Saturday, July 26, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 14

ไอ้นัยแยกขึ้นตึกเพื่อไปยังห้องเรียนของมัน ผมเริ่มรู้สึกใจหวิวนิดหน่อย เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมมีไอ้นัยอยู่เคียงข้างเสมอ แต่นับแต่นี้เป็นต้นไป ผมจะต้องเผชิญกับสังคมใหม่ด้วยตัวของผมเอง ...

ไม่เป็นไรน่า ไอ้นัยมันยังไม่กลัว ถ้าผมกลัว ผมก็น้อยหน้ามันน่ะสิ และอกอย่าง ถึงอย่างไรตอนพักเที่ยงเราก็ยังได้เจอกันและกินอาหารด้วยกัน

ผมก้าวเท้าเข้าไปในห้องเรียน ม. ๑/๒ ก้าวแรกที่ผมก้าวเข้าไป ผมเห็นห้องเรียนเพดานสูง บรรยากาศครึ้มนิดหน่อย แต่ไม่ถึงกับมืด สิ่งของทุกอย่างภายในห้องดูค่อนข้างเก่า ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะเรียน โต๊ะครูที่อยู่หน้าชั้น กระดานดำ ล้วนแล้วแต่บ่งบอกถึงกาลเวลาอันยาวนาน

การจัดโต๊ะเรียนของห้องเรียนนี้จะวางโต๊ะเป็นแบบแถวตอนเรียงสอง กล่าวคือ โต๊ะสองแถววางติดกัน แล้วคั่นด้วยทางเดิน แล้วก็เป็นโต๊ะอีกสองแถว แล้วก็เป็นทางเดิน ยกเว้นแถวริมหน้าต่างที่เป็นแถวตอนเรียงหนึ่ง

ตอนนั้นยังเช้าอยู่ ในห้องยังมีนักเรียนไม่มากนัก แต่ละคนก็จับจองที่นั่งกันไปก่อนตามใจชอบ ส่วนผมนั้น เลือกที่จะนั่งที่โต๊ะริมหน้าต่าง เพราะเคยชินกับการนั่งเรียนคนเดียว ไม่นั่งติดกับใคร มาจากโรงเรียนเก่า

เมื่ออยู่ในห้องเรียน แต่ละคนก็ทักทายและแนะนำตัวกัน เนื่องจากแต่ละคนในชั้นล้วนแต่เป็นเด็กใหม่ ดังนั้นจึงคุยและทำความคุ้นเคยกันได้อย่างรวดเร็ว เพราะว่าแต่ละคนก็อยากมีเพื่อนด้วยกันทั้งนั้น คำถามที่ทุกคนมักถามก็คือ อีกฝ่ายหนึ่งจบชั้นประถมมาจากโรงเรียนอะไร และเมื่อผมแนะนำตัวว่าจบมาจากโรงเรียนอะไร หลายๆคนทำหน้าไม่รู้จัก ก็คงเหมือนกับที่ผมไม่รู้จักโรงเรียนของอีกหลายๆคนนั่นเอง

เมื่อเวลาผ่านไป นักเรียนที่ทยอยเข้ามาในห้องก็มากขึ้น เสียงคุยกันก็ดังอึกทึกราวกับอยู่ในตลาด แต่เพียงครู่เดียว ก็มีครูหญิงคนหนึ่งเดินเข้ามา

“เอ้า นักเรียน เดี๋ยวตามครูไปตั้งแถวและเคารพธงชาติกันก่อน” ครูพูดเสียงดังแข่งกับเสียงนักเรียน

หลังจากนั้นครูก็พาพวกเราเดินไปในสนามใหญ่ซึ่งอยู่ใจกลางโรงเรียน สนามนี้จะว่าเป็นสนามหญ้าก็ไม่ใช่ เพราะว่ามีหญ้าขึ้นอยู่ไม่มากนัก แต่จะว่าเป็นสนามทรายก็ไม่ใช่ เพราะว่ายังพอมีหญ้าอยู่ สุดท้ายก็เลยเรียกเพียงว่าเป็นสนามเฉยๆ บนสนามปักป้ายไม้เล็กๆ เขียนชั้นและห้องเอาไว้ เป็นเครื่องหมายให้แต่ละห้องมาตั้งแถวได้ถูกที่นั่นเอง

นักเรียนทุกชั้นปีกำลังเดินเข้ามาในสนามเพื่อตั้งแถว ฝุ่นตลบอบอวลไปหมด

ครูให้เราตั้งแถว ผมจัดว่าอยู่ในกลุ่มที่ตัวสูง เลยถูกจัดให้ยืนอยู่ด้านหลัง

หลังจากเคารพธรงชาติแล้ว ผู้อำนวยการโรงเรียนก็ออกมากล่าวให้โอวาท ต้อนรับนักเรียนใหม่ที่หน้าเสาธง ผมได้เรียนรู้ว่าที่นี่เขาเรียกผู้บริหารสูงสุดในโรงเรียนว่า “ผู้อำนวยการ” ซึ่งแตกต่างจากโรงเรียนเก่าที่เรียก “อาจารย์ใหญ่” รวมทั้งที่นี่นักเรียนจะเรียกครูว่า “อาจารย์” แต่เวลาครูเรียกตัวเองจะใช้คำแทนตัวว่า “ครู” ซึ่งใหม่ๆผมไม่ค่อยคุ้นกับคำว่าอาจารย์เท่าไรนัก ผมยังชอบคำว่าครูอยู่ เพราะคิดว่าให้ความรู้สึกที่ดีกว่า

หลังจากรับฟังโอวาทจากผู้อำนวยการโรงเรียน อาจารย์คนเดิมก็พาแถวของเรากลับเข้าห้องเรียน

เมื่อมาถึงห้องเรียน อาจารย์ก็แนะนำตนเอง ว่าชื่อประพิมพ์ พร้อมทั้งบอกว่าเป็นอาจารย์ประจำชั้นของพวกเรา อาจารย์ประพิมพ์มีวัยประมาณสี่สิบกว่าปี รูปร่างกำลังดี ไม่สูงไม่เตี้ย ไม่ผอมไม่อ้วน บุคลิกกระฉับกระเฉง ดูเป็นคนอารมณ์ดี ท่าทางคงไม่ใช่ครูที่ดุ

เมื่ออยู่ในห้องกันพร้อมหน้า ครบทั้ง ๕๐ คน ผมก็ต้องแปลกใจ เพราะว่ามีเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งที่ผมรู้จัก เมื่อตอนเช้า ยังไม่เห็นมันในห้อง ส่วนตอนเคารพธงชาติ ผมก็ไม่ได้สังเกต เพิ่งมาสังเกตเห็นตอนนี้เอง

คนที่ผมว่านี้เป็นนักเรียนที่จบ ป.๖ มาจากโรงเรียนเดียวกับผมนั่นเอง เมื่อตอนชั้น ป.๖ มันอยู่ห้องท้ายๆ ซึ่งอยู่อีกปีกหนึ่งของตึก และเป็นเด็กไปกลับ ดังที่ผมเคยเล่าเอาไว้แล้วว่า ที่โรงเรียนเก่าของผมนั้นใช้ระบบห้องเรียนตายตัว ใครเรียนห้องไหนก็เรียนห้องนั้นไปตลอด ดังนั้นนักเรียนส่วนใหญ่จะรู้จักกันก็แต่เพื่อนในห้อง และเพื่อนที่อยู่ห้องใกล้ๆกัน ถ้าอยู่ห้องห่างกันออกไปก็จะไม่รู้จักชื่อกันแล้ว

เท่าที่ผมรู้มา มีแต่ผมกับไอ้นัยเท่านั้นที่สอบเข้ามาได้ แสดงว่าข้อมูลที่ผมรับรู้มานั้นยังคลาดเคลื่อนอยู่ กับไอ้คนนี้ ผมก็ไม่รู้จักชื่อมัน ไม่เคยคุยกันด้วย แค่เคยเห็นหน้าและจำได้ว่าอยู่ชั้นเดียวกันเท่านั้นเอง แต่เมื่อมาเจอกันที่นี่ จะอย่างไรก็อดรู้สึกดีไม่ได้ มันเป็นความรู้สึกดีๆของศิษย์ร่วมสถาบันเดียวกัน แต่ใครจะรู้ล่ะว่า ชีวิตของผมต้องหักเหก็เพราะมันนี่แหละ

อาจารย์ให้พวกเราจัดที่นั่งกันใหม่ เพราะว่าที่นั่งที่พวกนักเรียนจับจองกันตามอัธยาศัยนั้นดูไม่ค่อยเหมาะสม

“พ่อหนุ่ม ตัวสูงเชียว นั่งข้างหน้าแล้วไม่สวย มีปัญหาสายตาหรือเปล่าจ๊ะ ถ้าไม่มีย้ายไปข้างหลังดีกว่านะ” อาจารย์พูดกับผมที่นั่งอยู่ที่ริมหน้าต่าง เรียกผมว่าพ่อหนุ่มเสียด้วย

“สายตาไม่มีปัญหาครับ” ผมตอบ

“งั้น โน่น... ไปนั่งข้างหลังดีกว่านะ เอ้า หนุ่มคนนั้นน่ะ ตัวนิดเดียวก็ไปนั่งข้างหลัง นั่งเข้าไปได้ยังไง เพื่อนบังกระดานดำหมด มานั่งข้างหน้าดีกว่า” อาจารย์พูดอย่างอารมณ์ดี ว่าแล้วก็จับเด็กคนหนึ่งมานั่งแทนผม ส่วนตัวผมนั้นก็ถูกส่งไปนั่งหลังสุดของห้อง

ณ ที่นั่งตำแหน่งใหม่ ผมพบว่าเพื่อนที่นั่งติดกับผมเป็นนักเรียนที่มีหน้าตาไร้ความรู้สึก ชื่อวิชัย เห็นหน้าตายของวิชัยแล้วอดนึกถึงไอ้นัยไม่ได้ ไอ้นัยนั้นก็ชอบตีหน้าตาย แต่ว่าออกไปทางยิ้มแย้ม แต่หน้าตายแบบวิชัยนั้นดูเหมือนคนไร้อารมณ์ ไม่รู้สึกยินดียินร้ายกับโลกภายนอกแม้แต่น้อย ใบหน้าของวิชัยเป็นใบหน้าของลูกจีนขนานแท้ หัวหลิม จมูกใหญ่ อย่างที่เรียกว่าจมูกสิงโต ส่วนรูปร่างนั้นเตี้ยกว่าผมหน่อย

“ทำไมหน้ามันไร้อารมณ์ได้ขนาดนั้นวะ” ผมนึกในใจ

วิชัยนั่งติดกับผมทางด้านขวามือ ส่วนเพื่อนทางซ้ายนั้นไม่ได้นั่งติดกัน แต่มีทางเดินคั่น เพื่อนที่นั่งอยู่ข้างซ้ายนี้ชื่อวีกิจ

วีกิจเป็นคนรูปร่างผอมกร้องแกร้ง ผิวคล้ำนิดหน่อย ไม่ถึงกับคล้ำมาก ผมหยิกหยักศก จุดเด่นคือดวงตาที่กลมโต ขนตาที่เรียวยาว ตาหวานมากเลยครับ

“มาเลย มาเลย” วีกิจเอ่ยปากต้อนรับเมื่อผมย้ายมานั่งด้านหลัง น้ำเสียงของมันยานๆ จีบปากจีบคออย่างไรก็ไม่รู้

“โต๊ะเรียนโบราณมากเลย ไม่รู้ลงอักขระเลขยันต์อะไรเอาไว้หรือเปล่า ไม่แน่อาจจะเป็นของขลัง” วีกิจพูดด้วยเสียงอ่อนหวาน พูดจบก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี

อักขระเลขยันต์อะไรของมันวะ ผมงงกับศัพท์แสงที่มันใช้ แต่เมื่อสำรวจดูโต๊ะเรียนโดยละเอียด ก็พบว่าโต๊ะเรียนที่อยู่ในห้องเป็นโต๊ะที่เก่ามากจริงๆ หน้าโต๊ะเป็นไม้แผ่นอย่างหนา มีริ้วรอยและหลุมเล็กหลุมน้อยเต็มไปหมด อันแสดงถึงความเก่าแก่ ขาโต๊ะก็เป็นไม้ท่อนขนาดใหญ่ ส่วนเก้าอี้ก็ทำจากไม้ท่อนและไม้แผ่นอย่างหนาเช่นกัน เมื่อลองขยับโต๊ะและเก้าอี้ดู พบว่ามีน้ำหนักมาก โต๊ะเรียนรุ่นเก่าแบบนี้สมัยนี้คงหาไม่ได้แล้ว ปัจจุบันคงมีแต่โต๊ะโครงเหล็กกับหน้าโต๊ะเป็นไม้อัดปิดทับด้วยโฟไมก้าเท่านั้น


<ลักษณะของห้องเรียนในสมัยที่ผมเรียนมัธยม เป็นห้องเรียนแบบเก่า ด้านหน้าเป็นโต๊ะครูกับกระดานดำ โต๊ะครูนั้นส่วนใหญ่ครูไม่ได้นั่ง เพราะยืนสอนตลอดชั่วโมง เอาไว้วางของมากกว่า ส่วนโต๊ะเก้าอี้ของนักเรียนก็เป็นไม้ที่มีน้ำหนักมาก เพราะใช้ไม้ท่อนและไม้แผ่นอย่างดี>

Friday, July 18, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 13

เช้าวันจันทร์ ผมตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้ตอนตีห้า เมื่อเสียงนาฬิกาดัง ผมรีบลุกขึ้นมาจากที่นอนทันที ปกติผมจะโอ้เอ้เมื่อต้องตื่นเช้าๆเสมอ แต่วันนี้เป็นวันพิเศษ เพราะเป็นการเริ่มเรียนวันแรกในโรงเรียนใหม่ ซึ่งเป็นวันที่ผมเฝ้ารอคอยมาตลอด

ผมรีบอาบน้ำ แต่งตัว โชคดีที่เอ๊ดไม่จำเป็นต้องตื่นเช้าขนาดนี้ ดังนั้นจึงไม่ต้องแย่งห้องน้ำกัน ใช้เวลาเพียง ๔๕ นาที ผมก็อาบน้ำ แต่งตัว และพร้อมที่จะออกจากบ้าน

ผมคว้ากระเป๋านักเรียนซึ่งเป็นกระเป๋าหนังสีดำ ใหม่เอี่ยม ข้างในบรรจุไว้ด้วยหนังสือและสมุดหลายเล่ม ที่จริงก็ไม่รู้หรอกครับว่าวันแรกจะเรียนอะไร หยิบไปมั่วๆยังงั้นเอง แต่คิดว่าวันแรกคงไม่น่ามีการเรียน เป็นเพียงการแนะนำเสียมากกว่า

“ไปละเอ๊ด” ผมบอกเอ๊ดเมื่อจะเดินออกจากห้อง เอ๊ดซึ่งนอนซุกหน้าอยู่ในหมอนเพราะรำคาญแสงไฟ ยกมือโบกไปมา แต่ดูท่าโบกมือแล้วผมไม่แน่ใจว่าเป็นการบ๊ายบาย หรือว่าโบกมือไล่ให้รีบไปกันแน่

เมื่อลงไปชั้นล่าง ผมยกมือไหว้ลาคุณลุง คุณป้า ซึ่งทั้งสองตื่นตั้งนานแล้ว คนมีอายุก็แบบนี้แหละครับ ตื่นแต่เช้า

“คุณลุง คุณป้าครับ ผมไปละครับ” ผมพูด

“ตั้งใจเรียนนะลูก” ป้าพูดอย่างปรานี แล้วก็ไม่วายกำชับ “เลิกเรียนแล้วรีบกลับบ้านล่ะ อย่าไปไถลที่ไหน มาให้ทันกินข้าวเย็นนะลูก”

ธรรมเนียมการกินอาหารเย็นของที่บ้านนี้ก็คือ ทุกคนจะร่วมโต๊ะกินอาหารเย็นพร้อมกันในเวลาประมาณ ๑๘.๓๐ น. ถ้าใครกลับมาช้าก็จะรอกัน เหตุผลก็คือ คุณลุง คุณป้าอยากให้กินข้าวเย็นพร้อมหน้ากัน พูดแล้วก็เหมือนกำปั้นทุบดิน แต่ว่าก็เป็นแบบนั้นจริงๆ คือเป็นเหมือนธรรมเนียมในครอบครัว ไม่ต้องมีเหตุผลใดๆ เรื่องธรรมเนียมเป็นสาเหตุหลัก ส่วนสาเหตุประกอบก็คือ คุณป้าอยากให้เรากินอาหารทั้งที่ยังร้อนๆ ถ้าใครกลับช้า กินอาหารที่เย็นชืดแล้วจะไม่ดี ครั้นจะเอาอาหารไปอุ่นก็วุ่นวาย กลับมาตรงเวลานั่นแหละดีที่สุด

เรื่องธรรมเนียมการกินอาหารนั้นต่างจากบ้านที่ทำค้าขาย เพราะคนทำการค้ามักต่างคนต่างกิน เพราะเวลาว่างไม่ตรงกัน ใครว่างก็ไปกิน คนหนึ่งกิน อีกคนก็สลับมาเฝ้าหน้าร้าน โอกาสที่จะได้กินอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากันจะค่อนข้างน้อย

๕.๔๕ น. ฟ้าสางแล้ว ผมรีบเดินจ้ำออกจากบ้าน เพราะกลัวว่าจะขึ้นรถตอนหกโมงเช้าไม่ทัน แล้วจะไปโรงเรียนสาย

เมื่อถึงปากซอย ผมเดินข้ามถนนไปยังท่ารถเมล์สาย ๘ ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ที่นั่นเอง ผมเห็นไอ้นัยยืนหิ้วกระเป๋ารออยู่ตรงหน้าโรงรับจำนำ เสื้อขาวกางเกงดำรัดรูปของมัน ผมว่าดูดีกว่าตอนมันใส่เสื้อขาวกางเกงน้ำเงินเยอะทีเดียว

“มารอนานแล้วเหรอ” ผมทักมัน พร้อมเอามือตบหัวมันเบาๆ

“ไอ้เวร” ไอ้นัยด่า “เดี๋ยว...”

“กูรู้ๆ” ผมรีบพูดแทรก “เดี๋ยวมึงเยี่ยวรดที่นอน”

“รู้แล้วยังเสือกทำอีก” ไอ้นัยบ่นอุบอิบ แต่มันไม่ได้โกรธจริงหรอกครับ ถ้าโกรธก็คงโกรธไปนานแล้ว และอีกอย่าง ยังไม่เคยปรากฏว่ามันเยี่ยวรดที่นอนสักที

“กูมารอมึงตั้งแต่ตีห้าครึ่ง ยังไม่สว่างเลย ยุงเยอะชิบหาย” ไอ้นัยพูดต่อ พร้อมกับทำหน้าน่าสงสาร

“ทำไมมาเช้าจังวะ” ผมงง “ก็นัดกันหกโมง”

“ก็วันแรก กูกะเวลาไม่ถูก กลัวมาไม่ทันน่ะดิ” ไอ้นัยบอก “รีบขึ้นรถเถอะ มัวแต่คุยเลยไม่ได้ไปโรงเรียนสักที”

ว่าแล้วไอ้นัยก็ฉุดผมขึ้นไปนั่งรอบนรถเมล์คันที่จอดอยู่หน้าสุด บนนั้นมีคนนั่งรออยู่แล้วพอสมควร ผมกับไอ้นัยนั่งด้วยกัน โดยผมนั่งตรงที่นั่งริมหน้าต่างเพราะอยากดูวิว

“กูขอนั่งริมหน้าต่างนะ” ผมบอกไอ้นัย

และหลังจากนั้นมา ก็เลยกลายเป็นที่รู้กัน ไอ้นัยมักจะให้ผมนั่งที่ริมหน้าต่างเสมอ

หลังจากนั่งรอได้ไม่นาน รถเมล์ก็เต็มไปด้วยผู้โดยสาร ส่วนใหญ่ก็ออกมาจากซอยภาวนาและซอยแถวนั้นนั่นเอง และหลังจากที่รถออกจากท่าและวิ่งไปถึงปากทางลาดพร้าว รถเมล์ก็แน่นจนถึงกับต้องห้อยโหนกันที่ประตูรถ

เราสองคนนั่งคุยกันไปตลอดทาง กับไอ้นัย ดูเหมือนว่าผมจะมีเรื่องคุยกับมันได้ไม่มีวันหมด การจราจรในเช้าวันแรกของการเปิดภาคเรียนค่อนข้างแออัด กว่าเราจะไปถึงสะพานพุทธได้ก็ประมาณ ๗.๓๐ น.

อากาศยามเช้าถึงจะดีกว่าวันก่อนตอนที่เราทดลองนั่งรถเมล์ แต่ถึงอย่างไรก็ยังร้อนและเต็มไปด้วยควัน

เราสองคนลงจากรถ ไอ้นัยหยิบผ้าเช็ดหน้ามาถูที่ใบหน้า ปรากฏว่าผ้าเช็ดหน้ามีรอยดำจางๆ

“แย่วุ้ย” ไอ้นัยบ่น “นั่งรมควันจนหน้าดำ สิวขึ้นแน่เลย”

ผมเช็ดหน้าของผมดูบ้าง หน้าก็ดำเพราะควันและเขม่าเหมือนกัน ผมเพิ่งสังเกตในตอนนี้เองว่าไอ้นัยเริ่มพัฒนานิสัยรักสวยรักงาม รวมทั้งการแต่งตัว ตอนนี้มันเป็นวัยรุ่น ไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว เรื่องนี้มันล้ำหน้าไปกว่าผม เพราะผมไม่ค่อยได้สนใจเท่าไรนัก

“หน้ามึงมีสิวนิดเดียวเอง จะห่วงไปทำไมวะ” ผมถาม เพราะหน้าของมันตอนนั้นมีสิวเพียงเม็ดสองเม็ดเท่านั้น รวมกับรอยสิวที่เกิดขึ้นตอนชั้น ป.๖ อีกนิดหน่อย ก็เท่านั้นเอง

“ไม่ได้ดิ เดี๋ยวไม่หล่อ อ้อ แต่ที่จริงมีสิวนิดหน่อยก็ดูเท่ดีนะ” ไอ้นัยพูดยิ้มๆ ท่าทางดูภูมิใจกับใบหน้าของตนเอง

“อ้วก” ผมบอก “หล่อตายห่าละ”

ผมพูดขัดคอมันไปยังงั้นเอง ที่จริงไอ้นัยหล่อและดูดีเสมอในสายตาของผม

เราเดินลอดใต้สะพานพุทธ ผ่านไปทางลานกว้างหน้าสะพาน ที่ลานหน้าสะพาน มีนักเรียนทั้งหญิงและชายจากโรงเรียนต่างๆหลายสิบคน ต่างก็กำลังเดินไปยังโรงเรียนของตนเอง ก็อย่างที่ผมบอก ในย่านนั้นมีโรงเรียนอยู่หลายแห่ง

จากลานกว้าง เราเดินไปเรื่อยๆ จากนั้นก็ข้ามถนนแล้วเดินต่อไปอีก มีนักเรียนโรงเรียนเดียวกับเราเดินร่วมทางกันมาอีกหลายคน สักพักใหญ่ก็มาถึงประตูโรงเรียน ที่หน้าประตูโรงเรียน มีครูยืนรอต้อนรับอยู่ ซึ่งต่างจากที่โรงเรียนเก่าของเรา เพราะที่นั่น คนที่ยืนอยู่หน้าประตูคือ รปภ.

นักเรียนยกมือไหว้เพื่อสวัสดีครู

“สวัสดีจ้ะ เชิญเข้าข้างในเลย” ครูหญิงวัยกลางรับไหว้นักเรียนทุกคนอย่างอารมณ์ดี

อาคารเรียนของเราไม่ใช่ตึกเดียวกับที่ลงทะเบียนเรียนเมื่อวันก่อน แต่เราก็รู้ตำแหน่งแล้ว เพราะได้รับการอธิบายมาตั้งแต่วันลงทะเบียนแล้ว อาคารที่ผมกับไอ้นัยเรียนแม้เป็นคนละอาคารกัน แต่ก็อยู่ติดกัน และมีทางเดินเชื่อมถึงกัน

อาคารเรียนของเราทั้งสองเป็นอาคารรุ่นเก่า ถ้าจะบอกว่ารุ่นโบราณก็คงไม่ผิด อาคารที่ผมเรียนนั้นสร้างมาก่อน พ.ศ. ๒๕๐๐ เสียอีก ส่วนตึกของไอ้นัยที่อยู่ติดกันนั้นดูจะเก่าแก่ยิ่งกว่า แต่สภาพยังดูดีอยู่

อาคารที่ผมเรียน ด้านหนึ่งเป็นหอประชุม ส่วนอีกด้านหนึ่งใช้เป็นอาคารเรียน มีห้องเรียนทั้งหมด ๖ ห้อง คือ ห้อง ม. ๑/๑ ถึง ๑/๖ แบ่งเป็นชั้นล่าง ๓ ห้อง ชั้นบน ๓ ห้อง แล้วก็มีห้องกิจกรรมอีกสองสามห้อง ส่วนห้องเรียนตั้งแต่ ม. ๑/๗ เป็นต้นไป ก็จะอยู่บนชั้นสองของอาคารติดกัน

ผมเรียนห้อง ๑/๒ จึงอยู่ชั้นล่างของอาคารหอประชุม

อาคารนี้เป็นอาคารทรงโรมัน ตัวอาคารใช้การก่ออิฐโบกปูน แต่มีส่วนประกอบของไม้อยู่มาก อย่างพื้นก็เป็นไม้กระดานชิ้นใหญ่ ประตูห้องเรียนก็เป็นประตูไม้เนื้อแข็งบานเบ้อเริ่ม เหมือนประตูอุโบสถ หน้าต่างก็หน้าต่างไม้เนื้อแข็งบานใหญ่ เวลาจะเปิดหน้าต่างต้องเอาขอโลหะสับเอาไว้ด้วย เพื่อกันลมตี ทุกอย่างดูเป็นของเก่าแก่ไปหมด ต่างจากโรงเรียนเก่าของผมอย่างลิบลับ ที่นั่นเป็นอาคารเรียนคอนกรีต ประตูไม้อัด หน้าต่างก็เป็นไม้เนื้อแข็งผสมไม้อัด


<รถเมล์ที่วิ่งบนถนนลาดพร้าว ในตอนที่ผมเรียนมัธยม เป็นรถปรับอากาศหรือว่า ปอ. เพียงไม่กี่สาย ที่จำได้ก็มี รถ ปอ.๒ ที่วิ่งระหว่างบางกะปิ สีลม ส่วนรถที่วิ่งจากลาดพร้าวไปสะพานพุทธนั้นไม่มีรถ ปอ. เลย ดังนั้นจึงต้องทนนั่งรถร้อนดมควันไปตลอดเวลาที่เรียน>

Sunday, July 13, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 12

วันเสาร์ก่อนเปิดปีการศึกษาใหม่วันนั้นเป็นวันที่น่าเบื่อมาก ผมต้องช่วยเอ๊ดทำงานบ้านเกือบทั้งวัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยทำมาก่อน คืองานบ้านเล็กๆน้อยๆตอนอยู่ที่บ้านต่างจังหวัดก็เคยทำละครับ แต่ว่าไม่เคยทำมากมายขนาดนี้

ผมกับเอ๊ดต้องช่วยกันถูบ้านทั้งหลัง โดยแบ่งกันไปคนละชั้น เอ๊ดถูพื้นชั้นล่าง ผมถูชั้นบน การถูบ้านนั้นเราไม่ได้ใช้ที่ถูพื้น แต่ใช้มือ คือคุกเข่ากับพื้นแล้วเอามือจับผ้าถูพื้นเอา ที่ไม่ใช้เครื่องทุ่นแรงเพราะว่าคุณป้าบอกว่ามันไม่สะอาด สู้ใช้มือกับผ้าไม่ได้

ที่จริงบ้านนี้แม้มีบริเวณบ้านค่อนข้างกว้างขวาง แต่ว่าตัวบ้านก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมากมายนัก เป็นขนาด ๓ ห้องนอน ๓ ห้องน้ำ ห้องนอนห้องหนึ่งถูกดัดแปลงกลายเป็นห้องพระ แต่ละห้องก็มีขนาดพอประมาณ ไม่ใหญ่มาก ดังนั้นงานถูบ้านจะว่ามากก็ไม่มาก แต่คงเป็นเพราะผมยังไม่คุ้นเคยมากกว่า

การถูบ้านนั้นก็ต้องมีขั้นตอน จะถูเลยก็ไม่ได้ ต้องกวาดบ้านเสียก่อน บ้านนี้ไม่มีเครื่องดูดฝุ่นใช้ครับ ใช้ไม้กวาด หลังจากนั้นก็ต้องเอาผ้าชุบน้ำแล้วบิดหมาดๆ มาเช็ดฝุ่นตามเครื่องเรือนและข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ตอนเช็ดฝุ่นนี่แหละครับที่กินเวลา ผมเช็ดจนเซ็ง เพราะเป็นงานที่ละเอียด ต้องค่อยๆทำ ยิ่งโต๊ะกินข้าวที่บ้านนี้เป็นไม่แกะสลักด้วย ทั้งโต๊ะและเก้าอี้จึงมีแต่ร่องและซอกมุมต่างๆ เช็ดยากมาก ผมเช็ดไปก็อู้ไปเพราะว่าเบื่อ

“อู ทำไมเช็ดนานนักวะ เก้าอี้ตัวหนึ่งเช็ดตั้งชั่วโมง” เอ๊ดบ่น

“ก็เบื่ออะ” ผมบอกตรงๆ แต่พูดเบาๆ เพราะกลัวใครจะได้ยินเข้า “เช็ดตัวละชั่วโมง กว่าจะครบ ๖ ตัวก็ตกเย็น กินข้าวเย็นพอดี”

“โธ่เอ๊ย ทำงานบ้านวันแรกก็บ่นซะแล้ว ยังงี้จะไปรอดเรอะ” เอ๊ดพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

ผมไม่ชอบน้ำเสียงแบบนั้นเลย แต่มันก็เป็นความจริง แค่วันแรกผมก็รู้สึกไม่อยากทำเสียแล้ว แล้วต่อไปจะอยู่ในบ้านนี้ได้อย่างไร

สภาพความจำเป็นบังคับให้ผมต้องแข็งใจทำต่อไป เบื่อก็เบื่อ แต่ว่าพอทำไปนานๆเข้า ผมก็รู้สึกชินกับมันขึ้นบ้าง และพบเคล็ดลับว่า ทำไปเรื่อยๆ อย่าไปคิดมาก อย่าไปเร่งให้มันเสร็จ ถ้ายิ่งจดจ่อกับมัน จะยิ่งรู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้าและน่าเบื่อ แต่ถ้าพยายามไม่คิดอะไร เวลาก็จะผ่านไปได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ติดตัวมาจนโตก็คือ ผมมีนิสัยไม่ชอบใช้เครื่องเรือนที่มีซอกมุมมากๆ เช่น พวกเครื่องแกะสลักทั้งหลาย ผมชอบเรียบๆ คือพวกเครื่องแกะสลักนั้นชอบดู แต่ไม่ซื้อเอาไว้ใช้ คงเป็นเพราะเข็ดขยาดกับการเช็ดฝุ่นตั้งแต่สมัยเด็กนั่นเอง

หลังจากเช็ดฝุ่น ถูบ้าน เสร็จ เราก็ไปกวาดใบ้ไม้และตัดกิ่งไม้ในสวนเป็นรายการต่อไป

“ถูบ้านจนเข่าด้านหมดเลย ดูดิ” ผมกวาดใบไม้ไป พลางบ่นอุบอิบ

“ขี้บ่นจริง” เอ๊ดพูด “ถูแป๊บเดียว เข่ายังไม่ทันด้านหรอก ถูสักปีค่อยว่าไปอย่าง”

นอกจากกวาดใบไม้แล้ว ยังยังต้องเปลี่ยนน้ำในบ่อปลาเล็กๆในสวนด้วย ปลาในบ่อนี้มีแต่ปลาหางนกยูง น้ำในบ่อปลานี้ไม่ต้องเปลี่ยนบ่อย เดือนละครั้งเท่านั้น คุณลุงบอกว่าเลี้ยงเอาไว้กินลูกน้ำยุง แต่ผมไม่เห็นด้วยอยู่ในใจ ถ้าจะเลี้ยงให้กินลูกน้ำยุง สู้อย่าทำบ่อปลาดีกว่า จะได้ไม่มีน้ำให้ยุงมาไข่

เมื่อเสร็จงานในบ้าน และงานในสวนแล้ว ก็เป็นอันว่าเสร็จสิ้นภารกิจประจำสัปดาห์ กว่าจะเสร็จก็บ่าย ที่จริงสัปดาห์นี้ยังดี หลังจากนี้ไป ยังมีงานซักผ้าและรีดผ้าเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย แต่สัปดาห์นี้ยังไม่มีเนื่องจากเราเพิ่งเดินทางมาถึง เสื้อผ้ายังไม่ได้ถูกใช้ไป จึงยังไม่มีอะไรให้ซักรีด

ทำงานบ้านจนเหงื่อไหลไคลย้อย ที่จริงก็ไม่เหนื่อยหรอกครับ เพราะไม่ใช่งานหนักอะไร แต่อากาศร้อน หลังจากอาบน้ำแต่งตัวแล้ว ผมก็รู้สึกเคว้ง เพราะไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี เอ๊ดไปนั่งดูโทรทัศน์กับคุณลุง คุณป้า ส่วนผมนั้นยังไม่คุ้นกับเจ้าของบ้านทั้งสองท่านนี้นัก และรู้สึกเกร็งๆเมื่ออยู่ใกล้ จึงยังไม่อยากไปนั่งดูทีวีด้วย

“จะทำอะไรดีหว่า” ผมนึกในใจ

แล้วผมก็ได้คำตอบ นั่นคือ โทรศัพท์ไปคุยกับไอ้นัยดีกว่า

จะใช้โทรศัพท์ที่บ้านก็เกรงใจเจ้าของบ้าน ผมจึงเดินออกจากบ้านไปเพื่อไปโทรศัพท์ที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะซึ่งอยู่ห่างจากบ้านไปประมาณหนึ่งร้อยเมตร

ผมกดเบอร์โทรศัพท์บ้านไอ้นัยอย่างคุ้นเคย

“ฮัลโหล” เสียงแตกๆของเด็กวัยรุ่นรับสาย เดี๋ยวนี้เสียงไอ้นัยไม่ใสน่ารักเหมือนแต่ก่อนแล้ว กลายเป็นเสียงแตกและทุ้มขึ้น แบบเด็กวัยรุ่น

“ไอ้นัย กูเอง” ผมทักมัน

“บ้านใหม่เป็นไงบ้าง” ไอ้นัยทัก

“เซ็งฉิบหาย” ผมอดบ่นไม่ได้ ว่าแล้วก็เล่าภารกิจที่ทำไปทั้งหมดให้มันฟัง แต่ไม่ได้เล่าเรื่องที่ผมโดนเทศน์เพราะพาไอ้นัยมาที่บ้าน เพราะไม่อยากให้มันรู้สึกไม่ดี

“ฮุฮุ แค่นี้ทำบ่น ไอ้ที่มึงเล่ามาเนี่ย กูก็ทำเป็นประจำ” ไอ้นัยคุยทับ “เด็กน้อยผิวบาง ไม่เคยทำงาน”

“ไอ้เปรต นึกว่ามึงจะเห็นใจกู ดันมาคุยข่มอีก” ผมด่ามัน

“ก็จริงนี่หว่า ทำงานนิดหน่อยบ่นไปได้ ยังงี้อีกหน่อยจะไปทำอะไรกิน” ไอ้นัยสั่งสอน

“โห มึงพูดเหมือนพี่กูเลยว่ะ ทราบแล้วครับพี่” ผมประชดมัน แต่ในใจก็รู้สึกขำ ที่มันพยายามทำตัวเป็นผู้ใหญ่

“เออ จำไว้นะน้อง” ไอ้นัยรับมุข ว่าแล้วก็หัวเราะฮุฮุอีก

หลังจากที่ได้คุยกับไอ้นัย ผมรู้สึกดีขึ้นมาก น่าแปลกที่เอ๊ดก็พูดกับผมทำนองนี้ แต่ผมฟังแล้วรู้สึกขวางหูอย่างไรก็ไม่รู้ แต่พอไอ้นัยพูด ผมกลับรู้สึกเหมือนได้รับการปลอบใจ

“วันจันทร์มึงจะไปโรงเรียนยังไงวะ” ผมถาม

“ก็นั่งรถเมล์ไปดิ” ไอ้นัยตอบกวน

“กูรู้แล้ว ไอ้เปรต” ผมด่ามันอีก

เนื่องจากบ้านของไอ้นัยอยู่เลยบ้านผมไปอีก ดังนั้นมันต้องนั่งรถจากบ้านมันเพื่อมาขึ้นรถเมล์สาย ๘ ที่ต้นทางปากซอยบ้านผม เราจึงนัดกันว่าจะเจอกันที่ท่ารถ เวลา ๖ น. และนั่งรถเมล์ไปเรียนด้วยกัน ที่จริงผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าควรออกจากบ้านเวลาไหน แต่คุณอาไอ้นัยเป็นคนแนะนำว่า ควรเดินทางตั้งแต่ ๖ โมงเช้า ไม่อย่างนั้นรถจะติดมากและอาจไปสายได้ โรงเรียนเข้าตอน ๘ โมงเช้า

คุยกับไอ้นัยอยู่นานพอสมควร หมดเงินไปหลายบาท จากนั้นผมก็กลับเข้าบ้านมา ในที่สุดผมก็นึกได้ว่าควรทำอะไรดี ... อ่านหนังสือ

ผมตรงไปที่ห้องนอน แกะลังใส่หนังสือออก จากบ้านมาคราวนี้ผมเอาหนังสือเล่มโปรดติดมาด้วยหลายเล่ม ใส่มาในลังเล็กๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นการ์ตูนพวกโอราเอมอน แล้วก็เป็นการ์ตูนฝรั่งของพวก ดีซี คอมิกส์ เช่น ซูเปอร์แมน สไปเดอร์แมน ไอออนแมน แล้วก็พวกการ์ตูนวอลต์ ดิสนีย์ ผมไม่ค่อยติดการ์ตูนญี่ปุ่นเท่าไร ติดการ์ตูนฝรั่งมากกว่า การ์ตูนที่ว่ามานี้แปลเป็นภาษาไทยแล้ว

ผมนั่งอ่านหนังสือการ์ตูนไปเรื่อย อากาศก็ค่อนข้างร้อน ผมรู้สึกว่าวันเวลาผ่านไปอย่างน่าเบื่อหน่าย

ผมอ่านหนังสือจนเย็น ตกค่ำก็เบื่อจนอ่านไม่ไหว หลังจากกินอาหารเย็นแล้วจึงเข้าไปนั่งดูโทรทัศน์บ้าง คุณลุงคุณป้าก็ชวนคุยโน่นคุยนี่ บรรยากาศชักเริ่มคล้ายกับบรรยากาศของครอบครัวขึ้นมาหน่อย ผมเริ่มมีกำลังใจขึ้น พร้อมทั้งคิดว่าต่อไปอะไรๆคงจะดีขึ้นเรื่อยๆ

ในที่สุด วันหนึ่งในบ้านใหม่ของผมก็ผ่านไป ...

- - -

วันรุ่งขึ้น เช้าวันอาทิตย์ เป็นวันจ่ายตลาด คุณป้าจะไปจ่ายตลาด ผมถูกเอ๊ดปลุกแต่เช้าเพื่อให้ตามไปจ่ายตลาดด้วย พูดให้ถูกก็คือไปช่วยหิ้วของนั่นเอง

เราเดินจากบ้านเพื่อไปจ่ายตลาด ตลาดที่คุณป้าไปจับจ่ายซื้อของก็คือตลาดสะพาน ๒ ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ปัจจุบันก็ยังมีอยู่ เป็นตลาดสดขนาดใหญ่ ใช้เวลาเดินประมาณ ๑๐-๑๕ นาทีก็ถึง ถ้าเลยตลาดสะพานสองนี้ไปอีกก็จะเป็นตลาดโชคชัยสี่ ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่กว่าตลาดสะพานสองอีก แต่ว่าต้องนั่งรถไป คุณป้าจึงชอบที่จะเดินไปจ่ายตลาดที่ตลาดสะพานสองมากกว่า เพราะได้เดินออกกำลังด้วย

ที่ตลาด คุณป้าเลือกซื้อหมู ปลา ผัก พร้อมทั้งสอนให้เราเลือกซื้อของไปด้วย เช่น ปลาสดหรือไม่ต้องดูอย่างไร ฯลฯ เมื่อคุณป้าซื้อเสร็จ เราสองคนก็เป็นคนหิ้ว กว่าจะซื้อครบทุกอย่าง เราสองคนก็หิ้วของพะรุงพะรัง

วันอาทิตย์นั้นก็ผ่านไปอย่างน่าเบื่ออีกวัน ผมเซ็งแทบแย่ แต่ดูเอ๊ดไม่รู้สึกอะไร คงใช้ชีวิตอย่างสบายๆ คงเป็นเพราะความคุ้นเคยกับบ้านนั่นเอง

ตกกลางคืน ผมกับเอ๊ดรีบเข้านอน เพราะว่ารุ่งขึ้นต้องตื่นแต่เช้า แต่ผมกลับนอนไม่หลับ เพราะความตื่นเต้น นอนพลิกไปพลิกมา ใจก็คิดไปเรื่อยเปื่อยว่าชีวิตในวันรุ่งขึ้นจะเป็นอย่างไรบ้าง โรงเรียนใหม่ ครูใหม่ เพื่อนใหม่ ฯลฯ

แล้วผมก็ผล็อยหลับไป...


<รถเมล์สาย ๘ ในช่วงที่ผมเรียนมัธยม หน้าตาแบบนี้แหละครับ รถทรงสี่เหลี่ยม สีขาวคาดน้ำเงิน หน้าต่างใหญ่ รถรุ่นนี้ปัจจุบันไม่เห็นแล้ว>

Thursday, July 3, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 11

เมื่อเราร่ำลำคุณลุง คุณป้า และเดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัด ขณะที่อยู่ในรถ ผมนั่งเงียบด้วยความโกรธเคืองกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จนเอ๊ดรู้สึกผิดสังเกต

“อู เป็นไรไปน่ะ เงียบเชียว”

ผมใช้ความเงียบแทนคำตอบ สายตามองออกไปนอกหน้าต่างรถ

“อ้าว ไม่บอกก็ตามใจ” เอ๊ดพูด

ตอนแรกว่าจะเงียบ ไม่อยากพูดอะไร แต่ในที่สุดผมก็อดรนทนไม่ได้

“ก็ไม่รู้จะพูดอะไรนี่ เซ็ง... แค่พาไอ้นัยแวะไปดูที่บ้านหน่อยเดียวก็โดนดุซะแล้ว” ผมบ่น

“นึกแล้วว่าต้องเรื่องนี้ ก็บอกแล้วไงว่าอยู่ที่นี่อูต้องพยายามปรับตัวเยอะ” เสียงพ่อแทรกเข้ามา

“ป๋าก็ไม่เห็นจะช่วยอูพูดเลย ยังช่วยดุอีก แค่พาเพื่อนมาไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่” ผมโวยวาย

“นี่ไม่ใช่บ้านเรานะอู” แม่ช่วยพูดขึ้นมาบ้าง “ป๋าพูดเข้าข้างอูตอนนั้นไม่ได้หรอก อูอยากอยู่ที่นี่เองนี่ ป๋าก็ช่วยให้อยู่แล้วไง อูจะเอาให้ได้อย่างใจทุกเรื่องไม่ได้นะ”

โดนไม้นี้เข้าผมเลยอึ้ง พูดไม่ออก ใช่สินะ ผมเลือกที่จะมาอยู่ที่นี่เอง แม้ว่าจะเป็นการจำใจเลือกก็ตาม

“เอ๊ดทนได้ยังไงเนี่ย อูไม่เข้าใจเลย” ผมบ่นอีก แต่เสียงชักอ่อยลง

“ก็อูอย่าเรื่องมากสิ” เอ๊ดตอบ “คุณลุง คุณป้าอยากให้ทำอะไรก็ทำๆเข้า แค่นี้ก็อยู่ได้แล้ว”

แต่ไหนแต่ไรมาผมไม่เคยสังเกต แต่ตอนนี้ผมชักเริ่มเห็นแล้วว่านิสัยของผมกับเอ๊ดช่างต่างกันมาก เอ๊ดยอมรับอะไรได้ง่ายกว่า ปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดีกว่า พูดง่ายๆก็คือหัวอ่อนกว่าผมเยอะ แต่ยังไม่ถึงขนาดเป็นดินน้ำมันเหมือนกับไอ้นัย

“เฮ้อ เซ็ง” ผมถอนหายใจด้วยความอึดอัด “นี่ต้องทนอยู่ไปจนจบ ม.๖ เลยเหรอเนี่ย”

“เฮอะ ๆ ๆ” เอ๊ดทำเสียงแค่นหัวเราะ “ยังมีอะไรให้เจออีกเยอะ จะอยู่นี่ได้จนจบ ม.๓ หรือเปล่าเถอะ อย่าเพิ่งคิดไปถึง ม.๖ เลย”

“อ้าว ไหงมาแช่งกันแบบนี้ล่ะ” ผมทำเสียงไม่พอใจ อารมณ์ที่กำลังขุ่นมัวทำให้เห็นอะไรขวางตาไปหมด

“เอ๊ด อย่าไปแหย่อูสิ” พ่อหันมาปรามทั้งที่กำลังขับรถอยู่

“ไม่ได้แหย่หรอกป๋า เอ๊ดพูดจริงๆ นิสัยอย่างอูเผลอๆอูจะทำให้เอ๊ดอยู่ไม่ได้ด้วยน่ะสิ” เอ๊ดพูดโพล่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจที่ไม่แพ้กัน

ในเวลานั้นเอง ผมรู้สึกเหมือนกับว่าผมเป็นตัวซวยหรือตัวน่ารังเกียจอะไรสักตัวสำหรับเอ๊ด

“นิสัยอูมันเลวยังไงเหรอ” ผมพูดเสียงเครือ “นี่เอ๊ดรังเกียจอูขนาดนี้เลยเหรอ”

“โฮ้ย ไปกันใหญ่แล้ว” แม่พูดขึ้นมาบ้าง “อยู่ดีๆก็มาทะเลาะกันไม่เป็นเรื่อง แล้วเอ๊ดวันนี้เป็นอะไรไป ทำไมว่าน้องเสียขนาดนั้น”

หลังจากนั้น เราก็ทะเลาะกันในรถนัวไปหมด อารมณ์ในช่วงหลังนั้นผมไม่ได้โกรธเคืองคุณลุงกับคุณป้าแล้ว แต่น้อยใจพี่ชายมากกว่า เอ๊ดมักพูดเสมอในระยะหลัง ว่าการที่ผมมาอยู่จะทำให้เอ๊ดเดือดร้อนไปด้วย แม้ว่าพ่อกับแม่จะช่วยกันปราม แต่ก็ไม่ได้ทำให้เรื่องราวระหว่างผมกับเอ๊ดยุติลง เป็นเพียงแค่สงบไปชั่วคราวเท่านั้น

- - -

หลังจากที่เรากลับจากกรุงเทพฯ ผมมีเวลาอยู่ที่บ้านต่างจังหวัดอีกเพียงไม่กี่วัน จากนั้นก็จะต้องเข้ากรุงเทพฯอีกแล้ว ในตอนนั้น โรงเรียนมักเปิดเทอมในราวกลางเดือนพฤษภาคม ประมาณวันที่ ๑๒-๑๗ ใจหนึ่งผมก็รู้สึกตื่นเต้นกับชั้นเรียนใหม่ กับเพื่อนใหม่ๆ และที่สำคัญคือจะได้พบกับไอ้นัยอีก แต่สิ่งที่สร้างความกังวลอยู่ในใจของผมเสมอก็คือ การที่ผมจะต้องเข้าไปอาศัยอยู่ในบ้านคุณลุงคุณป้าอีก

ความหนักใจนี้ผมไม่สามารถระบายกับใครได้ เพราะรู้ตัวดีว่าถ้าบ่นเมื่อไรก็จะมีแต่โดนสมน้ำหน้า โดยเฉพาะกับเอ๊ดนี่ระบายด้วยไม่ได้เลย เป็นต้องทะเลาะกัน

ในสัปดาห์ถัดมา ผมกับเอ๊ดก็กลับมาพักที่บ้านของคุณลุงคุณป้าอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ใช่พักชั่วคราวแล้ว แต่เป็นการพักแบบประจำเลย พ่อพาเรามาส่งในเย็นวันศุกร์ ให้เรามีเวลาเตรียมตัวสองวัน จากนั้นก็จะเปิดเรียนในวันจันทร์

หลังจากที่พ่อกลับไปแล้ว ผมกับเอ๊ดก็ต้องช่วยกันจัดห้อง เราช่วยกันจัดวางโต๊ะทำงานของผมกับเตียง ให้เข้าที่ เมื่อวางโต๊ะกับเตียงเข้าไปอีกชุดหนึ่ง ห้องนอนก็แคบไปอย่างเห็นได้ชัด พอวางตู้เสื้อผ้าขนาดเล็กเข้าไปอีกหลังหนึ่ง ห้องก็เต็มพอดี มีที่ว่างแค่พอเดินไปมาได้เท่านั้น กับมีที่ว่างข้างเตียงอีกหน่อย ขนาดเท่ากับเสื่อสักผืนหนึ่ง

“โห ห้องเบ้อเริ่ม เหลือที่นิดเดียวเอง” เอ๊ดพูดเปรยๆ

“จะโทษอูอีกใช่ไหมล่ะ” ผมดักคอเอ๊ด หมู่นี้ไม่รู้เป็นอะไร รู้สึกว่าเราสองคนเขม่นกันอย่างไรชอบกลอยู่ ผมก็ไม่ค่อยพอใจเอ๊ด และดูเหมือนเอ๊ดก็ไม่ค่อยพอใจผม

“คิดเอาเองดิ” เอ๊ดตอบ น่าแปลกอยู่เหมือนกัน ที่ว่าเอ๊ดอยู่ที่บ้านนี้ได้เพราะความอดทน และใจเย็น แต่กับผมเอ๊ดไม่เห็นเป็นแบบนั้นเลย

- - -

เช้าวันถัดมา

วันนั้นเป็นวันเสาร์ ผมตื่นขึ้นเพราะว่ามีใครมาเขย่าตัว

“อู ตื่นได้แล้ว วันนี้ต้องทำงานบ้าน” เสียงเอ๊ดพูด

เอ๊ดมาปลุกผมตั้งแต่แปดโมงเช้า พร้อมทั้งบอกให้ผมฟังว่าวันนี้ผมต้องทำอะไรบ้าง ผมกับเอ๊ดจะต้องช่วยกันทำงานบ้านทั้งหมด ตั้งแต่กวาดบ้าน ถูบ้าน ปัดฝุ่นและเช็ดฝุ่นตามโต๊ะ เก้าอี้ และเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ นอกจากนี้ ยังมีงานซักผ้า ตากผ้า และรีดผ้า อ้อ ยังมีล้างจาน รดน้ำต้นไม้ เก็บเศษใบไม้กิ่งไม้ในสวนไปทิ้งอีก

อย่างที่เคยบอกเอาไว้ ว่าที่บ้านนี้ไม่ได้จ้างคนทำงานบ้าน ดังนั้นทุกคนในบ้านจึงต้องช่วยกันทำ ในวันธรรมดา คุณลุงกับคุณป้าก็จะช่วยกันดูแลบ้าน ทำงานบ้านไปเรื่อยๆ ส่วนในวันหยุด เป็นวันที่เราสองคนจะต้องช่วยกัน

อันที่จริงงานซักผ้านั้น ในวันธรรมดาจะมีคนแถวบ้านซึ่งมีอาชีพรับจ้างซักรีดเสื้อผ้ามารับเสื้อผ้าไปซักและรีด แล้วนำมาส่งคืนให้ แต่เป็นเฉพาะเสื้อผ้าของคุณลุงคุณป้าเท่านั้น ส่วนของเอ๊ดนั้นปกติต้องซักรีดเอง

เหตุผลที่คุณลุงคุณป้าให้เอ๊ดทำงานบ้าน และซักรีดเสื้อผ้าเองนั้น ก็เพื่อจะฝึกให้มีวินัย มีหน้าที่ รู้จักมีความรับผิดชอบ ซึ่งพ่อกับแม่ก็เห็นดีด้วย เอ๊ดเองก็ไม่ขัดข้อง ดังนั้นจึงถือเสมือนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของบ้านนี้ ดังนั้นเมื่อผมมาอยู่ ผมก็ต้องปฏิบัติเช่นนี้ด้วยเหมือนกัน

“อูมาอยู่ก็ดีเหมือนไปอย่าง งานบ้านของเอ๊ดจะได้เบาขึ้น” เอ๊ดพูด เดี๋ยวกินข้าวแล้วเริ่มกันได้เลย เอ๊ดจะสอนงานให้”

“เพิ่งจะเห็นความดีของอูเหรอ” ผมอดประชดเล็กๆไม่ได้