Wednesday, October 28, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 27

เมื่อเดินเข้าไปใกล้จึงได้เห็นร่างนั้นชัดตา แป๋งนั่นเอง

“อ้าว แป๋ง มีอะไรเหรอ” ผมถาม “ขึ้นมาเสียดึกเชียว”

ไม่มาดึกขนาดนี้แล้วจะเจอนายเหรอ” แป๋งย้อน “ไป เข้าไปคุยกันในห้องดีกว่า”

แป๋งพูดหน้าตาเฉยราวกับเป็นเจ้าของห้อง ที่จริงมันก็มีส่วนเป็นเจ้าของจริงๆนั่นแหละ เพราะว่าเป็นลูกชายเจ้าของห้องนี้

ผมไขกุญแจและเปิดเข้าไปในห้อง เมื่อเข้าไปข้างใน ก็คลำหาสวิทช์ไฟ

แสงไฟจากหลอดบนเพดานทำให้เราสองเห็นกันชัดเจนขึ้น เห็นแป๋งกวาดตามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า เหมือนกับพี่คนที่สวนกับผมที่หน้าห้องน้ำ จนผมรู้สึกเขิน

“ดูอะไรวะ” ผมพูด “ดูอยู่นั่นแหละ”

“หูย ผิวนายขาวจัง” แป๋งพูด “เคยโดนแดดมั่งหรือเปล่าเนี่ย”

“ไม่ใช่แดรกคิวลานี่หว่า จะได้กลัวแดด ตอนมาหาหอก็เดินจนตัวดำไปเยอะ เมื่อก่อนขาวกว่านี้อีก” ผมตอบ พร้อมกับคุยทับไปอีกหน่อย

“นายมาหา มีไรเหรอ” ผมถามด้วยความสงสัย สังเกตเห็นในมือแป๋งมีม้วนกระดาษเป็นทรงกระบอกอยู่

“เห็นนายไม่เคยดูหนังสือปกขาว เลยเอามาแบ่งให้ดู” แป๋งพูดหน้าตาเฉย พร้อมกับชูม้วนกระดาษในมือ แล้วคลี่ออก

โห ทำไมถึงได้ใจดีขนาดนี้

“เออ ๆ ขอบใจว่ะ” ผมพูด ว่าแล้วก็หยิบกางเกงขาสั้นขึ้นมาเตรียมจะใส่ “เดี๋ยวขอแต่งตัวก่อน”

“เฮ้ย เพิ่งได้มาใหม่เลยนะอู” แป๋งคุย ว่าแล้วก็พลิกหนังสือเปิดข้างในเล่มแล้วยื่นใส่หน้าผม “ดูซะก่อน เจ๋งขนาดไหน”

ภาพที่เห็นในหนังสือ เป็นภาพหญิงสาวคนหนึ่ง กำลังเลียท่อนเนื้อแท่งมหึมาของนายแบบรูปหล่อ ภาพคมชัด สีสวยสด หนังสือเล่มนี้คุณภาพดีกว่าที่ผมเคยดูมาก

ภาพในหนังสือกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาในร่างกายของผมทันที ผมรู้สึกว่าผ้าเช็ดตัวที่หุ้มกายผมกำลังโป่งพองขึ้นมา ผมรีบหันหลังให้แป๋งแล้วใส่กางเกงทันที

อ้าว กางเกงในอยู่ในตู้ไม่ได้เตรียมเอาไว้ ปกติถ้านอนคนเดียวผมไม่ได้ใส่กางเกงในเพราะขี้เกียจซักผ้า ถึงตอนนี้จะใส่ก็ใส่ไม่ลงอยู่ดี เพราะแข็งไปเรียบร้อยแล้ว ก็เลยใส่แต่กางเกงขาสั้น

ผมถือเสื้ออยู่ในมือเพื่อบังเป้าเกางเกงที่โป่งพองเอาไว้ แล้วนั่งลงที่เตียง เห็นแป๋งกวาดตามองผมไปทั้งตัวอีก

“ขอบใจนะแป๋ง เดี๋ยวเราค่อยดู” ผมพยายามตัดบทและพูดเพื่อส่งแขก

“เฮ้ย ดูด้วยกันดิ ดูคนเดียวจะไปหนุกได้ไง” แป๋งพูด

ไอ้แป๋งนะไอ้แป๋ง บ้านกูไม่ได้อยู่หลังเขานะโว้ย ไอ้แป๋งพูดแค่นี้ผมก็พอเดาอะไรๆได้แล้ว

“งั้นเอามานั่งดูกันดิ” ผมพูด พลางชวนแป๋งนั่งที่เตียง ตอนนั้นผมไม่ได้ใส่เสื้อ ใส่แต่กางเกงขาสั้น และใช้เสื้อคลุมเป้ากางเกงเอาไว้

เราดูหนังสือปกขาวด้วยกัน แป๋งให้ผมเป็นคนพลิกหน้าหนังสือเอง ส่วนมันดูตามผม ผมสังเกตว่าขณะที่ผมดูหนังสือ มันเหลือบมามองผมเป็นระยะ ท่อนเนื้อของแป๋งภายในกางเกงนอนบางๆค้ำกางเกงจนเป็นเสากระโดง แป๋งไม่ได้ใส่กางเกงในจึงเห็นขนาดของมันได้ชัด มันคงรำคาญเสื้อที่พาดอยู่ของผมเต็มที ที่จริงผมก็รู้ แต่ผมจะแกล้งมัน

“เจ๋งมาก” ผมชม หนังสือเล่มนี้ภาพสวยจริงๆ เห็นโจ่งแจ้งทุกรูขุมขน แต่ส่วนใหญ่ผมจะมองแต่ท่อนเนื้อของฝ่ายชายมากกว่า ไม่ค่อยตื่นเต้นกับเนินสวรรค์และหลืบถ้ำของฝ่ายหญิงนัก

ไอ้แป๋งกลืนน้ำลายดังอึก ผมเองก็แอบกลืนน้ำลายเหมือนกัน แต่ไม่กล้าแสดงท่าทีอะไรออกมา ประสบการณ์อันเลวร้ายที่ผ่านมาของผมสอนให้ผมระวังตัวมาก โดยเฉพาะในหมู่เพื่อนฝูงซึ่งมีทั้งคนที่เฉยๆและคนที่เกลียดเกย์ปะปนกัน

ผมไม่กล้าเหลือบมองแป๋งมาก กลัวตบะแตกเหมือนกัน จึงก้มหน้าก้มตาดูหนังสือ

“เฮ้ย แข็งปะ” แป๋งพูด ไม่พูดเปล่า มือเอื้อมมาจับที่เป้ากางเกงของผม

“เฮ้ย อย่าดิ อาย” ผมปัดมือมันออก ที่จริงแกล้งอาย

“นี่ไม่เคยชักว่าวจริงๆเหรอ” แป๋งถามอีก

ผมส่ายหน้า ไม่พูดอะไร

“สอนให้เอาไหม” แป๋งรุกคืบอีก ตอนนี้เป้างกางเกงของแป๋งกระดกหงึก มีหยดน้ำซึมออกมาเปียกกางเกงเป็นดวง

“นายก็ชักให้ดูหน่อยดิ น้ำเยิ้มแล้ว” ผมยังเล่นตัว สงวนท่าทีอยู่

“อะ ก็ได้ ดูนะ” แป๋งพูด ว่าแล้วก็ร่นกางเกงนอนลงไปอยู่ที่ระดับเข่า เผยให้ท่อนเนื้อของมันดีดผึงออกมาชมโลกภายนอก “เฮ้ย นายไปล็อกประตูซะ”

ผมเดินไปล็อกลูกบิดประตู แล้วกลับมานั่งดูแป๋ง เห็นท่อนเนื้อของแป๋งแข็งโด่ หัวเห็ดเปิดออกมาได้ครึ่งหัว เผยให้เห็นเนื้อเห็ดแดงก่ำ ตรงปลายเยิ้มไปด้วยน้ำใสๆ พงหญ้าของแป๋งดกดำมาก มีไรขนลามขึ้นมาที่ท้องน้อยแล้วด้วย แป๋งคงเป็นพวกพันธุ์ขนดก

“ไหน ทำไง” ผมทำไขสือ

แป๋งรูดมือ ร่นหนังหุ้มลงมาจนสุด เผยให้เห็นดอกเห็ดทั้งหมด มันเป็นสีม่วงคล้ำตามสีผิว ท่อนเนื้อของแป๋งค่อนข้างผอม พอๆกับเจ้าของร่าง ผมว่าแป๋งผอมแห้งไปสักหน่อย

“นี่ๆ ทำงี้” ไปพูด พลางขยับมือขึ้นลงเบาๆ หนังหุ้มปลายผลุบเข้าผลุบออกที่ส่วนดอกเห็ด จนน้ำใสๆที่เคลือบปลายดอกเห็ดกลายเป็นฟองฟ่อดเล็กๆ

“มา เราทำให้นายดีกว่า” แป๋งพูด พลางเอามือตะปบไปที่เป้างกางเกงของผมอีก คราวนี้ผมเล่นตัวไม่ไหวแล้ว ภาพที่เห็นเบื้องหน้าทำให้อารมณ์ของผมที่เก็บกดมานานคุโชนขึ้นมา ผมปล่อยให้แป๋งจับแต่โดยดี

“ถอดกางเกงออกดิ” แป๋งสั่ง ผมรูดกางเกงขาสั้นลงอย่างว่าง่าย ทีแรกที่ว่าจะแกล้งมันก็กลับกลายเป็นให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

“หูย น้ำเยิ้มโคตรเยอะเลย” แป๋งอุทาน เมื่อมันจับท่อนเนื้อของผมรีดและมีน้ำใสๆออกมาที่ส่วนปลาย

แป๋งชักมือขึ้นลง แป๋งชักเก่งมาก ผมรู้สึกเสียวสบาย ขาทั้งสองข้างของผมเกร็งไปหมด

“เฮ้ย ชักให้มั่งดิ” แป๋งสั่งผม ผมเอื้อมมือไปจับท่อนเนื้อของมัน รูดขึ้นลงไปมาบ้าง

แป๋งครางเบาๆ เราสองคนต่างชักให้กันและกันเพียงครู่เดียว แป๋งก็ครางออกมาอีก “อู จะแตกแล้ว”

Saturday, October 24, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 26

ดึกแล้ว...

กว่าจะอาบน้ำเสร็จก็เกือบห้าทุ่ม ฝนที่เทลงมาตั้งแต่หัวค่ำยังไม่หยุด ทำให้อากาศในคืนนั้นเย็นสบาย

โต๊ะทำงานในห้องนี้ตั้งหันหน้าเข้าหาหน้าต่างเช่นเดียวกับที่บ้านคุณลุง ผมปิดไฟในห้องและนั่งปล่อยความคิดให้ล่องลอยเหมือนดังที่เคยทำ ที่บ้านคุณลุงผมสามารถทอดสายตาออกไปในความมืดได้ไกลพอสมควรเพราะด้านตรงข้ามบ้านเป็นที่ดินว่างเปล่า แต่สำหรับที่นี่ เมื่อทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างก็ต้องพบตึกที่ทอดขวางอยู่เพราะว่าด้านตรงข้ามของตึกหลังนี้ก็เป็นตึกแถวเช่นกัน

ตอนมาดูห้องใหม่ๆ ผมชอบที่ห้องนี้มีโต๊ะทำงานหันหน้าเข้าหาหน้าต่างซึ่งสามารถมองออกไปข้างนอกได้ แต่เมื่อได้มาอยู่จริงๆแล้วก็อดรู้สึกผิดหวังไม่ได้ เพราะว่าอะไรๆกลับไม่เป็นอย่างที่คิดเอาไว้

ผมอดนึกถึงบ้านคุณลุงที่ผมเคยอยู่มาเป็นเวลาสามปีกว่าไม่ได้ เมื่อคิดถึงเรื่องเก่าๆขึ้นมา ความเหงาก็จู่โจมเข้ามาอย่างที่ผมไม่ทันตั้งตัว บรรยากาศอันเย็นเยือกของยามดึกในคืนวันฝนตกทำให้ผมรู้สึกเดียวดายจนจับขั้วหัวใจ...

- - -

วันต่อมา ผมตื่นนอนค่อนข้างสาย เนื่องจากเมื่อวานเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน งานผมของในวันนี้ก็คือจัดของต่อ เมื่อมีโต๊ะสามชั้นสำหรับวางของแล้วอะไรๆก็ง่ายขึ้น ผมเอาหนังสือเรียนและของใช้อื่นๆขึ้นมาวางบนโต๊ะจนหมด จัดแยกให้เป็นระเบียบ เพียงเท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อย ยังขาดอยู่ก็เพียงแต่เครื่องใช้บางอย่าง เช่น พัดลม ที่ต้องไปซื้อเอาใหม่เนื่องจากพัดลมเครื่องเดิมที่เคยใช้ที่บ้านคุณลุงผมไม่สามารถเอามาด้วยได้ คิดไปแล้วก็เสียดายเงินเหมือนกัน ของที่ไม่น่าจะต้องซื้อก็ต้องซื้อเพราะไม่สามารถขนมาได้

เนื่องจากเมื่อคืนฝนตก อากาศในตอนเช้าจึงยังเย็นสบาย ดังนั้นผมจึงไม่รีบร้อนที่จะไปซื้อพัดลม เพราะว่าวันนี้ขี้เกียจออกไปไหน เอาไว้เมื่อไรออกไปข้างนอกค่อยซื้อของเข้ามาทีเดียวให้ครบจะดีกว่า

จนถึงเวลาใกล้เที่ยง ความคิดของผมก็ต้องเปลี่ยนไป เพราะว่าพอยามสายอากาศภายในห้องกลับกลายเป็นร้อนอบอ้าว ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าชั้นที่ผมอยู่เป็นชั้นสี่ ข้างบนเป็นดาดฟ้าที่รับแดดตลอดทั้งวัน เมื่อแดดแผดเผาพื้นชั้นดาดฟ้า ความร้อนก็ถ่ายเทลงมายังห้องข้างล่าง

โอย ไม่ไหวแล้ว รีบไปซื้อพัดลมดีกว่า ผมคิดในใจ ห้องนอนของผมที่บ้านคุณลุงแม้จะอยู่ชั้นสอง ข้างบนเป็นหลังคา แต่อากาศในห้องก็ยังไม่ร้อนอบอ้าวขนาดนี้

ผมเดินลงไปซื้อขันน้ำที่ชั้นล่าง ที่นั่น ผมเห็นเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งกำลังนั่งคุยโทรศัพท์อยู่

วัยรุ่นคนนี้นั่งคุยโทรศัพท์อยู่ที่โต๊ะของพี่พร แสดงว่าคงเป็นลูกชายอีกคนหนึ่งของคุณน้าซึ่งผมยังไม่เคยพบหน้า ป๋องนั่นเอง

ป๋องเป็นคนผิวขาว สีผิวแตกต่างจากแป๋ง เห็นได้ชัดว่าป๋องได้รับสีผิวมาจากทางแม่ เพราะคุณน้าเป็นคนผิวขาว แสดงว่าแป๋งคงได้รับสีผิวมาจากทางพ่อเป็นแน่ ใบหน้าของป๋องเรียวยาว คมคายสู้น้องชายไม่ได้ ดวงตาส่อแววเอาเรื่อง กิริยาตอนคุยโทรศัพท์ก็กระโชกโฮกฮาก รวมแล้วท่าทางค่อนข้างเฮี้ยว แตกต่างจากน้องชายที่ทะลึ่งทะเล้นอย่างสิ้นเชิง

เมื่อป๋องวางสาย ผมก็ไปจ่ายเงินค่าขันน้ำกับป๋อง เราคุยทักทายกันสองสามคำ ป๋องคุยกับผมด้วยท่าทีกวนๆ แข็งๆ นิดหน่อย ดูไปแล้วแป๋งมีนิสัยที่เป็นมิตรกว่ามาก

เมื่อได้ขันน้ำมาแล้ว ผมก็เตรียมตัวอาบน้ำ คราวนี้ใช้วิธีการใหม่ตามที่ได้เห็นมาเมื่อคืน คือนุ่งผ้าเช็ดตัวและเอาของใช้ใส่ขันน้ำแล้วเดินออกจากห้องไป

เมื่ออาบน้ำเสร็จ ผมก็นุ่งผ้าเช็ดตัวเช่นเดิมและรีบเดินออกจากห้องน้ำเพื่อกลับห้อง ห้องน้ำของทุกชั้นอยู่ติดกับบันได เมื่อผมเดินออกมาจากห้องน้ำก็สวนกับสาวในวัยทำงานคนหนึ่งจนเกือบชนกัน

“เฮ้ย” ผมอุทานด้วยความตกใจ หญิงสาวคนนั้นก็ดูตกใจเหมือนกัน แต่ดีที่เราไม่ถึงกับชนกัน

“ว้าย” เธออุทานออกมา “จู่ๆโผล่มาตกใจหมดเลย”

“โทษครับพี่ ผมรีบเดินไปหน่อย” ผมพูด

หญิงสาวซึ่งคาดว่าน่าจะพักอยู่ชั้นเดียวกันมองเรือนร่างที่ห่อหุ้มด้วยผ้าเช็ดตัวเพียงบางส่วนของผม

“เอ้อ ไม่เป็นไรจ้ะน้อง” หญิงสาวพูด จากนั้นก็เดินไปไขประตูห้องพักที่อยู่ติดกับห้องน้ำ ห้องของพี่คนนี้อยู่ติดห้องน้ำนี่เอง

ผมอดรู้สึกเขินกับสายตาที่กวาดสำรวจไปทั่วเรือนร่างของผมไม่ได้ ที่จริงผมก็ไม่ใช่เป็นคนขี้อายนัก ตอนที่อยู่โรงเรียนประจำชั้นประถมผมก็แก้ผ้าอาบน้ำกันจนเป็นเรื่องธรรมดา พอมาเรียนชั้นมัธยม เมื่อถึงชั่วโมงพลศึกษาเราก็เปลี่ยนเสื้อผ้ากันในห้องเรียน แต่ทั้งหมดที่ผ่านมาก็เป็นสภาพแวดล้อมที่มีแต่เพื่อนผู้ชาย ผมไม่เคยอยู่ในสภาพเที่นุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียว เดินอยู่ในตึก แล้วมีหญิงสาวแต่งตัวครบครันมายืนสำรวจเรือนร่างเช่นนี้มาก่อน

ผมรีบเดินกลับเข้าห้องทันที โชคดีที่ไม่พบใครอีกเป็นรายที่สอง

ผมแต่งตัวและออกไปซื้อพัดลมที่ย่านซอยโชคชัย ๔ หรือว่าซอยลาดพร้าว ๕๓ เนื่องจากที่นั่นมีร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าอยู่หลายร้าน ซื้อพัดลมมาเครื่องหนึ่ง ราคาเกือบพันบาท ผมเลือกซื้อยี่ห้อที่ราคาสูงหน่อยเพราะว่าเสียงมอเตอร์ค่อนข้างเบา ผมไม่ค่อยชอบพัดลมที่มีเสียงดังเพราะเวลาดูหนังสือแล้วคิดอะไรไม่ออกเลย นอกจากนี้ ผมยังซื้อกระติกน้ำแข็งมาด้วยหนึ่งใบ อากาศภายในห้องร้อนอบอ้าวขนาดนี้ถ้าไม่มีน้ำเย็นคงอยู่ไม่ไหว ในเมื่อไม่มีตู้เย็นก็ต้องใช้กระติกน้ำแข็งนี่แหละ

- - -

วันที่สองของการอยู่หอ เวลาผ่านไปอย่างเงียบเหงาและน่าเบื่อหน่าย บรรยากาศภายในตึกก็ค่อนข้างเงียบเนื่องจากยังไม่เปิดเทอม จึงยังไม่ค่อยมีคนอยู่กัน ยิ่งทำให้อาการเหงาของผมกำเริบหนักยิ่งขึ้น

ผมหมกตัวอยู่แต่ในห้อง นอนฟังเพลงจากเครื่องเล่นวอล์กแมนเครื่องเล็ก ทีวีก็ไม่มี หนังสือก็ขี้เกียจอ่าน จะออกไปข้างนอกก็ไม่รู้ว่าจะไปไหน จนถึงเวลาค่ำผมก็ไปกินอาหารที่ร้านเดิมที่กินเมื่อวาน อาหารก็สั่งอย่างเดิม หลังจากนั้นก็กลับมาในห้อง ฟังเพลงอีกหน่อย จากนั้นแม่ก็โทรมา คุยโทรศัพท์กับแม่สักพัก ตอนนั้นเอ๊ดเดินทางไปเชียงใหม่แล้ว ผมจึงไม่ได้คุยกับเอ๊ด เมื่อคุยโทรศัพท์เสร็จก็อาบน้ำและเข้านอน

- - -

วันที่สามของการอยู่หอ

หลังจากที่ผมโงหัวขึ้นมาจากที่นอน ความเบื่อหน่ายก็เข้ามาครอบคลุมผมในทันที นึกไม่ถึงเลยว่าชีวิตในหอพักจะอับเฉาได้ขนาดนี้ อิสรภาพไม่ได้ช่วยอะไรผมเลย นี่ถ้าวันนี้ผมยังต้องแกร่วอยู่แต่ในห้องผมคงต้องบ้าตายแน่

เมื่อคิดได้เช่นนั้น ผมก็ควานหาเหรียญห้าบาทมาได้สองสามเหรียญ จากนั้นก็เดินออกจากห้องและลงไปชั้นล่างทันที

เมื่อถึงชั้นล่าง ผมตรงไปที่เครื่องโทรศัพท์และหยอดเงินลงไป จากนั้นก็กดเบอร์โทรศัพท์ตามที่เขียนอยู่ในกระดาษชิ้นเล็กๆ

“ฮัลโหล” เสียงทางโน้นรับสาย เป็นเสียงผู้หญิง จากน้ำเสียงคงอยู่ในวัยกลางคน

“สวัสดีครับ ขอสายบอยหน่อยครับ” ผมพูด

ได้ยินเสียงทางโน้นบอกว่ารอเดี๋ยวนะ และเพียงครู่เดียว ผมก็ได้ยินเสียงที่แจ่มใสรื่นเริงอันคุ้นหูจากปลายสายด้านโน้น

“ฮัลโหล” เสียงบอยทัก

“บอยเหรอ” ผมพูด “จำเสียงได้ป่าว”

“ใครวะ” บอยพูดพลางหัวเราะ “พูดแค่นี้ใครจะไปจำได้วะ รู้แต่ว่าไม่ใช่หมา เพราะว่าหมาพูดไม่ได้”

ไม่ใช่หมาสะดุ้ง ว่าแล้วก็ด่ากลับไป “ไอ้เวร อย่าให้เจอหน้านะ ไม่งั้นเอ็งโดนเตะแน่”

“อ้าว พี่อูเหรอ โทษนะพี่ นึกว่าเพื่อนอะ” เสียงไอ้น้องบอยหัวเราะร่วน จากนั้นก็ตัดพ้อ “สัปดาห์หน้าก็จะเปิดเทอมแล้ว พี่อูเพิ่งจะโทรมา บอยคอยตั้งแต่ปิดเทอมใหม่ๆ คอยจนเซ็งแล้ว”

“โทษทีโว้ย ปิดเทอมนี้พี่ยุ่งๆน่ะ” ผมตอบ

“โห เรียนแค่ ม.๔ พูดยังกะนักธุรกิจพันล้านอีกแล้ว” ไอ้บอยเหน็บผมอีก

“ว่าจะชวนไปเลี้ยงสักหน่อย แต่เอ็งกวนตีนนัก ไม่ชวนดีกว่า” ผมพูด

คราวนี้ไอ้บอยเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นประจบประแจงทันที

“โห พี่อูใจดี จะพาบอยไปเลี้ยงที่ไหนเหรอ อะอะ ไม่กวนแล้วคร้าบ” บอยพูด

เงาร่างของไอ้นัยวูบเข้ามาในความคิดของผม น้ำเสียงประจบแบบนี้ไม่ได้แปลกหูผมเลย ไอ้นัยมักใช้น้ำเสียงเช่นนี้เวลาต้องการเอาใจหรือง้อผม และพร้อมกับเงาร่างของไอ้นัย ความเจ็บปวดก็แล่นตามมา ผมพยายามสลัดไอ้นัยออกไปจากความคิด

“อยากไปกินที่สยามสแควร์มั้ย เอ็งเคยบอกว่าอยากไปเดินเที่ยวไม่ใช่เหรอ” ผมพูด

“สยามเหรอ เจ๋งเลย ไปดิพี่” เสียงบอยแสดงความดีใจ “เมื่อไรดีล่ะ”

บอยบอกว่าตอนกลางวันต้องไปกับพ่อ ตั้งแต่บ่ายก็ว่าง

“งั้นกินข้าวเย็นกันก็ได้ ดีไหม” ผมออกความคิด ได้กินอาหารเย็นกับใครสักคนก็น่าจะดี ตอนค่ำจะได้ไม่เหงียบเหงาเหมือนเมื่อสองวันที่ผ่านมา “ว่าแต่เอ็งกลับบ้านค่ำได้ป่าว”

“กลับดึกยังได้เลยพี่” บอยคุยโว “บอยโตแล้ว ไม่เหมือนใครบางคน กลับบ้านค่ำไม่ได้”

“ไอ้เวรนี่ กัดพี่อีกแล้ว” ผมด่ามัน ได้ยินเสียงไอ้บอยหัวเราะฮิฮะชอบใจ

- - -

เรานัดเจอกันที่หน้าโรงหนังสกาลา เวลาบ่ายสามโมง ซึ่งเป็นสถานที่ที่สะดวกที่สุด ในยุคนั้นยังไม่มีโทรศัพท์มือถือ ดังนั้นการโทรตามหาตัวกันหรือว่าโทรกันไปโทรกันมาจนกว่าจะพบตัวกันนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลย แม้แต่เพจเจอร์ก็ยังไม่มี การนัดกันในยุคนั้นต้องนัดแนะกันล่วงหน้าให้ชัดเจนทางโทรศัพท์บ้าน ถ้าพูดกันไม่ละเอียดแล้วหากันไม่เจอก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ผมนัดที่โรงหนังสกาลาเพราะว่าสถานที่ไม่ใหญ่นัก หากันง่าย ถ้านัดที่มาบุญครองอาจจะหากันได้ยาก

การนัดกับไอ้บอยในวันนั้นเป็นการนัดที่ผมทำใจไม่ถูกจริงๆ ใจหนึ่งก็รู้สึกดีเพราะจะได้มีอะไรทำให้หายเซ็ง รวมทั้งไอ้บอยเองก็นิสัยดี อาการกวนของมันทำให้ผมรู้สึกรื่นเริงขึ้นอย่างน่าประหลาด แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกแปลกๆ รู้สึกว่าไม่ควรไป แต่ว่าเพราะอะไรผมเองก็บอกไม่ได้เหมือนกัน แต่เมื่อชั่งใจแล้ว ผมเลือกที่จะไปเที่ยวกับไอ้บอยมากกว่า

เมื่อผมไปถึงสถานที่นัดหมาย ผมก็พบไอ้บอยยืนยิ้มแฉ่งรออยู่แล้ว บอยอยู่ในชุดเสื้อยืด กางเกงยีน ตามสมัยนิยมของวัยรุ่น ผมของบอยไม่ได้ตัดเกรียนเหมือนตอนเปิดเรียน ช่วงเวลาปิดเทอมผมของมันยาวขึ้นจนพอหวีเป๋ได้แล้ว ยิ่งทำให้ใบหน้าของมันดูน่ารักยิ่งขึ้น

เมื่อไอ้บอยเห็นผมก็ยกมือไหว้

“หวัดดีพี่” บอยพูด

“เฮ้ย” ผมรีบรับไหว้แทบไม่ทัน ปกติเห็นแต่ความกวนของมัน ไม่เคยเห็นมันมีมารยาทดีขนาดนี้มาก่อน “คืนนี้ฝนตกหนักแน่ พี่รีบกลับก่อนดีกว่า”

“อ้าว เพิ่งมาทำไมจะรีบไป” บอยงงกับคำพูดของผม

“ก็อยู่ดีๆเอ็งก็ไหว้พี่ สงสัยจะต้องเกิดอาเพศแน่เลย” ผมอธิบาย

ไอ้บอยหัวเราะจนตาหยี “โธ่เอ๊ย นึกว่าเรื่องอะไร ก็พี่อูเป็นรุ่นพี่บอยตั้งสองรุ่น เจอรุ่นพี่ก็ต้องไห้วดิ ไม่ไหว้เดี๋ยวพี่อูก็บ่นว่าไม่มีมารยาทอีก เฮ้อ รุ่นพี่คนนี้เอาใจยากจริง” บอยอธิบาย แต่สุดท้ายก็ไม่วายแว้งกัดผม

เมื่อเราเจอกันตอนบ่ายสามโมง จะกินอาหารเย็นก็เร็วเกินไป บอยบอกว่าที่บ้านเลี้ยงแบบปล่อยและให้พึ่งตนเอง เคยกลับบ้านสามทุ่ม ที่บ้านไม่ว่าอะไร ดังนั้นวันนี้จึงใช้เวลาได้ตามสบาย

“ดูหนังสักเรื่องมั้ยพี่อู” บอยชวน “ออกจากโรงหนังแล้วค่อยกินข้าว”

ก็ดีเหมือนกัน เราเลยดูโปรแกรมหนังกัน จำไม่ค่อยได้แล้วว่าดูหนังเรื่องอะไรกัน น่าจะเป็น Superman 4 หรือ Predetor หรือหนังฮ่องกง เชือด เชือดนิ่มๆ เรื่องใดเรื่องหนึ่ง

หลังจากที่หนังฉายจบ เราออกจากโรงหนังมาก็ประมาณหนึ่งทุ่ม ได้เวลาอาหารเย็นพอดี ผมก็ยืนเก้ๆกังๆ คิดว่าจะพาไอ้บอยไปกินอาหารที่ไหนดี ร้านที่ผมรู้จักและเคยเข้าไปกินก็มีไม่มากนัก อย่างร้านสเต๊กไฮไลท์นี่ก็พอได้ แต่นึกไปอีกทีก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างไรชอบกลที่จะพาบอยไปกินที่ร้านนี้

“คิดนานจัง บอยหิวแล้ว” บอยพูด พร้อมกับทำหน้านิ่ว มันคงหิวจริงๆ

ในที่สุดผมก็พามันไปกินที่ร้านสเต๊กไฮไลท์ เพราะว่านึกร้านอื่นไม่ออกเหมือนกัน อีกอย่างก็คือร้านส่วนใหญ่แพงๆทั้งนั้น มีร้านนี้ราคาย่อมเยาหน่อย วันนี้ผมเลี้ยงไอ้บอยตลอดรายการ ถ้ากินแพงนักมีหวังล่มจม

ขณะที่กินอาหารกับบอย ในบางขณะ ผมถึงกับเผลอคิดไปว่ากำลังกินอาหารอยู่กับไอ้นัย ไม่ใช่ไอ้บอย เพราะร้านนี้เป็นร้านที่ไอ้นัยชอบ ครั้งแรกที่ไอ้นัยกับผมมากินอาหารที่นี่คือวันที่คุณอาไอ้นัยซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าบ้าน ไอ้นัยพาผมเดินไปจนทั่วสยามสแควร์ก่อนที่จะมาลงเอยที่ร้านนี้ ผมยังจำภาพที่มันนั่งกระดิกเท้าเป็นคุณหนูพลางดูเมนูอาหารได้อย่างติดตา... แม้ไอ้นัยจะไม่เหมือนกับไอ้บอย แต่ยิ่งนานผมก็ยิ่งรู้สึกว่าไอ้บอยมีอะไรบางอย่างที่คล้ายคลึงกับไอ้นัย

- - -

ผมกลับถึงหอประมาณสามทุ่มกว่าเกือบสี่ทุ่ม เป็นครั้งแรกที่ผมกลับบ้านดึกขนาดนั้น ประสบการณ์ที่สยามสแควร์กับไอ้บอยเมื่อตอนเย็นทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ใจหนึ่งก็มีความสุข อีกใจหนึ่งก็รู้สึกไม่สบายใจ ความรู้สึกกึ่งดีกึ่งร้ายเช่นนี้ทำให้ผมรู้สึกสับสนอย่างบอกไม่ถูก

ที่ชั้นสี่ในคืนวันนั้นเงียบเชียบ ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าและนุ่งผ้าเช็ดตัวเพื่อไปอาบน้ำ เมื่อผมอาบน้ำเสร็จและออกมาจากห้องน้ำ ผมก็มองเห็นเงาตะคุ่มๆของใครคนหนึ่งยืนอยู่ที่หน้าห้องของผม


<สภาพห้องเช่า เป็นห้องขนาดประมาณ ๘-๙ ตารางเมตร พื้นห้องปูเสื่อน้ำมันซึ่งเก่ามากแล้ว เฟอร์นิเจอร์ที่มีมีให้ก็เพียงโต๊ะทำงาน เตียง และตู้เสื้อผ้าเล็กๆ อย่างอื่นๆต้องหามาเองทั้งหมด แต่ที่ถูกใจก็คือเป็นห้องหน้าสุดซึ่งจะมีหน้าต่างมากกว่าห้องอื่นๆในชั้นเดียวกัน ในภาพเห็นเป็นห้องโล่งๆเพราะตู้ เตียง โต๊ะกองอยู่อีกด้านหนึ่งระหว่างกำลังจัดห้อง ในภาพห้องดูเหมือนใหญ่แต่ที่จริงไม่ใหญ่>

Sunday, October 18, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 25

“นายชื่ออะไรล่ะ” วัยรุ่นลูกเจ้าของตึกหอพักถามขณะที่ช่วยผมยกโต๊ะ ผมอยู่ข้างหน้า

“ชื่ออู” ผมตอบ “นายล่ะ”

“ชื่อแป๋ง” ลูกชายเจ้าของห้องเช่าตอบ จากนั้นก็ร้องออกมา “เฮ้ยๆ ยกดีๆดิ”

แป๋งดุผมเมื่อเห็นผมยกโต๊ะขึ้นบันไดแล้วเป๋ไปเป๋มา เหมือนกับจะหงายท้องลงมา ท่าทางและการพูดจาของแป๋งเป็นกันเองราวกับเป็นเพื่อนที่คุ้นเคยกันมานาน

“หมดแรงอะ” ผมตอบ รู้สึกปวดกล้ามเนื้อที่แขน แขนทั้งสองข้างล้าไปหมดอันเนื่องมาจากการถือกระเป๋าสัมภาระหนักมาตลอดทั้งวัน

“อะไรกัน ทำยังกะคนแก่ มานี่ เราอยู่หน้าเองดีกว่า เดี๋ยวนายหล่นลงมาทับเรา” แป๋งพูดพลางยิ้ม ใบหน้าที่เปื้อนยิ้มของแป๋งดูมีเสน่ห์จากเขี้ยวเล็กๆที่มุมปากทั้งสองกับลักยิ้มที่ลึกบุ๋มลงไป ไรหนวดเข้มที่เหนือริมฝีปาก ใบหน้าของแป๋งบ่งบอกแววอารมณ์ดีและทะเล้น หน้าของแป๋งดูไปคล้ายๆกับไพโรจน์ สังวริบุตรตอนยังเป็นวัยรุ่น ในหนังเรื่องวัยอลวน (หนังเข้าฉายปี พ.ศ. ๒๕๑๙ แต่หลังจากนั้นก็ยังหาดูได้เพราะว่ามีฉบับวีดิโอให้เช่า) แต่ว่าแป๋งผิวไม่คล้ำเท่าและหน้าตาดีกว่า

แป๋งสลับที่กับผม จากนั้นก็ช่วยผมแบกโต๊ะขึ้นไปถึงชั้นสี่ เมื่อขึ้นถึงห้องผมถึงกับหมดแรง ลิ้นห้อย

“เอ้อ ขอบใจนายมากแป๋ง” ผมพูด

แป๋งยิ้มแฉ่ง ยิ้มของแป๋งดูน่ารักและมีเสน่ห์ดึงดูดใจผมอย่างประหลาด

“ไม่เป็นไร เรื่องเล็กว่ะ” แป๋งพูด ว่าแล้วแป๋งก็กวาดสายตามองไปรอบๆห้อง “โห ทำไมของน้อยนักวะ”

“ก็ไม่ค่อยมีอะไรมากนี่ ส่วนใหญ่ก็หนังสือ ของใช้ก็ไม่ได้มีอะไรมาก” ผมตอบ

“หนังสือเยอะเหรอ หนังสืออะไรล่ะ ปกขาวหรือเปล่า” แป๋งพูดพลางหัวเราะ

ผมได้แต่ยิ้ม ไม่พูดว่าอะไร

“เฮ้ย อู” แป๋งลดเสียงลงเป็นเสียงกระซิบ “หน้าตาเด็กเรียนยังงี้ นายเคยดูปกขาวหรือเปล่า”

ผมถึงกับอึ้งเมื่อเจอคำถามกะทันหันเช่นนี้ ถ้าจะตอบว่าเคยดูก็จะเสียภาพลักษณ์ของเด็กเรียนไป ถ้าตอบว่าไม่เคยดูก็โกหก ผมคิดวูบหนึ่งแล้วก็สั่นหัว

“กะอยู่แล้ว หน้าตายังงี้คงไม่เคยดูหรอก” แป๋งหัวเราะเห็นลักยิ้มบุ๋มอีก จากนั้นแป่งก็ปั้นสีหน้าลึกลับ กระซิบถามด้วยเสียงที่เบาลงไปอีก “แล้วนี่ชักว่าวเป็นหรือเปล่า”

ผมนิ่ง พลางนึกในใจว่าขนาดเพิ่งเจอหน้ากัน ก็ยังทะเล้นขนาดนี้

ผมส่ายหน้าอีก ไหนๆจะโกหกทั้งทีก็อำมันให้ตลอดรอดฝั่งไปเสียเลย

แป๋งอ้าปาก ทำหน้าตกใจ

“ตายห่า โตเป็นควายแล้วยังชักว่าวไม่เป็น” แป๋งอุทาน “ถามจริงๆเถอะ หน้าบ้านนายมีภูเขาหรือเปล่าวะ”

“บ้านเราไม่ได้อยู่หลังเขาโว้ย” ผมตอบ

“แน่ะ แปลออกเสียด้วย” แป๋งหัวเราะ ความกวนของแป๋งไม่ได้ด้อยไปกว่าไอ้น้องบอยเลย มีแต่จะเหนือกว่า

หลังจากที่แป๋งคุยเล่นกับผมสักครู่ก็ขอตัวกลับลงไปข้างล่าง เมื่อแป๋งลงไปแล้วผมก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงอย่างเหนื่อยล้า ผมตั้งใจจะนอนพักให้หายเมื่อยสักครู่ แต่ที่ไหนได้ เพียงครู่เดียวผมก็ผลอยหลับไป

- - -

ผมหลับไปทั้งๆที่เนื้อตัวเหนอะหนะไปด้วยเหงื่อไคล เมื่อตื่นขึ้นมาอีกทีก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว

วันนี้พอก่อนดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยจัดของต่อ ผมคิด รู้สึกหิวขึ้นมา จึงออกจากห้องและลงไปข้างล่างเพื่อไปสำรวจหาร้านอาหารในละแวกหอพัก

มีร้านข้าวแกงเล็กๆร้านหนึ่งอยู่ใกล้ๆหอ แต่ว่าปิดร้านไปตั้งแต่ตอนบ่ายแล้ว ตรงข้ามหอก็เป็นตึกแถวขนาดสิบกว่าคูหา แต่ร้านด้านนั้นเป็นร้านขายพวกหนังสือพิมพ์ ของจุกจิก ร้านทำผม และร้านก๋วยเตี๋ยวซึ่งปิดร้านไปแล้วเช่นกัน ร้านอาหารที่ยังเปิดจนค่ำเป็นร้านที่อยู่ลึกเข้าไปในซอยอีกหน่อย เจ้าของบ้านดัดแปลงหน้าบ้านเป็นที่ขายอาหาร อาหารที่ขายก็เป็นพวกอาหารตามสั่ง

แม้ผมจะเคยอยู่ในซอยภาวนามาก่อน แต่กับซอยแถวนี้เคยแต่นั่งรถผ่าน ไม่เคยลงมาเดิน ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าภายในซอยมีอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง แต่ก็จำได้ว่าที่หน้าปากซอยเมื่อถึงตอนหัวค่ำจะมีก๋วยเตี๋ยวรถเข็นมาขายแถวหน้าธนาคารกสิกรไทย หรือถ้าจะเดินย้อนขึ้นไปทางสี่แยกลาดพร้าว-รัชดาเล็กน้อย ที่หน้าตึกมิตรอารีย์ที่ขายวัสดุก่อสร้างก็มีก๋วยเตี่ยวรถเข็นเช่นกัน

ในที่สุดผมก็ตัดสินใจกินอาหารตามสั่งที่บ้านใกล้หอพักดีกว่า เพราะว่าเดินใกล้ที่สุด อาหารที่กินก็เป็นอาหารตามสั่งพื้นๆ ได้แก่ ข้าวหมูผัดกระเพรา ซึ่งข้าวผัด ข้าวผัดกระเพราไข่ดาว ข้าวไข่เจียวหมูสับ ฯลฯ เหล่านี้ ที่ในสมัยนี้เรียกกันว่าเมนูสิ้นคิด เพราะไม่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์อะไรในการสั่ง แต่ความจริงก็คือตอนที่ผมอยู่หอผมก็ฝากท้องกับร้านนี้มาตลอด และรอดชีวิตมาได้ด้วยเมนูสิ้นคิดเหล่านี้นี่เอง

บรรยากาศในตอนค่ำวันนั้นลมค่อนข้างแรง อากาศเย็น ชื้น และแว่วเสียงฟ้าร้องครืนครันมาแต่ไกล ดูท่าคล้ายฝนกำลังจะตก ก่อตัวเป็นบรรยากาศอันเงียบเหงาและหดหู่ ในตอนนั้นร้านใกล้ปิดแล้ว เหลือผมที่เป็นลูกค้านั่งอยู่เพียงคนเดียว เดิมทีผมรู้สึกหิว แต่เมื่อมีอาหารวางอยู่ตรงหน้าจริงๆ บรรยากาศยามค่ำในปลายฤดูฝนกลับทำให้ผมกินอาหารไม่ลง

ผมนั่งกินอาหารเย็นคนเดียวด้วยความรู้สึกที่เงียบเหงาและเดียวดาย หลายปีมานี้ ผมคุ้นชินกับการกินอาหารเย็นที่บ้านคุณลุงคุณป้า แม้ในบางครั้งผมต้องกินอาหารเย็นคนเดียวเพราะกลับบ้านค่ำ แต่ผมก็ยังมีความรู้สึกของความเป็นครอบครัวอยู่ ผมยังได้ยินเสียงคุณลุงคุณป้าดูทีวีอยู่ในห้องใกล้ๆ และถ้าย้อนเวลาให้ไกลออกไปอีก ตอนที่ผมอยู่ชั้นประถมซึ่งผมเป็นนักเรียนประจำ ผมกินอาหารเย็นในห้องอาหารในหอพักนักเรียนประจำ ที่นั่นผมมีเพื่อนร่วมโต๊ะอาหารมากมาย เวลากลางคืนที่หอเป็นเวลาที่ผมกระตือรือร้น เพราะว่าวันรุ่งขึ้นจะเป้นวันใหม่และผมจะได้พบกับไอ้นัย...

เมื่อคิดถึงไอ้นัย ผมรู้สึกเจ็บแปลบในใจขึ้นมา เพราะว่าเคราะห์กรรมทั้งหมดของไอ้นัยเป็นผลงานของผมนั่นเอง...

น่าแปลกที่เมื่อตอนที่ผมพยายามดิ้นรนเพื่อจะได้มาอยู่ที่หอพักและเรียนที่กรุงเทพฯต่อไปนั้น ผมรู้สึกว่าการอยู่หอพักนั้นเป็นเรื่องที่วิเศษเหลือเกิน เพราะมีแต่อิสรภาพ จะออกกี่โมงก็ได้ จะกลับกี่โมงก็ได้ ไม่ต้องคอยโทรบอกใครหรือต้องลนลานรีบกลับบ้านเพราะกลัวโดนดุ มันเป็นการแสดงออกว่าเราโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว สามารถดูแลตนเองได้แล้ว เพราะทุกอย่างเราต้องรับผิดชอบตนเองทั้งหมด อิสรภาพนั้นช่างหอมหวานในความคิดของผม

แต่ในคืนแรกที่ห้องเช่าหรือที่ผมเรียกว่าหอพักจนติดปาก ผมกลับไม่รู้ชื่นชมกับอิสรภาพที่ได้มาอย่างยากเย็นเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม ผมกลับรู้สึกเดียวดายเหลือเกิน นี่ถ้าไอ้นัยอยู่ด้วยผมก็คงไม่รู้สึกเหงา...

ไอ้นัยอีกแล้ว ผมพยายามสลัดความคิดเกี่ยวกับไอ้นัยออกไปจากสมอง หลังจากที่ผมกินอาหารเสร็จก็เดินกลับขึ้นไปที่ห้อง และพยายามจะจัดห้องต่อไป

- - -

“อู ชั้นสี่ มีโทรศัพท์ค่ะ” เสียงจากอินเตอร์คอมที่ติดอยู่ตรงทางเดินชั้นสี่ดังขึ้น เป็นเสียงของพี่พรนั่นเอง

ผมรีบล็อกห้องและวิ่งลงไปที่ชั้นล่างทันที ใครโทรศัพท์มาหนอ

เมื่อไปถึงชั้นล่าง เห็นโทรศัพท์ที่เป็นเครื่องส่วนกลางสำหรับให้คนในหอใช้มีหูโทรศัพท์วางอยู่ข้างๆเครื่อง

“แม่โทรมา” พี่พรบอก

คิดเอาไว้แล้วเหมือนกันว่าคนที่โทรมาหาถ้าไม่ใช่แม่ก็คงเป็นเอ๊ด ส่วนพ่อนั้นคงไม่โทรมา แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

“ฮัลโหล แม่ นี่อูพูด” ผมกรอกเสียงลงไปในกระบอกโทรศัพท์

แม่ทักทายและถามไถ่เรื่องความเป็นอยู่ของผมเป็นการใหญ่

“นี่เพิ่งจะวันแรกเองนะแม่” ผมพูด “อูยังไม่เป็นไรหรอก”

“ก็นั่นแหละ ถึงยังไงแม่ก็เป็นห่วง อูไม่เคยอยู่คนเดียวแบบนี้มาก่อน เฮ้อ นี่แม่ตัดสินใจผิดหรือเปล่าก็ไม่รู้” แม่อดบ่นไม่ได้

“ไม่ผิดหรอกแม่ ก็ป๊าไล่อูออกมา อูจะอยู่ได้ไง มันก็ต้องเป็นแบบนี้แหละ” ผมตอบ

เมื่อพูดถึงพ่อ แม่ก็ถอนหายใจออกมาอีก

“ป๊าเป็นไง ถามถึงอูบ้างป่าว” ผมถามด้วยความอยากรู้

แม่นิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่ง

“ก็ถาม อยากรู้ว่าอูสบายดีไหม” แม่พูดเบาๆ

“ป๊าไม่ได้ถามหรอก” ผมตอบ ความรู้สึกน้อยใจประดังขึ้นมา “แม่แค่จะปลอบใจอู แต่ไม่เป็นไรหรอก อูถามไปยังงั้นเอง”

แม่พยายามเปลี่ยนเรื่องคุย และกำชับผมเรื่องการดูแลตัวเองสารพัด แม่กำชับผมเยอะมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และยังไม่ทันที่แม่จะพูดจบประโยค จู่ๆสายก็ตัดไป

ผมเงยหน้าจากหูโทรศัพท์ มองหน้าพี่พรอย่างงงๆ และวางหูโทรศัพท์ลงบนเครื่องอย่างเดิม

“เอ๊ะ สายหลุด” ผมเปรย

“สายไม่ได้หลุดหรอกน้อง แต่ว่าคุย ๕ นาทีแล้วมันจะตัด” พี่พรอธิบาย “เพราะว่าหอนี้คนอยู่กันเยอะ บางคนก็ไม่เกรงใจคนอื่น คุยเป็นวรรคเป็นเวร ก็เลยต้องทำแบบนี้”

อะไรวะ มียังงี้ด้วย คุยห้านาทีก็ตัดแล้ว ยังไม่ทันจะรู้เรื่องเลย ผมด่าในใจ โทรศัพท์เครื่องนี้เป็นเครื่องโทรศัพท์แบบหยอดเหรียญ แต่ไม่ใช่เครื่องแบบขององค์การโทรศัพท์ที่โทรครั้งละหนึ่งบาท แต่เป็นเครื่องที่ทำขายในเชิงธุรกิจ หยอดเหรียญครั้งละห้าบาทโดยใช้เหรียญห้า และสามารถตั้งได้ว่าจะให้โทรได้นานครั้งละกี่นาที โทรออกต้องเสียเงิน แต่ถ้ารับสายไม่ต้องเสียเงิน

เมื่อผมวางหูโทรศัพท์ลงบนแท่น เพียงครู่เดียวก็มีเสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้นอีก มีสายเข้า

“ฮัลโหล สายมันตัดอะแม่” ผมยกหูขึ้นแล้วคุยต่อ

“ขอสายปั้นชั้นสามหน่อยครับ” เสียงมาจากปลายสายอีกด้านหนึ่ง นั่นเป็นเสียงผู้ชาย ไม่ใช่เสียงแม่

“เค้าขอสายปั้นชั้นสามครับพี่พร” ผมหันไปพูดกับพี่พรอย่างงงๆ

“นี่แหละ มันยังงี้แหละ เรื่องปกติ ถ้าสายตัดไป และมีคนอื่นโทรเข้าพอดี ก็จะเป็นแบบนี้ น้องอูต้องรอหน่อยแล้วละ เอางี้ เดี๋ยวถ้าแม่โทรมาอีก พี่จะโฟนเรียกอีกที” พี่พรพยายามปลอบใจ จากนั้นก็ประกาศเรียกหาปั้นทางอินเตอร์คอม

นี่มันอะไรกันวะ ทำไมมันเป็นแบบนี้ ป่านนี้แม่คงกดโทรศัพท์ซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อต่อสายมาหาผม ถ้าอย่างนั้นผมไปโทรหาแม่ที่ตู้องค์การข้างนอกเอาดีกว่า

คิดได้เช่นนั้นก็เดินออกจากหอทันที แต่พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็นึกได้ว่าไม่ได้เอาเหรียญลงมา จึงต้องขึ้นไปที่ห้องเพื่อหยิบเหรียญอีก

เมื่ออยู่ในห้อง ผมรื้อค้นกระเป๋าตังค์และกระเป๋าเสื้อผ้า ก็ได้เหรียญหยอดตู้เพียงไม่กี่บาท สุดท้ายก็ต้องมาขอแลกเหรียญกับพี่พร ชีวิตชาวหอกลับไม่สะดวกราบรื่นอย่างที่คิด เพียงวันแรกก็มีเรื่องให้ผมหงุดหงิดขึ้นมาแล้ว

- - -

หลังจากคุยโทรศัพท์กับแม่ที่ตู้ข้างนอกหอจนเสร็จเรื่อง ผมก็กลับขึ้นไปบนห้อง และคิดจะอาบน้ำ

อ้าว สบู่ แชมพู แฟรงสีฟัน ยาสีฟัน ลืมเอามาทั้งหมดเลย!

ผมต้องเดินลงไปชั้นล่างเพื่อซื้อของอีก ที่ด้านล่างตรงที่ผมไปรับโทรศัพท์นั้นมีตู้สินค้าขายของใช้จำเป็นพวกสบู่ แชมพู อีกทั้งมีขนมขบเคี้ยวอีกด้วย

คราวนี้พี่พรไม่อยู่ แต่เป็นนายแป๋งที่เฝ้าข้างล่าง แป๋งอยู่ในชุดนอนผ้าบางๆ เสื้อนอนแขนสั้น กางเกงนอนขายาว

“เฮ้ย ทำไมนายเดินขึ้นลงหลายรอบนักวะ” แป๋งทัก หัวเราะหุหุแบบทะเล้น ขณะที่ขายของให้ผม

“เห็นด้วยเหรอ” ผมแปลกใจ เพราะมื่อกี้ตอนผมเดินขึ้นๆลงๆไม่เห็นแป๋งเลย “วันนี้เดินขึ้นลงจนขาลากเลย”

“เราก็อยู่ข้างหลังนี่เอง” แป๋งตอบ ข้างหลังนี่หมายถึงส่วนที่อยู่หลังโต๊ะของพี่พร ซึ่งมีตู้บังอยู่ หลังตู้นั้นมีตั่งไม้ขนาดใหญ่เอาไว้นั่งเล่นนอนเล่น แป๋งคงนั่งเล่นอยู่ข้างหลังและเห็นผม ส่วนผมไม่ทันได้สังเกต

“ทำไมไม่คิดทีเดียวไปเลย คิดได้แค่ทีละอย่างหรือไง” แป๋งพูดพลางหัวเราะ ลักยิ้มกับเขี้ยวเล็กๆใต้ไรหนวดเขียวเข้มทำให้แป๋งดูมีเสน่ห์ดึงดูดใจ

“มึนโว้ย วุ่นมาตั้งแต่เช้า” ผมตอบ และถามต่อ “กลางคืนนายยังต้องลงมาขายของเหรอ”

“เปล่าหรอก พี่พรหลบไปกินข้าว เราเลยมาเฝ้าแทนแป๊บนึง ไม่อยากนั่งนานหรอก ไม่ได้ใส่กางเกงใน” แป๋งทำเสียงกระซิบกระซาบตอบ

คำตอบของแป๋งทำให้ผมอดเหลือบมองไปที่เป้างกาเกงนอนของแป๋งไม่ได้ เนื้อผ้าอย่างบางทำให้เห็นรอยนูนที่เป้ากางเกงนอนอย่างชัดเจน แป๋งไม่ได้ใส่กางเกงในจริงๆเสียด้วย รอยนูนเป็นลำที่เป้ากางเกงนอนของแป๋งทำให้หัวใจของผมอดรู้สึกวาบหวิวไม่ได้

- - -

กว่าที่ผมจะหาวัสดุและอุปกรณ์ในการอาบน้ำแปรงฟังจนครับก็ปาเข้าไปสี่ทุ่มแล้ว ผมรู้สึกเมื่อยล้ามาก อยากจะอาบน้ำให้สดชื่นแล้วจะได้เข้านอนเสียที

ห้องน้ำที่นี่เป็นห้องน้ำรวม แต่ละชั้นจะมีห้องพัก ๗ ห้อง ห้องน้ำ ๑ ห้อง ในห้องน้ำจะซอยเป็นห้องอาบน้ำขนาดเล็กๆ ๒ ห้อง ในห้องอาบน้ำจะมีอ่างน้ำขนาดกะทัดรัด ๑ อ่าง สำหรับอาบน้ำ และส้วมแบบนั่งยอง มีราวให้แขวนข้าวของได้นิดหน่อย ส่วนหน้าห้องอาบน้ำมีอ่างล้างหน้า ๒ อ่างสำหรับล้างหน้าแปรงฟัน ใครที่ต้องการเพียงล้างมือ ล้างหน้า หรือแปรงฟันก็ไม่ต้องใช้ห้องอาบน้ำ

ห้องของผมอยู่ด้านหน้าตึก ส่วนห้องน้ำอยู่ด้านในสุดของตึก การอาบน้ำในวันแรกของผมก็เช่นเดียวกับเหตุการณ์อื่นๆในวันนี้ คือเต็มไปด้วยความทุลักทุเล เนื่องจากผมต้องถือผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้าใหม่สำหรับเปลี่ยน แชมพู สบู่ ยาสีฟัน รุงรังไปหมด

เมื่อเข้าไปในห้องอาบน้ำ เนื่องจากห้องมีขนาดคับแคบ ราวก็สั้นนิดเดียว เสื้อผ้าทั้งชุดเก่าและใหม่ และผ้าเช็ดตัวที่หอบเข้าไปด้วยจึงไม่มีที่พาด ขวดและหลอดต่างๆก็ไม่มีที่วาง เฮ้อ กลุ้ม ทำไงดีวะ ที่ไม่พอ

ผมแก้ปัญหาด้วยการเอาเสื้อผ้าบางส่วนพาดกับบานประตู ขวดต่างๆก็วางกับพื้น หลังจากอาบน้ำเสร็จก็แต่งตัวและหอบข้าวของพะรุงพะรังกลับมาที่ห้อง ระหว่างที่เดินกลับห้องมานั้นเองผมก็เดินสวนกับพี่คนหนึ่งที่พักอยู่ชั้นเดียวกัน พี่คนนั้นนุ่งผ้าเช็ดตัวเพียงผืนเดียวเดินมาอาบน้ำ ในมือถือขันใบหนึ่ง ภายในขันบรรจุสบู่ แชมพู และยาสีฟัน ขณะที่สวนกัน พี่คนนั้นมองข้างของรุงรังในมือของผมด้วยสายตาแปลกๆ

ผมจึงถึงบางอ้อว่าที่นี่เค้าอาบน้ำกันแบบนี้นี่เอง นุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวทำให้ไม่มีอะไรต้องแขวนมากมาย ข้าวของทั้งหมดก็บรรจุลงในขัน แล้วเอาขันวางที่ขอบอ่าง แค่นี้ก็อาบน้ำได้แล้ว ผมไม่น่าโง่เลย!


<ห้องเช่าที่ผมพักอาศัยตอนอยู่ชั้น ม.๔ เป็นตึก ๔ ชั้น สามคูหา มีห้องให้เช่าทั้งหมด ๓๐ ห้อง แต่ละชั้นมีห้องน้ำรวม ตอนไปอยู่ใหม่ๆต้องปรับตัวพอสมควรเพราะไม่คุ้นเคยกับความเป็นอยู่แบบนี้มาก่อน>

Wednesday, October 14, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 24

“โธ่เอ๊ย ทำไมเอ๊ดไม่ทำสัญญาไป เดี๋ยวก็อดหรอก กว่าจะหาได้ก็แทบตาย” ผมโวยวายหลังจากที่ออกมาจากตึก

“อูจะไปกันใหญ่แล้ว อยู่ดีๆจะมาเช่าหอพักอยู่เองคนเดียวได้ไง” เอ๊ดพยายามห้ามปราม

เอ๊ดไม่ยอมเซ็นสัญญาท่าเดียว พร้อมทั้งเดินทางกลับบ้านทันทีและลากผมกลับไปด้วย ผมโมโหเอ๊ดมาก ทีแรกก็โวยวาย แต่ต่อมาเมื่อเห็นว่าเอ๊ดไม่ต่อปากต่อคำด้วย ผมก็เลยต้องหยุดไปเอง

เมื่อกลับมาถึงบ้าน เอ๊ดก็นำเอาเรื่องห้องเช่าที่ได้ไปดูมาคุยกับแม่ ส่วนพ่อนั้นไม่ยุ่งด้วยและไม่ถามอะไรเลย

เพราะเรื่องของผมทำให้ในช่วงนั้นที่บ้านต้องวุ่นวายมาก พ่อกับแม่ก็แทบจะไม่พูดกันเพราะแม่รู้สึกไม่พอใจพ่อมากทีเดียวที่พ่อเอ่ยปากไล่ผมออกจากบ้าน แต่ว่าหลังจากวันที่พ่อไล่ผมซ้ำรอบสองแล้วพ่อก็ไม่เคยเอ่ยปากพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย ทั้งไม่ไล่ และก็ทั้งไม่บอกให้อยู่ที่บ้านต่อไปได้ การที่พ่อเฉยไม่ได้ทำให้ผมคิดว่าพ่อเปลี่ยนใจ ผมกลับคิดไปว่าพ่อยังไม่เปลี่ยนใจมากกว่า จึงยืนกรานที่จะย้ายกลับมาเรียนต่อที่กรุงเทพฯอีกให้ได้

คนที่รับศึกหนักคงเป็นแม่ เพราะแม่เป็นคนที่ถูกบีบอยู่ระหว่างกลาง ผมก็ต้องการอย่างหนึ่ง พ่อก็ต้องการอย่างหนึ่ง ทีแรกแม่ก็ไม่ยอมให้ผมกลับมาเรียนที่กรุงเทพฯ แต่หลังจากที่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของผมในช่วงหลัง ที่ผมกลับมากระตือรือร้น พร้อมทั้งไม่มีอาการอาเจียนและท้องเสียอีก ทำให้แม่ต้องคิดหนักว่าถ้าผมอยู่ที่นี่ต่อไปแล้วอาการเครียดกับซึมเศร้ากลับมาอีก กับการปล่อยให้ผมกลับไปใช้ชีวิตที่กรุงเทพคนเดียว อย่างไหนจะดีกว่ากัน

ในช่วงนี้แม่ดูไว้วางใจและปรึกษาเอ๊ดค่อนข้างมาก แม่คงเห็นว่าเอ๊ดเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแล้วและมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ประกอบกับแม่ปรึกษาพ่อเรื่องของผมไม่ได้เลย เพราะพ่อเอาแต่พูดว่า

“มันคิดว่ามันโตแล้ว อยากทำอะไรก็ทำไปก็แล้วกัน”

ในที่สุด แม่ก็ตัดสินใจเดินทางเข้ากรุงเทพฯพร้อมกับเอ๊ดและผมเพื่อไปดูห้องเช่าที่ผมหมายตาเอาไว้

เมื่อแม่บ้านประจำตึกเห็นผมก็ส่ายหัว พร้อมทั้งยิ้ม

“กว่าจะตัดสินใจได้” แม่บ้านพูด “นี่ดีนะที่ห้องยังไม่ได้ปล่อยไป”

“เปล่าครับ” ผมอ้อมแอ้ม รู้สึกอายเหมือนกัน “คราวนี้พาแม่มาดูครับ”

แม่บ้านอ้าปากหวอ คงไม่ค่อยเจอผู้เช่าที่ยุ่งยากมากเรื่องขนาดนี้บ่อยนัก

แม่บ้านพาเราทั้งสามคนไปดูห้องอีกรอบหนึ่งอันเป็นรอบที่สาม แม่ซักถามแม่บ้านอย่างละเอียดยิบ หลังจากนั้นยังไม่พอ ยังขอคุยกับคุณน้าเจ้าของห้องเช่าอีกด้วย

“แม่” ผมกระตุกชายเสื้อแม่เบาๆ แล้วกระซิบ “เดี๋ยวเค้ารำคาญขึ้นมาก็เลยไม่ให้เช่ากันพอดี”

“ไม่ได้ แม่ต้องถามให้ละเอียด” แม่ยืนกราน “ไม่งั้นจะวางใจได้ไง”

หลังจากที่คุณน้าเจ้าของห้องเช่าลงมาก็คุยกับแม่ด้วยอาการโอภาปราศรัยเป็นอย่างดี แม่ซักถามรายละเอียดหลายๆอย่างที่ได้ซักถามแม่บ้านมาแล้ว เช่น สภาพแวดล้อม มีกฎระเบียบอย่างไร ผู้เช่าแต่ละห้องเป็นอย่างไร ห้องหนึ่งอยู่กันกี่คน ชายหรือหญิง ฯลฯ ซึ่งคุณน้าก็คุยและตอบข้อข้องใจของแม่จนแม่รู้สึกพอใจ

ผมเองก็เพิ่งรู้จากคุณน้าจากการคุยในวันนี้เองว่าตึกนี้มีทั้งหมด ๓๐ ห้อง อยู่คนเดียวก็มี ผัวเมียก็มี เป็นนักเรียนนักศึกษามากกว่าคนทำงาน โดยเฉพาะห้องเช่าที่ผู้เช่ายังเด็กๆอยู่ก็มีหลายห้อง เช่น ห้องหนึ่งเป็นสองพี่น้อง คนพี่อยู่ปีหนึ่ง คนน้องอยู่ ม.๖ อีกห้องหนึ่งก็สองพี่น้อง ม.๖ กับ ม.๓ อีกห้องหนึ่งก็สามพี่น้อง คนโตเรียน ปวส. ๑ ส่วนอีกสองคนเรียน ม.๕ กับ ม.๒ เป็นต้น

“ม.๔ อยู่คนเดียวเหรอ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” คุณน้าพูดกับแม่ “คุณก็ดูสิว่าตึกนี้เด็กเยอะ ไม่เหงาหรอก ส่วนใหญ่ก็นิสัยดี เรียบร้อย เพราะดิฉันเลือกคนเช่ามากเหมือนกัน ถ้าดูเกะกะเกเรก็ไม่รับ เด็กในตึกแม้จะเป็นผู้เช่า แต่ดิฉันก็ดูแลเหมือนญาติ”

และอีกเรื่องหนึ่งที่ผมเพิ่งจะรู้ก็คือ คุณน้าเองก็มีลูกชายสองคน กำลังเรียน ม.๕ และ ม.๔ โรงเรียนเดียวกับที่เอ๊ดจบมาเสียด้วย พอผู้ใหญ่ทั้งคู่รู้ว่าลูกชายของตนต่างก็เป็นศิษย์สำนักเดียวกัน การพูดคุยก็ยิ่งเป็นกันเองมากยิ่งขึ้น

คุณน้าก็ถามเหมือนกันว่าเรื่องราวเป็นยังไงมายังไง เด็ก ม.๔ จึงมาหาห้องเช่าเอง แม่ก็คงไม่อยากเล่ามาก คงเล่าเพียงคร่าวๆว่าเดิมพักอยู่กับญาติ แต่ต่อมาทางครอบครัวญาติเกิดไม่สะดวกเหมือนเดิม จึงต้องย้ายออกมา

“อะ ลองดูก็แล้วกัน” แม่ตัดสินใจพร้อมกับถอนหายใจ

- - -

ในที่สุด แม่ก็ตัดสินใจให้ผมกลับมาเรียนที่กรุงเทพฯอีกครั้ง คราวนี้แม่กับเอ๊ดช่วยกันคิดแต่แม่เป็นคนตัดสินใจเอง เพราะพ่อไม่ยุ่งด้วย นับว่าเป็นผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึง จากเดิมที่แม่ไม่เห็นด้วย แต่หลังจากที่ได้คุยกับคุณน้า แม่ก็เปลี่ยนใจ และเป็นคนเซ็นสัญญาเช่ากับคุณน้าด้วยตนเอง

ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในบ้านอีกครั้งหนึ่ง ภายในช่วงเวลาปิดเทอมเพียงไม่ถึงหนึ่งเดือน ผมต้องย้ายที่อยู่ถึงสองครั้ง ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องโรงเรียนใหม่ใกล้บ้านของผมต่อมาเป็นอย่างไร จ่ายเงินไปแล้วมากน้อยเพียงใด และต้องไปลาออกหรือไม่ แต่คิดว่าในที่สุดพ่อก็คงต้องไปจัดการเอาจนได้

การย้ายกลับไปกรุงเทพฯในครั้งนี้ค่อนข้างทุลักทุเล เพราะว่าข้าวของค่อนข้างมาก อีกทั้งไม่มีพ่อคอยขับรถให้ การย้ายกลับเข้ากรุงเทพฯในครั้งนี้ในเมื่อพ่อไม่พูดอะไร ผมก็เกิดทิษฐิขึ้นมาเหมือนกัน ไม่ยอมเอ่ยปากขอให้พ่อช่วยเลยแม้แต่น้อย แม่กับเอ๊ดก็ขับรถไม่เก่ง เอ๊ดพอขับได้แต่ไม่กล้าขับทางไกลข้ามจังหวัด ครั้นจะว่าจ้างรถกระบะบรรทุกของมาส่งให้ก็เป็นเงินหลายพันบาท

“ไม่มีรถแล้วอูจะย้ายของได้ไง ของตั้งมากมาย” เอ๊ดถาม

“ก็แบกขึ้นรถทัวร์ไปดิ” ผมตอบ “ก็มีแต่เสื้อผ้ากับหนังสือเรียน มากที่ไหน”

“เฮ้อ ป๊าก็ไม่ช่วย แปลกแฮะ ไม่รู้ว่าป๊าคิดอะไรอยู่” เอ๊ดบ่นอุบ

เมื่อมีข้อจำกัดเกิดขึ้น ผมก็ทำเท่าที่ทำได้ โดยเอาไปแต่ของใช้ที่จำเป็น ได้แก่หนังสือเรียนและชุดนักเรียน ชุดไปเที่ยว โคมไฟอ่านหนังสือ ผ้าปูที่นอนและปลอกหมอน ที่จริงในห้องเช่าก็มีของใช้จำเป็นครบอยู่แล้ว อันได้แก่ โต๊ะทำงาน เตียงนอน ตู้เสื้อผ้า อย่างอื่นคิดว่าไปซื้อเอาใหม่จะสะดวกกว่า เพราะคงเป็นเพียงแค่สิ่งละอันพันละน้อยนั้นเท่านั้น

ผมจัดเตรียมข้าวของที่จะย้ายไป รวมกันแล้วก็ได้สองกระเป๋า จากนั้นผมกับเอ๊ดแบกขึ้นรถทัวร์ไป ตอนเดินทางพร้อมกับกระเป๋าหนักๆนี่ก็ทุลักทุเลเอาการ เพราะกว่าจะได้ขึ้นรถทัวร์ก็ไม่ใช่ง่ายๆ ต้องเดินทางเข้าไปในตัวเมืองเสียก่อน พอไปถึงหมอชิตแล้วก็เรียกแท็กซี่ให้ไปส่งที่ซอยลาดพร้าว ๒๕ เพราะขึ้นรถเมล์ไม่ไหว

เมื่อเอ๊ดส่งผมจนถึงห้องเรียบร้อยแล้วเอ๊ดก็ขอตัวกลับเพราะตอนนั้นก็ใกล้เปิดเทอมแล้ว เอ๊ดเองก็ต้องขึ้นเชียงใหม่ไปเพื่อลงทะเบียนเรียนและเตรียมตัวเรียนในเทอมต่อไป

“ไม่พักด้วยกันสักคืนเหรอ” ผมถาม รู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของพี่ชาย ในยามปกติ เอ๊ดดูเหมือนจะหมั่นไส้และไม่อยากยุ่งกับผมนัก แต่ในยามที่ผมเดือดร้อน พี่ชายคนนี้ก็ยังพึ่งได้เสมอ

“ไม่อะ” เอ๊ดทำหน้าเบ้ “กลับไปนอนบ้านดีกว่า อูจะได้จัดข้าวของด้วย”

หลังจากที่เอ๊ดกลับไป งานชิ้นแรกที่ผมทำก็คือการเช็ดโต๊ะ เช็ดตู้ จากนั้นก็เอาเสื้อผ้าแขวนเข้าตู้ แล้วก็ถูห้อง

หลังจากนั้นก็เอาของออกมาจัด เอาโคมไฟอันโปรดตั้งที่โต๊ะทำงาน โคมไฟอันนี้ที่ต้องเอาติดมาด้วยเพราะว่าราคาแพง เกือบสามพันบาท เป็นโคมไฟอ่านหนังสือที่มีอินเวอร์เตอร์ ใช้หลอดตะเกียบที่ใช้กับโคมไฟ ซึ่งไม่ใช่หลอดตะเกียบแบบที่เห็นในยุคนี้ การมีอินเวอร์เตอร์ทำให้แสงจากหลอดนวลตา ไม่กระพริบแบบหลอดฟลูออเรสเซนต์ทั่วไป อ่านหนังสือแล้วสบายตา และไม่ร้อนอีกด้วย

จากนั้นก็ปูที่นอนและใส่ปลอกหมอน พวกนี้ก็เป็นของแพง เลยเอามาจากบ้าน แล้วผมก็พบว่าห้องนี้ยังขาดอะไรไปหลายอย่างทีเดียว ที่สำคัญก็คือโต๊ะสำหรับวางของ เพราะตอนนี้ของไม่มีที่วางเลย ต้องวางกับพื้นห้องซึ่งเกะกะ

เรื่องเฟอร์นิเจอร์หรือเครื่องเรือนแถวนี้หาได้ไม่ยาก เพราะตั้งแต่ซอยลาดพร้าว ๒๕ เป็นต้นไปจนถึงซอย ๓๕ รวมทั้งฝั่งตรงข้ามด้านซอยคู่มีแต่ร้านเฟอร์นิเจอร์ ย่านนี้เป็นย่านการค้าเครื่องเรือนมานานแล้ว ในยุคนั้นร้านเฟอร์นิเจอร์แถวนี้ขายดีมาก แต่ต่อมาเมื่อถึงยุคต้มยำกุ้ง ย่านนี้ก็ดูซบเซา และเพิ่งกลับมาคึกคักอีกครั้งในช่วงปีสองปีนี้เอง เพราะตั้งแต่มีคอนโดมิเนียมมาต้องอยู่แถวนี้ ทำให้กิจการของร้านเฟอร์นิเจอร์ดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา

ผมเดินออกไปยังปากซอยเพื่อหาซื้อโต๊ะหรือชั้นวางของ หลังจากเลือกอยู่นาน ในที่สุดก็ได้โต๊ะที่ขนาดพอเหมาะ ถูกใจ จึงเอาขึ้นรถสามล้อกลับมา

แม้วันนี้จะเป็นวันอันเหน็ดเหนื่อย แต่ก็เป็วันที่ผมภูมิใจ เพราะผมได้ทำอะไรหลายๆอย่างที่เมื่อก่อนไม่เคยทำ

- - -

เมื่อกลับมาที่หน้าตึก หลังจากที่เอาโต๊ะวางของลงจากรถ ผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้ นั่นคือ โต๊ะตัวนี้มีขนาดใหญ่พอสมควร คนเพียงคนเดียวไม่น่าจะยกขึ้นไปได้ ยิ่งห้องของผมอยู่ถึงชั้น ๔ อีกด้วย ครั้นจะหาคนช่วยยกก็ยังไม่รู้จักใครสักคน

ยืนเก้ๆกังๆอยู่สักครู่ ก็เลยเดินเข้าไปในตึก กะว่าจะหาตัวแม่บ้าน ให้แม่บ้านนี่แหละช่วย พอเดินเข้าไป ยังไม่ทันจะพบแม่บ้าน ผมก็พบกับเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง น่าจะวัยเดียวกับผม ผิวสีน้ำตาล หน้าตาเรียกคมเข้ม สมส่วน จะเรียกว่าหล่อก็น่าจะได้

“มีอะไรให้ช่วยมั้ยครับ” วัยรุ่นคนนั้นถามผม น้ำเสียงไพเราะเสียด้วย

“เอ้อ” ผมยังตั้งตัวไม่ทัน ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้เป็นใคร “หาแม่บ้านน่ะครับ”

“พี่พรออกไปข้างนอก มีอะไรให้ช่วยก่อนไหมครับ” นอกจากน้ำเสียงไพเราะแล้ว วาจายังสุภาพอีกด้วย

“เอ้อ...” ผมอึกอัก “ว่าจะขอให้พี่พรช่วยผมยกโต๊ะขึ้นไปที่ห้องหน่อยน่ะ คนเดียวยกไม่ไหว”

“อ๋อ นายเป็นคนเช่าในตึกเหรอ” วัยรุ่นนั้นหัวเราะ เปลี่ยนท่าทีไปในทันที “เราอุตส่าห์เก๊กซะ นึกว่ามาติดต่อเช่าห้อง มาๆ เดี๋ยวเราช่วยนายเอง”


<ภาพนี้ถ่ายจากปากซอยลาดพร้าว ๒๕ ตั้งแต่ซอยลาดพร้าว ๒๕ เป็นต้นไปจนถึงซอย ๓๕ รวมทั้งฝั่งตรงข้ามด้านซอยคู่มีแต่ร้านเฟอร์นิเจอร์ ย่านนี้เป็นย่านการค้าเครื่องเรือนมานานแล้ว ในยุคนั้นร้านเฟอร์นิเจอร์แถวนี้ขายดีมาก แต่ต่อมาเมื่อถึงยุคต้มยำกุ้ง ย่านนี้ก็ดูซบเซา และเพิ่งกลับมาคึกคักอีกครั้งในช่วงปีสองปีนี้เอง เพราะตั้งแต่มีคอนโดมิเนียมมาต้องอยู่แถวนี้ ทำให้กิจการของร้านเฟอร์นิเจอร์ดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา>

Saturday, October 3, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 23

หลังจากที่ดูห้องเช่าในซอยลาดพร้าว ๒๕ เสร็จก็เป็นเวลาใกล้ค่ำแล้ว ผมจึงรีบขึ้นรถกลับไปที่หมอชิตเพื่อขึ้นรถทัวร์กลับบ้านทันที

วันนั้นเป็นวันที่ผมเดินมากที่สุดในชีวิต ตั้งแต่เด็กมาจนเรียนถึง ม.๔ ไม่เคยเดินในวันเดียวไกลขนาดนี้มาก่อน ผมเดินตั้งแต่ปากทางลาดพร้าว ข้ามแยกรัชดาภิเษกตัดลาดพร้าว มาจนถึงซอยลาดพร้าว ๒๕ ไล่มาทุกซอย เดินอยู่ประมาณ ๖ ชั่วโมง ตั้งแต่ก่อนเที่ยงยันเย็น ถ้าคิดเป็นระยะทางก็น่าจะสิบกิโลเมตรได้ และที่สำคัญก็คือตอนกลางวันแดดร้อนมาก ตอนนั้นไม่รู้จักครีมกันแดดจึงไม่ได้ใช้ เมื่อโดนแดดนานๆเข้าเวลาเหงื่อออกจะรู้สึกแสบผิวหนัง

ตอนขากลับ เมื่อผมนั่งรถผ่านแยกรัชดาภิเษกตัดกับลาดพร้าว เห็นเด็กขายพวงมาลัยเดินอยู่ขวักไขว่ ผมเพิ่งเข้าใจความยากลำบากของเด็กขายพวงมาลัยตามสี่แยกก็ตอนนี้เอง กรุงเทพฯในตอนนั้นสามารถขายของตามสี่แยกได้ จะผิดกฎหมายหรือเปล่าก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่ว่าตำรวจไม่จับ เมื่อรถติดไฟแดง เด็กหญิงชายเหล่านี้ก็จะกรูกันลงมาบนถนนขายหนังสือพิมพ์บ้าง พวงมาลัยมะลิสดบ้าง เมื่อก่อนขายหนังสือพิมพ์กับพวงมาลัยมะลิสดเป็นหลัก ที่คอยเช็ดกระจกรถก็มีบ้าง แต่ต่อมาก็มีวิวัฒนาการจนมีสินค้าหลากหลายยิ่งขึ้น เช่น ปลอกโต๊ะรีดผ้า ถั่วต้ม ข้าวโพดต้ม ตลอดไปจนถึงยาดม ยาอม ยาหม่อง และไม่แคะหู ฯลฯ

ตอนนั้นผมทั้งเหนื่อย ทั้งเมื่อย และกระหายน้ำ แต่ก็ไม่กล้าเสียเวลาแวะกินอาหาร เพราะกลัวพลาดรถทัวร์แล้วจะกลับดึก เมื่อไปถึงหมอชิตหลังจากซื้อตั๋วรถได้แล้วนั่นแหละ จึงมีโอกาสซื้อน้ำหวานดื่ม

การเดินทางไปต่างจังหวัดทางบกในตอนนั้นก็อาศัยรถ บขส. รถทัวร์ และรถไฟเป็นหลัก รถตู้ไปต่างจังหวัดก็มีแล้ว แต่ยังไม่มีเส้นทางมากมายเหมือนในปัจจุบัน อีกทั้งผมไม่รู้จักเส้นทางรถตู้และจุดขึ้นลงด้วย จึงไม่ได้ใช้

กว่าจะถึงบ้านก็สามทุ่มกว่า วันนี้กลับดึกกว่าวันก่อนเสียอีก เมื่อแม่เห็นผม คราวนี้ไม่โวยเรื่องกลับช้า เพราะผมบอกเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่กลับตกใจที่เห็นสภาพของผม

“ตายแล้วอู ไปทำอะไรมา ทำไมหน้าแดง แขนแดง แดงไปหมดทั้งตัว” แม่ตกใจ

แม้จะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินมาทั้งวัน แต่เมื่อเห็นหน้าแม่ ผมก็รู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมาทั้นที ผมจากจะเล่าให้แม่ฟังถึงเรื่องห้องเช่าที่ผมไปดูมา ผมคิดว่าแม่น่าจะเห็นด้วยกับผม แต่ตอนนี้โอกาสไม่ค่อยเหมาะ เพราะแม่กำลังทำงานอยู่ชั้นล่าง พ่อก็อยู่อีกห้องหนึ่ง ยังคุยไม่สะดวกเพราะว่าผมยังไม่อยากให้พ่อรู้เรื่องนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเหมือนกัน ตั้งแต่มีเรื่องตาลเป็นต้นมา ผมรู้สึกว่าเข้าหน้าพ่อไม่ค่อยติด ดูพ่อโมโหง่ายขึ้นและพูดกับผมด้วยถ้อยคำที่รุนแรงขึ้น จนผมรู้สึกกลัวๆอย่างไรก็ไม่รู้

“แม่ แม่ เดี่ยวว่างแล้วขึ้นไปห้องอูหน่อยดิ อูมีเรื่องจะคุยให้แม่ฟัง” ผมกระซิบบอกแม่

“แล้วทำไมค้องกระซิบด้วย” แม่ถามด้วยความสงสัย “นี่เรายังไม่ได้บอกแม่เลยว่าไปทำอะไรมา หัวหูแดงไปหมด ยังกับไปตากแดดมา”

“ก็ตากแดดมาน่ะสิแม่” ผมตอบ

“ตายแล้ว แดงขนาดนี้คงต้องไปตากแดดมาทั้งวัน เดี่ยวก็เป็นไข้ไม่สบายเอาหรอก” แม่บ่นอีก แล้วก็ถาม “แล้วนี่ไปเที่ยวเล่นอยู่ข้างนอกทั้งวัน ไม่ท้องเสียเข้าห้องน้ำแล้วเหรอ”

เออ จริงสินะ นี่ถ้าแม่ไม่พูดผมก็ลืมนึกถึงไปเลย วันนี้ทั้งวันผมไม่มีอาการคลื่นไส้อาเจียน หรืออาการท้องเสียเลย

“ไม่มีเลย” ผมตอบ “แปลกเหมือนกันแฮะ”

ผมรีบกินอาหารเย็นที่เหลือไว้บนโต๊ะอาหารอย่างรีบๆ จากนั้นก็ขึ้นข้างบนเพื่ออาบน้ำ เมื่ออาบน้ำเสร็จ ก็รีบเข้าไปคุยกับเอ๊ดทันที ผมคิดว่าถ้าเริ่มคุยกับเอ๊ดก่อนน่าจะดีกว่า ถ้ากล่อมเอ๊ดได้สำเร็จ เอ๊ดก็จะช่วยพูดให้ผมได้

เมื่อผมเดินเดินเข้าไปในห้องนอน ตอนนั้นยังไม่ได้ใส่เสื้อ เอ๊ดเห็นก็ร้องทักทันที

“เฮ้ย ไปทำอะไรมาน่ะ แดงเป็นลายเลย”

“แดงยังไง แดงเป็นลาย” ผมงง

“ก็ส่องกระจกดูสิ” เอ๊ดตอบ

เมื่อผมส่องกระจกดูจึงได้เห็นว่าร่างที่ถอดเสื้ออยู่ของผมนั้นเหมือนกันคนผิวคล้ำใส่เสื้อแขนสั้นสีขาว เพราะผิวส่วนที่อยู่นอกร่มผ้าของผมกลายเป็นสีแดงไปหมด ส่วนผิวที่อยู่ในร่มผ้าเป็นสีขาว โดยเฉพาะที่ต้นแขนและต้นคอ สีผิวตัดกันเด่นชัดมาก

“วันนี้อูเข้ากรุงเทพฯมา” ผมเริ่มเข้าสู่หัวข้อการสนทนา

“อ้าว” เอ๊ดร้องอย่างตกใจ “ไหนแม่บอกว่าไปหาเพื่อนในเมืองไง”

“ก็ไปในเมืองแหละ แต่ว่าเป็นเมืองกรุง” ผมตอบแบบศรีธนญชัย

“นี่ถ้าป๊ากับแม่รู้มีหวังโดนเอ็ด อยู่ดีๆหนีเข้ากรุงเทพฯคนเดียว” เอ๊ดบ่นอุบ

“อูโตแล้วนะ แล้วก็ไม่เห็นเหรอว่าอูกลับมาแล้ว อูไปมาสองครั้งแล้วด้วย อูพึ่งตัวเองได้น่า” ผมคุยโว

“แล้วเข้ากรุงเทพฯไปทำไม” เอ๊ดถาม

เมื่อเอ๊ดถามถึงวัตถุประสงค์ ผมก็รีบเข้าประเด็นทันที ผมเล่าให้เอ๊ดฟังถึงเรื่องการหาห้องเช่าของผม รวมทั้งห้องเช่าที่ถูกใจที่ซอยลาดพร้าว ๒๕

“อย่าฝัน เป็นไปไม่ได้” เอ๊ดรวบรัดตัดความ “เด็กอายุแค่นี้จะไปอยู่หอพักคนเดียวได้ไง ป๊ากับแม่ไม่มีทางยอมอยู่แล้ว”

“ก็นั่นไง แต่มันเป็นทางเดียวที่อูจะได้กลับไปเรียนที่กรุงเทพฯอีก เอ๊ดช่วยพูดหน่อยดิ นะนะนะ” ผมหยอดลูกอ้อน

ยังไม่ทันทีเอ๊ดจะตอบว่าอะไร แม่ก็เข้ามาในห้องพอดี ผมจึงเล่าเรื่องการไปกรุงเทพฯและห้องเช่าให้แม่ฟังอีกครั้งหนึ่ง

“นี่ตกลงไม่ได้ไปหาเพื่อนหรอกเหรอ” แม่ถาม

“อูโกหกน่ะแม่” ผมตอบตามตรง “ถ้าบอกก่อนคงไม่มีใครให้อูไป”

“โธ่เอ๊ย ทำไมทำอะไรไม่บุ่มบ่ามแบบนี้นะ” แม่บ่น “แล้วทำไมจู่ๆคิดเรื่องเรียนที่กรุงเทพฯขึ้นมาอีก ก็ตกลงว่าจะกลับมาเรียนที่บ้านเราแล้วนี่”

“ก็แม่กับเอ๊ดคิดว่าอูควรจะเรียนที่กรุงเทพฯไม่ใช่เหรอ” ผมย้อน

“อูรู้ได้ไง” แม่ทำหน้าแปลกใจ

“ก็อูได้ยินป๊า แม่ แล้วก็เอ๊ดคุยกันเมื่อวันก่อนน่ะ” ผมตอบ “ถ้ามีทางอูก็ยังอยากกลับไปเรียนที่กรุงเทพฯแหละแม่”

“นั่นมันหมายถึงอูไปพักกับคุณลุงคุณป้าอีกต่างหาก” แม่พูดแบบตัดบท ไม่ยอมให้ผมต่อรอง “ไม่ได้หมายความว่าให้อูไปเช่าห้องอยู่คนเดียว อายุแค่นี้จะไปอยู่คนเดียวได้ไง เป็นอะไรขึ้นมาใครจะดูแล”

“โธ่ แม่อย่าห่วงอูเกินไปนักเลย อูก็อยู่ห่างบ้านมาตลอด ตอนประถมอูก็อยู่หอ อูพึ่งตัวเองได้นะแม่” ผมรีบหาเหตุผลสนับสนุนตนเอง

“นั่นมันอยู่หอ มีครูดูแล แล้วตอนมัธยมก็มีผู้ใหญ่ดูแล มันไม่เหมือนกัน อย่ามาพูดให้ยากเลย เป็นไปไม่ได้” แม่ปิดประตูไม่ยอมให้มีการต่อรองใดๆ

ผมอ้อนวอนแม่อยู่นาน ชักแม่น้ำทั้งห้า มหาสมุทรทั้งเจ็ด แต่แม่ก็ไม่ยอมท่าเดียว ผมหันไปมองทางเอ๊ด อุตส่าห์ขยิบหูขยิบตาให้เอ๊ดช่วยพูดให้บ้าง แต่เอ๊ดก็ทำเฉย

“โอ๊ย ตื๊ออยู่นั่นแหละ” แม่ชักรำคาญ “ไปพูดกับป๊าก็แล้วกัน ถ้าป๊ายอมจะไปก็ไป” แม่โบ้ยให้ไปต่อรองกับพ่อแทน คงจะรำคาญผมเต็มที ว่าแล้วก็เดินออกจากห้องไป

หลังจากที่แม่ออกไป ผมต่อว่าเอ๊ดที่ไม่ยอมช่วยพูด

“อู อย่าเพ้อฝันเลย มันเป็นไปไม่ได้” เอ๊ดพยายามเตือนสติ “พ่อแม่ที่ไหนจะยอมให้ลูกอายุเท่านี้ไปอยู่คนเดียว อูไม่น่าเอาเรื่องที่ได้ยินวันนั้นไปทึกทักเอาเลย”

“งั้นอูลองไปคุยกับป๊าดูก็ได้” ผมรวบรัดตัดความบ้าง

ที่จริงผมก็รู้ดีว่าที่แม่บอกว่าให้ไปถามพ่อนั้นเป็นเพราะแม่เห็นว่าผมตื๊อหนัก จึงพูดเพื่อปัด แต่ทำไงได้ ในเมื่อผมเกิดความหวังขึ้นมาอีกครั้ง ผมก็จะไม่ยอมทิ้งมันไปง่ายๆ

ผมลงไปหาพ่อทันที ตอนนั้นพ่อยังนั่งทำงานอยู่ที่ชั้นล่าง เมื่อผมเข้าไปในห้องทำงาน เห็นใบหน้าของพ่ออมแดง เหมือนกับไปตากแดดมา

ผมเล่าเรื่องการไปกรุงเทพฯและการเช่าห้องพักให้พ่อฟังอีกรอบเป็นรอบที่สาม

“อูบ้าหรือเปล่า” พ่อสวนด้วยเสียงอันดังทั้งๆที่ผมยังเล่าไม่ทันจบ “ใช้อะไรคิดเนี่ย เด็กอายุแค่นี้จะไปอยู่คนเดียวได้ยังไง ญาติพี่น้องอยู่ใกล้ๆก็ไม่มี”

ผมสะอึกกับคำพูดของพ่อ ผมเพิ่งเล่าไปได้ไม่กี่ประโยคก็ถูกพ่อสวนกลับมาด้วยถ้อยคำที่ดุดัน แต่ก่อนพ่อไม่เคยพูดจารุนแรงกับผมขนาดนี้ เพิ่งจะมีก็ในช่วงหลังนี่เอง

ผมอ้อนวอนอีก พยายามพูดให้พ่อมั่นใจว่าผมดูแลตัวเองได้

“นี่เราตกลงกันไปแล้วนี่ อูก็ตัดสินใจว่าจะกลับมาอยู่บ้านเอง แล้วจะมายึกยักอะไรอีก” พ่อพูดเสียงแข็ง

“ก็...” ผมจนด้วยเหตุผล เพราะสิ่งที่พ่อพูดเป็นความจริง การกลับมาเรียนที่บ้านในครั้งนี้เป็นความเต็มใจของผมเอง

ผมหวนนึกถึงสภาพของโรงเรียนใหม่ที่ได้ไปเห็นมา มันทำให้ผมยากที่จะทำใจได้ ผมนึกถึงเพื่อน นึกถึงโรงเรียนที่ผมรัก นึกถึงไอ้บอย นึกถึงไอ้กี้ ถ้าให้ผมเรียนที่บ้าน ผมยอมทนให้ไอ้กี้ด่าดีกว่า และสุดท้าย ผมนึกถึงไอ้นัย...

“ให้อูลองเช่าห้องอยู่ดูสักเทอมไม่ได้เหรอป๊า ถ้าไม่ไหวค่อยกลับมาเรียนที่นี่ตอน ม.๕ มาเรียนที่นี่ตอนนี้มันก็ครึ่งๆกลางๆ” ผมพยายามหาเหตุผลถูไถไป ถือคติตื๊อครองโลก

แต่คตินี้คงใช้ไม่ได้ผลในเวลาและสถานการณ์นี้ เพราะเมื่อผมตื๊อหนักเข้า ผมก็เผลอหลุดปากออกไป

“ป๊าหาโรงเรียนอะไรให้อูเรียนก็ไม่รู้ ไม่น่าเรียนเลย” ผมพูด

มันเหมือนกับไปจี้จุดอะไรในตัวพ่อ เข้า เพราะเพียงเท่านั้นเองพ่อถึงกับโมโหและเกรี้ยวกราดขึ้นมา

“ไอ้อูนี่พูดไม่รู้เรื่อง ตกลงป๊าไม่ดี ป๊าไม่ได้ความเลยใช่มั้ย ถึงได้หาโรงเรียนไม่ดีมาให้เอ็งเรียน ทำอะไรให้ก็ไม่ชอบสักอย่าง ต้องหาเองใช่มั้ยถึงจะดี” พ่อเอ็ดตะโร ใบหน้าแดงก่ำ “ได้ ... ถ้าอยากจะไปอยู่ที่กรุงเทพฯก็ไปเลย แล้วก็ไม่ต้องกลับมาอีก ปีกกล้าขาแข็งแล้วจะไปไหนก็ไป ไอ้ลูกเวร สร้างแต่ปัญหา ดูเอ๊ดเค้าบ้างสิ ทำตัวเรียบร้อย ไม่ทำให้พ่อแม่หนักใจ จะเอาตัวอย่างดีๆไปทำบ้างไม่ได้หรือไง”

ผมตกตะลึง ไม่เคยถูกพ่อดุด่าขนาดนี้มาก่อน และยังเป็นการดุด่าอย่างที่ไม่ค่อยมีเหตุผลอีกด้วย คำว่าไอ้ลูกเวรสะเทือนใจผมอย่างที่สุด

“พรุ่งนี้รีบเก็บข้าวของไปเลยนะ” พ่อสำทับ “ถ้าไม่เก็บ ป๊าเก็บให้เอง”

“นี่ป๊าไล่อูเหรอ” ผมถาม รู้สึกว่าเสียงของตนเองสั่นเครือ

“เออ” พ่อตอบชัดถ้อยชัดคำ “บ้านนี้มันไม่ดี ไม่น่าอยู่ พ่อก็ไม่ดี อยากไปอยู่กรุงเทพฯก็รีบไปเลย”

“นี่ป๊าพูดเองนะ” ผมพูดด้วยความรู้สึกสะเทือนใจ ค่อยๆถอยหลังออกมา เมื่อพ้นประตูห้องทำงานของพ่อก็หันตัวกลับ พอดีเห็นแม่และเอ๊ดยืนอยู่ ผมรีบวิ่งขึ้นชั้นบนทันที

ความรู้สึกของผมในขณะนั้นมันตื้อไปหมด ทั้งเสียใจและน้อยใจ ทำไมพ่อจึงได้พูดจารุนแรงกับผมถึงขนาดนี้ ทำเหมือนกับผมไม่ใช่ลูก แต่ไม่ได้รู้สึกอยากร้องไห้เลยแม้แต่น้อย ผมจะต้องเข้มแข็ง...

เมื่อผมเข้ามาในห้องนอน แม่กับเอ๊ดก็ตามเข้ามา แม่ลงกลอนประตูเหมือนกับจะกลัวว่าพ่อจะตามเข้ามา

“โอ๊ย จะบ้าตาย ไปกันใหญ่แล้ว” แม่บ่น ทำท่าเหมือกับปวดหัวอย่างหนัก

“นี่มันเรื่องอะไรกันแม่ ทำไมป๊าถึงได้ด่าอูรุนแรงขนาดนี้” เอ๊ดถาม เอ๊ดคงรู้สึกเห็นใจผมอยู่บ้างเหมือนกัน

“ป๊าเค้า เอ้อ...” แม่อึกอัก “เค้ากินเหล้ามาน่ะ”

“หา” เอ๊ดกับผมอุทานขึ้นมาพร้อมกัน

หลังจากนั้นแม่จึงเล่าความลับที่ลูกๆไม่เคยรู้มาก่อนว่าตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา พ่อมักมีอาการเครียดและนอนไม่หลับ ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องปัญหาการเงิน อีกทั้งเกี่ยวกับเรื่องแชร์น้ำมัน ซึ่งเกี่ยวโยงกับคุณลุงคุณป้าด้วย มาถึงตอนนี้แม่จึงเล่าเรื่องแชร์น้ำมันให้เอ๊ดฟัง และเล่าต่อไปว่าหลังจากนั้นพ่อก็ดื่มเหล้าตอนเย็นหลังอาหาร วันละนิดหน่อย เพราะดื่มแล้วทำให้นอนหลับสบาย มิน่าล่ะ บางวันจึงเห็นพ่อหน้าแดง

แม่ยังเล่าต่อไปอีกว่าน่าจะมีเรื่องราวลึกๆที่แม่ไม่รู้ แม่เคยถามแต่พ่อไม่เคยตอบ หลังจากนั้นแม่ก็ถามผมว่าคุยอะไรกันถึงได้ทะเลาะกัน ผมก็เล่าเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นให้แก่แม่และเอ๊ดฟัง

ปกติพ่อไม่เคยแสดงอาการมึนเมาออกมาแต่อย่างใด กิริยาอาการก็เป็นปกติ ยกเว้นเรื่องหน้าแดง แสดงว่าคงดื่มวันละหน่อยจริงๆ แต่วันนี้อาจกำลังอารมณ์ไม่ค่อยดีอยู่ แล้ว ผสมกับอารมณ์เสียเรื่องของผมเข้าไปอีก จึงเอะอะขึ้นมา แม้แอลกอฮอล์ที่พ่อดื่มเข้าไปจะไม่ถึงกับเมา แต่ก็คงพอมีฤทธิ์ที่จะทำให้นิสัยเปลี่ยนแปลงไปได้

คืนนั้นผมเข้านอนด้วยความรู้สึกที่สับสน คำพูดขับไล่ของพ่อยังดังก้องอยู่ในหูของผมจนกระทั่งผมหลับไป...

- - -

เช้าวันรุ่งขึ้น แม้รีบเข้ามาหาผมแต่เช้า ตั้งแต่ผมยังไม่ตื่น แล้วก็ปลุกผมกับเอ๊ดขึ้นมา

“เช้านี้อูไปขอโทษป๊าเสีย เข้าใจไหม” แม่พูด

“อูไม่ได้ทำอะไรผิดนี่” ผมแย้ง ความรู้สึกน้อยใจยังไม่จางหายไปจากความรู้สึก

“ยังจะพูดอีก” แม่ถอนหายใจ “ไปขอโทษป๊าเสียก็แล้วกัน”

ผมไม่ตอบอะไร วันนั้นทั้งวันผมไม่พูดกับพ่อเลย แม้ว่าแม่มาพร่ำบอกอย่างไรผมก็เฉย หลายปีที่คบกับไอ้นัยมา ผมซึมซับเอานิสัยและวิธีการของมันมาได้ไม่น้อย และวิธีการที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือการดื้อเงียบ

บรรยากาศในบ้านอึมครึมตลอดทั้งวัน ผมเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง พ่อเองก็ไม่พูดอะไรถึงเรื่องเมื่อคืนอีกเลย

- - -

ค่ำวันนั้น

เมื่อเวลาอาหารเย็น โต๊ะอาหารที่นั่งกันสี่คนเงียบราวกับไม่มีคนนั่งอยู่เลย ทุกคนกินอาหารโดยไม่มีการพูดคุย โดยเฉพาะพ่อมีใบหน้าแดงก่ำ

“พรุ่งนี้อูไปไหนหรือเปล่า” เอ๊ดชวนคุยเพื่อทำลายความเงียบ

“ฮึ” ผมสั่นหัวเป็นคำตอบ

เพียงประโยคเดียวเท่านั้นก็ได้เรื่อง เพราะเมื่อพ่อได้ยินก็พูดขึ้นมาทันที

“อ้าว นี่ยังไม่เก็บข้าวของอีกเหรอ” พ่อพูด

“ป๊า” แม่พูดเป็นเชิงเตือน

“อะไรเล่า” พ่อพูดเสียงเข้ม แล้วก็หันมาพูดกับผมต่อ “ไหนบอกว่าจะไปอยู่กรุงเทพฯไง ทำไมไม่เก็บข้าวของไปเสียที”

“อูขึ้นไปข้างบนก่อนไป” แม่พูด

“ป๊าไล่อูเองนะ... ได้... อูจะไป” ผมพูดทิ้งท้ายก่อนลุกจากโต๊ะอาหาร

- - -

หลังจากที่ผมขึ้นมาบนห้อง สักครู่แม่และเอ๊ดก็ตามขึ้นมา แม่ตำหนิผมที่ผมไม่ยอมขอโทษพ่อตลอดทั้งวันที่ผ่านมา เรื่องราวจึงบานปลาย ส่วนผมก็บอกกับแม่ไปว่าในเมื่อพ่อขับไล่ ผมก็อยากลองไปใช้ชีวิตอยู่เองตามที่คิดเอาไว้ ตอนแรกไม่ว่าอย่างไรแม่ก็ไม่ยอม แต่เมื่อผมยืนกรานหนักเข้า รวมทั้งบอกกับแม่ว่าจะแค่ขอลองดูสักเทอมหนึ่ง ถ้าไม่ไหวก็จะยอมกลับมา แม่ก็เงียบไป ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ

วันถัดมา ผมเตรียมตัวเข้ากรุงเทพฯอีกเพื่อไปเจรจาเช่าห้องพัก พ่อไม่พูดอะไรเลยสักคำ ทำให้ผมน้อยใจหนักยิ่งขึ้น แสดงว่าพ่อหมายความอย่างที่พูดจริงๆ แม่พยายามห้ามปรามแต่ผมก็จะเข้ากรุงเทพฯให้ได้ ในที่สุดก็มาลงเอยที่ว่าเอ๊ดเดินทางมาเป็นเพื่อนด้วย

ผมพาเอ๊ดขึ้นรถทัวร์อย่างชำนาญ เพราะขึ้นมาแล้วสองสามครั้ง แม้แต่เอ๊ดเองก็ไม่เคยนั่งรถทัวร์หรือรถ บขส. เข้ากรุงเทพฯมาก่อนเพราะว่าปกติพ่อจะมารับ ทำให้เอ๊ดทึ่งในความสามารถของผมไม่น้อย

ผมพาเอ๊ดไปดูห้องเช่าที่ผมหมายตาเอาไว้ เอ๊ดดูแล้วก็ไม่พูดอะไร

“ตกลงจะมาอยู่กันสองคนพี่น้องเหรอ” แม่บ้านคนเดิมถาม

“อือ... ครับ” ผมตอบไม่เต็มเสียง

“มาดูสองครั้งแล้วยังไม่ตัดสินใจเสียที” แม่บ้านพูดเปรยๆ “ถ้ามาครั้งที่สามอาจไม่มีห้องแล้วนะน้อง นี่ดีว่ามีคนย้ายออกตอนช่วงปิดเทอม ถ้าปกติละก็อย่าหวังว่าจะมีห้องเลย เพราะว่าแต่ละคนเช่าอยู่กันเป็นปีๆ”

“เช่าเลยก็ได้ครับ” ผมตัดสินใจ เพราะคิดว่าที่แม่บ้านพูดเป็นความจริง เนื่องจากห้องเช่ารายอื่นก็พูดทำนองนี้เช่นกัน ผมกลัวว่าห้องที่ผมถูกใจนี้จะหลุดมือไป

“ถ้าเตรียมเงินมาพร้อมพี่ชายก็มาเซ็นสัญญากับคุณน้า” แม่บ้านพูด คำว่าคุณน้าหมายถึงคุณน้าเจ้าของห้องเช่า

“พี่ชายเหรอ” ผมทวนคำ “ทำไมไม่ให้ผมเซ็นละครับ”

“ยังเด็กอยู่ จะทำสัญญาได้ไง” แม่บ้านหัวเราะ “พี่ชายนี่อายุก็ยังไม่ถึง ๒๐ ที่จริงก็ยังทำสัญญาเองไม่ได้เหมือนกัน แต่ก็พออนุโลม แต่อย่างน้องนี่ไม่ได้หรอก”

ผมหันไปพยักเพยิดกับเอ๊ดเป็นทำนองว่าให้ช่วยทำสัญญาให้ที แต่เอ๊ดเฉย

“เอ๊ด” ผมกระซิบ “ทำดิ”

เอ๊ดก็ยังเฉย จากนั้นก็บอกแม่บ้านว่าจะมาใหม่อีกที ว่าแล้วก็ลากผมออกมาจากตึก



<ภาพสถานีขนส่งหมอชิตเก่า ตั้งอยู่ริมถนนพหลโยธิน ตรงข้ามสวนจตุจักร ซึ่งเป็นสถานีขนส่งทั้งสายเหนือและสายอีสาน คำว่าหมอชิตนั้นเดิมทีเป็นชื่อตลาดเนื่องจากพื้นที่นี้ก่อนที่จะมาเป็นสถานีขนส่งเดิมเป็นตลาดนัดมาก่อน เรียกว่าตลาดหมอชิต สังเกตตึกที่มีศรชี้ นั่นคือตึกการบินไทยที่ตั้งอยู่บนถนนวิภาวดีรังสิต>


<ด้านหลังของอาคารสถานีขนส่งหมอชิตเก่า จะเห็นว่าเป็นท่ารถ และลานจอดรถ ด้านข้างของสถานีขนส่ง (ซึ่งมองไม่เห็นในภาพนี้) เป็นร้านค้า ส่วนใหญ่จะเป็นร้านอาหาร ส่วนด้านหลังของสถานีขนส่งนั้นเป็นสถานีโทรทัศน์ช่อง ๗ ทำให้ สถานีโทรทัศน์ช่องนี้มีชื่อเล่นที่เรียกกันติดปากกันว่า วิกหมอชิต นั่นเอง>


<สถานีขนส่งหมอชิตหลังจากที่ได้ย้ายออกไปอยู่ที่ถนนกำแพงเพชร หรือที่เรียกว่าหมอชิต ๒ ในเดือนเมษายน ๒๕๔๑ พื้นที่หมอชิต (เก่า) ก็ถูกพัฒนาเป็นโรงจอดรถและซ่อมบำรุงของรถไฟฟ้าบีทีเอส สังเกตตึกการบินไทยที่ศรชี้ในภาพเพื่อเปรียบเทียบตำแหน่งกับภาพบน>