Monday, March 29, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 56

ดึกแล้ว

หลังจากที่ผมแยกจากบอยและกลับมาถึงหอพักแล้วผมก็อาบน้ำและดูหนังสือตามปกติแต่ปรากฏว่าผมดูหนังสือไม่รู้เรื่องเอาเลย คิดถึงบอยทั้งๆที่เพิ่งจะแยกจากกันมาไม่นาน มีความรู้สึกว่าอยากให้บอยอยู่ใกล้ๆตลอดเวลา

ความคิดอันสับสนแล่นวนเวียนไปมาอยู่ในหัวจนประกอบกับอากาศที่ร้อนอบอ้าวทำให้ผมไม่สามารถข่มใจดูหนังสือได้ ในที่สุดผมจึงยอมแพ้ เลิกดูหนังสือ ออกจากห้องและขึ้นไปยังชั้นดาดฟ้า

ท้องฟ้าในปลายฤดูร้อนไม่แจ่มใสนัก บางวันก็มีฟ้าครึ้มฝน ผมเหม่อมองดูดาวพรายที่มีอยู่เพียงครึ่งฟ้าอย่างเลื่อนลอย ห้วงความคิดสับสนไปด้วยเรื่องการสอบ เรื่องไอ้นัย และเรื่องบอยจนจับต้นชนปลายไม่ถูก หลังจากที่เหม่อมองท้องฟ้าอยู่ได้พักหนึ่ง สมองของผมก็ค่อยๆสงบลงจนผมสามารถไล่เรียงความคิดได้ทีละเรื่อง

ภาพชีวิตในอดีตไหลผ่านเข้ามาในห้วงคำนึงของผมเป็นฉากๆ ภาพความยากจนในชนบท ความอดอยากหิวโหยไร้ที่พึ่งพาในเมืองกรุงที่ผมเห็นตั้งแต่เด็กจนเป็นวัยรุ่น ในหนังสือเรียนบอกว่าคนเราเมื่อพบหรือเผชิญกับอะไรซ้ำๆก็จะเกิดความเคยชิน แต่สำหรับผมแล้วผมไม่เคยมีความรู้สึกคุ้นชินกับภาพเหล่านั้นเลย ตรงกันข้าม กลับคิดว่าทำอย่างไรจึงจะมีส่วนช่วยคนเหล่านี้ให้มีสภาพชีวิตที่ดีขึ้นบ้างได้

ความคิดในตอนนั้นยังมีความคิดอ่านและความใฝ่ฝันแบบเด็กๆเจือปนอยู่ ข้อมูลเท่าที่มีอยู่ในตอนนั้นผมยังมองไม่ออกว่าหากเรียนวิศวฯแล้วผมจะมีส่วนช่วยคนอื่นได้อย่างไรบ้าง แต่ถ้าเรียนแพทย์ แม้จะช่วยให้เศรษฐกิจของคนอื่นให้ดีขึ้นไม่ได้แต่อย่างน้อยการมีสุขภาพดีไม่เจ็บไข้ก็น่าจะช่วยทำให้ผู้อื่นมีความสุขขึ้นได้บ้าง

ความคิดเป็นกระเป๋ารถเมล์ในสมัยเด็กนั้นเลิกคิดไปแล้ว ส่วนความคิดเป็นครูยังพอมีอยู่บ้าง แต่ไม่ถึงกับทำให้ผมตัดสินใจเลือกเรียนต่อ เมื่อพูดถึงความอยากเรียนแพทย์แล้วที่จริงแล้วความรู้สึกลึกๆในตอนนั้นก็ยังไม่ได้รู้สึกอยากเรียนแพทย์มากมายนัก คงเป็นความอยากเรียนที่มาจากค่านิยมในยุคนั้นผสมกับความคิดฝันแบบเด็กๆ แต่ถ้าพูดถึงวิศวฯแล้วผมยิ่งไม่อยากเรียนมากกว่าเพราะไปนึกถึงภาพการทำงานในโรงงานซึ่งผมไม่ชอบ ที่บ้านของผมก็เป็นโรงงานผลิตเล็กๆ ผมเห็นสภาพการทำงานที่จำเจในโรงงานอยู่เสมอจนมีความฝังใจว่างานโรงงานเป็นงานที่น่าเบื่อ ดังนั้นถ้าจะพูดถึงเหตุผลลึกๆแล้วก็คงเป็นเพราะผมหาข้ออ้างที่จะไม่เรียนวิศวฯมากกว่า และในที่สุดผมก็ตัดสินใจได้ว่าผมจะไม่ตัดวิชาชีววิทยาออกไป แต่หากจะถามว่าผมชอบเรียนอะไรหรือว่ามีความถนัดเหมาะกับการเรียนสาขาใดมากที่สุดคำตอบจริงๆก็คือผมเองก็ยังไม่ทราบ ซึ่งก็คงเหมือนกับคำตอบของอีกหลายๆคน

สำหรับเรื่องบอยนั้น ยิ่งนานผมยิ่งรู้สึกว่าขาดบอยไม่ได้ แต่เดิมหลายๆวันเจอกันทีก็รู้สึกเฉยๆ แต่ยามนี้คิดถึงมันตลอดเวลาอย่างไม่อาจหักห้ามใจตนเองได้ อยากให้มันมาอยู่ใกล้ๆเป็นเพื่อนเวลาผมดูหนังสือ จะได้มีกำลังใจมากขึ้น ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เมื่อก่อนความคิดของผมเกี่ยวกับนัยมักถูกสะดุดด้วยความคิดเกี่ยวกับบอย แต่มาบัดนี้กลายเป็นว่าความคิดเกี่ยวกับบอยของผมมักสะดุดเพราะเรื่องของไอ้นัย

ก็ในเมื่อคบกับบอยแล้วสบายใจก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี ไม่ได้คบเป็นแฟนเสียหน่อย ก็แค่สนิทกันเหมือนเป็นพี่เป็นน้อง ไม่น่าจะผิดอะไร ไอ้นัยเองก็เถอะ เมื่อมันเรียนอยู่ต่างประเทศ หากมันมีเพื่อนที่คบแล้วคุยด้วยสบายใจ ผมก็คงดีใจกับมัน ผมพยายามให้เหตุผลแก่ตัวเอง...

- - -

การเรียนในช่วงต้นเทอมยังไม่มีอะไรมากนัก แต่สำหรับนักเรียนที่เตรียมสอบเอนทรานซ์ในตอนสิ้นปีการศึกษานี้ก็เริ่มหน้าดำคร่ำเครียดกันแล้วเนื่องจากมีทั้งเรื่องกวดวิชาเพื่อนเตรียมเอนทรานซ์และเรียน กศน. เรื่องเดียวที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเป็นห่วงใยกังวลกันนั่นก็คือเรื่องการเรียนในห้องเรียน ทั้งนี้ เนื่องจากหากสอบเทียบได้ก็เท่ากับจบชั้น ม.ปลายจาก กศน. และเท่ากับว่าเรียนในโรงเรียนสามัญไม่จบแต่ลาออกกลางคัน ดังนั้นผลการเรียนจากโรงเรียนสามัญจึงนำไปใช้ทำอะไรไม่ได้เนื่องจากมีเพียงครึ่งๆกลางๆ ไม่ครบตามหลักสูตร

ดังนั้นในยุคที่การสอบเทียบเฟื่อง นักเรียน ม.ปลายที่ต้องการเรียนลัดมักไม่สนใจเกรดที่ได้จากการเรียนในชั้นเรียน เรียกได้ว่าเรียนแบบไม่งกเกรด ไม่อยากเรียนก็โดด บางทีเรียนแต่เอาวิชาอื่นมานั่งอ่านใต้โต๊ะ การบ้านก็ส่งบ้างไม่ส่งบ้าง รายงานถ้าเป็นรายงานเดี่ยวนี่ทำแบบห่วยๆ ถ้าเป็นรายงานกลุ่มยังพอจะค่อยยังชั่วขึ้นมาหน่อยเนื่องจากยังเกรงใจเพื่อนในกลุ่มอยู่บ้าง ตอนสอบทั้งสอบย่อยสอบใหญ่ก็จะทำแบบพอผ่านเท่านั้น เมื่อตอน ม.๔ อาการเรียนแบบไม่ง้อเกรดยังไม่มากเท่าไรเนื่องจากหลายคนก็ยังไม่ทันได้วางแผนการเรียน แต่เมื่อเรียนถึงชั้น ม.๕ แล้วอาการปล่อยวางกับการเรียนในชั้นจะยิ่งเห็นได้ชัดเจน โดยเฉพาะกลุ่มไอ้เฉา ไอ้กี้ จอมมารดำขาว พวกนี้เรียนเก่งกันทุกคนแต่ว่าหากดูจากผลการเรียนแล้วจะไม่รู้ว่าเก่งเนื่องจากเกรดเฉลี่ยไม่ได้เฉียดเข้าใกล้ ๔ เลย

ส่วนพวกที่เรียนแบบล่าเกรดก็มี พวกนี้ไม่สอบเทียบเพราะตั้งใจให้จบ ม.๖ ด้วยเหตุผลหลายๆประการ เช่น ต้องการชิงทุนเล่าเรียนหลวง ฯลฯ พวกที่ล่าเกรดนี้จะเรียนแข่งกันและพยายามจบชั้น ม.ปลายด้วยเกรดเฉลี่ยที่สวยหรู ประเภทเฉียด ๔ หรือได้ ๔.๐๐ ไปเลย อย่างเช่นพวกน้องมอนคนน่ารักที่ผมเคยชอบแอบมองตอน ม.๔ ไอ้พันหัวหน้าห้องตอน ม.๔ ซึ่งปีนี้ไม่ได้เป็นแล้ว และโชคเสือซุ่มผู้หวงวิชาที่นั่งอยู่ข้างหน้าผมในปีนี้

เนื่องจากการสมัครเรียน กศน. เป็นช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกับการเปิดภาคต้น ดังนั้นช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่ผมต้องพยายามติดตามข่าวสารจากเพื่อนๆว่ามีขั้นตอนอะไรที่ต้องทำบ้าง ส่วนใหญ่ก็เป็นการฟังเพื่อนๆคุยกัน ผมไม่พยายามสอบถามใครโดยตรงเนื่องจากผมทำเนียนเป็นว่าไม่ได้สนใจเรียน กศน. แหล่งข้อมูลสำคัญก็มาจากจอมมารดำขาวที่นั่งอยู่ข้างๆผมนั่นเอง แต่ข้อมูลที่ได้จากมันต้องระวังเอาไว้บ้างเนื่องจากบางทีเป็นเรื่องอำ ไม่ใช่เรื่องจริง

“เฮ้ย ใบสมัครชุดละ ๓๐๐ บาทเชียวนะมึง” นน จอมมารดำบอกไอ้กี้ “คนไปเข้าคิวรอซื้อตั้งแต่ตีสาม มึงจะฝากกูซื้อก็ได้นะ กูยอมเหนื่อยคนเดียวเพื่อเพื่อนๆ”

“พ่อมึงดิ ใบสมัครชุดละ ๓๐๐ ไปเข้าคิวตีสาม” ไอ้กี้หัวเราะจนตาเหลือเพียงเส้นเดียว “มึงไปหลอกควายไป๊”

“กูก็กำลังทำอยู่นี่ไง” นนพูดพลางหัวเราะ

ตอนนั้นศูนย์ กศน. มีหลายแห่ง คนที่เรียนแถวๆปากคลองตลาด วังบูรพา จะข้ามไปเรียนที่ศูนย์ย่านฝั่งธนฯก็สะดวกดี ดูเหมือนจะชื่อศูนย์ กศน. วัดกัลยาณ์ฯ ส่วนผมนั้นข้ามไปฝั่งธนฯไกลจากที่พักเกินไป อีกอย่าง ผมไม่อยากเจอเพื่อนๆเพราะว่ากลัวเพื่อนๆจะรู้ จึงมาซื้อใบสมัครที่ศูนย์ กศน. ย่านสะพานควายซึ่งใบสมัครนั้นราคาไม่แพงอย่างที่นนบอก จำไม่ได้แล้วว่าเท่าไร แต่ที่ว่าเข้าคิวกันซื้อนั้นมีส่วนจริง เพราะตอนที่ผมไปนั้นมีนักเรียนหัวเกรียนๆไปรอซื้อใบสมัครกันคับคั่ง พวก ม.ต้น ที่ต้องการสอบเทียบ ม.๓ ก็มาด้วย ผู้ใหญ่บางคนที่มาซื้อใบสมัครให้ลูกบ่นว่ามารอคิวตั้งแต่ไก่โห่ และที่สำคัญ ผมเจอเพื่อนที่เรียนอยู่ห้องเดียวกันบางคนด้วย

เมื่อเห็นดังนั้นผมจึงเปลี่ยนแผน ไม่เรียนแถวสะพานควายแล้ว แต่ไปที่ศูนย์ กศน. ย่านบางกะปิแทน ซึ่งที่นั่นไกลจากโรงเรียนมาก แต่สำหรับผมแล้วถ้าต้องเดินทางไปพบกลุ่มในวันหยุดก็ถือว่าสะดวกดี ที่ศูนย์แห่งนั้นหัวเกรียนทั้ง ม.ต้นและ ม.ปลายที่มาซื้อใบสมัครก็คับคั่งเช่นเดียวกัน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นนักเรียนในย่านลาดพร้าว บางกะปิ และพื้นที่ใกล้เคียงนั่นเอง

เมื่อได้ใบสมัครมาแล้ว ขั้นต่อไปก็เป็นการเตรียมเอกสาร ได้แก่ พวกใบประกาศนียบัตรชั้น ม.๓ สำเนาทะเบียนบ้าน บัตรประชาชน และที่ขาดไม่ได้คือรูปถ่าย ซึ่งพวกเพื่อนๆในห้องจะพูดกันนักพูดกันหนาว่าหากจะสมัครเรียน กศน. อย่าใช้รูปถ่ายในชุดนักเรียนติดใบสมัคร ให้ใช้รูปถ่ายเสื้อเชิ้ตขาวธรรมดาแทน รวมทั้งห้ามแต่งชุดนักเรียนไปสมัคร ซึ่งแม้ว่าผมจะไม่รู้ว่าจริงหรือไม่แต่ว่าก็ขอปลอดภัยเอาไว้ก่อน จึงไปถ่ายรูปเสื้อเชิ้ตขาวมาเตรียมเอาไว้โหลหนึ่ง

- - -

หลังจากที่ผมแกล้งบอยไป เมื่อบอยหายเคืองผมและเราสองคนได้ไปเที่ยวด้วยกันแล้ว มันทำให้ผมยิ่งเห็นความสำคัญของบอยมากยิ่งขึ้น หลังจากนั้นเป็นต้นมา ผมมักคิดถึงบอยอยู่เสมอและหาโอกาสไปพบบอยที่สหกรณ์เสมอเท่าที่ไม่ทำให้คนอื่นรู้สึกผิดสังเกต รวมทั้งพยายามแบ่งเวลาส่วนหนึ่งสำหรับไปเที่ยวกับบอยบ้างเพราะรู้ว่าบอยชอบมีคนที่คอยดูแลและเอาใจ แม้บางครั้งผมจะไปทำธุระแต่ผมก็พยายามหาเรื่องชวนบอยไปเนื่องจากอยากอยู่ใกล้ๆบอยนั่นเอง

เรื่องความในใจนั้นผมยังลังเลที่จะบอก คราวก่อนที่คิดจะบอกเพราะเป็นสถานการณ์เฉพาะหน้า แต่ตอนนี้ไม่มีเหตุการณ์อะไรแล้วผมจึงกลับมาลังเลอีกครั้งหนึ่ง สภาพสังคมในยุคนั้นไม่เหมือนในปัจจุบัน ดังนั้นวัยรุ่นในยุคปัจจุบันจึงอาจไม่เข้าใจว่าทำไมการบอกความในใจกับบอยจึงได้ยากนัก ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าในปัจจุบันนั้นสังคมเปิดกว้างและมีพื้นที่ให้แก่เกย์มากกว่าเมื่อก่อนมากจนวัยรุ่นในปัจจุบันยากที่จะนึกภาพในยุคก่อนออกโดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมในเมือง

วัยรุ่นในปัจจุบันอาจไม่ปิดบังเพื่อนๆว่าตนเองเป็นเกย์ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดได้แก่เว็บไซต์เครือข่ายสังคม เช่น ไฮไฟฟ์ เฟซบุ๊ก ซึ่งวัยรุ่นชายหลายๆคนนำเอาภาพที่ตนเองจูบกับเพื่อนชายมาลงได้โดยไม่ต้องปิดบัง แต่ในยุคที่ผมเป็นวัยรุ่นนั้นเกย์เป็นเรื่องผิดปกติ แม้แต่ในทางการแพทย์ก็ยังถือว่าเกย์เป็นความผิดปกติทางจิต หรือที่เรียกกันว่ากามวิปริต แค่คำที่เลือกใช้ก็พอจะสะท้อนทัศนคติในยุคนั้นได้แล้ว ดังนั้นในมุมมองของคนทั่วไปในสังคมการเป็นเกย์จึงถือเป็นเรื่องร้ายแรงทีเดียว ต่อมาอีกหลายปีวงการแพทย์จึงค่อยเปลี่ยนแปลงทัศนะจากความผิดปกติกลายเป็นเรื่องของลางเนื้อชอบลางยาหรือที่เรียกว่า sexual preference แทน พร้อมๆกับสังคมที่ค่อยๆเปิดกว้างมากยิ่งขึ้นและยอมรับความเป็นปัจเจกมากยิ่งขึ้น

“บอย วันเสาร์นี้ไปหลังกระทรวงกันไหม” ผมถามบอยในตอนเย็นวันหนึ่งขณะที่กำลังนั่งกินขนมอยู่ในโรงอาหาร หลังจากที่บอยเลิกเรียนและเสร็จจากงานที่สหกรณ์แล้ว

“กระทรวงไหนเหรอพี่อู” บอยทำหน้าเหรอหรา “มีตั้งหลายกระทรวง”

“โธ่เอ๊ย” ผมหัวเราะ “นี่นายไม่รู้จริงๆหรือแกล้งไม่รู้ หลังกระทรวงก็หมายถึงหลังกระทรวงกลาโหมไงล่ะ เอ... หรือหมายถึงหลังกระทรวงมหาดไทยหว่า” ผมพูดเองก็ชักสับสนเอง บอยหัวเราะ นึกว่าผมแกล้งทำ

“ไม่รู้จริงๆ” บอยตอบ

“ก็หลังกระทรวงที่ขายพวกชุด รด. และอุปกรณ์ต่าง ไง” ผมตอบ “เดินจากสนามหลวงไปหน่อยก็ถึงแล้ว”

“แล้วพี่อูจะไปซื้ออะไร” บอยถาม

“จะไปซื้อรองเท้าคอมแบตน่ะ คู่เดิมเป็นของใช้มือสอง ใส่เรียน รด. ได้ปีเดียวก็พังเสียแล้ว” ผมตอบ “อยากชวนนายไปเป็นเพื่อนน่ะ”

“อ้อ จะให้ไปช่วยดูว่ารองเท้ารับกับใบหน้าหรือเปล่าใช่มั้ย” บอยทำหน้าทะเล้น

“ไอ้เปรต” ผมหัวเราะ อดไม่ได้ต้องยกมือขยี้หัวมันเล่น “อยากให้นายไปด้วยน่ะ ไม่ได้เจอนายหลายวัน... คิดถึงว่ะ”

ประโยคสุดท้ายผมพูดตามน้ำไปเรื่อยๆแบบทีเล่นทีจริง

บอยนิ่งอึ้งไปนิดหนึ่ง

“เสาร์นี้บอยไม่ว่างฮะ” บอยตอบ

ผมใจหายวูบ ปกติบอยไม่เคยปฏิเสธอะไรผมเลย นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินคำปฏิเสธจากบอย

“อ้อ” ผมได้เพียงคำเดียวแล้วก็พูดต่อไม่ออก

“ว่าจะบอกพี่อูอยู่พอดีว่า...” บอยหยุดไปนิดหนึ่ง “ต่อไปบอยคงไปทำงานที่สหกรณ์น้อยลงเพราะว่าบอยมีเรียนกวดวิชาหลังเลิกเรียน แล้วก็วันเสาร์ด้วย”

“นี่... นี่นายจะสอบเทียบเหรอ” ผมรู้สึกใจหายราวกับว่ากำลังสูญเสียของสำคัญบางอย่างไป

“สอบเทียบอะไรกันพี่อู บอยก็ ม.๓ แล้วนะ” บอยหัวเราะ “แต่ว่าบอยจะสอบเข้าโรงเรียนเตรียมฯ”

“พี่ไม่เห็นรู้เรื่องเลย” จู่ๆผมก็รู้สึกอ้างว้างวูบขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ “ทำไมนายไม่เคยบอกพี่เลย”

“ก็ช่วงเปิดเทอมที่พี่อูทำให้บอยโกรธไง” บอยเท้าความ “แล้วพี่อูก็หายไปเลย บอยเซ็งๆอยู่พอดีเพื่อนๆในห้องมันท้าไปสอบเตรียมฯเพื่อวัดฝีมือกัน มันท้าบอย บอยก็เลยรับคำท้ามัน”

ในยุคนั้นการสอบเข้า ม.๔ โรงเรียนเตรียมฯของพวกเด็ก ม.๓ ก็คล้ายๆกับการสอบเข้า ม.๑ เข้าโรงเรียนดีๆของพวกเด็ก ป.๖ ที่ถือว่าเป็นการวัดฝีมือกันอย่างหนึ่ง ใครสอบได้ก็ถือเป็นเรื่องที่มีหน้ามีตาในหมู่เพื่อนฝูง ตอนที่ผมเรียนอยู่ชั้น ม.๓ ก็เป็นเช่นเดียวกัน

“แล้วเกี่ยวอะไรกับกวดวิชา” ผมถาม ที่จริงผมก็พอจะปะติดปะต่อเรื่องได้แล้ว แต่ก็ยังอยากถามเพื่อความแน่ใจ

“ก็ถ้าจะสอบให้ติดก็ต้องไปกวดวิชาดิ พวกเพื่อนๆมันก็ไปเรียนกันทั้งนั้น ถ้าบอยไม่เรียนแล้วจะไปสู้พวกมันได้ไง ถ้าเกิดแพ้พวกมันบอยก็เสียหน้าหมด” บอยตอบ “อีกอย่างก็เซ็งพวกพี่ๆที่สหกรณ์ด้วยแหละ ชอบแกล้งบอย เลยว่าจะหาอะไรอย่างอื่นทำดูบ้าง”

“นายจำเป็นต้องทำขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วถ้าสอบติดขึ้นมานายจะทำไง อยู่ที่นี่ไม่ดีพอหรือไง” ผมระดมคำถามไปรวดเดียวหลายคำถาม

“ก็... ไม่รู้สิ” บอยนิ่งคิด “ให้มันสอบได้ก่อนเถอะพี่อู แล้วค่อยว่ากัน”

บอยสมัครเรียนกวดวิชาไปสองหลักสูตร หลักสูตรกวดเข้าเตรียมฯโดยเฉพาะกับหลักสูตรภาษาอังกฤษ หลังจากที่ได้รู้ว่าบอยต้องไปเรียนกวดวิชา การพบปะกับบอยในวันนั้นแทนที่จะเป็นความสุข ผมกลับรู้สึกเคว้งคว้าง คิดแล้วก็น่าแปลก ก็ในเมื่อปกติผมก็ไม่ได้เจอบอยทุกวันอยู่แล้ว การที่บอยเรียนกวดวิชาอาจไม่กระทบกับเวลาระหว่างผมกับบอยเลยด้วยซ้ำ อีกทั้งปีนี้หากผมเอนทรานซ์ได้ผมก็ต้องจากบอยไป ถึงบอยจะสอบเข้าเตรียมฯได้หรือไม่ก็ไม่แตกต่างอะไรกัน แต่ทำไมผมจึงมีความรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังสูญเสียอะไรบางอย่างไปจากชีวิตได้ก็ไม่รู้

- - -

เดือนมิถุนายน

“พี่ครับ เที่ยวบินที่ไปอเมริกา หกโมงห้าสิบ จะมาส่งคนน่ะครับ ต้องไปที่ไหนครับ” ผมถามอย่างร้อนรน

พนักงานก้มหน้าก้มตาทำงานเหมือนทองไม่รู้ร้อน ไม่ได้ชายมามองผมแม้แต่นิดเดียว

ทันใดนั้นผมก็เห็นเงาหลังของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง ยืนหันหลังให้ผมอยู่ห่างออกไปหลายสิบเมตร เงาหลังนั้นช่างคล้ายไอ้นัยเหลือเกิน ต้องใช่มันแน่ๆ โดยไม่รอช้า ผมรีบไปวิ่งไปที่ร่างนั้นทันที

“นัย” ผมตะโกนลั่น “รอก่อน”

ไอ้นัยไม่หันกลับมา แต่กลับเดินหน้าต่อไปอย่างเร่งรีบ ผมรีบวิ่งตามไป แต่วิ่งเท่าไรก็ไม่ทันไอ้นัยเสียที ผมรู้สึกว่าผมกำลังก้าวเท้าซอยอยู่กับที่ ไม่สามารถเคลื่อนไปข้างหน้าได้... ทันใดนั้น เสียงกริ่งเตือนภัยก็ดังขึ้นทั่วทั้งสนามบิน เสียงดังแสบหู ฝูงชนอลหม่านด้วยความแตกตื่นตกใจ ไอ้นัยถูกฝูงชนเบียดหายลับไปจากสายตา

“นัย รอด้วย” ผมตะโกนสุดเสียง

ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมา ใจเต้นถี่เร็ว เหงื่อออกจนชุ่มตัว เสียงนาฬิกาปลุกดังระรัวแสบหู ผมกดนาฬิกาปลุกจากนั้นลุกขึ้นจากที่นอนเพื่อเตรียมอาบน้ำแต่งตัวและไปโรงเรียน

เช้าวันนี้ฟ้ามืดครึ้มเป็นพิเศษ ลมแรง อากาศเจือปนด้วยกลิ่นไอฝน ผมออกจากหอพักไปโรงเรียนด้วยความรู้สึกอ่อนเพลียเนื่องจากนอนไม่เต็มอิ่ม

บรรยากาศยามเช้าหน้าหอพักที่ผมอาศัยอยู่คึกคักกว่าเมื่อปีที่แล้วมากเนื่องจากตึกแถวฝั่งตรงข้ามปรับปรุงเป็นห้องพักให้เช่าและเปิดให้บริการแล้ว มีผู้เช่าพักเป็นจำนวนมาก ช่วงหกโมงเช้าถึงเจ็ดโมงจะเห็นผู้จากตึกทั้งสองเดินกันคึกคักอยู่ในซอย ทำให้เกิดการค้ายามเช้าในซอยเพิ่มมากขึ้นตามมา ทั้งขนมปัง อาหารถุง เครื่องดื่ม หนังสือพิมพ์ ฯลฯ ทำให้อาหารการกินในยามเช้าสะดวกสบายและมีให้เลือกหลากหลายขึ้น

ผมเดินเร่งฝีเท้ามุ่งหน้าไปที่ปากซอยภาวนา แม้วันนี้ฝนจะตั้งเค้าและถึงแม้ผมจะรู้สึกเพลียแต่ผมก็ยังเดินไปขึ้นรถที่ซอยภาวนาเช่นเดิม ผมทำอย่างนี้มาหลายปีชนชินแล้ว... จนลืมไปแล้วว่าทำไมผมต้องเดินไปขึ้นรถที่ซอยภาวนาทั้งๆที่หน้าปากซอยหอพักของผมก็มีป้ายรถเมล์เช่นกัน

ขณะที่นั่งรถเมล์ ฝนก็ปรอยลงมา ผมยังไม่ปิดหน้าต่าง ปล่อยให้สายลมกรุ่นกลิ่นฝนพัดมาปะทะใบหน้าพลางปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปแสนไกล

ในที่สุด การสมัครเรียน กศน ของผมก็ผ่านไปอย่างเรียบร้อยแต่ไม่ราบรื่นนัก เนื่องจากในวันสมัครเรียนมีผู้สมัครหัวเกรียนทั้ง ม.ต้นและ ม.ปลาย ไปสมัครกันล้นหลามจนภายในตึกแถวอันเป็นที่ตั้งของศูนย์ กศน. ไม่มีที่ว่างเลย ผู้สมัครต้องออกมายืนตากแดดคอยนอกตึก ออกันเป็นกลุ่มใหญ่ราวกับมีการจับกลุ่มประท้วงอะไรสักอย่าง การสมัครดูโกลาหลวุ่นวายไปหมด ผมใช้เวลานานมากกว่าจะสมัครและลงทะเบียนเรียนแล้วเสร็จซึ่งเวลาส่วนใหญ่จะหมดไปกับการรอคอย

การเรียน กศน. ก็แบ่งเป็นภาคเหมือนการเรียนในโรงเรียนสามัญ ในภาคการศึกษานี้ผมลงทะเบียนเรียนไป ๔ วิชาจากทั้งหมด ๘ วิชา จำไม่ได้แล้วว่ามีอะไรบ้าง แต่จำได้ว่าต้องไปเรียนพิมพ์ดีดด้วย ซึ่งจะต้องไปสมัครเรียนพิมพ์ดีดกับโรงเรียนพิมพ์ดีดอีกทีหนึ่ง เมื่อเรียนสำเร็จแล้วจึงเอาใบประกาศนียบัตรวิชาพิมพ์ดีดไปแสดงเป็นหลักฐาน

หลังจากที่สมัครเรียนและลงทะเบียนเรียนกับ กศน. เรียบร้อย ชีวิตของผมก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนักเนื่องจากก่อนหน้านี้ปกติผมก็ต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบเทียบอยู่แล้ว จะมีกิจกรรมบางอย่างเพิ่มเติมเข้ามาในชีวิตบ้างก็เช่นการพบกลุ่มทุกวันหยุดสุดสัปดาห์และการไปเรียนพิมพ์ดีด เรื่องเรียนพิมพ์ดีดนั้นผมยังไม่ได้สมัครเรียน แต่ก็เล็งๆเอาไว้แล้วว่าจะเรียนที่ไหน คิดว่าอีกสักพักจึงค่อยไปสมัครเนื่องจากตอนนี้ผมยังดูหนังสือไม่ทันอยู่จึงยังไม่มีเวลาไปเรียน

พูดถึงเรื่องการดูหนังสือเตรียมสอบ ดูเท่าไรก็ไม่ทันตามแผนสักที ยิ่งพอเปิดเทอมต้องมีการบ้าน รายงาน และกิจกรรมอื่นๆด้วย การดูหนังสือของผมก็ยิ่งไม่ทัน ผมจึงมักวิตกกังวลอยู่เสมอ ผลจากความเครียดและความวิตกกังวลทำให้ผมฝันร้ายเรื่องเดิมๆอยู่เป็นประจำ

ทางด้านบอยนั้น บอยเริ่มเรียนกวดวิชาแล้ว ในวันเรียนเรามีโอกาสพบกันที่โรงอาหารหลังเลิกเรียนสัปดาห์ละสองวัน ส่วนในวันหยุดนั้นตั้งแต่บอยไปเรียนกวดวิชาเรายังไม่ได้นัดกันเลยเพราะว่าบอยมีเรียนวันเสาร์ ส่วนผมมีนัดพบกลุ่มวันอาทิตย์ จึงยังปรับเวลาให้ลงตัวกันไม่ได้

นอกจากนี้ ผมยังมีกิจกรรมเล็กๆน้อยๆเพิ่มเติมขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือ การโทรไปคุยกับครูช่วย ตั้งแต่ที่เราพบกันในช่วงปิดเทอม หลังจากนั้นผมก็โทรศัพท์ไปหาครูช่วยบ้างราวเดือนละหนึ่งถึงสองครั้ง ทั้งนี้ เพราะรู้สึกว่าครูช่วยค่อนข้างเหงาเนื่องจากตอนกลางครูต้องอยู่บ้านแต่เพียงคนเดียว ครูออกจากบ้านไม่บ่อยนัก ดังนั้นเราสองคนครูลูกศิษย์จึงยังไม่มีโอกาสกินอาหารด้วยกันอีกดังที่ได้ตั้งใจกันไว้

เช้าวันนั้น หลังจากที่ผมไปถึงห้องเรียนแล้ว ผมก็แวะไปที่สหกรณ์เพื่อทักทายบอย เช้าวันนี้ผมรู้สึกว่าจิตใจไม่ค่อยแจ่มใสนักจึงอยากเห็นหน้าไอ้บอยให้มีกำลังใจสักหน่อย

ที่สหกรณ์ ไอ้น้อง ม.๔ ตัวแสบที่เคยแกล้งบอยคนหนึ่งเป็นคนอยู่เวร ผมเห็นมันมองผมแล้วทำหน้าแปลกๆ รู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่เหมือนกัน ป่านนี้ไม่รู้มันเอาผมกับบอยไปนินทาหึ่งไปถึงไหนแล้ว แต่ก็พยายามทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ผมทำเนียนดูโน่นดูนี่อยู่สักพักก็ไม่เห็นบอยทั้งๆที่เช้านี้เป็นเวรของมัน ในที่สุดอดรนทนไม่ได้จึงถามมัน

“ทำไมไม่เห็นไอ้บอยเลย วันนี้เวรมันไม่ใช่เหรอ” ผมถาม

“ครับพี่” น้อง ม.๔ คนนั้นตอบ “สงสัยมันจะเบี้ยวเวรแล้วละ ไอ้ตัวแสบนี่หมู่นี้เหลวไหล ชอบเบี้ยวเวร”

ผมรู้สึกแปลกใจเพราะปกติบอยเป็นเด็กที่รักหน้าที่และมีความรับผิดชอบ ทำไมจึงกลายเป็นเด็กเหลวไหลไปได้









<รายได้ของนิตยสารเกย์นอกจากเกิดจากการขายตัวนิตยสารเองแล้ว อีกส่วนหนึ่งยังมาจากการขายภาพลับของนายแบบประจำฉบับ ภาพลับที่ว่าก็คือภาพเปลือยแบบเห็นทุกส่วนสัดซึ่งตีพิมพ์ในเล่มไม่ได้ ชุดหนึ่งจะมี ๕ ภาพ ในยุคต้นๆของนิตยสารเกย์ราคาประมาณชุดละ ๕๐-๖๐ บาท ในภาพเป็นภาพลับของนายแบบจากนิตยสารนีออน ปี พ.ศ. ๒๕๒๘ อันเป็นช่วงที่นิตยสารฉบับนี้เพิ่งวางตลาดได้ไม่นาน ภาพลับชุดนี้ว่ากันว่าค่อนข้างฮือฮาในยุคนั้นเนื่องจากนายแบบเป็นหนุ่มชาวดอยร่างกำยำ รวมทั้งมีส่วนสัดที่พิเศษแตกต่างจากนายแบบทั่วไป ภาพชุดนี้ปัจจุบันคงแทบจะหาดูที่ไหนไม่ได้แล้ว ผมเองได้รับมาจากเพื่อนๆที่เป็นผู้อ่านคนหนึ่งเมื่อหลายปีมาแล้วตอนที่ยังโพสต์อยู่ในบอร์ดใต้ดิน ต้องขอขอบคุณในไมตรีจิตของผู้ที่ส่งภาพให้มา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ>

Monday, March 22, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 55

ทีแรกผมนึกว่าสายโทรศัพท์หลุด แต่เมื่อต่อโทรศัพท์ไปอีกคราวนี้กลายเป็นสัญญาณสายไม่ว่างแทน ผมลองโทรอยู่เป็นเวลานานสายก็ยังไม่ว่าง ในที่สุดผมจึงต้องเลิกโทร

- - -

วันรุ่งขึ้น ผมรีบไปที่สหกรณ์แต่เช้าเพื่อคุยปรับความเข้าใจกับบอย แต่หลังจากที่รอจนเกือบได้เวลาเคารพธงชาติบอยก็ยังไม่มา

“สงสัยมันจะโกรธน่ะพี่ เลยไม่เข้ามา” น้อง ม.๔ คนที่เอาเทปคาดปากบอยพูดขึ้น

“มึงไม่ต้องสงสัยหรอกว่ะ แบบนี้มันโกรธอยู่แล้ว” น้อง ม.๔ อีกคนที่ร่วมก่อคดีด้วยกันพูด “แต่ไม่เป็นไรหรอกพี่ ไอ้บอยมันกวนคนอื่นมามาก โดนซะมั่ง แล้วมันขี้เล่นด้วย เดี่ยวมันก็หายโกรธเองแหละ”

ได้ยินน้อง ม.๔ พูดปลอบใจทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง คิดว่าไอ้บอยคงโกรธไม่นาน วันนั้นผมไม่ได้ไปหาบอยที่สหกรณ์อีกเลย รวมทั้งไม่กล้าไปหาบอยที่ห้องเรียนด้วย ประสบการณ์เรื่องหึ่งของพี่เต้กับไอ้นัยเป็นบทเรียนสอนใจทำให้ผมระวังจนตัวแจ

ในบรรดาเพื่อนร่วมห้องนั้น ตอนที่เรียนอยู่ชั้น ม.๒ ก็มีอ๊อดที่สนิทกันมาก แต่ว่าตั้งแต่ ม.๓ เป็นต้นมาก็ไม่มีใครที่ผมสนิทด้วยเป็นพิเศษอีก สำหรับตี๋นั้นแม้จะสนิทกันแต่ว่าหลังจากที่จบชั้น ม.๑ แล้วก็ไม่มีโอกาสได้เรียนร่วมห้องกันอีกเลย

สำหรับผมกับเพื่อนๆนั้นปกติถ้าทำอะไรผิดพลาดหรือว่ากระทบกระทั่งกันบ้างก็ขอโทษกัน เมื่อขอโทษแล้วก็แล้วกันไป ไม่เคยมีเรื่องอะไรที่หนักหนาถึงขนาดที่ต้องไปตามง้อ อีกประการคงเป็นเพราะว่าไม่มีใครที่ผมแคร์เป็นพิเศษด้วยกระมัง ขอโทษเสร็จแล้วผมก็ไม่ได้ใส่ใจอีก คนที่ผมแคร์เป็นพิเศษและเอาใจใส่ในท่าทีและอารมณ์ของมันก็คงมีเพียงแต่ไอ้ชัชกับไอ้นัยเท่านั้น

จำได้ว่าไอ้ชัชนั้นเคยต้องตามง้อมัน แต่นั่นก็เป็นเรื่องในสมัยเด็กหลายปีมาแล้ว ส่วนไอ้นัยนั้นแม้จะเป็นเด็กที่ช่างคิดและอ่อนไหวแต่ก็ไม่ใช่คนที่คิดเล็กคิดน้อย ดังนั้นเรื่องที่มันงอนผมและทำให้ผมต้องคอยง้อจึงมีเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น ดังนั้นจากภูมิหลังของผมจึงทำให้ผมง้อใครไม่ค่อยเก่งนัก บางทีก็ไม่เข้าใจเอาเสียด้วยว่าเรื่องแบบไหนที่ควรต้องตามไปง้อ

สำหรับกับบอยนั้น ในเมื่อตอนนี้มันคงยังโกรธผมอยู่ ผมจึงคิดว่าจะรอให้เวลาผ่านไปสักช่วงหนึ่งก่อนค่อยเข้าไปขอโทษมันน่าจะดีกว่า ตอนนี้มันกำลังโกรธผมอยู่ถึงเข้าไปขอโทษมันก็คงไม่อยากฟัง แม้ผมจะแคร์มันมากแต่ผมก็ต้องพยายามระวังไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกตของคนอื่นๆ อีกทั้งความรู้สึกสับสนที่มีต่อมันบางครั้งก็ยังวนเวียนกลับมาอีก จึงทำให้ผมเลือกที่จะถอยออกมาตั้งหลักสักพักหนึ่งก่อน

แต่ใครจะรู้ว่าสัปดาห์เดียวที่ผมถอยออกมาเพื่อรอให้บอยหายโกรธนั้นเองได้ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงตามมามากมายอย่างที่ผมคาดไม่ถึง!

- - -

ห้องเรียนชั้น ม.๕ ของผมนั้นเพื่อนๆอยู่รอบตัวผมจะเป็นเพื่อนในกลุ่มเดิมในชั้น ม.๔ แต่ตำแหน่งที่นั่งอาจเปลี่ยนไปบ้าง บางคนนั่งห่างออกไปหน่อย บางคนก็นั่งใกล้เข้ามาอีกนิด แต่สำหรับในห้องเรียนวิทยาศาสตร์นั้นแตกต่างกันออกไปโดยสิ้นเชิง

โต๊ะเรียนวิทยาศาสตร์ในชั้น ม.๕ นั้นมีการจัดโต๊ะแตกต่างไปจากเดิม พวกนักเรียนจึงต้องจับกลุ่มและจับจองโต๊ะกันใหม่ และโชคร้ายที่ผมไม่สามารถจับกลุ่มร่วมโต๊ะกับเพื่อนกลุ่มเดิมได้ มันคงเป็นโชคร้ายของผมและโชคดีของเพื่อนๆกลุ่มนั้น ดังนั้นผมจึงต้องระเห็จไปขออาศัยกับกลุ่มที่ยังมีที่นั่งว่างอยู่ ซึ่งก็ไปได้อาศัยกับกลุ่มเพื่อนที่เน้นการเรียนแบบสบายๆ คือเรียนๆเล่นๆ ผลการเรียนจัดอยู่ในกลุ่มปานกลาง ที่น่าสังเกตอีกอย่างหนึ่งก็คือเพื่อนในโต๊ะนี้ไม่มีใครเตรียมตัวสอบเทียบกันเลย จะว่าไม่ขยันก็ไม่ใช่ แต่ดูเหมือนว่าเพื่อนๆพวกนี้รักที่จะเรียนมัธยมจนครบหกปีมากกว่า

ปีนี้ผมตั้งใจเรียนอย่างมากตั้งแต่ต้นเทอมเลยทีเดียว โดยถือคติเริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่งทำนองนั้น เวลาเรียนก็ไม่ค่อยใจลอยเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ก็ยังพอมีบ้างตามประสาเด็กฟุ้งซ่าน นอกจากนี้เรื่องหนึ่งที่ผมพยายามเปลี่ยนแปลงตนเองก็คือเรื่องการคบเพื่อนกับการใช้ชีวิต

แต่ไหนแต่ไรมาผมมีเพื่อนไม่ค่อยมากนักเนื่องจากผมมักอยู่แต่ในโลกของผมเอง แต่ทว่าปีนี้ผมพยายามปรับปรุงตัวเอง สาเหตุสำคัญก็คือ ประการแรก ไม่แน่ว่าปีนี้อาจเป็นปีสุดท้ายที่ผมจะได้ใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนนี้ ดังนั้นถ้าเผื่อว่ามันจะเป็นปีสุดท้ายจริงผมก็อยากใช้ชีวิตในปีนี้ให้เต็มที่หน่อย ผมอยากซึมซับบรรยากาศและความทรงจำเกี่ยวกับโรงเรียนและเพื่อนที่นี่ไปให้ได้มากที่สุด เพื่อว่ามันจะได้เป็นความทรงจำที่ดีไปจนตลอดชีวิตของผม ดังนั้นผมตั้งใจเอาไว้ว่าในปีนี้ผมจะไม่เอาแต่เรียนเพียงอย่างเดียวแต่จะพยายามเฮฮาไปกับเพื่อนฝูงด้วย

เหตุผลประการที่สองก็คือการมีเพื่อนทำให้สามารถพึ่งพาซึ่งกันและกันได้ อย่างน้อยก็สามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อมูลข่าวสารกันได้ การไม่สุงสิงกับเพื่อนฝูงเลยทำให้ผมตกข่าวไปมาก อย่างเช่นผมในตอนนี้ที่ยังไม่รู้ว่าตนเองควรจะเลือกเรียนต่อสาขาไหนดี ถ้าเผื่อได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับเพื่อนๆมากขึ้นก็อาจช่วยให้ผมตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้นก็เป็นได้

ทางด้านเวช เกรียง และกลุ่มของมันนั้นในปีนี้ก็ดูเรียบร้อยขึ้น อย่างน้อยก็ไม่มีท่าทีว่าจะมาหาเรื่องแกล้งผมอีก จึงทำให้ผมรู้สึกสบายใจ ที่จริง ม.๕ ปีนี้น่าจะเป็นปีที่เริ่มต้นด้วยดีทุกอย่าง... ถ้าไม่มีเรื่องของบอยเข้ามา

- - -

คืนวันอาทิตย์

หลังจากที่เปิดเรียนมาได้หนึ่งสัปดาห์ และหลังจากที่ผมแกล้งบอยจนมันโกรธไม่ยอมพูดกับผม ในที่สุดผมก็เห็นว่าทิ้งช่วงให้บอยหายโกรธมาหลายวันแล้ว จึงลองโทรไปหามันที่บ้าน

“ฮัลโหล” เสียงวัยรุ่นอันคุ้นเคยรับสาย

“บอย นี่พี่นะ” ผมพูด

“...”

“เฮ้ยๆๆ นายอย่าเพิ่งวางสาย ฟังพี่พูดก่อน ขอร้องละ ฟังพี่ก่อน” ผมรีบละล่ำละลักเมื่อปลายสายทางโน้นเงียบไป

“เฮอะ ป่านนี้เนี่ยนะเพิ่งจะโทรมา” บอยโวยวาย

ผมงง อะไรกันนี่ พอผมโทรไปมันก็วางสาย ไปหาที่สหกรณ์ก็ไม่พบ คราวนี้พอได้คุยกันมันกลับต่อว่าผมว่าป่านนี้เพิ่งจะโทรมา แต่ถึงแม้ว่าผมจะงุนงงกับการต่อว่าของบอย แต่อย่างน้อยก็ยังดีที่มันไม่รีบวางสายไปเสียก่อน

“อ้าว ก็นายไม่รับสายพี่นี่ พี่จะคุยนายก็ไม่คุยด้วย นัดกันไว้นายก็ไม่ไป พี่ไปหาที่สหกรณ์ก็ไม่เจอนาย” ผมพยายามอธิบาย

“ความพยายามน่ะมีมั่งมั้ยพี่อู” บอยโวยอีก “บอยไปโรงเรียนทุกวัน ไม่ไปสหกรณ์แค่นี้พี่อูหาบอยไม่เจอเลยเหรอ”

“เอ้อ อ้า...” ผมอึกอัก คำพูดของบอยต่อว่าจนผมอึ้ง ที่จริงผมก็รู้ว่าถ้าไปหาบอยที่ห้องเรียนก็จะพบมัน แต่ผมไม่ไปเองเพราะนึกถึงเรื่องพี่เต้ขึ้นมา แต่ผมจะอธิบายเหตุผลนี้กับมันได้ยังไงกัน

“คือพี่เห็นว่านายโกรธพี่มาก ตอนนายโกรธคงไม่อยากคุยกับพี่เท่าไร ก็เลยรอให้นายหายโกรธก่อนน่ะ ก็เลยโทรมานี่ไง” ผมพยายามอธิบาย

“ไหนว่าจะดูแลบอยไง พอแกล้งบอยแล้วก็หายตัวไปเลย” บอยยังตัดพ้ออีก

“บอย พี่ขอโทษจริงๆ นายจะให้พี่ทำยังไงนายถึงจะหายโกรธ บอกพี่มาได้เลย พี่จะพยายามทำ” ผมพยายามอ้อน

“เฮอะ” ได้ยินบอยร้อง “ทำไมต้องให้บอยบอก พี่อูเป็นพี่ก็ต้องคิดหาทางเอาเองดิ”

“อ่าๆๆ ได้ๆๆ งั้นพี่จะพยายามคิดหาทาง” ผมเอาใจบอยเต็มที่ ขณะเดียวกันก็เริ่มรู้สึกปวดหัวไปด้วย “งั้นพรุ่งนี้เราเจอกันที่โรงอาหารดีมั้ย ให้พี่เลี้ยงขอโทษนายสักมื้อ”

“หา” บอยโวยอีก “เลี้ยงขอโทษทั้งทีเลี้ยงที่โรงอาหารเนี่ยนะ”

“อะอะอะ ที่อื่นก็ได้” ผมรีบกลับลำทันทีเมื่อบอยแสดงน้ำเสียงไม่พอใจ “ไปกินที่สยามสแควร์ก็ได้ ไฮไลท์ แคนตั้น โคคา อัพทาวน์ ดาวน์ทาวน์ นายจะกินอะไรก็ได้ตามใจนาย”

“อือม์ ฮึฮึ” เหมือนจะได้ยินเสียงบอยหัวเราะเบาๆ “ยังงี้ค่อยยังชั่วหน่อย”

“ยังงั้นพรุ่งนี้เลิกเรียนแล้วเจอกันที่โรงอาหารก่อนก็แล้วกัน แล้วไปสยามด้วยกัน ตกลงนะ” ผมรีบรวบรัดขอคำสัญญา

“ได้ฮะ” บอยรับปาก น้ำเสียงฟังดูแจ่มใสขึ้น

“นัดแล้วอย่าเบี้ยวล่ะ” ผมย้ำ

“นี่พี่อูว่าบอยไม่รักษาคำพูดเหรอ” บอยตีรวนขึ้นมาได้อีก ไม่เคยรู้มาก่อนเลยจริงๆว่าบอยก็มีนิสัยคุณหนูติดมาด้วย ถ้าเป็นสมัยปัจจุบันนี้คงต้องร้องเพลงแฟนเราเอาแต่ใจให้ฟัง

“เปล่าๆๆ” ผมรีบปฏิเสธ “คือ... เอ่อ พี่บอกกับตัวเองว่าอย่าเบี้ยวนัดบอยน่ะ” ผมพูดประโยคนี้ออกไปได้ไงนะ งี่เง่าจริงๆ แต่ก็ต้องทำเพื่อเอาใจบอย

หลังจากวางสาย ผมรู้สึกโล่งใจขึ้นมาก เวลาบอยเคืองขึ้นมานี่รับมือไม่ง่ายเลย ผมต้องพยายามจนรู้สึกเหนื่อย นี่ถ้าเป็นเพื่อนผมคงเลิกคุยกับมันไปแล้ว จะไปไหนก็เชิญไปเลย แต่นี่เป็นบอย... เป็นคนพิเศษสำหรับผม ดังนั้นผมจึงต้องพยายามดูแลมันเป็นพิเศษหน่อย

- - -

เรื่องหนักใจของผมในช่วงนี้อยู่ที่ว่าผมจะตัดวิชาชีววิทยาออกไปดีหรือไม่ ถ้าตัดออกไปได้การดูหนังสือเตรียมสอบของผมคงง่ายขึ้น แต่ปัญหาก็คือการที่จะตัดสินใจว่าจะตัดวิชานี้ออกไปได้ก็หมายความว่าผมจะต้องตัดสินใจได้แล้วว่าผมจะเอนทรานซ์เข้าคณะวิศวฯโดยไม่เลือกคณะแพทย์หรือคณะอื่นๆที่ต้องใช้วิชาชีววิทยา และผมจะเปลี่ยนใจไม่ได้อีกเลย คิดอยู่นานก็ยังตัดสินใจไม่ได้เสียที

เมื่อคิดไม่ตกผมก็ต้องพยายามหาข้อมูลว่าคณะวิศวกรรมศาสตร์นี่เรียนอะไรแล้วจบไปทำอะไรได้บ้าง ที่ผ่านมาผมก็เพียงได้ยินคำพูดที่พูดกันต่อๆมาเพียงแค่ว่าหากคะแนนดีก็ต้องเรียนต่อหมอหรือวิศวฯ ที่จริงก็ไม่รู้รายละเอียดนักหรอกว่าจบแล้วไปทำอะไรได้บ้าง รู้แต่ว่าแพทย์กับวิศวฯเป็นเสมือนกับว่าเป็นศักดิ์ศรีของคนที่เรียนเก่ง เรียนแล้วเท่ รายได้สูง และเป็นที่นับหน้าถือตาของเพื่อนๆและในสังคม

ในยุคที่ผมเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายนั้น สารสนเทศเกี่ยวกับการศึกษาต่อยังมีไม่มากมายเหมือนในสมัยปัจจุบัน ในตอนนั้นแค่หาเอกสารที่มีข้อมูลเกี่ยวกับการเรียนต่อในคณะต่างๆอย่างละเอียดนั้นยังหาได้ยากเลย ส่วนใหญ่ก็มีแต่เพียงคำบรรยายสั้นๆและคะแนนสูงสุดต่ำสุดเอาไว้สำหรับเป็นแนวทางในการเลือกคณะวางอยู่ในห้องแนะแนว นอกจากนี้ ในช่วงปลายปีทางโรงเรียนก็มักเชิญรุ่นพี่จากคณะต่างๆมาคุยกับน้องๆเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการเรียนในคณะต่างๆแต่ว่าก็ต้องรอถึงปลายปีโน่น ข้อมูลในเชิงลึกแบบจัดโอเพนเฮาส์แนะนำหลักสูตรพาทัวร์สถานที่เรียนจริงๆแบบในสมัยนี้ยังไม่มี

จากข้อมูลเท่าที่พอจะหาได้ ภาพการเรียนในคณะวิศวฯนั้นเป็นอย่างไรผมยังนึกไม่ออก แต่พอนึกภาพตอนทำงานออกว่าคงต้องทำงานเกี่ยวกับงานช่าง งานในโรงงาน หรืองานที่ต้องออกภาคสนาม คุมคน คุมเครื่องจักร ฯลฯ ซึ่งไม่ใช่ภาพที่ถูกใจผมสักเท่าไรนัก จริงอยู่ แม้ในตอนนั้นจะมีสาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์อันเป็นสาขาที่สภาพการทำงานแตกต่างออกไป รวมทั้งสาขาอื่นๆจบแล้วก็ใช่ว่าต้องทำงานคุมคนหรือว่าอยู่แต่ในโรงงานเสมอไป แต่เนื่องจากสารสนเทศที่ค่อนข้างจำกัด ดังนั้นภาพของวิศวฯในสายตาของผมจึงอยู่เพียงแค่ภายในโรงงานอุตสาหกรรมกับงานภาคสนามเท่านั้น เมื่อภาพที่ออกมายังไม่ถูกใจผมนักจึงยิ่งทำให้ผมลังเล

- - -

ที่โรงอาหาร

หลังจากเลิกเรียนผมก็รีบมาที่โรงอาหารเพื่อมาพบบอย ตอนที่ผมไปถึงนั้นบอยยังไม่มา ผมจึงนั่งรอ ระหว่างที่รอก็คิดหนักใจเรื่องที่ผมปิดบังเรื่องการสอบเทียบและสอบเอนทรานซ์กับบอยเอาไว้ ผมคิดจะบอกบอยหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่กล้าบอก ตอนนี้บอยยิ่งโกรธผมอยู่ด้วย ถ้าบอกออกไปในตอนนี้คงเป็นเรื่อง แต่ถ้าเอาไว้บอกทีหลังก็คงไม่ค่อยดีเท่าไรเช่นกัน ส่วนเรื่องการบอกความในใจของผมนั้นอาจต้องเลื่อนออกไปก่อนเพราะว่าสถานการณ์ระหว่างผมกับบอยตอนนี้ยังไม่ค่อยดีเท่าที่ควร

ผมนั่งใจลอยอยู่ได้สักพักก็ปรากฏเงาร่างอันคุ้นเคยนั่งลงที่โต๊ะอาหารที่นั่งตรงข้ามกับผม บอยนั่นเอง ทุกครั้งบอยจะต้องทักทายผมอย่างร่าเริง แต่วันนี้บอยมาถึงก็นั่งลงอย่างเงียบๆ สีหน้าบึ้งตึง

“อ้าวบอย มาแล้วเหรอ” ผมทักทาย

“ฮึ ก็มาแล้วสิ ไม่มาแล้วพี่อูจะเห็นเหรอ ถามแปลกจริงๆเลย” บอยทำตัวเกรียน

“ใช่ๆๆ พี่พูดผิดเอง” ผมพยายามประจบบอยสุดชีวิต

ผมหยิบเอาถุงกระดาษสีน้ำตาลใบเล็กๆออกมาจากเป้แล้ววางลงตรงหน้าบอย

“อะไรอะ” บอยถาม

“นายแกะดูดิ” ผมไม่บอก

บอยแกะถุงออกดู แล้วล้วงหยิบของในถุงออกมา มันเป็นเทปกาวม้วนหนึ่งกับกรรไกรเล็กๆอันหนึ่ง บอยทำหน้าสงสัย

“ถ้านายยังไม่หายโกรธ พี่ให้นายเอาเทปนี่ปิดปากพี่แล้วกระชากออก” ผมพูด ตอนนั้นทำเรื่องงี่เง่าแบบนั้นไปได้ยังไงก็ไม่รู้เหมือนกัน “นายจะได้หายโกรธพี่เสียที”

“พี่อูก็ปิดปากตัวเองแล้วกระชากออกเองดิ” บอยพูดห้วนๆ สีหน้ายังบึ้งตึงอยู่ “ไม่เห็นจะต้องให้บอยทำเลย”

“เอางั้นเหรอ” ผมเหลียวมองไปรอบๆ ในโรงอาหารตอนนั้นยังมีคนเยอะอยู่ ถ้าผมทำอะไรแบบนั้นคงดังไปทั้งโรงเรียนแน่นอน ที่จริงไม่ว่าบอยทำผมหรือว่าผมทำตัวเองก็คงดังได้โดยไม่แตกต่างกันเท่าไรนัก “ถ้างั้นรอเย็นกว่านี้หน่อยละกัน ตอนนี้คนเยอะ”

“ตอนเย็นไม่เอา เอาตอนนี้แหละ” บอยไม่สนใจ

ผมคิดหนัก “ถ้างั้นไปหลังตึกละกัน ทำในโรงอาหารอายเค้า เอาเทปปิดปากตัวเองแล้วกระชากออก ใครเห็นคงคิดว่าพี่บ้า ม.๕ แล้วนะ อย่าให้พี่เสียหน้ามากนักเลย” ผมต่อรอง

บอยนิ่งคิดแล้วพยักหน้า “ก็ได้”

ผมลุกขึ้น หยิบอุปกรณ์ขึ้นมาเพื่อเตรียมไปทำร้ายตัวเองหลังตึก บอยจับมือผมไว้เป็นความหมายว่าไม่ต้องลุก แล้วหัวเราะแบบกลั้นไม่อยู่

“พอแล้วฮะ” บอยพูดพลางหัวเราะพลาง

“อ้าว” ผมงง

“บอยลองใจพี่อูน่ะ หายโกรธตั้งนานแล้ว แต่อยากรู้ว่าพี่อูจะเอาใจบอยยังไงเท่านั้นเอง” บอยพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“แล้วพี่เป็นไง ใช้ได้ไหม” ผมถาม แต่ในใจแอบด่ามันว่าโธ่เอ๊ย ไอ้เปรต

“เฮอะ บอยรอจนหายโกรธไปแล้วกว่าพี่อูจะมาง้อน่ะ ใช้ได้ไหมล่ะ” บอยตอบ

- - -

ค่ำวันนั้นเราไปกินอาหารกันที่สยามสแควร์แล้วก็ดูหนังรอบค่ำด้วยกันเรื่องหนึ่ง ผมกลับบอยกลับมาคุยกันอย่างปกติ แหย่กันไปแหย่กันมาเหมือนเดิม หลังจากที่บอยได้กินอะไรอร่อยๆแล้วดูบอยอารมณ์ดี และแจ่มใส

กว่าหนังจะจบก็ประมาณสี่ทุ่ม หลังจากที่ดูหนังจบบอยอยากซื้อพวกขนมปังและพายกลับไปฝากที่บ้าน เราจึงเดินไปที่ร้านเบเกอรี่ด้วยกัน

ตอนนั้นร้านเบเกอรี่ใกล้ปิดแล้ว หลังจากที่บอยซื้อของเสร็จผมรู้สึกกระหายจึงสั่งน้ำหวานมานั่งดื่มกับบอย ระหว่างที่ดื่มน้ำหวานไปผมก็สังเกตว่าพนักงานที่หลังเคาน์เตอร์กำลังเตรียมปิดร้านโดยคีบขนมปังออกจากถาดและก้มๆเงยๆ จากนั้นผมก็เห็นพนักงานลากถุงสีดำๆไปหลังร้าน

ด้วยความสงสัยผมจึงเดินไปดูใกล้ๆ ภาพที่เห็นคือพนักงานกำลังคีบขนมปัง พาย และเค้กจากถาดใส่ลงในถุงขยะสีดำ

“พี่จะเอาขนมพวกนี้ไปไหนครับ” ผมถามพนักงานที่กำลังคีบของใส่ลงในถุง

“เอาไปทิ้งครับน้อง” พนักงานตอบ

“ทำไมต้องทิ้งละครับ ของยังดีๆอยู่เลย” ผมงงกับคำตอบที่ได้รับ

“เราขายของใหม่สด ไม่เก็บข้ามวันครับ” พนักงานตอบ “พวกนี้พอหมดวันก็ต้องทิ้ง เก็บไว้ขายต่อไม่ได้แล้ว”

“แล้วทำไมต้องทิ้งละพี่” ผมถามต่อ “ของยังดีอยู่เลย กินเองก็น่าจะได้”

“ของพวกนี้เดี๋ยวต้องเอาน้ำมันก๊าดราดอีก พนักงานก็กินไม่ได้ครับ ต้องทิ้งอย่างเดียว” พนักงานตอบ “มันเป็นกฏของบริษัท”

ภาพของเด็กใต้สะพานพุทธ ขอทานที่ริมทางเท้า พี่นักศึกษาที่เล่นดนตรีไทยเปิดหมวกไหลเข้ามาในห้วงคำนึงของผม คำตอบที่ได้ยินทำให้ผมอดสะท้อนใจไม่ได้ คนอดอยากยังมีอีกตั้งมากมาย แต่ร้านขายของกินบางร้าน กลับทิ้งของแถมราดน้ำมันก๊าดซ้ำเพื่อไม่ให้ใครได้กิน ทำไมโลกถึงได้เป็นแบบนี้นะ



<มาดูภายในเล่มของนิตยสารเกย์กันต่อว่ามีอะไรบ้าง
รายได้ส่วนหนึ่งของนิตยสารเกย์ไม่ได้อยู่ที่ยอดจำหน่ายนิตยสาร แต่อยู่ที่การจำหน่ายภาพลับเฉพาะซึ่งเป็นภาพที่เปลือยหมดจดและไม่สามารถนำลงตีพิมพ์ได้ ภาพลับในยุคนั้นราคาชุดละ ๖๐ บาท มี ๕ ภาพ สั่งซื้อและส่งให้ทางไปรษณีย์ ไม่มีวางขายทั่วไป>


<ประสบการณ์เสียวเป็นคอลัมน์ที่ได้รับความชื่นชอบจากผู้อ่านมากจนต้องนำไปรวมเล่มและกลายเป็นนิตยสารประสบการณ์เสียวโดยเฉพาะ นับเป็นการแตกแขนงของนิตยสารเกย์อีกแนวหนึ่งในยุคนั้น>


<นอกจากภาพลับแล้วรายได้อีกส่วนหนึ่งของนิตยสารเกย์มาจากการผลิตและขายหนังสือเฉพาะกิจพวกอัลบั้มภาพเปลือย หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือหนังสือปกขาวแนวเกย์ก็น่าจะได้ อัลบั้มพวกนี้ไม่มีวางขาย ต้องสั่งซื้อทางไปรษณีย์>


<นอกจากอัลบั้มเฉพาะกิจและภาพลับแล้ว ยังมีของขายดีอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือวีดิโอเอ็กซ์แนวเกย์ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามีหนังเอ็กซ์เกย์ในยุคนั้นมีของชาติใดบ้าง แต่ที่แน่ๆคือจากค่ายหนังทางอเมริกา>

Tuesday, March 16, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 54

ตอนนั้นเป็นเวลาใกล้เข้าแถวเคารพธงชาติแล้ว บนทางเดินของตึกมีนักเรียนเดินไปมาอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย บอยจึงวิ่งได้ไม่เร็วนักเนื่องจากติดคน

ไม่นานผมก็กวดบอยจนทัน ผมรีบคว้าแขนของบอยเอาไว้แต่บอยก็พยายามสลัด พฤติการณ์ของเราสองคนเป็นจุดสนใจของนักเรียนที่อยู่ตามทางเดินแต่ผมจะไปกังวลมากความไม่ได้แล้ว

“บอย มาคุยกับพี่ก่อน” ผมรีบบอกบอยพลางลากบอยหลบมาคุยตรงช่องทางลงบันได ตรงนั้นเป็นมุมที่ค่อนข้างลับตา พอจะใช้คุยกันได้

“บอย พี่ขอโทษ” ผมพูดกับบอย บอยเบือนหน้าหนีไม่ยอมมองผม แต่ผมสังเกตเห็นหางตาของบอยมีประกายน้ำตาอยู่

ผมอดสะท้อนใจไม่ได้ ภาพเก่าๆไหลเข้ามาในห้วงคำนึงของผม ผมอดสงสัยตัวเองไม่ได้ว่าทำไมนะผมจึงชอบทำร้ายคนที่ผมรักมาตลอด

“บอย พี่ขอโทษจริงๆ” ผมยืนประชิดบอย มือข้างหนึ่งก็จับแขนบอยเอาไว้เพราะกลัวมันวิ่งหนีไปอีก

“ไม่ดูแลบอยแล้วยังรังแกบอยอีก” บอยพูดเจือเสียงสะอื้น ผมฟังแล้วหัวใจหม่นหมองลงทันที จริงสินะ นอกจากผมไม่ดูแลมันให้ดีแล้วยังเป็นคนแกล้งมันเองเสียอีก... ภาพไอ้นัยที่พยายามกลั้นสะอื้นเอาไว้ตอนที่ผมตะคอกมันซ้อนเข้ามาในความคิด... ตอนนั้นนัยคงเสียใจมาก บอยในตอนนี้ก็คงเช่นกัน ไม่ว่าใครที่ผมสนิทชิดใกล้ด้วยมักต้องเสียน้ำตาเพราะผมเสมอ...

“พี่ดีใจที่เจอนายน่ะ ไม่ได้เจอนายตั้งเป็นอาทิตย์ พอเจอก็อดดีใจไม่ได้ ก็เลย... ก็เลย... แหย่นายแรงไปหน่อย” ผมพยายามอธิบาย

“ไม่ได้เจอบอยตั้งเป็นอาทิตย์” บอยทวนคำแล้วย้อน “ก็พี่อูเองที่ไม่โทรหาบอย แล้วพอเจอกันดีใจก็ต้องแกล้งบอยใช่ไหม”

“พี่ขอโทษ ขอโทษนายจริงๆ อะ เอางี้ พี่ให้นายเขกหัว นายเขกให้พอใจเลย” ผมทุ่มทุน ก้มหัวให้มันเขกได้ถนัด ไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้มันหายเคืองผม ยอมให้มันทำคืนก็แล้วกัน ตอนนั้นนักเรียนที่เดินขึ้นลงบันไดก็พอมี ใครผ่านไปผ่านมาก็พอจะได้ยินเรื่องที่คุยกัน ถ้าบอยเขกหัวผมจริงๆเราสองคนอาจตกเป็นข่าวซุบซิบของหนังสือพิมพ์ประจำโรงเรียนก็ได้

“เฮอะ ตบหัวแล้วลูบหลังมันจะได้อะไร” บอยไม่ยอมเขกหัวผม หางเสียงยังบ่งบอกความขุ่นเคือง

“เออ พี่ผิดเอง พี่ไม่ดีเองจริงๆที่ไม่ค่อยดูแลนาย” ผมสารภาพผิด จากนั้นนิ่งคิดสักครู่ แล้วพูดกับมันด้วยเสียงที่แผ่วเบา “นายยกโทษให้พี่สักครั้งได้ไหม”

“...”

“ถ้านายไม่ตอบถือว่านายยกโทษให้พี่ละนะ” ผมรวบรัดตัดความ

“...”

“ไหน ขอพี่ดูริมฝีปากหน่อย เมื่อกี้เห็นเจ่อออกมา เป็นไรมากไหม” ผมพูด แต่บอยไม่ยอมหันหน้ามาให้ผมดู ผมเอื้อมมือไปเชยปลายคางของบอยหันมาแล้วรีบปล่อยมืออย่างรวดเร็วเพราะกลัวคนเห็น

รอยเจ่อแดงที่ปากของบอยจางลงไปบ้างแล้ว แต่แนวแทปที่คาดปากและแก้มยังพอเห็นเป็นรอยแดงอยู่

“ไปล้างเสียหน่อยไป กาวพวกนี้ดูท่าคงจะคัน” ผมพูดกับบอยด้วยความเป็นห่วง

“ฮึ รู้แล้วทำทำไม” บอยทำเสียงไม่พอใจ ขณะเดียวกันเสียงออดเข้าแถวเคารพธงชาติก็ดังกังวานไปทั่วทั้งโรงเรียน

“ตอนบ่ายเลิกเรียนแล้วมาเจอกันที่โรงอาหารนะบอย พี่มีเรื่องจะบอกนาย” ผมพูด ครั้งนี้ผมคงเล่นแรงเกินไปจริงๆ ดูบอยจะโกรธผมมาก แต่เวลาไม่อำนวยให้ผมง้อบอยต่อไปได้จึงต้องนัดบอยเพื่อมาปรับความเข้าใจกันต่อในตอนหลังเลิกเรียน “ที่เก่าเวลาเดิม”

“...”

“อย่าลืมนะ ไปเข้าแถวก่อนไป แล้วเย็นนี้เจอกัน นายวิ่งไปล้างหน้าเสียหน่อยก่อนไป” ผมกำชับ จากนั้นก็เดินจากบอยไป

- - -

ชั้นเรียนในวันแรกของปีนี้เต็มไปด้วยความคึกคัก คำว่า ‘ม.๕’ นี้มีความหมายต่อทุกคนมาก แม้แต่ผมเองที่ใช้ชุดนักเรียนชุดเดิมจากเมื่อชั้น ม.๔ แต่ก็ยังอดรู้สึกกร่างนิดๆไม่ได้เวลาเดินผ่านรุ่นน้อง แต่อย่างไรก็ดี เมื่อเข้ามาอยู่ในตึกเรียนความรู้สึกว่าเป็นรุ่นพี่ก็หมดไปเพราะว่าในตึกเรียนนี้มีแต่ชั้น ม.๕ กับ ม.๖ เท่านั้น

ในช่วงเช้าวันแรกของปีการศึกษาใหม่ พวกเราใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการพูดคุยกันโดยไม่ค่อยสนใจการเรียนนัก พวกเราทุกคนคุ้นเคยกันอยู่แล้วเนื่องจากยกห้องมาจากปีที่แล้วดังนั้นจึงไม่ต้องเสียเวลาทำความรู้จักกันแต่อย่างใด... ห้องเรียนใหม่ อาจารย์ประจำชั้นคนใหม่ แต่ทว่าเพื่อนยังคงเป็นเพื่อนหน้าเก่าๆ

ที่นั่งแถวริมผนังห้องของผมนั้นเป็นแถวเดี่ยวดังนั้นผมจึงไม่มีเพื่อนที่นั่งติดกัน แถมยังนั่งอยู่หลังห้อง ซึ่งผมรู้สึกชอบเพราะว่าสงบดี เหมาะกับอุปนิสัยของผม เพื่อนที่นั่งอยู่ข้างหน้าของผมในปีนี้คือโชค ส่วนเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างซ้ายของผมในแถวถัดไปปีนี้เป็นนนและแมน จอมมารดำขาวนักอำประจำห้อง ไอ้คู่นี้ต้องนั่งติดกันเป็นปาท่องโก๋ไม่ยอมแยกจากกัน ถัดออกไปอีกก็เป็นกี้และยูรที่กลายมาเป็นเพื่อนที่นั่งคู่กัน ส่วนทางด้านใกล้หน้าต่างหลังห้องก็เป็นของกลุ่มเวชและสมุนเช่นเดิม

เวลาหลายเดือนที่ปิดภาคเรียน เพื่อนๆแต่ละคนก็มีประสบการณ์ต่างๆกัน พวกที่เตรียมจะสอบเอนทรานซ์เมื่อจบชั้น ม.๕ ก็คุยกันแต่เรื่องติวและการเรียนกวดวิชา กลุ่มไอ้เฉานั้นมีการนัดเจอเพื่อติวกันอย่างสม่ำเสมอ ไอ้กี้และเพื่อนอีกหลายๆคนไปเรียนกวดวิชาในช่วงปิดเทอมเพื่อซุ่มเตรียมสอบเอนทรานซ์ ส่วนผู้ที่ไม่ได้เตรียมตัวสอบเอนทรานซ์ก็คุยกันเรื่องเที่ยว เรื่องทำงานพิเศษช่วงปิดเทอม ฯ ในขณะที่หลายๆคนที่มีภูมิลำเนาต่างจังหวัดก็กลับบ้านต่างจังหวัดไป ผมฟังเพื่อนๆคุยกันถึงความคืบหน้าของตนเองแล้วก็อดรู้สึกอิจฉาบางคนไม่ได้เนื่องจากได้ไปกวดวิชาเอนทรานซ์มา ทำให้ได้เนื้อหาของวิชาในชั้น ม.๖ มาด้วย ในขณะที่ผมเองนั้นวิชา ม.๕ ยังเตรียมตัวไม่เรียบร้อยเลย

ในการเตรียมตัวสอบเอนทรานซ์นั้นปกติก็ต้องทบทวนเนื้อหาและเอาข้อสอบเอนทรานซ์ปีก่อนๆมาทำลองทำ เมื่อทำไม่ได้หรือทำผิดก็ต้องไปดูเฉลยและคำอธิบาย ยิ่งได้ทำข้อสอบเก่าๆมากก็ยิ่งได้เปรียบ การทบทวนเนื้อหานั้นก็ทบทวนเอาจากหนังสือติวของสำนักพิมพ์ต่างๆ ส่วนตำราวิทยาศาสตร์ของ สสวท. ที่เรียนในห้องเรียนนั้นซุกเก็บไปได้เลยเพราะไม่ได้ใช้

สำหรับผมนั้นเนื่องจากตอนที่เรียน ม.๔ และ ม.๕ ผมไม่ค่อยตั้งใจเรียนนัก พื้นฐานจึงไม่ค่อยแน่น การเตรียมตัวจึงเป็นไปได้อย่างช้าๆเนื่องจากพออ่านไปทำข้อสอบไปก็มักจะติดขัดอยู่เสมอ วิชาเอนทรานซ์ที่ผมต้องเตรียมก็มี ๖ วิชา ได้แก่ คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ภาษาอังกฤษ และสามัญ ๑ รวมทั้งยังต้องอ่านหนังสือเพื่อเรียนและสอบ กศน. ในสายศิลป์คำนวณอีกด้วย

เพื่อนๆส่วนใหญ่มีอะไรก็เอามาเล่าสู่กันฟัง ยกเว้นโชค โชคคุยแต่เรื่องสัพเพเหระแต่ไม่ยอมบอกเพื่อนๆว่าเตรียมตัวสอบเอนทรานซ์อย่างไรมาบ้างหรือว่าไปติวที่ไหนมา เพื่อนๆมักเรียกโชคว่าเสือซุ่มเพราะทำอะไรไม่ยอมบอกใครอีกทั้งไม่ยอมค่อยเอื้อเฟื้อใดๆแก่เพื่อนฝูงเนื่องจากกลัวว่าเพื่อนจะมาเป็นคู่แข่งของตนนั่นเอง

การได้คุยกับเพื่อนๆทำให้ผมได้มุมมองใหม่ๆในการเตรียมตัวสอบ ในยุคนั้นคณะยอดนิยมของนักเรียนสายวิทย์ก็คือคณะแพทย์กับวิศวฯ เพื่อนหลายๆคนที่ตั้งใจสอบเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์โดยไม่สนใจแพทย์ก็จะตัดวิชาชีววิทยาออกไปเลยตั้งแต่ต้น ตอนเรียนก็เอาแค่พอผ่านเท่านั้น ทั้งนี้ เนื่องจากการสอบเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์นั้นไม่ใช้วิชาชีววิทยา แต่ต้องไปเตรียมตัวสอบเพิ่มในอีกหนึ่งวิชา นั่นคือ ความถนัดทางวิศวกรรม แต่ถ้าจะเลือกทั้งแพทย์และวิศวฯจะต้องเตรียมตัวสอบถึง ๗ วิชา

สำหรับผมนั้น ในตอนนั้นผมเตรียมตัวสอบ ๖ วิชาตามปกติ เนื่องจากยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเลือกเรียนคณะอะไรดี คิดแต่ว่าหากตัดสินใจจะสอบเข้าคณะวิศวฯเมื่อไรจึงค่อยเตรียมตัวสอบความถนัดฯกันในภายหลังเนื่องจากแค่นี้ผมก็แทบแย่อยู่แล้ว จะให้เตรียมวิชาความถนัดฯด้วยในตอนนี้ก็ไม่ไหว แต่จากการที่ฟังเพื่อนๆคุยกันทำให้ผมได้ความคิดขึ้นมาใหม่ นั่นคือ ถ้าผมผมตัดสินใจตั้งเป้าหมายที่จะเรียนวิศวฯเสียตั้งแต่ตอนนี้ผมก็จะได้ไม่ต้องไปเสียเวลากับวิชาชีววิทยาซึ่งจะทำให้ผมประหยัดเวลาไปได้มากพอดู แต่ถ้ายังมัวไม่แน่ใจอยู่อย่างนี้ก็ต้องดูเหมาไปทั้งหมดซึ่งอาจทำให้เตรียมตัวสอบไม่ทันก็ได้ แต่ปัญหาที่สำคัญของผมก็คือตอนนี้ผมยังตัดสินใจเลือกเรียนต่อไม่ถูกเลย

พอเปิดเทอมมาก็มีเรื่องให้ต้องคิดมากมาย ไหนจะเรื่องเรียน เรื่องสอบ แล้วยังมามีเรื่องของบอยเข้าอีก

- - -

หลังเลิกเรียน

วันนี้ผมรู้สึกไม่ดีอยู่ตลอดทั้งวัน เช้าวันแรกของผมควรจะเป็นการเริ่มต้นอันสดใสแต่ผมก็ทำมันพังลงเสียได้ด้วยความคะนองของผมเอง ตอนเที่ยงผมไม่กล้าไปหาบอยที่สหกรณ์เพราะคดีที่ผมก่อเอาไว้เมื่อตอนเช้าทำให้ผมรู้สึกอายรุ่นน้องที่อยู่ในห้องนั้น ผมจึงรอด้วยใจกระวนกระวายจนถึงเวลาเลิกเรียนเพื่อจะได้ไปพบบอยที่โรงอาหาร

สิ่งที่ผมทำลงไป ความเสียใจของบอย เหตุการณ์ในวันนี้ทำให้ผมเริ่มแน่ใจมากขึ้นว่าบอยนั้นมีใจให้ผม ผมเริ่มคิดที่จะเปิดเผยความในใจให้บอยรู้ ที่จริงก็คิดมาสักพักแล้วแต่ก็ยังไม่กล้าบอก แต่มาวันนี้ ผมได้คิดแล้วว่าหากเก็บงำเอาไว้นานในที่สุดก็อาจมีเหตุทำให้ไม่ได้บอกเสียอีกก็เป็นได้...

บอย หายโกรธพี่หรือยัง พี่มีเรื่องอยากบอกนายนะ คือว่า พี่ เอ่อ... พี่... อ่า... ผมพยายามซ้อมพูดไว้ล่วงหน้าเพื่อที่เวลาพูดกับบอยจะได้ไม่ติดขัด แต่ทว่าแม้แต่ในการซ้อมพูดก็ดูเหมือนว่าผมจะพูดไม่ค่อยออกเลย

บ่ายสี่โมง…

ผมนั่งรอบอยอยู่ที่โรงอาหารมานานกว่าครึ่งชั่วโมงแล้วแต่บอยก็ยังไม่มาเสียที บางทีบอยอาจจะมีเรื่องคุยกับเพื่อนมากมายจนยังปลีกตัวมาไม่ได้ก็ได้ วันนี้เป็นวันเปิดเทอมบอยคงมีเรื่องคุยกับเพื่อนๆมากเป็นพิเศษ คอยอีกสักหน่อยก็แล้วกัน

สี่โมงครึ่ง...

บอยก็ยังไม่มา จนผมรู้สึกผิดสังเกตจึงไปตามหาบอยที่ห้องเรียน ตอนนั้นห้องเรียนว่างเปล่าไม่มีใครเหลืออยู่ในห้องเลย คงกลับกันจนหมดแล้ว

ผมไปดูที่สหกรณ์ ถามรุ่นน้อง ม.๔ กลุ่มที่ช่วยกันแกล้งบอยเมื่อเช้าก็ได้รับคำตอบว่าตั้งแต่เช้าแล้วก็ไม่เห็นบอยที่สหกรณ์อีกเลยตลอดทั้งวัน

บอยไปไหนของมันหว่า ผมคิดในใจ

รอจนห้าโมงกว่า ร้านค้าในโรงอาหารปิดกันจนหมด เหลือแต่โรงอาหารที่ว่างเปล่า บอยก็ยังไม่มา โรงอาหารที่ร้างคนเงียบวังเวงจนน่ากลัว ผมไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีจึงลองโทรไปที่บ้านของบอย

“ฮัลโหล” เสียงวัยรุ่นรับสาย บอยนั่นเอง

“อ้าว บอย กลับบ้านแล้วเหรอ” ผมถาม รู้สึกงงๆ

“...”

“บอย บอย เฮ้ย บอย ฟังพี่ก่อน” ผมกรอกเสียงลงไปในกระบอกโทรศัพท์ แต่ไม่มีเสียงตอบ หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงสัญญาณสายไม่ว่างดังขึ้น


<ลองมาดูกันว่านิตยสารเกย์ในยุคใกล้เคียงกับตอนที่ผมเรียน ม.ปลาย นั้นภายในเล่มมีอะไรบ้าง ฉบับนี้เป็นนิตยสารวีคเอนด์ ฉบับเดือนสิงหาคม ปี ๒๕๓๔ ราคา ๔๐ บาท>



<เปิดมาต้นเล่มก็จะเป็นภาพสีวาบหวิวของนายแบบ เล่มหนึ่งมักจะมีนายแบบหลายคน>


<จากนั้นก็จะเป็นเรื่องสั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นแนวชายรักชาย อาจจะเป็นเรื่องเสียวหรือไม่เสียวก็ได้ คลิกที่ตัวภาพเพื่อดูภาพขยายและอ่านเนื้อหาดูได้>


<จากนั้นก็จะเป็นคอลัมน์ประสบการณ์ทางเพศ หรือว่าเรื่องเสียวซึ่งเป็นส่วนที่ขาดไม่ได้ของนิตยสารเกย์ เรื่องเสียวพวกนี้จริงบ้างไม่จริงบ้าง บางทีก็เป็นเรื่องที่ผู้อ่านส่งมาร่วมเสียวด้วย>


<คอลัมน์หาเพื่อนก็เป็นคอลัมน์ประจำที่ขาดไม่ได้ในนิตยสารเกย์ทุกฉบับ การติดต่อกันในยุคนั้นค่อนข้างยุ่งยาก ยังใช้วิธีเขียนจดหมาย snail mail โดยผู้ที่จะลงประกาศหาเพื่อนจะต้องฝากข้อความไปทาง บก. ของนิตยสาร แล้ว บก. ก็จะพิจารณาลงตีพิมพ์ให้แต่จะไม่ลงชื่อที่อยู่ให้ติดต่อกันเองเพื่อความปลอดภัยของผู้ลงประกาศเพราะในยุคนั้นการเป็นเกย์ยังเป็นเรื่องที่ต้องปกปิดกัน ส่วนผู้อ่านที่อ่านประกาศหาเพื่อนแล้วอยากติดต่อกับรายใดก็ให้เขียนจดหมายใส่ซองติดแสตมป์ถึงคนผู้นั้นแต่ไม่ต้องเขียนจ่าหน้าซอง แล้วใส่ซองอีกชั้นหนึ่งส่งให้ บก. นิตยสาร เมื่อทางนิตยสารได้รับทราบความต้องการของผู้ติดต่อก็จะเป็นผู้เขียนจ่าหน้าซองแล้วส่งให้เอง หลังจากนั้นทั้งผู้ลงประกาศและผู้ติดต่อก็สามารถติดต่อกันเองได้แล้ว>

Thursday, March 11, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 53

เดือนพฤษภาคม

ใกล้เปิดเทอมเข้ามาทุกทีแล้ว ตามแผนการที่วางเอาไว้ เมื่อช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อนสิ้นสุดลง ผมจะต้องอ่านวิชาของชั้น ม.๕ จนจบทั้งหมด แต่การดูหนังสือของผมก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะทันตามแผนเลย

ช่วงนั้นเป็นอีกช่วงหนึ่งที่ผมรู้สึกสับสนมาก หลังจากที่ไปเที่ยวสวนลุมกับบอยเมื่อหลายวันก่อนทำให้ผมต้องกลับมาคิดทบทวนเรื่องบอย เดิมทีที่ผมเห็นบอยเป็นครั้งแรกในสหกรณ์ บอยเป็นเพียงเด็กกวนๆคนหนึ่ง แต่ต่อมาผมก็เริ่มรู้สึกว่าบอยก็น่ารักดี กาลเวลาผ่านไปจนเราสนิทสนมกันมากขึ้น ตอนนี้ผมรู้สึกว่าบอยเป็นเด็กที่มีเสน่ห์ ทำให้ผมรู้สึกดีเมื่ออยู่ใกล้ และคิดถึงเมื่ออยู่ห่าง ผมอยากดูแลและผูกพันเข้าเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของบอย ความรู้สึกนี้เป็นความรู้สึกคล้ายกับที่ผมเคยรู้สึกผูกพันกับนัย และนับวันความรู้สึกนี้ก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

ตลอดเวลาที่ผมรู้จักกับบอยและพัฒนาความสัมพันธ์กันมา ผมเริ่มสังเกตมาได้นานพอสมควรแล้วว่าความรู้สึกของผมที่มีต่อบอยนั้นเริ่มคล้ายคลึงกับความรู้สึกที่มีต่อนัย ผมเคยคิดอยู่เหมือนกันว่าถ้าความสัมพันธ์ของผมและบอยคืบหน้าต่อไปเรื่อยๆแล้วต่อไปจะเป็นอย่างไร ผมจะวางบอยไว้ในตำแหน่งอะไร แล้วผมจะวางนัยไว้ในตำแหน่งอะไร สักวันหนึ่ง... ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไร... เมื่อนัยกลับมา แล้วผมจะทำอย่างไร

ผมคิดเรื่องเหล่านี้จนไม่กล้าคิดต่อเพราะว่าคิดไม่ออก มันเป็นคำถามที่ผมยังไม่สามารถหาคำตอบได้ ผมจึงพยายามหลอกตนเองว่าไม่ได้คิดอะไรมากกับบอย เพียงคุยด้วยแล้วสบายใจก็คบกันแบบเป็นพี่เป็นน้องกัน และนี่เองที่ทำให้การคบกันของผมคบกับบอยในลักษณะกล้าๆกลัวๆ ยามเหงาก็เข้าหา ยามสับสนและรู้สึกผิดก็ถอยห่างออกมา บางทีเมื่อรู้สึกผิดต่อนัยและคิดไม่ตกก็หยุดติดต่อกับบอยไปชั่วระยะหนึ่ง แต่พอทนเหงาไม่ไหวก็กลับไปติดต่อใหม่ โชคยังดีอยู่บ้างที่ในช่วงปิดเทอมนี้ผมเอาจริงเอาจังกับการดูหนังสือมาก สมาธิในการดูหนังสือช่วยให้ผมก้าวผ่านวันเวลาอันสับสนไปได้

แต่มาถึงตอนนี้ ผมแน่ใจแล้วว่าผมรู้สึกอย่างไรกับบอย ผมชอบบอยเข้าให้แล้วอย่างจริงๆจังๆ ผมไม่อาจหลอกตัวเองได้อีกต่อไปว่าผมชอบบอยมาก รวมทั้งท่าทีที่บอยแสดงออกก็ดูเหมือนว่าจะมีใจให้ผมพอสมควร ถ้าบอยเป็นแบบเดียวกับที่ผมเป็น... และถ้าบอยชอบผม แล้วผมควรทำอย่างไร... ผมจะเอานัยไปไว้ที่ไหน... ในเมื่อผมยังหาคำตอบให้แก่ตนเองไม่ได้ หลังจากที่เราไปเที่ยวสวนลุมกัน ผมจึงหยุดติดต่อกับบอยอีก

- - -

เมื่อใกล้เปิดเทอม หอพักที่ผมพักอยู่ก็กลับมาคึกคักอีกครั้งหนึ่งเนื่องจากนักเรียนนักศึกษาที่กลับภูมิลำเนาไปในช่วงปิดเทอมได้กลับเข้ากรุงเทพฯมาอีก รวมทั้งตึกแถวที่อยู่ตรงข้ามหอพักของผมซึ่งมีการตกแต่งปรับปรุงใหม่ก็ปรับปรุงแล้วเสร็จ เสียงงานก่อสร้างที่เคยอึกทึกในช่วงกลางวันก็เงียบหายไป และกลายสภาพเป็นอพาร์ตเมนต์ให้เช่ารายเดือนเหมือนกับหอพักที่ผมเช่าอยู่นี้ เพียงแต่ว่าฝั่งตรงข้ามนั้นสภาพดีกว่าเนื่องจากผ่านการปรับปรุงมา

เมื่อมีครั้งแรกก็ต้องมีครั้งที่สอง ก่อนเปิดเทอม ผมกลับไปที่แผงหนังสือตลาดนัดสวนจตุจักรอีกครั้งหนึ่ง เพื่อซื้อสามเล่มยี่สิบมาอ่านอีก

“น้องๆ โป๊มั้ยน้อง” ชายหนุ่มคนหนึ่งแวะเวียนมาถามผม ผมส่ายหัว

มาคราวนี้ผมเริ่มรู้เคล็ดลับแล้วว่าต้องเดินเรื่อยเปื่อยสักสิบห้านาที รอจนคนขายหนังสือโป๊ทั้งหลายเลิกตื๊อผมจึงจะมีอิสระที่จะไปเดินเลือกหาสิ่งที่ผมต้องการได้ แต่สำหรับวันนี้ ขณะนี้ผมกำลังเดินและมีคนขายหนังสือปกขาวตามตื๊ออยู่นั้นเอง ผมก็ได้ความคิดใหม่ขึ้นมา

“มีอะไรมั่งละพี่” ผมถาม

“มีทุกอย่าง ไทย ญี่ปุ่น ฝรั่ง ของใหญ่ ภาพชัด บ๊ะๆทั้งนั้น” คนขายพยายามบรรยายสรรพคุณ

“เล่มละเท่าไรครับ” ผมถามอีก

“ร้อย สองร้อย สามร้อย ถ้าอย่างร้อยนึงนี่คุณภาพไม่ค่อยเท่าไร แต่อย่างสามร้อยนี่ชัดแจ๋วเลย” คนขายตอบอย่างคล่องแคล่ว “น้องซื้ออย่างสามร้อยดิ พี่คิดให้สองร้อยห้าสิบ นางแบบฝรั่งยังงี้เลย”

“สองร้อยคิดร้อยห้าสิบละกัน” ผมต่อรอง รู้ว่าของแบบนี้ต่อรองกันได้เนื่องจากเคยซื้อมาจากไอ้นักสืบจิมาแล้ว

“ไม่ได้หรอกน้อง” คนขายตอบ

“ครับ งั้นไม่เป็นไร” ผมตอบอย่างไม่ง้อแล้วเดินหนี ตอนนั้นก็ไม่ง้อจริงๆ ไม่ได้อยากดูอะไรมากมายนัก ถ้าแพงเกินไปก็ไม่เอาดีกว่า เงินสองสามร้อยซื้อมิถุนานีออนได้ตั้งสองสามโหล

“อะอะอะ งั้นก็ได้น้อง ลดให้น้องเป็นพิเศษ” คนขายยอมแพ้ “จ่ายค่าหนังสือมาก่อนน้อง เพราะพี่ต้องเดินไปเอาหนังสือไกล ช่วงนี้ตำรวจกวนมาก”

“เอ้อ... พี่เอาหนังสือมาก่อนดิ” ผมไม่ยอมให้เงินง่ายๆ ของยังไม่เห็นเรื่องอะไรจะให้เงินไปก่อน

“ก็บอกแล้วว่าเดินไปเอาไกล เกิดเอามาแล้วน้องหายตัวไปพี่ก็เสียเที่ยวแย่” คนขายตอบ ฟังเหตุผลแล้วก็แปร่งๆชอบกล เมื่อเห็นผมทำท่าลังเล คนขายจึงสำทับ “พี่ขายแถวนี้ประจำ จะหนีหน้าน้องไปได้ยังไง แผงพี่ก็อยู่ที่นี่”

ผมเห็นว่าก็พอมีเหตุผล ขายประจำอยู่แถวนี้โอกาสเบี้ยวคงน้อย จึงควักเงินให้ไปสองร้อยบาท เพราะไม่มีเงินแบบพอดี มีแต่แบงค์ร้อยสองใบ

“เดี๋ยวพี่เอาเงินทอนมาให้พร้อมกับหนังสือ น้องรอไม่เกินสิบนาที” ชายคนนั้นพูดว่าแล้วก็เดินจากไป

หลังจากนั้นก็ไม่มีคนขายหนังสือปกขาวมากวนใจผมอีก คราวนี้ผมเดินไปยังแผงขายหนังสือมิถุนามือสองเจ้าเดิม คราวนี้ผมมีประสบการณ์แล้ว ผมพุ่งเข้าไปที่แผงทันทีโดยไม่ต้องไปด้อมๆมองๆก่อน เมื่อไปถึงก็รีบหยิบหนังสือมา ๖ เล่ม ยื่นเงินสี่สิบบาทพอดีไม่ต้องทอนให้เสียเวลา แล้วก็รีบเดินออกมา ใช้เวลาซื้อเพียงไม่ถึงหนึ่งนาทีก็เสร็จเรียบร้อย

หลังจากที่ซื้อนิตยสารเสร็จผมก็เดินวนเวียนอยู่แถวนั้นเพื่อรอหนังสือปกขาว แต่ปรากฏว่ารออยู่ประมาณสิบนาทีคนขายหนังสือก็ยังไม่โผล่มา รอจนครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่เห็น จะถามใครก็อายเขา แต่ถึงไม่ต้องถามก็พอจะรู้ตัวแล้วว่าเสียท่าคนขายเสียแล้ว หนังสือก็ไม่ได้ แถมยังต้องสูญเงินไปถึงสองร้อยบาท นับว่าเป็นประสบการณ์ราคาแพงของผมทีเดียว

หลังจากที่กลับหอพัก ผมก็ขังตัวเองอยู่ในห้องและผ่อนคลายอารมณ์จากการอ่านหนังสือเรียนด้วยนิตยสารมือสองที่เพิ่งซื้อมา และในจินตนาการอันบรรเจิดหลังจากที่ได้อ่านหนังสือพวกนี้ ผมเริ่มใช้บอยเป็นตัวละครในจินตนาการของผมด้วย...

- - -

ในที่สุดก็ถึงวันเปิดเทอม ผมรู้สึกดีใจมากเนื่องจากจะได้ไปพบหน้าเพื่อนๆหลังจากที่อยู่คนเดียวมองแต่กำแพงห้องและกำแพงห้องสมุดมาตลอดปิดเทอม

ม.๕ แล้วนะเรา ผมคิดในใจ อดรู้สึกภูมิใจไม่ได้ ที่โรงเรียนนี้ ผมก้าวขึ้นมาจากชั้นน้องเล็กจนเกือบจะได้เป็นพี่ใหญ่อยู่แล้ว ๔ ปีที่โรงเรียนแห่งนี้ให้ความทรงจำแก่ผมมากมาย ทั้งสุขและทุกข์ ทั้งดีและร้าย และปีนี้จะเป็นปีที่สำคัญในชีวิตของผมอีกปีหนึ่ง ผมอาจจะไม่ได้เป็นพี่ใหญ่ของที่นี่ก็ได้ และถ้าปีนี้จะต้องเป็นปีสุดท้ายที่ผมใช้ชีวิตอยู่ที่โรงเรียนนี้ ผมก็ขอใช้มันให้คุ้มค่าที่สุด

วันนี้ผมรีบตื่นแต่เช้าเพื่อไปโรงเรียน ยังไม่ทันจะหกโมงเช้าออกจากหอพักแล้ว ผมเดินไปขึ้นรถเมล์ที่ฝั่งตรงข้ามซอยภาวนาตามปกติ ชั้น ม.๕ ของผมนี้แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เสื้อผ้าก็ของ ม.๔ รองเท้าก็ของ ม.๔ ดูเหมือนว่าร่างกายของผมจะไม่ค่อยโตขึ้นแล้วจึงทำให้ใส่ของเก่าได้โดยไม่รู้สึกคับแต่อย่างใด

ที่ป้ายรถเมล์คลาคล่ำไปด้วยเด็กและวัยรุ่นในชุดนักเรียนของโรงเรียนต่างๆ เห็นนักเรียนแล้วทำให้อดนึกถึงไอ้นัยไม่ได้ ภาพวันเก่าๆที่เราต้องมาเจอกันที่ป้ายรถเมล์ป้ายนี้หวนกลับเข้ามาให้ห้วงคำนึงของผมอีกครั้ง และในชั่ววูบของความคิด ภาพของบอยก็หลุดเข้ามาด้วย...

คิดแล้วปวดหัว ไม่คิดดีกว่า ผมรีบสลัดความคิดออกจากหัวทันที ในเมื่อยังคิดอะไรไม่ออก ผมเลือกที่จะใช้วิธีซุกปัญหาเอาไว้ใต้พรมแล้วซื้อเวลาไปเรื่อยๆ

วันนี้ผมไปถึงโรงเรียนเช้าผิดปกติ เพียงเจ็ดโมงกว่าก็ถึงแล้ว ห้องเรียนในชั้น ม.๕ ของผมไม่ได้อยู่ที่ตึกเดิม แต่เป็นอีกตึกหนึ่งซึ่งเป็นตึกเรียนของชั้น ม.๕ และ ม.๖ แต่ว่าเลขห้องยังเป็นเลขห้องตัวเดิมอยู่เนื่องจากไม่มีการคละนักเรียนกันใหม่ ทุกคนยังได้อยู่ร่วมชั้นกันเช่นเดิมเหมือนเช่นตอน ม.๔ และนั่นแหละคือปัญหาของผม...

ปีที่แล้วผมมาถึงห้องสายจนต้องเลือกที่นั่งไม่ได้ ต้องไปนั่งติดกับไอ้กี้และเวชอย่างไม่มีทางเลือก แต่ในปีนี้ผมเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าจึงรีบมาโรงเรียนตั้งแต่เช้า

เมื่อไปถึงห้องเรียน ตอนนั้นยังมีเพื่อนไปถึงไม่มากนัก ผมรีบจับจองโต๊ะซึ่งผมคิดว่าดี มันเป็นนั่งมุมห้องข้างหลัง ด้านที่ติดกับทางเดินของตึก มุมนี้จะเป็นมุมที่ห่างจากเวชและพวกมากที่สุดเนื่องจากพวกเด็กเกมักชอบนั่งรวมกันอยู่ที่มุมห้องด้านหลังอีกฝั่งที่ไกลจากทางเดินอีกทั้งยังเป็นมุมที่ผมรู้สึกว่าสันโดษดีอีกด้วย

เมื่อจับจองที่นั่งได้สำเร็จและนั่งคุยกับเพื่อนๆสักพัก เพื่อนๆแต่ละคนก็มีเรื่องเล่าในช่วงปิดเทอมกันมากมาย ส่วนหนึ่งก็กลับบ้านต่างจังหวัด ส่วนหนึ่งก็หมกมุ่นกับการเรียนกวดวิชาเพื่อเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย การได้พบปะเพื่อนฝูงและพูดคุยทำให้ผมรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลายขึ้นมาก การอยู่กับตัวเองนานๆตลอดปิดเทอมโดยไม่ได้พบปะใครทำให้ผมรู้สึกตึงเครียดอยู่ตลอดเวลา

หลังจากคุยกับเพื่อนๆสักพักผมก็ปลีกตัวออกมาจากห้อง เดินลงจากตึกและข้ามสนามหญ้าผืนใหญ่เพื่อไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง... สหกรณ์นั่นเอง

ช่วงก่อนเปิดเทอมผมไม่ได้ติดต่อกับบอยเสียหลายวันเนื่องจากช่วงนั้นผมรู้สึกสับสนมาก การดูหนังสือไม่ทันทำให้ผมรู้สึกตึงเครียด ประกอบกับช่วงนั้นเมื่อคิดถึงบอยทีไรภาพของนัยก็จะแทรกเข้ามาอยู่เสมอ ทำให้ผมละล้าละลัง ทำอะไรไม่ถูก จึงตั้งหน้าตั้งตาดูหนังสือและพยายามหยุดคิดเรื่องบอยไปชั่วขณะหนึ่ง แต่ในตอนนี้ความรู้สึกคิดถึงบอยเป็นฝ่ายชนะ ผมพยายามหยุดคิดถึงมันแต่ก็หยุดไม่ได้

ผมก้าวเท้าขึ้นบันไดตึกซึ่งเป็นที่ตั้งของสหกรณ์ ผมรู้สึกลังเลอีกครั้งเพราะว่าการเดินมาหาบอยที่ห้องนี้ก็เท่ากับผมกำลังเดินเข้ามาหาอดีตของผมและไอ้นัยที่นี่เช่นกัน...

ท่ามกลางความรู้สึกสับสน ผมยังก้าวเท้าเดินต่อไปเรื่อยๆ...อย่างช้าๆ... จู่ๆผมก็คิดถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมา... พี่เต้...

คิดแล้วก็อดขำไม่ได้ เมื่อก่อนผมหมั่นไส้พี่เต้มากเพราะพี่เต้ชอบทำเนียนแวะมาหาไอ้นัยบ่อยๆ แต่แล้วผมเองในตอนนี้ล่ะ? พฤติการณ์ของผมในตอนนี้ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากพี่เต้เลย คิดแล้วก็อดคิดถึงไอ้นัยอีกไม่ได้ ถ้าพี่เต้ไม่ได้หายไปจากชีวิตของไอ้นัย ไม่แน่ว่าเรื่องราวของไอ้นัยอาจไม่เลวร้ายขนาดนี้ ในเมื่อมันมีพี่ชายที่แสนดีคอยดูแลมันก็คงรู้สึกอบอุ่นและไม่ไปทำอะไรแบบนั้น... ป่านนี้พี่เต้เรียนอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ พี่เต้ครับ... ผมขอโทษที่เคยหมั่นไส้พี่ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ผมยอมให้พี่จีบไอ้นัยต่อไปดีกว่า... ไอ้นัย ขอโทษมึงด้วย ความงี่เง่าของกูเองที่ทำให้มึงต้องกลายเป็นแบบนี้...

ผมมาหยุดยืนอยู่หน้าสหกรณ์ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ วันนี้เป็นวันแรกของการเรียน ที่จริงสหกรณ์ยังไม่เปิดให้บริการ แต่จากแสงไฟที่ลอดออกมาทำให้ผมรู้ว่าจะต้องมีพวกสตาฟขาประจำมานั่งคุยกัน ไอ้บอยก็อาจจะอยู่ที่นี่ด้วย

ผมสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปจากสมองและผลักประตูเข้าไป เมื่อชะโงกหน้าเข้าไปก็เห็นสตาฟรุ่นน้องสองสามคนกำลังนั่งคุยกันอยู่ เด็กพวกนี้อยู่ในชุดนักเรียนใหม่เอี่ยมละออ บนอกเสื้อที่เมื่อปีที่แล้วปักแต่อักษรย่อของโรงเรียนในปีนี้ก็มีตราโรงเรียนปักเพิ่มเข้ามา

ไอ้น้องพวกนี้พอเห็นผมมันก็มองหน้ากันแล้วอมยิ้ม ผมรู้สึกกระอักกระอ่วนใจอยู่บ้าง

“ไอ้บอยยังไม่มาเลยพี่” นักเรียนคนหนึ่งที่ผมเห็นหน้าในสหกรณ์จนคุ้นเคยบอกกับผม มันเองก็คงเห็นผมจนคุ้นตาเช่นเดียวกัน

“เอ้อ...” ผมพูดอะไรไม่ออก ทำไมพอมันเห็นหน้าผมมันก็รู้เลยว่าผมมาทำอะไร ผมเริ่มเข้าใจความรู้สึกของพี่เต้ตอนที่มาสหกรณ์ก็ในวันนี้นี่เอง

ผมถอยออกมาจากห้อง ปิดประตูตามเดิม จากนั้นแวะไปที่ห้องธุรการเพื่อดูจดหมาย ผมรื้อกองจดหมายที่เขรอะไปด้วยฝุ่นแต่ก็ไม่พบอะไร จากนั้นก็ไปนั่งรออยู่ที่ห้องสมุด วันนี้ผมเป็นอะไรก็ไม่รู้ จู่ๆก็คิดถึงไอ้บอยมาก อยากเห็นหน้ามัน รวมทั้งรู้สึกผิดด้วยที่เงียบหายไปไม่ดูแลมันเสียหลายวัน ยังไงเดี๋ยวต้องขอหน้าด้านกลับไปดูที่สหกรณ์อีกสักครั้ง ถึงอย่างไรไปหามันที่สหกรณ์ก็กระอักกระอ่วนใจน้อยกว่าไปหามันที่ห้องเรียน

เกือบแปดโมง ผมกลับไปที่สหกรณ์อีกครั้ง คราวนี้ผมได้ยินเสียงกุกกักดังลอดออกมาจากในห้องแต่เดาไม่ออกว่าเป็นเสียงอะไร

เมื่อผมเปิดประตูห้องเข้าไปก็พบภาพที่ผมนึกไม่ถึง นักเรียนสามคนกำลังจับนักเรียนคนหนึ่งกดให้นอนอยู่บนโต๊ะ คนที่ถูกจับกดก็พยายามดิ้น ปล้ำกันเสียงดังกุกกัก

“อ้าว เล่นอะไรกันน่ะ” ผมทัก ดูเหมือนว่าพวกนี้กำลังเล่นกันอยู่ ไม่เหมือนกับทะเลาะกัน

“อ้าว พี่มาพอดีเลย” สตาฟ ม.๔ ที่ผมเห็นในห้องเมื่อเช้าซึ่งขณะนี้กำลังจับเหยื่อกดกับโต๊ะหันมาเห็นผมและทักทาย “ไอ้นี่มันพูดมากเหลือเกิน จะเอาเทปปิดปากมันน่ะพี่ พี่มาช่วยหน่อยเร็ว”

“พี่อูช่วยด้วย” เสียงเหยื่อที่นอนดิ้นอยู่บนโต๊ะร้องขึ้น บอยนั่นเอง

เพียงแค่นี้ผมก็พอปะติดปะต่อเรื่องราวได้ ในวันเปิดเทอมวันแรกนี้ไอ้บอยคงมีเรื่องคุยมากมายตามประสาเด็กอารมณ์ดี และก็คงทำให้รุ่นพี่หมั่นไส้จึงพยายามแกล้งมัน

ผมลังเลนิดหนึ่ง มีเสียงเรียกให้ผมช่วยจากทั้งสองฝ่าย แล้วผมควรจะช่วยใครดี ถ้าผมช่วยไอ้บอยก็อาจเป็นที่ผิดสังเกตและออกหน้าออกตาเกินไป...

ด้วยอารมณ์คะนองเพียงชั่ววูบและเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกที่แท้จริง ผมจึงเดินเข้าไปร่วมวงกับพวกน้อง ม.๔ โดยช่วยจับบอยเอาไว้ไม่ให้มันดิ้น จากนั้น ม.๔ คนหนึ่งก็เอาเทปกาวอย่างหนาแผ่นใหญ่ที่ใช้ปิดสันหนังสือเวลาเข้าเล่มหนังสือมาคาดที่ปากของบอย

เมื่อปิดปากบอยเสร็จเรียบร้อย ทุกคนก็ปล่อยตัวบอยแล้วหัวเราะกันสนุกสนาน ผมเองก็พลอยหัวเราะสนุกไปด้วย

“นี่แน่ะ กวนนักไอ้บอย” รุ่นพี่หัวเราะ “ต้องเจอแบบนี้ถึงจะหายซ่า”

บอยลุกขึ้นนั่งบนโต๊ะ พยายามแกะเทปกาวออกจากปาก ดูเหมือนว่ามันจะเหนียวมาก บอยแกะออกจากปากได้เพียงเล็กน้อยก็ต้องหยุด เห็นมันลังเลอยู่ชั่วขณะแล้วก็เอามือกระชากเทปออกจากปากอย่างรวดเร็วเสียงดังแคว่ก

ปากและแก้มของบอยส่วนที่ถูกเทปคาดเอาไว้แดงช้ำไปหมด ริ่มฝีปากเจ่อออกมาเพราะแรงกระชาก ดูบอยจะเจ็บมากและไม่สนุกไปด้วย เทปนั้นคงจะติดแน่นจนเกินไป น้ำตาของบอยไหลพรูออกมา ผมรู้สึกตกใจมาก หัวใจราวกับหล่นลงมากองอยู่ที่ตาตุ่ม

“เฮ้ย บอย เจ็บมากไหม” ผมถาม ในสถานการณ์เช่นนั้นนึกคำถามอะไรที่ดีกว่านั้นไม่ออกจริงๆ

บอยนิ่งไปชั่วครู่ น้ำตายังพรูออกมาไม่หยุด แล้วในที่สุดก็ร้องตะโกนออกมา “ไอ้พี่บ้า”

ว่าแล้วบอยก็กระโดดลงจากโต๊ะและวิ่งออกไปจากห้องท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน

“ฉิบหายแล้ว” ผมหันมาดุพวก ม.๔ “พวกเอ็งแกล้งน้องจนร้องไห้เลย”

“พี่ก็ด้วยแหละ” ไอ้คนหนึ่งอ้อมแอ้มย้อนผม น้ำเสียงของมันก็แสดงความตกใจเช่นกัน

ผมรีบออกมาจากห้องและวิ่งตามบอยไปทันที เห็นหลังบอยไวๆกำลังวิ่งไปตามระเบียงอันยาวเหยียดของตึก…


<ผมรีบออกมาจากห้องและวิ่งตามบอยไปทันที เห็นหลังบอยไวๆกำลังวิ่งไปตามระเบียงอันยาวเหยียดของตึก…>


<หลังจากที่นิตยสารแนวเฉพาะกลุ่มเกย์ชื่อมิถุนาวางตลาดในปี พ.ศ. ๒๕๒๖ และขายดี ต่อมาจึงมีนิตยสารเกย์ตามออกมามากมายหลายหัวอันเป็นเรื่องปกติของการทำธุรกิจที่เมื่อทำอะไรแล้วรุ่งก็มักมีผู้เอาอย่าง โดยนิตยสารนีออนออกตามมาในปี พ.ศ. ๒๕๒๗ ที่เห็นในภาพเป็นหน้าปกของฉบับปฐมฤกษ์ ราคา ๓๐ บาท>


<ต่อมาก็มีนิตยสารเพทาย ที่เห็นซ้ายมือในภาพเป็นฉบับปฐมฤกษ์ ออกปลายปี พ.ศ. ๒๕๒๘ ราคา ๓๐ บาท ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นนิตยสารมรกต สังเกตว่านิตยสารมิถุนาและนีออนจะเน้นหน้าปกเป็นนายแบบวาบหวิวเน้นกลุ่มผู้อ่านอย่างโจ่งแจ้ง ส่วนนิตยสารมรกตจะเน้นนายแบบทั่วไป ไม่มีการสื่อให้เห็นกลุ่มผู้อ่านอย่างชัดเจน ลองดูว่านายแบบในภาพปกด้านขวาเป็นใคร>


<หลังจากนั้นก็มีนิตยสารเกย์ตามออกมามากมาย อาทิ มิดเวย์ Him, My Way, The Guy ฯลฯ รวมทั้งมีนิตยสารเฉพาะกิจ รวมภาพ และนิตยสารแนวเรื่องเล่าประสบการณ์เสียวโดยเฉพาะ เช่น นิตยสารห้องห้าเหลี่ยม ว่ากันว่านิตยสารเกย์ในยุคนั้นเฟื่องมากพอๆกับโรคเอดส์เลยทีเดียว>

Saturday, March 6, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 52

“อ้า... เอ้อ...” ผมอึกอัก กำลังคิดว่าจะแก้ตัวว่ายังไงให้น่าฟังหน่อย “คือว่าหมู่นี้พี่ยุ่งๆน่ะ”

“เฮอะ” ไอ้บอยร้องอีก “อยู่แค่ ม.๔ พูดเป็นนักธุรกิจร้อยล้านอีกแล้ว ยุ่งจนโทรมาหาบอยก็ไม่ได้เลยหรือไง พี่อูไม่ดูแลบอยเลยนะ”

ผมรู้ว่าบอยไม่ได้เคืองอะไรผมอย่างจริงจังเพราะฟังออกว่ามันแกล้งโวยวาย แต่คำพูดของมันทำให้ผมรู้สึกผิด ช่วงนี้ผมห่างเหินกับมันไปบ้างจริงๆเนื่องจากพอผมดูหนังสือไม่ทันผมจะกังวลมาก นี่ก็ใกล้เปิดเทอมเข้ามาทุกทีแล้ว พร้อมๆกันนั้นคำถามที่เคยค้างคาใจอยู่ก็วนเวียนกลับมาให้คิดอีก นี่บอยมันคิดยังไงกับผมกันแน่นะถึงต้องการให้ผมดูแลมัน

ผมยังไม่แน่ใจว่าควรบอกมันเรื่องสอบเทียบดีหรือไม่ ผมคิดเรื่องนี้มานานแล้วแต่ยังคิดไม่ตกเสียที

“เอ้อ พี่ขอโทษ งั้นเราหาวันไปดูหนังกัน” ผมพูดด้วยความรู้สึกผิด

“ไม่อะ บอยอยากซื้อเสื้อผ้าใหม่ พี่อูมาช่วยบอยซื้อหน่อยดิ” เมื่อผมพยายามเอาใจมัน เสียงของบอยแจ่มใสขึ้นทันที

“ได้ๆๆ งั้นไปเมื่อไรดีล่ะ” ว่าแล้วผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “ถ้าไม่ดูหนัง งั้นพอซื้อเสื้อผ้าเสร็จ ตอนเย็นพี่จะพานายไปเที่ยวที่แห่งนึง น่าไปมากเลย”

“ที่ไหนอะ” เสียงของบอยแสดงความตื่นเต้น “ของกินเยอะไหม”

“ไอ้เปรต นึกถึงแต่เรื่องกินฟรี” ผมหัวเราะ “พี่ยังไม่บอกดีกว่า เอาไว้ให้นายแปลกใจเล่น”

บอยหัวเราะบ้าง “ถ้าเป็นความคิดพี่อูสงสัยว่าต้องเป็นที่บ๊องๆแน่เลย”

หลังจากนั้นเราก็นัดไปซื้อเสื้อผ้ากันในวันรุ่งขึ้น ผมรู้สึกอบอุ่นใจที่บอยชวนผมไปเลือกซื้อเสื้อผ้าให้ เพราะว่าแม้แต่ผมเองก็ไม่เคยชวนเอ๊ดให้ไปเลือกซื้อเสื้อผ้าให้เลย พร้อมกันนั้นยิ่งรู้สึกผิดที่ละเลยมันไปในช่วงนี้

“เฮ้ อู เด็กที่ไหนวะ” แป๋งอมยิ้มพร้อมกับถามผมหลังจากที่ผมวางสาย

“เด็กที่ไหนล่ะ เพื่อนน่ะ” ผมมั่วไป เห็นสีหน้าอมยิ้มของแป๋งแล้วทำให้ผมระวังตัว ถ้าตอบผิดสงสัยงานนี้มีหึ่งทั่วหอพักแน่

“เพื่อน? แล้วทำไมมันเรียกนายว่าพี่อูล่ะ” แป๋งทวนคำอย่างสงสัย จากนั้นลดเสียงลงเป็นเสียงกระซิบ “เดี๋ยวนี้เลี้ยงเด็กแล้วเหรอ เด็กผู้ชายเสียด้วย”

เอาแล้วไหมล่ะ ผมลืมนึกถึงเรื่องคำเรียกไป ถูกไอ้แป๋งจับผิดได้เสียแล้ว เห็นแป๋งอมยิ้มแล้วยักคิ้ว ผมรู้ว่ามันพยายามเอาคืนผมจากที่วันก่อนผมไปแหย่มันเรื่องวุฒิ

“เอ้อ มันเป็นญาติด้วยแหละ แต่เรียนชั้นเดียวกัน มันเลยเรียกพี่” ผมมั่วแบบสุดๆไม่ต้องคิดถึงเรื่องความสมจริงแต่อย่างใด จากนั้นก็รีบเดินหนีกลับขึ้นไปบนห้องทันที

- - -

วันรุ่งขึ้น ผมไปดูหนังสือที่ห้องสมุดปทุมวันตั้งแต่เช้า จากนั้นก็มาพบบอยในตอนเที่ยง หลังจากที่พาบอยไปกินอาหารเที่ยงแล้วก็เป็นเพื่อนเดินกับบอยเพื่อซื้อเสื้อผ้า บอยต้องการซื้อกางเกงยีนกับเสื้อยืดใหม่ สมัยนั้นยังเป็นยุคที่นิยมกางเกงยีนกัน แตกต่างจากสมัยนี้ที่วัยรุ่นหันมานิยมกางเกงขาสั้นกันมากขึ้น

หลังจากที่รู้จักและคบกับบอยมาได้นานพอสมควร ยิ่งนานผมก็ยิ่งรู้สึกว่าบอยเป็นเด็กที่ชอบให้คนดูแลเป็นอย่างมาก เวลาไปไหนด้วยกันบอยมักให้ผมสั่งอาหารให้ สั่งน้ำให้ รวมทั้งการซื้อเสื้อผ้าในครั้งนี้ก็เช่นกัน

“พี่อูเลือกเสื้อยืดให้บอยสักสองตัวดิ กางเกงสองตัวด้วย” บอยทำเสียงขี้เกียจ

“อะไรกันวะ นายใส่เองก็เลือกเองดิ” ผมตอบ “เดี๋ยวเลือกให้แล้วไม่ถูกใจจะมาบ่นอีก พี่เดินไปเป็นเพื่อนนาย”

“เฮอะ” บอยร้อง “พี่อูไม่รู้จักหน้าที่อีกแล้ว เป็นพี่บอยก็ต้องดูแลบอยดิ เลือกให้บอยหน่อย นะนะ”

“ทำไมมันถึงได้อ้อนยังงี้วะ” ผมบ่น “อยู่ที่บ้านไม่มีใครดูแลนายหรือไง”

“ก็อยู่ที่บ้านบอยเป็นพี่ มีแต่ดูแลน้อง ไม่เห็นมีใครดูแลบอยเลย” บอยตอบ บอยตอบประโยคนี้โดยแฝงแววตัดพ้ออยู่ในน้ำเสียง แม้จะอธิบายด้วยเหตุผลไม่ได้แต่ผมสามารถรับรู้ได้ ผมรู้สึกเห็นใจบอยขึ้นมา

ผมเอามือล้วงกระเป๋า ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าเงินที่พกมาจะพอหรือไม่ ตอนนั้นยังเป็นยุคเริ่มต้นของตู้เอทีเอ็ม ยังไม่เฟื่องและเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันเหมือนในทุกวันนี้ เด็กนักเรียนยังไม่ค่อยมีบัตรเอทีเอ็มใช้กัน

ปกติถ้าไปไหนด้วยกันผมมักต้องเป็นคนเลี้ยงบอยเสมอ ตั้งแต่แรกๆที่รู้จักกันและไปกินอาหารด้วยกันที่โรงอาหารในโรงเรียนผมก็เป็นคนเลี้ยงบอยเสมอ เดิมทีเคยคิดเหมือนกันว่าบอยเป็นเด็กตลกบริโภคจะหลอกรุ่นพี่กินฟรี แต่หลังจากที่รู้จักกันมาได้ระยะหนึ่งผมก็เลิกระแวงในเรื่องนี้ ที่มันให้ผมเลี้ยงเพราะว่าบอยชอบให้คนดูแลนั่นเอง บางครั้งมันก็จะซื้อของให้ผมเป็นการตอบแทน ของแต่ละอย่างที่มันซื้อให้ล้วนแต่ดีๆและมีราคาแพงทั้งนั้น อย่างเช่นของขวัญปีใหม่ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าบอยไม่มีนิสัยเอาเปรียบเลย

สำหรับวันนี้ผมก็เตรียมเอาไว้แล้วว่าอาจจะต้องออกค่าเสื้อผ้าให้มัน จึงเตรียมเงินมาพันกว่าบาท แต่ก็คิดว่ามันจะซื้อเพียงชุดเดียว กางเกงยีนตัวหนึ่งถ้าดีหน่อยก็เกือบพัน หรือดีขึ้นไปอีกก็พันกว่าสองพันบาท ที่นิยมกันกันในช่วงนั้นน่าจะเป็นลีวายส์ 501 0000 แล้วต่อมาก็เปลี่ยนมาเป็น 501 xx ส่วนเสื้อยืดก็ไม่น่าเกินห้าร้อย แต่ถ้าซื้อสองชุดแล้วเอาของดีด้วยเงินคงไม่พอ

อันที่จริงนิสัยของผมเป็นนิสัยที่ไม่ควรทำ เพราะว่ายังทำงานหาเงินเองไม่ได้ แต่เอาเงินมาใช้ซื้อโน่นซื้อนี่ให้คนอื่น เหมือนคนฟุ่มเฟือยยังไงก็ไม่รู้ แต่ผมก็แก้ตัวให้แก่ตนเองว่านี่เป็นเงินเก็บของผม ถ้าผมใช้จ่ายเยอะผมก็ต้องไปตัดลดในส่วนอื่นลงเอาเอง ไม่ได้ขอเพิ่มเป็นพิเศษจากพ่อแม่

ผมพาบอยเดินเข้าๆออกๆแผงเสื้อผ้าในย่านสยามสแควร์หลายร้าน แต่บอยก็ยังไม่ถูกใจกับเสื้อยืดสักที ส่วนใจผมยังหนาวๆร้อนๆอยู่ เกรงว่าบอยอยากได้ลีวายส์ 501 ขึ้นมา

“นี่แก่ไปอะพี่อู ใส่แล้วยังกะอยู่มหาลัย” บอยส่ายหัวกับเสื้อยืดที่ผมเลือกให้

“อะไรวะ” ผมบ่น “ไอ้โน่นก็ติ ไอ้นี่ก็ติ ให้เลือกเองก็ไม่เอา โอ๊ย จะบ้า”

บอยหัวเราะ “ก็ดูพี่อูเลือกแต่ละตัวดิ มันวัยรุ่นใส่กันเสียที่ไหนล่ะ”

“งั้นเลือกเองละกัน” ผมชักท้อ เลือกอะไรให้ก็ไม่ถูกใจ ทำไมมันถึงได้เลือกเสื้อผ้ายากนักนะ

บอยส่ายหัวอีก “ม่ายอะ พี่อูนั่นแหละเลือกให้บอย ต้องดูแลบอยดิ”

ผมจนใจ ไม่รู้จะทำยังไง จึงต้องเลือกให้มันต่อไป เลือกกันอยู่หลายร้านตั้งแต่สยามสแควร์จนมาถึงมาบุญครอง บอยก็มาถูกใจเสื้อยืดลดราคาที่ผมหยิบให้ตัวหนึ่ง

“ตัวนี้บอยชอบ” บอยยิ้มแฉ่ง แล้วสั่งผม “ทาบไหล่ให้หน่อยพี่อู”

ผมจัดแจงเอาเสื้อเบอร์เอ็มมาทาบไหล่บอย ดูแขน ดูความยาวของลำตัว ถ้าชอบของที่นี่ก็ดีเหมือนกัน เสื้อผ้าลดราคาที่นี่ราคาถูกกว่าในสยามสแควร์เสียอีก บอยน่าจะใส่เบอร์เอ็มได้ ขณะที่ทาบเสื้อให้บอยอยู่นั้นเอง ผมรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมา การได้ดูแลใครคนหนึ่งที่เราปรารถนาดีเป็นความรู้สึกที่อบอุ่นลึกซึ้ง บอยชอบให้ผมดูแลมัน แล้วผมเองล่ะ ก็ชอบดูแลมันเหมือนกันไม่ใช่หรือ ในชั่วขณะนั้น ผมรู้สึกเหมือนกับว่าบอยช่างเหมือนกับใครอีกคนหนึ่งเสียเหลือเกิน...

“เอาตัวนี้แหละฮะ” บอยสรุป

เป็นอันว่าในที่สุดบอยก็ได้เสื้อยืดไปแล้วตัวหนึ่ง ผมจัดการชำระเงินให้แก่พนักงาน สองร้อยกว่าบาท

“นี่พี่น้องกันเหรอคะ” พนักงานสาวถามแบบชวนคุย ผมระวังตัวเกร็งขึ้นมาทันที

“เอ้อ ทำไมเหรอครับพี่” ผมถามกลับ ไม่ยอมตอบคำถาม

“ก็เห็นหน้าไม่ค่อยคล้ายกัน” พนักงานสาวตอบ ว่าแล้วก็รับเงินไปเพื่อนำไปส่งที่แคชเชียร์

หลังจากนั้นผมก็เดินซื้อเสื้อผ้ากับบอยอีกเป็นเวลานานพอสมควร จนเวลาบ่ายแก่ๆจึงจะได้ครบตามที่บอยต้องการ ดีที่บอยไม่ใช่เด็กเห่อสินค้ามีแบรนด์ ดังนั้นเสื้อผ้าที่เลือกซื้อจึงมีราคาไม่แพงนัก บอยแกล้งเดินมือเปล่าไม่ยอมช่วยหิ้วของทั้งๆที่เป็นของของมันเองทั้งนั้น ปล่อยให้ผมหิ้วถุงพะรุงพะรังเดินตามมัน

“นี่บอย” ผมเรียกมัน “นายคิดจะถือของบ้างมั้ยเนี่ย”

“ไม่คิดฮะ พี่อูหิ้วน่ะดีแล้ว” บอยสั่นหัว หัวเราะเสียงใสอย่างอารมณ์ดี “ว่าแต่จะพาบอยไปเที่ยวไหนล่ะ”

ถ้าเป็นคนอื่นคงเตะไปแล้ว แต่นี่เป็นไอ้บอย ผมกลับไม่รู้สึกเคืองเลย กลับยิ่งรู้สึกว่ามันน่ารัก

“ช่วยหิ้วแล้วถึงจะบอก” ผมต่อรอง แกล้งไม่บอกให้มันอยากรู้บ้าง

“ไม่อะ บอยไม่อยากรู้ พี่อูพาไปละกัน ถึงแล้วบอยก็รู้เองนั่นแหละ” บอยรู้ทัน สงสัยว่ามันคงจะฉลาดกว่าผม ผมแพ้ทางมันตลอดเลย

ด้วยข้าวของที่พะรุงพะรัง ผมจึงเลือกที่จะนั่งแท็กซี่แทนการขึ้นรถเมล์ ตอนที่ผมจบ ม.๔ ยุคนั้นก็ยังไม่มีแท็กซี่มิเตอร์ ต้องใช้ต่อรองราคากัน แต่จากสยามสแควร์ไปสวนลุมก็ไม่แพงเพราะว่าไม่ไกลกันมากนัก

“ไปสวนลุมเหรอพี่อู” บอยถามเมื่อขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว เรื่องที่จะปิดไอ้บอยเอาไว้ก่อนจึงไม่สำเร็จเพราะว่ามันได้ยินผมคุยกับคนขับรถ

บอยบอกว่าตอนเด็กๆที่บ้านน่าจะเคยพามาเดินเที่ยวแต่เมื่อโตแล้วบอยไม่เคยมาอีกเลย ดังนั้นบอยจึงไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับสวนลุม เมื่อผมพาบอยเดินเล่นอยู่ในสวนสาธารณะ บอยจึงรู้สึกแปลกใหม่

บรรยากาศยามเย็นภายในสวนลุมสงบและร่มรื่น ตามสนามหญ้าและที่ริมบึงน้ำมีหนุ่มสาวนั่งกันอยู่เป็นคู่ๆอยู่หลายคู่ ผมจึงเลือกทำเลริมบึงที่มีคนไม่มากและนั่งกับบอยบ้าง ในใจรู้สึกตะขิดตะขวงอยู่บ้างเหมือนกันแต่ว่าถุงที่หิ้วอยู่ทำให้ผมรู้สึกเมื่อยและอยากพักบ้าง

“บรรยากาศดีจัง” บอยพูดหลังจากที่นั่งบนหญ้าและถอดรองเท้าสกอลล์ออก เหยียดขาบนพื้นหญ้าอย่างสบายอารมณ์

“เมื่อยโว้ย” ผมบ่น ว่าแล้วผมก็แกล้งเอาถุงเสื้อผ้าของบอยมาทำต่างหมอนแล้วก็เอนกายลงนอนบนพื้นหญ้า “นอนดีกว่า”

ขณะที่ผมนอนหนุนถุงอยู่นั้นเอง สายตาของผมมองเห็นกิ่งของต้นก้ามปูที่แผ่ออกมาใกล้ชายน้ำ ใบไม้สีเขียวตัดกับท้องฟ้าสีคราม เบื้องหน้าของผมเป็นบึงน้ำ ทันใดนั้นผมรู้สึกเหมือนกับเคลิ้มไปชั่วครู่... ราวกับว่าผมกำลังนอนอยู่ริมบึงที่บ้านเกิดของผม และร่างของคนที่นั่งด้วยกันกับผมนั้นเป็นคนที่ผมคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก... คนที่ผมรอคอยการกลับมาอยู่ทุกวัน...

พลั่ก!

ผมรู้สึกว่าถุงที่ผมหนุนอยู่ถูกกระตุกออกไป หัวของผมหล่นไปกระทบพื้นหญ้า พลางได้ยินเสียง

“โธ่โอ๊ย ใจลอยอีกแล้วพี่อู”

“อะไรกันวะ ดึงถุงออกไปทำไม” ผมชันกายลุกขึ้นมาในท่านั่งแล้วบ่น “ถือของให้นายตั้งหลายชั่วโมง เมื่อยจะตาย เอาถุงคืนมาเลย”

“ไม่ให้ มีไรมั้ย” บอยทำหน้าทะเล้น

เมื่อบอยไม่ให้ ผมจึงลงมือแย่งคืนจากมัน บอยโยนถุงออกไปให้พ้นจากระยะมือของผม ผมขยับตัวเพื่อจะคืบไปหยิบถุงมาแต่บอยยึดตัวผมเอาไว้ แย่งกันไปแย่งกันมาจนกลายเป็นการปล้ำเพื่อชิงถุงกัน

ในจังหวะที่ผมกอดรัดบอย ร่างของเราแนบกัน ผมยังจำความรู้สึกเมื่อครั้งแรกที่ผมได้กอดบอยได้ ตอนนั้นเราวิ่งสวนกันที่บันไดตึกในโรงเรียนแล้วผมเอาแขนรั้งตัวมันไว้ มันช่างเป็นความรู้สึกที่อบอุ่นและงดงาม ผมเริ่มรู้สึกหัวใจเต้นเร็วขึ้น แต่พอนึกขึ้นได้ว่าขณะนี้เรากำลังอยู่ที่ไหนผมก็ต้องผละตัวออกจากบอย

“ไม่เล่นแล้ว อายคนอื่นเค้า” ผมพูด พลางนั่งลงข้างๆบอย เลิกพยายามแย่งถุงจากมันแล้ว

“ไม่เห็นมีอะไรต้องอายเลย เราเล่นของเราไม่ได้เดือดร้อนใคร” บอยพูด ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ต้องบอกว่าไม่แคร์สื่อ

หลังจากที่นั่งพักกันได้สักครู่ บอยก็เริ่มสังเกตเห็นอะไรบางอย่างในบึงน้ำ

“หูย มีเรือด้วย พี่อู ไปเล่นเรือกัน” บอยร้องอย่างตื่นเต้น ตอนนั้นเป็นเวลาเย็นแล้ว จึงเริ่มมีผู้เช่าเรือพายและเรือจักรยานมาเล่นในบึง ดูมันช่างเป็นเด็กอารมณ์ดีเสียจริงๆ

หลังจากนั้นเราจึงเช่าเรือจักรยานมาและนั่งถีบเรือไปด้วยกัน แสงแดดยามเย็นส่องเฉียงๆทำให้น้ำในบึงเกิดเป็นระลอกเลื่อมพราย บรรยากาศที่ริมบึงน้ำตอนเย็นนั้นงดงามอยู่แล้ว แต่บรรยากาศยามลอยเรืออยู่ในบึงกลับงดงามยิ่งกว่า

เราสองคนถีบเรือจักรยานด้วยกัน แล่นเรือกันไปก็แกล้งกันไป เรือจักรยานเป็นเรือที่นั่งคู่ มีแป้นถีบคล้ายจักรยานอยู่ที่เท้า ปกติจะถีบคนเดียวหรือสองคนก็ได้ หากถีบคนเดียวก็หนักแรงหน่อย แต่หากถีบสองคนก็ต้องถีบให้จังหวะขาเข้ากัน เหมือนชีวิตที่ต้องเดินทางร่วมกันเป็นคู่ จะต้องรู้จักประสานจังหวะชีวิตให้เข้ากัน...

เราเดินเล่นในสวนลุมอยู่จนค่ำ จากนั้นก็กลับมาที่สยามสแควร์อีกเนื่องจากบอยรู้สึกหิว ตอนนั้นโรบินสันสีลมมีแล้วแต่ว่าเซ็นทรัลสีลมคอมเพล็กซ์ยังไม่มี เราทั้งสองคนไม่ค่อยรู้จักย่านสีลมจึงคิดว่ากลับมาที่สยามสแควร์ดีกว่า กินแล้วเดินทางกลับบ้านก็สะดวกด้วย เมื่อกินอาหารเสร็จ ผมกับบอยก็แยกกันเพื่อกลับบ้าน ก่อนกลับบอยเอาเงินค่าเสื้อผ้าคืนให้ผมและบอกว่าที่เมื่อกลางวันไม่ออกเงินเองก็แค่อยากแกล้งผมเล่นเท่านั้น ระหว่างทางกลับบ้าน ผมคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนบ่ายตลอดเวลา

หลายครั้งที่บอยทำให้ผมคิดถึงไอ้นัย... เห็นบอยแล้วอดคิดถึงไอ้นัยไม่ได้ แต่ก็หลายๆครั้งเช่นกันที่ผมรู้สึกว่าบอยก็คือบอย...

เมื่อกลับถึงห้อง หลังจากอาบน้ำเสร็จผมก็นั่งประจำที่โต๊ะภายในห้องและพยายามอ่านหนังสือ แต่การไปเที่ยวกับบอยตลอดทั้งวันที่ผ่านมาทำให้อารมณ์การดูหนังสือของผมยังไม่เข้าที่นัก สวนลุม ถุงเสื้อผ้า เรือจักรยาน... ผมวนเวียนคิดถึงแต่ไอ้บอยและเหตุการณ์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับมัน หรือว่า... หรือว่า... ผมชอบบอยเข้าให้แล้ว...

เมื่อนึกถึงตอนที่ผมเล่นปล้ำเพื่อแย่งถุงเสื้อผ้ากับมัน ผมรู้สึกใจเต้นและร้อนวูบวาบอยู่ภายใน เมื่อก่อนผมเห็นบอยเป็นรุ่นน้องที่น่ารักและนิสัยดี ความกวนของมันทำให้ผมคลายเหงาลงไปได้จึงรู้สึกว่าชอบคุยกับมัน แต่ทว่าตอนนี้เมื่อผมคิดถึงบอยมันกลับทำให้ผมรู้สึกร้อนรุ่มอยู่ภายใน... จนผมอดไม่ได้ที่จะหยิบหนังสือนีออนออกมาจากที่ซ่อน...


<สวนลุมพินีในอดีต ภาพนี้ถ่ายในยุคที่ผมเรียนชั้นมัธยม สวนลุมมีลักษณะเป็นสวนสาธารณะใหญ่ที่ใจกลางเป็นเกาะและมีบึงน้ำใหญ่ล้อมรอบ ในบึงมีเรือบริการให้เช่า ทั้งเรือภายและเรือจักรยาน ตรงที่เห็นเป็นน้ำพุคือส่วนหนึ่งของบึงน้ำใหญ่ที่ล้อมรอบเกาะ>


<สวนลุมพินีในปัจจุบัน โปรดสังเกตลูกศรชี้ในทั้งสองภาพ ตึกที่ลูกศรชี้ในทั้งสองภาพคือตึกเดียวกัน จะสังเกตได้ว่าภูมิทัศน์โดยรอบของสวนลุมในปัจจุบันมีตึกใหม่ๆผุดขึ้นมาจำนวนมาก>


<ในสมัยก่อนโน้น ตรงเกาะลอยนี้มีภัตตาคารชื่อกินรีนาวา เป็นทั้งห้องอาหารและมีเวทีลีลาศ มีชื่อเสียงมากเนื่องจากภัตตาคารนี้ทำเป็นรูปเรือใหญ่และที่หัวเรือแกะสลักเป็นรูปกินรีเปลือยท่อนบนโชว์หน้าอกใหญ่อย่างท้าสายตาโดยไม่แคร์สื่อ กินรีที่นี่โชว์หน้าอกอยู่อย่างนี้เป็นเวลาหลายปีก่อนที่จะถูกไฟไหม้วอดไปทั้งภัตตาคารและกินรี สำหรับภัตตาคารกินรีนาวานี้ผมไม่ทัน และไฟไหม้ปีไหนยังหาข้อมูลไม่ได้ แต่ว่าน่าจะเป็นในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๑๐-๒๕๒๐>


<เราสองคนถีบเรือจักรยานด้วยกัน แล่นเรือกันไปก็แกล้งกันไป เรือจักรยานเป็นเรือที่นั่งคู่ มีแป้นถีบคล้ายจักรยานอยู่ที่เท้า ปกติจะถีบคนเดียวหรือสองคนก็ได้ หากถีบคนเดียวก็หนักแรงหน่อย แต่หากถีบสองคนก็ต้องถีบให้จังหวะขาเข้ากัน เหมือนชีวิตที่ต้องเดินทางร่วมกันเป็นคู่ จะต้องรู้จักประสานจังหวะชีวิตให้เข้ากัน...>

Monday, March 1, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 51

ในระยะนี้ผมเริ่มรู้สึกตัวว่ามีความเครียดและความกังวลมากขึ้นอันเนื่องมาจากการดูหนังสือไม่ทันตามแผนที่วางเอาไว้ เมื่อกังวลมากก็ยิ่งทำให้ไม่มีสมาธิในการดูหนังสือ ดูไปได้หน่อยก็ฟุ้งซ่านหรืออ่านไม่เข้าหัวเสียแล้ว ในเมื่อยิ่งดูหนังสือไม่รู้เรื่องก็ยิ่งทำให้ผมกังวลมากยิ่งขึ้นไปอีก วนเวียนอยู่เช่นนี้ ประกอบกับการไปนั่งดูหนังสือที่ห้องสมุดเดิมๆทุกวันทำให้ผมรู้สึกจำเจ ต่อมาผมจึงคิดจะลองเปลี่ยนที่อ่านหนังสือดูบ้าง เผื่อว่าการเปลี่ยนบรรยากาศจะช่วยให้อะไรๆดีขึ้น

การไปนั่งอ่านหนังสือที่ห้องสมุดประชาชนเป็นประจำทำให้ผมได้ความรู้เพิ่มเติมขึ้นว่าห้องสมุดประชาชนของ กทม. นั้นไม่ได้มีเพียงที่ปทุมวันเพียงแห่งเดียว แต่ยังมีที่อื่นๆอีกหลายแห่ง เช่น ที่วัดอนงคาราม ย่านฝั่งธนฯ ที่สวนลุมพินี ที่ซอยพระนาง ใกล้อนุสาวรีย์ชัยฯ ที่บางกะปิ ฯลฯ นอกจากนี้ชีวิตที่เวียนว่ายอยู่ในสยามสแควร์เป็นประจำทำให้ผมพบว่าในสยามสแควร์นั้นยังมีห้องสมุดอีกแห่งหนึ่ง นั่นคือ ห้องสมุดบริติชเคาน์ซิล ห้องสมุดนี้เดิมทีตั้งอยู่ในอาคารด้านหลังโรงหนังลิโด้ ด้านล่างเป็นห้องสมุด ด้านบนเป็นโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ ที่นี่ผมเดินผ่านอยู่บ่อยๆแต่เข้าใจผิดว่าห้องสมุดนี้ให้บริการเฉพาะผู้ที่มาเรียนภาษาอังกฤษ จึงไม่เคยเข้าไป ต่อมาจึงมารู้ภายหลังว่าให้บริการประชาชนทั่วไปด้วย ห้องสมุดและโรงเรียนสอนภาษาบริติชเคาน์ซิลนี้ต่อมาย้ายที่ไปอยู่อาคารเดียวกับศูนย์หนังสือจุฬาฯ สยามสแควร์ และตั้งอยู่ที่นั่นมาจนถึงปัจจุบัน

เมื่อตัดสินใจเปลี่ยนสถานที่ดูหนังสือ ผมจึงตัดสินใจลองไปที่ห้องสมุดประชาชนในสวนลุมพินี ที่จริงห้องสมุดตรงซอยพระนาง ถนนราชวิถีอยู่ใกล้หอพักและเดินทางสะดวกกว่า แต่เนื่องจากห้องสมุดที่สวนลุมพินีตั้งอยู่ในสวนสาธารณะ ผมจึงคิดว่าบรรยากาศน่าจะดีกว่า จึงเลือกไปที่นี่

แม้ว่าผมจะอยู่ในกรุงเทพฯมาตั้งแต่เด็กแต่ในชีวิตไม่ค่อยได้ไปไหน มักวนเวียนอยู่กับสถานที่เดิมๆ อันได้แก่ ที่พัก โรงเรียน และสยามสแควร์ ดังนั้นจึงไม่ค่อยรู้จักสถานที่ต่างๆมากนัก สวนลุมนี่แม้ว่าอยู่ไม่ไกลจากสยามสแควร์นักแต่ผมก็ยังไม่เคยไปมาก่อน

เมื่อผมไปถึงสวนลุมพินีก็เป็นเวลาสิบเอ็ดโมงกว่าแล้ว แดดร้อนเปรี้ยง แม้จะเป็นสวนสาธารณะแต่ท่ามกลางเปลวแดดที่ร้อนระอุทำให้บรรยากาศไม่น่ารื่นรมย์เอาเสียเลย ตัวห้องสมุดตั้งอยู่ใจกลางสวนสาธารณะ ต้องเดินจากป้ายรถเมล์เข้าไปไกลเอาการ กว่าจะเดินฝ่าแดดไปถึงห้องสมุดก็เล่นเอาผิวแทบไหม้

ห้องสมุดแห่งนี้เป็นอาคารชั้นเดียว ทาสีขาว ตัวอาคารดูเก่าแก่ ภายในตึกไม่ติดเครื่องปรับอากาศ เรียงรายไปด้วยตู้หนังสือ สภาพของหนังสือค่อนข้างเก่าไม่แตกต่างจากที่ปทุมวันนัก โดยเฉพาะพวกหนังสือนิยายนี่เรียกได้ว่าอยู่ในสภาพคร่ำคร่าเพราะว่ามีผู้อ่านกันมาก

บรรยากาศที่นี่โดยรวมแล้วถือว่าดีกว่าที่ปทุมวันมาก เพราะว่าที่ปทุมวันนั้นเป็นห้องสมุดตึกแถว มองไปทางไหนก็มีแต่กำแพง ส่วนห้องสมุดที่นี่เมื่อมองออกไปด้านนอกอาคารจะเห็นภาพต้นไม้เขียวขจีและบึงน้ำใหญ่ แต่ถ้าพูดถึงความสะดวกแล้วถือว่าน้อยกว่าที่ปทุมวันเพราะว่าเมื่อเข้ามาในห้องสมุดแล้วเหมือนถูกปล่อยเกาะ หากจะกินอาหารเที่ยงต้องเดินฝ่าเปลวแดดออกไปซื้อข้างนอกสวนซึ่งไกลพอดู ดังนั้นผมจึงตัดปัญหาด้วยการอดอาหารทนหิวเอา

การได้นั่งอ่านหนังสือในบรรยากาศใหม่ ตอนแรกก็รู้สึกสดชื่นและมีสมาธิดี แต่พออ่านไปๆก็เริ่มฟุ้งซ่านขึ้นมาอีก ภาพหน้าปกของนิตยสารเกย์ที่ผมเห็นที่ปากซอยภาวนาลอยอยู่ในหัวของผมตลอดเวลา มันเป็นความปรารถนาที่พลุ่งพล่านไม่อาจระงับยับยั้งได้
- - -

ผมออกจากห้องสมุดในราวบ่ายสี่โมง วันนี้ผมเลิกอ่านเร็วนิดหน่อย ไม่รอจนห้องสมุดปิด ทั้งนี้เนื่องจากผมคิดจะไปที่อื่นต่อ

บรรยากาศภายในสวนสาธารณะในยามแดดร่มลมตกแตกต่างจากที่ผมเห็นเมื่อตอนใกล้เที่ยงลิบลับ สวนลุมที่ผมเห็นในตอนนี้กลายเป็นสวนสาธารณะที่มีบรรยากาศร่มรื่น ในบึงน้ำใหญ่ตรงข้ามห้องสมุดเริ่มมีเรือจักรยานและเรือพายลอยอยู่หลายลำ ดูแล้วน่าสนุก ทำให้อยากพายเรือเล่นบ้าง

ผมขึ้นรถเมล์สาย ๗๗ ที่ถนนฝั่งโรงพยาบาลจุฬาฯ ผมยังไม่ได้กลับหอพัก สถานที่ที่ผมคิดจะไปก็คือแผงหนังสือสวนจตุจักร... คิดว่าจะไปดูหนังสือกวดวิชาเผื่อว่ามีหนังสือกวดวิชาออกใหม่ที่น่าสนใจ แต่ถ้าพูดอย่างไม่หลอกตัวเอง วัตถุประสงค์สำคัญที่ผมไปแผงหนังสือสวนจตุจักรก็เพราะ...สามเล่มยี่สิบ

ราวห้าโมงกว่าผมก็ถึงแผงหนังสือสวนจตุจักร เดินดูหนังสือกวดวิชาตามซุ้มหนังสือต่างๆเสียหน่อย เมื่อไม่เห็นมีอะไรใหม่ๆที่น่าซื้อเพิ่มเติม ผมจึงเดินข้ามถนนกำแพงเพชรมายังฝั่งตรงข้าม ในยุคนั้นหนังสือเก่าจะมีขายสองฝั่ง คือฝั่งที่เป็นซุ้มหนังสือ กับฝั่งตรงข้าม

ที่ฝั่งตรงข้ามกับซุ้มหนังสือนั้นมีลักษณะเป็นโครงหลังคาหรือว่าเป็นศาลาขนาดใหญ่ เป็นทั้งท่ารถเมล์ มีอาหารขาย รวมทั้งขายหนังสือและนิตยสารเก่า โดยมีทั้งแผงค้าเป็นบล็อกเล็กๆกับแผงแบบแบกะดิน แต่ปัจจุบันสภาพริมถนนกำแพงเพชรฝั่งตรงข้ามซุ้มหนังสือเปลี่ยนไปมากแล้ว

เมื่อผมข้ามถนนมาถึงฝั่งแผงหนังสือมือสอง เพียงเหลือบมองนิตยสารไฟกลางคืนฉบับเก่าๆที่วางอยู่บนแผงเพียงหน่อยได้ ผมก็ได้ยินคำทักทายที่คุ้นเคยดังขึ้นที่ข้างหลัง

“โป๊มั้ยน้อง” เมื่อผมหันไปมอง เจ้าของเสียงเป็นหนุ่มใหญ่ในวัยราวสามสิบ

ผมส่ายหัวจากนั้นรีบเดินหนีเพราะว่าผมไม่ได้มาเพื่อซื้อหนังสือโป๊พวกนั้น

“มีทุกชาติเลยนะน้อง ไทย ฝรั่ง ญี่ปุ่น หนังสือหรือวีดิโอก็มี” ชายหนุ่มคนนั้นตามมาบรรยายสรรพคุณต่อ

“ไม่เอาครับ” ผมตอบแล้วรีบเดินหนีอีก

“ขายไม่แพงนะน้อง ลองดูก่อนก็ได้ ไม่ชอบไม่ต้องเอาไป” ชายคนนั้นยังไม่ลดละ สงสัยว่าใบหน้าของผมอาจส่อแววอะไรบางอย่างก็ได้ ชายคนนั้นจึงพยายามตื๊อผมอย่างเอาเป็นเอาตาย

ถ้าผมยังสลัดนายคนนี้ไม่หลุดสงสัยว่าคงไม่มีโอกาสซื้อนิตยสารที่ผมต้องการเป็นแน่ ผมรีบเดินออกมายืนที่ริมถนนใหญ่นายคนนั้นจึงหยุดตาม จากนั้นผมจึงเดินเข้าไปในบริเวณแผงหนังสือมือสองใหม่โดยอ้อมไปเข้าจากอีกด้านหนึ่ง

“โป๊มั้ยน้อง” คำพูดอันคุ้นเคยดังขึ้นอีก แต่คราวนี้เจ้าของเสียงเป็นชายอีกคนหนึ่งซึ่งไม่ใช่คนเดิม

ผมส่ายหัวแล้วรีบเดินหนี ชายคนนั้นก็เดินตามตื๊ออีก พอเดินไปไกลจนถึงอีกด้านหนึ่งของโซนนี้ คิดว่าสามารถสลัดหลุดจากคนขายได้แล้ว ผมก็ต้องพบกับชายอีกคนที่ถามด้วยคำถามเช่นเดิมอีก

ผมถอนหายใจยอมแพ้ เดินไปทางไหนก็มีแต่คนขายหนังสือโป๊ประกบตัวแจ ถ้าแบบนี้คงไม่มีโอกาสซื้อของที่ต้องการแล้ว

เมื่อถอดใจเสียแล้ว ผมจึงเดินดูหนังสือต่อไปเรื่อยๆโดยคิดว่าจะแกล้งคนขายให้เดินตามผมเสียเวลาเล่น อยากตามดีนัก ตามให้ตลอดก็แล้วกัน

คนขายหนังสือโป๊เดินตามผมไปเรื่อยๆ พอตามได้สักพักเห็นว่าผมไม่ซื้อแน่แล้วจึงผละออกไป จากนั้นคนใหม่ก็เข้ามาประกบแทน เย็นวันนั้นมีคนขายหนังสือโป๊มาประกบผมนับได้ถึงห้าหกคนเลยทีเดียว!

ผมทนเดินอยู่ในนั้นประมาณ ๑๕-๒๐ นาที คนขายหนังสือโป๊ก็จำหน้าผมได้จนครบถ้วน เมื่อเห็นว่าผมไม่ซื้อแน่แล้วก็เลิกสนใจผมและพากันไปตื๊อคนอื่นต่อไป ทีแรกนึกว่าจะแกล้งพวกคนขาย แต่ทำไปทำมากลับมีโอกาสปลอดจนได้

คราวนี้ผมสามารถเดินได้ตามสบาย ผมเดินดูไปเรื่อยๆ เห็นแผงแบกะดินวางแผงวางหนังสือพวกมิถุนา นีออน มรกต โชว์อยู่รวมกับหนังสือโป๊ทั่วไป

ผมใจเต้นตึ้กตั้กราวกับกลองของวงดุริยางค์เมื่อเจอสิ่งที่ต้องการ ตอนนั้นเป็นเวลาเย็นแล้วแต่ก็ยังคนเดินดูหนังสืออยู่เรื่อยๆ อีกทั้งแผงแบกะดินเป็นแผงที่สามารถมองเห็นได้แต่ไกลว่ามีหนังสืออะไรวางอยู่บ้าง ถ้าผมซื้อพวกมิถุนาต้องมีคนเห็นแน่นอน

ผมหมายตาแผงขายมิถุนาที่คนขายเป็นผู้ชายและอยู่ในย่านที่คนเดินน้อยที่สุดแผงหนึ่ง เดินโฉบไปโฉบมาอยู่หลายรอบเพื่อรอให้แผงนั้นปลอดคน รอจนไม่มีใครยืนอยู่ที่หน้าแผงนั้นแล้วผมก็ตัดสินใจทำหน้าด้านเดินปรี่เข้าไปทันที

ผมหยิบหนังสือพวกนีออน มิถุนา มรกต หยิบมา ๖ เล่มแบบไม่ต้องเลือก เมื่อหยิบได้แล้วก็ยื่นให้คนขายทันที

“เท่าไรครับ” ผมถาม

คนขายมองหน้าผมแล้วยิ้ม “น้องเพิ่งเคยซื้อเหรอ”

ไม่รู้ว่าคนขายถามด้วยวัตถุประสงค์อะไร ผมจึงได้แต่ตอบแบบอ้อมแอ้ม

“ครับ”

“น้องเดินวนไปวนมาแบบนี้มันมีพิรุธนะ ทีหลังอย่าทำแบบนี้ ยิ่งไม่อยากให้ใครรู้คนก็ยิ่งรู้” คนขายพูดยิ้มๆ ส่วนผมนั้นอายจนอยากจะรีบหนีไปไกลๆ

“พี่มีถุงกระดาษไหม” ผมถามเมื่อเห็นคนขายหยิบหนังสือที่ผมเลือกเอาไว้ใส่ลงในถุงก๊อบแก๊บบางๆ

คนขายอมยิ้มอีก แล้วก้มลงไปหยิบถุงกระดาษทึบแสงมาจากใต้แผง

“สี่สิบบาทน้อง” คนขายบอกราคา

ผมรีบจ่ายเงินให้คนขายจากนั้นก็รีบเดินหนีจากมาอย่างรวดเร็ว เป็นอันว่าภารกิจซื้อหนังสือเกย์ของผมในวันนี้สำเร็จลงในที่สุดแม้ว่าจะไม่ราบรื่นนักก็ตาม

ผมเอาหนังสือทั้งหมดใส่ลงในเป้ จากนั้นก็ขึ้นรถเมล์สาย ๑๔๕ กลับหอพัก ระหว่างที่เดินทางกลับยังไม่รู้สึกอะไรนัก แต่ว่าเมื่อกลับเข้ามาในหอพักผมรู้สึกตื่นเต้นมาก กลัวว่าจะมีใครมาเห็นเข้าและรู้ว่าผมมีรสนิยมอย่างไร

ในที่สุดผมก็กลับถึงห้องพักโดยสวัสดิภาพ ไม่มีใครรู้ว่าผมซื้ออะไรมายกเว้นคนขาย ผมรีบล็อกประตูห้อง จากนั้นหยิบเอาของวิเศษที่อยู่ในเป้ของผมออกมาดูทันที

นิตยสารหกเล่มที่ผมซื้อมานั้นเป็นนิตยสารขนาดพ็อกเก็ตบุ๊ก มีทั้งมิถุนาจูเนียร์ นีออน และมรกต ปนกัน สภาพค่อนข้างเก่า ผมรีบคว้าเล่มหนึ่งขึ้นมาเปิดดูภายในเล่มทันที

หน้าแรกๆของนิตยสารที่อยู่ในมือของผมเป็นชุดภาพสีของนายแบบที่เปลือยกายไม่ใส่เสื้อผ้า เปิดเผยให้เห็นเรือนกายและส่วนสัดอย่างชัดเจนยกเว้นจุดสำคัญเท่านั้นที่ถูกปกปิดเอาไว้โดยมุมกล้องหรือไม่ก็โดยมือของนายแบบเองนั่นแหละที่กุมเอาไว้

เพียงแค่รูปชายหนุ่มเปลือยก็ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นทางเพศได้มากแล้วแม้ว่าจะไม่ได้เห็นส่วนสัดที่สำคัญที่สุดก็ตาม ผมรู้สึกใจเต้นระทึก น้ำลายเหนียวไปหมด เป้ากางเกงคับแน่น

หลังจากผ่านพ้นหน้าภาพสีไปก็เป็นพวกบทความเกี่ยวกับชีวิตเกย์ ชีวิตคู่ของเกย์ จากนั้นก็เป็นเรื่องสั้นแนวประสบการณ์ประะสบกามหรือว่าเรื่องเซ็กซ์นั่นเอง

เรื่องเซ็กซ์ที่ตีพิมพ์ในนิตยสารจะไม่ค่อยเหมือนกับที่เราอ่านกันในอินเตอร์เน็ตเว็บบอร์ดที่เราอยากเขียนอะไรก็เขียน จะเขียนให้หยาบคายหรือโจ่งแจ้งอย่างไรก็ได้ แต่สำหรับในนิตยสารสารแล้วภาษาส่วนใหญ่จะเป็นภาษาดอกไม้ ผู้ที่เคยอ่านคงทราบดี เช่นบอกว่า ‘สอดแทรกแก่นกายเข้าไปในถ้ำโพรง’ คือต้องเป็นภาษาสวยๆ ไม่เขียนให้อุจาดหรือใช้ภาษาหยาบคาย

ในยุคนั้นเรื่องเสียวระหว่างชายกับชายไม่ใช่จะมีให้อ่านกันเกร่อหรือว่าหาอ่านกันได้ง่ายๆแบบในสมัยนี้ เรื่องเสียวแนวนี้จะหาอ่านได้ก็แต่ในนิตยสารเฉพาะกลุ่มเท่านั้น ดังนั้นเมื่อผมได้อ่านเรื่องราวเหล่านี้จึงรู้สึกทั้งรู้สึกแปลกใหม่และปลุกเร้าความรู้สึกทางเพศอย่างรุนแรง

ในที่สุดผมทนอ่านอย่างเดียวไม่ไหวอีกต่อไป ผมถอดกางเกงและกางเกงในออก มือหนึ่งกางหนังสืออ่านส่วนอีกมือหนึ่งกำท่อนเนื้อของตนเองและรูดขึ้นลง

อ่านเรื่องเสียวยังไม่ทันจะจบเรื่อง ผมก็รู้สึกหน่วงที่ท้องน้อยจนสุดจะกลั้นอีกต่อไป ผมรีบโยนหนังสือไว้บนเตียงจากนั้นรีบหยิบกระดาษทิชชู่มาขยุ้มหนึ่งมารอเอาไว้ที่ปลายท่อนเนื้อที่แข็งเกร็งจนปวดของผมส่วนอีกมือหนึ่งก็สาวไปเรื่อยๆไม่ยอมหยุด

ผมกลั้นลมหายใจ ความรู้สึกพลุ่งพล่านรวมตัวกันอยู่ที่ท้องน้อยและแตกระเบิดออกมาในที่สุด ลาวาสีขาวขุ่นทะลักทลายออกมาเป็นจำนวนมากท่วมเต็มทิชชู่จนล้นและหยดลงไปกับพื้น กลิ่นคาวคลุ้งเต็มห้อง

ผมถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย รู้สึกสุขสมและเต็มอิ่ม...

“เด็กชายอูรับโทรศัพท์” เสียงจากอินเตอร์คอมประจำชั้นสี่ดังลั่น เสียงของแป๋งนั่นเอง

ผมรู้สึกหงุดหงิดใจเล็กน้อย ใครกันนะ ช่างขัดจังหวะเสียจริง กำลังไม่สะดวกอยู่ก็โทรมาพอดี

ผมรีบเช็ดทำความสะอาดบริเวณท้องน้อย จากนั้นใส่กางเกง ส่วนทิชชู่เปื้อนกลิ่นคาวนั้นผมเอาใส่ถุงพลาสติกอีกชั้นหนึ่งค่อยทิ้งถังขยะ เพื่อป้องกันกลิ่นคาวแพร่กระจาย จากนั้นก็รีบลงไปรับโทรศัพท์ที่ชั้นล่าง ที่นั่น ผมพบแป๋งกำลังนั่งเฝ้าร้านอยู่

“ฮัลโหล” ผมยกหูโทรศัพท์ขึ้นและกล่าวทักทาย

“พี่อูเหรอ” เสียงวัยรุ่นดังออกมาจากกระบอกโทรศัพท์ บอยนั่นเอง

“พี่เองบอย” ผมพูดเบาๆ พลางเปลี่ยนท่ายืนเป็นหันหลังให้แป๋ง “บอกแล้วไงว่าถ้าไม่จำเป็นอย่าโทรมา ที่หอมันรับไม่ค่อยสะดวก” ผมตำหนิมัน ผมเคยให้เบอร์โทรศัพท์ที่หอพักแก่บอยเอาไว้ แต่กำชับว่าถ้าไม่จำเป็นอย่าโทรมาเพราะต้องวิ่งลงมารับไกลมาก แต่นั่นเป็นเพยีงข้ออ้าง เรื่องของเรื่องก็คือผมกลัวไอ้แป๋งมันจะรู้ความลับของผมมากกว่า

“พี่อูไปอยู่ไหนมาอะ หายตัวไปเป็นอาทิตย์ ไม่ยอมโทรหาบอยเลย” บอยโวยวาย สุ้มเสียงบ่งบอกความไม่พอใจเต็มที่


<นิตยสารมิถุนา กล่าวได้ว่าเป็นนิตยสารเกย์ฉบับแรกของไทย วางตลาดเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๕๒๖ ที่จริงก่อนหน้านั้นก็มีนิตยสารสำหรับเกย์วางจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดบ้างเหมือนกันแต่ไม่ได้วางตำแหน่งทางการตลาดอย่างชัดเจนว่าเป็นหนังสือสำหรับเกย์ อย่างเช่น นิตยสารเชิงชาย ซึ่งออกประมาณปี พ.ศ. ๒๕๒๔ หรือ ๒๕๒๕ ภายในเล่มของนิตยสารเชิงชายมีทั้งภาพเปลือยของชายและหญิง แต่เกย์ก็ซื้ออ่าน นอกจากนี้นิตยสาร Hello ที่ถ่ายภาพนายแบบชายได้สวยงามและมีรสนิยมก็มีเกย์นิยมซื้ออ่าน>



<นิตยสารมิถุนาวางตำแหน่งทางการตลาดเป็นนิตยสารเกย์ เดิมผลิตเป็นนิตยสารในขนาดใหญ่เช่นเดียวกับแพรว ดิฉัน แต่ต่อมาทำเป็นฉบับพ็อกเก็ตบุ๊กและใช้ชื่อว่ามิถุนาจูเนียร์ มิถุนาจูเนียร์นี้เริ่มวางตลาดประมาณปี พ.ศ. ๒๕๒๖ หรือ ๒๕๒๗ ต่อมาในที่สุดเล่มใหญ่ได้หยุดออกไป เหลือแต่เพียงเล่มเล็กที่ยังวางตลาด

ที่เห็นภาพบนเป็นมิถุนาฉบับใหญ่ ฉบับที่ ๓ ส่วนภาพล่างเป็นมิถุนาจูเนียร์ฉบับปฐมฤกษ์>


<นิตยสารเกย์ของไทยไม่ใช่แนวคิดใหม่ แต่ฝรั่งก็ทำกันมาก่อนหน้าแล้ว นิตยสารเกย์ที่เก่าแก่ของสหรัฐอเมริกาทำกันมาตั้งแต่ในยุค 1970s อาทิ Playguy, Blueboy ที่เห็นในภาพเป็นนิตยสาร Inches ซึ่งเป็นนิตยสารในยุคเดียวกับมิถุนา>