Monday, December 31, 2007

ตอนที่ 77

วันอาทิตย์นั้น ผมเอาแต่นั่งเซ็งทั้งวัน อยากอยู่เงียบๆคนเดียว ไม่อยากคุยกับใคร ไม่สนใจแม้กระทั่งไอ้ชัช เพราะผมรู้สึกเคืองมันอยู่เหมือนกันเกี่ยวกับเรื่องเมื่อวาน ผมเดินวนอยู่รอบเครื่องโทรศัพท์เกือบทั้งวัน ใจหนึ่งอยากโทรศัพท์ไปคุยกับไอ้นัยอีก แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่กล้าโทรไป วันอาทิตย์ผมรู้สึกว่ามันยาวนานเป็นพิเศษ ... ยาวนานจนรู้สึกทรมาน ผมอยากให้เปิดเรียนวันจันทร์เหลือเกิน จะได้พบกับไอ้นัย จะได้ถามมันต่อหน้าว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อวันศุกร์ และจะได้ปลอบใจมัน...

นอกจากกังวลเรื่องไอ้นัยแล้ว วันนี้ผมยังมีเรื่องกังวลอยู่อีกเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือเรื่องการไปเรียนที่ใหม่ ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามคาด ผมก็คงสอบสัมภาษณ์ผ่าน และหลังจากนั้น ผมจะต้องย้ายโรงเรียนในเทอมหน้า

ผมโทรไปคุยกับพ่อ พ่อก็ไม่เห็นด้วยท่าเดียว พูดกันด้วยเหตุผลเดิมๆเหมือนฉายหนังซ้ำ บอกว่าเรียนที่เดิมก็ดีแล้ว ไปเรียนที่ใหม่ไม่มีแผนกประจำ ผมจะไปพักที่ไหน จะไปอยู่กับเอ๊ดก็เกรงใจเพื่อนพ่อ เพราะว่าฝากลูกไว้คนหนึ่งแล้ว หากฝากอีกก็คนดูจะเกินไป แม่เองก็เห็นด้วยกับพ่อในเรื่องนี้ และไม่สนับสนุนผม ส่วนผมก็ไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ถึงอย่างไรก็ต้องย้ายไปเรียนที่ใหม่ให้ได้ ดังนั้นเราสองพ่อลูกจึงทะเลาะกันค่อนข้างรุนแรง

หลังจากนั้นผมก็โทรไปหาเอ๊ด ให้ช่วยพูดเกลี้ยกล่อมพ่อให้อีกแรงหนึ่ง ฟังจากน้ำเสียงที่คุยกับพี่ชาย ผมก็รู้ดีว่าเอ๊ดก็ไม่ค่อยเห็นด้วยนัก ด้วยเหตุผลเดียวกับพ่อ คือมีความไม่สะดวกเรื่องที่พักอาศัย แต่เอ๊ดก็ไม่กล้าพูดตรงๆ เพราะมันจะกลายเป็นว่าพี่กันท่าน้อง เพราะเอ๊ดเองพ่อยังให้ย้ายโรงเรียนได้ เอ๊ดออกตัวว่าไม่กล้ารับปากว่าจะช่วยได้สำเร็จหรือไม่
- - -

วันรุ่งขึ้น

หลังจากการรอคอยที่ยาวนาน ในที่สุดก็ถึงเช้าวันจันทร์ เมื่อคืนผมนอนกระสับกระส่ายเกือบทั้งคืน คิดวนไปเวียนมาถึงปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ และคิดว่าควรจะจัดการอย่างไรดี ทั้งเรื่องของไอ้นัย เรื่องของไอ้ชัช และเรื่องของตนเอง

สำหรับปัญหาเรื่องไอ้ชิดนั้น เรื่องบอกครูเป็นเรื่องสุดท้ายที่ผมจะคิด เพราะในสมัยนั้น เด็กนักเรียนมักมีทัศนคติว่าครูไม่สามารถช่วยแก้ปัญหาอะไรได้ มีแต่จะคอยตีนักเรียน ก็คงเป็นทัศนคติที่ไม่ค่อยดีและไม่ค่อยถูกต้องนัก แต่เด็กนักเรียนในสมัยที่ผมเรียนชั้นประถมคิดกันแบบนั้นจริงๆ

ผมเดินออกมาจากหอพร้อมกับไอ้ชัช ไอ้ชัชทำหน้าทำตาอธิบายไม่ถูกจริงๆครับ มันเหมือนเบื่อหน่ายชีวิตเสียเต็มประดา ผสมกับโกรธใครมาสักสิบปี แต่ผมขี้เกียจถาม เพราะตอนนี้ปัญหาต่างๆมีอยู่เต็มสมอง ผมไม่อยากรับรู้เรื่องอะไรเพิ่มขึ้นมาอีก

เมื่อไปถึงห้องเรียน เพื่อนๆในห้องก็มารุมซักถามเกี่ยวกับการสอบสัมภาษณ์ที่เพิ่งผ่านมา ผมก็คุยไป สายตาก็มองไปที่ประตู ดูว่าเมื่อไรไอ้นัยจะมา

ปรากฏว่าคนที่มาก่อนกลับเป็นไอ้ชิด เห็นมันเดินเข้ามาด้วยท่าทีปกติ เข้ามาแล้วก็นั่งคุยกับเพื่อนๆ เหมือนอย่างที่เคยเป็นมาทุกวัน ไอ้นี่มันทำตัวเนียนจริงๆ

จากนั้นไม่นาน ไอ้นัยก็มาถึง พอมันเดินเข้ามาในห้องแล้วเห็นไอ้ชิด ผมสังเกตเห็นว่าไอ้นัยถึงกับชะงัก ส่วนไอ้ชิดนั้นเห็นมันมองไอ้นัยแล้วยักคิ้วให้ ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่ผมรู้สึกว่าเวลามันยิ้มเหมือนกับแสยะยิ้ม ทั้งน่ากลัวและทั้งน่ารังเกียจ

มีเรื่องหนึ่งที่ผมค่อยมาเข้าใจในภายหลัง ตอนที่โตแล้ว นั่นก็คือ ตอนที่ไอ้ชิดซ้อมไอ้นัยครั้งหลังนั้น มันฉลาดมาก มันเลือกต่อยเฉพาะที่ลำตัว มันไม่ต่อยที่ใบหน้าหรือที่แขนเลย เพราะอาจมีรอยฟกช้ำดำเขียวให้คนอื่นมองเห็นได้ ดังนั้นถ้าดูจากภายนอก จะไม่มีใครรู้เลยว่าไอ้นัยถูกอัดมา ไอ้หมอนี่มันร้ายจริงๆ

ไอ้นัยพยายามทำตัวให้เหมือนปกติ ถ้าคนที่ไม่รู้เรื่องก็คงดูไม่ออก แต่ผมสังเกตมันออก มันมีอาการผวาไอ้ชิดอยู่ ชอบชำเลืองดูไอ้ชิดบ่อยๆ เหมือนคนหวาดระแวง เห็นแล้วยิ่งรู้สึกสงสารไอ้นัย

ในระหว่างวัน ผมพยายามซักถามไอ้นัยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอีก แต่ไอ้นัยก็ไม่ยอมเล่าอะไรเช่นเดิม บอกแต่เพียงว่าไม่มีอะไร สีหน้าของมันเรียบเฉย เรียบจนดูไม่ออกว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่ แต่สังเกตว่าในขณะเรียน มันเหลือบมองไอ้ชิดบ่อยๆ

ตอนบ่ายวันนั้น หลังเลิกเรียน หลังจากที่คิดมาหลายวัน ในที่สุดผมก็คิดแผนแย่ๆออกมาได้แผนหนึ่ง นั่นคือ พอหลังเลิกเรียน ผมก็ลากไอ้นัยไปนั่งคอยคุณอาที่หน้าตึกอำนวยการทันที คือตามปกติ หลังจากที่เลิกเรียน เราจะนั่งทำการบ้านอยู่ในห้องเรียนกันสักพักหนึ่ง พอใกล้ได้เวลาที่คุณอาจะมารับ ไอ้นัยก็จะไปรอคุณอาที่ทางเดินหน้าตึก บางวันก็รอนานหน่อย บางวันก็รอไม่นาน แล้วแต่ว่าคุณอาจะมาช้าหรือเร็ว ไม่แน่ไม่นอน ไม่เหมือนสมัยนี้ที่มีโทรศัพท์มือถือใช้ สามารถโทรถึงกันได้อย่างสบาย ช่วงเวลาที่ต้องระวังก็คือหลังเลิกเรียนนี่แหละครับ ส่วนเวลาอื่นนั้นจะมีนักเรียนและครูอยู่ในห้องเรียนเสมอ ไม่ค่อยน่าเป็นห่วงเท่าไร

ตึกอำนวยการที่ว่าก็เป็นห้องทำงานของผู้อำนวยการ อาจารย์ใหญ่ และเป็นสำนักงานด้วย ปกติจะมีครูหรือไม่ก็เจ้าหน้าที่ประจำอยู่ตลอดเวลา ข้างหน้าตึกก็มีทางเดินหน้าตึก และมีโต๊ะกับเก้าอี้ สามารถนั่งรอได้ ดังนั้นผมจึงลากไอ้นัยมาที่นี่ คิดว่าอย่างไรเสียไอ้ชิดคงไม่กล้ามารังแกไอ้นัยถึงหน้าตึกอำนวยการ

ผมบอกไอ้นัยว่าต่อไปตอนเย็นให้รอคุณอาที่นี่ก็แล้วกัน โดยผมจะอยู่รอเป็นเพื่อนกับมัน อดทนอีกประมาณหนึ่งเดือนก็จะสอบไล่ แล้วก็จะปิดเทอม หลังจากนั้นก็ไม่ต้องห่วงเรื่องโดนไอ้ชิดรังแกอีก ไอ้นัยก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะมันเป็นคนที่ไม่ขัดใจใครอยู่แล้ว

สาเหตุที่ผมต้องอยู่เป็นเพื่อนไอ้นัย เพราะยังไม่วางใจไอ้ชิดเสียทีเดียว อีกอย่าง ผมรู้นิสัยว่าไอ้นัยมันเป็นคนดื้อเงียบ อะไรที่มันไม่เห็นด้วยมันก็จะแกล้งดื้อเสียยังงั้นแหละ ดังนั้นกับความคิดเรื่องมารอคุณอาที่หน้าตึกอำนวยการนี้ถ้าไอ้นัยมันไม่เห็นด้วย มันก็คงกลับไปนั่งทำการบ้านรอที่ในห้องเรียนตามเดิมเมื่อผมไม่อยู่ ดังนั้นผมจึงต้องอยู่ป็นเพื่อนมันจนมันกลับจะได้สบายใจ

เย็นวันแรก เหตุการณ์ผ่านไปด้วยความเรียบร้อย ไอ้ชิดไม่ได้มาวุ่นวายอะไรกับไอ้นัย ส่วนคุณอานั้นคงรู้สึกแปลกใจอยู่บ้างที่เรามารอส่งไอ้นัย อีกทั้งยังเปลี่ยนสถานที่รอเสียอีก

วันถัดมา เหตุการณ์ก็ยังเป็นไปด้วยความราบรื่น แต่ไม่ค่อยจะเรียบร้อยนัก เพราะไอ้ชัชเริ่มบ่นถึงเรื่องที่ต้องมารอส่งไอ้นัยตอนเย็น

“แย่จริง กูจะนั่งทำการบ้านที่ห้องเรียนก็ไม่ได้” ไอ้ชัชบ่น

“ทนหน่อยน่า นั่งแถวนี้ก็ทำการบ้านได้นี่หว่า” ผมบอก ส่วนไอ้นัยหน้าเสียไปนิดหนึ่ง

“อยู่นี่ไม่มีเพื่อนว่ะ ไม่เหมือนทำการบ้านที่ห้อง” ไอ้ชัชพูด

“แล้วกูกับไอ้นัยนี่ไม่ใช่พื่อนมึงหรือวะ” ผมพูดเสียงดัง ชักโมโหกับคำพูดของมัน แบบนี้ไม่รักษาน้ำใจไอ้นัยเลยนี่หว่า

“แล้วมึงว่าใช่ไหมล่ะ” ไอ้ชัชแหกปากเสียงดังกับผมบ้าง

ว่าแล้วมันก็เก็บสมุดและเครื่องเขียนใส่กระเป๋า “กูกลับหอละนะ” ไอ้ชัชพูด แล้วก็เดินไปทางพอพัก

“เออ จะไปไหนก็ไปเลยมึง” ผมตะโกนไล่หลัง

- - -

คืนนั้น ผมโทรไปหาพี่ชายอีก ถามผลว่าคุยกับพ่อแล้วเป็นอย่างไรบ้าง เอ๊ดบอกว่ายังไม่ดุย

“อะไรว้า ตกลงไม่คิดจะช่วยกันเลยใช่ไหม” ผมโวย

“ใจเย็นๆดิอู” เอ๊ดปลอบ

“แล้วเมื่อไหร่จะพูดให้เสียทีล่ะ” ผมถามแบบคาดคั้น

“รอหน่อยนะ รอให้ป๋าอารมณ์ดีๆก่อน พูดแล้วจะได้ได้ผล อูเพิ่งทะเลาะกับป๋ามาเมื่อวาน จะให้พูดวันนี้เลยเหรอ” เอ๊ดพยายามอธิบาย

“ป๋าฟังเอ๊ดทุกที ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ถ้าช่วยพูดให้จริงๆก็คงสำเร็จ” ผมพูด

“อ้าว พูดแบบนี้หมายความว่าเอ๊ดไม่คิดช่วยหรือไง” เสียงเอ๊ดชักดังขึ้น

“เอ๊ดถามตัวเองดีกว่า ว่าคิดช่วยไหม ไม่ต้องมาถามอูหรอก” ผมพูดด้วยความโมโห ตอนนั้นคิดไปว่าเอ๊ดเองก็คงไม่อยากให้ผมย้ายโรงเรียน เพราะปัญหาเรื่องที่พักของผมนั้นกระทบถึงเอ๊ดโดยตรง

การสนทนาในวันนั้นจบลงไม่ค่อยสวยนัก ผมทะเลาะกับเอ๊ดค่อนข้างแรง สองสามวันนี้ผมทะเลาะกับใครต่อใครไปทั่ว

- - -

วันศุกร์

สัปดาห์นั้นตั้งแต่วันจันทร์เป็นต้นมา ผมไปนั่งเป็นเพื่อนไอ้นัย รอส่งมันขึ้นรถที่หน้าตึกอำนวยการทุกวัน สองวันแรกไอ้ชัชมานั่งด้วย แต่หลังจากที่มีเรื่องเคืองกัน วันพุธกับพฤหัสไอ้ชัชก็ไม่ได้มานั่งด้วย ส่วนเรื่องการเจรจากับพ่อนั้น ผมไม่ได้โทรไปหาเอ๊ดอีก รวมทั้งไม่ได้โทรไปหาพ่ออีกด้วย

ในตอนเที่ยงของวันศุกร์ เราสามคนนั่งกินอาหารเที่ยงด้วยกันตามปกติ ถึงแม้ว่าเราจะมีการทะเลาะเบาะแว้งกันบ้าง แต่กิจวัตรก็ไม่ได้เปลี่ยนไป ตอนเที่ยงเรายังนั่งกินข้าวด้วยกันเหมือนเดิมทุกวัน จะมีที่แตกต่างไปบ้างก็ตรงที่เราไม่ค่อยคุยกันมากเหมือนเมื่อก่อน ไอ้นัยก็เงียบ ไอ้ชัชก็เงียบ ผมเองช่วงนี้มีความในใจอยู่หลายเรื่อง ก็เลยพลอยเงียบไปด้วย แม้แต่ตอนอยู่ในห้องเรียนก็ไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไรนัก

แต่ตอนเที่ยงวันนี้ ที่โต๊ะอาหาร ผมพูดเยอะหน่อย เพราะวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันเสาร์จะมีการประกาศผลการสอบเข้า ม.๑ ซึ่งผลคราวนี้เป็นผลขั้นสุดท้าย ใครที่สอบสัมภาษณ์ผ่านก็เป็นอันว่าได้เรียน ที่โตะอาหาร ผมกับไอ้ชัชนั่งด้วยกัน ส่วนไอ้นัยนั่งตรงข้ามกับไอ้ชัช

ผมฝากไอ้นัยให้ช่วยดูให้ด้วย เพราะวันรุ่งขึ้นเป็นแค่การประกาศผล ผมไปเองหรือให้ไอ้นัยดูให้ก็เหมือนกัน จะได้ไม่ต้องขออนุญาตออกจากหอให้วุ่นวาย

ผมกับไอ้นัยคุยกันเรื่องผลการสอบเข้าและเรื่องโรงเรียนใหม่ ทันใดนั้นเอง ไอ้ชัชก็กระแทกจานอาหารซึ่งเป็นจานสังกะสีกับโต๊ะเสียงดังลั่น พร้อมทั้งพูดเสียงดัง

“โอ๊ย เบื่อ กูรู้แล้วว่าพวกมึงเก่ง กูฟังจนเซ็งแล้วโว้ย” พูดจบ แล้วมันก็ผลักจานอาหารไปข้างหน้าอย่างแรง จานอาหารก็ลื่นไถลไปตามโต๊ะ และพุ่งเข้าใส่หน้าอกไอ้นัย

Tuesday, December 25, 2007

ตอนที่ 76

หลังจากที่ได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนนั้นผมมีความรู้สึกหลายๆอย่างเกิดขึ้น คือทั้งเป็นห่วงไอ้นัย ทั้งโกรธไอ้ชิด และแน่นอน คนที่ผมโกรธมากที่สุดก็คือตัวเอง

สิ่งที่ได้ฟังจากไอ้ติ๊กก็ยังไม่ชัดเจนพอที่จะบอกได้ว่าไอ้นัยต้องเผชิญกับอะไรมาบ้างเมื่อวาน ผมรีบผลุนผลันออกไปจากห้องนอนของไอ้ติ๊กเพื่อจะลงไปโทรศัพท์ข้างล่าง

ที่ชั้นล่าง ผมเห็นไอ้ชัชกำลังนั่นเล่นอยู่คนเดียว ตอนนั้นมันไม่ได้ดูทีวีแล้ว ผมตรงเข้าไปหามัน พร้อมทั้งเล่าเรื่องที่ได้ยินจากไอ้ติ๊กให้ฟัง ตอนนั้นผมกำลังกลุ้มใจครับ ใจมันร้อนรุ่มไปหมด ปรึกษาไอ้ชัชเสียหน่อยก็ไม่เลว เผื่อว่ามีความคิดดีๆ

“ทำไงดีวะเนี่ย สงสารไอ้นัยจัง ไม่รู้ทำเวรทำกรรมอะไร” ผมบ่นแถมท้ายหลังจากที่เล่าจบ

“กรรมของมันที่รู้จักมึงไง” ไอ้ชัชพูด ว่าแล้วมันก็ลุกเดินหนีไป

อ้าว ไหงเป็นยังงั้น ตอนนั้นผมยังคิดอะไรไม่ทัน กว่าจะหายงงไอ้ชัชก็เดินหนีหายไปแล้ว วันนี้ไอ้ชัชเป็นอะไรไปอีกคน ผมทั้งงง ทั้งโมโหไอ้ชัช เพราะเรื่องกำลังคอขาดบาดตายดันมาพูดประชดแล้วเดินหนี ไม่ยอมช่วยคิด

เรื่องไอ้ชัชเก็บเอาไว้ก่อน ผมรีบตรงไปที่เครื่องโทรศัพท์ แล้วหยอดเหรียญ ต่อไปหาไอ้นัยทันที

“โหล” เสียงใสๆรับสาย

“นัย นี่กูเองนะ เมื่อวานตอนเย็นเกิดเรื่องอะไรอ่ะ” ผมไม่มีอารัมภบท พอไอ้นัยรับสายก็เข้าเรื่องทันที

“…”

“นัย ฟังอยู่หรือเปล่า” ผมถาม

“ฮื่อ” เสียงจากฝั่งโน้นรับคำเบาๆ

“กูถามว่ามื่อวานเกิดเรื่องอะไร... ตอนที่กูกลับไปแล้วน่ะ” ผมย้ำคำถาม

“ไม่มีไรนี่” ไอ้นัยตอบด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม

“กูรู้นะนัย อย่าปิดกูเลย” ผมคาดคั้น

“รู้แล้วมาถามทำไมล่ะ” ไอ้นัยพูด คราวนี้เสียงของมันอู้อี้ ฟังไม่ค่อยชัด เหมือนคนสะอึก

“นัย มึงเป็นไรไปน่ะ มึงร้องไห้เหรอ” ผมถามอย่างร้อนรน ตั้งแต่รู้จักกันมา ไม่เคยเห็นไอ้นัยร้องไห้มาก่อน

“…”

“นัย ไอ้ชิดทำอะไรมึง เป็นไรมากหรือเปล่า เล่าให้ฟังหน่อยเถอะ ขอร้องล่ะ” ผมอ้อนวอน

“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรจริงๆ” ไอ้นัยพูดเบาๆ เสียงเหมือนคนพยายามกลั้นสะอื้นเต็มที่

“เท่านี้ก่อนนะอู เดี่ยวอาจะใช้สาย” ไอ้นัยพูด ว่าแล้วสายก็ถูกตัดไป

ตอนนี้อะไรๆสำหรับผมมันดูเลวร้ายไปหมด ไอ้นัยก็มีเรื่อง ไอ้ชัชก็มีปัญหา เรื่องร้ายๆทั้งหมดส่วนใหญ่มาจากผมทั้งนั้น การโทรศัพท์ไปหาไอ้นัยไม่ช่วยให้ผมดีขึ้นเลย ตรงกันข้าม มันกลับทำให้ผมเคร่งเครียดและวิตกเป็นทุกข์มากยิ่งขึ้น ผมอยากไปหาไอ้นัยเดี๋ยวนี้ ไปอยู่ข้างๆมัน และปลอบใจมัน แต่มันก็เป็นไปไม่ได้

ไปหาไอ้พงษ์ดีกว่า ผมคิด เพราะว่าไอ้พงษ์เป็นลูกสมุนของไอ้ชิด มันคงรู้อะไรมาบ้าง อีกอย่าง ไอ้พงษ์เคยช่วยนัยเอาไว้ ดังนั้นถ้ามันรู้อะไรมันคงยอมบอกผม

ผมเดินพล่านหาไอ้พงษ์ไปทั่วหอ แต่ก็ไม่พบ ถามไอ้ติ๊กก็มันก็ไม่รู้ ผมจึงไปนั่งรอมันที่ปากประตูหอเลย ที่จริงจะนั่งรอในห้องดูทีวีก็ได้ มันมาก็มองเห็นได้เหมือนกัน แต่ตอนนั้นใจมันร้อนรุ่มไปหมด ก็เลยไปนั่งรอที่หน้าประตู

เวลาแห่งการรอคอยมันช่างแสนทรมาน ผมรอด้วยความกระวนกระวายจนค่ำ ไอ้พงษ์ก็โผล่มา มันคงหนีออกไปเล่นนอกหอที่ไหนสักแห่ง แต่ผมไม่ได้สนใจหรอกครับว่ามันจะไปไหน สนใจแต่เรื่องไอ้นัย

พอผมเห็นไอ้พงษ์ ผมก็รีบถามมันถึงเรื่องไอ้นัยทันที ตอนนั้นค่ำแล้ว นักเรียนส่วนใหญ่จะอยู่ในห้องดูทีวี ไม่มีใครอยู่แถวนั้น ดังนั้นจึงไม่ต้องกลัวว่าใครจะได้ยิน ส่วนไอ้ชัชหายไปไหนก็ไม่รู้ ตอนนั้นก็ไม่ได้สนใจไอ้ชัชเลย

ปรากฏว่าแม้แต่ไอ้พงษ์ก็ไม่รู้เรื่องนี้ ไอ้ติ๊กก็ยังไม่ได้บอก มันเพิ่งจะมารู้จากผมนี่เอง

“นัยมันเล่าอะไรบ้างล่ะ” พงษ์ถาม

ผมส่ายหน้า “ไม่พูดอะไรเลย งั้นกูถามไอ้ชิดมันเองให้รู้เรื่องดีกว่า”

“อย่านะโว้ย” ไอ้พงษ์ห้าม “ถ้าไอ้ชิดมันรู้ว่าไอ้ติ๊กเล่าให้มึงฟัง มันซวยแน่เลย”

“แล้วถ้าไม่ทำอะไรซักอย่าง ไอ้นัยคงโดนมันรังแกอีก ยังไงก็ต้องพูดกันให้รู้เรื่อง” ผมพูด

“กูว่ามึงจะไม่ทันพูดรู้เรื่อง มึงก็จะตายก่อนน่ะสิ” ไอ้พงษ์พูด “มึงรู้ไหมว่าชิดมันต่อยกับรุ่นพี่ ม.ปลาย มันยังชนะเลย แล้วมึงจะเอาอะไรไปสู้กับมัน”

“งั้นบอกครูก็แล้วกัน” ผมพยายามคิดหาทางที่เป็นไปได้อีก

“ถ้าครูรู้แล้วมันโดนไล่ออก ยังงั้นมึงกับไอ้นัยก็ตายอยู่ดี” ไอ้พงษ์ว่า

สรุปแล้วมีแต่ตายกับตาย ถึงตอนนั้นผมจนปัญญาจริงๆ คิดแล้วอยากจะร้องไห้ เพราะไม่เห็นทางที่จะแก้ปัญหาได้เลย เพราะไม่ว่าผมจะทำอะไร จะต้องมีคนอื่นเดือดร้อนไปด้วย ตอนนั้นเองที่ผมได้ลิ้มรสชาติของความท้อแท้และสิ้นหวังเป็นครั้งแรกในชีวิต

คืนนั้น ผมหลบขึ้นไปนอนร้องไห้คนเดียวในห้องนอน เพราะนึกเสียใจในสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไป ผมร้องไห้อยู่เป็นชั่วโมง หมอนเปียกโชกไปหมด จนหลับไปเองในที่สุด

- - -

เช้าวันอาทิตย์ วันนั้นกว่าผมจะตื่นขึ้นมาก็สายตะวันโด่ง ไอ้ชัชไม่ได้อยู่บนเตียง มันคงลุกไปกินอาหารเช้าแล้ว

ผมรอจนสายๆ ประมาณ ๑๐ โมง ก็ลองโทรไปหาไอ้นัยอีก

“โหล” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมาจากปลายสายด้านโน้น ไอ้นัยชอบใช้คำว่า “โหล” เฉยๆจนติดปาก

“นัย นี่อูนะ” ผมพูด แล้วก็พูดอะไรต่อไม่ออก เพราะมันจะร้องไห้ออกมา

“ฮื่อ มีไรเหรอ” ไอ้นัยถาม ไม่รู้ว่าผมอุปาทานไปเองหรือเปล่า แต่รู้สึกว่าน้ำเสียงของไอ้นันช่างเศร้าสร้อยเหลือเกิน

“กูขอโทษนะนัย กูเสียใจ มึงต้องเดือดร้อนเพราะกูเป็นต้นเหตุ ขอโทษนะเพื่อน กูอยากจะแก้ไข แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง...”

ผมพูดได้แค่นี้ก็ต้องรีบวางสายโทรศัพท์ เพราะตอนนั้นกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่แล้ว ผมไม่อยากให้ไอ้นัยได้ยินผมร้องไห้ เพราะความคิดในตอนนั้นก็คือ ผมต้องเข้มแข็ง ผมไม่อยากแสดงความอ่อนแอให้ไอ้นัยเห็น...

Sunday, December 23, 2007

ตอนที่ 75

การสอบสัมภาษณ์ในวันนั้นใช้เวลาเพียง ๑๕ นาทีก็เสร็จเรียบร้อย ครูที่สัมภาษณ์ผมนั้นท่าทางใจดี เนื้อหาของการสัมภาษณ์ก็เป็นการทักทายทั่วไปบวกกับการถามความรู้รอบตัวนิดหน่อย ผมก็ตอบได้บ้าง ไม่ได้บ้าง อย่างเช่น ตอนนั้นถูกถามว่าประเทศใดที่เคยมายกรัฐมนตรีหญิงอีกบ้าง นอกจากอังกฤษ เป็นต้น คือช่วงนั้นนางมากาเร็ต แทตเชอร์เป็นนายกฯอยู่ ข้อนี้ผมตอบไม่ได้

หลังจากที่สอบสัมภาษณ์เสร็จ ผมก็ออกมานั่งรอ คุณอากับไอ้นัย นั่งรออยู่ไม่นาน ไอ้นัยก็เดินมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“สอบสัมภาษณ์เป็นไงบ้าง” ผมถาม

“ฮื่อ ก็ดี” ไอ้นัยตอบ มันบอกว่าก็ดี แต่สีหน้าของมันไม่ค่อยดีเท่าไร

“แล้วคำถามยากไหม ตอบได้หมดหรือเปล่า” ผมยังอยากรู้ต่อไป

“ก็พอตอบได้อยู่” ไอ้นัยตอบ ถามคำก็ตอบคำ เอากับมันสิ

พอดีตอนนั้นคุณอายังไม่มา ผมก็เลยฉวยโอกาสถามไอ้นัย ที่ไม่อยากถามต่อหน้าคุณอาก็เพราะรู้ดีว่า ถึงถามมันก็คงไม่บอก เลยเก็บเอาไว้ถามเงียบๆตอนอยู่กันลำพังดีกว่า

“นัย วันนี้เป็นอะไรไปอ่ะ ทำไมดูเงียบๆไป” ผมถาม

ไอ้นัยสั่นหัวด้วยท่าทีเนือยๆ “เปล่า ไม่มีไรนี่”

“กูไม่เชื่อหรอก บอกกูมาเถอะน่า ว่ามีอะไรหรือเปล่า” ผมยังซักไซ้ไม่ยอมเลิก เพราะต้องการเอาความจริงจากไอ้นัย

ไอ้นัยสั่นหัวอีก เพียงแค่นี้ผมก็รู้แน่ว่าต้องมีอะไรที่ไอ้นัยปิดบังเอาไว้แน่ๆ เพียงแต่มันไม่ต้องการบอก ผมก็จนปัญญาที่จะเค้นเอาคำตอบจากมันอีก เพราะถ้าไอ้นัยมันไม่ต้องการพูดถึงเรื่องอะไร มันจะใช้วิธีนิ่งเฉย จนคนถามเบื่อและเลิกถามไปเอง

ตอนบ่ายวันนั้น หลังจากที่สอบสัมภาษณ์เสร็จเรียบร้อย พวกเราก็เดินทางกลับ ใจ สำหรับผลสอบอย่างเป็นทางการจะรู้ภายในเดือนนั้นเอง ใช้เวลารอไม่นาน แต่ต้องมาดูผลสอบเองเช่นเคย ตอนขากลบ ไอ้นัยนั่งเงียบมาในรถ มันเงียบจนผมรู้สึกอึดอัดใจ

หลังจากที่คุณอามาส่งผมที่โรงเรียน ผมก็เดินกลับเข้าหอไป เมื่อเดินเข้าไปในหอ ก็เห็นไอ้ชัชนั่งดูทีวีอยู่ในห้องดูทีวี ผมตรงเข้าไปนั่งกับมัน และส่งเสียงทักทาย

“นั่งด้วยคนดิชัช” ผมพูด

ไอ้ชัชพยักหน้า ไม่พูดอะไร เป็นทำนองว่าจะนั่งก็นั่งไปดิ

“ไม่อยากรู้เหรอว่ากูสอบสัมภาษณ์เป็นไง” ผมถาม

ไอ้ชัชสั่นหัวดิก ไม่พูดอะไร สายตายังจับจ้องอยู่ที่โทรทัศน์ ไม่มองหน้ามองแม้แต่น้อย ผมเริ่มรู้สึกเซ็งอย่างรุนแรง วันนี้เป็นวันอะไรกัน ทำไมถึงได้เจอแต่คนใบ้

ผมนั่งดูทีวีกับไอ้ชัชด้วยความเซ็ง นั่งดูจนหลับสัปหงกไปคาจอ ตื่นมาอีกทีก็บ่ายแก่แล้ว ก็เลยปลีกตัวออกมาจากไอ้ชัช กะว่าจะขึ้นไปนอนสักหน่อยดีกว่า

ที่ห้องนอนชั้นบน เนื่องจากห้องนอนของผมอยู่ห่างจากบันได ดังนั้น ก่อนจะถึงห้องนอนของผมจะต้องเดินผ่านห้องนอนอีกหลายห้อง ตอนนั้นบางห้องก็มีคนอยู่ เพราะว่าบางทีในวันหยุด กลางวันถ้าไม่มีอะไรทำ หรือว่าขี้เกียจ บางคนก็ขึ้นมานอนเล่น

“ไอ้นักมวยแม่งโคตรโหดเลย” ผมได้ยินเสียงคุยดันดังลอดออกมาจากห้องนอนห้องหนึ่ง

ผมสะดุดใจกับคำว่าไอ้นักมวย เพราะว่ามันหมายถึงไอ้ชิดนั่นเอง ฉายานี้เพื่อนบางคนใช้เรียกมันตอนอยู่ลับหลัง

ผมมองเข้าไปในห้องนอน เพื่อหาเจ้าของเสียงพูดว่าเป็นใคร คนพูดไม่ใช่ใครอื่น ไอ้ติ๊ก คู่ขาของไอ้พงษ์นั่งเอง มันกำลังคุยกับเพื่อนที่อยู่เตียงติดกันซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของมัน

“ใครเจอแบบนี้เข้าถือว่าโคตรซวยเลย” ไอ้ติ๊กพูดต่อ


ผมรู้สึกหนาววูบขึ้นมาอีกครั้ง ในใจเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวที่น่ากลัวขึ้นมาเรื่องหนึ่งจากลางสังหรณ์ ผมเดินเข้าไปหาไอ้ติ๊กในห้องนอน

“ติ๊ก มึงเล่าเรื่องอะไรอยู่น่ะ” ผมถาม

ไอ้ติ๊กทำหน้าตกใจ แล้วรีบปฏิเสธ “เปล่า ไม่มีอะไร”

“ไม่มีอะไรได้ไง ก็มึงพูดถึงไอ้ชิดอยู่ มันไปเล่นงานใครใช่ไหม” ผมคาดคั้น

“ใม่มีอะไร ไม่มีอะไรจริงๆ” ไอ้ติ๊กปฏิเสธอีก ดูท่ามันคงกลัวไอ้ชิดจะมาเล่นงานมัน จึงไม่กล้าเล่าอะไร

“นี่มึงสมรู้ร่วมคิดกับมันใช่ไหม ถึงได้ช่วยมันปิด ระวังนะมึง ถ้ามันไปก่อเรื่องเข้า และมึงสมรู้ร่วมคิด อีกหน่อยจะโดนไล่ออกด้วยกัน” ผมรู้ว่าถามดีๆคงไม่ได้ความ เลยใช้วิธีข่มขู่

“กูเปล่านะโว้ย กูไม่ได้ยุ่งอะไรกับมัน” ไอ้ติ๊กรีบปฏิเสธพัลวัน

“ก็ถ้ามึงไม่ได้สมรู้ร่วมคิด มึงก็เล่าออกมาสิ กูรับรอง ว่าจะไม่บอกใคร กูสัญญา กูเป็นเพื่อนมึงนะโว้ย มึงไม่ไว้ใจเพื่อนฝูงแล้วจะไว้ใจหมาที่ไหน” ผมบอก

“เมื่อวานมีเด็กห้องมึงถูกไอ้นักมวยลากเข้าไปอัดในห้องน้ำอ่ะ” ไอ้ติ๊กเล่า สีหน้าอึกอัก “แต่มึงอย่าไปบอกไอ้ชิดมันนะ เพราะมันไม่รู้ว่ากูเห็นมัน”

“คนไหนเหรอ” ผมถาม ในใจรู้สึกเหมือนมีเงาทะมึนมาครอบคลุม ภาวนาว่าขออย่าให้เป็นคนที่ผมคิดไว้เลย

“ก็เพื่อนมึงคนที่เคยโดนมันอัดตอนงานปีใหม่ไง” ไอ้ติ๊กบอก

ว่าแล้วไอ้ติ๊กก็เล่าให้ฟังว่า เมื่อวานตอนเย็นมากแล้ว มัน มันกำลังจะเดินเข้าห้องน้ำหลังตึกประถมปลาย ห้องน้ำที่ผมกับไอ้นัยและพวกเคยแข่งชักว่าวกันน่ะครับ ขณะที่มันอยู่ที่หน้าประตูห้องน้ำ มันก็สังเกตเห็นว่าข้างในมีคนอยู่สองคน คือไอ้ชิดกับไอ้นัย โดยไอ้ชิดกำลังต่อยท้องไอ้นัยอยู่ แล้วถามไอ้นัยว่าจะยอมหรือไม่ยอม

จังหวะที่ไอ้ติ๊กยืนอยู่หน้าประตูห้องน้ำนั้นนั้น ไอ้ชิดพอดีไม่เห็น ไอ้ติ๊กมันเลยไม่กล้าเข้าห้องน้ำ และรีบวิ่งหนีไป หลังจากนั้นก็ไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับใคร

ที่จริงไอ้ติ๊กกับไอ้นัยไม่ได้รู้จักกัน เพราะเรียนกันอยู่คนละห้อง แค่เห็นหน้ากันและรู้ว่าใครเรียนอยู่ห้องไหนเท่านั้น แต่จากเหตุการณ์ที่ไอ้นัยโดนไอ้ชิดซ้อมในวันงานปีใหม่ที่เพิ่งผ่านมานั้น ได้ร่ำลือไปทั่วทั้งชั้น ป.๖ ดังนั้นหลายคนจึงรู้จักไอ้นัยในฐานะเหยื่อกามของไอ้ชิด โดยเฉพาะในห้องของเราเองก็พูดเรื่องนี้กันอยู่หลายวันตอนเกิดเรื่องใหม่ๆ แต่ก็แอบๆคุยกัน เพราะไม่กล้าพูดให้ไอ้นัยกับผมได้ยิน ผมรู้ว่าเรื่องนี้สร้างความอับอายและรอยแผลอยู่ในใจของไอ้นัยอย่างลึกล้ำ

Tuesday, December 18, 2007

ตอนที่ 74

คุยกันได้พักใหญ่ ผมก็ขอลาครูช่วยกลับ ในตอนเย็นวันนั้นผมรู้สึกดีขึ้นมาก อย่างน้อยก็พอจะรู้แล้วว่าควรจะปลอบไอ้ชัชอย่างไร นึกไม่ถึงเหมือนกันครับ ว่าครูช่วยที่เอาแต่ตีนักเรียนจะเข้าอกเข้าใจความรู้สึกของเด็กอย่างพวกเราได้ดีขนาดนี้

เมื่อกลับถึงหอ ผมก็รี่เข้าไปหาไอ้ชัชทันที ตอนนั้นไอ้ชัชกำลังนั่งดูทีวีอยู่

“ชัช คุยด้วยหน่อยดิ” ผมพูด ว่าแล้วก็ลากมันออกมาจากห้องดูทีวี และหาที่ลับตาเพื่อคุยกัน

“มีอะไรเหรอ” ไอ้ชัชถามอย่างงงๆ

“เรื่องสอบเข้า ม.๑ น่ะ” ผมพูด

“ตกลงมึงจะไม่ไปไหนแล้วใช่ไหม” ไอ้ชัชพูด สีหน้าและแววตาสดชื่นขึ้นทันที

“มึงว่าป๊ากับม้ามึงรักมึงไหมวะ” ผมไม่ตอบมัน แต่ถามกลับไปแทน

ไอ้ชัชงุนงงกับคำถามของผม เพราะนึกไม่ออกว่าผมจะมาไม้ไหน

“มึงจะถามทำไม” ไอ้ชัชว่า

“เอาเถอะน่า มึงก็ตอบมาสิ” ผมรุกเร้า

“ก็รักน่ะสิ ถามได้”

“แล้วที่ป๊ากับม้ามึงส่งมึงมาเข้าโรงเรียนประจำที่นี่ ปีหนึ่งมีเวลาอยู่บ้านแค่ไม่กี่เดือน แล้วนี่มึงคิดว่าเค้าทิ้งมึงหรือเปล่า” ผมถามอีก

“ทิ้งอะไรกัน ก็เค้าอยากให้กูเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ” ไอ้ชัชตอบ

“นั่นแหละ เห็นไหมล่ะ” ผมพูด “การแยกจากกันไม่ได้แปลว่าเค้าไม่รักมึง แล้วก็ไม่ได้แปลว่าเค้าทิ้งมึง แต่เค้าอยากให้มึงได้ดี เค้าเลยยอมส่งมึงมาเรียนที่นี่ การที่กูไปเรียนที่อื่น ไม่ได้หมายความว่ากูทิ้งมึงสักหน่อย คนเราหากมีวาสนาต่อกัน สักวันก็จะได้กลับมาพบกันอีก”

ไอ้ชัชอ้าปากค้าง ยังจำใบหน้าของมันในตอนนั้นได้ มันยังตั้งตัวไม่ทัน และนึกไม่ถึงว่าผมจะยกเหตุผลได้มากมายถึงขนาดนั้น

จากนั้นผมก็อธิบายชักแม่น้ำทั้งห้าให้ไอ้ชัชฟัง เหมือนกับที่ครูช่วยอธิบายให้แก่ผม

“เป็นอันว่ายังไงมึงก็จะไปจากที่นี่” ไอ้ชัชสรุป

“แล้ว ม.๔ เราไปสอบเข้าเตรียมอุดมฯด้วยกัน ถึงตอนนั้น เราก็จะได้เรียนด้วยกันอีก แล้วก็ไม่แน่ว่าตอนเรียนมหาวิทยาลัย เราก็อาจได้เรียนด้วยกันอีก” ผมพยายามเลี่ยงที่จะตอบตรงๆ

“มึงไปหัดพูดจาหลอกเด็กแบบนี้มาจากไหนวะ ไอ้อู” ไอ้ชัชพูดเรียบๆ น้ำเสียงของมันไม่มีแววโกรธเคือง มีแต่แววของการตัดพ้อต่อว่า “พูดแบบนี้มันหลอกเด็กอนุบาลนี่หว่า”

อ้าว เป็นอย่างนั้นไป เมื่อเห็นว่าการหว่านล้อมไม่ได้ผล ผมก็เลยต้องบอกกับมันไปตรงๆ

“กูตัดสินใจแล้วว่ะ ว่ากูคงจะไปจากที่นี่” ผมพูด “กูอยากไป และกูจะพยายามให้เต็มที่ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้ไปอย่างที่คิดไว้หรือเปล่านะ เพราะว่าป๋ากูไม่เห็นด้วย แล้วแต่วาสนาก็แล้วกัน”

ไอ้ชัชฟังจบก็ไม่ได้พูดว่าอะไร แล้วมันก็เดินแยกจากไปด้วยท่าทีเงื่องหงอย

คืนนั้นเป็นอีกคืนหนึ่งที่ผมนอนไม่ค่อยหลับ กว่าจะหลับได้ก็ดึกโข และคืนนั้น ไอ้ชัชก็มาขโมยหอมแก้มผมอีก ไอ้ชัชนี่ก็แปลก ตอนกลางวันดูมันเซื่องซึม เย็นชากับผม แต่ตอนกลางคืนที่มันหอมแก้มผมนั้น ผมสามารถรู้สึกได้ถึงมิตรภาพและความอบอุ่นที่มันถ่ายทอดมาให้

คืนนั้นผมเปลี่ยนความคิดกลับไปกลับมาจนนับครั้งไม่ถ้วน แล้วในที่สุด ผมก็ผล็อยหลับไป

- - -

วันรุ่งขึ้น คุณอากับไอ้นัยมารับผมตามที่ได้ตกลงกันไว้ ผมเองในตอนนั้นก็คิดว่าไปสัมภาษณ์เอาไว้ก่อน จะเรียนหรือไม่เรียนยังมีเวลาตัดสินได้อีกหน่อย

เมื่อผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ และเตรียมจะออกไปจากห้องนอน เห็นคนในห้องรวมทั้งไอ้ชัชยังนอนหลับกันอยู่ ผมเห็นไอ้เพื่อนรักของผมนอนหลับตา คิ้วขมวดมุ่น ไม่รู้ว่ากำลังฝันถึงอะไรอยู่ ดูไปแล้วก็สงสารมัน มันคงเป็นทุกข์เพราะผมมาก เพราะแม้แต่ตอนหลับก็ยังทำหน้ายุ่ง ผมเลยแอบหอมแก้มไอ้ชัชเสียหนึ่งที แล้วจึงเดินออกมา

คุณอาผู้ชายกับไอ้นัยมารับผมตามเวลา แว่บแรกที่ผมเห็นไอ้นัย ผมก็รู้สึกทันทีว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นกับมัน ความรู้สึกลึกๆมันบอก แต่ว่าหาเหตุผลไม่ได้

ไอ้นัยมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่ยิ้มแย้มเหมือนปกติ ระหว่างที่นั่งอยู่ในรถถามคำก็ตอบคำ ผมถามมันว่าเป็นอะไรหรือเปล่า มันก็ตอบว่าไม่เป็นไร

“ตื่นเต้นมั้ง” ไอ้นัยบอก

เมื่อมาถึงโรงเรียนซึ่งตั้งอยู่ในเขตพระนคร พวกเราก็ต้องไปนั่งรอสัมภาษณ์ ตามที่ประกาศระบุไว้ ห้องสัมภาษณ์ก็คือห้องเรียนนั่นเอง ห้องสัมภาษณ์นี้มีหลายห้อง แต่ละห้องมีนักเรียนนั่งรอคิวสัมภาษณ์ตรงทางเดินหน้าห้องอยู่เกือบสิบคน

ผมกับไอ้นัยถูกจัดให้สอบสัมภาษณ์คนละห้องกัน ห้องสัมภาษณ์ของผมอยู่ชั้นล่าง ส่วนไอ้นัยห้องสัมภาษณ์อยู่ชั้นสอง

ผมนั่งรออยู่หน้าห้องสัมภาษณ์ได้สักพัก คุณอาผู้ชายก็เดินเข้ามาหาผม

“ไอ้นัยอยู่ชั้นสองครับ” ผมบอก เพราะคิดว่าคุณอาจะหาไอ้นัย

“เปล่า อาไม่ได้หานัย อาจะมาหาอูนั่นแหละ” อาผู้ชายพูดขึ้น พลางนั่งลงข้างๆผม

“คุณอามีอะไรเหรอครับ” ผมถาม

“อารู้สึกว่านัยมีอาการแปลกๆไปตั้งแต่กลับบ้านมาเมื่อวาน ดูนัยซึมๆชอบกล ถามดูแล้วก็บอกไม่มีอะไร แต่อายังไม่ค่อยแน่ใจนัก เลยลองมาถามอูดู” คุณอาพูด

“ผมก็รู้สึกเหมือนกันครับคุณอา แต่เมื่อวานก็ไม่มีอะไรนี่ครับ เลิกเรียนแล้วผมก็กลับหอ ตอนนั้นไอ้นัยก็ยังดีๆอยู่” ผมบอก

ผมบอกว่าไม่มีอะไร แต่ตอนนั้นในใจรู้สึกหนาววูบ และขนลุกขึ้นมา จู่ๆผมก็รู้สึกกลัวขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดและลี้ลับ เกิดขึ้นมาวูบหนึ่งแล้วก็หายไป

Sunday, December 16, 2007

ตอนที่ 73

ดึกแล้ว ผมยังนอนตะแคง ตาค้างเพราะมีเรื่องให้คิดมากจนนอนไม่หลับ คิดโน่น คิดนี่ คิดไปเรื่อย

ผมรู้สึกว่าที่เตียงของไอ้ชัชมีเสียงดังกุกกัก มันคงกำลังจะลุกไปฉี่นั่นเอง ผมแกล้งทำเป็นนอนหลับ เพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับมันดี ผมอยากใช้ความคิดเงียบๆคนเดียว

ได้ยินเสียงไอ้ชัชลุกขึ้นจากเตียง จากนั้นผมรู้สึกเหมือนกับว่ามันกำลังลุกมาหาผม แล้วผมก็รู้สึกอุ่นๆที่แก้มขวา

ไอ้ชัชหอมแก้มผมเสร็จแล้วก็เดินออกไปจากห้อง หายไปสักพัก คงไปฉี่มา ก็เดินกลับเข้ามา จากนั้นก็มาหอมแก้มผมอีกที แล้วก็กลับไปนอนที่เตียงตามเดิม

ปกติไอ้ชัชไม่เคยหอมแก้มผมเลย แม้ตอนที่เรามีอะไรกันก็เคยมีทดลองดูดปากกันบ้าง แต่ก็เป็นแค่การเลียนแบบในหนังสือที่ได้อ่านมา ตอนที่ผมโดนไอ้ชัชหอมแก้มนั้น ผมรู้สึกอบอุ่นลึกๆอยู่ในจิตใจ ลมหายใจอุ่นที่มันหายใจรดแก้มทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด มันทำให้ผมหวนรำลึกไปถึงความรู้สึกของเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่พ่อกับแม่หอมแก้มผม ตอนที่ผมยังไม่เข้าเรียนหนังสือและอยู่ที่บ้านต่างจังหวัดนั้น ชีวิตช่างสุขสบายเสียนี่กระไร ผมอยากกลับไปในวันเก่าๆแบบนั้นอีกจัง ... คิดไปคิดมา ในที่สุดผมก็ผลอยหลับไปโดยไม่รู้ตัว

- - -

สัปดาห์นั้น ผมกับไอ้ชัชไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไรนัก เพราะว่าไอ้ชัชซึมไปมาก ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะปลอบมันอย่างไร ส่วนไอ้นัยเองก็พลอยถูกโรคซึมเศร้าระบาดเข้าใส่ กลายเป็นไม่ค่อยพูดจาไปด้วย กลางวันเวลานั่งกินอาหารก็นั่งกินด้วยกัน แต่ว่ากินกันเงียบๆ

จนถึงเย็นวันศุกร์ ผมก็ยังตัดสินใจไม่ถูกว่าผมควรไปเรียนที่ใหม่หรือไม่ ถ้าไม่ไป วันรุ่งขึ้นผมจะได้ไม่ไปสอบสัมภาษณ์ให้เสียเวลา

บ่ายวันศุกร์ หลังเลิกเรียน และหลังจากที่ไอ้ชัชเดินกลับไปที่หอแล้วสักพัก ผมก็คว้ากระเป๋านักเรียนเดินออกจากห้องไป

“ไปก่อนนะนัย” ผมบอกไอ้นัย

ไอ้นัยพยักหน้า เพราะมันเข้าใจว่าผมจะกลับหอ “พรุ่งนี้อย่าลืมล่ะ คุณอาจะมารับ”

ไอ้นัยมันหมายถึงว่าพรุ่งนี้คุณอากับมันจะมารับผมไปสอบสัมภาษณ์ ตลอดสัปดาห์นี้ ไอ้นัยมันเห็นผมเฉยๆ เลยเข้าใจเอาว่าผมคงยังไม่เปลี่ยนแผนการที่จะไปสอบสัมภาษณ์

ผมไม่ตอบคำ แต่พยักหน้า ว่าแล้วก็รีบเดินออกจากห้องเรียนไป

ผมขอยามที่หน้าโรงเรียน โดยบอกว่าจะออกไปซื้อของ ยามผู้ใจดีและคุ้นหน้าผมก็ผ่อนผันให้ผมออกมาจากโรงเรียนได้อย่างง่ายดาย

ผมไม่ได้กำลังจะไปซื้อของที่ไหนหรอกครับ แต่จะไปหาคนคนหนึ่ง บ้านอยู่ในซอยลาดพร้าว ๑ นี่เอง

ผมเดินจากโรงเรียน ใช้เวลาประมาณ ๑๐ นาทีก็ถึง บุคคลที่ผมกำลังจะมาหานี้ก็คือคครูประจำชั้นเก่าตอน ป.๔ ของผมเอง

ครูคนนี้เป็นครูชาย ชื่อครูช่วย อายุมากแล้ว เป็นครูรูปร่างสันทัด ไม่ผอม ไม่อ้วน ผิวสองสี ตอนที่ผมอยู่ชั้น ป.๔ ครูขับรถเก่าๆมาสอนหนังสือ เป็นครูที่ดุและชอบตีนักเรียน ตอนนั้นผมเองก็โดนไม้เรียวหวดก้นไปไม่น้อย ครูยิ่งตี ผมก็ยิ่งดื้อ ยิ่งดื้อ ผมก็ยิ่งโดนตี ส่วนไอ้ชัชกับไอ้นัยนั้นก็โดนตีบ้างแต่ไม่มาก นักเรียนทั้งชั้นไม่มีใครไม่ถูกแกตีเลย ทำการบ้านไม่ครบก็โดนตี ลืมเอาหนังสือเรียนมาก็โดนตี เสียงดังก็โดนตี เพราะครูคนนี้แกถือสุภาษิตที่ว่าไม้เรียวสร้างคนเป็นรัฐมนตรี แกเลยตีแหลก

ตอนที่แกเป็นครูประจำชั้นของผมตอน ป.๔ นั้น ผมเกลียดแกมาก ที่จริงนักเรียนทั้งชั้นคงไม่มีใครชอบแกหรอกครับ แต่แล้วก็เหมือนชะตาลิขิต หลังจากที่ผมจบชั้น ป.๔ ครูคนนี้ก็ออก ไม่ทราบว่าลาออกเองหรือว่าเกษียณ ข้อนี้ผมจำไม่ได้แล้ว หลังจากนั้น ตอนที่ผมเรียนอยู่ชั้น ป.๕ มีอยู่วันหนึ่ง เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ผมเดินมาซื้อของที่ลาดพร้าวซอย ๑ ก็เลยเจอแกเข้า

คนแถวนั้นคงยังจำได้นะครับ ว่าลาดพร้าวซอย ๑ ในยุคก่อนนั้น ทั้งปากซอยและในซอย เต็มไปด้วยร้านขายของและขายขนม ร้านขายขนมที่ผมชอบไปซื้อกินก็คือร้านเครือทิพย์ ข้าวเหนียวสังขยาอร่อยดี แล้วก็มีอีกร้านที่อยู่ใกล้ๆกัน ชื่อว่าร้านผูกจิต เป็นร้านขายข้าวแกง แล้วก็มีร้านตัดผม เด็กนักเรียนคิด ๕ บาทหรือ ๑๐ บาทนี่แหละ ห่างออกไปอีกหน่อยก็เป็นตลาดและโรงหนังชั้นสอง เดี๋ยวนี้กลายเป็นสถานีรถไฟฟ้าและช้อปปิ้งมอลล์ไปหมดแล้ว และเมื่อเดินเข้าไปในลาดพร้าวซอย ๑ ก็จะมีตลาดเล็กๆอยู่ มีร้านขายของชำ และอื่นๆ

คงต้องขอเล่าย้อนความหน่อย ตอน ป.๕ ที่พบกันนั้น ครูช่วยก็มาซื้อของที่ร้านขายของชำ เมื่อผมเจอแก ทำไงได้ละครับ ก็ต้องสวัสดีกันตามธรรมเนียม ผมถามว่าแกมาทำอะไรแถวนี้ ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าบ้านแกอยู่ไหน แกก็ตอบว่าบ้านอยู่ในซอยนี้เอง จากนั้นก็เชิญผมไปนั่งเล่นที่บ้านของแก

ผมเดินตามครูช่วยเข้าไป บ้านของแกเดินลึกเข้ามาในซอย ๑ อีกพอควร จากนั้นมีซอกเล็กๆแยกเข้าไปอีก ต้องเรียกว่าซอก ไม่ได้เรียกว่าซอย เพราะรถวิ่งผ่านไม่ได้ เป็นทางเดินเล็กๆ อย่างมากก็จูงจักรยานผ่านไปได้เท่านั้นเอง ใช่แล้วครับ บ้านครูช่วยอยู่ในย่านคนจน

บ้านของแกเป็นเรือนไม้ชั้นเดียว ใต้ถุนยกสูง เหมือนบ้านคนไทยสมัยก่อนไม่มีผิด ในบ้านแกมีห้องเล็กๆ ๒ ห้อง มีชานเรือนนิดหน่อย ส่วนห้องน้ำอยู่ข้างล่าง ไม่ได้อยู่ในเรือน บันไดบ้านแกชันมาก ขึ้นบ้านแล้วแล้วเสียวกลิ้งตกไปเหมือนกัน เพราะว่าเนื้อที่บ้านแคบเล็กนั่นเอง

ครูช่วยต้อนรับขับสู้ผมอย่างดี แกบอกว่าชอบนั่งอยู่ที่ชานเรือน เพราะในห้องมันอุดอู้ ที่ชานเรือนมีหมอนอิง ถังใส่กาชาจีน (กาน้ำชาจีนต้องมีถังบุนวมข้างในใส่เพื่อรักษาความร้อนของกาและน้ำชาในกาเอาไว้) แกชอบดื่มชาจีนครับ

แปลกนะครับ พอไม่ได้เป็นครูประจำชั้นของผมแล้ว ครูช่วยกลับกลายเป็นคนที่มีอัธยาศัยน่ารักมาก ชอบคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ฟัง ผมก็ชอบนั่งฟังแกคุย และหลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ผมก็กลายเป็นแขกประจำแต่มาไม่สม่ำเสมอของครูช่วย ที่ว่าแขกประจำแต่มาไม่สม่ำเสมอก็เพราะว่าผมไม่ได้มาหาแกบ่อยนัก แต่ก็อยากไปหาแกนะครับ รู้สึกว่าแกเป็นชายสูงอายุที่เหงาและน่าสงสาร แต่ว่าวันหยุดเด็กประจำจะออกมาเพ่นพ่านข้างนอกนานๆไม่ได้ เลยไม่ค่อยมีโอกาสออกมา ส่วนไอ้ชัชนั้นเคยชวนมันอยู่บ้าง มันก็ไม่มา บอกว่าคุยกับคนแก่ไม่รู้เรื่อง แล้วก็เลยไม่ได้ชวนอีก

ที่ผมมาหาครูช่วยในครั้งนี้ ก็คิดว่าจะมาปรึกษาแก เพราะตัดสินใจไม่ถูก ตอนนั้นก็แปลกดี ไม่นึกถึงครูประจำชั้น ป.๖ แต่กลับไปนึกถึงอดีตครูประจำชั้นแทน

ตอนนั้นบ่ายแก่แล้ว ยังไงครูช่วยก็ต้องอยู่บ้านแน่นอน และแล้ว เมื่อเดินไปถึงหน้าบ้านแก ผมก็เห็นแกนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ จิบชาจีน ด้วยท่วงท่าเดิมๆที่ผมคุ้นเคย

ผมเล่าเรื่องให้ครูช่วยฟัง แต่ไม่ได้เล่าถึงเรื่องความรู้สึกและความสัมพันธ์ลึกๆของพวกเรา แล้วผมก็ถามแกว่าผมควรไปเรียนชั้น ม.๑ ที่โรงเรียนใหม่หรือไม่

“ตกลงที่เราไม่อยากไปมันเพราะอะไรกันแน่” ครูช่วยถามพลางจ้องหน้าผมเหมือนจะค้นหาความจริง

“ไอ้ชัชมันไม่อยากให้ผมไปครับ ผมเองก็ลังเล เพราะรู้สึกทิ้งเพื่อนไม่ลงเหมือนกัน” ผมตอบ

“การที่เราไปเรียนที่อื่น ไม่ได้หมายความว่าเราทิ้งเพื่อนนี่” ครูช่วยบอก

“อู เธอคิดดูนะ คนในโลกมีตั้งกี่ร้อยกี่พันล้านคน ทำมเธอถึงได้มารู้จักกับเพื่อนๆ รู้จักกับชัชชัยล่ะ ทำไมไม่ไปเจอคนอื่น” ครูพูดอีก

อือม์ นั่นสินะ แต่ เอ... ไม่เข้าใจแฮะ

“ก็เพราะว่าคนเราล้วนมีวาสนาต่อกันยังไงล่ะ” ครูช่วยพูดต่อ “ครูเชื่อว่า ทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา มีโอกาสได้พบเจอกับเรา ล้วนแล้วแต่มีวาสนาต่อกันทั้งนั้น แต่จะมีวาสนาต่อกันในทางใด และมีมากเพียงไหน มันก็ต้องแล้วแต่คนไป

“ดังนั้น ที่อูกับชัชได้มีโอกาสเป็นเพื่อนกัน นั่นก็คือพวกเธอมีวาสนาต่อกัน ไม่แน่ว่าวาสนาของพวกเธออาจไม่ได้หมดกันเพียงแค่นี้ อูไปเรียน ม.ต้นที่อื่น พอถึง ม.ปลาย อูก็อาจย้ายโรงเรียนอีก เช่น ไปสอบเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมฯ แล้วที่นั่น อูอาจได้เรียนร่วมกับชัชอีกก็ได้ ใครจะไปรู้” ครูช่วยพูดเสียยืดยาว “ที่พูดมาเข้าใจไหม”

“เข้าใจครับ” ผมตอบ “แล้วผมควรไปดีไหมครับ”

ครูช่วยเขกหัวผมเบาๆ “ไหนบอกว่าเข้าใจไง เข้าใจก็ไม่ต้องถามสิ ไปคิดต่อเอาเอง”

“อ้า งั้นไม่เข้าใจก็ได้ครับ” ผมเปลี่ยนคำตอบใหม่

“ครูหมายความว่า แต่ละคนมีเส้นทางชีวิตของตัวเอง ถ้าการไปทำให้เรามีโอกาสพัฒนาได้มากกว่าก็ควรไป การแยกจากเพื่อนเป็นเรื่องเพียงชั่วคราว ในอนาคตเรายังมีโอกาสได้พบกันอีก คนเราเมื่อมีวาสนาต่อกัน ในที่สุดก็จะได้พบกันอีก เหมือนอูที่ได้มาพบครูอีกนี่ไง” ครูช่วยพูด

“แต่ชัชมันไม่ได้คิดแบบนี้นี่ครับครู มันคิดว่าผมจะทิ้งเพื่อน” ผมบอก

“เราก็ต้องค่อยๆอธิบายแหละ หรือถ้าชัชอยากมานั่งเล่นที่นี่บ้าง ให้เขามาคุยกับครูบ้างก็ได้ ถึงชัชอาจจะยังไม่เข้าใจในวันนี้ แต่เมื่อโตขึ้น ครูเชื่อว่าในที่สุดเขาก็จะเข้าใจ” ครูช่วยบอก

การคุยกับครูช่วยในวันนั้น เหมือนแสงสว่างในอุโมงค์ ช่วยผมได้มากจริงๆ ผมตัดสินใจได้แล้วว่าผมควรทำอย่างไร แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าไอ้ชัชจะทำอย่างไรมากกว่า ที่จริงแล้วปัญหาของผมไม่ได้มีเพียงเท่านี้หรอกครับ นอกจากเรื่องของไอ้ชัชแล้ว ยังมีเรื่องของที่บ้าน หรือว่าเรื่องพ่อของผมอีก

Saturday, December 15, 2007

ตอนที่ 72

ไอ้ชัชจับมือผมที่กำลังคลายออกจากเอวของมัน เป็นความหมายว่าให้กอดต่อไป แล้วมันก็ยกแขนขึ้นโอบไหล่ของผมเอาไว้ พลางเอาหน้าของมันมาซบผม มันซบไปสะอื้นไป

“อยู่กับกูนะอู เราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก กินนอนด้วยกัน เล่นด้วยกัน กูสนิทกับมึงยิ่งกว่าครอบครัวกูเองอีก ... กูกลัว...”

“กลัวอะไรเหรอชัช” ผมถาม

“เวลาคิดถึงตอนที่อยู่โดยไม่มีมึง... กูกลัว...” ว่าแล้วมันก็เปลี่ยนจากเสียงสะอื้นเป็นร้องไห้ “อยู่กับกูนะอู”

ปกติไอ้ชัชเป็นคนที่ร่าเริง เป็นมิตร ความกวนประสาทของมันเป็นตัวสร้างความสนุกสนานให้แก่เพื่อนฝูง ตั้งแต่โตมาด้วยกัน ผมแทบไม่เคยเห็นมันร้องไห้เลย แต่พอมาถึง ป.๖ เทอมปลายนี้ ไอ้ชัชต้องเสียน้ำตาหลายครั้ง และทุกครั้งล้วนแต่มีผมเป็นต้นเหตุ

ผมสงสารไอ้ชัช จนต้องร้องไห้ไปกับมัน เรากอดกันและร้องไห้ไปด้วยกัน หัวใจของผมรับรู้ได้ถึงความเศร้าโศกของไอ้เพื่อนรักคนนี้ จนผมรู้สึกใจอ่อน ...

“กู...” ผมแทบจะหลุดปากออกไปว่าผมเปลี่ยนใจไม่ไปแล้ว แต่ฉับพลันทันใดนั้นผมก็นึกถึงหน้าไอ้นัยขึ้นมา ดวงหน้าที่ฟกช้ำดำเขียวจากการถูกซ้อม ใบหน้าที่เศร้าสร้อยแต่เด็ดเดี่ยวของมัน ปรากฏขึ้นในห้วงความคิดของผม “กูไม่รู้ ชัช ... กูไม่รู้จริงๆ...”

ตกกลางคืนของวันนั้น ไอ้ชัชดูเงียบเหงาและเศร้าหมอง ผมเองก็เป็นด้วยเหมือนกัน เพราะความตั้งใจเดิมชักจะโลเล ยามกลางคืน เมื่อผมกำลังจะเข้านอน ผมเห็นไอ้ชัชนอนคลุมโปง ตัวสั่นเบาๆอยู่ในโปง มันคงร้องไห้อีกแล้ว แต่ผมไม่กล้าเข้าไปปลอบมันเพราะคนอยู่ในห้องนอนกันเยอะ

ผมเหลือบดูกล่องใส่ทิชชู่ปักรูปหมาที่ไอ้ชัชให้เป็นของขวัญปีใหม่ที่วางอยู่ที่โต๊ะหัวเตียง ไอ้ชัชมันเอาใจและตามใจผมแทบทุกอย่างตั้งแต่เด็กจนโต มันเป็นเพื่อนที่รู้ใจผมมากที่สุด ปีนี้ก็เอาของขวัญมาให้ผม ในขณะที่ไอ้นัยไม่เคยให้ของขวัญอะไรผมเลย ไอ้นัยจะรู้ใจและเข้าใจผมขนาดไหนผมเองก็ยังไม่แน่ใจ ผมรู้สึกผิดกับไอ้ชัช ผมรู้สึกผิดกับไอ้นัย ... ผมรู้สึกสับสน...

- - -

วันจันทร์ในสัปดาห์ถัดมา เช้าวันนั้นเป็นวันที่ชุลมุนวุ่นวายที่สุดอีกวันหนึ่ง เพราะเกือบทุกคนสนใจและคุยกันแต่เรื่องผลการสอบคัดเลือกเข้า ม.๑ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ไอ้นัยยิ้มแป้นมาแต่เช้า เราสองคนกลายเป็นดาวเด่นของห้อง เพราะว่าในห้องมีเพียงเราเท่านั้นที่สอบติดที่โรงเรียนนี้ ส่วนไอ้ชัชนั่งซึมไม่พูดจา

วันนั้นผมเรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง ทั้งวัน เพราะมัวคิดถึงเรื่องการตัดสินใจ คิดเท่าไรก็คิดไม่ออก

ตกบ่าย หลังเลิกเรียน ไอ้ชัชเดินซึมกลับเข้าหอไปในทันที ผมรู้สึกเห็นเป็นจังหวะที่ดีที่ไอ้ชัชไม่อยู่ เลยลากไอ้นัยไปคุยที่โรงอาหาร

“นัย กูจะทำยังไงดี” ผมถามมัน

“เรื่องไรล่ะ” ไอ้นัยยังงงอยู่

“เรื่องเรียน ม.๑ มึงว่ากูควรตัดสินใจเอาที่ใหม่ดีไหม” ผมถาม

“แล้วเรื่องอะไรจะไม่เอาล่ะ” ไอ้นัยย้อนถาม

“ก็ไอ้ชัชน่ะสิ” ผมตอบ “มันไม่อยากให้กูไป”

ถึงตอนนี้ไอ้นัยนิ่งอึ้งไป

“มันชอบมึงมากนะ” ไอ้นัยพูดขึ้นมาอย่างไม่คาดหมาย ผมรู้สึกแปลกใจ ว่าทำไมไอ้นัยถึงรู้เรื่องนี้ได้

“มึงรู้ได้ไง” ผมถาม

“แค่นี้ดูไม่รู้ก็ควายแล้ว” ไอ้นัยตอบ

รู้สึกว่าทั้งไอ้ชัชและไอ้นัยจะโตเร็วและเรียนรู้เรื่องความสัมพันธ์ได้เร็วกว่าผม เพราะมันทั้งสองคนต่างก็เริ่มเรียนรู้และเข้าใจถึงความรู้สึกรักชอบ แต่ในขณะที่ผมยังติดอยู่ในวังวนของอะไรก็ไม่รู้ จนไม่เข้าใจตัวเอง และไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป

ผมรู้สึกเอะใจ ถ้ามันดูไอ้ชัชออก แล้วมันจะดูออกไหมว่าผมคิดอย่างไรกับมัน

“แล้วมึงดูออกไหมว่ากูชอบใคร” ผมถามตรงๆ ไม่อ้อมค้อม

ไอ้นัยอึ้งไปอีก แล้วตอบเสียงอ้อมแอ้ม

“ไม่รู้อ่ะ” มันหยุดไปหน่อยแล้วรีบถามต่อ “แล้วเรื่องย้ายโรงเรียนมึงคิดอย่างไร”

“เดี๋ยวสิ เอาเรื่องนี้ก่อน มึงไม่รู้จริงๆหรือว่ากูชอบใคร” ผมยังไม่ยอมเปลี่ยนประเด็นตามมัน ผมรู้นิสัยมันดี ถ้ามันไม่อยากพูดเรื่องไหน มันก็จะรีบเสไปพูดเรื่องอื่นแทน

“เอ้อ... มึงก็คงชอบไอ้ชัชด้วยมั้ง” ไอ้นัยตอบอ้อมแอ้มอีก

ผมรู้สึกเหน็ดเหนื่อยและท้อแท้ขึ้นมาอย่างฉับพลัน ไอ้นัยมันดูไอ้ชัชออก แต่มันกลับดูผมไม่ออกแม้แต่น้อย แล้วสิ่งที่ผมกำลังจะทำไปนี้ผมจะทำไปเพื่อใคร หรือว่าเพื่ออะไรกัน ???

“อู เป็นไรไปอ่ะ ทำไมเงียบไป” เสียงไอ้นัยทำให้ผมตื่นจากภวังค์ กลับเข้าสู่โลกของความจริงอีกครั้ง

“เปล่า” ผมตอบ “คือกูกำลังคิดว่าอาจจะไม่ย้ายไปไหนแล้ว เพราะสงสารไอ้ชัชมัน”

ไอ้นัยนิ่งเงียบไปอีก

“มึงตัดสินแน่แล้วเหรอ” ไอ้นัยถาม

“กูก็ยังไม่รู้เลย” ผมตอบ ในใจขณะนั้นรู้สึกเลื่อนลอยและสับ ตอนนั้นมันท้อจนไม่อยากคุยต่อแล้ว “ตอนนี้สับสนว่ะ ยังคิดอะไรไม่ออก”
- - -

ตอนค่ำของวันนั้น หลังจากที่ผมกลับเข้าหอแล้ว ผมเห็นไอ้ชัชนั่งซึมดูโทรทัศน์ตลอดหัวค่ำ ผมเดินเข้าไปนั่งข้างๆมัน แต่ไม่ได้พูดอะไร เพราะไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี หลังจากที่คุยกับไอ้นัยตอนเลิกเรียนแล้วผมรู้สึกท้อแท้จนไม่อยากทำอะไรเหมือนกัน มันเป็นช่วงเวลาที่ผมรู้สึกสับสนมากที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิต

ผมนั่งอยู่ในห้องดูโทรทัศน์เป็นเพื่อนไอ้ชัชจนถึงเวลาเข้านอน โดยที่ผมดูอะไรไม่รู้เรื่องเลย ถึงตอนเข้านอน ผมเหลือบดูกล่องทิชชู่ปักรูปหมาที่หัวเตียงอีก

หลังจากปิดไฟในห้องนอน ผมยังคงนั่งจับจ้องไปที่กล่องทิชชู่อันนั้น ในความมืด ความคิดคำนึงของผมล่องลอยไปในอดีต... ตอนประถมต้น ผมกับไอ้ชัชโตมาด้วยกัน นอนเตียงติดกันเกือบจะตลอด พอมาประถมปลาย นอกจากเรียนและเล่นด้วยกันแล้ว เรายังมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งเกินกว่าที่เพื่อนทั่วไปจะมีต่อกัน... ทำไมคนเราพอยิ่งโต ชีวิตมันถึงได้ยิ่งวุ่นวาย นี่ถ้าผมหยุดชีวิตเอาไว้ที่ชั้น ป.๕ ได้ก็คงจะดีไม่น้อย

Monday, December 3, 2007

ตอนที่ 71

ตอนบ่ายวันนั้น หลังจากที่ผมกลับมาถึง เพื่อนๆก็เข้ามารุมล้อมซักถามรายละเอียดกันใหญ่ เพราะไม่มีใครนึกว่าผมจะสอบติดโรงเรียนดังได้โดยไม่ต้องติว ผมเองก็รู้สึกภูมิใจมาก เพราะตั้งแต่เรียนชั้นประถมมา แม้ผมจะสอบได้ลำดับที่เป็นเลขหลักเดียว แต่ก็ไม่ใช่เด็กที่เป็นคนเด่นอะไร ได้ลำดับที่เจ็ด แปด เก้า แถวๆนี้มาตลอด ไม่ว่าจะแข่งขันอะไร ผมก็ไม่เคยได้รางวัล มีแต่เกือบได้กับเกือบสำเร็จทั้งนั้น เพิ่งจะมีครั้งนี้แหละครับ ที่ผมรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรได้สำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน และได้รับการยอมรับจากเพื่อนๆ

ขณะที่ผมกำลังดีใจกับความสำเร็จอยู่นั้น ผมก็เริ่มสังเกตว่าไอ้ชัชไม่ได้อยู่แถวนั้นแล้ว มันปลีกตัวไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบได้

ผมเฮฮาอยู่กับกลุ่มเพื่อนต่ออีกสักครู่ จากนั้นก็พยายามปลีกตัวออกมา ผมเดินหามันจนทั่วหอก็ไม่พบ ถามใครก็ไม่มีใครเห็น

ถ้ามันไม่อยู่ในหอ มันก็อาจเดินไปซื้อของที่ร้านค้านอกโรงเรียน แต่คิดดูแล้วคงไม่ใช่ ไอ้ชัชคงไม่ไปซื้อของในเวลาแบบนั้น ผมจึงเดินออกจากหอและตามหาไอ้ชัช

หลังจากที่เดินหาไปจนเกือบทั่วโรงเรียน ก็มาพบไอ้ชัชนั่งเล่นอยู่บนชิงช้าคนเดียวอยู่ที่โรงเรียนอนุบาล โรงเรียนอนุบาลนี้อยู่อีกด้านหนึ่งของโรงเรียนเลยครับ อยู่ข้างๆตึกประถมต้น ที่นั่นจะมีชิงช้าอยู่หลายตัว วันนั้นเป็นวันหยุด ดังนั้นที่โรงเรียนอนุบาลจึงไม่มีใครอยู่เลย

ผมยังจำภาพของไอ้ชัชในวันนั้นได้อย่างติดตา มันนั่งคนเดียว เอาเท้ายันพื้นไกวชิงช้าเบาๆ ท่าทางเงียบเหงา สายตาเหม่อลอย ไอ้ชัชซึมอย่างเห็นได้ชัด

ความเศร้าหมองของไอ้ชัชเหมือนโรคติดต่อ มันทำให้ผมหดหู่ไปด้วย ความดีใจของเมื่อครู่มลายหายไปอย่างรวดเร็ว

“ชัช ชัช เป็นอะไรไปน่ะ” ผมถาม ที่จริงก็พอรู้อยู่ว่าเป็นอะไร ถามไปอย่างนั้นเองเพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นการสนทนาอย่างไรดี

ไอ้ชัชส่ายหัว ไม่พูดจา นั่งไกวชิงช้าด้วยท่าทีเซื่องซึม

“ชัช เป็นไรไปน่ะ พูดกับกูหน่อยดิ” ผมพูด พลางก้าวขึ้นไปนั่งบนชิงช้าคู่กับมัน ชิงช้านี้เป็นชิงช้าแบบที่นั่งคู่

ไอ้ชัชส่ายหัวไม่พูดอีก แต่ตาเริ่มแดงก่ำ ผมนึกถึงตอนที่มันพยายามปลอบผมยามที่ผมเป็นทุกข์ ผมจึงเอามือไปโอบเอวมัน แล้วกอดมันแน่น

“ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วยวะชัช มึงมีอะไรก็พูดมาเถอะ กูเป็นเพื่อนรักของมึงนะ”

เท่านั้นเอง ต่อมน้ำตาของไอ้ชัชก็แตก มันสะอึกสะอื้นจนตัวโยน

“มึงก็รู้นี่ว่าเพราะอะไร” ไอ้ชัชพูดแล้ว เสียงของมันปนสะอื้น ฟังแล้วสงสารมันจับใจ

“ฮื่อ กูก็รู้แหละ” ผมพูด “แต่มึงจะให้กูทำยังไงล่ะ เป็นใครถ้าสอบติด มันก็ต้องไปทั้งนั้น”

“แต่กูไม่อยากจากมึงไป มึงกับไอ้นัยไปกันหมด แล้วปล่อยให้กูอยู่ที่นี่คนเดียว” ไอ้ชัชพูดไปก็ร้องไห้ไป

ผมกอดไอ้ชัชเอาไว้แน่น พูดไม่ออกจริงๆครับ ไม่อยากปลอบมันว่าไม่ไปก็ได้ เพราะไม่อยากโกหกมัน ในยุคนั้น การที่สอบเข้า ม.๑ โรงเรียนดังได้มันก็เหมือนกับนักเรียนมัธยมปลายที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยดังๆได้นั่นแหละครับ ความรู้สึกไม่ผิดกันเลย

“ถ้าไอ้นัยสอบไม่ติด แล้วมึงสอบติด มึงจะยังไปไหมวะ” ไอ้ชัชถาม

คำถามนี้เล่นเอาผมถึงกับอึ้ง นั่นสินะ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมจะไปไหม

“กูก็ตอบไม่ถูกนะชัช” ผมตอบมันไปตามตรง “ตอบไม่ได้เหมือนกัน”

“แสดงว่ามึงไปเพราะไอ้นัย” ไอ้ชัชสรุป

ผมอึ้งไปอีก ที่จริงมันก็มีส่วน แต่จะมีส่วนแค่ไหน ผมเองก็ตอบใจตนเองไม่ได้เหมือนกัน

“ไม่รู้สิ” ผมตอบ ตอนนั้นใจผมเริ่มสับสน ชักจับต้นชนปลายไม่ถูกแล้ว

“มึงไม่ไปได้เหรอ อู” ไอ้ชัชพูด มังนิ่งไปนิดหนึ่ง แล้วก็พูดต่อ “กูรักมึงนะอู”

“เออ กูก็รักมึง มึงเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของกู” ตอนนั้นผมยังไม่เข้าใจกับคำว่าความรักดีเท่าไร ผมคิดว่ามันกำลังบอกผมว่าผมเป็นเพื่อนรักของมัน

“กูชอบมึงมากนะ ไอ้อู มึงไม่เหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆ มึงสำคัญกับกูมาก” ไอ้ชัชพูด ตอนนั้นผมเริ่มงงและสับสน ผมชักไม่ค่อยแน่ใจแล้วว่าไอ้ชัชมันรู้สึกยังไงกับผมกันแน่ มันเป็นความรู้สึกที่เข้าใจยากสำหรับเด็ก ป.๖ ในสมัยนั้น ผมยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจคำว่า ความรัก

“กูรู้ว่ามึงชอบไอ้นัย ก็เลยรู้สึกอิจฉา บางทีก็เลยแกล้งมึงกับไอ้นัย” ไอ้ชัชพูดต่อ พลางสะอื้น

หลังจากที่ได้ฟังไอ้ชัช ผมถึงกับอึ้งไปอีกครั้ง คำพูดของมันเหมือนกับฉุดให้ผมออกมาจากความมืดสู่ความสว่าง ใช่สินะ คงเป็นเพราะผมชอบไอ้นัยนั่นเอง คำว่า “ชอบ” นั้นมันมีความหมายมากกว่าคำว่าเพื่อน ตอนนั้นผมเองก็ยังไม่รู้ตัวเลยครับว่าชอบไอ้นัยในแบบที่มากกว่าความเป็นเพื่อน หรือว่าอาจจะรู้ตัว แต่ไม่กล้ายอมรับความจริงอันผิดธรรมชาติของตนเองก็ได้

ผมคลายมือที่โอบเอวไอ้ชัชออก ตอนนั้นรับมือกับสถานการณ์ไม่ถูกจริงๆ

Sunday, December 2, 2007

ตอนที่ 70

“ไอ้นัย มึงสอบติดแล้วนะ” ผมตะโกนบอกไอ้นัย ไอ้นัยเองพยักหน้าเป็นทีว่าเห็นแล้ว ผมเห็นมันยิ้มแป้น ใบหน้าฉายแววแห่งความยินดีออกมา ขณะนั้นเอง ผมรู้สึกเหมือนกับว่าเวลาได้ถูกหยุดเอาไว้ชั่วคราว ผมไม่ได้เห็นไอ้นัยยิ้มกว้างแบบนี้มานานแล้ว มันทั้งร่าเริง สดใส และเป็นธรรมชาติ มันทำให้ผมนึกถึงความสุขในช่วง ป. ๕ ที่ผ่านมา ผมพยายามมองหน้าที่เปี่ยมด้วยความยินดีของไอ้นัยเอาไว้ พยายามเก็บภาพนี้เอาไว้ให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ... เหมือนกับรู้ว่าต่อไปผมจะไม่มีโอกาสได้เห็นรอยยิ้มแบบนี้อีก

“อู คิดไรอยู่ หลบให้คนอื่นเขาดูบ้างดิ” เสียงไอ้นัยเรียกผม ทำให้ผมตื่นขึ้นมาจากภวังค์ ผมยืนคาอยู่ที่หน้าบอร์ดตั้งนาน มัวแต่มองไอ้นัยเพลินไปจนลืมไปว่าผมกำลังบังใครอีกหลายๆคนที่กำลังหารายชื่อของตนเองอยู่

ผมกับไอ้นัยถอยออกมาจากหน้าบอร์ด ปล่อยให้คนอื่นๆได้ตรวจหารายชื่อกันบ้าง ตอนนั้นเองที่ผมสังเกตว่าเด็กนักเรียนที่มาออกันดูผลสอบนั้นมีกิริยาอาการต่างๆกัน บางคนก็ยินดีจนออกนอกหน้า บางคนก็เฉยๆ บางคนก็แสดงอาการเศร้าสร้อยออกมาจนเห็นได้ชัด ที่ร้ายยิ่งกว่านั้น บางคนเศร้ากันทั้งเด็กและผู้ปกครอง การสอบเข้าชั้น ม.๑ ในยุคนั้นก็มีความหมายมากเหมือนกันครับ เพราะว่าหลายๆโรงเรียนมีเพียงแค่ประถม ๖ ถ้าใครเรียนจบแล้วไม่มีที่เรียนต่อก็ต้องเคว้ง วิ่งหาโรงเรียนกันให้วุ่น ต่างจากโรงเรียนที่มีชั้นมัธยมด้วย เพราะหากใครสอบเข้า ม.๑ ที่อื่นไม่ได้ ถึงอย่างไรก็สามารถเรียนต่อที่เดิมได้

คนที่สอบเข้าไม่ได้ในรอบแรก ต่อไปจะมีการจัดโรงเรียนให้รอบสอง คือเป็นการรวบรวมที่ว่างจากโรงเรียนต่างๆหลังจากการสอบรอบแรก ว่าโรงเรียนใดยังรับได้อีกเท่าไร แล้วก็จัดสรรให้แก่นักเรียนที่สอบเข้าที่ไหนไม่ได้ บางคนก็ได้รับจัดสรรโรงเรียนไกลบ้าน บางคนก็ได้โรงเรียนที่ผู้ปกครองไม่ค่อยพอใจนัก พูดง่ายๆก็คือ ได้โรงเรียนที่คิดว่าไม่ค่อยดี พวกนี้ในที่สุดก็อาจต้องไปเข้าโรงเรียนเอกชน เพราะไม่ถูกใจโรงเรียนที่ตนเองได้รับจัดสรรให้

วันนั้นเองที่ผมได้เริ่มเรียนรู้ความโหดร้ายของชีวิตจริง ในวัยเด็ก ชีวิตของผมมีแต่ความราบรื่น เรียน เล่น ชีวิตอยู่แต่ในโรงเรียนประจำที่มีการดูแลอย่างดี แต่ที่นี่ ผมได้เห็นถึงการแก่งแย่ง ความสำเร็จ และความล้มเหลว ซึ่งในที่สุดผมก็คงหนีวังวนเหล่านี้ไม่พ้นเช่นกัน

เมื่อเดินห่างออกมาจากบอร์ด คุณอาของไอ้นัยก็เดินเข้ามาสมทบ ใบหน้ายิ้มแย้ม แสดงออกถึงความยินดี คุณอาเห็นกิริยาของไอ้นัยก็คงเดาได้ว่าผลการสอบเป็นอย่างไร คุณเอาเอามือลูบหัวไอ้นัยด้วยความเอ็นดู

“เก่งมากนะนัย นี่แหละ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จก็อยู่ที่นั่น” อาผู้ชายพูด

ไอ้นัยยิ้มแป้น หน้าบาน ส่วนผมเองรู้สึกอิจฉาเล็กๆ เพราะพ่อของผมไม่เคยแสดงความรู้สึกชื่นชมยินดีในความสำเร็จของผมแบบนี้มาก่อน นี่ถ้าพ่อผมรู้ พ่อคงไม่ยินดีแบบอาของไอ้นัย และที่ร้ายยิ่งไปกว่านั้น อาจไม่ยอมให้ผมย้ายโรงเรียนก็ได้

“อู เป็นไรไปน่ะ ตกลงสอบได้หรือไม่ได้ ทำไมเดี๋ยวยิ้ม เดี๋ยวซึม” อาผู้ชายหันมาทักผมบ้าง

ผมตื่นขึ้นมาจากภวังค์ความคิดอีกครั้งหนึ่ง

“สอบได้ครับ” ผมตอบ

“แล้วทำไมดูซึมๆล่ะ คิดอะไรอยู่” อาผู้ชายถามอีก

“เอ้อ...” ผมตอบแล้วก็หยุด “คือผมสงสารคนที่สอบไม่ได้น่ะครับ แล้วก็ยังไม่แน่ใจว่าป๋าจะให้เรียนต่อที่นี่ไหม”

“ขี้สงสารจริงเรานี่” อาผู้ชายพูด “ชีวิตคือการต่อสู้นะอู มันก็ต้องมีคนสมหวัง และมีคนผิดหวัง ส่วนเรื่องป๋าน่ะ ลองค่อยๆคุยดู แล้วอาจะลองช่วยพูดให้อีกแรง”

ที่จริงอาผู้ชายก็ไม่ได้สนิทกับพ่อของผมเท่าไรนัก แต่เนื่องจากผมสนิทกับไอ้นัย และมีเรื่องต้องพึ่งคุณอาอยู่เสมอ ทั้งสองคนเลยมีโอกาสได้คุยกันบ้าง และพ่อผมก็ให้ความเกรงใจอาของไอ้นัยอยู่ไม่น้อย

ขั้นตอนต่อไปหลังจากการประกาศผลสอบในวันนี้ก็คือ สัปดาห์หน้าเราต้องมาสอบสัมภาษณ์ เมื่อสอบสัมภาษณ์ผ่านจึงจะถือว่าสอบเข้าเรียนต่อผ่านโดยสมบูรณ์ เรายังเหลืออีกด่านหนึ่ง แต่อาผู้ชายบอกว่าการสอบสัมภาษณ์นี้ไม่น่ากลัวนัก ส่วนใหญ่จะผ่านกันหมด ยกเว้นพวกที่ผิดปกติจริงๆ

“ผิดปกตินี่คืออะไรครับ” ไอ้นัยถาม

“ก็... อย่างเช่นสติไม่ดี คุยไม่รู้เรื่องมั้ง” อาผู้ชายตอบ

“สติไม่ดีแล้วจะสอบข้อเขียนผ่านได้ยังไง” ไอ้นัยย้อน แล้วหัวเราะ มันคงไม่ได้หวังคำตอบอะไรจริงจังนัก

หลังจากดูผลสอบเสร็จ คุณอาก็ขับรถกลับมาที่หอเพื่อมาส่งผม ตลอดทางที่เรานั่งรถกลับ ไอ้นัยคุยอย่างร่าเริงไปตลอดทาง วันนี้เป็นวันที่มันพูดมากที่สุดนับตั้งแต่เรารู้จักกันมา ผมเองก็พลอยมีความสุขไปด้วย

เมื่อกลับมาถึงหอ ตอนนั้นคุณอากับไอ้นัยกลับไปแล้ว ไอ้ชัชก็ปราดเข้ามาหาผม

“เฮ้ย มึงกับไอ้นัยสอบได้เหรอ” ไอ้ชัชทัก

“รู้ได้ไงวะเนี่ย กูยังไม่ได้บอกมึงเลย” ผมถามด้วยความงุนงง

“เซ่อจริง มึงนี่” ไอ้ชัชด่า “ก็คนในหอไปดูผลสอบกันตั้งหลายคน มันก็เอามาบอกน่ะสิ”

จริงสินะ ผมก็ลืมไป ตอนที่ไปดูผลสอบนั้นจำได้ว่าเห็นเพื่อนๆในชั้น ป.๖ บางคน แต่เป็นเด็กห้องอื่น ตอนนั้นบรรยากาศตอนดูผลสอบค่อนข้างชุลมุนวุ่นวาย ก็เลยไม่ได้คุยกัน แต่เด็กที่อยู่ในหอนั้นผมไม่เห็นเลยสักคน ไม่รู้ว่าหลงหูหลงตาไปได้อย่างไร

“ยังเหลืออีกด่านหนึ่ง ต้องสอบสัมภาษณ์อีก ถ้าผ่านถึงจะได้เรียน” ผมตอบ

ไอ้ชัชอ้าปากหวอ “นี่มึงจะไปสอบสัมภาษณ์ด้วยเหรอ”

“อ้าว” คราวนี้ผมเป็นฝ่ายงงบ้าง “แล้วทำไมกูจะไม่สอบล่ะ”

“ก็ป๋าไม่ให้มึงย้ายโรงเรียน มึงจะไปสอบทำไม” ไอ้ชัชว่า มันก็เรียกพ่อผมว่าป๋าตามผม

“ก็กูอยากย้ายโรงเรียนอ่ะ”

คราวนี้ไอ้ชัชอึ้งไป

“นี่มึงเอาจริงเหรอ กูนึกว่ามึงจะสอบเล่นๆเพื่อแข่งกับคนอื่นๆเท่านั้น”

ก็อย่างที่เคยเล่าเอาไว้ ว่าการสอบเข้า ม.๑ ในยุคนั้นค่อนข้างมีความหมายทีเดียว เพราะเป็นค่านิยม ใครที่สอบเข้าได้โรงเรียนดังๆ ถือว่าโก้ และเก่ง รุ่นผมนั้น ป.๖ ทั้งระดับ มีคนสอบเข้าได้โรงเรียนเดียวกับผมเพียงไม่กี่คน ห้องผมนั้นมีเพียงผมกับไอ้นัยสองคนเท่านั้นที่สอบเข้าโรงเรียนนี้ได้ ก็ถือเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ในชีวิตวัยเด็กของผม เพราะว่าผมแค่ซื้อหนังสือมาอ่าน ไม่ได้ไปติวที่ไหน ก็ยังสอบได้ ในขณะที่อีกหลายๆคนเสียเงินติวไปตั้งมาก แต่ก็ยังสอบไม่ได้

“ตอนแรกก็ว่าจะสอบเล่นๆหรอก แต่ในเมื่อมันติด จะทิ้งไปก็เสียดายอ่ะ” ผมว่า มันเป็นอย่างนั้นจริงๆครับ ใครสอบเข้าได้โรงเรียนนี้แล้วไม่เอา สงสัยคงเพี้ยน ตอนแรกผมไม่ค่อยมีความหวังเท่าไร เผื่อใจเอาไว้เลย แต่ก็พยายามเต็มที่ พอได้มาแล้วกลับกลายเป็นทุกขลาภ เพราะไม่รู้จะทำอย่างไรดี

ไอ้ชัชฟังแล้วก็หน้าเสียอย่างเห็นได้ชัด

“แล้วกูล่ะ” ไอ้ชัชพูด

“มึง? ทำไมเหรอ” ผมถาม ตอนนั้นยังไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของมัน

“ตกลงมึงจะทิ้งกูไปเหรอ” ไอ้ชัชถามตรง

“แล้วจะให้กูทำยังไงล่ะ ก็มันสอบได้นี่นา” ผมตอบ ฟังดูกำปั้นทุบดินอยู่เหมือนกัน แต่ว่าตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรมากจริงๆครับ คิดแต่เพียงว่า ในเมื่อไอ้นัยสอบติด และผมสอบติด ถึงอย่างไรผมก็ต้องไป ลืมนึกไปว่าไอ้ชัชจะคิดและรู้สึกอย่างไร

ไอ้ชัชทำตาแดงๆ คล้ายจะร้องไห้ แต่ไม่ได้ร้องออกมา

“ไม่ไปไม่ได้เหรอวะ” ไอ้ชัชถาม น้ำเสียงเศร้าสร้อย

“สอบติดแล้วไม่เอา มีอย่างที่ไหนวะ” ผมตอบแบบข้างๆคูๆ ตอนนั้นทำอะไรไม่ถูกเหมือนกันครับ เพราะว่าคาดไม่ถึงว่าจะเจอปัญหานี้

Sunday, November 25, 2007

ตอนที่ 69

“เฮ้ นัย เป็นไงเพื่อน” ไอ้ชิดเดินเข้ามาโอบไอ้นัย เหมือนเป็นเพื่อนสนิทกันมานมนาน “เป็นไง สบายดีนะ ขอคุยด้วยหน่อยสิ”

ไอ้นัยเพิ่งเดินเข้าห้องมา ยังไม่ทันตั้งหลักอะไร จึงถูกไอ้ชิดลากไปคุยตรงระเบียงนอกห้องอย่างง่ายดาย ไอ้นัยในตอนนั้นมันทำหน้าบอกไม่ถูก ดูแล้วสงสารมันมากเลย

ผมกับไอ้ชัชรีบเดินตามออกไป เพราะกลัวไอ้ชิดมันจะลงไม้ลงมือกับไอ้นัยอีก ส่วนเพื่อนๆในห้องบางคนก็เดินตามออกมาที่ระเบียงเช่นกัน

“พวกมึงจะออกมาทำไมวะ กูกับเพื่อนนัยมีเรื่องจะคุยกันสองคน คนอื่นไม่เกี่ยว” ไอ้ชิดพูดด้วยมาดแบบนักเลง ว่าแล้วก็ลากไอ้นัยหนีห่างออกไปอีก ผมเองก็ทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรทำยังไงเหมือนกัน

“มึงจะรังแกไอ้นัยอีกเหรอ” ผมถาม

“อาไร้ รังแกอะไร” ไอ้ชิดแกล้งร้องเสียงสูง เหมือนกับได้ยินเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ “กูกับไอ้นัยซี้กันจะตาย จริงมั้ยพวก” ว่าแล้วไอ้ชิดก็โอบไอ้นัยแน่นขึ้น ทำท่าให้ดูเหมือนกับว่าเป็นเพื่อนรักกันเต็มประดา แต่ผมดูเหมือนกับว่ามันกำลังพยายามล็อคคอไอ้นัยมากกว่า

“เฮ้ย กูคุยกับมันแป๊ปเดียว พวกมึงไม่ต้องเสือก รับรองไม่มีใครเจ็บตัว ไม่ต้องตามมาอีกนะโว้ย” ไอ้ชิดพูด

ว่าแล้วมันก็ลากไอ้นัยไปจนถึงปีกตึกอีกด้านหนึ่ง เห็นมันคุยกับไอ้นัย แต่ไม่ได้ยินว่ามันคุยอะไรกัน สักพักมันก็กอดคอกับไอ้นัย เดินกลับมา

“กูคุยกับไอ้นัยเรียบร้อยแล้วนะเว้ย เพื่อนซี้กัน เรื่องนิดหน่อยไม่ถือสากันอยู่แล้ว ถ้าพวกมึงปากหมาไปบอกครู เฮอะ อยากตายก็ลองดู” ไอ้ชิดพูด ว่าแล้วก็ปล่อยไอ้นัยให้เป็นอิสระ

หลังจากนั้น พวกเราก็กลับเข้าไปในห้อง ไอ้ชิดเองก็เข้าไปในห้องด้วยเช่นเดียวกัน มันตีหน้าตาย ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในขณะที่คนอื่นๆก็ซุบซิบกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อน ส่วนไอ้นัยนั้นสีหน้ามันเคร่งเครียดมากเลย ทั้งๆที่เมื่อครู่ยังดีๆอยู่

ตอนเข้าแถวเคารพธงชาติ ผมพยายามถามไอ้นัยว่าไอ้ชิดพูดว่าอะไร ผมรู้ดีว่ามันคงข่มขู่ไอ้นัย แต่ก็อยากรู้ว่ามันขู่ว่าอย่างไร ไอ้นัยไม่ยอมพูดอะไร สั่นหัวอย่างเดียว ไอ้นัยมันก็เป็นคนอย่างนี้เอง ถ้าเรื่องไหนมันไม่พูด ไปง้างปากมัน มันก็ไม่พูด

ตอนที่เข้าแถวเคารพธงชาติ ผมจึงได้รู้ความจริงจากเพื่อนๆว่า ที่จริงเพื่อนในห้องคุยกันเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับไอ้นัยในวันก่อนกันให้แซ่ดตั้งแต่เช้าแล้ว พอผมกับไอ้ชัชเดินเข้ามา มันก็เลยหยุดคุยกันเพราะว่าเกรงใจ

แต่หลังจากที่มีเรื่องไอ้ชิดเมื่อเช้า หลายๆคนก็ชักอดใจไม่ไหว เข้ามารุมซักถามเรื่องราวกับไอ้นัย เห็นไอ้นัยสีหน้าเคร่งเครียด สั่นหัวไม่ยอมตอบอยู่ท่าเดียว บรรยากาศในเช้าวันนั้น ซึ่งเป็นเช้าวันแรกหลังปีใหม่ แทนที่จะเริ่มต้นปีใหม่ด้วยบรรยากาศที่สดใส กลับกลายเป็นบรรยากาศที่อึมครึมและกดดัน

ผมเองสงสารไอ้นัยมาก รวมทั้งเครียดด้วย ที่เครียดนั้นส่วนหนึ่งเพราะเห็นไอ้นัยตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ มันคงอับอายมาก กับอีกส่วนหนึ่งเพราะเพื่อนๆพากันรุมตำหนิผม ทุกคนต่างก็บอกว่าผมวอนหาเรื่องให้ไอ้นัยเดือดร้อน

สัปดาห์นั้นทั้งสัปดาห์เป็นสัปดาห์ที่ผมเต็มไปด้วยความทุกข์ ตั้งแต่เด็กจนโตมาถึงชั้น ป.๖ ผมไม่เคยเป็นทุกข์ครั้งใดหนักหนาสาหัสเท่าครั้งนี้ ไอ้นัยเองก็มีสีหน้าเคร่งเครียด เศร้าหมองตลอดเวลา ไม่รู้ว่ามันคิดอะไรอยู่ ผมเองก็เข้าหน้ามันไม่ค่อยติด สถานการณ์ดูเลวร้ายไปหมด ส่วนไอ้ชิดเองกลับดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันยังคงเอะอะเฮฮา และทำตัวเป็นหัวโจกตามปกติ มันคงมั่นใจว่าไม่มีใครปากโป้งไปบอกครูเป็นแน่ ส่วนไอ้ชัชนั้น มันพยายามปลอบประโลมทั้งผมและไอ้นัยอย่างเต็มที่ ผมได้เห็นน้ำใจของมันก็คราวนี้ นี่แหละครับ ยามยากจึงจะเห็นน้ำใจกัน

- - -

เมื่อสิ้นสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม ผมรู้สึกโล่งใจขึ้น อยากให้ถึงวันเสาร์เร็วๆ เพราะวันหยุดจะได้ไม่ต้องเจอหน้าเพื่อนๆ ไม่ต้องได้ยินมันพูดถึงเรื่องเหตุการณ์ที่ผ่านมา เรื่องของไอ้นัยนั้นถูกลือกันให้แซ่ด ไม่รู้ว่าป่านนี้รู้กันไปทั้งโรงเรียนหรือยัง แต่ก็ยังโชคดีอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือ ไอ้ชิดมันไม่ได้มายุ่งกับไอ้นัยหรือผมกับไอ้ชัชอีกเลย

สาเหตุอีกประการที่ทำให้ผมอยากให้ถึงวันเสาร์เร็วๆ นั่นก็คือ วันเสาร์นี้เป็นวันที่ประกาศผลการสอบเข้า ม.๑ ครับ

การประกาศผลการสอบในสมัยนั้น ก็ใช้การติดประกาศอยู่ในโรงเรียน นักเรียนทุกคนต้องมาดูผลเอง ไม่มีการโทรแจ้งผลหรือดูผลทางอินเทอร์เน็ตเหมือนเช่นทุกวันนี้ และก็เช่นเคย งานนี้คุณอาของไอ้นัยมารับผมออกจากหอไปดูผลสอบพร้อมกับไอ้นัยเหมือนเคย ส่วนไอ้ชัชนั้น แม้มันอยากจะมาดูด้วย แต่ติดที่มันไม่ได้สอบเข้า ม.๑ ที่ไหน ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องออกมาจากหอ มันก็เลยต้องอยู่โยงเฝ้าหอไปตามระเบียบ

วันนั้นเป็นวันที่ผมใจจดใจจ่อมาก เดิมทีก็ตั้งความหวังไว้บ้าง แต่ไม่ได้มากมายนัก เพราะคิดว่าตนเองไม่ได้ไปติวที่ไหน ดูหนังสือสอบเอาเอง โอกาสได้คงไม่มาก แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา ผมกลับฝากความหวังไว้กับการสอบครั้งนี้มาก อยากให้ไอ้นัยกับผมได้เข้า ม. ๑ ที่นี่ด้วยกัน เพราะคิดว่าเป็นทางออกเพียงทางเดียวที่ไอ้นัยกับจะหลีกหนีไปจากสภาพที่น่าอับอายในโรงเรียนปัจจุบันไปได้

เช้าวันเสาร์ ที่โรงเรียนมีชื่อแห่งนั้น คึกคักไปด้วยนักเรียนจำนวนมาก เป็นพันคนเลยครับ ประกาศผลการสอบติดอยู่บนกระดานในสนามฟุตบอล ที่หน้าบอร์ด เด็กและผู้ปกครองต่างเบียนกันดูบอร์ดกันแน่นขนัด เด็กบางคนดีใจยิ้มร่า บางคนก็ผิดหวังหน้าเศร้า

ผมกับไอ้นัยเบียดเสียดนักเรียนจำนวนมาก ฝ่าไปจนถึงหน้าบอร์ด แล้วก็เริ่มต้นค้นหารายชื่อตามเลขที่นั่งสอบ ไล่ไปเรื่อยๆ ...

และแล้ว ผมก็พบรายชื่อของผมอยู่ในประกาศ และถัดจากชื่อผมไปไม่มากนัก ผมก็เห็นชื่อไอ้นัยปรากฏอยู่ด้วย

ไอ้นัยกับผมสอบได้แล้ว!!!

Sunday, November 18, 2007

ตอนที่ 68

ผมรู้สึกผิดเมื่อได้รู้ความจริง แต่พอรู้สึกผิดในสิ่งที่ได้คิดและได้ทำกับไอ้ชัชไป มันก็ทำให้ผมคิดถึงสิ่งที่ผมทำกับไอ้นัย ว่ามันแย่ยิ่งกว่าที่ทำกับไอ้ชัชเสียอีก ตอนนั้นผมรู้สึกขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ทำอะไรก็ผิดไปเสียทุกอย่าง ผมเริ่มร้องไห้อีก

“ไม่เอานะ หยุดร้องไห้ได้แล้ว” ไอ้ชัชปลอบผม ไม่พูดเปล่า มันนั่งลงข้างๆผมและเอาแขนโอบผมไว้แน่น เหมือนพี่ปลอบน้อง “มึงไม่เคยขี้แยแบบนี้เลยนี่หว่า”

ผมพยายามกลั้นสะอื้น แต่มันก็ไม่ได้ผล ไอ้ชัชโอบผมไว้แน่น ผมรู้สึกแปลกๆ ผมสามารถรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นและมิตรภาพที่มันถ่ายทอดมาให้ ซึ่งปกติแม้จะกินนอนอยู่กับมันมานานหลายปี แต่ก็ไม่ค่อยมีความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยนัก ตอนนั้นเองที่ผมเริ่มรู้สึกถึงตัวตนของมันที่อยู่ลึกลงไปข้างใน จากเปลือกนอกที่กวนประสาท ชอบต่อล้อต่อเถียง แต่ลึกลงไปข้างในกลับกลายเป็นคนที่จริงจัง และอบอุ่น

แต่ความรู้สึกนั้นมันปรากฏขึ้นเพียงวูบเดียว แล้วก็หายไป เพราะผมมัวไปพะวงถึงเรื่องของไอ้นัย น่าเสียดายครับ ที่โอกาสถ่ายทอดใจต่อกันของผมกับไอ้ชัชมันช่างสั้น อีกทั้งยังไม่ถูกเวลา ไม่อย่างนั้นอนาคตของเราทั้งสามคนอาจเปลี่ยนไปเป็นรูปแบบอื่น ที่ไม่ใช่อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ได้ ...

ไอ้ชัชนั่งปลอบผมอยู่สักพัก จนผมรู้สึกดีขึ้นและหยุดร้องไห้ จากนั้นมันก็พยายามคะยั้นคะยอให้ผมกินอาหาร ผมไม่อยากให้มันเสียน้ำใจก็เลยแข็งใจกินลงไป ทั้งๆที่ตอนนั้นไม่ได้หิวเลยแม้แต่น้อย

หลังจากนั้น ผมก็นั่งกระวนกระวายและวิตกกังวล ว่าไอ้นัยเป็นอย่างไร ผมหลบซ่อนตัวอยู่ในห้องนอน เพราะว่าไม่อยากลงไปเจอหน้าใครที่ชั้นล่าง ไม่อยากตอบคำถามใคร แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ผมคงหลบซ่อนได้ไม่นาน เพราะอย่างไรอีกเดี๋ยวทุกคนก็ต้องขึ้นมาเข้านอน

“ทำไมมึงไม่ลองโทรไปหาไอ้นัยดูล่ะ ถามมันหน่อยว่าเป็นยังไง” ไอ้ชัชแนะนำ

ที่จริงเรื่องโทรไปนั้นผมก็คิดอยู่เหมือนกัน แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่กล้าสู้กับความจริง ผมละอายต่อไอ้นัย และกลัวที่จะรู้ว่ามันเป็นอะไรมาก แต่ความรู้สึกนี้ไอ้ชัชคงไม่เข้าใจหรอกครับ

ผมนั่งนิ่ง ไม่มีท่าทีว่าจะลุกไปโทรศัพท์ จนไอ้ชัชต้องจับมือผมลากออกมาจากเตียง และกึ่งจูงกึ่งลากผมลงไปข้างล่าง ไปยังเครื่องโทรศัพท์

โทรศัพท์หยอดเงินสมัยนั้นมีสองแบบ คือเป็นตู้สีแดง หยอดเหรียญครั้งละ ๑ บาท เป็นเครื่องขององค์การโทรศัพท์ กับมีเครื่องโทรศัพท์บ้านที่ดัดแปลงโดยต่ออุปกรณ์หยอดเหรียญเข้าไป อย่างหลังนี่ต้องหยอดครั้งละ ๓ บาท มักใช้กันตามหอพักหรือว่าตามร้านค้า เพราะว่าเจ้าของเครื่องต้องการเอากำไรจากค่าโทรศัพท์ ในหอของเราก็มีทั้งสองแบบ เพราะเครื่องแบบขององค์การฯที่หยอดบาทเดียวนั้นมีเครื่องเดียว บางทีก็ต้องรอคิวกันนาน

คงยังจำกันได้นะครับ ว่าตอน ป.๖ นั้นที่บ้านไอ้นัยติดตั้งโทรศัพท์แล้ว ผมมีเบอร์ของมันเพราะเคยโทรไปคุย แต่ไม่ค่อยบ่อยเพราะว่าเกรงใจคุณอาของมัน

โชคดีที่ตอนนั้นเครื่องโทรศัพท์ว่าง ไอ้ชัชก็จัดแจงเจ้ากี้เจ้าการ หยอดเหรียญ ต่อโทรศัพท์ให้ผมเสร็จ เมื่อหยอดเหรียญกดเบอร์เรียบร้อยมันก็ยัดหูโทรศัพท์ใส่มือผม

“ฮัลโหล” เสียงเด็กๆ ใสๆ จากปลายสายข้างโน้นทักทายขึ้น เสียงไอ้นัยนั่นเอง

“นัย หวัดดีอ่ะ” ผมพูด

เสียงทางด้านโน้นเงียบไปชั่วครู่

“ฮื่อ” เสียงไอ้นัยพูด

ผมอึดอัด ไม่รู้จะพูดอะไรดี ไอ้ชัชคงสงสาร หรือว่าทนรำคาญไม่ไหวก็ไม่แน่ใจ มันเลยต้องบอกบทให้

“ก็ถามมันไปสิว่าเป็นยังไงบ้าง” ไอ้ชัชกระซิบ แต่เสียงกระซิบของมันก็ดังพอสมควร ผมคิดว่าไอ้นัยคงได้ยิน

“มึงพูดให้กูหน่อยละกัน นะ” ผมเอาหูโทรศัพท์ยัดใส่มือไอ้ชัช ตอนนั้นผมเสียศูนย์อย่างมาก คิดอะไรไม่ออกเลย

ไอ้ชัชยัดหูโทรศัพท์คืนมาใส่ในมือผม

“คุยเองสิวะ” ไอ้ชัชพูด “กล้าทำก็ต้องกล้ารับสิ” แน่ะ มันยังอดสอนผมไม่ได้ แต่ก็จริงอย่างที่มันว่านั่นแหละครับ พอผมกลัวขึ้นมา ผมก็พยายามหนีความจริง

ผมก็เลยคุยซักถามว่าไอ้นัยเป็นยังไงบ้าง มันก็ตอบว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องเป็นห่วง

“โดนคุณอาดุหรือเหล่า” ผมถาม

ไอ้นัยอึ้งไปนิดหนึ่ง “ เปล่าอ่ะ”

“พรุ่งนี้กูต้องกลับบ้านแล้ว แต่อดห่วงมึงไม่ได้ กลัวมึงเป็นอะไรมาก กลัวมึงโดนว่าด้วย” ผมพูดได้เพียงนี้ก็ต้องสะอึกสะอื้นออกมาอีก “กูขอโทษนะนัย มึงโกรธกูไหม”

ผมถามอะไรออกมาโง่ๆ ก่อเรื่องขนาดนี้จะไม่ให้โกรธได้ยังไง แต่ก็ถามไปอย่างนั้นเอง พยายามหลอกตัวเอง

“ไม่รู้ดิ” ไอ้นัยพูดเสียงครุ่นคิด “ไม่โกรธมั้ง”

ผมพูดต่อไปไม่ไหว เพราะว่ามันจะร้องไห้ออกมาเสียให้ได้ จึงยัดหูโทรศัพท์ให้ไอ้ชัชแล้วตัวผมเองก็หลบไปยืนสงบสติอารมณ์อยู่ข้างๆ

หลังจากนั้น ไอ้ชัชก็คุยกับไอ้นัยอีกสักครู่ โดยที่ผมไม่ได้ไปสนใจฟัง เพราะว่ามัวแต่คิดสับสนอยู่ จากนั้นโทรศัพท์ก็ถูกตัดไปเพราะว่าเวลาหมด

คืนนั้นผมนอนตาค้างอยู่เป็นนาน จนกระทั่งหลับไป ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บใจตนเองที่เป็นต้นเหตุทำร้ายเพื่อนที่ผมสนิทด้วยที่สุด

หลังจากนั้น วันรุ่งขึ้นก็เป็นวันหยุด พ่อของผม รวมทั้งพ่อของไอ้ชัช ต่างก็มารับเราเพื่อกลับไปบ้านต่างจังหวัดชั่วคราว เนื่องจากทางโรงเรียนหยุดเนื่องในวันปีใหม่ให้หลายวัน ผมเดินทางกลับบ้านด้วยจิตใจที่เศร้าหมองเพราะคิดถึงแต่เรื่องของไอ้นัย และเป็นห่วงมัน ตลอดเวลาที่อยู่บ้านต่างจังหวัด ผมขออนุญาตพ่อเพื่อโทรไปหาไอ้นัยทุกวัน โดยหลอกพ่อว่าไอ้นัยมันไม่สบายตอนสิ้นปีพอดี เลยเป็นห่วงมัน ซึ่งพ่อก็ไม่ว่าอะไร ตอนนั้นค่าโทรศัพท์ทางไกลแพงมากครับ ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ค่อยอยากโทรกัน ดังนั้นจึงได้แค่ทักทายและคุยกันสั้นๆ แต่เมื่อรู้ว่ามันค่อยๆดีขึ้นแล้ว ผมก็ค่อยสบายใจขึ้น ส่วนไอ้ชัชนั้น ผมไม่ได้โทรไปหามันเลย
- - -

หลังจากหยุดไปประมาณ ๔-๕ วัน เมื่อเปิดเรียนอีกครั้งก็กลายเป็นปี พ.ศ. ใหม่ไปแล้ว นักเรียนทุกคนต่างมีสีหน้าสดใส และคุยกันเสียงขรมถึงกิจกรรมที่ได้ทำเมื่อตอนปีใหม่ บางคนก็เล่าถึงเรื่องไปเที่ยว บางคนก็เล่าเรื่องงานเลี้ยงปีใหม่ที่พ่อแม่จัดขึ้น ส่วนผมนั้น เมื่อได้กลับไปพักผ่อนที่บ้านก็รู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย แต่วันนี้ก็รีบมาแต่เช้าเพราะอยากเจอไอ้นัย

รอไม่นานนัก ก็เห็นไอ้นัยถือกระเป๋านักเรียนเดินเข้ามาในห้อง วันนี้ไอ้นัยดูสดใส เสื้อผ้าขาวสะอาด หวีผมเป๋เสียเรียบแปร้ ผิดกับสภาพในวันก่อนที่มอมแมมอย่างสิ้นเชิง

แต่ก่อนที่ผมจะพูดคุยอะไรกับไอ้นัย ไอ้ชิดมาจากไหนก็ไม่รู้ มันโฉบเข้ามาคั่นกลางระหว่างผมกับไอ้นัย

Sunday, November 4, 2007

ตอนที่ 67

หลังจากนั้น พวกเราสามคนก็นั่งอยู่ด้วยกัน เพื่อรออาไอ้นัย ไอ้นัยมีอาการดีขึ้นทีละน้อยๆ ส่วนผมเองนั้นรู้สึกผิดมาก ยิ่งดูก็ยิ่งสงสารไอ้นัย

“แล้วนี่มึงจะบอกอามึงยังไงวะเนี่ย เน่าไปทั้งตัวแบบนี้” ไอ้ชัชถามขึ้น

ไอ้นัยทำตาปริบๆ นิ่งคิด “นั่นน่ะสิ คงต้องบอกว่าหกล้มมั้ง” ไอ้นัยว่า “หกล้มในห้องน้ำ”

“แล้วทำไมต้องไปหกล้มในห้องน้ำล่ะ” ไอ้ชัชยังไม่หายสงสัย

“นั่นน่ะสิ” ไอ้นัยพูดด้วยเสียงครุ่นคิด “ห้องน้ำลื่นมั้ง”

“ก็คงพอได้ เอาตามนี้ก็แล้วกัน” ไอ้ชัชสรุป

โชคดีครับที่เนื้อตัวไอ้นัยไม่ได้มีบาดแผลอะไร ดังนั้นถ้าจะบอกว่าหกล้มในห้องน้ำก็พอฟังได้อยู่

ครู่เดียวต่อมา คุณอาไอ้นัยก็มารับ เป็นอาผู้ชาย ปราดแรกที่คุณอาเห็นไอ้นัยก็อ้าปากหวอ พวกเราสามคนรู้สึกกระสับกระส่ายเหมือนคนกินปูนร้อนท้อง

“นัย นี่ไปทำอะไรมา ตัวเลอะเทอะเหม็นหึ่งเลย” อาผู้ชายอุทาน

“เอ้อ... อ้า... นัยหกล้มในห้องน้ำ พื้นมันลื่นครับ” ไอ้นัยพูดเสียงเบาๆ ก้มหน้า

“อ้อ หกล้ม” คุณอาทวนคำ “แล้วอูกับชัชก็ล้มด้วยเหรอ ตัวถึงได้เลอะด้วย”

ผมก็ลืมไป ที่จริงตัวผมกับไอ้ชัชก็เลอะเทอะและมีกลิ่นฉี่ด้วย เพราะไปกอดปล้ำกับไอ้นัยมาตอนลากมันออกมาจากห้องน้ำ เพียงแต่ว่าเลอะน้อยกว่าไอ้นัยเท่านั้นเอง

“เอ้อ...” ผมกับไอ้ชัชอึกอัก พยายามจะพูดแต่ก็นึกไม่ออกว่าจะพูดอะไรดี

หลังจากนั้น พวกเราสามคนก็โดนอาผู้ชายสอบสวนอย่างหนัก เพราะเราโกหกไม่เนียน ไอ้นัยมันเลยเล่าว่ามันชกกับเพื่อน

“เราเนี่ยนะ ชกกับเพื่อน” อาร้องอุทาน

สงสัยคงจะไม่ค่อยน่าเชื่ออีก เพราะผมเองก็ยังไม่เชื่อเลยครับว่าไอ้นัยจะชกกับใครได้ ผมเลยได้ความคิดใหม่ พูดเสริมไปว่าที่จริงผมมีเรื่องกับเพื่อน แล้วชกกัน ไอ้นัยมันอยู่ใกล้และพยายามเข้ามาแยก เลยโดนลูกหลง ไม่ทันระวัง ก็เลยล้มลงไป

คราวนี้รู้สึกว่าจะเนียนหน่อยครับ เพราะว่าคุณอาดูจะเชื่ออยู่บ้าง แต่เราสามคนก็ถูกซักอยู่พักใหญ่ คุณอาให้ความสนิทสนมกับผมกและไอ้ชัชดีมาก เห็นพวกเราเหมือนหลาน เลยเป็นห่วง พยายามเค้นเอาความจริง เมื่อคิดว่าไม่มีอะไรมากก็ปล่อยไป

“เด็กๆเรื่องชกกันมันก็มีได้บ้าง เป็นเรื่องธรรมดา ในเมื่อไม่เจ็บตัวมากอาก็ไม่ติดใจอะไร แต่อาผู้หญิงเค้าคงไม่ชอบใจที่นัยไปมีเรื่องกับคนอื่น ต่อไปต้องระวังกันหน่อย” อาผู้ชายพูด นัยของคำพูดแม้แต่เด็กอย่างผมก็ยังเข้าใจ ว่าหมายความว่าต่อไปพยายามอย่าหาเรืองเดือดร้อนให้ไอ้นัย

หลังจากนั้น คุณอาก็พาไอ้นัยกลับไป ส่วนผมกับไอ้ชัชก็เดินกลับเข้าหอ ระหว่างทางเดินกลับ เราไม่ได้พูดกัน ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร เพราะว่าใจหนึ่งรู้สึกเครียดและกดดันกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเนื่องจากผมเป็นต้นเหตุ อีกใจหนึ่งก็ยังเคืองไอ้ชัชอยู่

เมื่อไปถึงหอ เด็กในหอก็แห่กันมาล้อมรอบผมกับไอ้ชัช พร้อมกับซักถาม เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนบ่ายทั้งหมดคนในหอรู้กันหมดแล้ว สังคมของเด็กหอนี่ข่าวเร็วไม่เบาครับ

แต่ละคนก็พยายามซักถามรายละเอียดที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งอยากรู้เหตุการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้นเมื่อเย็น ผมพยายามเดินหนีเพราะไม่อยากนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แต่เพื่อนๆก็พยายามซักด้วยความอยากรู้ บางคนก็บอกว่าผมหาเรื่องใส่ตัว พูดเหมือนไอ้ชัชเลย ผมรู้สึกเหมือนถูกรุม ในที่สุดก็ทนไม่ได้และร้องไห้ออกมาต่อหน้าเพื่อนๆ

ในสถานการณ์เช่นนั้น คนที่ออกมาปกป้องผมกลับเป็นไอ้ชัช มันพยายามห้ามปรามเพื่อนๆ

“เฮ้ยๆๆ ดูดิ มันร้องไห้แล้ว พวกมึงอย่าซ้ำเติมเพื่อนสิวะ ไอ้เปรต” ไอ้ชัชว่าเพื่อนๆที่เข้ามารุมเราอยู่ จากนั้นก็พาผมปลีกตัวออกมาจากกลุ่มขึ้นไปยังห้องนอน

มันกอดไหล่ผมแน่นเหมือนกับจะปลอบ แล้วพูดว่า “ไป ไปอาบน้ำกันก่อน ตัวเลอะเหม็นจัง”

ผมงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไอ้ชัชนั้นบทจะกวนก็กวน บทจะดีก็ดีใจหาย ที่จริงปกติมันก็เป็นคนรักเพื่อนฝูงนั่นแหละครับ แต่อะไรๆหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงหลังทำให้ผมรู้สึกเคืองมันอยู่บ้าง จนลืมนึกไปว่าแต่ก่อนมันเคยดีอย่างไร พอมาตอนนี้ความรู้สึกดีๆเก่าๆที่เคยมีกับมันก็วูบกลับเข้ามาอีกครั้ง ความรู้สึกหลายๆอย่างที่ประดังกันเข้ามายิ่งทำให้ผมสับสน

ผมตามมันเข้าไปในห้องนอน หยิบเสื้อผ้า และตามมันไปอาบน้ำอย่างว่าง่าย ไอ้ชัชติดเอาผงซักฟอกไปด้วย และเอาชุดนักเรียนที่เหม็นฉี่ของเราทั้งสองคนซักด้วยผงซักฟอกรอบหนึ่งก่อน มันบอกว่าถ้าเหม็นแบบนี้ส่งซักไม่ได้ แม่บ้านด่าตายเลย

หลังจากอาบน้ำเสร็จ ก็ได้เวลาอาหาร เราก็ลงไปกินอาหาร ผมไม่อยากลงไปกินเลยครับ เพราะว่าคงต้องโดนเพื่อนๆซักอีก ผมไม่กล้าไปสู้หน้าเพื่อนๆ

“กูไม่กินละนะ มึงไปกินเถอะ ขอนอนที่ห้องดีกว่า” ผมบอกไอ้ชัช

ไอ้ชัชเหมือนจะเข้าใจความคิดของผม ก็เลยปล่อยให้ผมนอนอยู่ในห้องคนเดียว ตัวมันเองก็ลงไปกินข้าว

ผมล้มตัวลงนอน ในใจคิดถึงเรื่องเมื่อบ่าย คิดถึงภาพที่ไอ้นัยโดนข่มเหงโดยไม่มีทางสู้ แล้วผมก็เริ่มร้องไห้อีก ผมซุกหน้ากับหมอนแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น

ร้องไห้ไปได้พักเดียว ก็รู้สึกว่ามีมือมาวางบนไหล่ผม ผมเงยหน้าขึ้นจากหมอนเพื่อดูว่าใครมา ไอ้ชัชนั่นเอง

“กูเป็นห่วงมึงเลยขึ้นมาดู กะอยู่แล้วว่ามึงต้องร้องไห้อีก” ไอ้ชัชพูดเบาๆ น้ำเสียงไม่มีแววกวนโทโสเหลืออยู่เลย มีแต่มิตรภาพและความอบอุ่น... ในวูบหนึ่งของความคิด ผมหวนนึกไปถึงเวลาที่เราเล่นสนุกกันในบึงน้ำส่วนตัวที่บ้านต่างจังหวัดของผม ตอนปิดเทอม ป.๕ ตั้งแต่เด็กจนโต เมื่อผมมีความทุกข์ครั้งใด ภาพของเราสามคนตอนที่อยู่ในบึงน้ำส่วนตัวนั้นจะผุดเข้ามาในหัวของผมทุกครั้ง

“กูเอาข้าวขึ้นมาให้ด้วย” ไอ้ชัชพูดต่อ ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าที่โต๊ะเล็กข้างเตียงมีอาหารจานหนึ่งวางอยู่ เป็นข้าวและกับข้าวสองสามอย่าง จัดรวมในจานเดียวัน “กลัวมึงหิวน่ะ”

ผมรู้สึกซึ้งใจ และทำให้ยิ่งรู้สึกอยากร้องไห้ ผมสะอื้นไม่หยุด

“อ้าว ขี้แยอีกแล้ว” ไอ้ชัชดุผม ในความรู้สึกเหมือนกับมันดุน้องชาย น้ำเสียงทั้งสงสารแปละปรารถนาดี

ไอ้ชัชเห็นผมสะอื้นไม่หยุด ไม่ยอมกินข้าว มันก็เลยเดินไปเปิดตู้ล็อกเกอร์ของมันออก และหยิบของบางอย่างออกมา จากนั้นเดินกลับมาที่เตียง

“นี่ๆ ดูอะไรนี่สิ” ไอ้ชัชว่า พลางชูของในมือขึ้น มันเป็นถุงกระดาษบางๆ ข้างในไม่รู้ว่าบรรจุอะไรอยู่

“ลองทายดูสิ ว่านี่อะไร” ไอ้ชัชพูด พยายามชวนคุย ผมสั่นหัวแปลว่าไม่รู้ว่าเป็นอะไร

“เอ้า ไม่ทายก็ไม่ทาย มึงลองเปิดดูเองละกัน”

ผมเปิดถุงดู ข้างในเป็นกล่องใส่ทิชชู่เล็กๆ สำหรับใส่ทิชชู่ม้วนกลม มันเป็นกล่องผ้า ที่ข้างกล่องปักเป็นรูปหมาน่ารัก

“ของขวัญปีใหม่ของมึง ขอให้มีความสุขมากๆนะเพื่อน” ไอ้ชัชว่า

“มึงไปเอามาจากไหนน่ะ” ผมงง เพราะมันอยู่กับผมตลอด ไม่เคยเห็นมันออกไปซื้อของที่ไหน

“ก็เมื่อวานที่กูออกไปซื้อของมาแต่งห้องกับไอ้นัยไง” ไอ้ชัชเฉลย

ตอนนี้เอง ผมจึงได้เข้าใจ ว่าทำไมเมื่อวานไอ้ชัชจึงไม่ชวนผมและไปกับไอ้นัยสองคน แต่มันกลับทำให้ผมเข้าใจผิดและโกรธเคืองมัน ไอ้ชัชเองคงยังไม่รู้ว่าผมเคืองมันในเรื่องนี้

Sunday, October 21, 2007

ตอนที่ 66

ไอ้ชิดกดตัวของไอ้นัยลง และพยายามโน้มหัวของไอ้นัยมาถึงดอมันจนได้ โดยที่ไอ้นัยไม่สามารถขัดขืนได้ มันพยายามเอาดอของมันยัดใส่ปากไอ้นัย แต่ว่าไอ้นัยไม่ยอม เม้มปากแน่น ไอ้ชิดจึงเอาดอของมันลูบไล้อยู่บนใบหน้าของไอ้นัย

“อ้าปาก เร้ว เพื่อนๆอยากดูแย่แล้ว” ไอ้ชิดพูดพลางแสยะยิ้ม ถึงตอนนี้ผมรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาในหัวใจ เกิดความกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

มันพูดพลางเอาดอถูไถไปตามใบหน้าของไอ้นัย ไอ้นัยหลับตาปี๋ เม้มปากแน่น ไอ้ชัชยืนอ้าปากหวอ ตอนนั้นเองที่ผมได้สติอีกครั้ง รีบบอกไอ้ชัช

“เฮ้ย ไอ้ชัช วิ่งไปบอกครูเร็วเข้า”

ไอ้ชัชคงจะเพิ่งได้สติ ขยับตัววิ่งไปทางประตูห้องน้ำ ทันใดนั้นเอง ไอ้ชิดยกมือข้างหนึ่งขึ้นสูง แล้วรวบเป็นกำปั้น ทุบหัวไอ้นัยเต็มแรงจนไอ้นัยทรุดลงไปคุกเข่ากับพื้น

“ถ้าใครไปบอกครู กูจะเอาไอ้นี่ให้ตายห่าเลย สาบานได้” ไอ้ชิดคำราม ส่วนไอ้นัยนั่งคุกเข่านิ่งเงียบ ไม่ได้ยินมันร้องสักแอะ ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรแล้ว

ไอ้ชัชหยุดนิ่งอยู่ที่ปากประตู ไม่กล้าไปต่อ ความคิดที่ผมจะแหกปากร้องดังๆก็ต้องระงับไป เพราะกลัวมันเล่นงานไอ้นัยจริงอย่างที่พูด

“บอกให้อ้าปาก เร้ว” เสียงไอ้ชิดตวาดสั่งไอ้นัยซึ่งตอนนั้นอยู่ในท่าคุกเข่า ไอ้นัยนั่งนิ่งเม้มปากแน่น

ไอ้ชิดพยายามเอาดอลูบไล้ที่ใบหน้าไอ้นัยอีก พยายามเอาดอยัดเข้าไปในปาก แต่ไม่สำเร็จ คราวนี้มันโมโหมาก มันทุบหัวไอ้นัยอย่างรุนแรงอีกครั้ง

บึ้ก!!! เสียงกำปั้นทุบหัวไอ้นัยดังลั่น ทำให้ผมนึกไปถึงคนขายมะพร้าวอ่อนที่เอามีดอีโต้เฉาะมะพร้าว เสียงคล้ายๆกันเลย ตอนนั้นผมรู้สึกกลัวมาก ไม่กล้าร้องเอะอะอีกแล้ว ไม่รู้เหมือนกับครับว่ากลัวความเหี้ยมโหดของไอ้ชิด กลัวว่าไอ้นัยจะถูกทำร้ายจนถึงตายจริงๆถ้าไม่ยอมมัน หรือว่ากลัวอะไรกันแน่ ไอ้ชัชเองก็ยืนนิ่งเฉย เดิมทีคิดจะบอกให้ไอ้นัยสู้ไอ้ชิดมัน แต่แล้วก็กล้าไม่พูด เพราะแม้ว่าไอ้นัยตัวจะสูงกว่าไอ้ชิดนิดหน่อย แต่หุ่นมันบางกว่ามาก อีกอย่าง ไอ้ชิดเป็นนักมวยเก่าด้วย เคยอยู่ค่ายมวยมา แรงมันคงเยอะ ผมกลัวว่าไอ้นัยหากสู้มันแล้วจะยิ่งตายเปล่า

พร้อมกับเสียงกำปั้นสัมผัสหัว ไอ้ยินเสียงไอ้นัยร้องอึ๊ตามหลังมาเบาๆ ไอ้ชิดถึงตอนนี้แสดงอารมณ์โกรธออกมาเหมือนคนบ้าคลั่งแล้วครับ มันคงโกรธที่ไอ้นัยไม่ยอมทำตามที่มันต้องการ เอาดอทิ่มหน้าทิ่มตาไอ้นัยอย่างบ้าคลั่ง ไอ้นัยหลับตาปี๋เม้มปากแน่น

“ไอ้สัตว์ ไม่ยอมเหรอ” ไอ้ชิดคำราม พลางกระชากคอเสื้อไอ้นัยให้มันลุกขึ้น แล้วต่อยหมัดฮุกล้วงท้องไอ้นัยเต็มแรง ท่าทางของมันเหมือนนักมวยกำลังชกมวยบนเวที

ไอ้นัยร้องโอ๊ก ทรุดฮวบลงไปกองกับพื้นห้องน้ำที่เฉอะแฉะ ไอ้ชิดก้มลงจะกระชากตัวไอ้นัยขึ้นมาซ้ำ ทันใดนั้นเอง ผมรู้สึกว่าแขนของไอ้พงษ์ที่รัดตัวผมอยู่คลายลง แล้วไอ้พงษ์ก็ปราดเข้าไปขวางไอ้ชิดเอาไว้

“เฮ้ย พอเถอะ” ไอ้พงษ์พูดขึ้น

ไอ้ชิดตอนนี้กลายเป็นบ้าไปแล้ว มันพยายามจะเข้าไปอัดไอ้นัย ไม่สนใจใครทั้งนั้นแม้แต่ไอ้พงษ์

“ไอ้สัตว์ มันกล้าลองดีกับกู กูต้องสั่งสอนมัน มึงอย่าเสือก มึงจะลองดีกับกูด้วยเหรอ” ไอ้ชิดคำราม พยายามผลักไอ้พงษ์ออกไป แต่ไอ้พงษ์ก็ตัวใหญ่เหมือนกัน พยายามกันเอาไว้อย่างเต็มที่

ถึงตอนนี้ผมตั้งสติได้อีกครั้ง รีบบอกให้ไอ้ชัชกับเพื่อนคนอื่นช่วยกันลากไอ้นัยออกไปจากห้องน้ำโดยเร็ว ที่จริงจุดเกิดเหตุในห้องน้ำกับประตูห้องน้ำใกล้กันมาก เพียงแค่ห้าวินาทีพวกเราก็ลากไอ้นัยออกมาได้ ในขณะที่ไอ้พงษ์กับไอ้ชิดกำลังต่อปากต่อคำกันอยู่

แต่มาอยู่แค่ปากประตูห้องน้ำแค่นั้นไม่พอครับ กลัวมันจะตามออกมา เพราะว่าห้องน้ำหลังตึกในเวลานี้ค่อนข้างเงียบสงัด หากไอ้ชิดตามออกมาลากไอ้นัยเข้าไปในห้องน้ำอีกก็ยังพอจะได้อยู่ ดังนั้น ถ้าจะให้ปลอดภัยจริงๆต้องพามันมาให้ถึงหน้าอาคารเรียน

ตอนนั้นไอ้นัยยังเดินไม่ไหวอยู่ พวกเราก็ต้องพยายามประคองมัน ถูลู่ถูกังออกมา เสื้อผ้าเนื้อตัวของไอ้นัยเลอะเทอะเหม็นฉี่คลุ้งไปหมด เพราะว่าน้ำที่เจิ่งนองอยู่บนพื้นห้องน้ำนั้นปนไปด้วยฉี่ที่ล้นออกมาจากโถฉี่ และดินทรายที่มาจากรองเท้าของนักเรียน ไอ้ชัชกับผมก็พลอยเลอะเทอะไปด้วย

“นัย เป็นไงบ้าง” เสียงไอ้ชัชถาม หลังจากจากพวกเราพยุงมันไปนั่งที่ม้าหินหน้าตึกได้สำเร็จ เมื่อมาถึงตรงนี้ก็คงไม่เป็นไรแล้ว เพราะว่ายังมีคนเดินอยู่ที่หน้าตึก ทั้งนักเรียนและผู้ปกครอง กลุ่มเพื่อนที่ช่วยกันหิ้วไอ้นัยออกมาก็แยกย้ายกันไป ที่ต้องรีบแยกย้ายกันไปเพราะไม่ต้องการให้เป็นที่สนใจของนักเรียนและผู้ใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าอาคาร เนื่องจากแต่ละคนต่างก็กลัวว่าความผิดจะมาถึงตัว คงยังจำกันได้ถึงเรื่องไม้เรียววันศุกร์ ไม่มีใครอยากโดนกันหรอกครับ ยิ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้หากเรื่องราวบานปลายขึ้นมา คงต้องโดนกันมากกว่าไม้เรียววันศุกร์เป็นแน่

ตอนนั้นเหลือกันเพียงแค่ไอ้นัย ไอ้ชัช แล้วก็ผม ไอ้นัยหน้าซีดอมเขียว หลับตาพริ้ม ริมฝีกปากที่อยู่ใต้ไรหนวดเขียวๆยังคงเม้มแน่น มันทำให้ผมนึกถึงตอนที่ไอ้นัยโดนไอ้ทิวเล่นงาน ที่ลานเตะฟุตบอลเมื่อครั้งปิดเทอม ป.๕ ทั้งสองครั้งล้วนแต่มีผมเป็นต้นเหตุ แต่ว่าคราวนี้ไอ้นัยโดนหนักกว่าคราวก่อนมาก

ผมรู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมาอีกแล้ว ก้อนสะอื้นจุกอยู่ในอก แต่พยายามกลั้นเอาไว้ ไม่ยอมร้องไห้ออกมา แม้ไม่ร้องไห้สะอึกสะอื้น แต่ผมก็รู้สึกว่าน้ำตาของผมไหลพรากออกมา

“นัย นัย” ผมเรียกไอ้นัยบ้าง คราวนี้มันลืมตาขึ้นมา พยักหน้าให้ผมในความหมายว่ามันไม่เป็นไร

“หาเรื่องแท้ๆเลยนะมึง ไอ้อู” ไอ้ชัชบ่นพึมพำ คำพูดของไอ้ชัชบาดลึกเข้าไปในหัวใจของผม ใช่สิ ผมหาเรื่องแท้ๆ แต่ไม่ได้หาเรื่องใส่ตัวเอง กลับกลายเป็นหาเรื่องให้เพื่อนที่ผมสนิทด้วยที่สุดต้องเดือดร้อน

“เป็นไงบ้างนัย” ผมถามอีก ไอ้นัยยั่งนิ่งเฉย เพียงแค่กระพริบตาปริบๆ แต่สีหน้าที่ซีดขาวอมเขียวดูมีเลือดฝาดมากขึ้น

“มันโดนซ้อมจนเละเป็นผ้าขี้ริ้วแบบนี้แล้วมึงจะให้มันเป็นยังไงอีกล่ะ” ไอ้ชัชบ่นอีก น้ำเสียงบ่งบอกแววไม่พอใจอย่างชัดเจน คราวนี้ผมโกรธมาก ผมรู้ว่าผมผิด แต่ก็ไม่อยากให้มันมาตอกย้ำแล้วย้ำอีก ผมเอาความละอายในความผิดของผมเปลี่ยนมันเป็นความโกรธแล้วไปลงที่ไอ้ชัชแทน

“มึงจะหุบปากเสียทีได้ไหม” ผมหันไปตะคอกใส่มัน ช่วงนี้ผมกับไอ้ชัชไม่รู้ว่าเป็นอะไร เราทะเลาะกันค่อนข้างบ่อย ความอดทนของผมต่อมันน้อยลงเรื่อยๆ

“อ้าว ไอ้หอก มึงก่อเรื่องแท้ๆยังมาตะคอกกูอีก ทำไมมึงเลวยังงี้วะ” ไอ้ชัชฉุนขึ้นมาบ้าง คราวนี้มันขึ้นเสียงใส่ผม ไม่ยอมให้ผมว่าข้างเดียว

เมื่อได้ยินคำพูดของมันผมถึงกับอึ้ง จริงสินะ ผมผิดแล้วยังจะมีหน้ามาพูดอะไรได้ ผมได้คิด เงียบเสียงลง แต่ในความสำนึกผิดของผมนั้น มันเจืออยู่ด้วยความรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือ รู้สึกเกลียดปากของไอ้ชัช เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมรู้สึกไม่ชอบความปากเสียของมัน แม้มันจะพูดถูกต้องและเป็นความจริงก็ตาม

“อูย...” เสียงไอ้นัยครางขึ้นมาขัดจังหวะการทะเลาะย่อยๆของผมกับไอ้ชัช ทั้งผมและไอ้ชัชต่างหยุดต่อปากต่อคำกันและหันไปสนใจไอ้นัย

“ค่อยยังชั่วหรือยัง เจ็บมากไหมไอ้นัย” ไอ้ชัชถาม

ไอ้นัยยังไม่ทันตอบอะไร พลันพวกเราก็เห็นไอ้พงษ์กับไอ้ชิดเดินออกมาจากทางเดินด้านข้างของตึก มันเป็นทางเดินที่ทอดออกมาจากห้องน้ำหลังตึกนั่นเอง ไอ้ชิดพยายามเดินเข้ามาหาพวกเรา แต่ถูกไอ้พงษ์กันเอาไว้ไม่ให้เข้ามาใกล้ คงยืนห่างกันช่วงหนึ่ง

“ฝากไว้ก่อนนะมึง ถ้ามีใครเอาไปฟ้องครู กูเอาไอ้นัยตายแน่” ไอ้ชิดขู่ จากนั้นมันกับไอ้พงษ์ก็เดินจากไป

Sunday, October 14, 2007

ตอนที่ 65

หลังจากนั้นพวกเราทั้งสี่คนก็ลงมือชักว่าว แรกๆผมก็รู้สึกเขิน แต่หลังๆรู้สึกว่าได้อารมณ์ดีมาก เวลาชักว่าวพร้อมกันหลายๆคนมันทำให้ตื่นเต้นเพิ่มขึ้นมาก อีกทั้งมีคนดูยิ่งรู้สึกว่าเพิ่มความตื่นเต้นให้มากยิ่งขึ้นไปอีก ตื่นเต้นสุดๆเลยครับในตอนนั้น เพราะเป็นการชักว่าวต่อหน้าเพื่อนๆร่วมห้องเป็นครั้งแรก

ส่วนไอ้นัยนั้นน่าจะตื่นเต้นไม่แพ้กัน เพราะทีแรกเห็นไม่ค่อยกล้าชัก กล้าๆกลัวๆ แต่ไปๆมาๆก็แอ่นตัวหลับตาพริ้ม สูดปากเบาๆ ท่าทางจะเสียวมาก

ส่วนไอ้พงษ์กับไอ้ชิดลีลาการชักว่าวดุเดือดเลือดพล่าน มันสองคนชักว่าวแรงจนดูแล้วกลัวแทนเลยครับคือกลัวว่าดอของพวกมันจะพัง มิน่าละครับดอของไอ้สองตัวนี่ถึงได้ดำคล้ำนัก ของไอ้ชิดนั้นเวลาแข็งค่อนข้างใหญ่ ประเภทหัวใหญ่กว่าโคน

ผมชักว่าวไปก็ดูดอของคนอื่นที่ชักไปด้วย แล้วก็ดูหน้าเพื่อนๆที่มุงดูการแข่งขันไป แต่ละคนอ้าปากค้าง คงไม่ค่อยได้ดูหนังสดแบบนี้กันเท่าไร ยิ่งดู ยิ่งชัก ก็ยิ่งเสียว

เพียงครู่เดียว น้ำของผมก็แตกออกมาเป็นคนแรก มันพุ่งไปได้ไม่ไกลหรอกครับ ไม่ได้หวังจะชนะอยู่แล้ว แ เสียงเพื่อนๆที่มุงดูครางอู้ฮูๆตอนน้ำผมแตกยิ่งทำให้ผมเกิดอารมณ์แบบสุดๆ วันนั้นผมรู้สึกว่าน้ำแตกออกมาเยอะมากกว่าปกติ พอน้ำแตกออกมาหมดแล้วรู้สึกว่าเข่าอ่อนไปหมดเลย

หลังจากนั้นอีกเพียงครู่ ไอ้นัยก็ถอนหายใจเฮือกแล้วก็น้ำแตกตามมา น้ำว่าวของไอ้นัยทั้งเยอะและพุ่งออกมาไกล มันพุ่งออกมาถึงห้าหกระลอก เสียงเพื่อนๆฮือฮาดังยิ่งกว่าตอนน้ำของผมแตกเสียอีก

พอน้ำของผมกับไอ้นัยแตก ก็หยุดชักว่าว เอาแต่ดูไอ้พงษ์กับไอ้ชิดชัก หลังจากนั้นอีกสักพัก เพื่อนๆที่มุงดูก็ได้เฮกันอีก ไอ้พงษ์น้ำแตกตามมาเป็นที่สาม ไอ้พงษ์นี่เรียกว่าอึดพอควรทีเดียว ชักตั้งนานกว่าจะแตก

น้ำว่าวของไอ้พงษ์พุ่งไม่ค่อยไกลครับ ไปได้พอๆกับผมเท่านั้นเอง แต่ที่สำคัญก็คือ มีกลิ่นคาวคลุ้งไปหมด น้ำว่าวของมันเหม็นคาวมาก เพื่อนๆทำหน้าเบ้บ่นกันใหญ่

สุดท้ายก็เหลืองเพียงไอ้ชิดที่โชว์ลีลาการชักอยู่คนเดียว มันชักอยู่ตั้งนานน้ำก็ไม่ยอมแตกเสียที อึดมากเลยครับ

ชักไปชักมา ท่าทางจะเมื่อยมือ มันก็หยุดชักแล้วปล่อยมือออกจากดอ ปล่อยให้ดอตั้งเด่ชูชันออกมาจากพงหญ้าดกหนาสีดำ ท้าทายสายตาของเพื่อนๆ

“เมื่อยมือแล้วว่ะ ไม่แตกสักที” ไอ้ชิดบ่น “ของกูแตกยาก ต้องอมถึงจะแตกเร็ว”

“เอ้า ใครช่วยอมให้มันหน่อยเร็ว” เสียงเพื่อนๆที่มุงดูยุกันไปยุกันมา ถ้ามีใครยอมอมให้ไอ้ชิด พวกเราคงมีหนังสดให้ดูกันอีกเรื่องหนึ่งซึ่งคงตื่นเต้นยิ่งกว่าการชักว่าวเป็นไหนๆ เพราะเด็กในวัยนั้นและในยุคนั้นคงไม่เคยมีใครเห็นการโม้คกันมาก่อน

“ไอ้นัย มึงมาโม้คให้กูหน่อย” เสียงไอ้ชิดสั่ง

ผมใจหายวาบ ไม่นึกว่ามันจะเจาะจงไอ้นัย ไอ้นัยเองก็อึ้งไป พูดอะไรไม่ถูก

“เร็วดิ ไอ้นัย โม้คให้กูเร็วเข้า” ไอ้ชิดพูดอีก น้ำเสียงของมันเหมือนการออกคำสั่ง ไม่ใช่การขอร้อง

“ไม่เอาอ่ะ” ไอ้นัยสั่นหัวดิก ภายในวันเดียวกัน ไอ้นัยต้องปฏิเสธถึงสองครั้ง ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีใครเห็นมันปฏิเสธมาก่อน สงสัยวันนี้เกิดอาเพศแน่ๆ

“ไอ้สัตว์นี่” ไอ้ชิดคำรามด้วยน้ำเสียงดุดัน เริ่มแสดงความกักขฬะออกมา “กูสั่งให้มึงโม้คมึงก็ต้องโม้ค เข้าใจไหม”

“มันไม่อยากทำมึงก็อย่าไปบังคับมันสิ” ผมพูด

“มึงอย่ายุ่งไอ้อู” ไอ้ชิดหันมาทำเสียงดุใส่ผม

แล้วสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น ไอ้ชิดปราดเข้ามาประชิดตัวไอ้นัย มันจับหัวไอ้นัยแล้วกดลง พยายามจำโน้มหัวไอ้นัยไปที่ควยของมัน ไอ้นัยตัวบางและเล็กกว่ามันอยู่โข แม้พยายามขัดขืนแต่ก็สู้แรงมันไม่ได้ ต้องทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้นห้องน้ำ

“ไม่เอาว้อยไอ้ชิด กูไม่โม้ค” ไอ้นัยเอ็ดตะโร ผมคบกับไอ้นัยมาตั้งหลายปีก็เพิ่งจะเคยได้ยินมันเอ็ดตะโรมีปากมีเสียงวันนี้แหละ แสดงให้เห็นถึงความวิกฤติของสถานการณ์ในตอนนั้น ส่วนเพื่อนๆที่มุงดูเงียบกริบ ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอยากดูไอ้นัยโม้คให้ไอ้ชิดหรือว่าเพราะตกใจกับเหตุการณ์

“มานี่ อย่าให้ต้องใช้กำลัง” ไอ้ชิดพูดอีก มันยิ้มแสยะ สีหน้าเหี้ยม

ไอ้นัยพยายามขัดขืนด้วยการยกมือทั้งสองของไอ้ชิดออกจากหัว แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะสู้แรงมันไม่ได้

“เฮ้ย มันไม่ชอบมึงก็อย่าไปบังคับมันสิ” ผมพูด พลางรีบเก็บดอใส่กางเกงเตรียมรับสถานการณ์ ตอนนั้นมือและปลายหัวดอยังเลอะน้ำว่าวอยู่เลยเพราะลืมติดเอากระดาษทิชชู่มาด้วย แต่ก็ช่างมันแล้วครับ ปล่อยให้มันเลอะเทอะไป

ไอ้ชิดไม่สนใจผม คงพยายามโน้มหัวไอ้นัยมาที่ดอของมัน เมื่อผมเห็นมันไม่ฟัง จึงตัดสินใจเดินเข้าไปขวางพลางปัดมือมันออกจากหัวไอ้นัย ไอ้ชิดนี่แรงโคตรเยอะเลย ขนาดผมช่วยด้วยแล้ว มือของมันก็ยังไม่หลุดจากการจับหัวไอ้นัย

“ไอ้อู มึงไม่ต้องเสือกเลย ไอ้สัตว์นี่” ไอ้ชิดด่าอย่างหยาบคาย ตอนนี้นิสัยที่แท้จริงของมันก็แสดงออกมา “ไอ้พงษ์”

เสียงไอ้ชิดร้องเรียกไอ้พงษ์ ไอ้พงษ์ก็เข้าใจความหมาย รีบเข้ามาลากตัวผมออกไป ไอ้พงษ์นี่อุบาทว์มากครับ ดอของมันยังครึ่งอ่อนครึ่งแข็งปล่อยให้แกว่งไปมาอยู่นอกกางเกง ไม่ยอมเก็บกลับเข้าไปเสียที มันรวบตัวผมกอดไว้แน่น ผมสู้แรงมันไม่ได้ ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด

“เฮ้ย ช่วยไอ้นัยกันหน่อยสิโว้ย” ผมร้องเอะเอะบอกเพื่อนๆที่มาดูการแข่งขันชักว่าว

“เฮ้ย ใครอย่าเสือกนะโว้ย ถ้าเสือกต้องโดนกูกระทืบ” ไอ้ชิดขู่สวนเสียงร้องของผม

เพื่อนๆที่มามุงดูส่วนใหญ่ก็พวกไอ้ชิดอยู่แล้ว ดังนั้นผลก็คือมีใครช่วยไอ้นัยกันเลย คงดูกันเฉย ส่วนไอ้นัยแม้พยายามดิ้นแต่ก็ดิ้นไม่หลุด ถึงตอนนี้เอง ผมจึงได้ตระหนักว่าอิทธิพลของไอ้ชิดในฐานะหัวโจกของแก๊งนั้นมีมากเพียงใด

Friday, October 12, 2007

ตอนที่ 64

“ไม่พอ สี่ห้าคนถึงจะพอ” ไอ้ชิดตอบ

“งั้นเอาไอ้ชัชอีกคน” ผมเจ้ากี้เจ้าการให้เสร็จ ไอ้นัยกับไอ้ชัชอ้าปากหวอเพราะนึกไม่ถึงต่อการกระทำของผม

“เฮ้ย ไม่เอานะ” ไอ้นัยพูดเบาๆ รู้สึกว่านี่จะเป็นครั้งแรกกระมังครับที่ผมได้ยินมันปฏิเสธ

“ไม่เป็นไรน่าไอ้นัย เอาหน่อยนะ” ผมพูด พยายามคิดหาเหตุผลมาหว่านล้อมมันให้เห็นดีเห็นงามด้วย แต่ก็นึกไม่ออก ก็เลยยุมันดื้อๆยังงั้นแหละ

ไอ้นัยเงียบ ท่าทีอึกอัก ไอ้ชัชโพล่งขึ้นอย่างแปลกใจ

“มึงจะเล่นอะไรวะไอ้อู”

นั่นน่ะสิ ผมจะเล่นอะไรกันนี่ รู้สึกว่าครั้งนี้ผมจะเล่นแผลงผิดปกติ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันครับว่าทำไมจึงได้ทำไปแบบนั้น

“มึงนั่นแหละไอ้อู เที่ยวยุคนอื่นดีนัก มึงก็แข่งด้วย” ไอ้พงษ์พูดขึ้น

“เฮ่ย...” ผมสะอึก ถึงแม้ผมจะเคยชินกับการชักว่าวหมู่ในห้องอาบน้ำ แต่ว่านั่นก็เป็นในหมู่เพื่อนฝูงที่อยู่หอด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก อีกทั้งเป็นเวลาอาบน้ำที่ทุกคนแก้ผ้าเหมือนกันหมด แต่นี่เป็นการชักว่าวต่อหน้าเพื่อนๆเด็กไปกลับ แต่ละคนใส่เสื้อผ้ากันทั้งนั้น แล้วผมต้องมาแก้ผ้าให้มันดู อายตายเลย

ถึงตอนนี้เพิ่งจะได้คิดว่าทำไมไอ้นัยถึงได้อึ้ง รู้สึกว่าผมจะเล่นกับมันแรงไปหน่อย...

“ไม่ต้องเฮ่ย มึงแข่งด้วยเลยไอ้อู” เสียงไอ้พงษ์สรุปเอาดื้อๆโดยไม่ฟังความเห็นของผม “ได้สี่คนแล้วโว้ย ไป พวกเราไปที่ห้องน้ำกัน”

หลังจากนั้น ไอ้พงษ์ ไอ้ชิด และพวกเราทั้งหมดสิบกว่าคนก็ยกโขยงเดินไปที่ห้องน้ำหลังตึกประถมปลาย ในสิบกว่าคนนี้ ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนในกลุ่มไอ้ชิดกับไอ้พงษ์ ผมพยายามจะหนีออกไปจากกลุ่ม แต่ก็โดนประกบตัวเอาไว้ไม่ให้หนีไปไหน ส่วนไอ้นัยแม้มีท่าทีอิดออด แต่ก็แปลกที่ไม่เห็นมันพยายามจะหนี คงเดินตามไปด้วยดี ในที่สุด ไอ้นัยก็ยังเป็นไอ้นัยผู้ไม่เคยปฏิเสธใครเช่นเดิม

เอาวะ ชักก็ชัก ดีเหมือนกัน ท่าทางจะตื่นเต้นดี ผมนึกในใจ อีกอย่าง ยังไงก็มีไอ้นัยชักเป็นเพื่อนด้วย

“ไอ้ชัช มึงจะเล่นด้วยไหม” ผมกระซิบถามไอ้ชัชขณะที่เดินยกโขยงไปยังห้องน้ำหลังตึก

“ไม่เอาล่ะ เชิญมึงกับไอ้อูละกัน กูขอเป็นกองเชียร์” ไอ้ชัชกระซิบตอบ “ของกูไม่ใหญ่ อายเค้าว่ะ”

เพียงครู่เดียว พวกเราทั้งหมดประมาณสิบกว่าคนก็ไปถึงห้องน้ำประถมปลาย ห้องน้ำนี้ก็อยู่หลังตึกที่พวกเราเรียนกันนั่นเอง ตัวห้องน้ำเป็นเรือนห้องน้ำโดยเฉพาะแยกห่างออกมาจากตึกเรียน มีประตูทางเข้าสองประตู ประตูทางเข้านี้มีประตูเหล็กแบบประตูห้องแถว คือเป็นประตูเหล็กที่ยืดหดได้เหมือนหีบเพลง กลางวันก็จะเปิดเอาไว้ ตอนเย็นก็ปิดแล้วคล้องกุญแจ

ตอนนั้นก็เป็นเวลาบ่ายแก่แล้ว บ่ายสามโมงกว่าๆ เกือบจะสี่โมง ผู้คนในโรงเรียนบางตาไปมากแล้วเพราะกลับกันไปจนเกือบหมด โดยเฉพาะห้องน้ำหลังตึกไม่มีใครอยู่เลย

ไอ้พงษ์กับไอ้ชิดเดินนำขบวนเข้าไปในห้องน้ำ หลังจากที่พวกเราทั้งหมดเดินเข้าไป ไอ้ชิดก็สั่งให้ปิดประตูเหล็กทั้งสองด้านทันที

ประตูเหล็กที่ปิดนั้นก็แค่กันไม่ให้คนอื่นเข้ามาใช้ห้องน้ำได้เท่านั้นเอง แต่มองลอดเข้ามาได้ เพราะเป็นเหล็กที่มีช่องโปร่ง แต่ก็ยังดีครับ เพราะว่าถึงจะมองเข้ามาได้แต่ก็คงอะไรข้างในไม่ชัดนักเพราะว่าข้างในห้องน้ำค่อนข้างมืด

“เอ้า พร้อมหรือยัง ใครน้ำแตกได้ไกลกว่าเพื่อนถือว่าชนะ”

ไหนๆก็เลี่ยงไม่ได้แล้ว เอาก็เอาวะ ผมคิดในใจ

“น้ำแตกชนะแล้วได้อะไร” ผมถาม

“เอ้อ... ยังไม่รู้โว้ย เอาไว้ชนะก่อนแล้วค่อยว่ากัน” ไอ้พงษ์เองก็นึกไม่ออก เลยตอบมั่วๆ

“ชักว่าวกันเสียทีสิว้อย กูจะรีบกลับ” เสียงเพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้น

“ไอ้ห่า มึงไม่ได้แข่งแล้วยังเสือกมาเร่ง” ไอ้ชิดด่าเบาๆ “เอ้าๆ เริ่มได้ ผู้ชมเงี่ยนกันแล้ว พวกมึงหลบกันให้ดีละกัน เดี๋ยวน้ำว่ากระเด็นใส่”

ว่าแล้วพวกที่ลงแข่งอันประกอบด้วยไอ้ชิด ไอ้พงษ์ ไอ้นัย และผม ต่างก็ยืนเรียงแถวหน้ากระดาน ผมยืนอยู่ริมแถว ติดกับไอ้นัย พวกที่เหลือที่เป็นคนดูก็หลบไปยืนข้างๆ สงสัยจะกลัวน้ำว่าวกระเด็นใส่จริงๆ

ไอ้ชิดกับไอ้พงษ์รูดซิปงัดดอออกมาปั่นหน้าตาเฉยอย่างไม่อายใคร เมื่อไอ้ชิดงัดดอออกมาว่าว ทุกคนก็ต้องฮือฮา เพราะว่าดอของมันใหญ่มาก คือใหญ่แบบเด็กหนุ่มน่ะครับ ไม่ได้ใหญ่มโหฬารเป็นพิเศษอะไร เพราะว่ามันอายุมากกว่าพวกเรา ดอก็เลยใหญ่กว่า หมอยของไอ้ชิดนั้นเยอะมาก เห็นเป็นพงหญ้าสีดำเต็มช่องซิปกางเกง แถมพงหญ้านั้นยังล้นออกมาข้างนอกอีกด้วย

ไอ้ชิดปั่นดอได้พักเดียว มันก็ขยายใหญ่เต็มที่ ผมเพิ่งเคยเห็นดอของคนที่โตแล้วชัดๆก็วันนี้เอง มันใหญ่ สีคล้ำ มีเส้นเลือดปูดโปนเต็มไปหมด หนังหุ้มปลายร่นไปกองที่คอหยัก เผยให้เห็นหัวดอที่บาน ใหญ่ มันแตกต่างจากดอของเด็กๆอย่างพวกผมค่อนข้างมาก ส่วนดอของไอ้พงษ์นั้นแม้จะใหญ่แต่ก็สู้ของไอ้ชิดไม่ได้

ผมกับไอ้นัยยังไม่ยอมงัดดอออกมา เพราะยังอายๆอยู่เหมือนกัน แต่สังเกตเห็นเป้ากางเกงของไอ้นัยตุงออกมาเป็นลำชัดเจน คงเป็นเพราะเห็นดอของไอ้สองคนนี่จนเกิดอารมณ์

“เฮ้ย พวกมึงเอาควยออกมาชักได้แล้ว” ไอ้ชิดเร่งผมกับไอ้นัย

ไอ้นัยยังเฉย ท่าทีอายๆ แต่ตอนนั้นผมชักเกิดอารมณ์สนุกขึ้นมาบ้างแล้ว อยากลองๆชักว่าวโชว์เพื่อนอยู่เหมือนกัน ประกอบกับกลัวว่าหากใช้เวลานานไปจะมีคนมาเห็น เดี๋ยวใครไปฟ้องครูเข้าจะเป็นเรื่อง ก็เลยงัดดออกมาเหมือนกัน แล้วยุไอ้นัยไปด้วย

“เอาเถอะวะไอ้นัย ไหนๆก็ไหนๆ”

ดอของผมนั้นไม่ต้องเอาออกมาปั่นให้แข็งก่อน เพราะว่ามันแข็งรออยู่นานแล้ว ตื่นเต้นเหมือนกันครับงานนี้

ไอ้นัยเห็นผมงัดดอออกมา ในที่สุดมันก็เลยรูปซิปและงัดออกมาบ้าง แม้ดอไอ้นัยไม่ใหญ่เท่าไอ้พงษ์ ไอ้ชิด แต่ก็ถือว่าใหญ่พอตัวสำหรับเด็กในวัยอย่างพวกเรา พอไอ้นัยงัดดอออกมา พวกเราก็ฮือฮากันอีก เพราะว่าไอ้นัยไม่เคยโชว์ดอให้ใครเห็นมานานแล้ว ตอนอยู่ ป.๕ มันยังโดนเพื่อนๆจับและเอาออกมาดูเล่นบ้าง แต่พอขึ้น ป.๖ แล้วมันแค่โดนจับๆเฉยๆ แต่ไม่ได้งัดออกมา เพราะว่าสถานที่ไม่อำนวยเนื่องจากทำเลที่ตั้งแก๊งยามเที่ยงของพวกเรามีคนพลุกพล่าน แล้วก็ช่วง ป.๖ นี้เองเป็นช่วงที่ไอ้นัยโตขึ้นอย่างผิดหูผิดตาเพราะว่าย่างเข้าสู่วัยรุ่น ดอของมันแตกต่างจากตอนอยู่ ป.๕ มากทีเดียว คงไม่ต้องถามนะครับว่าทำไมผมถึงรู้ ก็ติดตามดูของมันมาตลอดนี่ครับ

ดอของไอ้นัยนั้นแม้ไม่ใหญ่เท่าไอ้ชิดกับไอ้พงษ์ แต่ก็สวยกว่าของไอ้สองตัวนั้นมาก เพราะว่าแท่งลำตั้งตรง ไม่เอียงเลย เป็นสีขาวอมชมพูตลอดแท่ง สะอาดสะอ้าน หัวเห็ดก็เป็นสีชมพูอ่อน ไม่ได้คล้ำน่าเกลียดแบบไอ้สองตัวนั่น ที่ส่วนโคนก็มีหญ้าสีดำขึ้นปกคลุมบางๆ กำลังสวย

Sunday, October 7, 2007

ตอนที่ 63

หลังจากเข้าแถว เคารพธงชาติแล้ว งานเลี้ยงปีใหม่ก็เริ่มอย่างเป็นทางการ บรรยากาศรื่นเริงเต็มที่ แต่ละห้องก็มีสไตล์การแต่งห้องและกิจกรรมที่ไม่เหมือนกัน

ห้องของผมตอนเช้าเริ่มด้วยครูประจำชั้นกล่าวให้โอวาทและเปิดงาน วันนี้แม้แต่ครูก็ดูใจดีและรื่นเริงกว่าทุกวัน หลังจากนั้นก็เป็นการเล่นเกม เล่นกันอยู่หลายเกมเหมือนกัน จำไม่ค่อยได้แล้วครับ แต่ที่จำได้อยู่เกมหนึ่งก็คือเกมกระบอกเสียง คือให้คนทั้งห้องมาล้อมวงกัน แล้วให้คนต้นแถวคิดประโยคอะไรก็ได้หนึ่งประโยค แล้วบอกใส่หูคนถัดไปโดยห้ามไม่ให้คนอื่นได้ยิน พอบอกไปจนถึงคนสุดท้ายก็ให้คนสุดท้ายบอกออกมาดังๆว่าได้ยินอะไร ส่วนใหญ่ข้อความมักจะเพี้ยนไปจากคนต้นแถว หลังจากนั้นก็มาไล่เรียงกันว่าคนที่ถ่ายทอดเพี้ยนคนแรกคือใคร

จำได้อยู่ประโยคหนึ่ง คนต้นแถวบอกว่า “กินข้าวกับนมตราหมี” มันคิดได้ไงเนี่ย กินข้าวกับนมตราหมี แล้วมันก็บอกไปเรื่อยๆจนคนสุดท้ายบอกว่าที่มันได้ยินคือ “กินข้าวตัวดำปิ๊ดปี๋” เออ แล้วมันจะเกี่ยวกันมั้ยครับ กินข้าวกับตัวดำเนี่ย

จากนั้นก็มาเริ่มไล่ย้อนหลังกันว่าไปเริ่มเพี้ยนที่ใคร ตอนไล่หาคนเพี้ยนคนแรกนี่ฮากันมาก ปรากฏว่าไม่ใช่ใครอื่น ไอ้นัยนั่นเอง และเหตุที่ผมยังจำได้ก็เพราะว่าคำนี้ไอ้นัยเป็นคนทำเพี้ยนนี่แหละครับ ไม่อย่างนั้นคงจำไม่ได้

หลังจากเล่นกันไปได้หลายๆประโยค คนที่ทำเพี้ยนในแต่ละครั้งจะถูกนำมารวมกันทำโทษ การทำโทษก็ให้มาเต้นท่าอุบาทว์ๆ ตอนทำโทษนี่แหละครับ ฮากันกลิ้งเลย โดยเฉพาะไอ้นัย เต้นได้น่ารักมาก ทำท่าเหมือนสัตว์ประหลาดตลกๆ พอลงโทษกันเสร็จแล้ว ครูประจำชั้นก็สรุปตบท้ายว่านี่แหละคือส่วนหนึ่งของกาลามสูตร คือ อย่าเชื่อคำบอกเล่าที่บอกต่อๆกันมา อะไรประมาณนี้แหละครับ ขนาดวันงานปีใหม่ยังไม่วายสอนธรรมะ

หลังจากเล่นเกมแล้วก็มีประกวดร้องเพลง แต่ไม่ใช่เพลงปกติ เป็นเพลงแปลง แต่ไม่ได้เลียนแบบเพลงแปลงของใคร คนร้องต้องคิดแปลงเนื้อเอาเอง สนุกตรงนี้แหละครับ เพราะบางคนก็แปลงเก่ง บางคนก็แปลงได้ห่วย แต่รวมแล้วก็สนุกมาก หัวเราะกันท้องแข็ง

หลังจากนั้นก็เป็นรายการอาหารกลางวัน แล้วก็ต่อด้วยการจับฉลากแลกของขวัญ ส่วนใหญ่ก็ของทั่วไปครับ เช่น ปากกา กรอบรูป อัลบั้มรูป ผ้าขนหนู ชุดดินสอสี ของกินพวกขนม คุกกี้ บางคนก็ให้เทปคาสเส็ตที่อัดเพลงเอาไว้ คือ เลือกเพลงมาแล้วอัดกันเอง สมัยนั้นมีแต่วิทยุกับเทปคาสเส็ต แล้วก็แผ่นเสียง ซีดี ดีวีดี ยังไม่มีครับ

พวกของพิเรนทร์หน่อยก็มีครับ มีคนหนึ่งให้กางเกงใน อีกคนเอากะละมังพลาสติกห่อของขวัญมา ห่อใหญ่เบ้อเริ่ม ตอนแรกทุกคนแปลกใจว่าของอะไร ใหญ่ๆ เบาๆ แต่มันไม่ยอมบอก สุดท้ายคนที่จับได้ของขวัญมันบ่นใหญ่เลย เพราะมันนั่งรถเมล์ ขี้เกียจหอบขึ้นรถเมล์

สำหรับผมนั้น ตอนเช้าๆก็รู้สึกเซ็งๆ เพราะกำลังเคืองไอ้ชัชกับไอ้นัย แต่พอสายๆหน่อยก็กลับมาอารมณ์ดี เพราะความสนุกสนานของงานเลี้ยงทำให้ลืมความขุ่นเคืองไป

และท้ายที่สุดของงาน ก็เป็นการเฉลยบัดดี้ ตอนนั้นบ่ายสามโมงกว่าแล้วครับ เล่นกันไปเล่นกันมาจนรายการสุดท้ายช้ากว่ากำหนด ครูประจำชั้นขอตัวกลับไปก่อน มีอยู่กลุ่มหนึ่งประมาณครึ่งห้องขอตัวกลับเช่นกันเพราะวางแผนกันไว้แล้วว่าจะไปดูหนัง เดี๋ยวจะไม่ทันรอบฉาย เพราะนัดกันไว้แล้วว่าหลังเลิกงานเลี้ยงแล้วจะไปดูหนังกัน แล้วก็อีกส่วนหนึ่งผู้ปกครองมารับพอดี เด็กประจำบางคนจะรีบกลับต่างจังหวัดเพราะว่าหลังจากงานเลี้ยงแล้วเราหยุดกันยาวหลายวัน

สุดท้ายก็เลยตกลงกันว่า ให้อยู่ร่วมกันจนแค่เฉลยว่าใครเป็นบัดดี้ของใคร แล้วหลังจากนั้นใครจะไปไหนก็ไป ไม่มีการลงโทษคนที่ทายบัดดี้ไม่ถูกเพราะว่าเวลาไม่พอ

การเฉลยก็เป็นไปอย่างรีบเร่งนิดหน่อย เพราะว่าไอ้พวกที่มันจะไปดูหนังคอยเร่งอยู่ เลยไม่สนุกเท่าที่ควร แต่ก็สรุปได้ว่าผมได้เป็นบัดดี้ไอ้ชิด แล้วไอ้ชิดก็ทายไม่ถูก

ไอ้ชัชเป็นบัดดี้ของไอ้นัย และไอ้นัยก็ทายไม่ถูก ตอนนี้เองที่ผมได้รู้ความจริงว่าทำไมไอ้ชัชถึงดีกับไอ้นัยเป็นพิเศษ ที่แท้มันพยายามดูแลไอ้นัยนั่นเอง

ส่วนบัดดี้ของไอ้ชัชนี่เป็นเพื่อนในกลุ่มไอ้เชียรที่อยู่หลังห้อง ไอ้ชัชก็ทายไม่ถูกเหมือนกัน

สรุปแล้วคนที่ทายบัดดี้ของตนเองไม่ถูกมีค่อนข้างเยอะทีเดียว สงสัยจะเป็นเพราะว่าไม่ค่อยได้สนใจที่จะเล่นเกมนี้กันมั้งครับ

หลังจากเฉลยแล้วก็ถือว่างานเลี้ยงปีใหม่จบลงโดยปริยาย ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกัน คนที่จะไปดูหนังก็ไป ส่วนที่เหลือก็อยู่ต่ออยากทำอะไรก็ทำ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นงานเก็บห้องให้คืนสภาพเดิมเสียมากกว่า สมัยนั้นก็ยังเด็ก ไม่ค่อยเกี่ยงกันครับ ใครอยู่ก็ช่วยๆกัน ไม่ได้คิดว่าเพื่อนกินแรงหรืออะไร

หลังจากงานเลี้ยงเลิกแล้ว คนก็จากไปกว่าครึ่งห้อง ขณะที่พวกเราที่เหลือซึ่งรวมทั้งผม ไอ้นัย และไอ้ชัช ที่ไม่ได้ไปดูหนัง กำลังจะลงมือเก็บห้องกันนั่นเอง ใครคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นมา

“เฮ้ย ยังไม่ได้ลงโทษคนที่ทายบัดดี้ไม่ถูกเลย เสียดายจริง”

“ไม่ต้องเสือกเลยมึง งานเลิกแล้ว” ไอ้พงษ์พูดขึ้น ไอ้พงษ์นี่ก็เป็นคนหนึ่งที่ทายบัดดี้ไม่ถูก “มึงอยากให้ลงโทษอะไรล่ะ”

ไอ้พงษ์มันคงอยากรู้เหมือนกันว่าไอ้คนเสนอความคิดมันอยากลงโทษอะไร

“ให้ไอ้พงษ์ถอกควยชักว่าวโชว์ก็แล้วกัน” ไอ้จ๋อพูดขึ้น จำได้ไหมครับ ไอ้จ๋อที่นั่งใกล้ไอ้พงษ์เวลาเรียน และไอ้พงษ์นี่มันก็ชอบควักดอออกมาโชว์บ่อยๆเวลาอยู่ในห้องเรียนตอนครูไม่อยู่ ไอ้จ๋อมันเห็นเป็นประจำ

“เออๆ ดีๆ” เสียงคนที่เหลือในห้องสนับสนุนกันเซ็งแซ่ “ว่าวโชว์เลยๆ”

“อ๋อ ถ้างั้นได้เลย” ไอ้พงษ์พูดขึ้น ไอ้เปรตนี่มันชอบโชว์อยู่แล้วครับ พอมีใครพูดแบบนี้มันก็รับมุขทันที ผมว่าถึงมันไม่เล่นเกมแพ้ หากมีใครบอกให้มันโชว์มันก็คงยินดี

สำหรับผมกับไอ้ชัชนั้นไม่ได้ตื่นเต้นอะไร เพราะชักว่าวหมู่กับไอ้พงษ์ในห้องอาบน้ำจนชินแล้ว แถมยังรู้ความลับของมันว่าคู่ขาของมันคือไอ้ติ๊ก แต่กับคนอื่นโดยเฉพาะพวกนักเรียนไปกลับแล้วคงอยากดูหนังสดที่แสดงเดี่ยวโดยไอ้พงษ์เพราะว่าคงไม่มีโอกาสได้เห็นของดีแบบที่เด็กหอเห็นกัน

ว่าแล้วไอ้พงษ์ก็บอกให้ใครช่วยดูต้นทางที่ประตูห้องให้หน่อย แล้วมันเองก็ยืนกลางห้องให้เพื่อนๆที่เหลือมุงรอบตัวมัน จากนั้นมันงัดดอออกมาปั่นเล่นต่อหน้าเพื่อนๆ

พริบตาเดียว ดอของไอ้พงษ์ก็ขยายใหญ่ และลุกชันเต็มที่ มันชักว่าวเสียงดังพั่บๆอย่างไม่อาย โคตรหน้าด้านเลย เพื่อนๆจ้องเป๋งตาเป็นมัน เพราะไม่ได้นึกว่าจะได้ดูหนังโป๊เป็นของแถมหลังเลิกงานเลี้ยง

“เฮ้ย ชักว่าวคนเดียวไม่มันว่ะ ไอ้พวกที่แพ้นี่แหละ มาชักว่าวแข่งกันดีกว่า ใครน้ำว่าวพุ่งไกลกว่ากัน” ไอ้พงษ์เสนอ

เสียงเพื่อนๆเชียร์กันสนั่นห้อง โดยเฉพาะพวกที่ไม่ได้แพ้เกมบัดดี้ ทำไมจะไม่เชียร์ละครับ ก็อยู่ดีๆได้ดูหนังสดฟรีๆ แต่พวกคนที่แพ้เกมบัดดี้นี่สิครับ หนาวๆร้อนๆ เพราะแต่ละคนไม่ได้ชอบโชว์อย่างไอ้พงษ์

“มา ไอ้ชิด มาชักว่าวแข่งกันฉลองปีใหม่ดีกว่า” ไอ้พงษ์พูดอีกเมื่อไม่เห็นมีใครเสนอตัวเป็นคู่แข่งกับมัน

คราวนี้ยิ่งเฮกันใหญ่ เพราะไอ้ชิดมันเป็นวัยรุ่นแล้ว ตัวของมันโตกว่าเพื่อน อีกทั้งยังมีเสียงลือกันว่าไอ้ชิดดอใหญ่มาก ใครๆก็อยากเห็นของจริง

“ไม่เอาโว้ย แข่งกันสองคนจะไปสนุกอะไร” ไอ้ชิดปฏิเสธ มันไม่ได้บอกไม่กล้าแข่งนะครับ แต่บอกว่าคนเข้าแข่งน้อยไป

“เฮ้ย ไอ้พวกที่แพ้น่ะ ใครจะมาแข่งกับพวกกูบ้าง เร็วๆเข้า” ไอ้พงษ์เชิญชวน แต่ไม่มีใครเล่นด้วย

ตอนนั้นผมสังเกตเห็นไอ้นัยเป้ากางเกงตุงเป็นลำออกมาชัดเจน คงดูไอ้พงษ์ชักว่าวจนเกิดอารมณ์ มันนูนออกมามากเลย สงสัยวันนั้นจะไม่ได้ใส่กางเกงในมา

“วันนี้มึงใส่กางเกงในมาป่าว” ผมกระซิบถามมันด้วยคำถามเดิมที่เคยชอบถามก่อนจะแกล้งมันเล่น

ไอ้นัยสั่นหัวเป็นคำตอบ ไหมล่ะ ไม่ได้ใส่มา ผมก็นึกไม่ถึงนะครับ ว่ามันจะไม่ใส่มา เพราะช่วงหลังเห็นมันโตขึ้นเยอะแล้ว ไม่ใช่เด็กๆ อีกทั้งกิจกรรมจับจู๋เล่นยามพักเที่ยงก็เลิกไปตั้งนานแล้ว มันคงใส่กางเกงในมาทุกวันเหมือนคนอื่นๆ

ฉับพลันนั้น ผมก็มีความคิดแปลกๆเกิดขึ้น เป็นความคิดอยากแกล้งไอ้นัย ความคิดถึงเรื่องที่ไอ้ชัชไปมีอะไรกับไอ้นัยกันสองคน รวมทั้งเรื่องเมื่องวานที่ไอ้ชัชชวนไอ้นัยไปซื้อของแต่ไม่ชวนผมไป จริงอยู่ เรื่องหลังนั้นอาจเกี่ยวกับการที่มันสองคนเป็นบัดดี้กัน แต่คิดไปคิดมาก็ไม่เชิง เพราะหากมันเป็นบัดดี้กัน ไอ้ชัชจะชวนผมไปซื้อของด้วยก็ได้ ไม่เห็นจำเป็นต้องกีดกันผมแบบเมื่อวาน

คิดไปคิดมา ความขุ่นเคืองที่เก็บซ่อนเอาไว้ในระหว่างวันก็กลับเข้ามาในใจของผมอีก ผมรู้สึกอยากแกล้งไอ้นัยสักหน่อย หารู้ไม่ว่าเหตุการณ์ในวันนั้นกลายเป็นจุดหักเหที่สำคัญยิ่งในชีวิตของเราทั้งสามคนซึ่งผมจะไม่มีวันลืมได้เลยชั่วชีวิต

“ไอ้นัย เอาหน่อยนะ” ผมกระซิบกับมัน ว่าแล้วก็หันไปบอกไอ้ชิด

“เอาอีกคนพอไหม กูขอส่งไอ้นัยเป็นตัวแทน”

Tuesday, October 2, 2007

ตอนที่ 62

“ไอ้นัย ไปซื้อของกันดีกว่า” เสียงไอ้ชัชเรียก ไอ้ชัชได้รับมอบหมายจากหัวหน้าห้องให้ดูแลเรื่องการประดับตกแต่งห้องเรียน มันก็เลยต้องไปซื้อพวกสายรุ้ง ระย้า ตุ้ม หมวกปีใหม่ เป็นหมวกกระดาษทรงแหลมๆน่ะครับ มาตกแต่ง งบประมาณก็ลงขันเฉลี่ยกันทั้งห้อง ครูประจำชั้นก็ช่วยออกด้วยส่วนหนึ่ง

จนแล้วจนรอด ผมก็ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นบัดดี้ของไอ้ชิดเสียที แต่ก็ช่างมันเถอะครับ ผมก็ทำดีที่สุดแล้ว (มั้ง) ส่วนบัดดี้ของไอ้สองตัวนั่นเป็นใครก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะว่าถามมันมันก็ไม่บอก จะดูว่ามันดีกับใครเป็นพิเศษก็ไม่เห็นมี

“ไปดิ” ไอ้นัยตอบ มันเองก็ว่างๆ ไม่มีอะไรทำเป็นชิ้นเป็นอัน เป็นเด็กรับใช้ทั่วไป ช่วยคนโน้นนิด ช่วยคนนี้หน่อย

ว่าแล้วทั้งสองคนก็พากันเดินออกไปซื้อของที่ร้านค้านอกโรงเรียน ผมชักฉุนที่ไอ้ชัชไม่ชวนผม ปกติมันมีอะไรก็มักชวนผมเสมอ แต่วันนี้ไม่

เพิ่งเดินออกไปพ้นห้องเรียน ไอ้ชัชกับไอ้นัยก็ย้อนกลับมาอีก ไอ้ชัชเข้ามาถามผม

“กูจะซื้อของขวัญจับฉลากมาด้วย มึงจะฝากซื้อไหม”

ตอนนั้นของขวัญจับฉลากกำหนดกันไว้ว่ามูลค่าไม่ต่ำกว่า ๕๐ บาท เงิน ๕๐ บาทกับเด็ก ป.๖ สมัยนั้นก็ถือว่าไม่มากไม่น้อย ถึงจะไม่ได้ของอะไรเป็นชิ้นเป็นอันนัก แต่ก็พอสนุกๆ เช่น สมุดเฟรนชิป กรอบรูปเล็กๆ ฯลฯ

ดูมันทำสิครับ แทนที่จะชวนผมไปเลือกซื้อด้วยกัน มันกลับถามว่าผมจะเอาอะไรแล้วจะไปกับไอ้นัยกันสองคน

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวกูไปเลือกซื้อเอง” ผมตอบ พยายามทำเสียงให้ปกติ แต่ตอนนั้นเคืองมาก

“อยากเดินเมื่อยก็ตามใจ” ไอ้ชัชพูด ว่าแล้วก็เดินไปกับไอ้นัย

มันหายกันไปชั่วโมงกว่าสองชั่วโมง แล้วก็กลับมาพร้อมกับของพะรุงพะรัง นอกจากของแต่งห้องแล้วยังมีน้ำหวานกับถุงขนมติดมือไอ้นัยมาด้วย สมัยก่อนตอนเด็กๆน้ำหวานยังไม่ได้ใส่เป็นถ้วยกระดาษหรือถ้วยพลาสติกแบบสมัยนี้ มีแต่พวกโค้ก เป๊ปซี่ ตระกูลน้ำอัดลมต่างๆที่กดจากเครื่องเท่านั้นที่ใช้ถ้วย หากเป็นน้ำหวานหรือน้ำอัดลมที่เทจากขวดก็จะใช้ถุงพลาสติกแล้วก็เอาหนังยางมัดปากถุง ปักหลอดลงไป แล้วก็หิ้วไปดูดไป

“โห มีขนมด้วย กินไม่แบ่งเลยนะมึง” ผมพูดกับไอ้นัย แกล้งหน้าชื่นไปยังงั้นแหละครับ พยายามเก็บอารมณ์อย่างเต็มที่

“ไอ้ชัชมันเลี้ยงอ่ะ ดูดิ ของเต็มเลย” ไอ้นัยบอกด้วยเสียงอู้อี้พราะขนมยังเต็มปากอยู่ พลางชูถุงขนมให้ผมดูชัดๆ

ผมฉุนกึกขึ้นมาทันที ความไม่พอใจในครั้งนี้เอาไปรวมกับครั้งที่แล้วที่มันไปมีอะไรกันสองคนโดยไม่บอกผม เหมือนกับเงินต้นทบดอกเบี้ย มันทำให้ผมรู้สึกโมโหมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

“ไอ้นัย มาช่วยกูแต่งห้องเร็วๆ เดี๋ยวไม่ทัน” ไอ้ชัชเรียกพร้อมทั้งดึงตัวไอ้นัยไปช่วยแต่งห้อง “อ้อ ไอ้อู มาช่วยกูหน่อยดิ”

ไอ้ชัชเรียกผม เฮอะ ในที่สุดมันก็เรียกให้ผมไปช่วย แต่ช้าไปแล้วครับ ตอนนั้นเคืองมันทั้งคู่ไปเรียบร้อยแล้ว แต่เคืองไอ้ชัชมากกว่า

“ไม่ว่างโว้ย” ผมตอบเสียงขุ่นๆ

“ไม่ว่างอะไรกัน เห็นมึงนั่งซื่อบื้ออยู่ ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย มาช่วยกันหน่อยเร็ว”

ไอ้ชัชพูดพลางเข้ามาดึงมือผม ถึงตอนนั้นจะงอนก็งอนไม่ออกแล้ว เพราะถ้าไม่ช่วยมันหรือพาลใส่มัน ผมก็ดูจะเป็นฝ่ายขาดเหตุผล ก็เลยฝืนใจช่วยมันไปก่อน แต่ก็ทำไปแบบแกนๆ

“โฮ้ย ชักช้าจริงไอ้อู” ไอ้ชัชบ่นผมเมื่อเรียกให้หยิบนั่นหยิบนี่แล้วผมทำช้าๆ ก็คนมันไม่เต็มใจทำนี่ครับ อีกทั้งกำลังเคืองด้วย ก็เลยใจลอยนิดหน่อยพำราะเอาแต่โมโห

“มาๆๆ ไอ้นัยช่วยกูแขวนระย้าหน่อย” ไอ้ชัชเรียกไอ้นัยแทน พลางบ่นผมอุบอิบ

ในที่สุดก็กลายเป็นว่าไอ้นัยเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของไอ้ชัชไป วันนี้มันเอางานเอาการดีครับ ที่จริงปกติมันก็เอางานเอาการอยู่แล้ว ถ้าได้รับมอบหมายอะไรก็มักทำงานเต็มที่ แม้ปกติจะดูขี้เล่นไม่มีสาระก็ตาม

มันเรียกใช้ไอ้นัยไม่หยุดปาก เดี๋ยวก็นั่น เดี๋ยวก็นี่ ไม่สนใจผมอีกเลย มันยิ่งทำให้ผมขุ่นเคืองใจหนักยิ่งขึ้น แต่ก็พยายามเก็บอาการเอาไว้

บ่ายวันนั้น เราตกแต่งห้องและเตรียมงานปีใหม่กันจนเย็น ทุกคนสนุกสนานเฮฮากับการเตรียมงาน ยกเว้นผม

- - -

วันรุ่งขึ้น ...

และแล้ว วันที่พวกเรารอคอยกันก็มาถึง วันงานปีใหม่ ที่จริงปีใหม่ปีนี้เป็นงานที่มีความหมายเป็นพิเศษสำหรับเด็ก ป.๖ เพราะมันอาจเป็นการฉลองปีใหม่ครั้งสุดท้ายกับเพื่อนๆ ณ โรงเรียนแห่งนี้ เนื่องจากบางคนอาจต้องไปเรียนต่อที่อื่น และที่พิเศษยิ่งไปกว่านั้นก็คือมันเป็นวันหายนะของเราทั้งสามคน เหตุการณ์ในวันนั้นยังสร้างรอยแผลเป็นอยู่ในหัวใจและวิญญาณของผมจนถึงทุกวันนี้...

ตั้งแต่เมื่อบ่าย ตอนกลางคืนวันวาน ตลอดมาจนถึงวันนี้ ผมพูดกับไอ้ชัชน้อยมาก มันถามคำหนึ่งผมก็ตอบคำหนึ่ง ไอ้ชัชเองก็รู้สึกผิดสังเกตและพยายามถามผม แต่ผมก็บอกว่าไม่มีอะไร จนมันขี้เกียจถาม ก็เลยปล่อยผมเงียบอยู่อย่างนั้น

เราไปถึงที่ห้องเรียนกันแต่เช้า พวกที่ดูแลเรื่องอาหารก็ไปรับอาหารเที่ยงที่สั่งเอาไว้แล้วจากแม่ค้าในโรงอาหาร ไอ้ชัชเอาหมวกปีใหม่มาแจกเพื่อนๆ คนที่มีกล้องก็เอากล้องมาถ่ายรูปกัน สมัยนั้นยังเป็นกล้องใช้ฟิล์มอยู่ ไม่ใช่กล้องดิจิตอลแบบปัจจุบัน ฟิล์มม้วนหนึ่งดูเหมือนจะ ๕๐ บาท ประมาณนี้แหละครับ กล้องที่เด็กๆใช้กันส่วนมากเป็นกล้องโกดัก เพราะเป็นกล้องราคาประหยัด แต่คุณภาพก็พอใช้ได้ ราคาไม่กี่ร้อยบาทเอง ถ้าเป็นกล้องดีหน่อยก็จะเป็นพวกโอลิมปัส ยี่ห้อนี้จะมีรุ่นอินสแตนต์ให้เลือกเยอะหน่อย มีอยู่คนหนึ่งเอากล้องโพลารอยด์มา ถ่ายปุ๊ป ภาพก็ไหลออกมาปั๊บ ทันใจดี

กล้องอินสแตนต์ที่ว่าคือกล้องที่ถ่ายได้เลย ไม่ต้องปรับโฟกัส เพราะว่าโฟกัสตายตัว ถ่ายไปก็ชัดทั้งภาพ ระบบออโตโฟกัสยังไม่รู้จัก คงยังไม่มีกระมังครับ เด็กๆก็ใช้ได้แค่กล้องอินสแตนต์แหละครับ กล้องที่ดีกว่านั้นบางบ้านก็มีใช้กัน แต่ผู้ใหญ่คงไม่ยอมให้เอามาเพราะว่าราคาแพง

Sunday, September 30, 2007

ตอนที่ 61

หลังจากเรื่องในวันนั้น ทำให้ผมรู้สึกคาใจอย่างประหลาด แยกแยะความรู้สึกของตนเองไม่ออกเหมือนกันครับว่ามันเกิดอะไรขึ้น รู้แต่ว่าช่วงนี้ชีวิตมันยุ่งๆ จิตใจก็วุ่นวาย ไม่ค่อยสบายใจเอาเลย มันเหมือนกับมีเงาทะมึนมาบดบังชีวิตอยู่ สังหรณ์ใจอย่างไรบอกไม่ถูก

และแล้ว ในที่สุด ผมก็ค้นพบคำตอบของลางสังหรณ์นี้ด้วยตนเอง

ช่วงนั้นเป็นช่วงปลายเดือนธันวาคมแล้ว ปกติช่วงปลายปีจะเป็นช่วงที่เด็กๆรอคอย เพราะว่ามีเทศกาลสำคัญอยู่สองเทศกาล นั่นคือคริสต์มาสกับปีใหม่ คริสต์มาสไม่ค่อยได้ฉลองอะไรนักหรอกครับ แต่ว่าได้หยุดเรียน ส่วนเทศกาลปีใหม่นั้นแต่ละห้องก็จะจัดงานฉลองกันในห้องของตนเอง ส่วนใหญ่ก็มักจะจัดใกล้ๆสิ้นปี หลังจากนั้นพอสิ้นปีเด็กหอจะกลับบ้านกัน เพราะโรงเรียนจะปิดหลายวัน ให้โอกาสเด็กหอได้กลับไปฉลองปีใหม่ที่บ้านต่างจังหวัด

ปกติงานเลี้ยงปีใหม่นี้จะเป็นการจัดเลี้ยงมื้อเที่ยง วันไหนนี่แล้วแต่ทางโรงเรียนกำหนด อาจจะไม่ใช่วันที่ ๓๐ ธันวาคม เสมอไป เพราะว่าบางปีติดวันหยุดพอดี

การเตรียมงานปกติครูก็จะให้อิสระพวกเด็กๆที่จะตกลงกันเองว่าจะจัดอย่างไรและมีกิจกรรมอะไรบ้าง โดยครูจะมีหน้าที่เพียงคอยแนะนำเท่านั้น ราวๆต้นเดือนธันวาคมเราก็มักเริ่มเตรียมงานกันแล้ว มีการประชุมกันว่าจะจัดเลี้ยงอย่างไร อยากให้มีกิจกรรมอะไรบ้าง อยากกินอาหารอะไร

เรื่องอาหารนั้น ถ้าเอาง่ายๆก็ใช้สั่งอาหารเอา ก็ไปสั่งกับแม่ค้าในโรงอาหารนั่นแหละครับ อยากกินอะไรก็ตกลงกัน แล้วไปให้แม่ค้าตีราคา แล้วเมื่อถึงเวลาก็ไปรับอาหารมา ค่าอาหารก็เอาจำนวนคนทั้งห้องมาหาร สะดวกดี

แต่ถ้าจะเอาแบบที่มันยากๆหน่อย ก็คือแบบที่ว่าแต่ละคนช่วยกันจัดอาหารมา แล้วเอามาแบ่งกันกิน แบบนี้ไม่ต้องออกเงิน ใครจะเอาอะไรมาคนนั้นก็ออกเงินเอาเอง ถ้าเป็นประถมต้น รูปแบบจะง่ายๆ ต่างคนต่างเอากับข้าวมาสักอย่างสองอย่างแล้วมาแบ่งกันกินในกลุ่มเล็กๆ

ถ้าเป็นประถมปลาย รูปแบบจะซับซ้อนขึ้นมาหน่อย เพราะว่าเด็กโตก็เรื่องมากยังงี้แหละ จะต้องมีการประชุมกันเพื่อตกลงว่าใครจะเอาอะไรมาช่วยในงานบ้าง แล้วอาหารที่จะเอามาต้องปริมาณพอสมควร กินได้หลายๆคน ไม่ใช่กินได้แค่คนสองคน ส่วนใหญ่พวกที่รับหน้าที่จัดหามาก็จะเป็นพวกเด็กไปกลับนั่นแหละครับ เพราะว่าเด็กประจำจะไปจัดหาอาหารมาได้จากที่ไหน เช่น เด็กนักเรียนไปกลับบางคนก็อาสาเอาแกงเขียวหวานมาให้หม้อหนึ่ง บางคนก็อาสาเอาข้าวมาให้หม้อหนึ่ง บางคนก็เอาไก่ย่างมาให้ ๒๐ ตัว เป็นต้น อาหารเหล่านี้ก็ผู้ปกครองนั่นแหละที่จัดการให้ บางคนก็พ่อแม่ทำให้เองเลย บางคนก็ไปซื้อมา

เมื่อหมดจากเรื่องกินแล้ว ถัดไปก็เป็นเรื่องเล่น ปกติวันที่จัดงานเลี้ยงนั้นจะไม่มีการเรียนเลยทั้งวัน ให้อิสระนักเรียนเต็มที่ อยากทำอะไรก็ทำ ส่วนใหญ่ก็มักจะจัดงานเลี้ยงกันแค่ครึ่งวัน ตอนเช้ามักมีการแสดงนิดหน่อย จากนั้นก็เป็นการจับฉลากแลกของขวัญ แล้วก็กินอาหารเที่ยง หลังจากนั้นก็เป็นเวลาอิสระ ใครจะจัดเลี้ยงต่อ หรือว่ากลับบ้าน หรือจะไปเที่ยวต่อก็ตามสะดวก

สำหรับที่ห้องของผม ในปีนั้น เนื่องจากเป็นชั้น ป.๖ แล้ว โตขึ้นก็รู้มากและขี้เกียจ เลยใช้วิธีสั่งอาหารเอา ง่ายและสะดวกดี ส่วนเรื่องกิจกรรมาการเล่นนั้น ตอนเช้าก็วางแผนกันไว้ว่าจะเป็นการประกวดร้องเพลง แล้วก็มีละครสั้น เล่นกันสองสามคน จากนั้นก็จะเป็นการจับฉลากแลกของขวัญกันและกัน แล้วก็กินอาหารเที่ยง แล้วก็รายการเฉลยบัดดี้

ที่บอกว่ามีรายการเฉลยบัดดี้ก็คือ เรามีการเล่นเกมบัดดี้กัน คือในตอนบ่ายก่อนหน้าวันจัดงาน ๓ วัน พวกเราก็จะจับฉลากเพื่อหยิบชื่อเพื่อนในชั้นกันคนละ ๑ ชื่อ ใครได้ชื่อใครก็ต้องพยายามดูแลเอาใจใส่เพื่อนคนนั้น แต่ต้องทำแบบลับๆ ห้ามเปิดเผยตัว แล้วในวันงานให้ทุกคนมาเฉลยกันว่าแต่ละคนคิดว่าบัดดี้ลึกลับของตนเองเป็นใคร ใครที่ทายไม่ถูกจะต้องถูกทำโทษ คือโดนทำโทษทั้งตนเองและคู่บัดดี้ ในฐานะที่ดูแลไม่ดีอีกด้วย งานนี้ใครออกความคิดก็จำไม่ได้แล้วครับ แต่ว่าทุกคนคิดว่าน่าจะสนุกดีก็เลยเอาด้วย

ในวันจับฉลาก หัวหน้าห้องก็เตรียมฉลากที่เขียนชื่อทุกคนเอาไว้มาให้จับ เมื่อจับแล้วให้เก็บเป็นความลับ และเริ่มภารกิจดูแลบัดดี้อย่างลับๆได้เลย และที่สำคัญคือใครถามก็ต้องห้ามบอกเป็นอันขาด

ผมจับได้ใครน่ะหรือ จับได้ไอ้ชิดชัยครับ ซวยจริงๆเลย

“มึงจับได้ใครวะไอ้อู ทำไมทำหน้าเสีย” ไอ้ชัชยื่นหน้าเข้ามาถามหลังการจับฉลาก

จะไม่ให้ผมหน้าเสียได้ยังไง เพราะว่าไอ้ชิดชัยนั้นผมไม่สนิทกับมัน คุยกันน้อยมากแม้จะอยู่ห้องเดียวกันก็ตาม เพราะว่าอายุห่างกัน แล้วยังงี้จะดูแลยังไงละเนี่ย แค่นึกก็ไม่สนุกแล้ว

“บอกไม่ได้โว้ย” ผมส่ายหน้า

“ไอ้อู ไอ้ชัช ช่วยดูแลกูด้วยนะ” ไอ้นัยพูดขึ้นมาไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

“เรื่องอะไร กูไม่ได้เป็นบัดดี้มึงสักหน่อย” ไอ้ชัชพูด

“กูก็เปล่า” ผมพูดบ้าง

“ไม่ใช่ก็ขอฝากตัว ช่วยดูแลก็ด้วยอีกคนละกัน อยากมีคนดูแลอ่ะ ซื้อข้าว ซื้อน้ำ จะได้ไม่ต้องทำเอง” ไอ้นัยพูดหน้าตาเฉยพลางฉีกยิ้ม เล่นมุขก็ไม่บอก ไรหนวดเขียวๆบนใบหน้าเปื้อนยิ้มของมันน่ารักมาก รอยยิ้มของไอ้นัยทั้งอบอุ่น ทั้งจริงใจ อย่างบอกไม่ถูก

ไอ้ชัชเขกหัวไอ้นัยเบาๆ “นี่แน่ะ ลูกเล่นนัก นึกว่าอะไรที่แท้ก็ขี้เกียจ มึงไปหาบัดดี้ตัวจริงมาคอยดูแลก็แล้วกัน”

สรุปแล้วก็ไม่มีใครยอมบอกใครว่าบัดดี้ของตนเป็นใคร ส่วนผมเองนั้นชักไม่ค่อยสนุกแล้ว เพราะไม่รู้ว่าจะดูแลไอ้ชิดอย่างไรดี จะปล่อยไปเฉยๆ เลยตามเลย ก็กลัวว่าจะถูกทำโทษ

หลังจากวันนั้น ผมพยายามเข้าไปคุยกับไอ้ชิดมากขึ้น พยายามทำตัวให้แนบเนียน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเนียนหรือเปล่านะครับ รวมทั้งไม่รู้ว่าจะทำดีกับมันอย่างไรในเวลาตลอดสามวันนี้ ในที่สุดก็เลยปล่อยเลยตามเลย

ก่อนวันงานหนึ่งวัน วันนั้นก็ไม่ค่อยจะได้เรียนหนังสือกันแล้ว เพราะต้องเตรียมจัดงาน จะไปเอาสมาธิเรียนมาจากไหน คนที่แสดงละครก็เตรียมซ้อมละครกัน ไอ้คนแสดงประกวดร้องเพลงก็ซ้อมร้องเพลง แล้วก็มีพวกเราส่วนหนึ่งรวมทั้งไอ้ชิดตัดตัวหนังสือโฟมเป็นคำว่า “สวัสดีปีใหม่”

“ช่วยตัดด้วยคน” ผมเข้าไปเสนอตัวกับไอ้ชิดเมื่อเห็นมันตัดตัวหนังสือโฟมกับไอ้พงษ์ คนหนึ่งวาดตัวหนังสือ มันเป็นคนเอาคัตเตอร์ตัดเจาะเป็นตัว

“ไม่ต้องหรอก กูทำเองได้” ไอ้ชิดตอบปฏิเสธด้วยท่าทีนุ่มนวล ผมเพิ่งจะรู้สึกวันนี้เองว่ามันไม่เกเรอย่างที่คิด

“กูพอตัดได้นะ” ผมยังไม่เลิกตื๊อ

“ไม่เป็นไร คัตเตอร์มีอันเดียว มึงทำแล้วกูก็ไม่มีอะไรทำ” ไอ้ชิดว่า

กูพยายามดูแลมึงแล้วนะ แต่มึงไม่เอาเอง ผมนึกในใจ พยายามหาข้อแก้ตัวให้แก่ตัวเอง

Sunday, September 23, 2007

ตอนที่ 60

เช้าวันรุ่งขึ้น...

ผมกับไอ้ชัชยังคงปั้นปึ่งใส่กัน เช้านั้นทั้งเช้าเราไม่พูดกันเลย ผมจะรอให้มันมาง้อ มันก็ไม่ง้อสักที ไอ้ชัชเองก็คงคิดเช่นเดียวกับผม ในที่สุดก็เลยอยู่ในสภาพยันกันแบบนั้น

ผมรีบอาบน้ำแต่งตัว จากนั้นก็ออกจากหอตรงดิ่งไปยังห้องเรียน ที่จริงก็ต้องตรงดิ่งไปนั่นแหละครับ เพราะถ้าไม่ไปที่ห้องเรียนก็ไม่รู้จะไปที่ไหนเหมือนกัน ไอ้ชัชก็รีบเดินตามประกบผม แต่ไม่พูดไม่จาสักคำ

พอไปถึงห้องเรียน เห็นไอ้นัยนั่งท่องหนังสืออยู่ที่โต๊ะแล้ว

“ไอ้นัย” ผมพูดเบาๆกับมัน เพราะในห้องเรียนมีคนอยู่กันหลายคน “กูมีเรื่องจะถาม ออกมาคุยกับกูนอกห้องหน่อยดิ”

ปากชวนมัน แต่ที่จริงพอพูดจบผมก็ไม่ปล่อยให้มันตั้งตัว ลากมันออกมาจากห้องทันที ไอ้ชัชก็ตามมาด้วย แต่ผมไม่สนใจมัน อยากฟังก็ฟังไป ที่จริงจะไล่มันกลับไปไม่ให้ฟังผมก็ไม่กล้าทำครับ สงสารมัน ถึงเคืองมันแต่ก็ไม่อยากเห็นมันร้องไห้อีก

“มีไรเหรอ” ไอ้นัยถาม ทำหน้าเหรอหรา

“อ้า... เอ้อ... อ้า...” ผมอยากจะถาม แต่ถามไม่ออก ได้แต่อึกอัก

“ฮึ แปลกแฮะ ออกมาแล้วไม่พูด งั้นกูกลับเข้าห้องก่อนนะ” ไอ้นัยพูดยิ้มๆ ท่าทางคงจะอยากแกล้งผม เพราะปกติมันไม่ทำแบบนี้

ผมรีบคว้ามันเอาไว้ แล้วตัดสินใจถามออกไป

“ไอ้ชัชมันเล่าว่าเมื่อวานมึงกับมันไปโม้คกันที่ห้องน้ำประถม” ผมพูด

“ฮื่อ ใช่” ไอ้นัยตอบ

“ใครชวนใครวะ” ผมถามด้วยเสียงไม่พอใจ

“ก็ไม่มีใครชวนใคร คุยๆแล้วมีอารมณ์ก็ไปด้วยกัน” ไอ้นัยตอบแล้วทำหน้าสงสัย “มีอะไรเหรออู”

ถึงตอนนี้ไอ้ชัชรีบแทรกเข้ามา

“ใช่ ไอ้อูมันประสาทแดกไปแล้ว เมื่อวานมันก็ตะคอกกูเพราะเรื่องนี้”

อ้าว ตกลงทั้งสองคนเห็นเป็นเรื่องปกติธรรมดาไป มีผมคนเดียวที่รู้สึกไม่พอใจ

“แล้วทำไมพวกมึงไม่เรียกกูด้วยวะ” ผมชักพาล มีเหตุผลหรือไม่มีเหตุผลก็ขอไม่พอใจเอาไว้ก่อน

“แล้วมึงอยู่ให้เรียกที่ไหนเล่า เลิกเรียนก็รีบหนีไปขี้ที่หอ” ไอ้ชัชพูด แต่มันทำเป็นพูดลอยๆ ไม่ยอมมองหน้าผม น่าเตะยิ่งนัก

“ก็มึงไม่อยู่นี่นา” นัยพูดอธิบาย “ไม่เห็นมีอะไรน่าโกรธเลยนี่อู เป็นอะไรไปเหรอ มึงก็เคยไปโม้คกับกูเหมือนกันนี่นา”

“เอ้อ... อ้า...” ผมอ้าปาก พูดไม่ออก เพราะไม่รู้จะต่อว่าไอ้นัยอย่างไร และนึกไม่ถึงว่ามันจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาหน้าตาเฉย

ไอ้ชัชทำตาโต

“อ้าว ไอ้ห่าอู มึงเคยไปโม้คกับนัยที่ห้องน้ำประถมเหรอ แล้วเสือกไม่เล่าให้กูฟัง” ไอ้ชัชทำสีหน้าเคือง “ไอ้ห่าเอ๊ย ทีมึงทำไม่เห็นว่าอะไร ทีกูทำเสือกมาตะคอกกู เหี้ยชิบหาย”

ดูเหมือนว่าไอ้ชัชจะโกรธผมจริงๆ เพราะผมอยู่กับมันมานาน รู้นิสัยมันดี ปกติมันไม่ด่าผมรุนแรงขนาดนี้ แถมตอนท้ายยังอุปโลกน์ให้ผมเป็นสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่งเสียอีก

“อู เป็นไรไป มีอะไรเหรอ” นัยถามย้ำอีก

“เอ้อ... ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากรู้” ผมตอบ

“อยากรู้เหี้ยอะไร เมื่อวานพอมันรู้ว่ากูไปโม้คกับมึง มันตะคอกกูใหญ่ ยังกับกูทำผิดอะไรร้ายแรง ที่ไหนได้ มันเองก็ไปโม้คกับมึงเหมือนกัน แล้วมันไม่เห็นเคยบอกกู” ไอ้ชัชพูดด้วยความโมโห พูดเสร็จมันก็ทำตาแดงๆคล้ายจะร้องไห้อีก

หมู่นี้ไอ้ชัชเป็นอะไรก็ไม่รู้ ขี้แยจริง แล้วก็ขี้น้อยใจ ขี้โวยวาย สารพัด ตอนนี้ผมกระอักกระอ่วนมาก เพราะเมื่อไอ้นัยแฉเรื่องระหว่างผมกับมันที่ไปมีอะไรกัน ไอ้ชัชจากที่น้อยใจก็กลายมาเป็นโกรธผม เมื่อผมจะเป็นฝ่ายที่ขาดเหตุผล เลยนึกอะไรจะเถียงไม่ออก

“ก็สนุกๆ ไม่เห็นต้องคิดมากเลย ทั้งสองคนนั่นแหละ ไม่เอานะ อย่าทะเลาะกันดิ” ไอ้นัยพูดหน้าตาย เหมือนผู้ใหญ่กำลังสั่งสอนเด็ก

“เออๆ ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร” ผมรีบสรุปเพื่อจบสถานการณ์อันน่าอึดอัดนี้

“เดี๋ยว กูมี ไอ้อู” ไอ้ชัชไม่ยอมจบ พูดตะคอกผมบ้าง“แล้วเมื่อคืนมึงตะคอกกูทำไม แล้วมึงโม้คไอ้นัยทำไมมึงไม่เล่าให้กูฟัง”

ดูไอ้ชัชมันติดใจเรื่องที่ผมตะคอกมันมาก หรือว่าผมทำรุนแรงไปจริงๆ แล้วเรื่องทั้งหมดนี้ กลายเป็นว่าผมทะเลาะกับไอ้ชัช ไม่มีใครโกรธไอ้นัยเลย ทั้งๆที่ไอ้นัยก็เป็นคู่กรณีเช่นกัน ผมก็ไม่ได้โกรธและต่อว่าไอ้นัย ไอ้ชัชก็เหมือนกัน คงจะเป็นเพราะว่าปกติไอ้นัยดีกับทุกคน และยอมทุกคน เลยไม่มีใครคิดว่าจะไปหาเรื่องอะไรกับมัน

ขณะที่ผมกำลังไม่รู้จะทำอย่างไรดีนั่นเอง เสียงออดเคารพธงชาติก็ดังขึ้น ถึงเวลาเคารพธงชาติแล้ว เรียกได้ว่าระฆังช่วยจริงๆ

“เดี๋ยวค่อยคุยละกัน” ผมตัดบท “รีบไปเข้าแถวก่อน”

ว่าแล้วผมก็เดินหนีไปเข้าแถว

หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้คุยเรื่องนี้กันต่อหรอกครับ ที่จริงก็ไม่มีอะไรที่น่าจะต้องคุย ไอ้ชัชยังโกรธผมอยู่อีกหลายวัน ไม่ยอมพูดจากับผม ผมก็มีทิษฐิ ไม่ยอมง้อมันในครั้งนี้ ก็เลยกลายเป็นว่าเราสองคนไม่พูดจากันอยู่หลายวัน แต่เวลากินข้าวก็ยังนั่งกินข้าวอยู่ด้วยกัน แต่ต่างคนต่างก็คุยเฉพาะกับไอ้นัย ไอ้นัยเองมันก็พยายามคุยและแหย่เราสองคนเพื่อให้เราได้คุยกัน แต่ก็ไม่ค่อยได้ผล