Wednesday, July 31, 2013

ภาคสี่ ตอนที่ 75


วันนั้นเราสองคนกลับบ้านด้วยกัน หลังจากที่จุ๋มแยกลงจากรถที่ซอยอารีย์แล้ว ก่อนที่รถ ปอ.๒ จะปิดประตูและออกจากป้าย ผมก็ตัดสินใจลงจากรถตามจุ๋มไป

“อ้าว พี่อู ทำไมลงรถที่นี่ล่ะ” จุ๋มอุทานด้วยความแปลกใจ

“ก็...” ผมอึ้ง ก็ไม่รู้ว่าลงรถมาทำไมเหมือนกัน แต่ก็หาข้ออ้างจนได้ “ดูเหมือนจุ๋มยังคุยไม่จบนี่ เดี๋ยวนี้เรานานๆได้เจอกันสักที คุยกันต่ออีกสักนิดก็ได้ เราเดินไปคุยกันไป”

“เสียเวลาพี่อูน่ะสิ มาฟังจุ๋มบ่นเรื่องไร้สาระ” จุ๋มพูด

“ไม่ไร้สาระหรอก จุ๋มมีเรื่องไม่สบายใจ ได้ระบายออกมาบ้างก็ดี” ผมพูด “เวลาพี่มีเรื่องไม่สบายใจก็อยากมีใครระบายด้วยเหมือนกัน”

เราสองคนเดินคุยกันไปเรื่อยๆ จนใกล้ถึงบ้านจุ๋ม จุ๋มก็หยุดเดิน

“ใกล้ถึงแล้ว ส่งแค่นี้ก็พอค่ะพี่อู” จุ๋มพูด

ผมเข้าใจความหมายในคำพูด ผมเองก็ไม่อยากเดินเข้าไปใกล้บ้านของจุ๋มมากกว่านี้ เกรงว่าแม่ของจุ๋มหากอยู่ในบ้านแล้วจะเห็นเข้า

“งั้นพี่กลับก่อนนะ” ผมพูด

“บ๊ายบาย พี่อู” จุ๋มโบกมือและทำท่าล้อเลียนผม

ผมมองจุ๋มด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก แม้ในยามเป็นทุกข์ จุ๋มก็ยังพยายามสร้างรอยยิ้มให้แก่คนที่อยู่รอบข้าง

“บ๊ายบาย จุ๋ม” ผมพูด “พรุ่งนี้เจอกัน”

“พรุ่งนี้?” จุ๋มทำน้ำเสียงสงสัย

“ไม่มีอะไรหรอก พูดกับเพื่อนจนติดปากน่ะ” ผมพูด

-    - -

วันต่อมา

หลังจากเลิกเรียนในตอนบ่าย ผมรอจนถึงประมาณบ่ายสามโมงครึ่งก็เดินออกจากคณะ เดินข้ามสนามหญ้าผืนใหญ่เพื่อไปยังฝั่งตรงข้าม...

เมื่อมาถึงตึกคณะศิลปกรรม ผมก็เดินขึ้นตึกไป การหาตัวจุ๋มนั้นไม่ยาก หากไม่อยู่ในห้องเรียนก็หาตัวเธอได้ที่ห้องพักหรือห้องซ้อมดนตรี วันนั้นผมเห็นจุ๋มซ้อมดนตรีอยู่ในห้องซ้อม ผมจึงเดินลงมารอที่ใต้ตึกโดยที่จุ๋มยังไม่เห็นผม

รออยู่สักพักก็เห็นจุ๋มเดินลงมาจากชั้นบนพร้อมกับเพื่อนๆ ม้านั่งที่ผมนั่งอยู่นี้ตั้งอยู่ในทำเลที่นักศึกษาที่เดินออกจากคณะต้องผ่าน

ผมรู้สึกตะขิดตะขวงใจนิดหน่อยเมื่อเห็นเพื่อนๆของจุ๋ม ที่จริงผมกับเพื่อนๆของจุ๋มนั้นเรียกได้ว่าคุ้นหน้ากันพอสมควร เพราะว่าเคยคุย เคยทักทายกัน แต่ว่าเมื่อวานผมเพิ่งมาหาจุ๋ม วันนี้ก็มาอีก จึงอดรู้สึกตะขิดตะขวงไม่ได้

แต่ดูเหมือนเพื่อนๆของจุ๋มจะรู้หน้าที่ดีพอสมควร เพราะเมื่อเห็นผม พวกเพื่อนๆก็เดินแยกออกไป ผมนั่งรออยู่จนจุ๋มเดินเข้ามาใกล้

“พี่อู หวัดดีค่ะ” จุ๋มทักทายด้วยน้ำเสียงดีใจ “วันนี้มาได้ไง”

“พี่ก็เดินมาเหมือนทุกทีนั่นแหละ” ผมตอบ

“งั้นพี่อูนั่งตามสบายนะ จุ๋มไปละ” จุ๋มพูด

“เดี๋ยวก่อน ทำงั้นได้ไง” ผมรีบลุกจากที่นั่ง “พี่กลับด้วยสิ”

“พี่อูมาหาจุ๋มมีอะไรเหรอ จะยืมเงินหรือเปล่า” จุ๋มถามอีก พร้อมกับหัวเราะ

“คิดแต่ละเรื่องนี่สร้างสรรค์จริงๆนะ” ผมเหน็บ

“อ้าว ก็จุ๋มสงสัยนี่” จุ๋มหัวเราะ เมื่อวานไม่เห็นจุ๋มหัวเราะเลย แต่วันนี้ก็หัวเราะจนได้

“ก็ไม่มีอะไร พอดีพี่เลิกเรียนแล้วจะกลับบ้าน ก็เลยมาดูว่าจุ๋มเลิกหรือยัง เผื่อว่าจะได้กลับด้วยกัน” ผมอธิบาย

“อ้อ พี่อูกลับบ้านเองไม่ได้” จุ๋มหัวเราะอีก

“ช่าย ก็ทำนองนั้น” ผมเออออ “กลัวหลงทาง ต้องให้จุ๋มไปส่งพี่สักช่วงหนึ่ง”

“พี่อูมารอจุ๋มนานหรือยังเนี่ย” จุ๋มยังไม่หายสงสัย

“เดี๋ยวเดียวเอง” ผมตอบ “จุ๋มจะกลับหรือยังล่ะ”

“กำลังจะกลับนี่แหละพี่อู ช่วงนี้ต้องรีบกลับไวหน่อย” จุ๋มพูด

“พี่ก็เห็นจุ๋มกลับไวทุกช่วงเลย ไม่ใช่เฉพาะแต่ช่วงนี้” ผมแซว

“แหม พี่อูก็... ก็ที่บ้านจุ๋มยุ่งๆนี่ จะไปไหนได้ล่ะ” จุ๋มถอนหายใจ “จะไปไหนก็ต้องคอยเป็นห่วง”

“จ้า... พี่ไม่ได้ว่าอะไร พี่ก็รู้ว่าจุ๋มเหนื่อย” ผมพูด พลางอดสะท้อนใจไม่ได้ จุ๋มเหมือนกับทำชีวิตหล่นหายไปช่วงหนึ่งเลยทีเดียว วัยมหาวิทยาลัยแทนที่จะเป็นวัยที่สดใส สำหรับจุ๋มมีแต่ความเหนื่อยยาก “ไป เราเดินกันไปคุยกันไปดีกว่า”

วันนั้นเราขึ้นรถกลับด้วยกัน พอไปถึงซอยอารีย์ ผมก็ลงจากรถตามจุ๋มไปด้วย

“อุ๊ย พี่อู ลงมาทำไม” จุ๋มอุทานอย่างแปลกใจขณะที่เราลงจากรถเรียบร้อยแล้ว

“สุภาษิตจีนบอกว่า ส่งพระต้องควรส่งให้ถึงกุฏิ ส่งแม่ชีควรส่งให้ถึงอาศรม” ผมมั่ว

“จุ๋มไม่ใช่แม่ชี แล้วจุ๋มก็ไม่ได้พักในอาศรมด้วย” จุ๋มหัวเราะ

“แน่ะ หัวเราะแล้ว” ผมหัวเราะด้วยเช่นกัน “พี่ก็มั่วเอาน่ะ เอาเป็นว่าพี่อยากเดินไปส่งจุ๋มในซอยด้วยละกัน”

“งั้นก็ตามใจ” จุ๋มพูด “แต่ระวังแม่เห็นก็แล้วกัน”

“ถึงเห็นก็คงไม่เป็นไรมั้ง” ผมปากแข็ง แต่ก็รู้สึกหวั่นๆเหมือนกันหากต้องเจอแม่ของจุ๋มเข้าจริงๆ เพราะเท่าที่ได้ฟังมา แม่จุ๋มก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน

วันนั้นผมเดินไปส่งจุ๋มจนถึงซอยย่อย ที่เดิมที่เดินไปส่งเมื่อวันก่อน จากนั้นก็กลับ

“ขากลับเดินดีๆ ระวังหมากัดนะ” จุ๋มเตือน แต่น้ำเสียงของจุ๋มปนเสียงหัวเราะ “ระวังเดินสะดุดตกท่อด้วย”

“ขอบคุณนะที่เป็นห่วง” ผมพูดประชด “ที่เตือนแต่ละอย่างนี่มีโอกาสเป็นไปได้มากเลย”

“ก็พี่อูซุ่มซ่ามนี่ จุ๋มก็เลยต้องเตือน” จุ๋มหัวเราะอีก “กับคนอื่นคงไม่ต้องเตือนหรอก”

“เออ ใส่ไฟเข้าไป” ผมหัวเราะขำไปด้วย

-    - -

หลายวันต่อมา... ที่ห้องชมรม

ขณะที่ผมกำลังนั่งเล่นในชมรมในช่วงพักเที่ยง ไอ้กี้ก็เดินเข้ามาในห้อง ปีนี้เราไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยนัก ต่างคนต่างก็เรียนกันคนละแผนก ไม่มีวิชาที่เรียนด้วยกันเลย จะได้เจอกันก็ในโรงอาหารหรือไม่ก็ในชมรม ซึ่งเราทั้งสองคนต่างก็ไม่ได้มาที่ชมรมทุกวันเหมือนเมื่อก่อน ดังนั้นจึงเจอกันน้อยลง แต่ความเป็นคู่กัดนั้นยังคงเป็นเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

“เฮ้ย ไอ้เหี้ยอู มึงเดินไปทำอะไรที่ตึกศิลปกรรมบ่อยๆวะ” เมื่อไอ้กี้เห็นหน้าผมก็ถามเสียงดังทันที

คนอื่นๆในชมรมสนใจขึ้นมาทันที

“มีเรื่องยังงี้ด้วยเหรอ ไอ้อูต้องมีความลับอะไรที่นั่นแน่ๆ” พี่ตั้วรีบผสมโรงทันที

“มึงรู้ได้ไงว่ากูเดินไปที่ตึกศิลปกรรมวะ” ผมงง เพราะตึกนี้อยู่คนละฟากกับคณะที่เราเรียนอยู่ แม้ว่าไอ้กี้จะเห็นผมเดินออกจากคณะ แต่มันก็ไม่มีทางรู้ว่าผมไปที่ไหน

“ก็เมื่อวานกูสะกดรอยมึงไปน่ะสิ” ไอ้กี้หัวเราะจนตาเหลือเพียงเส้นเดียว

“เฮ้ย ไอ้อู มีอะไรที่นั่นวะ” พี่ตั้วรีบถามทันที

“แล้วมึงสะกดรอยกูไปทำห่าอะไร ว่างนักหรือมึง” ผมตกใจนิดหน่อย ไม่นึกว่าจะมีคนสนใจจนต้องสะกดรอยตาม

“ก็ไม่ได้ว่างหรอก แต่กูเห็นมึงเดินข้ามฝั่งไปด้านโน้นในตอนบ่ายเกือบทุกวัน กูก็สงสัยน่ะสิ”  ไอ้กี้หัวเราะอีก

“ยังงี้ไม่ได้เรียกว่าสงสัย แต่เรียกว่า...” ผมพูดแล้วหยุด

“เสือก...” พี่ตั้วต่อให้

ผมพยักหน้า

“ใช่เลยพี่”

“แล้วไอ้อูไปทำอะไรที่นั่นวะไอ้กี้” พี่ตั้วทำหน้าตาย หันไปถามไอ้กี้

“เฮ้ย พี่” ผมพูด “พี่เพิ่งว่าไอ้กี้ไปหยกๆ...”

“เออ พี่ก็อยากรู้เหมือนกันโว้ย” พี่ตั้วหัวเราะ

ไอ้กี้ไม่ตอบ แต่บุ้ยใบ้มาทางผม

“ให้มันสารภาพเองดีกว่า”

“ไอ้เวร กูไม่ได้ทำอะไรผิด มีอะไรต้องสารภาพ” ผมเลี่ยงที่จะตอบคำถาม

“อ๋อ ช่ายยยย ความรักไม่ใช่ความผิดอยู่แล้ว” ไอ้กี้เก๊กหน้า ทำเสียงหล่อ ให้เหมือน ดร.เซนเบ้ ดูแล้วน่าเตะมาก

“นี่ไอ้อูไปจีบสาวถึงคณะอันไกลโพ้นเลยหรือนี่” พี่ตั้วทำเสียงแปลกใจ “มิน่าล่ะ หมู่นี้ถึงไม่ค่อยได้ขึ้นชมรม”

“พี่ตั้วก็สำนวนเว่อเหลือเกิน จีบสาวถึงคณะอันไกลโพ้น” ไอ้กี้หัวเราะ “สมศักดิ์ ภักดี อายเลย”

พี่ตั้วกับไอ้กี้หยอกเย้ากันไปมา แต่สุดท้ายก็พุ่งเป้ามาที่ผม

“ไม่มีอะไรหรอก พี่รหัสกูอยู่คณะศิลปกรรม” ผมอธิบาย

“อ้อ ชอบสาวที่มีอายุมากกว่า” พี่ตั้วขยายความไปอีกด้วยคำพูดที่น่าเตะ

“บอกว่าชอบรุ่นพี่ก็ได้พี่ตั้ว” ไอ้กี้ขัดคอด้วยเสียงเก๊กหล่อแบบ ดร.เซนเบ้

ทั้งสองพยายามซักไซร้เพื่อเอาความจริงจากผม แต่ผมก็เฉไฉไปเรื่อย จนในที่สุด ทั้งสองคนก็เลิกราไปเอง

“ไม่เป็นไรพี่ตั้ว” ไอ้กี้ปลอบใจรุ่นพี่ “วันหลังผมสะกดรอยใหม่ คราวนี้เอาให้รู้เลยว่าเดินกับใคร”

“สืบให้รู้ถึงบ้านช่องห้องหอ วันเดือนปีเกิดเลยนะกี้” พี่ตั้วสนับสนุน

“เว่ออีกแล้วพี่” ไอ้กี้หัวเราะ

“มึงกับพี่ตั้วอยากรู้ไปทำไมวะ แปลกจริง” ผมว่ามัน

“มึงต่างหากที่แปลก จะมีแฟนก็ไม่เห็นต้องปิดบังอะไร นี่เฉไปเฉมาอยู่นั่นแหละ” ไอ้กี้ย้อน

เรื่องราวในวันนั้นจบลงอย่างที่ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน พี่ตั้วกับไอ้กี้แม้จะพยายามหลอกล่อถาม แต่ก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมจากผมเลย

-    - -

หลังจากนั้นไม่กี่วัน เรื่องนี้ก็เข้าหูเพื่อนๆในแผนก ไม่รู้ว่าไปได้ยังไงเหมือนกัน

วันนั้นผมเข้าเรียนสายไปเล็กน้อย วิชานั้นเป็นวิชาแรกของวัน เริ่มเรียน 8 โมงเช้า อาจารย์เริ่มสอนตรงเวลาเป๊ะ ผมมาสายไป 5 ที

เรื่องมาสายไม่ใช่ประเด็น แต่ประเด็นอยู่ตรงที่ เมื่อผมเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ พิมพ์ เพื่อนสนิทของผมก็หันมาทักทาย

“เป็นไง ไปส่งสาวเพิ่งเสร็จเหรอ” พิมพ์พูด

“สาวอะไรที่ไหน” ผมงง

“ก็สาวคณะศิลปกรรมไง” พิมพ์พูดหน้าตาเฉย

“เฮ้ย รู้ได้ไง” ผมอุทานอย่างแปลกใจ

“นั่นแน่ พูดแบบนี้แสดงว่าจริง” พิมพ์หัวเราะ

หลังจากจบวิชานั้น เพื่อนๆต่างก็มารุมซักผมถึงเรื่องสาวต่างคณะของผม

“เจ้าอูนี่แอบควงสาวเงียบๆ ไม่กระโตกกระตากเลยนะ” พิมพ์พูดกับเพื่อนๆ “เห็นมันเดินไปไหนมาไหนคนเดียว นึกว่าเป็นโสด ที่แท้ไปควงสาวต่างคณะ”

“ไปเอาข่าวลือที่ไหนมา” ผมเลียบๆเคียงๆ อยากรู้ว่าพิมพ์ได้ข่าวมาจากไหน แต่ผมเดาว่าต้องมาจากไอ้กี้

“รู้ก็แล้วกันน่า” พิมพ์ไม่บอกแหล่งข่าว “ไม่ใช่ข่าวลือด้วย ข่าวจริง”

“อ๋อ คนนั้นน่ะเหรอ” เพื่อนอีกคนหนึ่งพูด

“คนไหน” ผมถาม

“คนที่เธอยืนคุยที่ป้ายตลาดสามย่านใช่ไหม เห็นเธอกับคนนั้นหลายครั้งแล้ว ว่าแล้วต้องเป็นเด็กคณะอื่น เพราะว่าไม่คุ้นหน้าเลย” เพื่อนตอบ

ที่แท้ก็มีคนเห็นผมกับจุ๋มที่ป้ายรถเมล์ด้วย ความลับไม่มีในโลกจริงๆ

“ก็คุยกันธรรมดา รอรถเมล์ป้ายเดียวกันก็คุยกัน” ผมบ่ายเบี่ยง



“ตกลงว่าเธอมีแฟนแล้วเหรออู” เพื่อนอีกคนถามตรงๆ

“...”

“ว่าไง”

“นี่ไม่มีเรื่องอื่นคุยกันแล้วหรือไง ไม่เอาแล้ว คุยเรื่องอื่นดีกว่า” ผมจบการสนทนาเอาดื้อๆ

“ไอ้อูนี่ก็แปลก เรื่องแค่นี้ ใช่หรือไม่ใช่ มีหรือไม่มี เพื่อนถามก็ตอบก็หมดเรื่อง” พิมพ์บ่น “จะมีแฟนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ชั้นปีเรามีตั้งไม่รู้กี่สิบคู่แล้ว ทำไมแกจะต้องปิดบังเพื่อนด้วย เพื่อนๆก็แค่อยากเอาใจช่วยเท่านั้นเอง ทีเรื่องของชั้นกับพี่อี๊ดยังไม่เห็นต้องปิดบังอะไรเลย”

หลังจากนั้น พวกเราก็เรียนวิชาต่อไปกันตามปกติ เพื่อนๆก็ยังมีแซวผมเรื่องสาวต่างคณะอยู่ แต่ก็เหมือนกับที่ชมรม นั่นคือ เป็นการแซวเอาสนุกมากกว่า เพราะว่าเรื่องการมีแฟนไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรสำหรับชีวิตการเรียนในมหาวิทยาลัยดังที่พิมพ์ว่า

แม้ว่าจะเรื่องนี้จะเป็นเพียงการแซวในหมู่เพื่อนฝูง แต่สำหรับผม มันกลับทำให้ผมรู้สึกขุ่นข้องและสับสนในใจ

เย็นวันนั้น หลังจากเลิกเรียน ผมรู้สึกเคว้งนิดหน่อย ผมไม่ได้กลับบ้านกับจุ๋ม รวมทั้งยังไม่ได้ไปรอรถที่หน้าตลาดสามย่านอีกด้วยเพราะกลัวว่าจะเจอจุ๋ม

ยังไม่กลับบ้านดีกว่า ผมอยากหาสถานที่นั่งคิดอะไรสักหน่อย ไปไหนดีหว่า

ในที่สุดผมก็ตัดสินใจว่าไปนั่งเล่นที่สวนลุม

-    - -

ที่สวนลุม

สวนลุมในยามเย็นคึกคัก มีคนมาออกกำลังกายกันเป็นจำนวนมาก ผมเดินอยู่สักพักก็ไปได้มุมสงบเป็นม้าหินที่ริมบึง

ผมซื้อขนมปังเลี้ยงปลามาถุงหนึ่ง โยนขนมปังเลี้ยงปลาไปช้า สายตาจ้องอยู่ที่ผิวน้ำ ดูปลาที่แย่งกันกินขนมปัง แต่ใจของผมเตลิดเปิดเปิงไปที่ไหนก็ไม่รู้

ผมไม่ได้มาที่สวนลุมนี้นานแล้ว เมื่อมาที่สวนลุม เห็นหนุ่มสาวนั่งเป็นคู่ๆที่ริมบึง ทำให้อดนึกถึงไอ้บอยไม่ได้ เมื่อก่อนผมกับบอยก็มานั่งเล่นที่สวนลุมด้วยกัน หลายปีผ่านไป จะว่านานก็เหมือนนาน จะว่าเร็วก็เหมือนเร็ว ไม่รู้ว่าป่านนี้ไอ้บอยเป็นยังไงบ้าง...

ผมโยนขนมปังเลี้ยงปลาไปทีละชิ้น อย่างช้าๆ ที่ว่าจะมานั่งที่สวนลุมเพื่อใช้ความคิด พอมาถึงจริงๆกลับคิดไม่ออก ไม่รู้ว่าจะคิดอะไรเหมือนกัน...

จะคิดเรื่องอะไรดีล่ะ...

ภาพบอยลอยเข้ามาในห้วงความคิด... จากนั้นก็เป็นป้อม... จากนั้นก็เป็น... ไม่เอา ไม่คิด ไม่คิด...

จะมีแฟนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ชั้นปีเรามีตั้งไม่รู้กี่สิบคู่แล้ว ทำไมแกจะต้องปิดบังเพื่อนด้วย เพื่อนๆก็แค่อยากเอาใจช่วยเท่านั้นเอง...

คำพูดของพิมพ์ยังก้องอยู่ในหูของผม ที่ผมไม่ตอบเพื่อนๆ ไม่ใช่เพราะว่าต้องการปิดบัง แต่เพราะว่าไม่รู้จะบอกว่ายังไงต่างหาก ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมคิดอะไรกับจุ๋ม รู้เพียงแต่ว่าความรู้สึกที่ผมมีกับจุ๋มนั้นแตกต่างกับที่เคยรู้สึกกับเพ็ญ

กับเพ็ญนั้น ผมมีแต่ความเป็นเพื่อน แต่สำหรับจุ๋ม ผมรู้สึกสงสาร เป็นห่วง รู้สึกอยากดูแล อยากช่วยแบ่งเบาความทุกข์... มันเป็นความรู้สึกที่แปลกที่ไม่เคยเกิดกับผู้หญิงคนใดมาก่อน

คำเตือนของอาจารย์ประจำชั้นสมัย ม.๑ วูบเข้ามาในห้วงความคิด กาลเวลาในช่วงหลายปีมานี้ได้พิสูจน์คำพูดของอาจารย์ว่าเป็นความจริง ความรักที่เบี่ยงเบนนั้นไม่มีที่ยืนในสังคม มันมีแต่ความเจ็บปวด ไอ้นัย บอย ป้อม นับเป็นตัวอย่างที่เกินพอสำหรับผม...

สุดท้าย เงาร่างของไอ้นัยก็เข้ามาในห้วงความคิดของผม ผมเคยอธิษฐานบอกกับมันว่าผมจะเก็บความฝันของเราเอาไว้ที่ปลายฟ้า และจะไม่หวนกลับไปเอามาอีก เพราะว่าผมจะไม่เดินบนเส้นทางสายนี้อีกต่อไป แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ยังเหมือนกับตัดไม่ขาดเสียที

หรือว่านี่เป็นโอกาสของผมแล้ว... โอกาสที่ผมจะมีชีวิตเฉกเช่นคนปกติ...