งแต่แรกแล้ว นึกว่ามันซื้อของกลับบ้าน ไม่ได้นึกเลยว่าในนั้นจะเป็นของขวัญสำหรับผม

“...” ผมอึ้งไป รู้สึกตื้นตันใจจนพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ ได้แต่รับถุงใบนั้นมาถือเอาไว้ “อะไรอะ เปิดเลยได้ไหม”

“เปิดได้เลยฮะพี่อู” บอยตอบด้วยใบหน้าที่แจ่มใส ดวงตาเป็นประกาย มันคงลุ้นอยู่เหมือนกันว่าผมจะชอบของขวัญชิ้นนี้หรือไม่

ผมเปิดถุงกระดาษออก ข้างในมีห่อของขวัญขนาดเท่ากล่องใบเล็กๆอยู่... ผมแกะกระดาษห่อออกอย่างระมัดระวัง

“แกะช้าจัง” บอยเร่งอย่างตื่นเต้น ดูมันตื่นเต้นกว่าผมเสียอีก

“ใจเย็นๆดิ พี่ไม่อยากให้กระดาษห่อกับโบว์ขาดไป... พี่จะเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึกด้วย” ผมพูด จำได้ว่าเมื่อนานมาแล้วมีใครคนหนึ่งเคยแกะกระดาษห่อของขวัญอย่างระวังแบบนี้และพูดกับผมแบบนี้เช่นกัน... ผมเพิ่งเข้าใจความรู้สึกของคนผู้นั้นในตอนแกะของขวัญก็วันนี้เอง...

เมื่อผมแกะห่อของขวัญออกมา พบว่าข้างในเป็นเทปคาสเซ็ตต์ตลับหนึ่ง หน้าปกเป็นภาพทิวทัศน์ในฤดูหนาว ท้องฟ้าสีฟ้าหม่น พื้นขาวโพลนไปด้วยหิมะ มีต้นสนสีทึมๆอยู่สี่ต้น โทนของหน้าปกเทปเป็นสีฟ้าหม่นกับสีขาว ให้บรรยากาศเย็นยะเยือก หม่นหมอง และเงียบเหงา มันเป็นอัลบัมเพลงชุด December ของ George Winston เป็นเพลงที่บรรเลงด้วยเปียโนล้วนๆ ไม่มีเครื่องดนตรีอื่นเลย

“พี่อูเล่นเปียโนไม่ใช่เหรอ บอยเลยเลือกเพลงเปียโนให้เป็นของขวัญ” บอยพูด น้ำเสียงแสดงความภูมิใจกับของขวัญชิ้นนี้มาก ส่วนผมนั้นถึงกับน้ำตาซึม

“ขอบใจนายมากนะบอย พี่ไม่ได้เตรียมอะไรเป็นของขวัญให้นายเลย” ผมรู้สึกว่าเสียงของตนเองเครือนิดหน่อย ในใจรู้สึกผิดที่ไม่ได้เตรียมของขวัญอะไรมาให้น้องเลย

“ไม่ต้องหรอกฮะ พี่อูเลี้ยงบอยมาตลอด...” บอยพูด แล้วหยุดไปนิดหนึ่ง จากนั้นทำหน้าทะเล้น “ถึงแม้พี่อูจะไม่ค่อยรู้จักหน้าที่ก็ตาม”

“ไอ้เปรต” ผมพูด อดยิ้มไปกับความกวนของมันไม่ได้ ส่วนบอยหัวเราะชอบใจ

หลังจากนั้นผมก็แยกจากบอย ขณะที่เดินทางกลับพอพัก ความคิดของผมวุ่นวายไปหมด ภาพเหตุการณ์ในอดีตลอยเข้ามาในห้วงคำนึงของผมเป็นฉากๆ ทำไมวันนี้ผมคิดถึงเรื่องเก่าๆมากมายนักก็ไม่รู้ และท้ายที่สุด ผมอดคิดถึงเด็กน้อยที่นอนที่ใต้สะพานพุทธที่ทำให้ผมตัดสินใจกลับต่างจังหวัดไม่ได้ เด็กเหล่านี้ผ่านวันคืนอันเหน็บหนาวอย่างไรนะ จากนั้นก็นึกถึงวัยรุ่นที่ตีขิมและหญิงชราขอทานที่เพิ่งพบเมื่อตอนหัวค่ำ... ในห้วงคำนึง ผมเหมือนกับกำลังค้นหาอะไรความจริงบางอย่างในชีวิตอยู่และใกล้จะไขว่คว้าเอาไว้ได้แล้ว แต่แล้วก็ยังคว้าไม่พบ...

ดึกแล้ว... หลังจากที่ผมกลับถึงหอพัก เมื่ออยู่คนเดียวในห้อง ผมหยิบเทปของบอยออกมาเปิดฟัง ผมนั่งฟังเพลงด้วยเครื่องวอล์กแมนเล็กๆซึ่งเป็นอุปกรณ์บันเทิงที่มีอยู่เพียงชิ้นเดียวในห้องของผม ท่ามกลางแสงจากโคมไฟอ่านหนังสือ เสียงเปียโนนุ่มนวล บรรยากาศที่หนาวเย็นของเดือนธันวาคม ผมเหม่อมองดูภาพฤดูหนาวของทางตะวันตกบนหน้าปกเทป และปล่อยให้หัวใจล่องลอยไปไกลแสนไกล...



<ท่ามกลางบรรยากาศอันรื่นเริงของวันคริสต์มาส ผู้คนที่เดินขวักไขว่ล้วนแต่งตัวสวยงาม ต่างก็มุ่งมาเฉลิมฉลองและสนุกกับเทศกาล แต่หญิงชราคนนี้นั่งหลับตาพริ้มอยู่บนทางเท้า ดวงหน้าเรียบเฉยปราศจากความรื่นเริง ในมือของเธอถือถ้วยเล็กๆใบหนึ่ง ผู้คนเดินผ่านเธอไปมาอย่างไม่สนใจราวกับว่าเธอไม่มีตัวตน ใช่แล้ว เธอคือขอทานนั่นเอง>



<เมื่อเดินมาอีกเพียงไม่กี่เมตร ที่ทางเท้าหน้าโรงหนังลิโด้ ผมก็ได้พบกับภาพชีวิตอีกฉากหนึ่ง เป็นภาพของวัยรุ่นสองคน คงแก่กว่าผมเพียงสองสามปีเท่านั้น ทั้งสองคนนั่งอยู่กับพื้น ตรงหน้าของทั้งสองมีขิมอยู่คนละตัว คนหนึ่งกำลังตีขิมขณะที่อีกคนหนึ่งกำลังนั่งพัก ตรงหน้าขิมมีกล่องหนังใบเล็กๆวางอยู่กับพื้น ในนั้นมีเศษเงินอยู่นิดหน่อย>



<เวลาค่ำแล้ว แสงไฟที่เวทีสว่างไสว ส่วนลานที่คนดูยืนอยู่ค่อนข้างมืด มีเพียงแสงจากเสาไฟเพียงไม่กี่ต้นที่คอยให้ความสว่าง คนดูเบียดกันแน่น เบียดกันยิ่งกว่าตอนชมพลุเสียอีก ผู้ที่มาชมการแสดงส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นและหนุ่มสาว มาทั้งชุดนักเรียนก็มี ความเบียดเสียดทำให้ผมกับบอยต้องยืนแนบชิดกัน>



<อัลบัมเพลงบรรเลงด้วยเปียโนชุด ดีเซ็มเบอร์ (December) บรรเลงเปียโนโดยจอร์จ วินสตัน (Georege Winston) นักเปียโนผู้มีชื่อเสียงชาวอเมริกัน โทนเพลงในอัลบัมชุดนี้ออกไปทางช้าๆ เยือกเย็น ในความรู้สึกของผมคิดว่าออกไปทางเหงาๆด้วยซ้ำไป ที่เห็นในภาพเป็นภาพหน้าปกของออดิโอซีดี ส่วนที่เป็นเทปคาสเซ็ตต์ก็หน้าปกนี้เช่นกัน>

Friday, January 1, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 40

“ไอ้สัตว์นี่ มึงหักหลังพวกกู” ได้ยินเสียงจากเจ้าของมือที่เค้นลำคอผมอยู่ ไอ้เกรียงนั่นเอง “มึงจะเอาตัวรอดคนเดียวหรือไง”

ผมรู้สึกแน่นที่ลำคอ หายใจไม่ออก หัวก็กระแทกกับกำแพงจนมึนงง ยังไม่ทันที่จะพูดอะไรไอ้เกรียงก็ปล่อยหมัดเข้าที่ท้องของผมทันที

หมัดนั้นกระแทกเข้าที่ใต้ลิ้นปี่ ผมรู้สึกตัวเบาหวิว จากนั้นก็รู้สึกจุกและหายใจไม่ออก แข้งขาอ่อนแรงจนควบคุมไม่ได้ มีความรู้สึกเหมือนกำลังจะขาดใจแต่ไม่รู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใด

ก่อนที่เกรียงจะทำอะไรต่อไป เพื่อนๆก็รีบเข้ามาแยกมันออกไป ทันทีที่มันปล่อยมือ ผมก็ทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น โชคดีที่มันต่อยเข้าใต้ลิ้นปี่ ไม่ได้ต่อยใส่ลิ้นปี่โดยตรง ไม่อย่างนั้นผมคงหมดสติไปแล้ว

เหตุการณ์ที่หน้าห้องเรียนวุ่นวาย เพื่อนกลุ่มหนึ่งแยกเกรียงออกไป ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งก็เข้ามายืนบังผมเอาไว้ไม่ให้เกรียงฉวยโอกาสเข้ามาซ้ำได้ ตอนนั้นชุลมุนไปหมด ไม่รู้ว่าเพื่อนคนไหนที่ช่วยผมเอาไว้บ้าง ที่จริงตอนที่อยู่ชั้น ม.๔ นี้ผมไม่ค่อยสนิทกับใครนัก แต่ในยามคับขันก็ทำให้ผมได้เห็นน้ำใจของเพื่อนๆ

“ไอ้อู มึงเจอดีแน่ ระวังตัวเอาไว้” ได้ยินเสียงไอ้เกรียงฝากคำอาฆาตก่อนที่จะเดินจากไปหลังจากที่พยายามจะเข้ามาซ้ำผมอีกแต่ก็ไม่สำเร็จเพราะเพื่อนๆช่วยกันห้ามเอาไว้

เย็นวันนั้นผมกลับหอพักด้วยความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีนัก เหตุการณ์เมื่อตอนหลังเลิกเรียนทำให้ผมกังวล ดูท่าไอ้เกรียงมันคงเล่นไม่เลิก ส่วนเวชและคนอื่นๆยังไม่รู้ว่าท่าทีเป็นอย่างไร ถ้ามันผูกใจเจ็บและเล่นไม่เลิกกับผมทุกคนผมคงลำบากแน่

ผมอดหวนนึกไปถึงเมื่อตอนเด็กไม่ได้ เหตุการณ์ตอนที่เตะฟุตบอลกับไอ้ทิวและเรื่องของไอ้ชิดยังแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เอง ประวัติศาสตร์ที่เกิดกับไอ้นัยหลายต่อหลายตอนกำลังมาซ้ำรอยที่ตัวผม แต่มาคิดอีกทีก็อาจจะดีเหมือนกัน เพราะมันทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับว่าได้ชดใช้หนี้กรรมบางส่วนที่ผมได้ทำกับเพื่อนที่ผมรักมากที่สุดเอาไว้

- - -

วันรุ่งขึ้น

ผมเข้าไปในห้องเรียนในตอนเช้าอย่างระวังตัวเต็มที่ แลเห็นเวชและพวกกำลังนั่งจับกลุ่มคุยกันอยู่ที่โต๊ะของตนเอง เมื่อพวกมันเห็นผมเดินเข้ามาก็ทำตัวเป็นปกติเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมรู้สึกหนาวๆร้อนๆเพราะที่นั่งของผมติดกับเวช ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็คงถึงตัวผมทันที

เมื่อก่อนตอนที่ยังเป็นเด็ก ผมค่อนข้างมุทะลุ แต่พอมาตอนนี้จะทำอะไรแบบไม่คิดหน้าคิดหลังเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว ตอนนี้เรื่องที่ผมกลัวที่สุดคือการต้องกลับไปเรียนที่บ้าน หากเกิดเรื่องชกต่อยเกิดขึ้นส่วนมากผู้ใหญ่มักจะตัดสินให้ผิดทั้งสองฝ่ายเนื่องจากถือคติตบมือข้างเดียวย่อมไม่ดัง และเมื่อพ่อกับแม่รู้เข้าผมก็คงเรียนที่กรุงเทพฯต่อไปไม่ได้เพราะว่าอยู่แล้วมีแต่สร้างปัญหา ดังนั้นหนทางที่ผมจะได้เรียนอยู่ในกรุงเทพฯต่อไปก็คือต้องอดทนจนถึงที่สุดและพยายามไม่ให้เกิดเรื่องขึ้น แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทนไปได้มากน้อยเพียงใด

“อ้าว น้องอู มาแล้วเหรอ” เกรียงแสยะยิ้มทักทายผม เมื่อเหลือบไปดูเวชและคนอื่นๆ เห็นทุกคนกำลังจ้องมาที่ผม พวกมันนั่งนิ่ง ไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นมาเล่นงานผมแต่อย่างใด จึงทำให้ผมโล่งใจขึ้นมาหน่อย คิดว่าถ้าเป็นเวลาในระหว่างวันพวกมันคงไม่กล้าทำอะไร หากมันจะทำก็คงทำหลังเลิกเรียน ถ้าเลิกเรียนผมพยายามระวังตัวก็อาจจะพอหลบเลี่ยงพ้นได้

ผมพยายามฝืนยิ้ม ไม่พูดอะไร เมื่อถึงโต๊ะก็วางเป้ลงบนเก้าอี้จากนั้นหยิบสมุดการบ้านออกมาเพื่อจะเอาไปส่งที่โต๊ะ

“โอ๊ย” ขณะที่ผมรีบเดินออกไปทางหน้าห้องเพื่อเอาสมุดการบ้านไปส่งนั้นเอง ผมก็รู้สึกว่าขาของผมสะดุดกับอะไรเข้าอย่างแรง อะไรบางอย่างนั้นทั้งขัดขาและตวัดอย่างแรงจนผมเสียหลักและล้มลงไปตรงทางเดินระหว่างโต๊ะนั่นเอง

ผมล้มลงไปนอนวัดพื้นที่ตรงทางเดิน ชายโครงถูกมุมโต๊ะเรียนกระแทกจนเจ็บ แต่โชคดีที่ส่วนใบหน้าไม่ได้กระแทกกับอะไรเข้า

“อ้าว ไอ้อู เป็นอะไรไปวะ” เสียงใครก็ไม่รู้เรียกผม ตอนนั้นยังมึนๆ จำแนกไม่ออกว่าเป็นเสียงของใคร

จากนั้นผมก็รู้สึกว่าเส้นผมบนหัวถูกจิกขึ้นมา แม้จะไว้ผมสั้นเนื่องจากต้องเรียน รด. แต่มันก็ยังยาวพอที่จะจิกได้ติด

“เอ้า ลุกขึ้น เจ็บมากไหม” เจ้าของเสียงและเจ้าของมือที่จิกหัวของผมก็คือเวชนั่นเอง และผมคิดว่ามันน่าจะเป็นเจ้าของเท้าที่สอดเข้ามาขัดขาผมจนล้มด้วย

ผมลุกขึ้นมาตามแรงมือของมัน เมื่อลุกขึ้นได้ก็ปัดมือของมันออกและเตรียมจะโถมเข้าไปหามัน แบบนี้มันเกินไปแล้ว

ในวินาทีที่ผมตั้งใจจะตอบโต้นั้นเอง ผมกลับคิดอะไรขึ้นมาได้หลายๆอย่าง พวกของเวชมีตั้งสี่คนในขณะที่ผมมีเพียงคนเดียว แถมเวชยังเป็นตัวหัวโจกอีกด้วย ถ้าผมตอบโต้มันเรื่องราวคงบานปลายอย่างไม่รู้จบสิ้น

แต่ถ้าจะไม่ตอบโต้มัน ผมคงกลายเป็นไอ้ขี้ขลาด ทั้งเวชและทุกๆคนในห้องคงคิดว่าผมขี้ขลาดจนไม่กล้าสู้กับใคร... ถึงแม้จะสู้ไม่ได้แต่ผมคงยอมให้เพื่อนๆดูถูกผมแบบนั้นไม่ได้แน่ อีกอย่าง ในเมื่อมันข่มเหงได้ครั้งหนึ่งมันก็คงทำได้อีกเรื่อยๆ

ก่อนที่สติผมจะถูกบดบังด้วยความโกรธจนหมดสิ้น ผมหวนคิดถึงเพื่อนที่ผมรักที่สุดขึ้นมา... ในวันที่ไอ้ชิดรังแกมัน มันไม่เคยสู้เลย แต่ผมก็ไม่เคยคิดว่ามันขี้ขลาด ผมรู้ว่ามันไม่เคยยอมก้มหัวให้ไอ้ชิดถึงแม้ว่าจะสู้ไม่ได้ก็ตาม แต่ที่มันไม่สู้เพราะการใช้ความรุนแรงไม่ใช่วิธีของมันต่างหาก

ถ้ามันทนได้ ผมก็ต้องทนให้ได้ ตอนเด็กๆมีแต่ผมที่ทำให้มันเดือดร้อน ความทุกข์ในวันนี้ถือเสียว่าทำให้ผมได้มีโอกาสร่วมทุกข์ร่วมสุข... ได้ร่วมเผชิญชะตากรรมกับเพื่อนที่ดีที่สุดของผมก็แล้วกัน... แม้ว่ามันจะสายไปแล้วก็ตาม

ผมถอยออกมา... เก็บสมุดการบ้านขึ้นจากพื้นห้อง จากนั้นเอาไปส่งที่โต๊ะ และเดินออกจากห้องมา... พยายามทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น อารมณ์ในขณะนั้นมันปั่นป่วนไปหมด ทั้งอับอาย ทั้งเจ็บแค้น และทั้งอับจน

- - -

“เฮ้ย ไอ้อู ศิษย์ถ่อย” เสียงไอ้กี้ทักผมขณะที่เรายืนเข้าแถวเคารพธงชาติในสนาม ผมกับมันยืนติดกัน “เมื่อกี้ได้ยินว่ามีเรื่องเหรอ”

“ไม่มีอะไรหรอก” ผมพยายามไม่อยากรื้อฟื้นถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอีก คิดแล้วก็เจ็บใจ ผมเองก็ไม่แน่ใจนักว่าที่ยอมมันไปเมื่อเช้านั้นถูกหรือผิด ปกติผมมักทำอะไรไม่เคยถูกเสียด้วย

“ตายห่าแน่มึง ไปมีเรื่องกับไอ้พวกเหี้ยนี่เข้า” กี้พูดเสียงเบา “นี่แหละ คบคนพาล พาลพาไปหาผิด”

“แล้วมึงจะมาสอนกูทำห่าอะไรตอนนี้วะ ทำไมเมื่อก่อนไม่พูด” ผมเริ่มอารมณ์เสีย ปากมันนี่น่าไปผ่าเอาหมาออกมาเสียจริงๆ

“แล้วมึงเคยมาปรึกษากูบ้างมั้ยล่ะ” ไอ้กี้ย้อน เออ จริงของมัน แต่ว่ามันก็ไม่เชิง ปากมันเสียขนาดนี้ใครจะอยากไปปรึกษามัน ผมคิดแต่ไม่อยากพูดออกไป

“เฮ้ย มึงระวังไว้นะไอ้อู กูได้ยินพวกมันคุยกันว่าจะจองเวรกับมึงไปจนจบ ม.๖ เลย” ไอ้กี้พูดอีก

ใจของผมฝ่อลงในทันที ทุกปีจะมีการคละห้องกันใหม่ แต่ว่าเมื่ออยู่ชั้น ม.ปลาย แล้วก็จะต้องอยู่ร่วมชั้นกันไปจบจบ ม.๖ อย่างนี้ไม่เรียกว่าซวยก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว

“มึงสู้พวกมันไม่ไหวหรอก ไปบอกอาจารย์วารีดีกว่า เผื่ออาจารย์จะมาทางออก” ไอ้กี้แนะนำ

เมื่อก่อนผมรู้สึกปรารถนาดีกับเวช แต่ผลสุดท้ายกลายเป็นเวชตามมาจองเวรผม ขณะที่ผมไม่ค่อยชอบไอ้กี้เพราะว่าปากมันเสีย แต่ในยามเดือดร้อนมันกลับพยายามช่วยเหลือ ชีวิตคนเราไม่มีอะไรแน่นอนเลยจริงๆ

- - -

การเรียนในวันนั้นผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทั้งวันผมเรียนไม่ค่อยรู้เรื่องเพราะมัวแต่คิดถึงเรื่องปฏิบัติการจองเวรของเวชและเพื่อนๆ พวกมันพยายามทำสงครามประสาทโดยพูดเยาะเย้ยถากถางต่างๆนานา ผมพยายามระวังจนตัวแจแต่ว่าวันนั้นทั้งวันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก จนถึงเวลาเลิกเรียน ผมรีบออกจากห้องไปพร้อมกับอาจารย์ที่สอนวิชาในคาบสุดท้ายทันที โบราณว่าเดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด ผมจึงอาศัยอาจารย์เป็นเกราะคุ้มครองเพื่อหลบเลี่ยงเวชและพวก เมื่อพ้นจากห้องก็ตรงไปที่ห้องสมุดทันที

เซ็งฉิบหาย ผมบ่นกับตนเองในใจ อยู่ในห้องสมุดก็ไม่มีอะไรทำ จะกลับหอพักตอนนี้ก็ไม่มีอะไรทำเช่นกัน แถมกลัวว่าจะเจอพวกมันที่ป้ายรถเมล์อีกต่างหาก ผมอดคิดไม่ได้ว่าแค่วันเดียวยังเอาตัวแทบไม่รอด แล้วเวลาที่เหลืออีกสองปีกว่าผมจะหลบเลี่ยงจากพวกนี้ไปจนตลอดรอดฝั่งได้อย่างไร แค่คิดแล้วก็ท้อแล้ว

ผมอดคิดถึงบอยไม่ได้ คิดถึงมันแต่ว่ายังไม่อยากเจอหน้ามันในตอนนี้ ผมคลำที่ชายโครงของตนเอง อาการเจ็บชายโครงจากการล้มกระแทกโต๊ะเมื่อเช้ายังคงมีอยู่ ผมรู้สึกว่าตนเองเป็นคนที่ขี้แพ้ ไม่เอาไหน เรียนก็ไม่เก่ง จะเกเรก็ไม่สำเร็จ ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่องสักอย่าง แม้แต่ตนเองยังไม่ภูมิใจในตนเอง แล้วไอ้บอยจะรู้สึกภูมิใจในตัวรุ่นพี่ของมันได้อย่างไร คิดไปก็รู้สึกอับอายใจ ทำให้ไม่อยากไปพบหน้ามัน

“ใจลอยคิดถึงใครเหรอฮะ” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นที่ข้างหูของผม “วันนี้ไม่ไปเช่าหนังสือเหรอ”

ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าใคร ไอ้บอยนั่นเอง วันนี้ไม่อยากเจอมันก็กลับได้เจอ มันอ้อมมานั่งตรงหน้าผม ใบหน้ายิ้มแฉ่งบ่งบอกความอารมณ์ดี

“คิดอะไรนิดหน่อยน่ะ” ผมตอบ

“เห็นพี่อูคิดอะไรคิดจนใจลอยทุกที ไม่เคยเห็นคิดนิดหน่อยเลย วางแผนจะขยายธุรกิจอะไรเหรอฮะ” ไอ้บอยเหน็บแนม

“วันนี้ไม่มีเวรเหรอ” ผมหันเหหัวข้อสนทนา จำได้ว่าวันนี้เป็นเวรไอ้บอยที่สหกรณ์

“มาคืนหนังสือก่อนน่ะพี่อู เดี๋ยวโดนปรับ ไม่อยากเสียเงิน” บอยหัวเราะ “พี่อู พี่อู รู้ไหมว่าพรุ่งนี้เป็นวันอะไร”

“รู้ดิ วันเสาร์” ผมตอบ

บอยถอนใจ ทำหน้าเหมือนกลุ้มใจเต็มประดา

“โอ๊ย พี่อูนี่ วันเสาร์น่ะรู้แล้ว” บอยพูด

“อ้อ วันคริสต์มาสน่ะ” ผมตอบใหม่

“เฮอะ พี่อูไม่รู้จักหน้าที่อีกแล้ว” ไอ้บอยเปลี่ยนจากสีหน้ากลุ้มใจเป็นไม่พอใจ เวลาที่มันทำสีหน้าไม่พอใจดูน่าขำจนผมอดหัวเราะไม่ได้ รู้สึกว่าอารมณ์ที่ตึงเครียดผ่อนคลายไปได้มาก

“หน้าที่อะไรล่ะ” ผมแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง

“มีเทศกาลสำคัญก็ต้องพาบอยไปเลี้ยงดิ” ไอ้บอยพูดหน้าตาย ทวงเอาดื้อๆเลย เวลาที่มันตีหน้าตายนี่ช่างเหมือนกับ...

“เฮ้อ” ผมแกล้งถอนหายใจ “พี่ไปติดหนี้นายตั้งแต่ชาติไหนวะ ถึงได้ต้องคอยตามเลี้ยงอยู่เนี่ย”

“ถือเป็นเกียรติแล้วนะพี่อู” ไอ้บอยหัวเราะ “บอยไม่เคยให้รุ่นพี่คนไหนเลี้ยงเลย มีแต่พี่อูคนเดียว”

ไม่รู้ว่ามันพูดเล่นหรือว่าจงใจ แต่ประโยคที่ว่า มีแต่พี่อูคนเดียว ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นวูบขึ้นมาในหัวใจอย่างประหลาด

- - -

วันคริสต์มาส

วันคริสต์มาสในปีนั้นตรงกับวันเสาร์ ผมมีนัดกับบอยในตอนเย็นที่สยามสแควร์

บอยอยากชมสีสันของเทศกาลคริสต์มาสที่สยามสแควร์อันเป็นแหล่งรวมของวัยรุ่นในยุคนั้น ใจจริงแล้วผมไม่อยากมาเที่ยวที่นี่กับบอยในช่วงเทศกาลเช่นนี้เลย มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย มันเหมือนกับว่าผมกำลังรอใครบางคนอยู่... รอเพื่อมาฉลองคริสต์มาสกันที่สยามสแควร์อันเป็นสถานที่โปรดของเราสองคน... ผมยังไม่พร้อมที่จะมาฉลองคริสต์มาสกับบอยที่นี่ คราวก่อนมาเที่ยวกับบอยที่นี่ตอนปิดเทอมผมก็รู้สึกแปลกๆมาทีหนึ่งแล้ว แต่แล้วในที่สุดผมก็ขัดใจบอยไม่ลง

ผมกับบอยนัดกันในวลาเย็นที่หน้าโรงหนังสกาล่า เหตุที่นัดกันในเวลาเย็นก็เพราะบอยอยากเห็นความคึกคักของสยามสแควร์ในยามกลางวันและแสงสีของเทศกาลคริสต์มาสในยามค่ำคืน จึงนัดกันในตอนเย็นจะได้เห็นทั้งสองช่วงเวลา

บอยในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนดูเติบโตกว่าตอนอยู่ในชุดนักเรียนมาก เมื่ออยู่ในชุดนักเรียน บอยดูเหมือนเด็กซนๆคนหนึ่ง แต่เมื่ออยู่ในชุดไปเที่ยวเช่นนี้บอยดูเป็นวัยรุ่นที่สดใส กระตือรือร้น อยากเรียนรู้และแสวงหาเส้นทางชีวิตของตนเอง... ปราศจากเค้าของเด็กน้อยอีกต่อไป

“หวัดดีพี่อู” บอยทักทายเมื่อเห็นผม มือข้างหนึ่งของบอยหิ้วถุงเล็กๆใบหนึ่งอยู่

“หวัดดีบอย” ผมทักตอบ “มานานแล้วเหรอ”

“สักพักเองฮะ” บอยตอบ

“นายอยากทำอะไรบ้างล่ะวันนี้” ผมถาม แม้ว่าวันนี้บอยจะดูน่ารักและสะดุดตาเป็นพิเศษ แต่หัวใจผมกลับไพล่ไปคิดถึงคนอีกคนหนึ่งแทน

“ไปเดินดูทั่วๆกันก่อนพี่อู อยากดูว่ามีอะไรบ้าง” บอยออกความคิด

บรรยากาศยามเย็นที่สยามสแควร์ในวันนั้นคึกคักกว่าวันเสาร์ในยามปกติ ผู้คนเดินกันขวักไขว่ ส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่น มีทั้งที่เดินเป็นกลุ่มและที่เดินกันเป็นคู่ มีการตั้งเวทีชั่วคราวขึ้นที่ลานจอดรถ ค่ำนี้คงมีการแสดงดนตรีให้ชมกัน ร้านรวงหลายแห่งพ่นกระจกหน้าร้านให้เป็นรูปต้นคริสต์มาส บางแห่งก็เปิดเพลงคริสต์มาส บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคักและรื่นเริง

“แวะกินโดนัทกันก่อนพี่อู บอยอยากกิน” บอยพูดขึ้นขณะที่เราเดินผ่านร้านโดนัท

“กินอย่างอื่นดีกว่า” ผมขัด รู้สึกไม่ค่อยดี ไม่อยากพาบอยเข้าร้านโดนัทเลย

“ไม่เอาอะ บอยจะกินโดนัท” บอยพูด ไม่พูดเปล่า คว้ามือผมลากเข้าไปในร้านทันที


<ร้านรวงหลายแห่งพ่นกระจกหน้าร้านให้เป็นรูปต้นคริสต์มาส บางแห่งก็เปิดเพลงคริสต์มาส บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคักและรื่นเริง>


<“แวะกินโดนัทกันก่อนพี่อู บอยอยากกิน” บอยพูดขึ้นขณะที่เราเดินผ่านร้านโดนัท>