Sunday, March 31, 2013

ภาคสี่ ตอนที่ 71


คืนวันศุกร์ ปลายเดือนพฤษภาคม

วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ผมจะพักอยู่ที่หอพักแห่งนี้แล้ว วันรุ่งขึ้นผมจะย้ายของออกและเริ่มพักที่บ้านหลังใหม่ของผม

วันนี้ผมอยู่ที่หอพักทั้งวัน ไม่ได้ไปไหน เก็บข้าวของไปเรื่อยๆ ตอนแรกก็ว่าไม่มีของอะไรมาก แต่พอเก็บของใส่ลังจริงๆก็ปรากฏว่ามีอยู่ไม่น้อยทีเดียว หนังสือและของใช้ในชีวิตประจำวันมีไม่มากนัก ที่เยอะคือของเก่าเก็บและไม่ได้ใช้ อย่างเช่นเสื้อผ้านั้นที่ใส่อยู่เป็นประจำมีไม่มาก แต่เสื้อผ้าชั้นมัธยมและตอนปีหนึ่งที่ไม่ได้ใส่แล้วมีอยู่เต็มตู้ เสื้อผ้านี่ไม่เคยทิ้งเลย ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ใส่แล้วก็ยังเก็บเอาไว้ จึงทำให้กองเต็มตู้ไปหมด แม้จนถึงวันที่จะย้ายออก จะทิ้งก็เสียดาย คิดว่าคนที่ขาดแคลนเสื้อผ้ายังมีอีกเยอะ จะให้ใครก็ไม่มีใครเอา ก็คงต้องเอาไปบ้านใหม่ด้วยก่อน จากนั้นจะได้เอาไปมอบให้ที่ชมรมค่ายอาสาให้เป็นเรื่องเป็นราวสักที

จัดของไปก็นึกถึงป้อมไป ป่านนี้ป้อมคงกำลังเข้าเรียนอยู่ อดหวังไม่ได้ว่าวันรุ่งขึ้นป้อมจะเปลี่ยนใจมาช่วยผมย้ายบ้าน แต่มันก็คงเป็นได้แค่ความหวังลมๆแล้งๆ

จู่ๆก็รู้สึกเหงาขึ้นมา ผมไม่ค่อยได้รู้สึกเหงามานานแล้ว... เมื่อก่อนบางทีอาจจะเคยรู้สึกเหงาบ้างเหมือนกัน แต่ว่าแกล้งทำเป็นลืมๆมันไปและหลอกตัวเองว่าไม่ได้เหงา พอมาเริ่มรู้สึกดีๆกับป้อม ผมก็ลืมไปเลยว่าความเหงาเป็นอย่างไร แต่มาวันนี้... หอพักในยามกลางวันเงียบจนวังเวง ความเหงาเข้าโจมตีผมโดยไม่ทันตั้งตัว

ผมจัดข้าวของอย่างเงียบเหงาอยู่ภายในห้องตลอดทั้งวัน จนถึงตอนเย็น คะเนว่าเป็นเวลาที่ป้อมกลับถึงบ้านแล้ว ผมก็เริ่มกระวนกระวายและชะแง้คอยโทรศัพท์จากป้อม แต่จนแล้วจนรอด ป้อมก็ไม่โทรมา ซึ่งมันก็เป็นเช่นนี้เกือบทุกวัน...

ก๊อก ก๊อก

“พี่อู พี่อู เปิดหน่อย” ได้ยินเสียงเคาะประตูและมีเสียงวัยรุ่นเรียกชื่อผมอยู่ที่หน้าห้อง ผมจำได้ว่าเป็นเสียงของน้องปั้น ชั้นสาม

“ว่าไงปั้น” ผมเปิดประตูห้องออกไปและทักทาย

“พี่อูทำอะไรอยู่” ปั้นถามพลางชะโงกหน้าเข้ามาดูในห้อง

“เก็บของ” ผมตอบ “พรุ่งนี้จะย้ายแล้ว ยังเก็บของไม่เสร็จเลย”

“หนังสือโป๊ขอนะ ไม่ต้องเอาไป” ปั้นพูดพลางมองสอดส่ายเหมือนกับหาว่าหนังสือโป๊เก็บอยู่ที่ใด

“ยิ่งนานยิ่งแก่แดดมากนะเรา” ผมหัวเราะ

“ตอนนี้พี่อย่าเพิ่งเก็บของเลย ขึ้นไปบนดาดฟ้าก่อนดีกว่า” ปั้นเปลี่ยนเรื่อง

“มีอะไรเหรอ” ผมถาม

“ขึ้นไปเถอะน่า แล้วพี่อูจะรู้เอง” ปั้นพูดเป็นปริศนา

“เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวตามขึ้นไป” ผมพูด

“ไม่ต้องเดี๋ยวแล้ว” ปั้นพูด พลางฉุดมือผมลากออกมาจากห้องแล้วเร่งรัด “ขึ้นไปตอนนี้เลย”

“เฮ้ยๆ เดี๋ยวก่อน งั้นขอล็อกห้องก่อน” ผมตอบ ไปก็ไป อยากรู้เหมือนกันว่าข้างบนมีอะไร

เมื่อผมกับปั้นขึ้นไปข้างบน ก็แลเห็นพรรคพวกกลุ่มพี่ธิตกำลังนั่งล้อมวงกันอยู่บนม้าหิน แป๋งก็มาด้วย บนโต๊ะมีขวดเหล้า ถังน้ำแข็ง ของว่าง และแก้วเปล่า เต็มไปหมด พี่ธิตนั่งกอดกีตาร์อยู่

“เฮ มาแล้วๆ” พี่ธิตพูดเสียงดัง คนอื่นๆก็ช่วยกันเฮ

“อะไรกันเนี่ย” ผมงง

“เป็นงานเลี้ยงส่งอูไง” พี่ธิตตอบ

ผมยืนอึ้ง ตั้งแต่เด็กจนโต ผมไม่เคยจัดงานอะไรที่เกี่ยวกับตัวเองมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นงานวันเกิด หรือว่าในโอกาสใดก็ตาม รวมทั้งไม่เคยมีใครจัดงานอะไรให้ผมเช่นกัน ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีคนจัดงานให้ผม แต่ก็น่าเสียดายที่งานนี้เป็นงานเลี้ยงอำลา... ผมมีเวลาชื่นชมกับงานนี้เพียงชั่วเวลาสั้นๆเท่านั้น หลังจากงานเลิก... หลังจากวันนี้... ก็ถึงเวลาที่เราต้องลาจากกัน...

“เฮ้ย เป็นอะไรไปอู เจองานเลี้ยงส่งถึงกับยืนบื้อเลยเหรอ” แป๋งยิ้มกวน ใบหน้าของแป๋งมีเสน่ห์ก็ตอนยิ้มนี่แหละ ลักยิ้มบุ๋มกับฟันเขี้ยวที่มุมปากบนใบหน้าทะเล้นเป็นเสน่ห์ที่น่ารักของแป๋งยังอยู่ในความทรงจำของผมตลอดมา

“ไม่ต้องงงเลยพี่อู มากินเหล้ากัน” พจน์ เด็กรุ่นน้องที่ตอนนี้เข้ามหาวิทยาลัยได้แล้วร้องเรียก

“ไม่คิดว่าจะมีใครจัดงานเลี้ยงให้น่ะ เลยอึ้งไป” ผมพูดตามตรง “ขอบคุณทุกคนมาก...”

หลังจากนั้น ผมก็นั่งกินเหล้าและร้องเพลงอยู่บนชั้นดาดฟ้าจนดึก บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงเพลงและความเฮฮา แต่ลึกๆแล้วผมอดรู้สึกใจหายและเดียวดายไม่ได้...

“เอาล่ะๆ ก่อนแยกย้าย อยากให้อูพูดอะไรสักหน่อย” พี่ธิตพูดหลังจากที่เหล้าแก้วสุดท้ายหมดลง

“เสียดายที่ต่อไปไม่ได้ดูหนังโป๊สดๆกับพวกเราอีก” ปั้นลอยหน้าพูด

“ไอ้บ้า เพ้อใหญ่แล้ว” พี่ธิตเคาะหัวปั้นเบาๆแล้วหัวเราะ “ห้องนั้นติดผ้าม่าน ไม่มีหนังดูมาตั้งนานแล้ว”

“อ้อ จริงด้วย” ปั้นหัวเราะหน้าทะเล้น “เอ้า พี่อูพูดหน่อย”

“ก็... เอ้อ... ก็ ขอบคุณทุกคนที่จัดงานเลี้ยงนี้ให้” ผมตะกุกตะกัก ไม่เคยพูดอะไรแบบนี้มาก่อน “ไม่อยากพูดว่าอำลาเลย เพราะว่าที่จริงก็ย้ายไปไม่ไกล แค่นี้เอง ก็ยังติดต่อกันได้อยู่ ถ้าเบื่อกินหล้าที่นี่ จะไปกินเหล้าที่บ้านผมบ้างก็ได้”

นึกถึงคำว่า อำลา แล้วอดใจหายไม่ได้ ผมหยุดไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ

“หลายปีที่อยู่ที่นี่... อยู่มาสี่ปี เหมือนกับว่านาน แต่ก็เหมือนกับเร็ว... พวกเราที่นี่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับว่าที่นี่เป็นบ้าน... ก็ต้องขอโทษด้วย ที่ผ่านมาสังสรรค์กับพวกเราน้อยไปหน่อย มาได้คิดตอนนี้ก็คงสายไปแล้ว... เอ้อ พูดไม่ถูกแล้ว จบแค่นี้ละกัน เอาเป็นว่าขอบคุณทุกๆคน” ผมจบคำกล่าวอำลาเอาดื้อๆ

“อะไรวะ” แป๋งหัวเราะ “จบยังงี้ก็มีด้วย มา มา ชนแก้ว”

ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่เลิกรา งานสังสรรค์ในวันนั้นจบลงในตอนดึกของคืนวันศุกร์ และตลอดคืนนั้นป้อมไม่ได้โทรมาหาผมเลย ผมอยู่ช่วยเก็บกวาดสถานที่จนเรียบร้อย จากนั้นพวกเราก็แยกย้ายกันกลับห้องไป สุดท้าย ก็เหลือแต่เพียงโต๊ะและม้าหินที่ว่างเปล่าท่ามกลางความมืด บรรยากาศที่สนุกสนานเฮฮาของเมื่อครู่มลายหายไปจนสิ้น ที่ผมรู้สึกอยู่ในตอนนี้คือความอ้างว้าง

ผมยืนดูดาวบนชั้นดาดฟ้าอยู่อีกครู่หนึ่ง คืนนี้คงเป็นคืนสุดท้ายที่ผมจะได้ดูดาวที่นี่ ผมพยายามเก็บความทรงจำเกี่ยวกับที่นี่เอาไว้ให้ได้มากที่สุด จากนั้นก็เดินลงบันไดกลับเข้าห้องไป...

วันเสาร์

ผมตื่นแต่เช้า จัดข้าวของที่ยังค้างอยู่จนเสร็จเรียบร้อย จากนั้นก็ไปว่าจ้างรถสี่ล้อเล็กมาเพื่อบรรทุกของ รถสี่ล้อเล็กที่ว่านั้นคือรถไดฮัทสุมิร่า เป็นรถสี่ล้อ ทรงกระป๋อง ในยุคนั้นถือว่าเป็นรถอเนกประสงค์ราคาประหยัด นิยมนำมาดัดแปลงเป็นรถรับจ้างวิ่งรับส่งคนตามซอยใหญ่ แล้วเรียกกันว่ารถป๊อกๆ เพราะว่าเสียงเครื่องยนต์ค่อนข้างดัง รถรุ่นนี้ดีกว่ารถสามล้อตุ๊กๆตรงที่ทรงตัวดีกว่าและจุของได้มากกว่า อีกทั้งมีขนาดเล็กกระทัดรัด มีความคล่องตัว อีกอย่าง ในยุคนั้นรถตุ๊กๆเริ่มหายากแล้ว คงมีวิ่งเฉพาะบางพื้นที่ แถวๆลาดพร้าวหารถตุ๊กๆได้ยาก ส่วนใหญ่มีแต่รถป๊อกๆหรือว่าสี่ล้อเล็กที่ว่านี้

ผมค่อยๆย้ายลังกระดาษที่บรรจุข้าวของต่างๆลงมาขึ้นรถ เดิมทีคิดว่าจะต้องย้ายคนเดียว แต่ว่าเมื่อถึงเวลาย้าย พวกเพื่อนๆในหอก็มาช่วยกันยกของให้ รวมทั้งเอ๊ดก็ลางานมาช่วยด้วย กลายเป็นว่าการย้ายของเสร็จอย่างรวดเร็ว เพียงครึ่งวันก็เรียบร้อยแล้ว

หลังจากที่ย้ายของเสร็จ ผมไปร่ำลาคุณน้าเจ้าของหอพัก รวมทั้งพี่พรผู้ดูแลหอพัก แม้ว่าคุณน้าจะอยู่ในฐานะเจ้าของหอพัก แต่ก็กล่าวได้ว่าเมตตาแก่ผมมากตลอดเวลาที่ผมพักอยู่ที่นี่ จนผมเองมักคิดว่าคุณน้าเป็นญาติคนหนึ่ง ไม่ใช่เจ้าของหอพักผู้ให้เช่า หลังจากนั้นก็ร่ำลาพี่ธิต เพื่อน และน้องๆในหอพักเป็นครั้งสุดท้าย แต่ก็ไม่ได้ร่ำลากันครบทุกคนเพราะว่าบางคนก็ออกไปข้างนอกแล้ว รวมทั้งไม่ได้ร่ำลาแป๋งด้วยเนื่องจากแป๋งออกไปแต่เช้าเพราะว่าวันนี้มีเรียน

ช่วงบ่าย ผมก็มาอยู่ที่บ้านใหม่ มีกล่องกระดาษสิบกว่ากล่องกองอยู่ข้างผนัง ผมค่อยๆแกะกล่องออกทีละใบ และเอาของในกล่องออกมาจัดวางให้เข้าที่ พวกหนังสือก็เอาเข้าตู้หนังสือ พวกเสื้อผ้าก็เอาไปใส่ในตู้เสื้อผ้าในห้องนอน ส่วนพวกของใช้อื่นๆที่ยังนึกไม่ออกก็ให้มันอยู่ในกล่องต่อไปก่อน เอาไว้นึกออกแล้วค่อยมาจัดการ

ผมนั่งจัดข้าวของอยู่คนเดียว บรรยากาศภายในบ้านใหม่ในตอนบ่ายวันเสาร์เงียบเหงา ต่างกับตอนเช้าอย่างสิ้นเชิงที่มีเพื่อนๆมาช่วยอย่างสิ้นเชิง เดิมทีผมคิดว่าผมคงมีความสุขในบ้านหลังนี้... บ้านทั้งหลังเป็นของเราเพียงคนเดียว... แต่เมื่อเข้ามาอยู่จริงๆ เพียงไม่กี่ชั่วโมงผมก็ได้ลิ้มรสชาติของความเหงา...

ผมโทรศัพท์ไปรายงานพ่อและแม่ว่าย้ายของมาเรียบร้อยแล้ว คุยกันไม่นานนัก จากนั้นก็จัดของในบ้านใหม่คนเดียวอย่างเนือยๆ หูก็คอยฟังเสียงกริ่งโทรศัพท์ เผื่อว่าป้อมจะโทรมา ก่อนหน้านี้ผมให้เบอร์โทรศัพท์ที่บ้านใหม่แก่ป้อมไป พร้อมกับคิดว่าอยู่ที่นี่การคุยโทรศัพท์สะดวกขึ้นมาก ไม่ต้องคอยวิ่งไปรับโทรศัพท์และโทรศัพท์ตัดทุกห้านาที ไม่ต่องเข้าคิวใช้โทรศัพท์ อยากโทรเมื่อไรก็ได้ แต่สุดท้ายมีโทรศัพท์ก็กลายเป็นว่าไม่รู้จะคุยกับใคร...

ค่ำวันเสาร์

อาหารมื้อแรกภายในบ้านหลังใหม่ของผมเป็นข้าวผัดกะเพราที่ซื้อมาจากปากซอย อาหารการกินแถวนี้ต่างจากที่หอพัก อยู่ที่หอพักตอนค่ำก็ยังมีอาหารขาย ส่วนที่นี่ เนื่องจากแถวนี้เป็นย่านบ้านพักอาศัย ส่วนใหญ่ไม่มีใครกินอาหารเย็นนอกบ้าน ดังนั้นร้านอาหารแถวนั้นจึงปิดกันตั้งแต่บ่าย ผมต้องซื้อตุนเอาไว้ก่อนตั้งแต่ตอนบ่ายแล้วมาอุ่นกิน ที่บ้านใหม่มีเตาไมโครเวฟไว้อุ่นอาหารด้วย สมัยนั้นเพิ่งเริ่มนิยมกัน ราคายังแพงอยู่ เครื่องหนึ่งขนาดประมาณ ๒๐ ลิตรก็ยังหลายพันบาท และเรื่องจริงที่น่าขำก็คือ ในยุคนั้นยังมีหลายคนทีเดียว คนที่มีการศึกษานี่แหละ บางคนยังแยกเตาอบไมโครเวฟกับเครื่องคอมพิวเตอร์ไม่ออก

กริ๊งงงงงง.... เสียงโทรศัพท์สายแรกดังขึ้น

“ฮัลโหล” ผมรับสาย

“พี่อู เป็นไงบ้าง” เสียงงุ้งงิ้งน่ารักดังมาจากอีกด้านหนึ่ง

“ป่านนี้คุณชายเพิ่งจะโทรมา” ผมรู้สึกดีใจ แต่ก็อดต่อว่าไม่ได้

“ทำรายงานกลุ่มกันทั้งวันเลยพี่อู เนี่ย ป้อมเพิ่งจะกลับถึงบ้าน พอมาถึงก็รีบโทรมาหาพี่อูเลย” ป้อมพูด “วันนี้ย้ายของเหนื่อยไหม”

“ก็ไม่ค่อยเหนื่อยหรอก คนในหอช่วยกันหลายคน” ผมตอบ “ย้ายเสร็จหมดแล้วล่ะ ตอนนี้พี่อยู่บ้านใหม่แล้ว”

“อ้าว เสร็จแล้วเหรอ” ป้อมอุทาน “พรุ่งนี้ว่าจะไปช่วยพี่อูย้ายของ เตรียมแรงไว้เต็มที่เลย”

“เว่อจริงๆ” ผมอดหัวเราะไม่ได้ “ของก็ไม่ได้มากมายอะไร ไม่เห็นต้องเตรียมแรงอะไร”

“แล้วพรุ่งนี้...” ป้อมพูดแล้วค้างไว้

“ก็เหลือเอาของออกจากกล่องแล้วจัดให้เข้าที่เท่านั้นเอง พี่ค่อยๆทำไปเองก็ได้ พรุ่งนี้ไปดูหนังกันดีกว่า พี่อยากดูหนัง” ผมชวน

“ได้ฮะพี่อู” ป้อมตอบ “เอายังงั้นก็ได้”

หลังจากนั้นเราก็เลือกหนังกัน กว่าจะตกลงกันได้ก็เลือกเรื่องกันอยู่นาน

“งั้นพรุ่งนี้เจอกัน ฝันดีนะคุณชาย” ผมพูด

“ฝันดีฮะพี่อู” ป้อมตอบ

-    - -

ต้นเดือนมิถุนายน เปิดเทอมใหม่

ในที่สุด วันหยุดในภาคฤดูร้อนก็สิ้นสุดลง และปีการศึกษาใหม่ก็เริ่มขึ้น ตอนนี้ผมเป็นนักศึกษาชั้นปีที่สามหรือที่เรียกว่าเป็นจูเนียร์แล้ว

ช่วงเวลาปิดเทอมที่ผ่านมามีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ผมได้บ้านหลังใหม่ และผมก็มีความหวังใหม่ๆเกิดขึ้น โดยผู้ที่มาจุดประกายความหวังในดวงใจของผมก็คือป้อมนั่นเอง ตลอดปิดเทอมนั้นผมทุ่มเทเวลาเกือบทั้งหมดให้แก่ป้อมและเรื่องบ้านหลังใหม่ เมื่อทุ่มเทให้กับด้านหนึ่ง ก็ต้องมีด้านอื่นที่บกพร่อง ปิดเทอมนั้นผมกลับบ้านที่ต่างจังหวัดน้อยมาก รวมทั้งเรื่องการเรียนที่รามคำแหงก็ขี้เกียจลงไปมาก ลงทะเบียนเรียนไป ๗ วิชา ไปสอบจริงๆได้แค่สองวิชาเท่านั้น ที่เหลือไม่ได้ไปสอบเลย เพราะว่าไปสอบก็ไม่มีประโยชน์เนื่องจากไม่ได้อ่านหนังสือเลย ถึงไปสอบก็คงสอบตก ก็เลยไม่ไปสอบดีกว่า เอาไปพร้อมเมื่อไรค่อยไปแก้ตัว ดังนั้นในภาคฤดูร้อนผมจึงเก็บหน่วยกิตที่รามคำแหงได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ผมเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านใหม่ได้เพียงสองสามวันก็เปิดเรียนแล้ว ผมยังไม่คุ้นชินกับที่อยู่ใหม่นัก กลางคืนเงียบและเหงาโคตรๆ แต่จะว่าไปแล้ว บ้านหลังนี้อยู่ห่างจากบ้านคุณลุงคุณป้าไม่มากนัก แม้ว่าจะอยู่กันคนละซอยย่อยแต่ว่าต้องเข้าทางปากซอยภาวนาเหมือนกัน อีกทั้งบรรยากาศในตอนกลางคืนก็เงียบๆคล้ายกับตอนที่อยู่กับคุณลุงคุณป้า ดังนั้นก็เหมือนกับว่าน่าจะคุ้นชินกับสภาพแวดล้อม แต่ทำไมจึงเหงาก็ไม่รู้

การเข้าออกปกติผมเข้าออกทางปากซอยภาวนา เนื่องจากเดินใกล้กว่าการออกทางซอยสุภาพงษ์ แต่ว่าก็ต้องคอยสอดส่ายสายตาระวัง ว่าจะเจอคุณลุงคุณป้าหรือไม่ หากเจอก็คิดว่าจะหลบ ที่จริงก็อยากเข้าไปเยี่ยมคุณลุงคุณป้าอยู่เหมือนกัน แต่อีกใจหนึ่งก็ยังกลัวอยู่ ดังนั้นเมื่อสองจิตสองใจจึงยังไม่ได้เข้าไปเยี่ยมทั้งสองสักที

มาอยู่ในบ้านใหม่แต่การใช้ชีวิตบางอย่างกลับคล้ายๆเดิมเหมือนสมัยที่อยู่กับคุณลุงคุณป้า ผมเดินมาขึ้นรถ ปอ.๒ ที่ปากซอยภาวนาเช่นเดิม รวมทั้งกลับมาใช้บริการร้านค้าต่างๆในย่านปากซอยภาวนาเช่นเดิมหลังจากที่ไม่ได้ใช้บริการกันมาหลายปี

ด้านการเรียนของผม ในปีนี้เริ่มแตกต่างจากปีก่อน ตอนที่อยู่ชั้นปีสอง วิชาที่เรียนส่วนใหญ่เป็นวิชาพื้นฐานของแผนก ส่วนในปีนี้เป็นวิชาที่ยากยิ่งขึ้น มีแล็บและการฝึกปฏิบัติค่อนข้างมาก เพราะวิชาชั้นปีสามและปีสี่นี้คือวิชาที่เอาไว้ใช้ทำมาหากินหลังจากที่เรียนจบไปแล้ว บางทีก็มีการออกไปทัศนศึกษาเพื่อดูโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ

เปิดเทอมก็ดีไปอย่าง ได้เจอเพื่อน ได้เจออาจารย์ การอยู่ร่วมกันในสังคมในเวลากลางวันทำให้ผมรู้สึกคลายเหงายามอยู่คนเดียวในเวลากลางคืนไปได้บ้าง

-    - -

วันเสาร์

ผมหยุดสอนพิเศษป้อมในวันเสาร์ที่แล้วที่ต้องย้ายบ้านเพียงสัปดาห์เดียว ในสัปดาห์ถัดมา ทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ ผมกลับมาสอนป้อมเช่นเดิม การสอนของผมเป็นเช่นเดิม แต่การเรียนของป้อมกลับไม่ค่อยเหมือนเดิม เพราะว่า...

กริ๊งงงงงง...

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในขณะที่ผมกำลังสอนป้อมอยู่

“พี่อู รอเดี๋ยวนะฮะ โทรศัพท์ของป้อมเองแหละ” ป้อมพูด พลางวิ่งปราดไปรับโทรศัพท์ที่อีกห้องหนึ่งโดยไม่ได้รอฟังคำตอบจากผม ป้อมหายไปสักพักหนึ่งก็กลับเข้ามา

“ต่อเลยฮะพี่อู” ป้อมพูดหลังจากที่นั่งเก้าอี้เรียบร้อย “เพื่อนโทรมา”

ผมสอนป้อมต่อไปได้อีกพักหนึ่ง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก

“เดี๋ยวนะพี่อู ป้อมไปรับโทรศัพท์ก่อน เดี๋ยวมา” ป้อมพูด พลางวิ่งปราดไปรับโทรศัพท์อีกเช่นเคย

คราวนี้ป้อมหายไปนานขึ้น จากนั้นก็กลับเข้ามาอีก แต่ยังไม่ทันที่จะนั่งลงกับเก้าอี้ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก ป้อมรีบวิ่งออกไปรับอีก

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นนี่คุณชาย” ผมถามหลังจากที่ป้อมกลับเข้ามา รู้สึกหงุดหงิดกับการรอคอย

“เพื่อนโทรมาน่ะพี่อู เพื่อนในกลุ่มมันมีปัญหากัน ป้อมเลยต้องจัดการไกล่เกลี่ยให้” ป้อมพูด

ผมเริ่มสังเกตว่าป้อมเปลี่ยนแปลงไปบ้างตั้งแต่เปิดเทอมมา ฟังจากที่ป้อมเล่า ป้อมไม่ใช่เด็กที่เงียบๆ เก็บตัว เหมือนเมื่อก่อน ป้อมดูป๊อบมากขึ้นในหมู่เพื่อนฝูง รวมทั้งป้อมเองก็ดูเหมือนจะมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ตอนปิดเทอม ป้อมใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับผม ผมจึงยังไม่สังเกตเห็นอะไรมากนัก มาเห็นชัดเอาในตอนเปิดเทอม

“แล้วทำไมต้องเป็นป้อมไกล่เกลี่ยด้วยล่ะ” ผมพยายามระงับอารมณ์ที่หงุดหงิดลง

“ก็ป้อมเป็นหัวหน้ากลุ่มนี่” ป้อมตอบ “ก็เลยต้องเป็นหน้าที่ของป้อม”

“ป้อมเอาแต่คุยโทรศัพท์แบบนี้จะเรียนรู้เรื่องได้ไง แล้วอย่าว่าแต่ป้อมเลย พี่เองสอนๆหยุดๆก็ต่อไม่ถูกเหมือนกัน” ผมบ่น

“ไม่มีแล้วฮะพี่อู ป้อมก็บอกมันไปแล้วว่ากำลังเรียนอยู่ ตอนบ่ายค่อยโทรมา” ป้อมพูดเสียงอ้อน เสียงอ้อนของป้อมมักทำให้ผมใจอ่อนเสมอ

กริ๊งงงงงงง...

“โทษทีนะพี่อู ขออีกทีเดียว” ป้อมพูด พลางวิ่งจู๊ดออกไปรับโทรศัพท์อีก

Monday, March 18, 2013

ภาคสี่ ตอนที่ 70


ดึกแล้ว

สายลมยามดึกบนชั้นดาดฟ้าพัดเย็นสบาย ผมไม่ได้ขึ้นมายืนรับลมบนชั้นดาดฟ้านี้มานานเท่าไรก็จำไม่ได้แล้ว รู้แต่ว่านานมาก ชีวิตในช่วงที่ผ่านมาของผมถือได้ว่าค่อนข้างมีความสุขทีเดียว ดังนั้นจึงไม่มีสาเหตุใดที่จะต้องมายืนปล่อยอารมณ์ครุ่นคิดในยามดึก... แต่ทว่าคืนนี้เป็นข้อยกเว้น

การสนทนากับป้อมเมื่อตอนหัวค่ำทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไรนัก ทีแรกผมรู้สึกไม่พอใจที่ป้อมขอเลื่อนวันเรียนพิเศษ แต่ก็ต้องยอมตามเพราะมันเหมือนกับเป็นการมัดมือชก จะปฏิเสธคำขอของป้อมก็จะทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ไป แต่เมื่อกลับมาที่ห้องแล้วผมกลับรู้สึกหงุดหงิดกลัดกลุ้มไม่คลาย ในที่สุดก็ต้องมายืนชมวิวในความมืดที่ชั้นดาดฟ้าอีก

ชั้นดาดฟ้าในยามดึกมืดมิดเพราะห้องพักที่มีอยู่สองห้องปิดไฟนอนกันหมดแล้ว จำได้ว่าเมื่อก่อนผมชอบมายืนชมวิวยามดึกบนชั้นดาดฟ้าบ่อยๆ พร้อมกับปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปไกลแสนไกล... ผมชอบบรรยากาศที่มืดมิดและเงียบสงบ ในยามที่ผมว้าวุ่นใจ ที่นี่สามารถช่วยให้ใจของผมสงบลงได้

ในคืนเดือนมืด ที่ดาดฟ้านี้ผมสามารถมองเห็นดาวพราวกระจ่างฟ้า มันเหมือนกับมีสายตาของใครบางคน... คนที่ผมเคยผูกพันด้วยมากที่สุด... กำลังจับจ้องมองมาที่ผม ที่นี่... ที่ที่ผมสามารถปล่อยความคิดและจินตนาการของผมไปได้ไกลแสนไกล... มันเหมือนกับว่าผมสามารถฝากคำคิดถึงไปกับสายลมเพื่อส่งไปถึงคนที่ผมเคยผูกพันด้วยมากที่สุด... ในดินแดนอันไกลโพ้นที่ผมไม่เคยรู้จัก...

แต่ในวันนี้ ในวันที่ชีวิตของผมก็ด้าวเดินไปข้างหน้า ผมก็ได้ทิ้งเรื่องราวและความทรงจำต่างๆเอาไว้เบื้องหลัง... นับวันผมก็ยิ่งก้าวเดินห่างจากอดีตมาเรื่อยๆ ผมจึงไม่ค่อยได้ขึ้นมาใช้ความคิดเงียบๆในยามดึกบนชั้นดาดฟ้านี้อีก และต่อไป ผมก็คงไม่มีโอกาสขึ้นมาบนนี้อีกแล้ว... ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอนจริงๆ

ผมทอดสายตาฝ่าความมืดไปยังขอบฟ้าอันแสนไกล อดีตที่ผมพยายามลืมเลือนย้อนกลับมาสู่ห้วงคิดคำนึงของผมอีก...

ผมไม่ค่อยแน่ใจนักว่าทำไมวันนี้ผมจึงหงุดหงิดกับเรื่องของป้อมได้มากขนาดนี้ ทั้งๆที่ตามเหตุผลแล้วมันก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย นักเรียนที่เรียนพิเศษด้วยขอเลื่อนวันเรียนสักครั้ง ไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร แต่ทำไมผมจึงรู้สึกไม่พอใจเอามาก ยิ่งคิดก็ยิ่งวุ่นวายใจ...

เสียงลูกบิดประตูและเสียงเปิดประตูดังขึ้นในความมืด จากนั้นประตูห้องของพี่ธิตก็เปิดออกพร้อมกับแสงไฟในห้องที่สาดลอดออกมา จากนั้นก็เดินลงบันไดไป และไม่นานก็กลับขึ้นมาอีก

พี่ธิตคงเดินออกมาเพื่อลงไปเข้าห้องน้ำ และเมื่อพี่ธิตกลับขึ้นมาและเหลือบเห็นผมเข้า ก็เดินเข้ามาหา

“ไง อู หมู่นี้ไม่ค่อยได้เจอกันเลย อยู่หอเดียวกันแท้ๆ” พี่ธิตทักทาย

“ครับพี่ ช่วงนี้ไม่ค่อยได้อยู่ที่หอเลย ออกเช้า กลับค่ำ กลับมาก็หมดแรง เลยไม่ค่อยได้ขึ้นมา” ผมตอบ

“เมื่อก่อนเห็นอูชอบขึ้นมามองดูดาวตอนดึกๆ แล้วก็ไม่ได้ขึ้นมาเสียนานเลย นี่ขึ้นมาดูดาวอีกแล้ว” พี่ธิตตั้งข้อสังเกต แม้ว่าคำพูดของพี่ธิตจะเป็นประโยคบอกเล่า แต่ความหมายที่ซ่อนอยู่ก็คือคำถามนั่นเอง

“พี่นี่ช่างสังเกตจัง” ผมชม “ผมชอบขึ้นมาตอนดึกๆ ดูดาวบนนี้แล้วใจสงบดีครับ”

ผมเงียบไปนิดหนึ่งแล้วก็พูดต่อ

“ต่อไปคงไม่ได้ขึ้นมาบนนี้อีกแล้ว... เลยขึ้นมาเสียหน่อย”

ถึงผมจะตอบเลี่ยง ไม่ได้บอกว่าผมมีปัญหาอะไรอยู่ในใจ แต่ที่ตอบไปก็เป็นความจริง แม้ว่าผมจะไม่มีเรื่องวุ่นวายใจอะไร ถึงอย่างไรก่อนย้ายออกไปจากหอพักนี้ผมก็ต้องขึ้นมาดูดาวบนดาดฟ้านี้สักครั้งอยู่ดี

“ใจหายเหมือนกันนะอู กินเหล้าด้วยกันมาหลายปี สุดท้ายก็ต้องจากกันเสียแล้ว” พี่ธิตพูด

คำพูดของพี่ธิตทำให้ผมอดใจหายวูบไม่ได้เช่นกัน จริงสินะ หลายปีมานี้ ผมมีความทรงจำอยู่ที่นี่มากมายจริงๆ ผมคุ้นชินกับที่นี่จนเหมือนกับเป็นบ้านของผม แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วมันจะเป็นเพียงหอพักที่เช่าอาศัยก็ตาม ห้องนอนรกๆ ห้องน้ำรวมต้องต่อคิว วงเหล้าเคล้าเสียงกีตาร์กับเพื่อนๆร่วมหอพัก ฯลฯ แม้ว่าผมจะอาลัยอาวรณ์ที่นี่มากเพียงใด แต่สุดท้าย ก็ถึงเวลาที่ผมต้องเดินทางต่อไป...

“นั่นสิพี่ ผมเองก็ใจหาย” ผมบอกความในใจออกมา

พวกที่หอพักเพิ่งจะรู้เรื่องที่ผมกำลังจะย้ายออกเพียงไม่นานนัก หลังจากที่ผมบอกคืนห้องแก่พี่พรจึงค่อยบอกกับพี่ธิต น้องปั้น และคนอื่นๆ คนที่อยู่ในกลุ่มของพี่ธิตล้วนแต่พักอยู่ที่นี่มานานหลายปีแล้ว มาอยู่กันก่อนที่ผมจะย้ายเข้ามาเสียอีก ถือได้ว่าเป็นปิยมิตรที่สนิทสนมและคุ้นเคยกันมานาน

“แต่ก็ดีแล้วล่ะ” พี่ธิตถอนหายใจพลางพูดต่อ “ไม่มีใครอยากอยู่ห้องเช่าไปจนตลอดชีวิตหรอก มีที่ไปก็ต้องไป พี่เองก็เก็บเงินซื้อบ้านอยู่เหมือนกัน แต่คงอีกหลายปีกว่าจะสำเร็จ”

“ผมแค่โชคดีกว่าพี่บ้าง แต่อีกหน่อยพี่ก็ต้องทำสำเร็จจนได้” ผมปลอบใจพี่ธิต ผมรู้ดีว่าคำว่าบ้านมีความหมายมากเพียงใด พี่ธิตเคยเล่าว่าที่ต้องมาอยู่หอพักเช่นนี้ก็เพราะว่ามีภาระต้องส่งเสียทางบ้านอยู่ ดังนั้นจึงยังไม่พร้อมที่จะผ่อนบ้าน ได้แก่เก็บออมฝากธนาคารเอาไว้ก่อน

“ไม่สู้ก็ต้องสู้ล่ะ” พี่ธิตพูด “ไม่งั้นก็ต้องเช่าหอพักอยู่ไปจนแก่”

“อีกหน่อยผมคงเหงาแย่เลย เพราะว่าพี่ชายยังไม่รู้ว่าจะย้ายมาอยู่ด้วยเมื่อไร” ผมพยายามเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“ถ้าเหงาก็แวะมาเยี่ยมพวกเราที่นี่บ้าง” พี่ธิตพูด “มานั่งกินเบียร์กัน”

“ได้เลยพี่” ผมตอบ “ค่ำๆมานั่งกินเบียร์ด้วยคงพอได้ แต่ตีสองตีสามจะมายืนดูดาวบนดาดฟ้าคงไม่ได้แล้ว พี่พรคงไม่ให้เข้ามาแน่”

“จะดูอะไรกันนักหนา ดูที่บ้านใหม่ของอูก็ได้” พี่ธิตหัวเราะ

“มันไม่เหมือนกันหรอกพี่” ผมตอบ “ผมชอบยืนดูดาวที่นี่ มัน... ผมก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง...”

“พี่รู้ว่าอูคงมีเรื่องฝังใจอะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับที่นี่ ถ้าอยากมาดูดาวบนดาดฟ้าอีกก็มาค้างที่ห้องพี่ก็ได้ มาได้ทุกเมื่อ” พี่ธิตพูดพลางเอามือตบไหล่ของผม “ยินดีต้อนรับเสมอ”

“ขอบคุณมากครับพี่” ผมขอบคุณจากใจจริง “ขอบคุณพี่สำหรับทุกเรื่องที่ผ่านมาด้วย...”

“เฮ้ย อู คืนนี้เป็นอะไรไปน่ะ” พี่ธิตแปลกใจ “ดูแปลกๆไป”

“คงรู้สึกใจหายที่ต้องย้ายน่ะครับ” ผมกลบเกลื่อน

“หรือมีเรื่องอย่างอื่น” พี่ธิตพูดดักคอ

“...”

“วัยนี้จะมีอะไร ก็มีแต่เรื่องความรัก ใช่ไหมอู” พี่ธิตพยายามปะติดปะต่อเรื่องราว “ทะเลาะกับสาวมาละสิ”

ความรัก ทะเลาะกับสาว มันก็ไม่ใช่ ไม่เชิง เพราะว่าผมไม่ได้ชอบสาวที่ไหน แต่ที่ผมชอบกลับเป็นเด็กชายวัยรุ่นคนหนึ่ง...

“พี่ธิตจะไปนอนก่อนก็ได้ครับ ขอผมอยู่บนนี้อีกเดี๋ยว แล้วก็จะลงไปนอนเหมือนกัน” ผมตอบ

“ถ้าเปลี่ยนเรื่องแบบนี้ก็แปลว่าใช่” พี่ธิตหัวเราะ “นิสัยเราน่ะไม่เคยเปลี่ยน งั้นพี่ไปนอนก่อนล่ะ”

ว่าแล้วพี่ธิตก็เดินกลับเข้าห้องไป เมื่อไฟในห้องพี่ธิตปิดลง ดาดฟ้าก็กลับไปมืดและสงบเช่นเดิม...

- - -

หลายวันต่อมา เวลาสี่ทุ่ม

ผมนั่งหงุดหงิดวุ่นวายใจอยู่ในห้อง ทำอะไรก็ทำไม่ถูก จะอ่านหนังสือก็อ่านไม่รู้เรื่อง จะนอนก็นอนไม่หลับ ใจจดจ่อรอแต่โทรศัพท์

หลายวันมานี้ป้อมไม่ได้โทรมาหาผมเลย ทุกวันผมนั่งรอโทรศัพท์อยู่ภายในห้องพักตั้งแต่ทุ่มกว่าจนถึงสี่ห้าทุ่ม จะทำอะไรก็ไม่มีสมาธิ แต่สุดท้ายก็เสียเวลาคอยโดยเปล่าประโยชน์ เพราะว่าป้อมไม่ได้โทรมา คืนแล้วคืนเล่าที่ผมนั่งรอโทรศัพท์แบบลมๆแล้งๆอยู่อย่างนี้ วันเวลาแห่งการรอคอยผ่านไปอย่างโหดร้าย มีแต่คนที่เคยมีประสบการณ์เฝ้ารอแบบนี้จึงจะเข้าใจว่ามันทำให้วุ่นวายใจและฟุ้งซ่านได้มากเพียงใด...

วันอาทิตย์

ในที่สุดก็ถึงวันอาทิตย์ ผมเดินทางไปสอนป้อมด้วยหัวใจที่หงุดหงิด สัปดาห์นั้นเป็นสัปดาห์ที่ผมหงุดหงิดวุ่นวายใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน การรอคอยโทรศัพท์ทำให้ผมไม่เป็นอันทำอะไร

“เย้ พี่อู เข้ามาเร้ว” ป้อมชะโงกหน้าออกมาทางประตูเล็กหน้าบ้านภายหลังจากที่ผมกดออด จากนั้นป้อมก็ฉุดมือผมและดึงผมเข้าไปในบ้านอย่างสนิทสนม เมื่อผมได้สัมผัสมืออันอบอุ่นของป้อม ความหงุดหงิดของผมสลายคลายไปจนเกือบหมดสิ้น

“เมื่อวานไปไหนมาล่ะ” ผมถามป้อม แม้จะพยายามควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติ แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าน้ำเสียงของผมห้วนอยู่บ้าง

“ไปดูหนังแล้วก็กินข้าวกับเพื่อนๆมา” ป้อมตอบอย่างอารมณ์ดี “โอ๊ย หนังโคตรสนุกเลย”

“แล้วคิดจะชวนพี่ดูบ้างไหมเนี่ย” ผมถามแบบทีเล่นทีจริง

“ก็ป้อมดูไปแล้วนี่ ดูซ้ำก็ไม่หนุกแล้ว เอาไว้ไปดูหนังเรื่องอื่นละกันนะพี่อู” ป้อมตอบ

“...”

ผมไม่ค่อยพอใจกับคำตอบนี้เท่าไรนัก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรได้ จึงได้แต่เงียบ และเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน

“แล้วบ่ายนี้คุณชายจะทำอะไร” ผมถาม ตั้งใจว่าจะชวนป้อมออกไปหาอะไรแล้วก็ดูหนัง แม้ว่าผมจะรู้สึกหงุดหงิดกับป้อม แต่ถึงอย่างไรผมก็ยังอยากเจอ อยากคุย และอยากใช้เวลาร่วมกับป้อมอยู่ดี

“บ่ายนี้ป้อมต้องทำการบ้าน” ป้อมตอบ “การบ้านส่งวันจันทร์เป็นตั้งเลย ตอนบ่ายพี่อูอยู่ช่วยป้อมทำการบ้านหน่อยนะฮะ”

“ไม่ออกไปหาอะไรกินกันหน่อยเหรอ” ในที่สุดผมก็อดไม่ได้ต้องบอกความต้องการของผมออกไป

“เมื่อวานป้อมเพิ่งไปเที่ยวมาทั้งวัน วันนี้อยากอยู่บ้านทำการบ้านมากกว่า” ป้อมปฏิเสธ “พี่อูอยู่ช่วยป้อมหน่อย นะพี่อู”

ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอีกอย่างไม่มีเหตุผล ที่จริงมันก็คงมีเหตุผลนั่นแหละ แต่ก็เหมือนกับว่ามันเป็นเหตุผลที่ไม่ค่อยมีเหตุผลนัก และแม้ว่าผมจะหงุดหงิดเพียงใด ผมก็ยังอยากมีเวลาอยู่ร่วมกับป้อมอยู่ดี ดังนั้นในที่สุดผมจึงรับปากที่จะอยู่ช่วยป้อมทำการบ้านในตอนบ่าย

หลังจากที่เรียนในภาคเช้าเสร็จ เราก็พักกินอาหารกัน จากนั้นช่วงบ่ายผมก็ช่วยป้อมทำการบ้าน การช่วยของผมก็ไม่มีอะไรมาก คืออะไรที่ป้อมทำได้ก็ปล่อยให้ป้อมทำไป ส่วนไหนที่ป้อมทำไม่ได้ผมจึงอธิบายแนวคิดและวิธีการแก้โจทย์ให้ป้อมฟัง การบ้านของป้อมเยอะแต่ไม่ยากนักเพราะเป็นบทต้นๆเนื่องจากตอนนี้ยังเป็นเวลาต้นเทอมอยู่ ส่วนใหญ่ป้อมทำเองได้ ดังนั้นงานส่วนใหญ่ในตอนบ่ายของผมจึงเป็นเพียงการนั่งเป็นเพื่อนป้อมเท่านั้น

ผมนั่งเหม่อมองดูวงหน้าที่คมคายแจ่มใสของป้อม ป้อมก้มหน้าก้มตาทำการบ้านจึงไม่ได้สังเกตว่าผมกำลังจ้องมองอยู่ ใบหน้าอันคมคายของป้อมยิ่งดูก็ยิ่งน่ารัก น่าหลงใหล ผมมองดูป้อมจนเพลินพร้อมกับคิดฝันไปเรื่อยเปื่อย เมื่อก่อนนี้ ตอนที่ผมมาสอนป้อมใหม่ๆ ป้อมไม่ได้มีเสน่ห์อะไรที่ดึงดูดใจผมเลย แต่พอนานวันเข้า... จนถึงวันนี้ ผมกลับมีความฝันบ้าๆบอๆขึ้นมา... ผมฝันว่าสักวันหนึ่งป้อมจะร่วมเดินบนเส้นทางชีวิตของผม...

“เย้... เสร็จแล้วพี่อู” ป้อมร้องเสียงดังพร้อมกับวางปากกาในมือลง “เขียนจนมือแทบหงิก”

“แค่นี้ทำเป็นบ่น” ผมตื่นจากห้วงคิดคำนึง กลับสู่โลกของความเป็นจริง

“พี่อูนั่งดูเฉยๆจะไปรู้อะไร” ป้อมพูด พลางยื่นมือขวามาที่เบื้องหน้าของผม สลัดมือเบาๆ “เสียวเอ้อ ช่วยหน่อยเร็ว”

ผมคว้ามือป้อมมาบีบนวดเหมือนเช่นเคย มันเป็นมุขขำที่เราชอบเล่นกัน ความน่ารักของป้อมทำให้ความขุ่นข้องหมองใจที่ผมสะสมมาตลอดสัปดาห์สลายไปจนหมดสิ้น มือที่นุ่มเนียนและอบอุ่นของป้อมทำให้จิตใจของผมเตลิดเปิดเปิงไปไกล

“ป้อมทำการบ้านเสร็จแล้ว พี่จะได้กลับเสียที” ผมพูดหลังจากนวดมือให้ป้อมเสร็จ แม้ว่าผมยังไม่อยากกลับแต่ผมก็จำเป็นต้องไป พรุ่งนี้ยังมีเรื่องต่างๆรออยู่อีกมากมาย  “เสาร์อาทิตย์หน้าพี่คงไม่ได้มาสอนป้อมนะ คงต้องเว้นไปสัปดาห์หนึ่ง”

“อ้าว ทำไมล่ะพี่อู” ป้อมถาม

“พี่จะย้ายแล้ว จะย้ายเข้าบ้านใหม่เสาร์อาทิตย์หน้านี้แหละ” ผมตอบ

“โห ไวจัง” ป้อมอุทาน “บ้านใหม่ตกแต่งเรียบร้อยแล้วเหรอ”

“สัปดาห์นี้คงเก็บงานทุกอย่างได้หมด แล้วเสาร์กับอาทิตย์ก็ย้ายของจากหอพักไปเข้าบ้านใหม่ นี่ก็ใกล้ก็สิ้นเดือนแล้ว ถ้ายังไม่ย้ายก็ต้องจ่ายค่าเช่าอีกเดือน ก็ย้ายเสียเลยดีกว่า” ผมอธิบาย “ป้อมมาช่วยพี่หน่อยสิ”

“ได้เลยพี่อู เดี๋ยวป้อมจะไปช่วยย้ายของ” ป้อมรับปากทันที

“ขอบใจนะป้อม” ผมพูด

- - -

ปลายเดือนพฤษภาคม

ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือน บ้านใหม่ของผมก็ตกแต่งเรียบร้อย พร้อมที่จะย้ายเข้าอยู่ได้ ที่จริงก็ไม่ได้ตกแต่งอะไรมากมาย ที่คิดโครงการเอาไว้ใหญ่โตว่าจะทาสีใหม่ จะทำนั่น จะทำนี่ ในที่สุดก็ลดขนาดโครงการลงมาเพราะว่าต้องการประหยัดเงิน กลายเป็นว่าไม่ทาสีใหม่ ใช้ไปตามสภาพที่เป็นอยู่ เพราะว่าค่าทาสีใหม่ทั้งหลังก็หลายหมื่นบาททีเดียว 

นอกจากนี้ เครื่องเรือนและของตกแต่งบ้านที่เดิมคิดเอาไว้ใหญ่โต จะมีชุดรักแขกสวยๆ จะมีโต๊ะกินอาหารสวยๆ มีโต๊ะทำงานสวยๆ ห้องนอนสวยๆ ฯลฯ สุดท้ายก็ไม่ได้สักอย่าง ตัดลดค่าใช้จ่ายลงมาจนได้เพียงห้องนอนที่มีตู้ โต๊ะ เตียง ราคาปานกลาง ชุดรับแขกก็เป็นโซฟาหนังเทียมหลักพันบาท โต๊ะกินอาหารก็เป็นโต๊ะหกที่นั่งทำด้วยไม้ยางพารา ราคาเป็นหลักพันบาทเช่นกัน ความฝันก็เก็บเอาไว้ฝันตอนกลางคืน ส่วนชีวิตจริงก็อีกเรื่องหนึ่ง ผมรู้ว่าฐานะทางบ้านคงไม่เอื้ออำนวยให้ผมฟุ่มเฟือยได้ ได้มาแค่นี้ก็ดีมากแล้ว แม้ว่าพ่อไม่เคยตั้งวงเงินกับผมว่าใช้ได้ไม่เกินเท่าไร รวมทั้งไม่เคยซักถามผมว่าที่ขอไปนั้นเอาไปใช้ทำอะไรบ้าง แต่ผมก็รู้ดีว่าฐานะทางบ้านมีจำกัด ดังนั้นจึงใช้อย่างประหยัดที่สุด

แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ผมก็มีแอบหรูบ้างในบางเรื่อง ก็ยอมรับว่าบางอย่างก็อดไม่ได้ที่จะทำตามใจตนเอง อย่างเช่นเรื่องตู้ครัว เห็นตู้บิลต์อินสวยๆก็อยากได้บ้าง รวมทั้งผมยังได้สั่งทำตู้หนังสือไปชุดหนึ่ง เป็นราคาหมื่นกว่าบาท ซึ่งถือว่าแพงในสมัยนั้น ตู้หนังสือสวยๆเป็นความใฝ่ฝันของผมมานานแล้ว บางคนอยากได้รถสวยๆ บางคนอยากได้เสื้อผ้าแบรนด์แพงๆ แต่สำหรับผม ผมอยากได้ตู้หนังสือหรูๆในห้องนอน เดิมทีคิดว่าจะทำเป็นตู้หนังสือบิลต์อินอยู่ในห้องให้เต็มผนังห้องด้านหนึ่งไปเลย แต่ช่างบอกว่ากำแพงห้องนอนของผมนั้นเลื้อยมาก หมายถึงว่าแนวกำแพงไม่ตรง ทำให้ทำตู้บิลต์อินได้ยาก สุดท้ายเลยทำมาเป็นตู้ขนาดกลางสามใบ เอามาเรียงต่อกัน ซึ่งเมื่อวางแล้วก็เข้าชุดกันเหมือนเป็นตู้ใบเดียว ดูสวยทีเดียว

นอกจากนี้ เงินอีกจำนวนหนึ่งก็หมดไปเป็นค่าเครื่องปรับอากาศในห้องนอน ทั้งบ้านติดตั้งเพียงตัวเดียวเพื่อความประหยัด แต่แม้ว่าจะประหยัดอย่างไร เพียงแค่แอร์ ตู้ครัว กับตู้หนังสือ รวมกันก็เกือบแสนบาทเข้าไปแล้ว จึงต้องไปตัดลดด้านอื่นๆจนหมด

“น้องอู รับโทรศัพท์ด้วยค่ะ” เสียงพี่พรดังลั่นออกมาจากอินเตอร์คอมในคืนวันหนึ่ง

ผมรีบวิ่งลงไปรับโทรศัพท์ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมคอยโทรศัพท์จากป้อมทุกวัน ถึงเวลาค่ำก็ไม่เป็นอันทำอะไร ชะเง้อคอยโทรศัพท์แบบลมๆแล้งๆไปจนดึก ซึ่งป้อมเองตั้งแต่เปิดเรียนก็ไม่ได้โทรมาทุกวันเหมือนเช่นที่เคยทำในช่วงปิดเทอม หลายๆวันจึงจะโทรมาหาผมสักครั้งหนึ่ง

“ฮัลโหล” ผมรับสาย ความรู้สึกในตอนนั้นเหมือนกับต้นไม้ที่ขาดน้ำมาหลายวันแล้วพลันก็มีฝนตกลงมา

“ฮัลโหล พี่อู ทำไรอยู่น่ะ” ป้อมทักทายพร้อมกับถามเสียงงุ้งงิ้ง “ห้ามตอบว่าคุยโทรศัพท์อยู่นะ”

“รู้ทันเชียว... ก็... ตอบว่านั่งทำงานอยู่ละกัน” ผมกวน “หายตัวไปหลายวันไม่โทรมาเลยนะคุณชาย”

“นี่ก็โทรมาแล้วไง” ป้อมหัวเราะทะเล้น

“ที่โทรมานี่มีอะไรพิเศษหรือเปล่า” ผมถาม คำถามนี้ผมถามไปยั้งงั้นเอง ที่จริงทุกครั้งที่ป้อมโทรมาก็เป็นการคุยกันสัพเพเหระ ไม่ได้มีอะไรพิเศษอยู่แล้ว

“ก็...” ป้อมอึกอัก “มีนิดหน่อย”

“มีเรื่องอะไรเหรอ” คำพูดของป้อมทำให้ผมรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างไรชอบกล

“ก็... วันเสาร์นี้ป้อมคงไปช่วยพี่อูย้ายบ้านไม่ได้...” ป้อมอึกอักอีก

“อ้าว...” ผมอุทาน รู้สึกว่าเสียงอุทานของตนเองกลายเป็นเสียงแหบพร่า “เกิดอะไรขึ้นล่ะ”

“วันเสาร์ป้อมมีนัดทำงานกลุ่มฮะ” ป้อมพูด

“ก็ป้อมรับปากกับพี่แล้ว...” ผมพูด แล้วก็หยุดไว้เพียงเท่านั้น อยากพูดอะไรให้มากกว่านั้นแต่ก็ยั้งใจเอาไว้

“ขอโทษนะพี่อู” น้ำเสียงของป้อมจ๋อยลง “แต่มันนัดทำงานกลุ่มกัน ทุกคนไปกันหมด ถ้าป้อมไม่ไปก็จะกลายเป็นว่าป้อมไม่ร่วมมือ... แต่วันอาทิตย์ป้อมไปได้นะ ป้อมจะไปช่วยพี่อูเต็มที่เลย... ”



<ร้านขายเครื่องเรือนบนถนนลาดพร้าว ย่านลาดพร้าวตั้งแต่ซอย ๒๕ ไปจนถึงซอย ๓๕ เมื่อก่อนเป็นร้านขายเครื่องเรือนตลอดทั้งช่วง รวมไปจนถึงซอยลาดพร้าวฝั่งตรงข้าม คือฝั่งซอยคู่ ตั้งแต่ซอย ๓๔ ไปจนถึงซอย ๔๒ เฟอร์นิเจอร์ที่ขายในย่านนี้มีทุกระดับ ตั้งแต่เครื่องเรือนสำเร็จรูป โต๊ะเก้าอี้พลาสติกราคาถูก ไปจนถึงงานเครื่องเรือนไม้ระดับหรูหรา ล้วนแล้วแต่หาได้ในย่านนี้ทั้งหมด

กาลเวลาผ่านไป งานช่างฝีมือทำเครื่องเรือนกลายเป็นวิชาชีพที่ไม่มีใครสานต่อแม้ว่าจะเป็นงานที่ทำรายได้สูงก็ตาม การทำเครื่องเรือนในระบบอุตสาหกรรมเข้ามาแทนที่ ร้านเฟอร์นิเจอร์หลายร้านที่เป็นงานช่างฝีมือก็ต้องปิดตัวไปเพราะหาช่างฝีมือไม่ได้

จนถึงในยุคปัจจุบัน มีคอนโดมีเนียมเกิดขึ้นในย่านนี้หลายสิบโครงการ ร้านเฟอร์นิเจอร์ในย่านนี้จึงยังคงความคึกคักมาได้ตลอดเวลาหลายสิบปี แต่รูปแบบของเฟอร์นิเจอร์เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อน รวมทั้งจำนวนร้านก็มีน้อยลง ร้านเหล่านี้ในปัจจุบันเน้นที่การขายเฟอร์นิเจอร์สำเร็จรูปที่รับมาจากโรงงานเป็นหลัก

ที่เห็นในภาพนี้เป็นร้านเฟอร์นิเจอร์ระหว่างซอยลาดพร้าว ๓๘ กับ ๔๐ ในปัจจุบัน>