Thursday, March 8, 2012

ภาคสี่ ตอนที่ 56

การดูหนังของผมและป้อมในวันอาทิตย์นั้นใช้เวลาไปทั้งวัน ไหนจะกินอาหาร ไหนจะดูหนัง เสร็จแล้วป้อมยังอยากเดินเล่นไม่ยอมกลับบ้านเสียอีก ดูป้อมสนุกมาก ผมไม่อยากขัดใจจึงเดินเป็นเพื่อนป้อมจนกระทั่งตอนเย็นจึงแยกย้ายกันกลับ

ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมมีภาระที่ต้องทำเยอะมาก เมื่อก่อนตอนสอบเอนทรานซ์แม้ว่าจะเป็นช่วงที่หนักก็จริงแต่ก็เป็นเรื่องสอบเพียงเรื่องเดียว แต่ตอนนี้ไหนจะเรียนสองแห่ง ไหนจะกิจกรรม ไหนจะสอนพิเศษสองวิชา ไหนยังจะต้องกลับบ้านไปเยี่ยมแม่อีก ช่วงชีวิตนี้เป็นครั้งแรกที่ผมเริ่มรู้สึกแบ่งเวลาในชีวิตไม่ถูกเพราะว่าผมพยายามจะทำให้ได้ทุกอย่าง

ช่วงนั้นผมไม่ค่อยได้เจอจุ๋มเลยเพราะว่าผมกลับหอไม่ค่อยแน่นอน จึงไม่ค่อยตรงกับเวลาที่จุ๋มกลับบ้าน แม้ว่าจะไม่ได้เจอกันแต่ในบางครั้งภาพของจุ๋มก็แว่บเข้ามาในความคิดของผมบ้างเป็นครั้งคราว จนในวันหนึ่ง...

“หูย พี่อู หายหน้าหายตาไปไหน ไม่เห็นตั้งนาน” เสียงอันคุ้นเคยทักผมขณะที่ผมยืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์ในตอนเย็นเพื่อกลับหอพัก วันนั้นผมไปยืนรอที่ป้ายรถเมล์สามย่านตั้งแต่บ่ายสี่โมงกว่า เดินไปเดินมาอยู่แถวป้ายรถเมล์อยู่จนเกือบห้าโมงเย็น

“หวัดดีจุ๋ม” ผมทักตอบเจ้าของเสียง รู้สึกดีใจ รออยู่นาน ในที่สุดก็ได้เจอเสียที “หน้าพี่ไม่ได้หายไปไหนหรอก มันก็แปะอยู่บนหัวนี่แหละ”

จุ๋มมองหน้าผมแล้วทำหน้าแบบกลุ้มใจ

“หน้าแปะอยู่บนหัวเหรอ... ถ้างั้นถือว่าจุ๋มถามผิดก็ได้ จะให้จุ๋มถามใหม่มั้ย” จุ๋มพูด

“ฮื่อ ถามผิดจะถามใหม่ก็ได้” ผมพยักหน้าอนุญาต กำลังคิดย่ามใจว่าวันนี้โต้คารมได้กำไรจุ๋มมาหน่อยหนึ่งแล้ว

“พี่อูหายห...” จุ๋มพูดไม่จบแล้วหยุดไว้ แล้วทำเสียงแบบกลั้นหัวเราะ “ไม่เอาละ ไม่ถามดีกว่า เดี๋ยวจะหาว่าจุ๋มหยาบคาย”

“เออ งั้นอย่าถามเลย” ผมรีบปราม ในที่สุดก็พลาดท่าให้จุ๋มอีกจนได้ ผมรู้ดีว่าจุ๋มคิดจะถามว่าผมหายหัวไปไหนมา “เราไปกินขนมกันดีกว่า”

จุ๋มพยักหน้าไม่ขัดข้อง เราจึงเดินขึ้นชั้นสองของตลาดสามย่านเพื่อหาซื้อขนมกิน เมื่อสั่งขนมแล้วก็ไปนั่งคุยกันที่โต๊ะ

“หมู่นี้ไม่ค่อยเห็นพี่อูเลย งานเยอะกลับบ้านค่ำเหรอ” จุ๋มถามอีก

ผมอดรู้สึกผิดไม่ได้ที่หมู่นี้ไม่ค่อยได้กลับบ้านเป็นเพื่อนจุ๋ม

“ก็ไม่เชิงกลับค่ำหรอก แต่ว่ากลับไม่แน่นอนมากกว่า บางวันเลิกเรียนก็กลับหอไปเลย บางวันก็กลับค่ำ” ผมพูด จากนั้นก็เล่าเรื่องการสอนภาษาอังกฤษแก่ป้อมให้จุ๋มฟัง

“พี่อูเอาจริงเลยนะ” จุ๋มพูด

“ฮื่อ สอนภาษาอังกฤษนี่ใช้เวลามากกว่าที่คิดแฮะ ตอนนี้ยังไม่ใกล้สอบ พี่เลยพยายามทำบทเรียนตุนเอาไว้มากๆก่อน พอใกล้สอบจะได้พักเรื่องนี้ไปดูหนังสือสอบได้” ผมเล่าแผนการณ์ที่วางเอาไว้ให้จุ๋มฟัง “แล้วจุ๋มล่ะ หมู่นี้เป็นไงบ้าง”

“ก็ยุ่งหน่อยค่ะ...” จุ๋มตอบ

“คงซ้อมหนัก...” ผมต่อให้ เดาเอาว่าจุ๋มคงซ้อมดนตรีหนัก

“ก็ใช่” จุ๋มพยักหน้า “ แล้วก็เกี่ยวกับเรื่องที่บ้านด้วย”

“ที่บ้านมีเรื่องอะไรเหรอ” ผมถาม

จุ๋มถอนหายใจ ปกติจุ๋มเป็นคนที่แจ่มใสอยู่เสมอ แต่ครั้งนี้สีหน้ามีแววหนักใจ

“ความจำของพ่อแย่ลงอีก แม่ก็เลยเครียด พอแม่เครียดก็บ่นมาก” จุ๋มเล่า “ ก็เลยทะเลาะกับน้องชายบ่อยขึ้น น้องมันก็เลยกลับดึกๆดื่นๆทุกวัน ช่วงนี้จุ๋มเลยต้องดูแลพ่อเยอะหน่อยเพราะน้องมันไม่ค่อยได้อยู่ช่วย”

ผมฟังแล้วได้แต่นิ่ง รู้สึกสงสารจุ๋มแต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง

“ที่จริงน้องมันกลับดึกก็ดีเหมือนกัน เจอแม่น้อยลงก็ทะเลาะกันน้อยลง มันเองก็ไม่เครียดมากด้วย” จุ๋มพูดต่อ

“บางทีน้องชายจุ๋มอาจจะไม่ได้อยากกลับบ้านดึกหรอกนะ” ผมพูดอย่างครุ่นคิด “แต่ว่าน้องจุ๋มเคว้ง ไม่รู้จะไปไหนมากกว่า”

“ทำไมพี่อูคิดยังงั้นล่ะ” จุ๋มถาม

“เมื่อก่อนพี่ก็เคยเป็นแบบนั้น...” ผมตอบ พลางนึกถึงชีวิตช่วงหนึ่งตอนที่อยู่บ้านคุณลุงคุณป้า จุ๋มอาจเป็นคนที่เข้าใจผู้อื่น แต่ผมว่าจุ๋มไม่ค่อยเข้าใจน้องชายตัวเองเท่าไรนัก “การกลับบ้านดึกมันไม่ได้เป็นเพราะพี่ไปสนุกแล้วเถลไถล ตรงกันข้าม ตอนหัวค่ำเป็นเวลาที่พี่เหงาและเวลาผ่านไปช้ามาก อยากกลับเข้าบ้านจะแย่แต่ก็ทำไม่ได้ มันไม่ได้มีความสุขหรอก”

จุ๋มทำสีหน้ากลุ้มใจ

“แล้วจุ๋มควรจะทำไงดีล่ะ” จุ๋มถาม

“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน” ผมตอบอย่างจนปัญญา “ช่วงนี้จุ๋มคงต้องพยายามสังเกตน้องไปก่อน หากมีอะไรที่ผิดสังเกตค่อยมาว่ากันอีกที”

- - -


หลังจากที่ผมพาป้อมไปเลี้ยงหนัง จากนั้นมาผมสังเกตดูป้อมตั้งใจเรียนกับผมมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็ดูขี้อ้อนและงอแงกับผมบ่อยขึ้น ถึงตอนที่ตั้งใจเรียนก็ตั้งใจเรียน แต่ถ้าเมื่อยขึ้นมาก็ขอพักดื้อๆเลย เมื่อก่อนว่าง่ายแต่เดี๋ยวนี้ว่ายากขึ้นนิดหน่อย ทำให้ผมทั้งดีใจและหนักใจ ที่ดีใจก็เพราะผมคิดว่าที่เป็นอย่างนี้ก็คงเป็นเพราะป้อมให้ความสนิทสนมกับผมและไว้วางใจผมนั่นเอง การซื้อใจป้อมได้ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ผมก็สามารถทำได้สำเร็จ ส่วนที่หนักใจก็คือการควบคุมเวลากับป้อมทำได้ยากขึ้น

และที่ยากที่สุดก็คือเรื่องการเตรียมการสอน หลังจากที่ผมสอนภาษาอังกฤษแบบนอกตำรามัธยมให้ป้อมแล้วเห็นป้อมตั้งใจเรียน ผมก็มีกำลังใจขึ้นมามาก ตั้งใจว่าจะทำให้คะแนนสอนเอนทรานซ์วิชาภาษาอังกฤษของป้อมไม่ถึงกับขี้เหร่ นักเรียนที่สอบเอนทรานซ์เสียคะแนนไปกับส่วนอ่านเอาเรื่องก็มาก หากป้อมทำคะแนนส่วนนี้ได้ดีก็จะฉุดคะแนนรวมให้ดีขึ้น ไม่แน่ว่าอาจจะเข้าคณะวิศวะได้ด้วยคะแนนจากภาษาอังกฤษก็ได้ ผมวาดฝันไปโน่น

ผลก็คือผมทุ่มเทเวลาในการเตรียมการสอนภาษาอังกฤษแก่ป้อมไม่รู้ว่าสัปดาห์ละกี่ชั่วโมง บางทีอาจจะมากกว่าเวลาที่ใช้เตรียมสอนคณิตศาสตร์เสียอีก แถมยังซื้อหนังสือมาเพิ่มอีกเพียบเพื่อหาแบบฝึกหัดเหมาะๆให้ป้อมทำ ตอนเตรียมการสอนนี่ไม่ได้คิดแล้วว่าได้ค่าสอนหรือไม่ได้ค่าสอน คุ้มหรือไม่คุ้ม รู้สึกอยากทำก็ทำ

เนื่องจากการอ่านของป้อมยังไม่ค่อยดีนัก การเรียนของเราจึงเกือบเหมือนกับว่ามาตั้งต้นกันใหม่ ผมพยายามให้ป้อมฝึกอ่านประโยคที่มีรูปแบบพื้นฐานหรือประโยคเชิงเดี่ยวที่มีประธานตัวเดียว กริยาตัวเดียว และกรรมตัวเดียว พร้อมกับค่อยๆสอนคำศัพท์ใหม่ๆให้ป้อมโดยพยายามใช้หลักของรากศัพท์เข้ามาช่วยให้ป้อมจำได้ง่ายขึ้น

“คำศัพท์ภาษาอังกฤษนี่มีที่มาที่ไปนะป้อม” ผมอธิบาย “ศัพท์หลายๆคำมีรากหรือว่าที่มาจากที่เดียวกัน ดังนั้นหากเราจับหลักได้การเรียนศัพท์ก็ง่ายขึ้นอีกหน่อย เพราะทำให้เราจำศัพท์ได้เป็นชุดในส่วนที่มีความเกี่ยวข้องกัน”

ป้อมพยักหน้าหงึกหงัก

“ยกตัวอย่างเช่น คำว่า recall, revise, retell พวกนี้มีความเกี่ยวข้องกัน” ผมพูดต่อ “เกี่ยวข้องกันยังไงรู้มั้ย”

“จะไปรู้ได้ไง” ป้อมตอบหน้าตาย “ถ้ารู้ป้อมก็ไม่ต้องเรียนกับพี่อูดิ”

“นี่แน่ะ กวนนัก” ผมเอาปากกาเคาะหัวป้อมเบาๆ “ไม่ได้สังเกตเหรอว่าทั้งสามคำมีพยางค์หน้าเหมือนกันคือ รี (re)”

“ศัพท์ชุดนี้มีรากเดียวกันคือ re คำนี้มีความหมายว่าทำซ้ำหรือว่าเอามาทำอีกครั้งหนึ่ง” ผมอธิบายต่อ “recall คือเรียกอีกครั้งหนึ่ง หมายถึง จำได้ นึกได้ ส่วน revise หมายถึงทบทวนอีกครั้งหรือตรวจทานอีกครั้ง และ retell หมายถึงเล่าอีกครั้งหนึ่ง แต่อาจเล่าจากมุมมองอื่นที่ไม่ใช่มุมมองเดิม เห็นมั้ยว่าทั้งหมดมีรากเดียวกันคือทำใหม่อีกซ้ำหรือเอามาทำอีกครั้งหนึ่ง พอเข้าใจไหม”

ป้อมพยักหน้าหงึกหงักอีก พลางยกมือขวาขึ้น ขยับนิ้วมือทั้งห้าไปมาอันเป็นความหมายว่าเมื่อยมือ พร้อมกับทำหน้าอ้อน ผมเข้าใจความหมายของป้อมดีจึงจับมือของป้อมมาบีบนวดให้

“เอาล่ะ ถ้าเข้าใจพี่จะทดสอบป้อมหน่อย” ผมพูดต่อ พลางหยิบปากกาเขียนคำศัพท์ลงบนกระดาษว่า retail “ป้อมคิดว่าศัพท์คำนี้แปลว่าอะไร”

“ฮึ หมูๆ” ป้อมตอบแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด “retail คงหมายถึงจิ้งจกมั้ง”

คำตอบของป้อมทำให้ผมถึงกับอึ้ง

“มันเป็นจิ้งจกไปได้ยังไง” ผมถาม

“tail แปลว่าหางไง retail คงหมายถึงหางงอกใหม่อีกครั้ง ก็คือจิ้งจกนั่นเอง 555” ป้อมเฉลย พูดจบก็หัวเราะเราะขำที่เห็นผมตั้งใจฟังอย่างมาก

“เฮ้อ จะบ้าตาย” ผมถอนหายใจ หลงฟังอยู่ตั้งนาน ที่แท้ป้อมก็มั่วนิ่ม

- - -

วันเสาร์ ปลายเดือนธันวาคม

ตั้งแต่ผมสอนภาษาอังกฤษให้ป้อม ดูป้อมจะสนิทสนมและเป็นกันเองกับผมมากยิ่งขึ้น เรียกได้ว่าซี้กันเลยทีเดียว แต่เมื่อมีข้อดีก็มีข้อเสีย ความสนิทสนมกันทำให้การเรียนไปได้ค่อนข้างช้าเพราะป้อมเล่นมากขึ้น ทั้งเล่น ทั้งกวน ประกอบกับหลังจากที่ฝึกทักษะกับประโยคเชิงเดี่ยวไปแล้วผมก็เริ่มให้ป้อมอ่านประโยคเชิงซ้อนซึ่งยากขึ้น การสอนจึงกินเวลามากขึ้น จากเดิมที่แอบสอนครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงหลังจากคณิตศาสตร์ เสร็จไม่เกินเที่ยงครึ่ง กลายเป็นว่าผมต้องสอนต่อในช่วงบ่ายด้วย แต่พ่อของป้อมก็ไม่ได้ระแคะระคายเพราะคิดว่าผมสอนการบ้านให้แก่ป้อม

เช้าวันนั้น เมื่อผมกดออดที่หน้าประตูบ้าน ป้อมก็มาเปิดประตูให้ผมด้วยสีหน้าที่บึ้งตึง

“เอ๊ะ คุณชายเป็นอะไร ทำไมหน้าหงิกแต่เช้า” ผมทัก “โดนดุมาหรือเปล่า”

ป้อมไม่ตอบ ผมเห็นป้อมเงียบผิดสังเกตทำให้อดคิดไปไม่ได้ว่าความลับเรื่องเรียนภาษาอังกฤษแตกหรือเปล่า พยายามถามอยู่สองสามครั้งเมื่อเห็นป้อมไม่ตอบผมจึงเลิกถาม คิดว่าเมื่อไรที่ป้อมพร้อมก็คงเล่าออกมาเอง

วันนั้นป้อมเหมือนกับคิดอะไรอยู่ในใจตลอดเวลา ตอนเรียนก็เงียบ ถามคำตอบคำ สามวาสองศอก ผมเองก็สอนจนเริ่มรู้สึกอึดอัด เรียนไปชั่วโมงกว่าแต่เหมือนไม่ได้เรียนอะไรเลย

“ตกลงป้อมจะบอกพี่ได้หรือยังว่ามันเรื่องอะไร” ผมถาม “วันนี้ป้อมเรียนไม่เข้าสมองเลยนะ”

“พี่อู พอแค่นี้ได้เปล่า” ป้อมพูด “ป้อมไม่อยากเรียนแล้ว”

คำว่าไม่อยากเรียนทำให้ผมถึงกับฉุน ตอนอยากเรียนก็อ้อนวอนผม ผมอุตส่าห์เตรียมการสอนแทบตาย สุดท้ายไม่อยากเรียนก็ไม่เรียนเอาดื้อๆ

“ป้อมไม่อยากเรียนเฉพาะวันนี้หรือไม่อยากเรียนตลอดไป” ผมถามกลับด้วยความรู้สึกไม่พอใจ

“เรียนไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร...” ป้อมพูด ความรู้สึกท้อแท้สิ้นหวังบ่งบอกอยู่ในน้ำเสียงอย่างชัดเจน

น้ำเสียงของป้อมทำให้ผมได้สติขึ้นมา อดรู้สึกเสียใจไม่ได้ที่ทำเสียงแข็งใส่ป้อม ดูท่าป้อมคงมีปัญหาอะไรบางอย่างจนทำให้รู้สึกท้อแท้

“เฮ้ย มันเกิดอะไรขึ้น” ผมถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “ป้อมเอาแต่เงียบมันไม่ช่วยอะไรหรอก ลองเล่าให้พี่ฟังดีกว่า เผื่อจะได้ช่วยกันคิดไง”

“ป้อมทะเลาะกับเพื่อน” ป้อมเงียบไปหน่อยจากนั้นจึงเริ่มเล่า “เมื่อวานนี้เอง...”

“แล้วไงต่อ” ผมถาม รู้สึกว่าการทะเลาะครั้งนี้คงมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากล

“มันด่าป้อมว่าไอ้เสียงแมว... พิการทางเสียง... แล้วก็อะไรอีกหลายอย่าง” ป้อมพูด “มันบอกว่าเสียงพิการแบบนี้ไม่มีใครรับเข้าทำงาน ไม่ต้องเรียนสูงๆหรอก ไปโชว์ตัวตามงานวัดดีกว่า...”

โห ไอ้คนนี้มันใครกัน ทำไมปากมันจัดได้ขนาดนี้ พูดได้เจ็บแสบมาก ผมคิดในใจ

“ป้อมไม่อยากเรียน ไม่อยากเข้ามหาวิทยาลัยแล้วพี่อู เรียนสูงแค่ไหน สุดท้ายก็ยังเป็นคนพิการอยู่ดี...” ป้อมพูดพลางทำตาแดงๆ

ผมเริ่มรู้สึกลนลาน ปกติป้อมไม่เคยแสดงอาการอ่อนไหวขนาดนี้ มันทำให้ผมรับมือไม่ถูก

“ป้อมก็เคยโดนเพื่อนล้อเลียนนี่ ทำไมคราวนี้...” ผมพูดแล้วค้างเอาไว้

“ทุกคนเข้าข้างมันหมด ไม่มีใครคบป้อมแล้ว...” ป้อมพูดต่ออีก “ป้อมไม่อยากเรียนที่นี่แล้ว”

“เดี๋ยวก่อน” ผมรีบปราม “เล่าให้พี่รู้เรื่องก่อนสิ แล้วเรื่องของป้อมกับเพื่อนคนนี้ไปเกี่ยวกับเพื่อนคนอื่นๆได้ยังไง”

ในที่สุดป้อมจึงค่อยๆเล่าออกมา เรื่องมาจากการทำงานกลุ่ม ป้อมเห็นว่าเพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งกินแรงป้อม จึงได้ต่อว่าไป แต่เพื่อนคนนี้เป็นคนป๊อบในหมู่เพื่อนฝูงเพราะพูดเก่ง มันจึงพยายามรวมหัวกับเพื่อนหลายคนในห้องคว่ำบาตรป้อม จากเดิมที่เป็นความขัดแย้งระหว่างคนต่อคนกลายมาเป็นความขัดแย้งระหว่างคนกับกลุ่ม

ผมฟังป้อมเล่าเรื่องจนจบ ปัญหาขัดแย้งกับเพื่อนเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับวัยรุ่น ทะเลาะกันบ้าง ไม่เข้าใจกันบ้าง ตอนมีปัญหากันก็เหมือนกับเป็นเรื่องขอขาดบาดตาย เมื่อเติบโตขึ้นและมองย้อนกลับไป สุดท้ายก็มันเป็นแค่สีสันแต้มหนึ่งในชีวิตวัยรุ่นเท่านั้น

เรื่องที่ป้อมเล่ามาทำให้ผมอดนึกถึงไอ้กี้ไม่ได้ ตอนเรียนมัธยมปลายมันดูแคลนผมมาก แต่สุดท้ายพอโตขึ้นมาก็ไม่มีอะไร ทุกวันนี้ก็ทำงานชมรมด้วยกัน ไม่ได้มีเรื่องกินแหนงแคลงใจกัน แต่ป้อมอาจแตกต่างออกไปบ้างเนื่องจากมีปมด้อย ความรู้สึกจึงเปราะบางเป็นพิเศษ

ผมจับมือของป้อมมากุมไว้ พลางบีบเบาๆเป็นเชิงให้กำลังใจ

“ป้อม ฟังพี่อูหน่อยนะ” ผมพูด “ทำไมมีปัญหากับเพื่อนแล้วต้องท้อขนาดนี้ล่ะ”

ป้อมนิ่งเงียบ ไม่ตอบคำถาม ผมจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ใครๆก็ต้องเคยมีปัญหากับเพื่อนทั้งนั้น ตอนนี้ป้อมอาจเสียกำลังใจ แต่ป้อมจะเอาปัญหาพวกนี้มากำหนดชีวิตของป้อมไม่ได้นะ ป้อมไม่ได้อยู่กับเพื่อนพวกนี้ตลอดไป อีกหน่อยพอจบมัธยมต่างคนก็แยกย้ายกันไปไหนบ้างก็ไม่รู้ แต่ป้อมต้องอยู่กับตัวเองตลอดไป ถ้าป้อมเลือกเส้นทางในชีวิตให้ตัวเองแบบแย่ๆในตอนนี้ อีกหน่อยถึงป้อมเสียใจก็อาจจะแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ตอนที่พี่เรียนวิชาภาษาไทย พี่เคยเรียนสำนวนตายประชดป่าช้า มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย มีแต่เสีย พี่ว่าที่ป้อมคิดตอนนี้มันก็เหมือนกำลังตายประชดป่าช้านั่นแหละ”

ป้อมนิ่งเงียบอีก ป้อมกลับมาเป็นป้อมคนเดิมตอนที่ผมรู้จักใหม่ๆ คือไม่พูดไม่จา ผมพูดอยู่คนเดียวเป็นนานก็ชักไม่ไหวเหมือนกัน

“ป้อมคิดว่าเพื่อนๆไม่มีใครคบป้อม แล้วป้อมเคยคิดไหมว่าที่พี่สอนป้อมอยู่ทุกวันนี้พี่ทำเพื่อใคร ป้อมแคร์เพื่อนๆที่ทะเลาะกับป้อม แล้วป้อมเคยแคร์คนที่ทำเพื่อป้อมบ้างไหม” ผมทิ้งท้ายให้ป้อมคิด วันนี้ดูป้อมไม่พร้อมที่จะเรียน เคี่ยวเข็ญไปก็ไม่มีประโยชน์ จึงคิดจะกลับไปก่อน “ถ้ายังงั้นวันนี้พี่กลับก่อนละกัน เสาร์หน้าเป็นช่วงหยุดปีใหม่ พี่คงไม่ได้มาสอน จะกลับบ้านสักหน่อย แล้วเจอกันอีกทีหลังปีใหม่”

ผมพูดพลางลงมือเก็บข้าวของใส่เป้ ป้อมดูผมสักพักก็พูดขึ้นว่า

“พี่อู... อย่าเพิ่งกลับได้ป่าว”

“วันนี้ดูป้อมไม่ค่อยพร้อม ป้อมไม่สบายใจพี่ก็ไม่ยากเคี่ยวเข็ญให้เรียน” ผมพูด “ป้อมพักก่อนก็ได้ สบายใจแล้วค่อยเรียน”

“พี่อูอยู่เป็นเพื่อนป้อมหน่อยได้ไหม” ป้อมพูดอีก “ป้อมอยากมีเพื่อน...”

ผมชะงัก มองหน้าป้อม ที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้าคือเด็กวัยรุ่นที่หงอยเหงาคนหนึ่ง เมื่อครู่ผมคิดและพูดแต่เรื่องของหลักการและเหตุผลจนละเลยเรื่องความรู้สึกของป้อมไป...

“เอายังงี้ พี่ทำได้ดีกว่านั้นอีก” ผมพูด “บ่ายนี้เราไปกินข้าวดูหนังกันเป็นไง”

ป้อมพยักหน้า สีหน้าดูสดชื่นขึ้น

“แต่ตอนนี้ยังไปไม่ได้ เพราะยังเป็นเวลาเรียนอยู่ ถ้านายจ้างพี่รู้เดี๋ยวพี่ซวย” ผมพูดขำ “ถ้างั้นเรามาเรียนต่อกันอีกหน่อย ดีกว่าปล่อยเวลาไปเปล่าๆ ป้อมไหวไหม”

“พ่อไม่รู้หรอกถ้าเราไม่บอก” ป้อมเริ่มหัวเราะออก สีหน้าเริ่มแช่มชื่นขึ้น “แต่ตามพี่อูว่าก็ได้ ป้อมเรียนไหวฮะ”

บ่ายวันนั้นผมกับป้อมจึงไปกินอาหาร ดูหนัง และเดินเที่ยวที่สยามสแควร์กันอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งครั้งนี้กลายเป็นผมชวนป้อมเสียเอง เสาร์นั้นเกือบถึงวันคริสต์มาสแล้ว ดังนั้นสยามสแควร์จึงคึกคักไปด้วยวัยรุ่นและคนหนุ่มสาว ร้านค้าต่างๆมีการตกแต่งเป็นพิเศษเพื่อต้อนรับเทศกาล

ผมซื้อตั๋วหนังรอบบ่าย โรงหนังในวันนั้นแน่นขนัด เราได้ที่นั่งริมทางเดินด้านข้างโรงซึ่งปกติผมจะไม่เลือกที่นั่งแบบนี้เลยเนื่องจากชอบดูหนังตรงกลางจอมากกว่า แต่วันนี้ไม่มีทางเลือก เรามีเวลาเหลือประมาณสองชั่วโมงกว่าที่หนังจะฉาย

“วันนี้ใช้วิธีตามเดิมนะ ผลัดกันสั่งอาหารคนละร้าน หรือป้อมจะสั่งเองทั้งหมดก็ได้” ผมพูดกับป้อมขณะที่พากันเดินหาร้านอาหาร ป้อมพยักหน้าตกลงอย่างว่าง่าย

และป้อมก็ไม่ผิดสัญญา เมื่อป้อมไปถึงร้านอาหารป้อมก็ลงมือสั่งอาหารเองโดยสั่งอาหารของตนเองพร้อมกับของผมด้วย หลังจากนั้นก็ไปกินไอศกรีม คราวนี้ผมเป็นคนสั่งไอศกรีม

เมื่อกินอาหารเสร็จยังมีเวลาเหลือ เราสองคนจึงเดินดูของกันต่อ ป้อมอยากดูเสื้อผ้าพวกเสื้อยืดกางเกงยีน เราจึงไปเดินกันต่อที่มาบุญครอง

ผมเดินเยื้องมาข้างหลังป้อมนิดหน่อย คือไม่ถึงกับเดินเคียงกัน แต่เดินช้ากว่านิดหน่อย เงาร่างของป้อมทำให้ผมนึกถึงตนเองในอดีต รวมทั้งนึกถึงใครบางคนขึ้นมา ผมเดินวนเวียนอยู่ในสยามสแควร์นี้มาเจ็ดปีแล้ว คนที่ร่วมเดินกับผมในสยามสแควร์มีอยู่เพียงสองคน ส่วนป้อม... ป้อมถือเป็นเหตุการณ์พิเศษ ผมไม่ได้คิดนับป้อมเป็นคนที่สาม...

“อยากได้แม็คตัวนั้นจัง” เสียงป้อมฉุดผมจากภวังค์ ป้อมบุ้ยใบ้ให้ดูกางเกงยีนตัวหนึ่งที่แขวนอยู่หน้าร้านขายกางเกงยีน “ซื้อแล้วเอาไปฟอกให้ซีด เอาปืนยิงให้เป็นรู โคตรเท่เลย”

“ถ้ายังงั้นไปหาเก็บเอาตามถังขยะดีกว่ามั้ย สภาพกางเกงแบบนั้นพี่ว่าในถังขยะต้องมีแน่เลย” ผมเหน็บ ไม่รู้ว่าทำไมคนถึงชอบกางเกงที่มีรูกระสุนกันนัก “ไม่ต้องซื้อให้เสียเงินหรอก”

“พี่อูนี่เชยจริง” ป้อมว่าผม “นี่ถ้าไม่รู้อายุพี่อู พูดแบบนี้ป้อมนึกว่าพี่อูเป็นเพื่อนพ่อเลยนะเนี่ย”

“เว่อไปน้อง” ผมหัวเราะ หลังจากที่ได้มาเดินเที่ยว ดูป้อมแจ่มใสขึ้นมาก “ว่าพี่เชยทีหลังก็อย่ามากับพี่ก็แล้วกัน ต่อไปพี่ไม่ชวนมาแล้ว”

ป้อมชะงักไปนิดหนึ่ง

“ไม่เชยๆๆ” ป้อมรีบพูด จากนั้นลดเสียงลงเหลือเพียงแผ่วเบาพอได้ยินกันสองคน “ขอบคุณนะฮะพี่อู... ที่ไม่ทิ้งป้อม”