Sunday, October 24, 2010

ภาคสี่ ตอนที่ 10

ในที่สุดเจตก็หาที่นั่งจนได้โดยมีเพ็ญนั่งอยู่ติดกัน แม้เจตได้ที่นั่งแล้วแต่ก็ยังบ่นเสียงดังต่อไปอีกจนกระทั่งอาจารย์เข้ามาในห้องจึงหยุดโวย

“ตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋เลยไอ้คู่นี้” จิ๊บกระซิบกับแมว เสียงกระซิบนั้นแม้จะแผ่วเบาแต่ผมก็พอได้ยินเนื่องจากนั่งอยู่ติดกัน คำพูดของจิ๊บทำให้ผมรู้สึกแปลกๆขึ้นมาในใจ

- - -

วันพฤหัสบดี กลางเดือนมิถุนายน

ผ่านมาได้สองสัปดาห์นับแต่เปิดภาคเรียน ชีวิตในมหาวิทยาลัยของผมยังไม่เคยเงียบเหงา พวกนักศึกษาใหม่มีกิจกรรมให้ทำมาโดยตลอดทั้งงานราษฎร์และงานหลวง งานราษฎร์หมายถึงกิจกรรมที่รุ่นพี่จัดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการซ้อมเชียร์ การว้าก ส่วนงานหลวงนั้นหมายถึงงานที่ทางคณะหรือทางมหาวิทยาลัยเป็นผู้จัดขึ้น อย่างเช่นงานวันไหว้ครูในวันนี้

กลางเดือนมิถุนายนของทุกปี หลังจากที่เปิดภาคการศึกษาไปแล้วระยะหนึ่ง ทางมหาวิทยาลัยก็จะจัดให้มีพิธีไหว้ครูขึ้นอันเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาอย่างต่อเนื่องโดยมีแต่ละคณะเป็นผู้ดำเนินการ

เช้าวันนั้น ที่ลานหน้าตึกคณบดีคลาคล่ำไปด้วยอาจารย์และนักศึกษา คณาจารย์ในคณะเทคโนโลยีนั่งเรียงรายกันอยู่บนเก้าอี้เป็นแถวยาว เบื้องหน้าของอาจารย์มีนักศึกษาปีหนึ่งทั้งชายและหญิงตั้งแถวอยู่ พร้อมโต๊ะวางพานดอกไม้สำหรับไหว้ครู ส่วนพวกนักศึกษาชั้นปีอื่นๆยืนกระจายกันอยู่โดยไม่ได้ตั้งแถว

“โอ๊ย เหม็นเขียวโว้ย” จิ๊บบ่นขณะที่ยืนอยู่ในแถว

“บ่นอะไรเจ๊ ไม่สบายเหรอ ไปกินยาประสะนอแรดซะไป” เป้าที่ยืนอยู่ติดกันพูดสวนขึ้นทันที

“บ้า แรดอะไรที่ไหน เหม็นเขียวหัวพวกเธอนั่นแหละ” จิ๊บหัวเราะพร้อมทั้งมองไปที่หัวของเป้าซึ่งตัดผมใหม่จนเกรียน

ผมอดลูบเผมของตนเองเองไม่ได้ หลังจากที่เปิดเทอมมาผมมีโอกาสได้ใช้หวีเพียงไม่กี่วันเท่านั้น ในที่สุดก็ต้องกลับไปตัดผมสั้นอีกครั้งหนึ่งเนื่องจากต้องเรียน รด. สาเหตุที่ทางคณะจัดตารางเรียนของชั้นปีหนึ่งโดยเว้นวันพุธบ่ายให้ว่างเอาไว้ไม่มีวิชาเรียนเลยก็เพราะต้องจัดเวลาเอาไว้สำหรับให้นักศึกษาที่สอบเทียบมาไปเรียน รด. นั่นเอง และเมื่อวานก็เป็นการเรียน รด. เป็นวันแรก แม้ยังไม่มีการเรียนอะไรแต่ก็ต้องไปรายงานตัวและมีการตรวจความเรียบร้อยของเครื่องแต่งกายและทรงผม

เมื่อถึงวันเรียน รด. จำนวนนักศึกษาชายที่เป็นเด็กสอบเทียบมาก็ถูกเปิดเผยโดยดูจากทรงผม ปรากฏว่านักศึกษาชายหัวเกรียนหรือทรงนักเรียนแบบเอาหวีรองมีอยู่ถึงค่อนคณะ ยังไม่รู้ว่านักศึกษาหญิงที่สอบเทียบมามีจำนวนเท่าไรเนื่องจากไม่มีอะไรเป็นเครื่องแสดงออก รู้แต่ว่าพวกผู้หญิงบ่นเหม็นเขียวกันตั้งแต่เมื่อวานแล้ว

“เฮ้ย ไอ้อูมันเดือดร้อนนะ จะว่าไอ้เป้าก็นึกถึงไอ้อูมันบ้าง” ชาญหัวเราะ “แต่ไอ้พวกเด็กสอบเทียบนี่มันแย่งที่จริงๆเลย ถ้าไม่มีพวกนี้ป่านนี้เราได้คณะทันตฯไปแล้ว”

“ตกลงนี่จะช่วยหรือจะหลอกด่ากันแน่วะ” ผมถามชาญ

“ก็ช่วยแหละ ช่วยซ้ำเติมไง” ชาญตอบพร้อมกับหัวเราะอารมณ์ดี

กลุ่มของเราห้าคนสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว ในกลุ่มนี้มีผมกับเป้าที่สอบเทียบมา ไอ้เป้านี่มาจากโรงเรียนเอกชนชื่อดัง แม้ว่าท่าทางและการแต่งตัวไม่ได้บ่งบอกว่าเป็นคนฐานะเลยแม้แต่น้อยแต่พวกเรารู้กันดีว่าบ้านของเป้าคงมาฐานะพอสมควรเนื่องจากมันขับรถมาเรียน ในยุคนั้นนักศึกษาที่ขับรถมาเรียนยังมีน้อย ใครขับรถมาเรียนก็มักเป็นจุดเด่น

เก้าโมงเช้า หลังจากที่ยืนกระเซ้าเย้าแหย่กันได้พักใหญ่ พิธีไหว้ครูก็เริ่มขึ้น

“ปาเจรา จริยา โหนติ คุณุตตรา นุสาสกา...” นักศึกษาปีหนึ่งพนมมือ ในมือมีช่อดอกเข็ม ดอกมะเขือ และหญ้าแพรก อันเป็นของไหว้ครูตามประเพณี พร้อมกับร้องบทไหว้ครูในทำนองสรภัญญะตามผู้แทนนักศึกษา

พิธีไหว้ครูเป็นไปอย่างเรียบง่ายแต่น่าประทับใจ ตัวแทนนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งนำพานดอกไม้ไปกราบตัวแทนอาจารย์ จากนั้นนักศึกษาปีหนึ่งที่ตั้งแถวอยู่ก็ทยอยกันไปกราบอาจารย์ที่นั่งเรียงรายกันอยู่ด้วยดอกไม้บูชาครูที่เตรียมไว้แล้วอยู่ในมือ

เพียงชั่วโมงกว่าๆพิธีไหว้ครูก็เสร็จสิ้นลง วันนั้นทั้งวันไม่มีการเรียนการสอน หลังจากที่ไหว้ครูเสร็จพวกนักศึกษาปีหนึ่งก็มักใช้โอกาสนี้กลับไปไหว้ครูที่โรงเรียนเดิมที่ตนจบมา พวกผมก็เช่นกัน

หลังจากเสร็จพิธีไหว้ครู พวกเราที่จบมาจากโรงเรียนเดียวกัน ทั้งรุ่นน้องรุ่นพี่อันหมายถึงทั้งพวกที่สอบเทียบและสอบตามปกติก็มารวมตัวกัน รวมแล้วก็นับสิบคนทีเดียว พวกเรายกให้พี่จุ้ยเป็นหัวหน้ากลุ่มไปโดยปริยาย แต่ละคนก็เตรียมดอกไม้ไหว้ครูไปคนละหลายๆชุด จากนั้นก็เดินทางไปที่โรงเรียนด้วยกัน ผมชวนตี๋ไว้ด้วยเพราะว่าก่อนหน้านั้นผมเจอตี๋ในมหาวิทยาลัย จึงได้บอกถึงเรื่องการนัดหมายพร้อมกับบอกว่าให้กลับไปโรงเรียนด้วยกัน แต่ตี๋บอกว่าหลังจากไหว้ครูที่คณะเสร็จแล้วจะไปเจอกันที่โรงเรียนเลย

- - -

ที่โรงเรียน

พวกเรานั่งรถเมล์สาย ๔๐ โดยขึ้นรถที่หน้ามหาวิทยาลัยและลงจากรถแถววัดตึก จากนั้นก็เดินทะลุวังบูรพา ในตอนนั้นก็ยังไม่มีดิโอลด์สยามพลาซ่า พวกเราเดินไปหยอกล้อกันไปอย่างสนุกสนานเนื่องจากมากันเป็นกลุ่มใหญ่ ไม่นานก็ถึงหน้าประตูโรงเรียน

“น่าเสียดาย ไม่น่าเรียน รด. ตอนนี้เลย” ไอ้กี้บ่นกับผมเมื่อเรายืนอยู่ที่หน้าประตูโรงเรียน

“ทำไมเหรอ” ผมงงกับคำพูดที่ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยของมัน

“ไอ้ฟายเอ๊ย” ไอ้กี้หัวเราะชอบใจที่ผมรับมุขของมันไม่ถูก “ก็ไม่ได้ไว้ผมยาวมาอวดเพื่อนๆไง เป็นนักศึกษาแทนที่จะได้เท่ยังต้องมาตัดผมทรง รด. อีก เฮ้อ... กลุ้ม”

“กูนัดหมอให้มึงแล้วนะ วันเสาร์นี้” ผมบอกมัน

“หมออะไรวะ” ไอ้กี้งง “ นัดหมอที่ไหนกัน”

“นัดหมอให้ผ่าเอาหมาในปากมึงออกมาไง” ผมตอบ ว่าแล้วก็รีบเดินหนีเข้าโรงเรียนไป

เมื่อย่างเท้าเข้าประตูโรงเรียน ภาพแรกที่ผมเห็นก็คืออาคารเรียนยาวเหยียดที่ผมเคยเรียนเมื่อตอนอยู่ชั้น ม.๒ โดยเฉพาะลานหน้าบันไดตึกที่เคยใช้เป็นที่จัดแสดงดนตรีนักเรียน ทันใดนั้นหัวใจของผมก็เหงาวูบขึ้นมา ความรู้สึกร่าเริงหายไปจนหมดสิ้น ในจินตนาการของผมเหมือนกับแลเห็นไอ้นัยในชุดนักเรียนกำลังเล่นกีตาร์อยู่ที่ลานนั้นในงานวันปีใหม่

เพียงไม่กี่เดือนที่ไม่ได้มาที่นี่ ผมรู้สึกว่าโรงเรียนเปลี่ยนแปลงไปมาก ผมพยายามสำรวจดูอย่างละเอียดว่ามีอะไรบ้างที่เปลี่ยนแปลงไปก็พบว่านอกจากอาคารใหม่ที่กำลังก่อสร้างอยู่ที่มีความคืบหน้าไปบ้างแล้ว อย่างอื่นเท่าที่มองเห็นด้วยสายตาก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมจึงรู้สึกเช่นนั้น

นัย... มึงอยู่ที่ไหนนะ... จู่ๆผมก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมา

“อู อู” พี่จุ้ยเขย่าแขนผม “เฮ้ย เป็นอะไร ยืนซึมเชียว เร็วเข้า พวกเราเดินไปกันหมดแล้ว”

“อ้อ ครับพี่” ผมตื่นจากภวังค์ จากนั้นก็เดินตามพี่จุ้ยไป

ตอนนั้นยังอยู่ในเวลาเรียน บริเวณโรงเรียนจึงสงบเงียบ คงมีเพียงเสียงอาจารย์สอนดังลอดออกมาจากห้องต่างๆตามทางเดินที่เราเดินผ่านไป

พวกเราเดินไปที่ตึก ม.๕ และ ม.๖ ก่อนซึ่งเป็นตึกเดียวกัน แต่ละคนต่างก็แยกย้ายกันไปไหว้อาจารย์ประจำชั้นของตนเอง ผมกับไอ้กี้ไปไหว้อาจารย์ด้วยกันเนื่องจากเรียนอยู่ห้องเดียวกัน

เสร็จจากชั้น ม.๕ ก็ไปที่ตึก ม.๔ เพื่อไปไหว้อาจารย์วารี อาจารย์คนหนึ่งที่ผมรู้สึกผูกพันด้วยมากที่สุด ตอนนั้นอาจารย์กำลังสอนอยู่แต่ก็ออกมาคุยกับพวกเรา

“ครูยังนึกถึงอูกับกี้อยู่เสมอ” อาจารย์วารีพูดด้วยความดีใจ “โดยเฉพาะดีใจกับอูที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ตอนที่เธอเรียนกับครูครูยังหนักใจกับผลการเรียนของเธออยู่เลย”

“ผมก็ไม่นึกเหมือนกันครับว่าจะได้เรียนมหาวิทยาลัย ตอนนั้นถ้าไม่ได้อาจารย์ผมอาจจะไม่ได้จบ ม.๖ ด้วยซ้ำ” ผมสารภาพความในใจออกมา

“เธอไม่แย่ถึงขนาดนั้นหรอก ครูดูเธอออก” อาจารย์ปลอบใจ

หลังจากนั้นอาจารย์วารีก็พาเราเข้าไปแนะนำกับพวกน้องๆ พร้อมทั้งบอกให้น้องดูพวกเราเป็นแบบอย่าง ในใจผมอดรู้สึกขมวูบขึ้นมาไม่ได้ แอบบอกกับน้องๆในใจว่าอย่ามาเป็นอย่างพี่เลย ไปเลือกคนอื่นเป็นแบบดีกว่า

ขณะที่อยู่ในชั้น ผมพยายามมองดูนักเรียนในชั้นว่ามีใครบ้าง และหลังจากที่เราลาอาจารย์วารีมาผมก็แกล้งเดินช้าๆผ่านหน้าห้องต่างๆ การใส่ชุดนักศึกษาขาวมาเดินอยู่ในโรงเรียนนี่เป็นจุดเด่นพอสมควร พวกนักเรียนที่อยู่ในห้องมักหันมามองในขณะที่เราเดินผ่านหน้าห้องไป ซึ่งก็เป็นโอกาสให้ผมมองหาใครบางคน...


“เฮ้ย ไอ้อู มึงมองหาใครวะ” เสียงไอ้กี้ถามผมขณะที่เราเดินลงจากตึก ม.๔

“เอ้อ... เปล่า ก็ดูโน่นดูนี่ไปเรื่อยๆ”

“อ้อ...” ไอ้กี้ครางด้วยเสียงครุ่นคิด “จำได้ว่าเมื่อก่อนมึงก็มาเดินลับๆล่อๆที่ตึกนี้ ตอนนี้ก็เดินเหมือนกับหาใคร... หรือมึงมีต้อยอยู่แถวนี้จริงๆวะ”

ผมใจหายวูบ ไอ้กี้รื้อฟื้นเรื่องเก่าๆและปะติดปะต่อเรื่องราวออกมาจนได้ แม้ผมจะพยายามระวังแล้วแต่ก็ยังเผยพิรุธออกมา นี่ถ้ามันเอาไปพูดที่คณะผมคงพังแน่ คงวิจารณ์กันสนุกปาก

ผมเริ่มรู้สึกอึดอัดใจเหมือนกำลังถูกจ้องจับผิด ผมพยายามพูดกลบเกลื่อนพร้อมกับหาโอกาสหนีจากไอ้กี้โดยอ้างว่าจะไปไหว้อาจารย์ชั้น ม. ต้น หากเดินด้วยกันนานไปคงไม่ดีแน่

หลังจากที่ไหว้อาจารย์ประจำชั้นเก่าจนครบทุกชั้นแล้ว ผมก็เดินมาหยุดยืนที่หน้าสหกรณ์ ตอนนั้นเป็นเวลาเรียน สหกรณ์จึงไม่มีคนอยู่ หากสอบถามจากน้องๆในห้องนี้ก็น่าจะพอได้ข้อมูลอะไรมาบ้าง

ผมยืนนิ่งอยู่ที่หน้าห้อง สายตาเหม่อมองดูประตูที่ปิดสนิทอยู่ แม้สายตาจะถูกประตูกางกั้นเอาไว้ แต่หัวใจของผมเสมือนกับส่องเห็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในห้องอย่างชัดเจน... หลายปีมาแล้ว... เด็กวัยรุ่นคนหนึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาทำงานเอกสาร เด็กคนนี้หัวดีจนสามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่บ้านทำฐานข้อมูลสมาชิกสหกรณ์ได้... และภาพต่อมาเป็นภาพของเด็กวัยรุ่นอีกคนหนึ่งกำลังถูกขึงให้นอนอยู่บนโต๊ะพร้อมกับมีเทปกาวแผ่นใหญ่คาดอยู่ที่ปาก...

ผมยืนลังเลอยู่นาน ในที่สุดผมก็ตัดสินใจเดินจากมา... อะไรที่ผ่านไปก็ปล่อยให้มันผ่านเลยไปดีกว่า...

ผมจากสหกรณ์มา ในมือยังเหลือดอกไม้ไหว้ครูอีกชุดหนึ่ง ผมเดินเรื่อยไปตามทางเดินที่ทอดยาว ลงบันไดมาที่ชั้นล่าง จากนั้นก็แวะหยุดที่หน้าห้องห้องหนึ่ง

“สวัสดีครับ” ผมเดินเข้าไปในห้องนั้นพร้อมกับยกมือไหว้สตรีวัยกลางคนร่างสูงโปร่งในชุดสีฟ้า เธอกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่

“สวัสดีจ้ะ” สตรีในชุดสีฟ้าวางหนังสือในมือลงและรับไหว้ผมอย่างงงๆ “เธอ เอ้อ...”

“ผมมาไหว้อาจารย์ครับ วันนี้เป็นวันไหว้ครูที่มหาวิทยาลัย ผมเลยถือโอกาสกลับมาไหว้อาจารย์” ผมพูด พร้อมกับยกมือไหว้และยื่นดอกไม้บูชาครูให้ เธอนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

“วันนี้เห็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเดินถือดอกไม้อยู่ในโรงเรียนเหมือนกัน ทุกปีก็มีนักศึกษาแวะมาเยี่ยมโรงเรียนเก่าเสมอแต่ไม่ค่อยมีใครแวะมาที่ห้องพยาบาลหรอก” สตรีในชุดสีฟ้าพูดหลังจากที่รับดอกไม้จากผม เธอผู้นี้คือพยาบาลผู้มีใจอารีนั่นเอง

“ผมยังนึกถึงอาจารย์เสมอครับ” ผมตอบ ยังไม่เคยลืมเหตุการณ์ที่อาจารย์ยอมเซ็นใบลาป่วยให้ผมกลับได้ทั้งๆที่รู้ว่าผมไม่ได้ป่วยจริง “เมื่อก่อนผมเคยมานอนที่ห้องนี้ ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าเมื่อถึงวันไหว้ครูจะมาไหว้อาจารย์ครับ”

“ขอบใจมากนะ เธอชื่ออะไรนะ แจ้ใช่ไหม” พยาบาลผู้อารีถาม

“ชื่ออูครับ แจ้นั่นนักร้องครับ” ผมหัวเราะ “อาจารย์เรียกชื่อผมผิดทุกที”

“เอ้อ นั่นแหละ จำได้ว่าชื่อเธอเป็นไก่อะไรสักอย่าง” คำพูดที่ตอบก็ยังคงเป็นเหมือนเมื่อหลายปีก่อนไม่มีผิด

หลังจากคุยกันชั่วครู่ผมก็ลาจากมา และต่อมาในวันนั้นเอง ในที่สุดผมก็ได้เจอตี๋ที่โรงเรียน ตี๋ในวันนั้นใส่ชุดขาวผูกเนกไทเดินไปเดินมาตามตึกต่างๆคนเดียว ชุดขาวของตี๋เป็นสีขาวตุ่นๆอันเนื่องจากความเก่า กางเกงขาลอยเห็นถุงเท้า แลดูรัดไปทั้งขาเหมือนกางเกงทรงเกาหลีขาแคบสมัยนี้ แขนเสื้อกลับยาวคลุมหลังมือ ไหล่เสื้อตก รวมๆแล้วดูไม่ค่อยพอดีตัวเท่าไรนัก

“เฮ้ย” ผมทักทาย “หามึงอยู่ตั้งนาน นึกว่ามึงเบี้ยวเสียแล้ว”

“ก็ว่าจะไม่มาอยู่เหมือนกัน” ตี๋บอก “นี่ถ้าไม่รับปากมึงเอาไว้ก็คงไม่มาแล้ว”

“อ้าว ทำไมยังงั้นล่ะ” ผมถามอย่างแปลกใจ

“เอาไว้วันหลังค่อยมาก็ได้” ตี๋ตอบแบบบ่ายเบี่ยง ไม่ยอมบอกเหตุผลที่แท้จริง ผมรู้นิสัยตี๋ดีจึงไม่ซักอะไร เมื่อก่อนมันไม่เคยซักไซร้อะไรจากผมเลย ผมก็ไม่จำเป็นต้องไปสืบสาวความลับคับใจของมัน

“เฮ้อ เมื่อไรจะเลิกใส่ชุดขาวเสียที” ตี๋บ่นขึ้นมาในขณะที่เราคุยกัน “อึดอัดจะแย่”

“เป็นอะไรไปล่ะ” ผมถาม สำหรับผมนั้นสัปดาห์หน้าก็ไม่ต้องใส่ชุดขาวแล้ว ใหม่ๆก็เห่ออยู่เหมือนกัน แต่ต่อมาก็หายเห่อเพราะว่าการผูกเนกไทเรียนนี่ร้อนอบอ้าวมาก

“กางเกงมันคับไปหน่อย ใส่แล้วอึดอัด” ตี๋พูดเรื่อยๆ

“สงสัยรุ่นพี่จะตัวเล็กหน่อย” ผมพยายามเลียบเคียงถึงที่มาของชุดขาวกางเกงเล็กเสื้อใหญ่ของตี๋

“พี่กูไม่มีชุดให้ นี่ต้องไปขอจากพี่คนอื่นเขามา ก็ได้มาแบบนี้แหละ คนหนึ่งให้เสื้อ อีกคนให้กางเกงมาแต่ยังไงก็ดีกว่าต้องตัดชุดเองเพราะใส่แค่ไม่นาน” ตี๋ตอบ

ผมรู้ความหมายของตี๋ดีว่ามันหมายถึงอะไร เงินทุกบาทมีค่าสำหรับตี๋เสมอ ผมรู้สึกอบอุ่นใจอยู่ลึกๆ ผมรู้ดีว่านิสัยของตี๋ไม่เคยปริปากบ่นกับใคร แต่ในช่วงหลังนี้ตี๋มีแอบบ่นกับผมบ้าง สะท้อนให้เห็นว่ามุมมองของชีวิตมันอาจเริ่มเปลี่ยนไปบ้างแล้ว หลังจากที่เจอเรื่องอะไรต่ออะไรมาหลายอย่างดูมันจะรู้สึกคับข้องใจกับชะตาชีวิตของมันมากขึ้น และในขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นว่ามันไว้ใจผมมากเพียงใด หัวใจของเพื่อนนั้นยากที่จะได้มาง่ายๆ แต่อย่างน้อยผมก็ได้มาสองคนแล้ว...

“แล้วไถอะไรจากรุ่นพี่ได้อีกบ้างล่ะ ตำรา ชีต...” ผมถาม

ตี๋ส่ายหัว “ได้มาแค่ชีตนิดหน่อย”

“เฮ้ย ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูไถรุ่นพี่กูมาให้เอง” ผมปลอบใจมัน “ยังพอหาได้หลายวิชา”

ในยุคนั้นคณะเทคโนฯกับคณะศึกษาฯเรียนวิชาพื้นฐานด้วยตำราเล่มเดียวกัน อาจารย์ผู้สอนก็คนเดียวกัน แม้ว่าจะแยกกันเรียน แยกกันสอบ และตัดเกรดแยกกันก็ตาม ดังนั้นพวกชีตและตำราจึงใช้กันได้ ยกเว้นข้อสอบเก่าที่ไม่เหมือนกัน

“ไม่เป็นไรหรอก อย่าลำบากเลย” ตี๋ปฏิเสธ หลังจากนั้นเราคุยกันต่ออีกสักครู่ก็แยกจากกัน

หลังจากหมดคาบ ผมกลับไปที่ตึก ม.๖ อีกครั้งหนึ่ง ที่นั่นผมได้พบเพื่อนร่วมห้องเมื่อครั้งที่ยังเรียนอยู่ชั้น ม.๔ และ ม.๕ ซึ่งตอนนี้กลายเป็นพี่ใหญ่ชั้น ม.๖ ไปแล้ว

ห้องเรียนชั้น ม.๖ ว่างโล่ง มีนักเรียนราว ๓๐ คนเท่านั้น เก้าอี้ที่ว่างโล่งก็คือนักเรียนที่สอบเทียบได้และเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยนั่นเอง กลุ่มไอ้เฉาหายไปเกือบหมด สอบติดแพทย์และวิศวะกันเป็นส่วนใหญ่ บางคนก็ยังไม่ไปไหนเพราะต้องการสอบชิงทุน เวชและเกรียงก็ยังอยู่แต่ดูซ่าน้อยลง หมูและสิทธิ์ก็ยังอยู่และยังเป็นนักดูหนังตัวยงเช่นเดิม เพื่อนๆเล่าให้ฟังว่าห้องเรียนของเราในปีนี้สงบเรียบร้อยขึ้นเนื่องจากนักเรียนหายไปส่วนหนึ่ง ประกอบกับแต่ละคนตั้งใจเตรียมสอบเอนทรานซ์เพราะเวลาใกล้เข้ามาแล้ว การเกรียนในห้องเรียนจึงไม่ค่อยมี แต่เรื่องไม่สนใจขณะที่อาจารย์สอนกลับมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม มีทั้งโดดเรียน เอาหนังสือกวดวิชามาอ่านในเวลาเรียน แต่โดยรวมแล้วเป็นไปอย่างเงียบๆ ไม่เอะอะ ห้องเรียนจึงดูสงบเรียบร้อย

- - -

“ขยันจริงอู ไปเรียนแต่เช้าทุกวัน” พี่ธิตทักขณะที่เห็นผมกำลังชื่นชมกับต้นกุหลาบมอญอยู่ กุหลาบมอญต้นที่สองนี้ตอนซื้อมาดอกบานสะพรั่ง แต่หลังจากนั้นก็ไม่ค่อยออกดอกนัก หลังจากที่ทิ้งช่วงไปพักใหญ่จึงจะออกดอกสักหนึ่งหรือสองดอก เมื่อออกดอกแต่ละดอกผมจึงรู้สึกชื่นชมเป็นพิเศษ กุหลาบสีชมพูเข้มจนเกือบแดงบานส่งกลิ่นหอมที่ประทับในความทรงจำของผมอย่างล้ำลึก

“พี่ว่าวันนี้ฝนจะตกไหมครับ” ผมถามพี่ธิตพลางแหงนหน้าดูท้องฟ้ายามรุ่งอรุณที่มืดครึ้มจนไม่เห็นแสงเงินแสงทอง ทุกเช้าผมต้องขึ้นมารดน้ำกุหลาบและได้พบกับพี่ธิตเสมอ

“ก็น่าจะตกนะ” พี่ธิตแหงนหน้าดูท้องฟ้าบ้าง

“รดน้ำไปก่อนก็แล้วกัน เกิดไม่ตกเดี๋ยวขาดน้ำแย่เลย” ผมรำพึงกับตนเอง เดิมทีคิดว่าจะไม่รดน้ำเพราะว่าฝนกำลังจะตก แต่คิดไปคิดมารดน้ำไว้ก่อนดีกว่า แม้ว่าช่วงปลายเดือนมิถุนายนฝนตกค่อนข้างชุก บางทีตกสองสามวันติดๆกัน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่แน่นอนอะไร

“โธ่ ไอ้อูเอ๊ย อยากจะรดก็รดไป แล้วจะถามพี่หาหอกอะไร” พี่ธิตหัวเราะ

“แหะๆ ก็อยากให้พี่ตอบว่าอาจจะไม่ตกน่ะ ไม่รดน้ำแล้วไม่สบายใจครับพี่” ผมกวน

ขณะที่รดน้ำต้นไม้ ผมสังเกตเห็นยอดอ่อนผลิออกมาจากตาของกุหลาบหลายยอด บางยอดเห็นใบเริ่มคลี่ออกมาแต่ก็ยังหงิกงอและเป็นสีน้ำตาลอมดำอยู่ ฤดูฝนนี่ช่วยให้ต้นไม้งอกงามดีจริงๆ เมื่อรดน้ำเสร็จจึงรีบเดินทางไปมหาวิทยาลัย

ช่วงนี้การเรียนในห้องเรียนเริ่มไม่ค่อยสนุกเพราะว่าเนื้อหาวิชาที่เรียนเริ่มยากขึ้น เรียนไปก็ง่วงไป ผมย้ายห้องเรียนวิชาฟิสิกส์จากห้องที่คนแน่นจนต้องไปนั่งจดเลกเชอร์กับพื้นไปเรียนกับอาจารย์อีกคนหนึ่งซึ่งห้องเรียนว่างโล่งนั่งสบาย อาจารย์ห้องโล่งนี้สอนยากกว่าจริงๆ มีการให้ไปอ่านตำราล่วงหน้าก่อนเข้าชั้น จากนั้นเมื่ออยู่ในชั้นก็สอนราวกับการคุยกัน มีการตั้งประเด็นคำถามแล้วให้นักศึกษาออกความเห็น แม้การเรียนจะยากกว่าแต่ผมก็รู้สึกว่าการเรียนการสอนเป็นผู้ใหญ่ดีเหมือนกัน เคยดูในหนังฝรั่งเห็นนักศึกษาฝรั่งเรียนก็กันแบบนี้ นอกจากนี้แล้วผมจะได้หลีกเลี่ยงเรื่องการจองที่นั่งให้เพื่อนหรือการมีใครมาจองที่นั่งให้ผมด้วย ไม่อยากโดนใครด่า เรื่องการย้ายห้องเรียนฟิสิกส์นี้ผมย้ายเองคนเดียวอย่างเงียบๆ

แม้การเรียนจะเริ่มยาก แต่นอกเวลาเรียนนั้นกลับสนุกสนานยิ่งขึ้น การว้ากเริ่มน้อยลงไป ส่วนการซ้อมเชียร์กลับเข้มข้นขึ้นเนื่องจากตั้งแต่ช่วงนี้ไปจนถึงช่วงกลางภาคมีการแข่งขันต่างๆมากมาย ตั้งแต่แข่งกีฬา แข่งขันตอบปัญหา แข่งขันเกมในร่ม เช่น ครอสเวิร์ด ฯลฯ ส่วนใหญ่เป็นพวกแข่งคัดตัว ซึ่งในแต่ละนัดล้วนแต่ต้องการกองเชียร์ เรียกว่านักศึกษาปีหนึ่งถูกเรียกใช้จนแทบไม่มีเวลาว่าง ใครที่ไม่เป็นนักกีฬาก็ต้องไปเป็นกองเชียร์ หรือหากหน่วยก้านดีรุ่นพี่ก็จะดึงตัวให้ไปทำงานสตาฟเชียร์รวมทั้งเป็นเชียร์ลีดเดอร์ พี่จุ้ยได้เป็นนักกีฬาว่ายน้ำ ได้ยินมาว่าสถิติไม่เลวเลยทีเดียว ชาญถูกบังคับให้ลงแข่งวอลเลย์บอลชายเนื่องจากทีมวอลเลย์บอลชายไม่ค่อยมีผู้สมัคร ส่วนทีมวอลเลย์บอลหญิงของคณะกลับคึกคัก ดาวเด่นคนหนึ่งของทีมคือเจตนั่นเอง เจตนอกจากจะเล่นวอลเลย์บอลแล้วยังเล่นกรีฑาได้อีกด้วย ส่วนผมนั้นไม่มีความสามารถอะไรสักอย่าง เรียนก็ไม่ดี กีฬาก็ไม่เด่น จึงเป็นได้แค่กองเชียร์

นอกเหนือจากการแข่งขันและการเชียร์แล้ว นักศึกษายังมีกิจกรรมอื่นๆให้ทำอีกโดยการเข้าร่วมในชมรมต่างๆ ทางมหาวิทยาลัยได้จัดให้มีวันเปิดโลกกิจกรรมขึ้นเพื่อแนะนำกิจกรรมชมรมต่างๆเพื่อให้นักศึกษาเลือกทำกิจกรรมชมรมที่ตนสนใจและสมัครเข้าเป็นสมาชิก ชมรมเหล่านี้แบ่งออกเป็นสองส่วน ชมรมส่วนกลางได้แก่ชมรมที่นักศึกษาทุกคณะเข้ามาร่วมทำกิจกรรมได้ เช่น ชมรมดนตรี ชมรมธรรมะ ชมรมแวมไพร์ ฯลฯ ส่วนชมรมในสังกัดคณะก็จะมีแต่นักศึกษาในคณะเท่านั้นที่เข้าร่วมทำกิจกรรม

สำหรับชมรมในคณะเทคโนก็มีอยู่หลายชมรม เช่น ชมรมค่ายอาสา ชมรมวิชาการ ฯลฯ และนอกจากนี้ หากไม่อยากเข้าร่วมกับการแข่ง การเชียร์ หรือชมรมใดๆ นักศึกษาก็ยังสามารถใช้เวลาว่างพักผ่อนอย่างสบายๆได้ที่โต๊ะกลุ่มของแต่ละกลุ่ม ส่วนใหญ่ก็ไปนั่งจับกลุ่มพูดคุย เล่นไพ่ (ต้องมีคนดูต้นทาง) และร้องเพลง โดยแต่ละกลุ่มมักมีคนที่เล่นกีตาร์ได้และมีกีตาร์วางอยู่ประจำในแต่ละกลุ่ม

ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไป หลังจากที่นักศึกษาปีหนึ่งเริ่มสนิทสนมกันแล้ว พวกเราก็สนุกกันสุดเหวี่ยง เรื่องเรียนนี่แทบไม่ต้องพูดถึง กลายเป็นงานอดิเรกไปเสียแล้ว งานหลักคือกิจกรรมต่างๆนั่นเอง นี่ยังไม่รวมกิจกรรมนอกมหาวิทยาลัย เช่น ดูหนัง เดินสยามสแควร์ และเดินห้าง ฯลฯ

เย็นวันหนึ่ง ขณะที่ผมและเพื่อนๆถูกเกณฑ์ให้ไปเป็นกองเชียร์ในการซ้อมวอลเลย์บอลหญิง หรืออีกนัยหนึ่งก็คือรุ่นพี่บังคับให้พวกเราไปซ้อมเชียร์ในสนามนั่นเอง พวกกองเชียร์เมื่อว่างเว้นจากการตะเบ็งเสียงร้องเพลงเชียร์ก็หันมาคุยกันเอง

“ไอ้เจตนี่แม่งเก่งหลายอย่างเลย” นักศึกษาชายคนหนึ่งพูดขึ้น

“เออ นั่นสิ เห็นมันซ้อมลงแข่งตั้งหลายอย่าง แล้วมันเอาเวลาที่ไหนไปเรียนหนังสือวะ” นักศึกษาชายอีกคนหนึ่งสงสัย

“มึงยังไม่รู้อะไร นอกจากเล่นกีฬาแล้วแม่งยังเล่นดนตรีไทยเก่งนะโว้ย” ไอ้คนแรกคุยอีก

“มันเล่นอะไรวะ แล้วทำไมมึงถึงได้รู้” อีกคนถาม

“มันเล่นตีฉิ่งวะ”

พวกนักศึกษาชายที่จับกลุ่มคุยกันวงเล็กๆฮากันกระจาย ผมอดเหลือบไปดูในกลุ่มกองเชียร์ไม่ได้ หนึ่งในบรรดากองเชียร์หญิงที่นั่งอยู่ที่ขอบสนามก็คือเพ็ญนั่นเอง



<การว้ากก็คือการเอ็ดตะโรใส่รุ่นน้องและสั่งให้รุ่นน้องทำโน่นทำนี่ตามที่รุ่นพี่ต้องการ รุ่นพี่บอกว่ากิจกรรมว้ากเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์และสร้างความสามัคคีในหมู่คณะ ส่วนรุ่นน้องก็ว่ากิจกรรมว้ากเป็นเรื่องของคนที่อยากแสดงอำนาจข่มคนอื่น ภาพนี้เป็นการว้ากหน้าตึกในสมัยยี่สิบกว่าปีมาแล้ว>

Friday, October 15, 2010

ภาคสี่ ตอนที่ 9

ในที่สุดการเรียนวันแรกในมหาวิทยาลัยก็ผ่านพ้นไป ที่นี่เป็นเสมือนโลกใบใหม่สำหรับผม มีอะไรแปลกใหม่น่าเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนๆ สถานที่ และวิชาที่เรียน กว่าผมจะกลับถึงหอพักก็เป็นเวลาค่ำแล้ว

เมื่อกลับไปถึงหอพัก มันเหมือนกับว่าผมกลับไปสู่โลกใบเก่าอีกครั้งหนึ่ง ห้องพักเดิมๆ คนเดิมๆ กินอาหารเย็นก็ที่ร้านอาหารตามสั่งเดิมๆ อาหารที่กินก็เป็นเมนูสิ้นคิดแบบเดิมๆ จากกลางวันอันสนุกสนานในมหาวิทยาลัย เมื่อกลับมาถึงห้องพักและอยู่คนเดียวความเหงาก็เริ่มเข้ามาเยือนผมอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้อาการไม่มากนักเนื่องจากผมรู้ว่าผมไม่ได้อยู่ในโลกใบเก่านี้นานนัก เมื่อถึงวันรุ่งขึ้นผมก็สามารถกลับไปสู่โลกใบใหม่ที่สดใสได้อีก... อย่างน้อยจะสุขหรือจะเหงาผมก็พอกำหนดเองได้บ้างส่วนหนึ่งแม้จะไม่ได้ทั้งหมดก็ตาม

- - -

วันจันทร์

หลังจากที่เปิดเรียนไปในปลายสัปดาห์ ผมก็ค่อยๆเริ่มปรับตัวกับชีวิตการเรียนในมหาวิทยาลัย ตอนเช้าเมื่อไปถึงที่คณะ สถานที่แรกที่แวะไปคือโต๊ะกลุ่ม ไม่ใช่ที่ห้องเรียนเหมือนเมื่อตอนเรียนมัธยมเพราะว่าในมหาวิทยาลัยไม่มีห้องเรียนประจำ พวกปีหนึ่งเพิ่งเข้ามาใหม่ๆยังไม่ค่อยจะมีที่ไป ดังนั้นหากว่างจากชั่วโมงเรียนส่วนใหญ่ก็มักมานั่งเล่นหรือคุยกันที่โต๊ะกลุ่ม

เมื่อผมไปถึงกลุ่มสาม ผมก็รู้สึกได้ทันทีถึงบรรยากาศที่ผิดปกติ ทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้องล้อมวงเป็นวงใหญ่คุยกันเสียงจ้อกแจ้ก เพื่อนๆที่ผมเริ่มสนิทคุ้นเคย ไม่ว่าจะเป็นพี่จุ้ย แมว จิ๊บ เจต ล้วนแต่อยู่กันพร้อมหน้า บรรยากาศค่อนข้างเคร่งเครียด ผมจึงเข้าไปมุงบ้างแต่ก็ได้แต่มุงอยู่วงนอก

“นักศึกษาตายกันไปไม่รู้กี่พันคน เที่ยงนี้กรรมการนักศึกษาทั้งของคณะและของมหาวิทยาลัยจะมีประชุมกันและจะเข้าร่วมกับสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยเพื่อไปประท้วงกันที่หน้าสถานทูต เค้าขอให้ไปกันมากๆเพื่อแสดงพลังของนิสิตนักศึกษา ตอนบ่ายใครว่างไปสถานทูตด้วยกัน” ได้ยินเสียงรุ่นพี่พูด

ทันใดนั้นผมรู้สึกตึงวูบที่แขนเสื้อเหมือนกับมีใครมาดึง

“เฮ้ย อู ตัวสูงๆบอกหน่อยดิว่ามันเรื่องอะไรกัน นักศึกษาที่ไหนตายเป็นพัน” เสียงที่ไม่ค่อยคุ้นหูนักดังขึ้นที่ด้านหลัง เมื่อหันไปมองก็พบเพื่อนใหม่บัดดี้แล็บเคมีของผม... ชาญนั่นเอง ชาญมุงอยู่ข้างหลังผมและพยายามเขย่งดูว่าตรงกลางวงคุยอะไรกันอยู่ แต่คงถูกบังจนมิด

“ยังไม่รู้เลย ตกข่าวเหมือนกัน” ผมหันไปตอบ

ในที่สุดหลังจากถามเพื่อนๆที่มุงกันอยู่ก็ได้ความว่าเกิดเหตุการณ์นองเลือดขึ้นที่จัตุรัสเทียนอันเหมินของประเทศจีน นักศึกษาและประชาชนที่รวมตัวกันนับแสนคนชุมนุมกันที่จัตุรัสเทียนอันเหมินใจกลางกรุงปักกิ่งตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมาเพื่อเรียกร้องให้จีนเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตย ให้ประชาชนมีสิทธิ์ในการแสดงออกและจัดให้มีการเลือกตั้ง แต่คำตอบสุดท้ายที่นักศึกษาและประชาชนในยุคนั้นได้รับก็คือกฎอัยการศึกและการปราบปรามโดยใช้กำลังทหาร การปราบปรามเกิดขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานี้เอง มีนักศึกษาและประชาชนล้มตายไปเป็นจำนวนไม่น้อยและเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก

รุ่นพี่รวมทั้งปีหนึ่งหลายคนตกลงใจที่จะไปประท้วงที่หน้าสถานทูตจีน ใครสนใจเรื่องการเมืองมากน้อยเพียงใดก็พอจะดูออกได้จากการพูดคุยนี้ เจตเป็นคนหนึ่งที่ดูจะเป็นทุกข์ร้อนกับเรื่องนี้มาก

“เฮ้ย แล้วนักศึกษาจีนเค้าประท้วงกันตั้งแต่เมื่อไรวะ เราไม่เห็นรู้เรื่องเลย” ชาญกะพริบตาถามอย่างงงๆ

“เป็นข่าวมาตั้งเดือนสองเดือนแล้ว” ผมตอบ ที่จริงเรื่องนี้ผมก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดมากนัก แค่เคยอ่านหนังสือพิมพ์ผ่านตาเท่านั้น แต่ไอ้ชาญนี่ยิ่งหนักกว่า ถึงขนาดไม่รู้อะไรเอาเลย “นายมัวไปอยู่ที่ไหนมาวะ”

“แล้วนายจะไปหรือเปล่า” ชาญไม่ตอบแต่ถามผมกลับ

“ไม่รู้สิ ไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนเหมือนกัน” ผมตอบ “นายคิดยังไงล่ะ”

“ถ้านายไปเราไปเป็นเพื่อนก็ได้นะ” ชาญตอบ

“อะไรว้า คนตายไปตั้งเยอะแยะ พวกนายไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอ” เจตสาวห้าวซึ่งกระตือรือร้นที่จะไปร่วมแสดงพลังหันมาพูดเสียงดัง ไม่รู้เหมือนกันว่าเจาะจงพูดกับผมหรือชาญ หรือว่าทั้งคู่ แต่ผมฟังแล้วออกจะแปร่งหูอยู่บ้างเหมือนกัน ใครจะไปหรือไม่ไปไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาบังคับใจกัน

“เราไม่ไปนะเจต” แมวพูดขึ้น “ไปชุมนุมเย้วๆเราไม่ถนัด”

ยุคนั้นห่างจากยุค ๑๔ ตุลามานานสิบกว่าปีแล้ว โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคคอมพิวเตอร์ เกมคอมพิวเตอร์ทำให้ชีวิตวัยรุ่นอยู่กับตัวเองและมีโลกส่วนตัวมากขึ้นกว่าวัยรุ่นยุคก่อนหน้านั้น และความคิดแนวปัจเจกดูจะมีบทบาทในชีวิตนักเรียนนักศึกษามากกว่าอุดมการณ์เพื่อประชาชน พลังของนักศึกษาในยุคนั้นส่วนใหญ่อ่อนโทรมลงไปมากแล้ว คงมีเพียงนักศึกษาบางส่วนเท่านั้นที่สนใจติดตามปัญหาบ้านเมือง แสดงบทบาทและความคิดเห็น ตลอดจนขับเคลื่อนทางการเมืองในนามของกลุ่มและองค์กรต่างๆอย่างต่อเนื่อง

นักศึกษาที่ชุมนุมกันอยู่ที่กลุ่มสามส่วนใหญ่ไม่ไปร่วมประท้วงที่หน้าสถานทูต คงมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่กระตือรือร้นที่จะไป ส่วนผมนั้นตัดสินใจไม่ไปเช่นกันเนื่องจากไม่ยังไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเลย ผลดีผลเสียก็ยังไม่รู้ชัด ผมไม่อยากให้เป็นเรื่องพวกมากลากไป

“ใครจะไปก็ไป ใครไม่ไปเย็นนี้สี่โมงมาประชุมที่กลุ่มตามเดิม งานนี้ไม่เลื่อน” พวกรุ่นพี่สรุป

“โฮ้ย พวกเธอทำไมไม่ยอมไปสถานทูตด้วยกัน” เจตต่อว่าพวกเพื่อนๆปีหนึ่งหลังจากที่แยกออกมาจากรุ่นพี่แล้ว “เป็นผู้ชายกันหรือเปล่าวะนี่”

คำพูดของเจตนั้นพูดขึ้นมาลอยๆ แต่ผมก็อดรู้สึกหน้าชาไม่ได้ ผมอาจคิดไปเองก็ได้แต่ว่ามันเหมือนกับเจตกำลังจงใจว่าผมอยู่

- - -

บ่ายวันนั้นนักศึกษากลุ่มสามบางส่วนไปร่วมยื่นหนังสือประท้วงที่สถานทูตจีน พวกที่ไปส่วนใหญ่จะเป็นนักศึกษารุ่นพี่เสียมากกว่าเนื่องจากการไปต้องโดดเรียนในภาคบ่าย นักศึกษาปีหนึ่งส่วนใหญ่ยังไม่กล้าโดดเรียนกัน ยกเว้นเจตกับเพื่อนๆอีกบางคนที่ลงทุนโดดเรียนเพื่อไปร่วมชุมนุม ส่วนพวกเราที่ไม่ได้ไปก็เข้าเรียนกันตามปกติ เมื่อเลิกเรียนแล้วก็มาประชุมที่กลุ่มตามที่รุ่นพี่นัดเอาไว้

ปรากฏว่าการนัดในวันนี้ไม่ได้มีการประชุมเพื่อปรึกษาหารือธุระการงานแต่อย่างใด เป็นเพียงรุ่นพี่เรียกมาเพื่อทำกิจกรรมว้ากเท่านั้นเอง

ในยุคที่ผมเรียนในมหาวิทยาลัยนั้นเรื่องระบบอาวุโสในคณะก็อ่อนโทรมลงไปมากแล้ว ซึ่งก็คงเป็นไปตามสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป รุ่นพี่เล่าให้ฟังว่าระบบอาวุโสในยุคก่อนนั้นเข้มข้นมาก รุ่นพี่จะสั่งให้รุ่นน้องทำอะไรก็ได้โดยที่รุ่นน้องไม่สามารถมีปากมีเสียงได้ ต่อมาหลังยุค ๖ ตุลา ก็ค่อยๆลดความเข้มข้นลงไป ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ารุ่นพี่ไปรู้มาได้อย่างไรเพราะพี่คนที่เล่าก็คงไม่ทันเหมือนกัน แต่ในยุคของผมนั้นระบบอาวุโสอ่อนไปมากแล้วจริงๆ รุ่นน้องเถียงรุ่นพี่ก็ได้ สั่งแล้วไม่ทำก็ได้ ถ้านักเลงหน่อยชกหน้ารุ่นพี่ก็ยังมี อีกทั้งหากรุ่นพี่ทำอะไรแผลงๆหรือแรงๆกับรุ่นน้องก็มักจะตกเป็นข่าวหนังสือพิมพ์ คงมีเพียงบางสาขาในบางสถาบันเท่านั้นที่ยังสืบทอดประเพณีระบบอาวุโสอย่างเหนียวแน่น แต่อย่างไรก็ตาม แม้ระบบอาวุโสจะเจือจางลงไปแต่กิจกรรมว้ากก็ยังคงมีอยู่ เพียงแต่ว่าว้ากกันแค่พอสนุก

รุ่นพี่สั่งให้พวกปีหนึ่งย้ายไปรวมกันที่บันไดหน้าตึก โดยพวกพี่ๆประมาณสิบกว่าคนนั่งอยู่บนขั้นบันได ส่วนพวกปีหนึ่งยืนบนพื้นถนน

“เอ้าๆ ตั้งแถวๆ ชายคนหญิงคนเรียงสลับกันไป ชายห้ามยืนติดชาย หญิงห้ามยืนติดหญิง เดี๋ยวฟ้าผ่า” รุ่นพี่ที่นั่งอยู่บนขั้นบันไดหรือที่เรียกว่าว้ากเกอร์เริ่มตะโกนสั่งด้วยเสียงที่ดุดัน ผิดจากอัธยาศัยในยามปกติเมื่อเจอกันที่โต๊ะกลุ่ม

พวกปีหนึ่งที่คุ้นเคยกันก็มักเกาะกลุ่มใกล้ๆกัน เมี่อตอนตั้งแถวคนข้างๆผมข้างหนึ่งเป็นจิ๊บซึ่งก็ไม่น่าแปลกอะไรเพราะเรายืนใกล้ๆมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่อีกข้างหนึ่งเป็นคนที่ผมนึกไม่ถึงมาก่อน อีกทั้งเมื่อตอนอยู่ที่กลุ่มก็ไม่เคยพบกันอีกด้วย

“อ้าว เพ็ญ” ผมอุทาน เพ็ญสาวสวยคนเก่งจากต่างจังหวัดที่มีอาจารย์ที่ปรึกษาคนเดียวกันกับผมนั่นเอง

“หวัดดีจ้ะ...” เพ็ญทัก แล้วเรียกชื่อจริงของผม จำชื่อจริงของผมได้เสียด้วย ถ้าจำชื่ออูได้จะไม่แปลกใจเท่าไรนัก

“จำชื่อเราได้ด้วยเหรอ” ผมถาม

“จำได้สิ เธอหลับในห้องเคมีแล้วถูกอาจารย์เรียก” เพ็ญพูดแล้วก็อดยิ้มไม่ได้

ผมรู้สึกหน้าร้อนผ่าว เรื่องที่ทำให้เพ็ญจำผมได้กลับไม่ใช่เรื่องที่มีหน้ามีตาอะไรนัก

“ไม่นึกว่าเพ็ญอยู่กลุ่มสาม ไม่เคยเห็นเลย” ผมพูด

“ไม่ค่อยได้เข้าไปที่กลุ่มน่ะ นั่งอยู่ในห้องสมุดมากกว่า” เพ็ญตอบ

หลังจากที่ทักทายกันได้เล็กน้อยรุ่นพี่ก็เริ่มกิจกรรมว้าก การว้ากก็คือการเอ็ดตะโรใส่รุ่นน้องและสั่งให้รุ่นน้องทำโน่นทำนี่ตามที่รุ่นพี่ต้องการ เมื่อไม่ได้อย่างใจก็จะสั่งลงโทษ แต่หากถูกใจก็จะได้รางวัล ซึ่งรางวัลกับการลงโทษนั้นก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไรนัก เช่นหากได้รางวัลก็ให้ร้องเพลง หากโดนลงโทษก็ให้ไปปีนต้นไม้ เป็นต้น รุ่นพี่บอกว่ากิจกรรมว้ากเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์และสร้างความสามัคคีในหมู่คณะ ส่วนรุ่นน้องก็ว่ากิจกรรมว้ากเป็นเรื่องของคนที่อยากแสดงอำนาจข่มคนอื่น

“เฮ้ย สองคนนั่นคุยอะไรกัน” รุ่นพี่ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนขั้นบันไดเอะอะใส่ผมและเพ็ญ “บอกให้ตั้งแถวจับคู่ไม่ได้บอกให้คุยกัน”

“อยากคุยมากนักเรอะ ถ้ายังงั้นคุยดังๆเลย คุยให้ดังไปถึงสนามฟุตบอลเลย” รุ่นพี่อีกคนเอ็ดตะโรใส่เราสองคนอีก เพ็ญหน้าเสีย

“บอกให้คุยดังๆ คุยเร็วเข้า” รุ่นพี่ที่นั่งบนขั้นบันไดช่วยกันตวาดเสียงเซ็งแซ่ “ไม่งั้นจะโดนซ่อมนะ”

“เอ้อ หวัดดีเพ็ญ” ผมแหกปากตะโกน “ไม่ค่อยเห็นที่โต๊ะกลุ่มเลย”

เพ็ญทำหน้ากระอักกระอ่วน แต่ก็แผดเสียงบ้าง

“หวัดดีอู ส่วนใหญ่เรานั่งอ่านหนังสือในห้องสมุดน่ะ”

“...” ผมคิดอะไรไม่ออก

“เฮ้ย คุยกับสาวทั้งทีมีแค่เนี้ยนะ คุยอีกไอ้อู ไม่งั้นโดนซ่อมแน่เอ็ง” รุ่นพี่ตะโกนขู่

เมื่ออับจนสิ้นหนทาง ผมก็คุยแบบเพ้อเจ้อ ดินฟ้าอากาศบ้างอะไรบ้าง อายโคตรๆ เพ็ญก็เออออไปด้วย สักพักก็คิดอะไรไม่ออกอีก รุ่นพี่ก็เอะอะอีก

“เนี่ย เพ็ญ เราซวยฉิบหายเลย โดนรุ่นพี่แกล้ง ขอโทษด้วยนะ เพ็ญเลยซวยไปด้วยเพราะเรา” ผมตะโกน

คราวนี้รุ่นพี่เฮกันลั่น

“เฮ้ย มันบังอาจว่ารุ่นพี่ น้องตบหน้ามันให้พี่ที” รุ่นพี่หญิงคนหนึ่งตะโกน

“ตบ ตบ ตบ ตบ ตบ ตบ” รุ่นพี่คนอื่นๆส่งเสียงเชียร์ เพ็ญจึงตบหน้าผมเบาๆไปหนึ่งที

“กลัวมันเจ็บเหรอ ไม่ต้องกลัว ตบแรงๆ” รุ่นพี่ยุส่งอีก “เร็วเข้า ตบแล้วพวกพี่จะได้ไปเล่นงานคนอื่นต่อ”

เพ็ญได้ยินดังนั้นจึงหันมามองหน้าผม ทำตาปริบปริบ คล้ายกับจะบอกว่าขอสักทีเถอะนะ ผมพยักหน้า

“เพียะ”

- - -

การว้ากในวันนั้นผ่านไปด้วยความเรียบร้อย พวกปีหนึ่งแต่ละคนโดนแกล้งหรือโดนทำโทษไปต่างๆนานา ให้บูมแข่งกันบ้าง เสียงเบาก็โดนเอ็ด แพ้ก็ไปปีนต้นไม้ ฯลฯ เมื่อกิจกรรมว้ากจบลงพี่ๆก็เข้ามาตบหลังตบไหล่ผม

“เฮ้ย ไม่มีอะไรนะอู ตอนว้ากก็ยังงี้แหละ จบแล้วก็จบกัน” รุ่นพี่พูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ใบหน้าที่ดุดันหายไปจนหมดสิ้น

“ครับ” ผมตอบ อดเอามือลูบแก้มของตนเองไม่ได้ ผมคิดว่ามันยังมีรอยผื่นเป็นรูปนิ้วอยู่ รสชาติที่ถูกผู้หญิงตบหน้าเป็นครั้งแรกในชีวิตนี่เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก

เมื่อแยกจากรุ่นพี่แล้ว พวกเพื่อนๆก็เข้ามาทักทายผม โดยเฉพาะเพ็ญเข้ามาขอโทษ จิ๊บหัวเราะถูกอกถูกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนแมวบอกว่าสงสารผมแต่ก็ยังอดหัวเราะไม่ได้ หลังจากนั้นพวกเราก็แยกย้ายกันกลับ มีเพียงชาญเท่านั้นที่เดินออกจากมหาวิทยาลัยทางเดียวกับผม

“เป็นไงวะอู” ชาญถาม “เจ็บปะ”

“นายจะเอาความจริงหรือจะเอาเรื่องโกหกล่ะ” ผมถามกลับ

“เอาความจริงดิ” ชาญตอบ

“ตบโคตรเจ็บเลย มือหนักฉิบหาย” ผมพูด

“แล้วถ้าเอาเรื่องโกหกล่ะ” ชาญชักอยากรู้

“ไม่รู้โว้ย จะซักเอาอะไรนักหนา” ผมอดหัวเราะไม่ได้

- - -

หลังจากการว้ากในวันนั้น ชื่อของผมก็เป็นที่รู้จักกันดีในกลุ่มสามโดยเฉพาะสาวๆ เมื่อผมเข้าไปนั่งเล่นที่กลุ่มทีไรก็มักถูกสาวๆแซว เช่นบอกว่า อารมณ์ไม่ดี ขอตบระบายอารมณ์หน่อยได้ไหม ใหม่ๆก็อาย แต่พอหลายวันเข้าก็ทำเนียนไป บอกว่าถ้าอยากหยิกเบาๆหรืออยากหอมแก้มละก็ได้ แต่ถ้าตบไม่เอา ก็ไม่ปรากฏว่ามีสาวคนใดต้องการหยิกแก้มหรือหอมแก้มผมแต่อย่างใด

เมื่อใช้ชีวิตในการเรียนและทำกิจกรรมร่วมกันไปได้สักระยะหนึ่ง พวกนักศึกษาปีหนึ่งก็รู้จักกันมากขึ้น จากเดิมที่ดินเคว้งไม่ค่อยรู้จักกันกลายเป็นเกาะกลุ่มกัน พวกที่คุยกันถูกคอถูกอัธยาศัยกันก็มักเรียน เล่น และทำกิจกรรมด้วยกัน

ผมก็เริ่มมีกลุ่มเช่นกัน กลุ่มของเรามี ๕ คน ก็คือแมว จิ๊บ ชาญ ผม และเป้า ไอ้เป้านี่เป็นเด็กที่สอบเทียบมาและเป็นคนที่ยืนอยู่ข้างแมวในวันที่ผมโดนตบ หลังจากนั้นเป้ากับแมวก็คุยถูกคอกัน มันจึงเดินติดสอยห้อยตามแมวโดยตลอด จึงพลอยสนิทกับพวกเราไปด้วย

การเรียนของนักศึกษาปีหนึ่ง คณะเทคโนนี้ไม่มีการทำรายงานกลุ่มแต่อย่างใด ต่างคนต่างเรียน คะแนนใครคะแนนมัน แต่ถึงแม้โดยรูปแบบการเรียนจะเป็นเช่นนั้น แต่ในทางปฏิบัติส่วนใหญ่ก็ต้องเรียนกันเป็นทีม มีการพึ่งพาอาศัยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสมุดจดคำบรรยายหรือที่เรียกว่าสมุดจดเลกเชอร์ ส่วนใหญ่มักจดไม่ค่อยทัน หรือจดแล้วมาอ่านอีกทีไม่รู้เรื่อง ทำให้ต้องหยิบยืมของเพื่อนมาลอกหรือถ่ายเอกสาร นักศึกษาหญิงที่ลายมือสวยๆมักเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มเนื่องจากสมุดจดน่าอ่านและน่าขอยืมนั่นเอง

สำหรับกลุ่มของผม สมุดของแมวเป็นต้นฉบับที่ใช้ได้เลยทีเดียว ไอ้เป้ามักขอยืมไปบ่อยๆ ส่วนจิ๊บนั้นแม้จดรู้เรื่องแต่ลายมือไม่สวย จึงไม่ค่อยมีใครเอายกเว้นเวลาจำเป็น ผมเองเวลาเรียนหลับบ้างตื่นบ้างก็มักต้องขอใช้บริการจากแมวบ้างเช่นกัน ส่วนชาญนั้นชอบมาขอยืมสมุดของผมหลังจากที่ผมลอกแมวเสร็จแล้วทั้งๆที่ลายมือของผมแสนห่วย

นอกจากต้องพึ่งพากันในเรื่องสมุดจดแล้ว เรื่องที่พวกเรามักต้องพึ่งพากันก็คือเรื่องการจองที่นั่ง เนื่องจากการเรียนในแต่ละวิชานั้นเปิดสอนหลายหมู่เนื่องจากมีนักศึกษาจำนวนมาก หากเป็นวิชาที่สอนเดี่ยว หมายถึงว่าผู้สอนเหมาสอนคนเดียวตลอดทั้งเทอม หากเป็นคนละหมู่ผู้สอนก็จะเป็นคนละคนกัน อย่างเช่นวิชา ฟิสิกส์ เคมี นักศึกษาจะรู้กันเองว่าใครสอนเข้าใจได้ง่ายกว่ากัน เมื่อถึงเวลาเรียนห้องหนึ่งก็จะว่างโล่งส่วนอีกห้องหนึ่งก็จะแน่นขนัดเนื่องจากนักศึกษาไปเบียดกันเรียนกับอาจารย์ที่สอนง่ายกว่านั่นเอง บางส่วนถึงกับต้องนั่งเรียนกับพื้น ดังนั้นเรื่องการจองที่จึงจำเป็น หากไปช้าต้องไปนั่งจดเลกเชอร์กับพื้นที่หน้าชั้นเรียนซึ่งค่อนข้างลำบาก และเรื่องจองที่นั่งนี่เองที่เป็นเหตุให้มีการทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่บ้างเหมือนกัน

“โอ๊ย มันอะไรกันวะ มีแต่โต๊ะเปล่าๆให้เพื่อนวางสมุดจองที่เอาไว้ ตัวก็ไม่โผล่หัว คนมาก่อนต้องไปนั่งเรียนกับพื้น คนมาหลังได้นั่งโต๊ะที่เพื่อนจองไว้ให้” เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นในเช้าวันหนึ่งในวิชาฟิสิกส์ ผู้ที่โวยวายไม่ใช่ใครอื่น เจตนั่นเอง เห็นเจตยืนอยู่ที่ประตูพร้อมกับเพ็ญยืนอยู่ข้างๆ พยายามหาที่นั่งแต่ก็หาไม่ได้



<นับตั้งแต่ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ เหมาเจ๋อตง สถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้นในปี ค.ศ.1949 ได้มีการชุมนุมประท้วงเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย ณ จัตุรัสเทียนอันเหมินอยู่หลายครั้ง และครั้งที่รุนแรงที่สุดเกิดขึ้นในช่วงปลายสมัยนายกรัฐมนตรีเติ้งเสี่ยวผิง

เติ้งเสี่ยวผิงผู้มีเค้าหน้าและรูปร่างคล้ายนักการเมืองของไทยผู้หนึ่งได้เข้ามากุมอำนาจในการบริหารประเทศโดยเป็นนายกรัฐมนตรีของจีนในปี 1977 และต่อมาได้เป็นรองประธานพรรคคอมมิวนิสต์ เศรษฐกิจของจีนในยุคนั้นย่ำแย่ ประชาชนไม่มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจึงขาดแรงจูงใจที่จะทำงาน เติ้งเสี่ยวผิงผู้มีหัวก้าวหน้าจึงมีนโยบายเปิดประเทศและพัฒนาเศรษฐกิจโดยเปิดรับวิทยาการและความเจริญต่างๆจากนานาชาติ มีการผ่อนคลายกฎระเบียบให้ประชาชนชาวจีนสามารถทำธุรกิจได้ สามารถมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินได้ยกเว้นที่ดินที่ยังถือว่าเป็นของรัฐ มีสิทธิและเสรีภาพมากขึ้น ส่วนในทางการเมืองแล้วยังคงจำกัดเช่นเดิม

ผลพวงจากการเปิดประเทศทำให้เศรษฐกิจของจีนก้าวหน้าขึ้น ประชาชนมีความรู้และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รวมทั้งมีความคิดที่เสรีมากขึ้นอีกด้วย การประท้วงเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยเกิดขึ้นอยู่เสมอแต่สุดท้ายก็คลี่ลายไป ยกเว้นเหตุการณ์ในปลายยุคของเติ้งเสี่ยวผิง

ในครั้งนั้นกลุ่มนักศึกษาและประชาชนที่มีความเห็นแตกต่างจากผู้นำจีนได้ชุมนุมประท้วงเพื่อต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์ เรียกร้องประชาธิปไตยและเสรีภาพ แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นก็จบลงด้วยการนองเลือดในวันที่ 4 มิถุนายนเมื่อรัฐบาลปักกิ่งใช้กำลังทหารปราบปรามผู้ประท้วงซึ่งมีเยาวชนในวัยเรียนเป็นจำนวนมาก มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนไม่น้อยแต่จนถึงวันนี้ในหน้าประวัติศาสตร์ของจีนก็ยังไม่มีการระบุจำนวนผู้เสียชีวิตที่แน่ชัด แต่จากการประเมินของชาวต่างประเทศคาดว่าน่าจะหลายพันคน รวมทั้งยังมีผู้บาดเจ็บและพิการ และผู้ที่ถูกจองจำที่ยังคงมีชีวิตอยู่ต่อมาอีกจำนวนมาก

ภาพนี้ถ่ายเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน ชาวจีนนับแสนล้อมรูปจำลองรูปปั้นเทพีแห่งเสรีภาพสูง 10 เมตร ขณะนั้นฝูงชนปักหลักเรียกร้องประชาธิปไตยแม้รัฐบาลประกาศกฎอัยการศึกในกรุงปักกิ่งแล้ว>



<นักศึกษาฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตยนั่งเผชิญหน้ากับทหารก่อนมีการนองเลือด>



<ภาพนี้ถูกตั้งชื่อว่า tank man เป็นภาพที่โด่งดังไปทั่วโลกจนถึงทุกวันนี้ ภาพนี้ถ่ายเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน หลังจากเหตุการณ์นองเลือดปราบปรามผู้ประท้วงหนึ่งวัน ชายหนุ่มคนหนึ่งกระโดดเข้าขวางรถถังที่วิ่งดาหน้าอยู่บนถนนเทียนอันซึ่งอยู่ใจกลางกรุงปักกิ่ง แม้พลขับจะพยายามขับรถถังหลบแต่ชายผู้นี้ก็ยังตามไปยืนขวาง ผู้เห็นเหตุการณ์พากันไปช่วยลากตัวออกมาก่อนที่จะมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น>

Monday, October 4, 2010

ภาคสี่ ตอนที่ 8

แม้ลูกไฟที่ลุกไหม้จะมีขนาดใหญ่ แต่อยู่ห่างจากโต๊ะเรียนไม่น้อย ดังนั้นพวกนักศึกษาจึงไม่ได้แตกตื่นถึงขนาดวิ่งเหยียบกัน ส่วนใหญ่ทยอยกันเดินออกจากห้องไปด้วยความเรียบร้อย คงมีบางส่วนที่ยังนั่งอยู่ในห้องเพื่อรอดูเหตุการณ์ว่าเป็นอย่างไรต่อไป... รวมทั้งผมด้วย

สักครู่เจ้าหน้าที่ชายก็วิ่งออกมาจากห้องเล็กๆแล้วปราดเข้าไปหยิบถังเครื่องพับเพลิงสีแดงสภาพเก่าแก่ที่แขวนอยู่รอบห้องมาถังหนึ่งจากนั้นถอดสลักออกและนำปลายท่อฉีดไปจ่อที่กองเพลิง

เงียบ ไม่มีอะไรออกมาจากท่อฉีดเลย เจ้าหน้าที่รีบวางถังดับเพลิงถังนั้นลง จากนั้นรีบไปปลดถังดับเพลิงอีกถังหนึ่งจากผนังมาใช้แทน แต่ผลก็เป็นเช่นเดิม

“โอ๊ย ใช้งานไม่ได้เลยสักถัง” อาจารย์บ่น ขณะเดียวกันไฟก็ลุกไหม้เครื่องปิ้งแผ่นใสรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

“อาจารย์รอเดี๋ยวครับ” เจ้าหน้าที่ชายคนนั้นหันรีหันขวางด้วยความตกใจ จากนั้นก็รีบวิ่งออกไปนอกห้อง คาดว่าคงไปตามคนมาช่วยดับไฟหรือไม่ก็ไปหาถังดับเพลิงที่ใช้งานได้มาจากห้องอื่น

“ฉันน่ะรอได้ แต่ไฟกองนี้มันคงไม่รอ เดี๋ยวก็หมดทั้งตึกหรอก” อาจารย์พูดเสียงไม่ดังนักแต่พวกเราที่อยู่ในห้องก็ได้ยินกัน ยังอดขำไม่ได้ว่าอาจารย์ช่างใจเย็นเหลือเกิน

อาจารย์หายเข้าไปในห้องเจ้าหน้าที่อีกครั้ง จากนั้นไฟแสงว่างภายในห้องก็ดับลงทั้งหมด คงเป็นเพราะอาจารย์ยกสะพานไฟลง สักครู่อาจารย์ก็เดินออกมาพร้อมกับผ้าห่มแบบราคาถูกผืนหนึ่ง เอามาโยนลงในอ่างล้างมือจากนั้นก็เปิดน้ำลงในอ่าง เมื่อผ้าเปียกอาจารย์ก็หยิบผ้าเอาไปคลุมที่เครื่องฉายแผ่นใสที่ตอนนี้มีสภาพเป็นลูกไฟกองหนึ่งไปแล้ว

นักศึกษาชายบางคนที่นั่งอยู่ด้านหน้าเหมือนกับเพิ่งจะได้สติ รีบวิ่งไปที่หน้าชั้นเพื่อนจะเข้าไปช่วยอาจารย์ แต่อาจารย์ห้ามเอาไว้ไม่ให้เข้ามาใกล้เพราะเกรงจะเป็นอันตราย ดูอาจารย์มีสติอยู่ตลอดเวลา ปรากฏว่าผ้าเปียกน้ำของอาจารย์ได้ผล เปลวไฟส่วนใหญ่เมื่อถูกผ้าเปียกปกคลุมก็ไม่ลาม มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่ลามเลียออกมาได้ เมื่อเปลวไฟมีขนาดเล็กลงอาจารย์ก็เดินหายเข้าไปในห้องเล็กอีก จากนั้นเดินออกมาพร้อมกับผ้าอีกผืนหนึ่ง จากนั้นเอาไปชุบน้ำแล้วเอามาโปะตรงส่วนที่เปลวไฟยังลามเลียอยู่ เพียงครู่เดียวไฟก็ดับหมดทั้งกอง เหลือเอาไว้แต่ควันไฟที่ลอยโขมงอยู่เต็มห้อง

หลังจากที่ไฟมอดดับลง เจ้าหน้าที่ชายคนเดิมก็กลับเข้ามาในห้องพร้อมกับเจ้าหน้าที่ชายอีกหลายคนวิ่งกรูกันเข้ามา ในมือของแต่ละคนถือเครื่องดับเพลิงอยู่

“ดับเสร็จแล้ว เดี๋ยวช่วยจัดการต่อทีก็แล้วกัน ผ้าห่มของใครก็ไม่รู้นะ หน้าสิ่วหน้าขวานขออนุญาตไม่ทัน” อาจารย์พูดกับเจ้าหน้าที่ ยังอดติดตลกไม่ได้ จากนั้นก็หันมาพูดกับพวกนักศึกษา “พวกเราลงไปข้างล่างกันก่อน อย่าดมควันนานๆ”

หลังจากนั้นอาจารย์และนักศึกษาทั้งหมดก็ออกไปยืนออกกันที่นอกตึก เมื่อยืนอยู่นอกตึกยังสามารถเห็นกลุ่มควันไฟลอยอ้อยอิ่งออกมาจากหน้าต่างห้องเรียนได้ ผมมองดูอาจารย์ด้วยความทึ่ง อาจารย์ดูใจเย็นและหนักแน่นมาก ตลอดเวลาที่เกิดเหตุอาจารย์สามารถควบคุมสติได้ในขณะที่ผมเองยังรู้สึกตกใจอยู่บ้าง

พวกเราทั้งหมดยืนคุยเฮฮากันอยู่พักใหญ่ จนอาจารย์บอกว่าสงสัยจะต้องเลิกชั้นเรียนในวันนี้เอาไว้เพียงแค่นี้ ก็พอดีกับที่เจ้าหน้าที่มาบอกว่าสามารถใช้ห้องเรียนต่อไปได้แล้ว อาจารย์จึงสั่งให้ทั้งหมดขึ้นไปเรียนต่อจนกว่าจะหมดคาบ

เมื่อหมดคาบลง ขณะที่อาจารย์เพิ่งเดินลับไปจากห้องและนักศึกษาก็เริ่มทยอยกันออกจากห้อง เห็นมีนักศึกษารุ่นพี่คนหนึ่งเดินมายืนที่หน้ากระดานดำ หยิบชอล์กเขียนบนกระดานอ่านได้ความว่า

“วันนี้ปี ๑ ทุกคนประชุมเชียร์ที่ห้องนี้ เวลา ๑๒.๓๐ น. ห้ามขาด”

“บอกเพื่อนๆด้วยนะน้อง วันนี้เป็นวันประชุมเชียร์วันแรก ต้องมาให้ได้” รุ่นพี่ที่เขียนกระดานกล่าวย้ำทิ้งท้ายก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้พวกปี ๑ ที่อยู่ในห้องวิจารณ์กันอื้ออึง หลายคนบ่นว่ากินอาหารไม่ทัน บ่นกันไปพลางทยอยกันเดินออกจากห้องไป

การเรียนในมหาวิทยาลัยนั้นต่างจากในโรงเรียนตรงที่ในโรงเรียนนั้นส่วนใหญ่เป็นอาจารย์เดินมาสอน นักเรียนนั่งอยู่แต่ในห้อง แต่ในมหาวิทยาลัยนั้นแทบทุกวิชาต้องเปลี่ยนห้องเรียนและตึกเรียน ดังนั้นนักศึกษาจึงได้เดินยืดเส้นยืดสายกันทุกคาบซึ่งก็ดีเหมือนกัน ทำให้ไม่ง่วง

วิชาถัดไปของผมเป็นวิชาแคลคูลัส ตึกเคมีกับตึกคณิตศาสตร์อยู่ห่างกันพอสมควร ต้องเดินข้ามสนามฟุตบอลไป ถ้าฝนตกกว่าจะไปถึงก็คงเปียกน่าดูเหมือนกัน ตึกคณิตศาสตร์นี้ก็เป็นตึกกลางเก่ากลางใหม่ ห้องเรียนใหญ่มีหน้าต่างมากมายทำให้ดูไม่อับทึบเหมือนตึกเคมี กระดานดำก็เป็นกระดานสีเขียวแบบที่เห็นกันทั่วไปในห้องเรียน กระดานมีเพียงแผ่นเดียว ดึงขึ้นลงไม่ได้ ส่วนที่นั่งเรียนนั้นเป็นเก้าอี้โครงเหล็กเหมือนเก้าอี้นั่งทั่วไป แต่มีเท้าแขนเป็นแผ่นไม้สำหรับรองเขียนหรือที่เรียกกันว่าเก้าอี้เลกเชอร์นั่นเอง

เก้าอี้เลกเชอร์นี้เป็นเก้าอี้เดี่ยว ดังนั้นต่างคนจึงเลือกที่นั่งกันตามสบาย ส่วนผมนั้นแยกจากแมวและจิ๊บหลบไปนั่งหลังชั้นเพราะเกรงว่าจะนั่งหลับและโดนอาจารย์เรียกอีก

ในที่สุดการเรียนในช่วงเช้าของวันแรกก็ผ่านไปโดยเรียบร้อย วิชาก่อนเที่ยงเป็นวิชาชีววิทยา เมื่อเรียนเสร็จพวกเราก็เดินเกาะกลุ่มกันไปยังโรงอาหารของคณะ หลายคนเดินคุยกันไปและพูดกูมึงกันราวกับรู้จักกันมานาน ส่วนผมนั้นก็เดินเกาะกลุ่มไปกับพวกที่นั่งเรียนเก้าอี้ใกล้ๆกัน ยังไม่ได้สนิทสนมกับใครเป็นพิเศษจนสามารถพูดกูมึงกันได้ เห็นคนที่สามารถเข้ากับเพื่อนๆได้อย่างรวดเร็วแล้วอดรู้สึกอิจฉาไม่ได้ สำหรับผมไม่ได้เข้ากับคนได้ง่ายขนาดนั้น ยังรู้สึกแปลกหน้าไม่คุ้นเคยกับเพื่อนๆอยู่บ้าง ใจจริงรู้สึกอยากเจอเพื่อนหรือรุ่นพี่จากโรงเรียนเก่า อย่างน้อยการที่มีสายเลือดโรงเรียนเดียวกันคงทำให้ผมหายเคว้งไปได้บ้าง ในเวลานี้แม้เป็นไอ้กี้ก็ยังดี แต่ก็ไม่เจอใครเลย

- - -

โรงอาหารของคณะเป็นห้องอาหารขนาดเล็ก ใช้พื้นที่ชั้นล่างใต้อาคารเรียนรุ่นเก่าเก่าหลังหนึ่งมาทำเป็นโรงอาหาร ที่จริงน่าจะเรียกว่าเป็นห้องอาหารมากกว่าเนื่องจากไม่ได้มีลักษณะเป็นโรงอะไร แต่ใครๆก็เรียกว่าโรงอาหารกันทั้งนั้นผมจึงเรียกโรงอาหารตามไปด้วย

เมื่อเราเข้าไปในโรงอาหาร ก้าวแรกที่ผมย่างเข้าไปในโรงอาหาร บรรยากาศก็เปลี่ยนไปทันที จากบรรยากาศที่ร่มรื่นของภายนอกกลายมาเป็นบรรยากาศที่ร้อนอบอ้าว กลิ่นอาหารตลบอบอวล นักศึกษาทุกชั้นปีทั้งนั่งและเดินกันแน่นโรงอาหารไปหมด มีแผงขายอาหาร น้ำดื่ม และขนม รวมแล้วไม่ถึง ๑๐ แผง โรงอาหารที่โรงเรียนเก่าของผมขนาดว่าแน่นแล้วยังเป็นรองที่นี่ ที่คานของห้องอาหารมีโปสเตอร์ขนาดใหญ่ห้อยลงมาสะดุดตา ชนิดที่ว่าใครเข้ามาก็ต้องเห็น บนโปสเตอร์มีภาพของเด็กผอมเหลือแต่ซี่โครงซึ่งน่าจะเป็นเด็กในทวีปแอฟริกา ดูแล้วน่าเวทนา ใต้ภาพมีข้อความเด่นสะดุดตาเขียนเอาไว้ว่า

“กินอาหารให้หมด คนอดยังมี”

เมื่อผมเห็นภาพนี้เป็นครั้งแรกผมถึงกับชะงัก อดนึกย้อนไปถึงพฤติกรรมการกินอาหารของตนเองไม่ได้ ตั้งแต่เด็กมาผมถูกสอนไม่ให้กินทิ้งกินขว้างอยู่แล้ว แต่บางครั้งในจานอาหารก็ไม่ถึงกับเกลี้ยง มีเหลืออาหารติดก้นจานเอาไว้นิดหน่อยเพื่อไม่ให้เพื่อนล้อว่าตะกละตะกลาม แต่เมื่อเห็นภาพนี้เข้าความคิดของผมก็เปลี่ยนแปลงไป

เมื่อเข้ามาในโรงอาหารกลุ่มของเราก็แตกกระจาย ต่างคนต่างก็ไปเลือกซื้ออาหาร เรื่องที่นั่งนั้นไม่ต้องห่วงว่าจะได้นั่งกินด้วยกัน แค่หาที่กินให้ได้ก็ยากแล้ว แต่เรื่องเล่นเกมเก้าอี้ดนตรีเป็นของถนัดสำหรับผมมาตั้งแต่อยู่โรงเรียนเก่าแล้ว ดังนั้นภายในเวลาไม่นานหลังจากที่ผมซื้ออาหารเสร็จผมก็สามารถหาที่นั่งจนได้ มันเป็นที่นั่งว่างประมาณ ๔-๕ ที่ติดกัน ตรงกลางของที่ว่างนั้นมีนักศึกษาหญิงคนหนึ่งหันหลังให้ผมนั่งกินอยู่เพียงคนเดียว สองข้างของนักศึกษาคนนั้นว่างโล่งราวกับเพิ่งมีใครลุกไป

สบายล่ะ เมื่อผมเห็นที่นั่งว่างตรงนั้นเข้าผมก็เสียบเข้าไปนั่งทันที

“นั่งด้วยคนนะครับ” ผมเอ่ยทักทายนักศึกษาหญิงที่นั่งอยู่ข้างๆจากนั้นก็นั่งลง ทักทายกันเอาไว้เผื่อจะได้เพื่อนๆเพิ่มขึ้นบ้าง ที่จริงผมก็ยังไม่รู้ว่าคนที่นั่งข้างๆนั้นเป็นปีหนึ่งหรือว่าเป็นรุ่นพี่กันแน่เนื่องจากเส้นผมยาวของเธอบดบังใบหน้าไปเป็นส่วนใหญ่ทำให้เห็นหน้าไม่ชัด แต่ถึงอย่างไรก็ทักเอาไว้ก่อน

“นี่ ชาวปู ตัวเองชื่ออะไรน่ะ” นักศึกษาหญิงหันมาถามผมด้วยเสียงยานคางและแหบห้าว

เสียงนั้นเป็นเสียงของผู้ชาย ผมอดเหลือบมองใบหน้าของเธอซ้ำอีกครั้งไม่ได้ เมื่อผมเห็นใบหน้าของเธอชัดขึ้นก็ต้องตกใจ เพราะว่า ‘เธอ’ นั้นไม่ใช่ ‘เธอ’ เนื่องจาก ‘เธอ’ ไม่ได้เป็นผู้หญิง แต่ ‘เธอ’ เป็นผู้ชายที่ไว้ผมยาว!

“เอ้อ ชาวปู” ผมงง ไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร ก้นก็ขยับถอยห่างออกมา ชักไม่แน่ใจว่า ‘เธอ’ คนนั้นเป็นใครหรือว่าเป็นเพศอะไรกันแน่ แถมใบหน้ายังเดาอายุไม่ออกแต่อย่างน้อยก็ไม่ใช่ปีหนึ่งแน่นอน

“แหม” เธอผู้นั้นลากเสียงยาว “ก็พวกเรานั่นแหละ ชาวปู ตัวเองชื่ออะไรล่ะ”

“ชื่ออูครับ แล้วพี่ชื่ออะไรครับ” ผมตอบพร้อมถามกลับไป ชักรู้สึกแหม่งๆเมื่อผมต้องกลายเป็น ‘ตัวเอง’ ไป

“พวกเราชาวปู อยู่ในรู กระดึ๊บ กระดึ๊บ” เธอผู้นั้นเอื้อนเบาๆออกมาเป็นเพลงแต่ไม่ยอมบอกชื่อแก่ผม

“พี่ครับ เพื่อนมันเรียกให้ไปนั่งกับมันทางโน้น เมื่อกี้พอดีไม่มีที่ว่าง ผมเลยเดินมาหาทางนี้ ผมขอตัวก่อนนะพี่” ผมเห็นท่าไม่ค่อยดีจึงรีบพูดพร้อมกับลุกขึ้น ในใจก็รู้สึกกลัวอยู่นิดๆเพราะว่าผู้ที่ผมกำลังคุยอยู่ด้วยนั้นมีลักษณะแปลกๆแม้ว่าจะไม่ได้แสดงท่าทีดุร้ายออกมาแต่อย่างใด ตรงกันข้าม กลับพูดจาอ่อนหวานนุ่มนวลเสียด้วยซ้ำ แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังอดกลัวไม่ได้อยู่ดี

“แหม ไม่นั่งคุยกันก่อนเหรอ เค้าอยากมีคนคุยด้วย” เค้า พูดจาอ้อนผมเล็กน้อย

“แหะๆ ต้องขอตัวจริงๆพี่ ต้องรีบกินแล้วไปประชุมเชียร์อีก ขอโทษนะครับ” พูดจบผมก็ยกจานอาหารลุกออกมาแล้วรีบเดินหลบไปกินที่ม้าหินใต้ต้นไม้นอกโรงอาหารอยู่คนเดียว ไม่กล้านั่งกินอยู่ภายในโรงอาหารเนื่องจากกลัว ‘เค้า’ มาเจอแล้วพบว่า ‘ตัวเอง’ ไม่ได้นั่งกินอาหารอยู่กับเพื่อนๆดังที่ได้อ้างเอาไว้

โห คณะนี้มีอะไรแปลกๆเยอะเลย ท่าทางจะสนุก แค่วันแรกก็เจอเรื่องแปลกไปหลายเรื่องแล้ว นี่ถ้าอยู่จนจบปริญญาตรีคงเจอเรื่องประหลาดเป็นพันๆเรื่องเป็นแน่ ผมคิดขำอยู่ในใจ

- - -

“เอ้า น้อง ขึ้นไปแล้วเข้าไปนั่งที่เร็วๆ ตรงต่อเวลากันหน่อย” เสียงรุ่นพี่หลายคนทั้งชายและหญิงจำนวนเกือบสิบคนยืนเอะอะเอ็ดตะโรอยู่ที่หน้าตึกเคมีเก่าคอยกวาดต้อนนักศึกษาปีหนึ่งเข้าไปในห้องบรรยายใหญ่ที่เพิ่งเกิดไฟไหม้ไปเมื่อเช้า “เร็ว เร็ว เร็ว อย่าอ้อยอิ่ง”

พวกปีหนึ่งที่ตอนแรกเดินอย่างอ้อยอิ่งพอมาถึงหน้าตึกเมื่อโดนรุ่นพี่กวาดต้อนด้วยน้ำเสียงอันดุดันต่างก็รีบโกยอ้าวขึ้นตึกไป เมื่อขึ้นไปถึงหน้าห้องบรรยายใหญ่ก็ยังพบรุ่นพี่อีกจำนวนหนึ่งยืนแจกหนังสือเพลงเชียร์อยู่ที่หน้าห้องพร้อมทั้งคอยเร่งรัดให้นักศึกษารีบเข้าไปนั่งในห้อง

“นั่งเข้าไป นั่งเข้าไป ไม่ต้องมัวเลือกที่นั่ง เร็วๆ” รุ่นพี่เอ็ดตะโรเสียงเข้ม

หลายคนบ่นอุบอิบว่าไม่เห็นเหมือนกันตอนวันแรกพบน้องใหม่หรือตอนที่ผูกข้อมือน้องเลยซึ่งผมก็ว่ามีส่วนจริงอยู่เหมือนกัน ตอนนั้นรุ่นพี่ดูอบอุ่นและเป็นกันเอง แต่รุ่นพี่กลุ่มที่จัดประชุมเชียร์ในวันนี้กลับดุและเข้มงวดไม่ต่างอะไรกับตอนที่เรียน รด. เลย

หลังจากที่นักศึกษาเข้าที่นั่งเรียบร้อย รุ่นพี่ก็พากันมาแนะนำตัวที่หน้าชั้น โดยแนะนำตัวประธานเชียร์ ของคณะ รองประธานเชียร์ และคณะทำงาน พวกพี่ๆอธิบายให้ฟังว่ากิจกรรมเชียร์เป็นกิจกรรมหลักอย่างหนึ่งของนักศึกษาในคณะเพราะในแต่ละปีจะมีการแข่งขันกีฬาหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็นกีฬาระหว่างคณะ กีฬามหาวิทยาลัย รวมทั้งการแข่งขันนัดพิเศษต่างๆ ซึ่งกำลังสำคัญทั้งในด้านตัวนักกีฬาและด้านกองเชียร์ก็คือนักศึกษาปีหนึ่งนั่นเอง อีกอย่างก็คือการเชียร์กีฬาทำให้เกิดวินัยและความกลมเกลียวในหมู่คณะ ดังนั้นนักศึกษาปีหนึ่งในคณะทุกคนจึงจำเป็นต้องมาซ้อมเชียร์เป็นประจำตามที่สตาฟเชียร์ของคณะจะเป็นผู้นัดหมาย ห้ามเบี้ยวเป็นอันขาด

หลังจากที่สตาฟเชียร์ร่ายยาว หลังจากนั้นก็เริ่มสอนน้องๆให้ร้องเพลงเชียร์ โดยเพลงแรกที่พวกเราได้หัดก็คือเพลงบูมประจำคณะ

“เอาใหม่ ร้องให้ดังอีก เสียงมีแค่นี้เองเหรอ” ประธานเชียร์ตะโกนลั่น ส่วนพวกเราปีหนึ่งก็โก่งคอร้องกันจนหน้าดำหน้าแดง ร้องเท่าไรก็ไม่ถูกใจท่านพี่ประธานเสียที

“นี่ ต้องยังงี้ คอยฟังนะ” ประธานเชียร์ตะโกนลั่นหลังจากที่พวกเราบูมจบลง จากนั้นพวกสตาฟเชียร์ก็บูมให้พวกน้องๆฟัง แม้มีเพียงสิบกว่าคนแต่บูมได้สนั่นแก้วหูจริงๆ

“ขอเป็นครั้งสุดท้าย แล้วจะปล่อยให้ไปเรียนภาคบ่ายกันแล้ว” ประธานเชียร์ตะโกนจนคอโป่งพองออกมา “ร้องอีกครั้ง เอาให้สุดเสียงเลย น้องเป็นร้อยเสียงแพ้พวกพี่สิบกว่าคนก็อายหมาแล้ว แล้วตอนแข่งกีฬาถ้าบูมแล้วเสียงแพ้คณะอื่นยิ่งอายหมาเข้าไปใหญ่ จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน หา”

ร้องสู้ไม่ได้ก็ไม่เห็นจะต้องอายหมาตรงไหน แต่ถึงอย่างไรก็ตาม พวกน้องๆเมื่อถูกท้าทายเช่นนี้ก็ชักฮึดสู้ ตะเบ็งเสียงบูมแข่งกับรุ่นพี่บ้าง ร้องไปร้องมาก็ชักสนุก เพียงครึ่งชั่วโมงที่ซ้อมเชียร์ปรากฏว่าเสียงแสบเสียงแห้งไปตามๆกัน

- - -

การเรียนในช่วงบ่ายเป็นวิชาแล็บเคมี วิชาแล็บหรือว่าวิชาปฏิบัติการนี้แม้มีน้ำหนักเพียงวิชาละ ๑ หน่วยกิต แต่หนึ่งหน่วยกิตของวิชาแล็บนั้นเท่ากับ ๓ ชั่วโมง ห้องปฏิบัติการเคมีของพวกเราเป็นห้องขนาดใหญ่ ภายในห้องเรียงรายไปด้วยโต๊ะที่มีลักษณะเป็นเคาน์เตอร์ขนาดใหญ่หลายตัว โต๊ะแต่ละตัวนั่งได้ ๑๐-๑๒ คน บนโต๊ะมีชั้นวางของ บนชั้นเต็มไปด้วยขวดแล้วและเครื่องแก้วอื่นๆเต็มไปหมด ตรงกลางโต๊ะเป็นรางน้ำยาวตลอดแนวโต๊ะ มีก๊อกน้ำเรียงรายอยู่ แถมยังมีท่อแก๊สสำหรับจ่ายแก๊สหุงต้มเพื่อเอาไว้ใช้กับตะเกียงแก๊สอีกด้วย เครื่องมือเครื่องใช้แต่ละอย่างดูผ่านการใช้งานมาอย่างยาวนาน

ในวิชาแล็บเคมีนั้นการทำการทดลองในแต่ละเรื่องจะไม่ได้ทำเพียงคนเดียว แต่จะมีการจับคู่กันเพื่อช่วยกันทำงานหรือที่เรียกว่าเป็นบัดดี้กัน ซึ่งอาจารย์ที่ควบคุมห้องแล็บให้พวกนักศึกษาจับคู่กันเองตามอัธยาศัย พวกที่คุ้นเคยกันอยู่แล้วก็สามารถจับกลุ่มกันได้อย่างรวดเร็ว ยกเว้นผมที่ยืนละล้าละลังไม่รู้ว่าจะจับคู่กับใครเนื่องจากหันไปทางไหนก็จับคู่ได้กันไปจนหมดแล้ว

เมื่อใกล้ๆตัวไม่มีคู่ให้จับ ผมก็ต้องวิ่งเร่ไปหาคู่ที่โต๊ะอื่นๆ จนในที่สุดก็ไปปะกับนักศึกษาร่างเล็ก หัวโต ผิวขาว ใส่แว่นสีฟ้ากรอบทองทรงหยดน้ำตาขนาดใหญ่ ใครใส่แว่นทรงนี้ในสมัยนี้คงเชยแหลก แต่สมัยก่อนนิยมกัน

“เฮ้ย นายได้บัดดี้หรือยัง” ไอ้คนนั้นถามผม

“ยังเลย” ผมตอบ “นายล่ะ”

“โอ๊ย แย่ฉิบหาย ไม่มีใครเอาเราเลยว่ะ” นักศึกษาร่างเล็กหัวเราะพร้อมทั้งบ่นอย่างอารมณ์ดี หมอนี่ดูเป็นคนยิ้มง่าย ท่าทางตลกๆ

“ฮื่อ เหมือนกันนั่นแหละ” ผมตอบ

“งั้นเราเป็นบัดดี้กันก็แล้วกันนะ ขี้เกียจวิ่งหาแล้ว” มันสรุปเอาดื้อๆ

ว่าแล้วมันก็แนะนำตัวเองว่าชื่อชาญ ผมก็แนะนำตัวเองไปบ้าง ชาญหน้าตาไม่จัดว่าหล่อแต่ก็น่ารักดีทีเดียว อีกทั้งยังยิ้มง่าย อารมณ์ดี เราสองคนสามารถเข้ากันได้อย่างรวดเร็ว

การเรียนวิชาแล็บในวันนั้นก็ไม่มีอะไรมากนัก เป็นเพียงการแนะนำให้รู้จักเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ จากนั้นปลายคาบอาจารย์ก็ให้ไปลงชื่อจองซื้อเสื้อกาวน์ซึ่งเป็นเสื้อสำหรับสวมทับชุดนักศึกษาในเวลาทำแล็บเพื่อป้องกันไม่ให้ชุดนักศึกษาเปรอะเปื้อนหรือเสียหายจากสารเคมีในระหว่างการเรียน เมื่อสั่งเสื้อกาวน์เสร็จเรียบร้อยก็กลับได้

“จะกลับบ้านแล้วเหรอ” ชาญถามผมขณะที่เราออกมายืนอยู่ที่หน้าห้องแล็บและเตรียมจะแยกย้าย

“เปล่า ยังไม่กลับ ว่าจะแวะไปที่โต๊ะกลุ่มเสียหน่อย” ผมตอบ

“นายกลุ่มอะไรวะ” ชาญถาม

ผมตอบไปว่ากลุ่มสาม ชาญก็บอกว่ามันก็กลุ่มสาม เราสองคนต่างก็แปลกใจเพราะว่าจำไม่ได้เลยว่าเคยเห็นอีกฝ่ายหนึ่งที่โต๊ะกลุ่ม แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อรู้ว่าอยู่กลุ่มเดียวกัน ความสนิทสนมก็ดูเหมือนจะเพิ่มพูนขึ้นอีกมาก

เมื่อเราไปถึงกลุ่มสามก็เห็นพวกเสื้อขาวผูกเนกไทหรืออีกนัยหนึ่งพวกนักศึกษาปีหนึ่งเต็มไปหมด รุ่นพี่ปีอื่นๆก็มีแต่ว่ามีจำนวนน้อยกว่า พร้อมกันนั้นบนบอร์ดประจำกลุ่มมีข้อความเขียนตัวโตๆเอาไว้ว่า

“ชี่กลุ่มสามทุกคนวันจันทร์นี้ให้มาที่กลุ่มเวลา ๑๖ น.”

“ชี่” ชาญพูดแบบงงๆ

“ชี่ก็เฟรชชี่ หมายถึงปีหนึ่งไง” ผมอธิบาย พร้อมกับแอบขำอยู่ในใจ แปลกใจที่ชาญไม่รู้จักคำนี้ มันบอกว่าบ้านอยู่ฝั่งธนฯ ดูท่าจะเป็นคนกรุงเทพฯ แค่คำว่าเฟรชชี่ก็ไม่รู้จัก ขนาดผมเป็นเด็กมาจากต่างจังหวัดยังดูจะมีความรู้รอบตัวมากกว่ามันเสียอีก

“อ้อ เหรอ” ชาญหัวเราะพร้อมกับผิวปากเป็นเพลงอะไรก็ไม่รู้ แต่ฟังแล้วเหมือนกับจะไม่เป็นเพลงเสียมากกว่า “นัดอีกแล้ว เรียนมหาลัยนี่นัดเยอะฉิบหาย มีนัดโน่นนัดนี่แทบทุกวัน ตอนเรียนมัธยมไม่เห็นยุ่งยากแบบนี้”

“นั่นดิ” ผมเห็นด้วย


<โรงอาหารที่โรงเรียนเก่าของผมขนาดว่าแน่นแล้วยังเป็นรองที่นี่ ที่คานของห้องอาหารมีโปสเตอร์ขนาดใหญ่ห้อยลงมาสะดุดตา ชนิดที่ว่าใครเข้ามาก็ต้องเห็น บนโปสเตอร์มีภาพของเด็กผอมเหลือแต่ซี่โครงซึ่งน่าจะเป็นเด็กในทวีปแอฟริกา ดูแล้วน่าเวทนา ใต้ภาพมีข้อความเด่นสะดุดตาเขียนเอาไว้ว่า ‘กินอาหารให้หมด คนอดยังมี’>