Friday, December 31, 2010

ภาคสี่ ตอนที่ 19

“ลื้อจาเอาอาลาย” เสียงคนขายที่เป็นหญิงในวัยห้าสิบกว่าๆ ร่างเล็ก ตัวผอมบาง เส้นผมบนศีรษะก็บาง มีฟันทองสองซี่ถามผมขณะที่ผมกำลังยืนเก้ๆกังๆอยู่หน้าร้านขายของชำแห่งหนึ่งที่สามย่าน

ผมมองเข้าไปในร้านเห็นภายในร้านขนาดหนึ่งคูหานั้นมีของวางอยู่เต็มไปหมดจนเหลือทางเดินแคบนิดเดียว ยังดีที่เจ้าของร้านตัวผอมบางไม่อย่างนั้นคงเข้าไปในร้านไม่ได้แน่ นอกจากสินค้าที่วางอัดกันจนเต็มไปหมดแล้ว แม้แต่เพดานก็ยังมีสินค้าแขวนเอาไว้และห้อยลงมา อย่างเช่น กระติกน้ำร้อน โบผูกของขวัญ และอีกหลายอย่างที่ดูไม่ออกเนื่องจากใส่อยู่ในถุงพลาสติกฝุ่นจับเขรอะ ร้านนี้ผมต้องเดินผ่านทุกวันตอนมาขึ้นขากลับแต่ก็ยังไม่เคยมาอุดหนุนสักที

“เอ้อ ใบถอนรายวิชาสีชมพูน่ะครับ มีมั้ย” ผมถามเสียงอึกอัก ใบคำร้องต่างๆเป็นเอกสารที่ใช้ภายในมหาวิทยาลัย ไม่น่าเชื่อว่าจะมีขายในร้านขายของชำที่รกราวกับรังหนูเช่นนี้

ที่จริงผมไม่อยากจะถามรวมทั้งไม่อยากจะมาที่ร้านนี้ด้วยซ้ำเพราะไม่เชื่อว่าจะหาใบถอนได้จากที่นี่แต่พี่ตั้วคะยั้นคะยอให้มา โดยในขณะที่ผมนั่งกำลังมืดแปดด้านคุยอยู่กับพี่หมูและพี่ตั้วอยู่ที่ชมรมนั้นเอง พี่ตั้วก็แนะนำขึ้นมาว่า

“ลองไปถามร้านจีฉ่อยดูสิ เผื่อจะมี”

“ไอ้บ้า ร้านจีฉ่อยจะไปมีได้ยังไง” พี่หมูที่ร่วมวงคุยอยู่ด้วยหัวเราะ แต่แล้วก็ชะงักไป “เอ... แต่ก็ไม่แน่นะ เพราะที่นี่มีทุกอย่าง”

“พี่สองคนพูดจริงหรือพูดเล่นเนี่ย” ผมชักงง แยกไม่ออกว่าพูดอำหรือว่าพูดจริง

“เฮ้ย พี่พูดจริง ร้านนี้มีทุกอย่าง ถ้าหากว่าหาเจอนะ เพราะร้านโคตรรกเลย” พี่ตั้วพูด พลางหยิบปากกาหมึกแห้งสีทองออกจากกระเป๋าเสื้อมาอวด “นี่ไง ปากกาครอส ด้ามนึงพันกว่าบาท พี่ซื้อจากจีฉ่อยร้อยห้าสิบเอง”

พี่หมูแย่งเอาปากกามีทองมาจากมือของพี่ตั้วมาดูอย่างพินิจพิเคราะห์

“เฮ้ย ขายได้ไงวะ มีอีกหรือเปล่า” พี่หมูรีบถาม “อยากได้มั่ง”

พี่ตั้วไม่สนใจพี่หมู แต่หันมาพูดกับผมต่อ

“ว่ากันว่าจีฉ่อยเป็นมุนษย์ต่างดาว บนดาดฟ้าของร้านมียานอวกาศจอดอยู่ด้วย และมีอุปกรณ์วิเศษคล้ายกับกระเป๋าหน้าท้องของโดราเอมอน จีฉ่อยเลยมีทุกอย่าง” พูดจบพี่ตั้วก็หัวเราะ

“เฮ้ย ถามว่าปากากยังมีอีกไหม” พี่หมูถามอีก

“จะไปรู้ได้ไง ก็ลองไปถามที่ร้านดูสิ” พี่ตั้วตอบ

ตอนนั้นผมยังไม่รู้เรื่องราวความเป็นมาของร้านจีฉ่อย เท่าที่เดินผ่านและมองเห็นก็เป็นเพียงร้านขายของชำรกๆร้านหนึ่งเท่านั้น เจ้าของร้านสารรูปก็โทรมๆอีกทั้งหน้าตาไม่รับแขก ทั้งร้านค้าและทั้งผู้ขายไม่ชวนให้ซื้อเลยแม้แต่น้อย แต่ในเมื่อจนตรอกก็ลองทำตามคำแนะนำของพี่ตั้วดู

“ลื้อจาเอาของมหาลัยหนายล่ะ” เจ้าของร้านถาม ทำให้ผมตื่นขึ้นมาจากห้วงความคิด

“โน่นครับ สะพานเหลือง” ผมพยักเพยิดไปในทิศที่เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัย แน่ะ พูดราวกับว่ามีเอกสารของทุกมหาวิทยาลัยให้เลือกยังงั้นแหละ

“รอเหลียว” เจ้าของร้านร่างเล็กบอกพลางเดินเข้าไปรื้อๆค้นๆของในร้านโดยที่ผมยืนดูอยู่นอกร้านโดยไม่กล้าเข้าไปเนื่องจากเกรงว่าเข้าไปแล้วจะหลงทางอยู่ในแดนสนธยาจนออกมาไม่ได้

เพียงครู่เดียวหญิงร่างเล็กเจ้าของฟันทองอร่ามสองซี่ก็เดินออกมาพร้อมกับใบถอนสีชมพูยื่นมาให้ผม

“เอ้า เหลืออยู่ใบเลียวพอดี” จีฉ่อยพูด

“หา” ผมอุทานอย่างเหลือเชื่อ มองดูเอกสารที่อยู่ในมือ มันเป็นมัจจุราชสีชมพูของแท้แน่นอน “มีได้ยังไงเนี่ย ใบละเท่าไรครับ”

“ยี่สิบบาก” จีฉ่อยตอบ

ผมนึกเคืองในใจ เอกสารนี้แจกฟรีในมหาวิทยาลัย แต่นี่ดันเอามาขายผมตั้งยี่สิบบาท

“แพงจัง” ผมเริ่มหาข้อตำหนิเพื่อที่จะต่อรองราคา “ที่มหาลัยเขาแจกกันฟรีๆ คิดสิบบาทก็แล้วกัน”

จีฉ่ายส่ายหน้า แทนที่จะโมโหและไล่ให้ไปซื้อที่อื่น จีฉ่อยกลับพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ของหายาก ไม่ใช่จะว่าล่ายมาง่ายๆ ไม่แพงเลี้ยว”

วันนั้นไม่รู้ว่าผมเป็นอะไรเหมือนกัน ปกติผมไม่ใช่คนที่ชอบต่อราคาสินค้า ถูกใจก็ซื้อ ไม่ถูกใจก็ไม่ซื้อ แต่วันนั้นเกิดอยากเอาชนะขึ้นมา

“ถ้างั้นยังไม่เอาละครับ” ผมพูด พลางเดินจากร้านไป มุขนี้เป็นมุขที่แม่และคุณป้าที่ลาดพร้าวชอบใช้เวลาซื้อของ ผมเห็นจนชินตา แกล้งทำเป็นไม่อยากได้เพื่อให้แม่ค้าง้ออันเป็นการสร้างอำนาจต่อรอง

เอ ทำไมไม่ร้องเรียกหว่า ผมนึกในใจขณะที่เดินจากมา แอบเหลียวไปดูเห็นจีฉ่อยกำลังก้มหน้าก้มตาจัดสินค้าที่รกรุงรังหน้าร้านโดยไม่สนใจผม เมื่อเหตุการณ์ผิดคาดเช่นนี้จะหวนกลับทันทีก็หน้าแตก ด้วยความหน้าบางผมจึงเดินไปยืนแกร่วอยู่ในร้านขายหนังสือที่ป้ายรถเมล์อยู่สักพัก

เอาวะ ยอมหน้าด้านกลับไปซื้อดีกว่า ทำเป็นตายประชดป่าช้าแบบนี้ในที่สุดคงได้ไปถึงป่าช้าจริงๆ คิดพลางขาก็พาเดินกลับไปที่ร้านจีฉ่อย

“เอาใบสีชมพูใบนึงครับ” ผมพูดเสียงอ่อย ครั้งนี้ยอมจีฉ่อยเป็นผู้ชนะไปก็แล้วกัน

“ขายไปเลี้ยว” จีฉ่อยตอบ

“หา ว่าไงนะครับ” ผมอุทาน

“บอกว่าขายไปเลี้ยว หมกเลี้ยว ถ้าอยากล่ายอีกสองวันมาเอา จะหามาให้อีก” จีฉ่อยตอบ

“อย่าแกล้งผมสิครับ ยี่สิบก็ยี่สิบ ขายผมละกัน” ยามจวนตัวทำให้ผมต้องอ้อนวอนจีฉ่อยเพื่อขอซื้อใบสีชมพูเพราะนึกว่าแกแกล้งไม่ขายให้แก่ผม

“ม่ายล่ายแกล้ง เพิ่งขายคนอื่นไปเมื่อกี้นี้เอง” จีฉ่อยตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “อีกสองวันมาเอาสิ”

“ไม่ทันแล้วครับ” ผมพูดเบาๆ รู้สึกวูบราวกับตกหน้าผาและเหนี่ยวเถาวัลย์เอาไว้ได้ทัน แต่แล้วเถาวัลย์นั้นก็ขาดอีก “วันนี้วันสุดท้ายแล้ว...”

- - -

จังหวะเวลาที่ช้าไปเพียงไม่กี่นาทีทำให้สถานการณ์พลิกผันกลับกลาย เวลาที่ต่างกันเพียงเล็กน้อยทำให้ผมทำผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิตมาแล้ว มาครั้งนี้ประวัติศาสตร์ก็ซ้ำรอยเดิมอีก

หลังจากที่ผมพลาดใบสีชมพูไป ในที่สุดผมก็ตัดสินใจทุบหม้อข้าวตีเมือง เมื่อหาไม่ได้ก็ไม่เอา ผมขอเรียนและสอบไปตามปกติวัดดวงดูสักครั้ง ผมพยายามเรียนและดูหนังสืออย่างหนักเพื่อทำคะแนนในการสอบปลายภาคให้ได้มากพอที่จะชดเชยกับที่ทำแย่ๆเอาไว้เมื่อตอนสอบกลางภาค

ผมไม่ได้ทุ่มเวลาทั้งหมดไปกับการเรียนเพราะรู้สึกว่าทำไม่ไหว น่าแปลกที่ตอนที่เรียนอยู่ชั้น ม.๕ และกำลังเตรียมตัวสอบเอนทรานซ์ผมสามารถดูหนังสือได้อย่างหามรุ่งหามค่ำ แต่เมื่อเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้วผมกลับไม่สามารถกลับไปทำแบบนั้นได้อีก ดูมันเกินความสามารถของผมไปเสียแล้ว นอกจากนี้ก็คงอาจเป็นเพราะว่าผมอยากเรียนรู้ชีวิตจากด้านอื่นๆด้วย ดังนั้นผมจึงพยายามแบ่งเวลาส่วนหนึ่งไปทำงานที่ชมรม

งานที่ชมรมวิชาการเป็นงานที่ถูกใจผม รุ่นพี่สนุกสนานเฮฮากันดี อีกทั้งงานที่ทำก็มีแก่นสาร ทำให้ผมรู้สึกว่าใช้เวลาไปอย่างมีประโยชน์ จนในที่สุดผมก็เกิดอาการติดชมรม เมื่อมีเวลาว่างจากการเรียนก็จะขึ้นไปนั่งทำงานที่ชมรม ทำงานไป เรียนรู้การใช้งานคอมพิวเตอร์ไป พี่ตั้วเป็นคนที่เก่งหลายอย่าง นอกจากจะสอนให้ผมใช้ซียูเวิร์ดแล้วยังสอนให้ผมรู้จักใช้โปรแกรมเวิร์กชีตที่ชื่อโลตัส 1-2-3 ซึ่งนิยมกันในยุคนั้น รวมทั้งโปรแกรมฐานข้อมูลดีเบส 3 กับการเขียนโปรแกรมภาษาเบสิกอย่างง่ายๆ สอนให้อย่างละนิดอย่างละหน่อยตามแต่เวลาจะอำนวย นอกนั้นผมก็อ่านหนังสือเอาเองบ้าง ทำให้ได้ความรู้ที่ไม่มีอยู่ในห้องเรียน คิดไปแล้วก็ทำให้นึกถึงสมัยเรียนมัธยมต้นตอนที่ทำงานอยู่ที่สหกรณ์ ตอนนั้นก็ติดสหกรณ์เหมือนกัน มีเวลาว่างก็ไม่ไปไหน เอาเวลามาทำงานที่สหกรณ์ สภาพการณ์ก็คงคล้ายๆกัน

นอกจากชมรมวิชาการแล้ว สถานที่อีกแห่งหนึ่งที่ผมพยายามแวะเวียนไปบ้างนั่นก็คือคณะศิลปกรรม ห้องซ้อมดนตรีของพี่รหัสของผมนั่นเอง บางครั้งเมื่อมีโอกาสเหมาะพี่เหล่งพี่รหัสผู้ใจดีจะให้ผมเล่นเปียโน ได้ไปจิ้มๆเปียโนบ้างแม้ไม่ถึงกับทำให้ทักษะก้าวหน้าขึ้นแต่ก็พอได้ความสนุกสนานอยู่บ้าง

หลังจากที่ทำงานในชมรมวิชาการร่วมกับเพ็ญมาได้ระยะหนึ่ง เราสองคนก็สนิทกันพอควร ที่ต้องใช้คำว่าพอควรแทนที่จะบอกว่าสนิทมากก็เนื่องจากในความรู้สึกของผมแล้วเพ็ญดูจะลึกลับอยู่บ้าง อาจจะเรียกว่ามีโลกส่วนตัวสูงก็ได้ เพ็ญไม่ค่อยชอบเล่าเรื่องราวที่เกี่ยวกับตนเองหรือครอบครัวนัก ซึ่งก็คงพอๆกันกับผมที่ค่อนข้างเก็บตัว แต่เท่าที่ได้คุยกันก็ทำให้พอรู้ได้ว่าเพ็ญนั้นเป็นลูกสาวคนเดียวในครอบครัวที่มีฐานะดี พ่อเป็นหมอ แม่ก็เป็นหมอ เรียกได้ว่าเรียนเก่งกันทั้งบ้าน

ตอนที่เพ็ญเรียนมัธยมนั้นเพ็ญเรียนที่โรงเรียนมัธยมประจำจังหวัดซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงมาก แม้จะเป็นโรงเรียนต่างจังหวัดแต่ก็เป็นโรงเรียนในเมืองใหญ่และมีชื่อเสียงด้านวิชาการ เพ็ญเรียนเก่งมาก เมื่อพ่อแม่เห็นแววของเพ็ญที่อาจจะเรียนเก่งกว่าผู้เป็นพ่อแม่เสียอีกเนื่องจากได้ยีนเรียนเก่งของทั้งพ่อและแม่มา คงรวมลักษณะเด่นของทั้งสองคนเอาไว้ที่ตัวลูกสาวคนนี้ พ่อแม่ของเพ็ญจึงสนับสนุนการเรียนของเพ็ญอย่างเต็มที่ ชีวิตที่ผ่านมาจึงแทบไม่ต้องทำอะไร มีแต่เรียน เรียน และเรียน เมื่อว่างเว้นจากการเรียนในชั้นเรียนปกติก็ต้องเรียนพิเศษทั้งในวันธรรมดาและวันหยุด เรียนทั้งที่โรงเรียนกวดวิชาและเชิญอาจารย์มหาวิทยาลัยมาสอนให้ที่บ้าน ซึ่งการเรียนพิเศษกับอาจารย์มหาวิทยาลัยชื่อดังนั้นเป็นเรื่องที่พ่อแม่ทั่วไปแม้มีเงินก็ยากจะทำได้นอกเสียจากเป็นคนกว้างขวาง

ตอนที่เพ็ญสอบเข้ามหาวิทยาลัยนั้นเพ็ญไม่ได้เลือกเรียนแพทย์เนื่องจากเพ็ญกลัวการเห็นเลือดมาก และที่ไม่เลือกเรียนวิศวกรรมก็เนื่องจากเธอชอบเรียนคณิตศาสตร์ จึงตั้งใจมาเรียนที่คณะนี้และตั้งใจว่าจะไปเรียนต่อต่างประเทศจนถึงปริญญาเอกและกลับมารับราชการเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ซึ่งพ่อแม่ก็เห็นดีด้วย

การที่เป็นเด็กที่อยู่ในความดูแลของพ่อแม่อย่างเข้มงวดมาโดยตลอดทำให้เพ็ญไม่ค่อยรู้เรื่องโลกภายนอกมากนัก หลายเรื่องที่เป็นของง่ายๆแต่เพ็ญกลับไม่มีประสบการณ์ อย่างเช่น การใช้บัตรเอทีเอ็ม การขึ้นรถเมล์ ฯลฯ ตอนที่จะเข้าสอบเอนทรานซ์เพ็ญก็มีปัญหาอยู่บ้างเหมือนกัน พ่อกับแม่อยากให้เรียนที่มหาวิทยาลัยในตัวจังหวัดเพราะไม่ไกลจากบ้านนัก แต่เพ็ญเองอยากมาเรียนที่กรุงเทพฯเพราะเชื่อว่าทางด้านวิชาการน่าจะดีกว่า อีกอย่างหนึ่งก็อาจเป็นเพราะอยากเปิดหูเปิดตาและไปให้ไกลตาพ่อแม่บ้างก็เป็นได้

ตอนที่เพ็ญสอบได้นั้นก็มีปัญหาเรื่องที่พักเนื่องจากพ่อแม่เป็นห่วงเพ็ญที่ต้องมาเรียนในกรุงเทพฯคนเดียว โชคดีที่สามารถพักอยู่ในหอของมหาวิทยาลัยได้ พ่อแม่จึงค่อนข้างวางใจ เพ็ญไม่ได้เล่าเรื่องเหล่านี้ทั้งหมดตรงๆ ดังที่บอกว่าเธอไม่ค่อยชอบเล่าเรื่องส่วนตัวนัก แต่จากการที่ทำงานใกล้ชิดกันทำให้ผมพอปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆได้

การทำกิจกรรมของเพ็ญที่ชมรมนี้ก็เป็นโดยบังเอิญเนื่องจากเดิมทีเพ็ญไม่ค่อยสนใจทำกิจกรรมนัก ปกติก็เรียน เข้าห้องสมุด เดินกับเจต จากนั้นก็กลับหอพัก แต่เนื่องจากมีเพื่อนชวนมาทำชีตวิชาแคลคูลัสซึ่งเป็นวิชาที่เธอชอบเธอจึงสนใจและมาช่วยงาน

- - -

หลังจากที่คะแนนสอบกลางภาคออกมาทำให้หลายๆคนรวมทั้งผมเริ่มได้สำนึก แต่ละคนก็พยายามหาทางแก้ไขสถานการณ์เพื่อเอาตนเองให้รอด สำหรับตัวผมนั้นแม้ดูจากภายนอกจะเห็นว่าชีวิตเริ่มเข้ารูปเข้ารอยมากขึ้น ตั้งใจเรียนมากขึ้น มีการแบ่งเวลาเพื่อทำกิจกรรม แต่ในความเป็นจริงแล้วผมยังมีเรื่องที่คอยรบกวนจิตใจอยู่

เรื่องคะแนนสอบกลางภาคโดยเฉพาะวิชาฟิสิกส์เป็นเหมือนชนักที่ติดหลังที่ทำให้ผมกังวลใจอยู่ตลอดเวลา หากผมเกิดสอบตกได้เกรดเอฟขึ้นมาจริงๆก็ยังคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรต่อไป

เรื่องบอยและชาญนั้นแม้ดูราวกับว่ามันได้จบไปแล้ว บอยยังคงคบกับส้มอยู่ ส่วนชาญนั้นผมก็หาทางตีตัวออกห่างจนได้ แต่ที่จริงแล้วเรื่องทั้งสองไม่ได้จบลงไป ในความรู้สึกของผมแล้วมันกลับกลายเป็นจุดเริ่มต้น... จุดเริ่มต้นของความรู้สึกไม่ยอมรับตนเอง

หลังจากที่ผมได้พบกับบอย ผมเริ่มไม่ยอมรับตนเองอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่พยายามทำใจยอมรับตนเองให้ได้มาหลายปี เมื่อผมสามารถปลีกตัวจากชาญได้ แทนที่ผมจะรู้สึกโล่งใจ ผมกลับยิ่งรู้สึกคับข้องใจมากขึ้น ทำไมการรักชอบเพศเดียวกันจึงเป็นเรื่องวิปริตในสายตาของสังคมและต้องเก็บซ่อนเอาไว้ในมุมมืดของชีวิต มันก็แค่ผู้ชายรักกันเท่านั้นเอง...

ในช่วงนั้นเองที่ผมกลับมาสับสนอีกครั้งหนึ่ง รู้สึกยอมรับตนเองไม่ได้ ความคิดที่อยากจะหายจากความผิดปกติทางเพศเริ่มรุนแรงและจริงจังมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีความคิดอีกอย่างหนึ่งที่รุนแรงพอๆกัน นั่นคือความเหงาอยู่ลึกๆ... ผมเริ่มอยากรู้ว่าคนที่อื่นๆที่มีจิตใจผิดปกติเช่นผมนั้นเป็นอย่างไรกันบ้าง พวกเขาดำเนินชีวิตอย่างไร รู้สึกอย่างไร วางตัวในสังคมอย่างไร เคยคิดรักษาความผิดปกติเช่นนี้ไหม และผลเป็นอย่างไรบ้าง ฯลฯ

ผมเริ่มอยากเรียนรู้ชีวิตแบบรักร่วมเพศของคนอื่นๆบ้าง ไม่ใช่จากการเรียนรู้โดยอ่านจากบทความหรือประสบการณ์ในนิตยสาร แต่ผมเริ่มคิดอยากมีเพื่อนที่เป็นเกย์เหมือนๆกัน อยากมีใครสักคนหรือสองคนที่ผมพอจะคุยเรื่องต่างๆได้อย่างเปิดใจ เมื่อเห็นผู้ชายหน้าตาดีก็สามารถคุยให้ฟังได้ว่าคนนี้หน้าตาดีแฮะ แทนที่จะต้องแสร้งทำเป็นมองสาวแล้วบอกว่าคนนี้สวยจัง ยามใดที่มีเรื่องอึดอัดใจก็สามารถเล่าสู่กันฟังได้... ผมยังไม่เคยมีเพื่อนแบบนี้มาก่อนเลย แม้แต่กับไอ้นัย ไอ้ชัช ที่เป็นเพื่อนสนิทในวัยเด็ก เราก็ไม่เคยคุยกันถึงเรื่องนี้ คิดอะไรต่างก็เก็บเอาไว้ในใจโดยไม่เคยพูดออกมา

ความรู้สึกคับข้องใจและอยากมีเพื่อนที่ระบายได้ของผมนั้นมีมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น ในช่วงปีหนึ่ง เทอมหนึ่งนั้นเอง ผมก็ได้ทำในเรื่องที่ไม่เคยคิดจะทำมาก่อน...

- - -

“ขอถุงใส่ให้ด้วยครับ” ผมพูดกับเจ้าของแผงขายหนังสือและนิตยสารแห่งหนึ่งในขณะที่ยื่นหนังสือที่ต้องการสามเล่มและส่งเงินให้ในจังหวะที่ปลอดคน แผงหนังสือนี้อยู่ในย่านสะพานควายแถวๆโรงหนังเฉลิมสิน

เจ้าของแผงหนังสือมองหน้าผมนิดหนึ่งก่อนที่จะก้มลงหยิบถุงกระดาษมาใส่หนังสือและยื่นส่งให้ผมพร้อมกับเงินทอน

เมื่อผมได้หนังสือแล้วก็เก็บไว้ในเป้ จากนั้นก็เดินต่อไปเรื่อยๆ ผ่านหน้าห้างเมอรี่คิงสะพานควาย ผ่านโรงหนังพหลโยธิน แล้วยังเลยต่อไปอีก จนในที่สุดมาหยุดยืนอยู่หน้าอาคารใหญ่ริมถนนแห่งหนึ่ง และเดินเข้าไปข้างใน

“ต้องการเช่าตู้ไปรษณีย์ ติดต่อที่ไหนครับ” ผมถามเจ้าหน้าที่ อาคารใหญ่ที่ผมเดินเข้ามานี้ก็คือที่ทำการไปรษณีย์นั่นเอง

เจ้าหน้าที่บอกทางแก่ผม จากนั้นผมก็ไปที่แผนกตู้ไปรษณีย์เช่า เมื่อผมแจ้งความประสงค์ต้องการเช่าตู้ เจ้าหน้าที่ก็ให้กรอกเอกสาร พร้อมกับให้กลับไปรอรับไปรษณียบัตรที่บ้าน เมื่อได้รับไปรษณียบัตรนั้นแล้วให้นำมาติดต่ออีกครั้งจึงจะเช่าตู้ได้ ขั้นตอนดูยุ่งยากกว่าที่คิดเอาไว้ นึกว่ามาแล้วจะเช่าได้เลยเสียอีก แต่ทำอย่างไรได้ ในเมื่ออยากได้ก็ต้องยอมทำตามขั้นตอน

หลังจากที่ผมกลับมาถึงห้องพัก ผมก็เปิดถุงหนังสือและหยิบหนังสือขนาดพ็อกเก็ตบุ๊กที่อยู่ภายในออกมา อันที่จริงมันเป็นนิตยสาร ไม่ใช่หนังสือ ทั้งสามเล่มเป็นคนละหัวกัน มีทั้งวีคเอนด์ นีออน และมิดเวย์ ผมเหลือบดูภาพชายหนุ่มที่อยู่บนหน้าปกจากนั้นก็ฉีกซองพลาสติกออกดูทีละเล่ม

ปกติเมื่อผมซื้อนิตยสารเกย์ผมจะซื้อนิตยสารมือสอง แม้ว่าจะเป็นฉบับย้อนหลังไปเป็นปีแต่ก็ขายราคาถูกเพียงสามเล่มยี่สิบ ก็แค่ดูภาพและอ่านเรื่องเสียว จะเก่าหรือใหม่ก็ไม่แตกต่างกัน แต่สำหรับในครั้งนี้ผมลงทุนซื้อนิตยสารฉบับปัจจุบันจากแผงในราคาเต็มเล่มละ ๓๐ บาท แถมยังซื้อมาพร้อมกันถึงสามเล่มสามหัวเลยทีเดียว

ผมเปิดนิตยสารดูอย่างคร่าวๆ ผมเปิดผ่านหน้าที่เป็นภาพชายหนุ่มและเรื่องเล่าประสบการณ์เสียวไป จากนั้นไปหยุดอยู่ที่หน้าที่เป็นคอลัมน์ประกาศหาเพื่อน ผมอ่านข้อความในประกาศหาเพื่อนทีละข้อความอย่างสนใจ...

เอ็ม/กรุงเทพฯ อายุ ๒๔ สูง ๑๗๘ หนัก ๖๕ ต้องการหาเพื่อนหรือพี่ชายอายุ ๒๔ ขึ้นไป ไม่แสดงออก มีความเข้าใจ มีเหตุผล ทำงานแล้ว เป็นตัวของตัวเองและใช้ความรักไม่เปลือง ตอบทุกฉบับ

ณัฐ/เชียงราย อายุ ๒๑ สูง ๑๖๙ หนัก ๕๙ นิสัยสุภาพ ลักษณะไม่แสดงออก หน้าตาดี เพื่อนที่ติดต่อมารับรองไม่ผิดหวัง ปัจจุบันศึกษาอยู่ ผมมีเพื่อนมากมายแต่ไม่มีเพื่อนที่รู้ใจ รู้ส่วนลึกของจิตใจ ต้องการมีเพื่อนที่ไม่แสดงออก รูปร่างหน้าตาดี

มัมมี่/กทม อายุ ๑๖ ผิวสีแทน หน้าตาค่อนข้างดี สูง ๑๖๗ หนัก ๖๔ ต้องการเพื่อนหรือพี่ชายอายุ ๑๗-๓๐ ปี ไม่แสดงออก คิง ควีน ไบฯ ก็ได้ หรือแมน ๑๐๐% ก็ได้ ยอมรับความคิดเห็นกันและกัน ปรึกษาได้ ขอเบอร์โทรและรูปถ่าย ยินดีตอบทุกฉบับ

ฯลฯ

ความคิดอยากมีเพื่อนที่เป็นเกย์ด้วยกันเพื่อที่จะได้สามารถระบายความรู้สึกในส่วนลึกที่ไม่อาจพูดกับใครได้รุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดผมจึงตัดสินใจที่จะลองหาเพื่อนที่เป็นเกย์ดูบ้าง การหาเพื่อนเกย์ในยุคปัจจุบันนี้สะดวกสบายแตกต่างจากเมื่อตอนที่ผมเรียนอยู่มาก ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมาอันเป็นยุคที่อินเทอร์เน็ตแพร่หลาย การหาเพื่อนเกย์ทำได้อย่างง่ายดาย มีเว็บบอร์ดประกาศหาเพื่อนเกย์อยู่เป็นจำนวนมาก รวมทั้งสามารถติดต่อกันได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าใครเป็นใคร ช่องทางการติดต่อก็สะดวก ทันทีและทันใจด้วยการใช้โปรแกรมแช็ตต่างๆที่คุยโต้ตอบกันได้ทันที แม้แต่การเขียนอีเมลคุยกันในยุคนี้ยังเป็นเรื่องเชยไปแล้วเนื่องจากไม่ทันใจ และหากถูกอัธยาศัยกันก็อาจแลกเบอร์โทรศัพท์มือถือกันได้ ใครจะนึกออกบ้างว่าการที่ต้องเขียนจดหมายใส่ซองติดแสตมป์เอาไปส่งที่ตู้และรอรับจดหมายตอบเป็นหลายๆวันหรือที่เรียกว่าสเนลเมล์ (snail mail) นั้นรสชาติของการรอคอยเป็นอย่างไร

ช่องทางการหาเพื่อนเกย์ในยุคที่ผมเรียนหนังสืออยู่นั้นมีเพียงไม่กี่ช่องทาง ถ้าเป็นพวกผู้ใหญ่ก็ใช้วิธีไปเที่ยวตามสถานบันเทิงของเกย์ ซึ่งหมายความว่าแต่ละคนต้องเห็นหน้าค่าตากัน แต่ถ้าหากต้องการปกปิดตัวตนก็ต้องใช้วิธีการเขียนจดหมายคุยกัน โดยแหล่งที่ใช้หาเพื่อนคุยทางจดหมายนั้นก็ได้แก่คอลัมน์ประกาศหาเพื่อนในนิตยสารเกย์ต่างๆซึ่งทุกฉบับต่างต้องมีคอลัมน์นี้อยู่เนื่องจากเป็นจุดขาย เมื่อคุยกันทางจดหมายแล้วจะพัฒนาความสัมพันธ์อย่างไรต่อไปก็เป็นเรื่องในภายหลัง

การคุยกันทางจดหมายนั้นแม้อาจไม่ต้องเปิดเผยหน้าตาแต่ก็จำเป็นต้องเปิดเผยที่อยู่ ดังนั้นหากต้องการปกปิดที่อยู่ก็มีอยู่เพียงวิธีเดียวนั่นก็คือการเช่าตู้ไปรษณีย์ใช้ เมื่อมีตู้เช่าแล้วเราก็สามารถใช้ที่อยู่ของตู้เช่านั้นในจ่าหน้าซองได้ เช่น ส่ง ตู้ ปณ. xx-xxx กรุงเทพฯ เป็นต้น เพียงแค่นี้ก็ใช้ได้แล้ว โดยตู้ไปรษณีย์เช่านั้นจะอยู่ ณ ที่ทำการไปรษณีย์ เมื่อมีจดหมายส่งมาถึงก็จะถูกนำไปใส่ไว้ในตู้ที่เราเช่าเอาไว้นั้น เราต้องไปที่ที่ทำการไปรษณีย์อย่างสม่ำเสมอเพื่อไขตู้เอาจดหมายเอง

หากจะดูประกาศหาเพื่อนจากนิตยสารเก่าหลายปีก่อนคงไม่ได้ความ เจ้าของประกาศอาจจะแก่ไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ ดังนั้นผมจึงซื้อนิตยสารฉบับปัจจุบันมาเพื่อจะได้ดูประกาศหาเพื่อนล่าสุด

การส่งประกาศหาเพื่อนไปลงในนิตยสารนั้นค่อนข้างยุ่งยาก ผู้ที่ต้องการลงประกาศต้องส่งสำเนาบัตรประชาชนหรือสำเนาบัตรนักเรียน/นักศึกษาแนบไปให้ทางนิตยสารด้วย เนื่องจากมักมีการกลั่นแกล้งกันจึงต้องมีการยืนยันตัว ซึ่งก็เท่ากับเป็นการเปิดเผยตัว แต่ก็มีข้อดีคือผู้ที่ลงประกาศมักจะมีจดหมายเขียนมาถึงมาก พูดง่ายๆก็คือมีตัวให้เลือกมากมาย แต่ถ้าหากไม่ต้องการเปิดเผยตัวก็ต้องเป็นฝ่ายติดต่อผู้ที่ลงประกาศไป ซึ่งอย่างหลังเหมือนกับเราเป็นฝ่ายถูกเลือกเสียมากกว่า



<บุคคลที่เป็นระดับตำนานของสามย่านในรอบหลายสิบปีมานี้มีอยู่เพียงไม่กี่คน ที่รู้จักกันดีที่สุดน่าจะได้แก่จีฉ่อยและอ้อยหวาน

จีฉ่อยนั้นที่จริงเป็นชื่อร้านในภาษาจีนกวางตุ้ง ในภาษาจีนกลางออกเสียงว่าจื้อไฉ แต่ลูกค้ามักเรียกเจ้าของร้านว่าจีฉ่อยไปด้วย แม้แต่เจ้าของร้านก็ยังเรียกแทนตัวเองว่าจีฉ่อย ดังนั้นจีฉ่อยเป็นเสมือนทั้งชื่อร้านและชื่อคน

ร้านจีฉ่อยนั้นเปิดกิจการในยุคประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๐ ว่ากันว่าพ่อแม่ของจีฉ่อยถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง จีฉ่อยจึงได้เงินมาเปิดร้าน นี้

ร้านจีฉ่อยเป็นร้านคูหาเดียวอยู่ริมถนนพญาไท สาเหตุที่กลายมาเป็นตำนานของสามย่านก็เพราะว่าจีฉ่อยเป็นร้านค้ามหัศจรรย์ ภายในห้องแถวขนาดคูหาเดียวนั้นมีของขายทุกอย่างราวกับมีกระเป๋าวิเศษของโดราเอมอน เจ้าของร้านไม่เคยปฏิเสธออร์เดอร์ของลูกค้าเลย ไม่ว่าลูกค้าต้องการอะไรแม้จีฉ่อยจะยังไม่มีในตอนนั้นแต่ก็จะไปหามาให้จนได้ จีฉ่อยขายแม้กระทั่งอาหาร บัตรชมคอนเสิร์ต ปากการาคาแพง และใบลงทะเบียนที่หายาก แม้กระทั่งใบสีส้มจีฉ่อยก็ยังเคยขาย ส่วนที่ร่ำลือกันแบบพิสดาร อย่างเช่น ขายเปียโน ขายรถยนต์นั้นไม่ทราบว่ามีมูลความจริงหรือไม่

ร้านจีฉ่อยขายตลอด ๒๔ ชั่วโมง แม้ดึกแล้วหน้าร้านปิดก็ยังไปกดออดเรียกหลังร้านได้ แม้จีฉ่อยจะมีหน้าตาที่เหมือนไม่รับแขกและไม่ช่างคุย แต่ที่จริงแล้วมีน้ำใจในการให้บริการสูงมาก ดึกดื่นเพียงใดก็ขายของให้โดยไม่บ่น แม้ของที่ไม่มีก็พยายามหามาให้และไม่เคยเรียกเงินมัดจำ เจ้าของร้านจีฉ่อยเป็นพี่น้องฝาแฝด หน้าตาเหมือนกันมากและผลัดกันขาย หลายคนจึงนึกว่าจีฉ่อยขายคนอยู่เดียวตลอด ๒๔ ชั่วโมง>



<จีฉ่อยช่วงต้นปี ๒๕๕๓ ขณะกำลังย้ายร้าน จีฉ่อยเป็นที่พึ่งและเป็นขวัญใจของนักเรียน นิสิต และนักศึกษาในย่านนั้นรุ่นแล้วรุ่นเล่าอยู่นานกว่าห้าทศวรรษ ร้านก็ต้องปิดไปเมื่อช่วงกลางปี ๒๕๕๓ เนื่องจากมีการขอคืนพื้นที่เช่า ประกอบกับฝาแฝดจีฉ่อยผู้หนึ่งได้เสียชีวิตไปแล้ว ตำนานของจีฉ่อยแห่งสามย่านจึงจำต้องปิดฉากลง>



<ตำนานบทใหม่ของจีฉ่อย จีฉ่อยไปเปิดร้านแห่งใหม่ที่บริเวณใกล้ยูสแควร์ ห่างจากร้านเดิมพอสมควรแต่ก็เป็นระยะที่เดินถึง ร้านใหม่นี้ดูทันสมัยกว่าเดิม>

Saturday, December 25, 2010

ภาคสี่ ตอนที่ 18

ที่จริงแล้วการได้พบกับเพ็ญและเจตนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไร ปกติในแต่ละวันเรามีบางวิชาที่เข้าเรียนในห้องเรียนเดียวกันอยู่แล้ว รวมทั้งการที่เห็นเพ็ญคู่กับเจตนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอีกเช่นกันเนื่องจากสองคนนี้ไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ แต่ที่ผมแปลกใจอยู่บ้างก็เนื่องจากปกติแล้วเพ็ญมักใช้เวลาอยู่ในห้องสมุด ดูเพ็ญน่าจะเป็นคนที่เอาแต่เรียนมากกว่าคนทำกิจกรรม

ผมกับชาญไปนั่งร่วมวงกีตาร์ใกล้ๆกับเพ็ญและเจต เมื่อทักทายกันจึงได้ทราบว่าเพ็ญถูกเพื่อนๆที่ทำงานในชมรมนี้ดึงตัวให้มาช่วยทำชีตติววิชาแคลคูลัสโดยเพ็ญรับหน้าที่เขียนเฉลยและอธิบายวิธีการคำนวณโจทย์และข้อสอบเก่า

นั่งคุยกันได้สักครู่ผมก็ลุกขึ้นและเดินไปที่เครื่องคอมพิวเตอร์พีซีเอกซ์ที (PC/XT) สองเครื่องที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ อยากมีโอกาสลองเล่นบ้าง ในยุคนั้นคอมพิวเตอร์แบบพีซีแม้จะมีใช้กันมาหลายปีแล้วแต่ก็ยังมีราคาสูงอยู่และยังไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันดังเช่นในปัจจุบันนี้ แม้แต่ในสถานศึกษาเองก็ยังมีคอมพิวเตอร์ใช้กันค่อนข้างจำกัด นักศึกษาทั่วไปมีโอกาสเรียนรู้และใช้งานไม่มากนัก แต่ถ้าหากเรียนอยู่ในคณะสายวิทย์ เช่น คณะวิศวกรรมหรือคณะเทคโนก็มีโอกาสใช้มากกว่านักศึกษาในสาขาอื่นๆอยู่บ้าง แต่ก็ยังอยู่ในรูปแบบห้องแล็บคอมพิวเตอร์ซึ่งมีเวลาการใช้ที่จำกัด ไม่ได้มีให้ใช้เป็นจำนวนมากและแทบไม่มีการจำกัดเวลาใช้งานดังเช่นทุกวันนี้ ดังนั้นเมื่อผมเห็นเครื่องพีซีตั้งอยู่ในชมรมถึงสองเครื่องก็ถือว่าชมรมนี้หรูเอาการเลยทีเดียว

“นี่น้อง แล้วน้องสองคนจะมาช่วยทำงานกันทั้งคู่เลยหรือเปล่า” พี่หมูเดินเข้ามาถาม

“พี่มีอะไรให้ผมช่วยบ้างละครับ อยากลองทำดู” ผมตอบ พลางหันไปมองชาญเป็นเชิงถามว่าแล้วนายจะเอายังไง

“ยังไม่รู้เลยพี่ งานวิชาการผมไม่ค่อยถนัด” ชาญตอบอ้อมแอ้มเหมือนกับยังไม่ค่อยแน่ใจนัก

“ตอนนี้เราทำชีตติววิชาปีหนึ่งอยู่ เอาพวกแบบฝึกหัดกับข้อสอบเก่าๆมาทำเฉลยและทำคำอธิบาย แล้วจะจัดติววิชาปีหนึ่งด้วย ก็ได้น้องปีหนึ่งมาช่วยทำชีตเฉลยกัน เพ็ญนี่ก็มาช่วยทำแคลคูลัส” พี่หมูพูดพลางหันไปมองเพ็ญ “แต่ยังไม่มีช่วยพิมพ์ชีตเลย น้องพอช่วยได้ไหมล่ะ พิมพ์ดีดคล่องไหม”

“พิมพ์พอได้ครับพี่ ไม่ถึงกับคล่อง พอสอบพิมพ์ดีดเสร็จก็คืนโรงเรียนไปหมดแล้ว” ผมตอบ แล้วก็นึกได้ว่าวิชาแคลคูลัสนี่มีสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์มากมาย “แล้วก็พิมพ์ได้แต่ไทยกับอังกฤษ สัญลักษณ์คณิตศาสตร์ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงเหมือนกัน ใช้มือเขียนเอาเหรอพี่”

“เดี๋ยวนี้ใครเขาใช้พิมพ์ดีดกัน” พี่หมูพูดแบบคุยโวนิดๆ พลางหันไปมองเครื่องพี่ซี “โน่น ใช้คอมพิมพ์เอา ใช้โปรแกรมซียูเวิร์ด ตัวคณิตศาสตร์ก็พิมพ์ได้”

“โห ยังงั้ยเลยเหรอพี่” ผมตาโตด้วยความสนใจทันที “ยังงั้นผมช่วยพิมพ์ให้ก็ได้ อยากหัดใช้คอมน่ะครับ”

“เฮ้ย ยังไม่ได้ไปดูชมรมค่ายเลย” ชาญสะกิดผม

“เดี๋ยวไปดูกันก็ได้ แต่เราคงทำที่ชมรมนี้แหละ” ผมตอบ

เป็นอันว่าหลังจากการเยี่ยมตึกกิจกรรมในวันนั้น ผมก็ได้เข้าร่วมงานกับชมรมวิชาการโดยที่สุดท้ายแล้วผมก็ไม่ได้ไปดูชมรมค่ายเลย ดูชาญจะไม่ค่อยถูกใจชมรมนี้นักแต่ผมคิดว่าผมชอบที่นี่ เหตุผลสำคัญส่วนหนึ่งก็คือที่นี่มีคอมพิวเตอร์ให้เล่น ดูเหมือนว่าผมจะมีความฝังใจอะไรบางอย่างอยู่กับเครื่องพีซีคอมพิวเตอร์ เมื่อมีโอกาสได้เรียนรู้การใช้งานผมจึงไม่รีรอเลย

- - -

ต้นเดือนสิงหาคม

เช้าวันนั้น เมื่อผมมาถึงคณะผมก็พบว่าที่บอร์ดใต้อาคารเรียนรวมมีนักศึกษาปีหนึ่งมุงกันอยู่เต็มไปหมด ส่งเสียงราวกับนกกระจอกแตกรัง

“เกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย” ผมถามเพื่อนคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ “มีประกาศคณะปฏิวัติเหรอ”

“คะแนนมิดเทอมออกแล้วโว้ย” ไอ้เพื่อนคนนั้นตอบ “ยิ่งกว่าถูกปฏิวัติอีก ตายห่าแน่กู”

พูดจบก็รีบเดินจากไป

ผมเดินไปที่บอร์ดเพื่อจะดูคะแนนของตนเองบ้าง เมื่อเดินเข้าไปใกล้บอร์ดจึงได้ยินเสียงที่อึกทึกนั้นได้อย่างชัดเจน มันเป็นเสียงคร่ำครวญผสมกับเสียงโวยวาย

“เฮ้ย ทำไมได้คะแนนแค่นี้เองวะ”

“คะแนนสอบต่ำกันขนาดนี้มิได้ F กันทั้งห้องเลยเหรอ”

“มีแววได้ F ตั้งหลายวิชา แล้วกูจะทำยังไงต่อวะเนี่ย”

ฯลฯ

เมื่อได้ยินเสียงจากรอบข้างผมก็ใจแป้วทันที มีหรือที่ผมจะได้ดีไปกว่าคนอื่น และเมื่อไปตรวจดูผลสอบที่บอร์ด เห็นรายวิชาหลักของคณะทั้งสี่วิชา ได้แก่ แคลคูลัส ฟิสิกส์ เคมี และชีววิทยา สามวิชาแรกนี่ส่วนใหญ่ทำคะแนนกันได้ไม่ดีเอาเลย คะแนนเฉลี่ยของปีหนึ่งทั้งหมดออกมาแล้วค่อนข้างต่ำ คือประมาณ ๔๐ คะแนนจากคะแนนเต็ม ๑๐๐ คะแนน แต่คะแนนเฉลี่ยที่ว่าต่ำแล้วผมได้คะแนนสอบกลางภาคต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเสียอีก เคมีกับแคลคูลัสก็ได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยนิดหน่อยแต่ก็ไม่ค่อยน่าเป็นห่วง ถ้าเกาะค่าเฉลี่ยเอาไว้ได้ถึงตอนตัดเกรดก็คงได้ C ก็ถือว่าพอทน แต่ที่สาหัสคือวิชาฟิสิกส์ ดูเหมือนว่าคะแนนเต็มหนึ่งร้อยคะแนนผมได้ประมาณ ๓๐ กว่าคะแนน ส่วนวิชาชีววิทยานั้นได้สูงกว่าคะแนนเฉลี่ยนิดหน่อย

แม้ว่าเมื่อครู่ผมจะเตรียมใจเอาไว้แล้วก็ตาม แต่เมื่อมาเห็นคะแนนของตนเองจริงๆก็อดใจหายไม่ได้ พร้อมกับอดคิดไปไม่ได้ว่าคะแนนแบบนี้จะได้ F หรือไม่ ถ้าได้ F แล้วจะทำอย่างไร รู้สึกเสียใจกับการใช้เวลาที่ผ่านมา ไม่น่าเล่นเสียเยอะเลย ความสนุกที่ผ่านมาไม่รู้ว่ามันหายไปไหนหมด ตอนนี้เหลือไว้แต่ความกังวล

“ไอ้เหี้ยอู” มีเสียงเรียกผมจากข้างหลังขณะที่ผมกำลังเดินห่างออกไปจากบอร์ด พวกเพื่อนๆบางคนยังจับกลุ่มวิจารณ์คะแนนสอบกันอยู่ส่วนผมนั้นหลังจากทักทายเพื่อนๆเล็กน้อยแล้วก็ปลีกตัวจากมา อยากหาที่เงียบๆนั่งคิดอะไรคนเดียวมากกว่าแต่ก็ยังทำไม่ได้เนื่องจากเช้านี้มีเรียนตลอดทั้งเช้า

คนที่เรียกผมแบบนี้ไม่มีใครอื่น ไอ้กี้นั่นเอง

“ทำหน้าเป็นหมาเชียวมึง ได้คะแนนเท่าไรวะ” ไอ้กี้ถามพลางหัวเราะตาหยีเมื่อเห็นสภาพของผม

“มึงอย่ารู้เลย” ผมตอบ แล้วก็อดพูดไม่ได้ “ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอีกว่ะ”

“ก็กูเห็นมึงเอาแต่เล่น เล่นแม่งทั้งวัน” ไอ้กี้วิจารณ์

“แล้วมึงจะมาพูดทำห่าอะไรตอนนี้วะ เมื่อก่อนก็ไม่พูด” ผมหัวเสีย

“ยังกะกูพูดแล้วมึงฟังงั้นแหละ” ไอ้กี้หัวเราะ “ไม่เป็นไรโว้ยเพื่อน แค่ผลสอบมิดเทอม ยังไม่ตายหรอก เมื่อก่อนคะแนนมึงห่วยๆยังเอาตัวรอดได้ คราวนี้ก็คงเอาตัวรอดได้อีก”

ผมมองหน้ามัน ไม่แน่ใจว่ามันให้กำลังใจหรือมันกำลังหลอกด่ากันแน่ แต่มันพูดก็ถูกอยู่ส่วนหนึ่ง ผมเล่นมากไปหน่อยจริงๆ เมื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้วก็เกิดย่ามใจขึ้นมา ใครทำอะไรก็เฮไปกับเขาหมด

- - -

การเรียนในวิชาแรกของเช้าวันประกาศผลสอบกลางภาคพวกนักศึกษาแทบไม่เป็นอันเรียน เริ่มอลเวงตั้งแต่ชั้นเรียนยังไม่เริ่มแล้ว ขณะที่อาจารย์ยังไม่เข้าสอนพวกนักศึกษาก็เดินพล่านไปมาเพื่อถามคะแนนของกันและกัน เมื่ออาจารย์เข้ามาสอนก็ถูกอาจารย์ตำหนิซ้ำอีก

“ทำไมทำได้คะแนนน้อยกันขนาดนี้ล่ะ” อาจารย์วิชาแคลคูลัสอันเป็นวิชาแรกของวันนั้นและเป็นวิชาที่นักศึกษาได้คะแนนกันน้อยที่สุดถามในชั้นเรียน สีหน้าของอาจารย์ก็ไม่ค่อยดีนักเช่นกัน “ครูก็เตือนแล้วว่าข้อสอบไม่ง่าย”

“ทำไมอาจารย์ออกข้อสอบยากนักละครับ” ใครก็ไม่รู้พูดขึ้นมาเสียงดัง “นักศึกษาได้เอฟกันเยอะๆอาจารย์คงชอบ”

“อย่านึกว่าครูดีใจนะที่นักศึกษาได้คะแนนกันน้อย ครูก็เก็บเอาไปคิดเหมือนกันว่าหรือครูจะสอนไม่ดี นักศึกษาจึงไม่เข้าใจและทำข้อสอบไม่ได้ หากครูสอนไม่ดีครูก็พร้อมที่จะพิจารณาตัวเองและให้คนอื่นมาสอนแทน” อาจารย์พูดด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก คงรู้สึกเสียใจที่ถูกนักศึกษาต่อว่า “แต่พวกคุณล่ะ หากนักศึกษาทำข้อสอบไม่ได้เพราะว่าเอาแต่เล่น ไม่สนใจการเรียน พวกคุณพร้อมที่จะพิจารณาตัวเองหรือเปล่า และคิดจะแก้ไขยังไงต่อไป”

เมื่อนักศึกษาได้ฟังก็เงียบกริบลงไปทั้งชั้นเรียน ผมเองก็อึ้งไปเหมือนกัน จริงสินะ ผมเองก็ควรพิจารณาตนเองด้วยเช่นกัน...

- - -

ที่ชมรมวิชาการ

“เป็นไงบ้างอู ผลสอบเป็นยังไงบ้าง” พี่หมูถามผมเป็นคำถามแรกเมื่อผมย่างเท้าเข้าไปในห้องชั้นในของชมรม ตอนนั้นมีคนอยู่กันมากมาย ปีหนึ่งก็อยู่หลายคนรวมทั้งเพ็ญด้วย

“ไม่ค่อยดีพี่” ผมตอบอ้อมแอ้มเพราะรู้สึกอายเพื่อนๆ ไม่อยากเล่ามากนัก

“เฮอะๆ” พี่หมูทำเสียงหัวเราะแบบตัวร้ายในหนังจีน พลางพูดข่มขู่ “เกรดของชั้นปีหนึ่งนี่สำคัญมากนะ เพราะใช้ในการเลือกแผนก ถ้านายได้เกรดไม่ดีก็เลือกเข้าแผนกที่คะแนนสูงๆไม่ได้”

“เป็นไงบ้างเพ็ญ” ผมหันไปถามเพ็ญแก้เก้อ

“ก็พอได้น่ะ” เพ็ญตอบเลี่ยง

“พอได้อะไรกัน นั่นน่ะท็อปแคลคูลัสกับเคมีเลยนะ” พี่หมูพูดอีก “เห็นไหมว่าพี่เลือกคนมาทำชีตติวไม่ผิดคน ฮ่าๆ”

ผมหันไปมองเพ็ญ เห็นเพ็ญยิ้มอายๆ แสดงว่าพี่หมูคงไม่ได้อำ เพ็ญคงได้คะแนนท็อปอย่างที่พี่หมูว่าแต่คงกลัวผมอายจึงไม่อยากบอกคะแนนออกมา

ที่ผมขึ้นมาที่ชมรมในวันนี้เนื่องจากพี่หมูนัดว่าจะสอนการใช้เครื่องพีซีและการใช้งานซียูเวิร์ดให้ เดิมทีผมรู้สึกกระตือรือร้นที่จะได้เรียนรู้แต่มาถึงตอนนี้ผมกลับรู้สึกเซ็ง แต่ทำอย่างไรได้ ในเมื่อรับปากเอาไว้แล้วถึงเซ็งก็ต้องทนทำ

พี่หมูได้ให้รุ่นพี่อีกคนหนึ่งที่ชื่อพี่ตั้วซึ่งเป็นฝ่ายวิชาการดูแลเรื่องการสอนใช้คอมพิวเตอร์แก่ผม พี่ตั้วนี่ก็คือคนหนึ่งในสองคนที่เล่นกีตาร์เมื่อวันก่อนนั่นเอง การสอนของพี่ตั้วก็ไม่มีอะไรมาก เปิดเครื่อง เข้าโปรแกรมซียูเวิร์ด จากนั้นก็สอนเฉพาะคำสั่งจำเป็นในการพิมพ์งานให้แก่ผม จากนั้นก็ให้กระดาษแก่ผมมาปึกนึ่ง ในนั้นมีลายมือสวยๆเขียนสูตรสมการแคลคูลัสอยู่

“เอ้า รู้คำสั่งเท่านี้ไปก่อน แล้วเริ่มพิมพ์งานได้เลย พิมพ์ไปค่อยๆเรียนรู้ไปจะได้ไม่เสียเวลา” พี่ตั้วมอบหมายงาน “นี่เป็นเฉลยแบบฝึกหัดแคลคูลัสที่น้องเพ็ญทำมา ค่อยๆพิมพ์ไป สงสัยอะไรเรื่องการใช้ซียูเวิร์ดก็ถามพี่ได้ แต่ถ้าสงสัยเรื่องเนื้อหาด็ไปถามเพ็ญเพราะเป็นคนเฉลย”

- - -

ตั้งแต่วันนั้นมาผมจึงเริ่มมาทำงานที่ชมรมวิชาการโดยรับหน้าที่พิมพ์ต้นฉบับชีตติวด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์โดยใช้ซอฟต์แวร์ซียูเวิร์ด พี่ตั้วใช้วิธีทำงานไปสอนไปโดยในตอนต้นตั้งหน้ากระดาษและค่าต่างๆเอาไว้ก่อน ผมรู้เพียงปุ่มเปลี่ยนภาษาไทย/อังกฤษและคำสั่งที่จำเป็นบางคำสั่งเท่านั้น เช่น พิมพ์แทรก/พิมพ์ทับ คัดลอกข้อความ ลบข้อความ ฯลฯ แม้รู้จักคำสั่งไม่มากแต่ก็พอทำงานได้ การใช้คอมพิวเตอร์สะดวกกว่าการพิมพ์ด้วยพิมพ์ดีดมาก คีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ไม่กินแรงมากเหมือนแป้นพิมพ์ดีด อีกทั้งไม่มีเสียงดังหนวกหูของก้านพิมพ์ที่ตอกลงไปบนกระดาษ มิหนำซ้ำหากพิมพ์อะไรผิดก็แก้ไขได้ทั้งหมดโดยดูเอาบนหน้าจอ เมื่อถูกใจแล้วจึงพิมพ์ออกมาบนกระดาษด้วยเครื่องพิมพ์ เรื่องน้ำยาลบคำผิดนี่ลืมไปได้เลย

ในตอนแรกผมใช้เวลาอยู่ในชมรมเพียงวันละไม่นาน แต่หลังจากที่ได้หัดใช้คอมพิวเตอร์พิมพ์งานเอกสารแล้วก็ติดใจ รวมทั้งหลังจากที่เริ่มคุ้นเคยกับเพื่อนและพี่ๆในชมรมแล้วทำให้เริ่มเกิดความรู้สึกติดชมรมขึ้นมา ทำให้ใช้เวลาอยู่ในชมรมมากขึ้นและมากขึ้น

ผมกับเพ็ญมีโอกาสสนิทสนมคุ้นเคยกันมากยิ่งขึ้นเนื่องจากเราต้องทำงานร่วมกัน เพ็ญเรียนเก่งมาก แม้ว่าคะแนนในการสอบเอนทรานซ์เข้าคณะนี้จะได้เป็นที่สองรองจากพี่จุ้ย แต่ผลการสอบกลางภาคเพ็ญกลับได้คะแนนสูงสุดถึงสองวิชาในขณะที่พี่จุ้ยได้คะแนนสูงสุดในวิชาฟิสิกส์เพียงวิชาเดียวเท่านั้น

ทางด้านชาญนั้นหลังจากที่ขึ้นมาอยู่ในชมรมเป็นเพื่อนผมได้สักพัก เมื่อผมใช้เวลาอยู่ในชมรมนานขึ้นชาญเองกลับใช้เวลาในชมรมน้อยลง บางวันก็ไปซ้อมวอลเลย์บอล บางวันหายไปไหนก็ไม่รู้ คงไม่ค่อยถูกใจกับงานในชมรมนี้เท่าใดนัก นานวันเข้าก็ไม่ได้ขึ้นมาเป็นเพื่อนผมอีก เราจึงค่อยๆห่างกันไปโดยปริยาย ทางด้านเจตเองก็ค่อยๆห่างจากเพ็ญไปเช่นกัน

ตอนที่ค่อยๆเริ่มห่างจากชาญนั้นผมเองก็รู้สึกเหงาๆอยู่บ้างเหมือนกัน ปกติชาญจะเดินไปไหนมาไหนกับผมเสมอ มุขซื่อบื้อและความอารมณ์ดีของมันทำให้ผมอดหัวเราะไม่ได้ เมื่อไม่มีมันเดินอยู่ข้างๆบางทีก็รู้สึกว่าชีวิตขาดอะไรไปบ้างเหมือนกัน แต่ถึงอย่างไรผมกับชาญก็ไม่ถึงกับห่างจากกันโดยสิ้นเชิง เรายังคงนั่งเรียนในชั้นด้วยกันรวมทั้งยังเป็นคู่แล็บกันอยู่ ประกอบกับในเวลาที่อยู่ในชมรมผมมีเพื่อนกลุ่มใหม่และงานใหม่ๆให้เรียนรู้ ความรู้สึกเหงาๆเช่นนั้นจึงคงอยู่ไม่นานนักผมก็เริ่มปรับตัวได้

แม้ว่าผมจะสนุกกับการเรียนรู้ใหม่ๆในชมรมวิชาการ แต่เรื่องที่คอยรบกวนจิตใจของผมและเพื่อนๆชั้นปีหนึ่งในคณะอีกเป็นจำนวนมากก็คือเรื่องคะแนนสอบกลางภาคที่ย่ำแย่ โดยปกติแล้วหากได้คะแนนสอบกลางภาควิชาใดไม่ดีและมีแนวโน้มว่าเกรดในตอนปลายภาคจะออกมาไม่สวย อย่างแช่นได้ D หรือได้ F ทางเลือกก็มีอยู่สองทาง นั่นคือ จะสู้ต่อไปโดยพยายามทำคะแนนในการสอบปลายภาคให้ดีขึ้นเพื่อฉุดคะแนนรวมขึ้นมา หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องขอถอนการเรียนรายวิชานั้นออกไปก่อนแล้วไปลงทะเบียนเรียนใหม่ในภาคปลายหรือภาคฤดูร้อน ตามแต่ว่ารายวิชาอะไรจะเปิดในภาคไหนบ้าง

“เอาไงดีวะ” ผมเปรยกับชาญในวันหนึ่ง รู้สึกหนักใจกับคะแนนในวิชาฟิสิกส์ จากการประเมินของตนเองแล้วคิดว่ามีโอกาสได้เกรด F อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว “ใกล้ถึงวันสุดท้ายของการยื่นขอถอนรายวิชาแล้วด้วย หากไม่รีบตัดสินใจในที่สุดก็จะถอนไม่ทัน”

“ถอนก็ติด W ในผลการเรียนตลอดไปเลยนะโว้ย เวลาเรียนจบแล้วไปสมัครงานที่ไหนใครดูผลการเรียนก็รู้ น่าเกลียดตายห่า” ชาญไม่ค่อยเห็นด้วย

“แล้วถ้าหากติด F ในใบผลการเรียนนี่สวยตายเลยหรือไง” ผมประชดมัน

ชาญเงียบไปนิดหนึ่ง เอียงหน้าขบคิด “ก็พยายามเรียนให้หนักแล้วใช้คะแนนสอบปลายภาคมาช่วยฉุดจะได้ไหมวะ”

“ก็ถ้าหากว่าไม่ถอน เกิดได้ F ขึ้นมาก็เข้าแผนกที่คะแนนสูงๆไม่ได้ หรือถ้าพอผ่านโดยได้ C ได้ D มันก็ฉุดเกรดเฉลี่ย ก็ทำให้เข้าแผนกที่คะแนนสูงๆไม่ได้อยู่ดี” ผมพูด “แต่ถ้าถอน หากแผนการเรียนรวนก็อาจเข้าแผนกถูกใจไม่ได้เหมือนกัน”

“ก็พยายามทำให้ได้คะแนนดีๆสิวะ เผื่อจะได้ B หรือ A ขึ้นมา” ชาญยังไม่ยอมแพ้

“ไอ้เวร พูดเป็นลิเก ตื่นจากฝันได้แล้ว” ผมอดหัวเราะไม่ได้ “ถ้าเก่งขนาดนั้นตอนสอบกลางภาคก็คงไม่ย่ำแย่จนต้องมากลุ้มใจในวันนี้หรอก”

“เออ นั่นดิ เอาไงดีวะ” ชาญหยุดพูดเล่นพลางถอนหายใจดังปู้ด

ในยุคนั้นคณะเทคโนมีสาขาต่างๆให้เลือกเรียนอยู่หลายสาขา แต่การเลือกเข้าเรียนในสาขาหรือที่เรียกกันว่าการเลือกแผนกนั้นไม่ได้เลือกกันตอนสอบเอนทรานซ์ ต้องไปเลือกเอาหลังจากเรียนปีหนึ่งผ่านไปแล้ว การพิจารณาคัดนักศึกษาเข้าแผนกนั้นใช้เกรดเฉลี่ยของชั้นปีหนึ่งซึ่งมันก็เหมือนกับการสอบเอนทรานซ์อีกรอบหนึ่งนั่นเอง สาขาที่มีให้เลือกนั้นก็มีระดับความนิยมต่างๆกัน สาขายอดนิยมคะแนนที่ใช้คัดเข้าก็สูง ดังนั้นหากต้องการเข้าแผนกยอดนิยมก็ต้องทำเกรดตอนปีหนึ่งให้สวยๆ การถอนรายวิชาแล้วไปลงทะเบียนเรียนใหม่จะทำให้โปรแกรมการเรียนรวนไปหมดและทำให้การเลือกแผนกยุ่งยากขึ้นอีกมาก อาจทำให้ไม่ได้แผนกที่ถูกใจก็ได้ การเรียนไปตามแผนการเรียนปกติถือว่าปลอดภัยที่สุด

- - -

ปลายเดือนสิงหาคม วันสุดท้ายของการขอถอนรายวิชา

หลังจากที่ผมลังเลอยู่นาน พยายามปรึกษาหลายๆคนรวมทั้งอาจารย์ที่ปรึกษาว่าควรถอนวิชาฟิสิกส์ไปก่อนหรือไม่ ทุกคนก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าตอบไม่ได้เนื่องจากทุกอย่างขึ้นอยู่กับความขยันและความเพยายามของผมเองทั้งสิ้นซึ่งเป็นเรื่องใครก็ตอบแทนให้ไม่ได้ ดังนั้นผมจึงต้องตอบคำถามนี้ด้วยตนเอง

วิชาฟิสิกส์กับแคลคูลัสนี่มีนักศึกษาขอถอนกันถึงวิชาละครึ่งค่อนคณะ ชาญยื่นใบถอนวิชาฟิสิกส์ไปหลายวันแล้ว ส่วนผมนั่งปั่นปากกาเล่นอยู่โดยบนโต๊ะในชมรม ยังตัดสินใจไม่ถูกว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี

“เฮ้ย เป็นอะไร งานการไม่ทำ นั่งปั่นปากกาอยู่นั่นแหละ” พี่หมูรู้ดีว่าเพราะอะไรแต่ว่าแกล้งถาม

“คิดไม่ตกน่ะพี่” ผมตอบเนือยๆ

“ไม่ต้องคิดมากแล้ว ไปหามัจจุราชสีชมพูมาใช้ได้แล้ว” พี่หมูพูด

มัจจุราชสีชมพูเป็นชื่อตลกๆของใบคำร้องขอถอนรายวิชาเนื่องจากหน้าปกของมันเป็นสีชมพู นักศึกษาจึงเรียกมันว่ามัจจุราชสีชมพูซึ่งฟังดูหวานคล้ายกับชื่อนิยาย แต่ในความเป็นจริงแล้วผู้ที่ใช้ใบนี้คงไม่มีใครรู้สึกหวานเลย

“เอาวะ ถอนก็ถอน” ในที่สุดผมก็ตัดสินใจเอาในนาทีสุดท้าย

ผมเดินลงไปจากชมรม ไปที่ตึกที่ทำการของคณะเพื่อชอรับมัจจุราชสีชมพูเพื่อกรอกและหลังจากนั้นต้องนำไปให้อาจารย์ที่ปรึกษาเซ็นชื่อกำกับเสียก่อนจึงถือว่าเอกสารสมบูรณ์ จากนั้นจึงนำไปยื่นที่ฝ่ายทะเบียนของคณะ

“พี่ครับ ขอใบถอนใบนึงครับ” ผมยื่นหน้าเข้าไปในช่องให้บริการงานทะเบียน

“ซอรี่” เจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นคนไทยแต่ตอบเป็นภาษาฝรั่ง “หมดไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วน้อง เอกสารขาดตลาด เอ๊ย ขาดแคลน”

“หา ว่าไงนะครับ” คราวนี้ผมตกใจจริงๆ “ทำไมหมดได้ละครับ”

“ก็นักศึกษาแห่กันมาขอถอนรายวิชากันหลายร้อยคน แล้วจะไม่ให้หมดได้ยังไง” พี่เจ้าหน้าที่ตอบ “แล้วน้องไปอยู่ที่ไหนมา จะถอนก็ไม่รีบมาถอนเสียแต่เนิ่นๆ”

“แล้วจะทำไงดีครับ” ผมเริ่มลนลาน หากไม่มีเอกสารก็ถอนรายวิชาไม่ได้

“น้องลองไปขอที่หน่วยทะเบียนของคณะอื่นดูสิ เผื่อว่าจะมีเหลือ” พี่เจ้าหน้าที่ตอบ

ผมวิ่งไปคณะต่างๆหลายคณะจนจำไม่ได้ แต่ทุกคณะก็ตอบเหมือนๆกันว่าเอกสารเพิ่งหมดไปเนื่องจากมีนักศึกษาปีหนึ่งคณะเทคโนมาหยิบไปจนหมด ผมไปถามเพื่อนๆตามกลุ่มต่างๆว่ามีใครมีเหลือบ้างแต่ก็ไม่มีใครมีเลย ทุกคนที่ต้องการถอนต่างก็ยื่นเอกสารกันไปแล้ว

“ซวยเลยพี่” ผมบ่นกับพี่หมูและพี่ตั้วเมื่อกลับมานั่งพักเหนื่อยที่ชมรม “ไปถามมาเกือบทุกคณะ ไม่มีใบสีชมพูเลย วันสุดท้ายแล้วด้วย ทำไงดี”

“ลองไปคุ้ยถังขยะดูดีไหม เผื่อมีใครทิ้งใบเปล่าเอาไว้บ้าง” พี่ตั้วแนะ

“ไม่ตลก ไอ้ห่า ไอ้อูมันกำลังกลุ้มอยู่” พี่หมูดุเพื่อน แล้วก็อดตำหนิผมไม่ได้ “แต่ที่จริงไม่น่ารอจนถึงวันสุดท้ายเลย”




<ภาพหน้าจอของซอฟต์แวร์ซียูเวิร์ด (CU Word) หรือว่าเวิร์ดจุฬาฯ ชื่อจริงๆหรือชื่อที่เป็นทางการคือ ซียูไรเตอร์ (CU Writer) พัฒนาโดยสถาบันบริการคอมพิวเตอร์และภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นซอฟต์แวร์ประเภทประมวลผลคำ (word processor) ที่พัฒนาโดยคนไทยทั้งหมด ไม่ได้นำซอฟต์แวร์ต่างชาติมาดัดแปลงแต่อย่างใด ในยุคนั้นซอฟต์แวร์ประเภทประมวลผลคำที่ทำงานบนเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีเอกซ์ที (PC/XT) มีอยู่ไม่กี่ราย บางรายก็เป็นซอฟต์แวร์ทางการค้า อีกทั้งการใช้งานก็ยังไม่ค่อยสะดวกนักเนื่องจากซอฟต์แวร์ของบางค่ายก็ต้องดัดแปลงฮาร์ดแวร์นิดหน่อยโดยเปลี่ยนรอมที่กราฟิกการ์ดเพื่อให้ทำงานภาษาไทยได้ ซียูเวิร์ดเป็นโปรแกรมประมวลผลคำของไทยที่พัฒนาขึ้นมาโดยใช้ระบบกราฟิก ไม่ต้องดัดแปลงฮาร์ดแวร์ อีกทั้งยังเป็นซอฟต์แวร์ที่เผยแพร่ให้ใช้ฟรี มีความสามารถสูง แม้แต่ตัวคณิตศาสตร์ สูตร สมการ ก็ยังทำได้ ดังนั้นจึงทำให้ซียูเวิร์ดได้รับความนิยมมาก หากจะพูดถึงเรื่องการพิมพ์เอกสารภาษาไทยใครๆก็ต้องนึกถึงแต่โปรแกรมนี้

ภาพนี้เป็นภาพหน้าจอของรุ่น ๑.๕ ทำงานบนจอ VGA สเปกเครื่อง PC/XT ใช้ดิสเก็ต ๕.๒๕ นิ้ว สีสันก็พอมีเท่าที่เห็น ไม่ได้สวยงามเช่นในปัจจุบัน รุ่นที่ผมใช้งานในตอนนั้นเป็นรุ่นแรกๆ เวอร์ชันประมาณ ๑.๒>




<ราชประสงค์ในยุครุ่งเรืองยุคแรกหรือประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๐ กว่าๆนั้น นอกจากความเจริญทางด้านศูนย์การค้าราชประสงค์และด้านถนนเกษรแล้ว ยังมีอีกสองด้านของสี่แยกที่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของดาวน์ดาวน์ด้วย นั่นก็คือโรงพยาบาลตำรวจและโรงแรมเอราวัณซึ่งมีศาลเท้ามหาพรหมอยู่

โรงแรมเอราวัณนั้นเป็นรัฐวิสาหกิจ ดำเนินการก่อสร้างมาตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ. ๒๕๐๐ เล็กน้อย ขณะที่ก่อสร้างอยู่นั้นก็ประสบอุปสรรคต่างๆนานา ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๙ จึงได้ดำเนินการก่อสร้างศาลท้าวมหาพรหมขึ้นและมีการทำพิธีบวงสรวง ต่อมาศาลท้าวมหาพรหมก็ได้กลายเป็นจุดสำคัญจุดหนึ่งของย่านราชประสงค์

ที่เห็นในภาพนี้ ภาพบนเป็นโรงแรมเอราวัณและศาลท้าวมหาพรหมในยุคแรกคือประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๐ กว่าๆ ต่อมามีการขยายถนนและมีการปรับปรุงภูมิทัศในย่านสี่แยกราชประสงค์ สภาพแวดล้อมของศาลท้าวมหาพรหมก็ค่อยๆเปลี่ยนแปลงไป ต่อมาเมื่อโรงแรมเอราวัณปิดตัวลง หลังจากนั้นมีการก่อสร้างโรงแรมแห่งใหม่ขึ้นบนเนื้อที่เดิม มีการย้ายศาลออกไปจากตำแหน่งที่เคยตั้งอยู่เดิมเล็กน้อยแต่ก็ยังอยู่ใกล้บริเวณสี่แยกราชประสงค์ ดังเช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ภาพล่างทั้งสองภาพเป็นภาพโรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณและศาลท้าวมหาพรหมในปัจจุบันโดยภาพล่างซ้ายถ่ายจากมุมที่ใกล้เคียงกับภาพบน ส่วนภาพล่างขวาถ่ายจากที่สูง>

Wednesday, December 15, 2010

ภาคสี่ ตอนที่ 17

ที่หน้าคณะศิลปศาสตร์

คณะศิลปศาสตร์ตั้งอยู่อีกด้านหนึ่งของมหาวิทยาลัยซึ่งปกติผมไม่ค่อยได้เคยเดินผ่านนัก คณะนี้ก็คล้ายๆกับคณะเทคโนที่ผมเรียนอยู่ คือเป็นคณะที่แยกออกมาตั้งใหม่ในช่วงเวลาใกล้ๆกันกับคณะเทคโน แต่คณะนี้ต่างออกไปตรงที่ได้พื้นที่ใหม่ในการตั้งคณะ ดังนั้นตึกของคณะศิลปกรรมจึงเป็นตึกที่สร้างขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ทำให้รู้สึกว่าใหม่ ทันสมัย และน่าเรียน แต่จะว่าไปก็ขาดบรรยากาศขลังๆแบบที่มีอยู่ในอาคารรุ่นเก่า

“พี่ครับ ผมมาหาพี่เหล่งปีสามครับ” ผมเอ่ยปากทักทายหนุ่มนักศึกษารุ่นพี่ผมยาวสยายแถมยังหยิกหยอยสไตล์ติสต์คนหนึ่ง

“เรียนแผนกไหนละน้อง ที่นี่มีตั้งหลายแผนก แต่ละแผนกก็อยู่กันคนละชั้น” ติสต์หนุ่มผมหยอยถามกลับ

เออ นั่นสินะ อยู่แผนกอะไรก็ไม่รู้ ผมก็ลืมถาม พี่เหล่งก็ไม่ได้บอก บอกเพียงแต่ว่าหลังจากงานน้องใหม่ให้มาหาที่คณะ จะพาไปเลี้ยงรับน้อง ผมก็ผัดผ่อนกับตนเองเรื่อยมาเพราะติดโน่นติดนี่มาตลอด จนสอบกลางภาคเสร็จแล้วนั่นแหละจึงได้มาหาในตอนบ่ายหลังเลิกเรียนวันหนึ่ง เดิมทีคิดว่าคณะศิลปกรรมก็คือพวกที่เรียนปั้นๆวาดๆ คล้ายกับเพาะช่างที่อยู่ใกล้ๆกับโรงเรียนเก่าของผม ไม่ได้คิดว่าจะมีการแบ่งออกเป็นหลายแผนก

“ไม่รู้เหมือนกันครับ พี่เหล่งเป็นพี่รหัสผมน่ะครับ เคยเจอกันหนเดียวเองตอนงานรับน้อง” ผมอธิบาย

แม้รุ่นพี่ติสต์คนนี้จะดูหลุดโลกอยู่บ้างแต่นิสัยกลับน่ารัก เมื่อรู้ว่าผมมาหาพี่รหัสก็ช่วยผมหาด้วยการเดินไปถามคนนั้นคนนี้ให้ จนท้ายที่สุดก็พาผมมาอยู่ที่หน้าห้องพักนักศึกษาสาขาดนตรีสากล ชั้นนั้นทั้งชั้นมีแต่ห้องซ้อมดนตรี บางห้องมีเสียงไวโอลินลอดออกมา บางห้องก็มีเสียงเครื่องเป่า บางห้องก็มีเสียงเปียโน

“เอ้า ห้องนี้แหละ” พี่ติสต์พูดกับผม ห้องพักนักศึกษาเปิดประตูค้างเอาไว้ เมื่อผมชะโงกเข้าไปมองในห้องก็เห็นพี่เหล่งกำลังนั่งคุยกับเพื่อนๆอยู่ในห้องพัก ผมไม่ลืมที่จะขอบคุณพี่ติสต์จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องนั้น

เมื่อพี่เหล่งเห็นผมก็จำผมได้และทักทายด้วยความดีใจ

“ทำไมเพิ่งจะมาเอาป่านนี้ล่ะอู พี่คอยอยู่หลายสัปดาห์แล้ว” แม้พี่เหล่งจะดีใจแต่ก็ยังอดพูดเป็นเชิงตัดพ้อไม่ได้

“ช่วงก่อนกิจกรรมเยอะน่ะครับ เลยไม่ได้มาหาพี่” ผมตอบ นึกเสียใจอยู่เหมือนกันที่ทำให้พี่รหัสต้องคอยอยู่เป็นเวลานาน “ขอโทษครับ”

พี่เหล่งบอกว่าไม่เป็นไรจากนั้นก็พาผมลงไปที่ซุ้มขายขนมและเครื่องดื่มที่อยู่ใต้ตึก ตอนนั้นใกล้เวลาเย็นแล้ว ม้าหินแถวซุ้มจึงว่างโล่ง เราสองคนสั่งน้ำปั่นกันคนละแก้วจากนั้นก็มานั่งคุยกัน

“วันนี้กินน้ำปั่นไปก่อนก็แล้วกัน วันไหนอูว่างก็นัดกันแล้วพี่จะพาไปเลี้ยงที่สยามสแควร์” พี่เหล่งบอก สาวศิลปกรรมผู้นี้มีน้ำใจกับน้องรหัสมากถึงขนาดจะพาไปเลี้ยงที่สยามสแควร์เลยทีเดียว

“แค่นี้ก็ถือว่าเลี้ยงแล้วละครับพี่ ไม่ต้องไปไหนไกลหรอก” ผมตอบ

“ไม่ได้สิ น้องรหัสทั้งคน จะเลี้ยงแค่น้ำปั่นได้ไง” พี่เหล่งยืนกราน จากนั้นก็ถามขึ้นมาว่า “อ้อ อูสอบมิดเทอมเสร็จหรือยัง แล้วเป็นไงบ้าง”

ช่วงที่สอบกลางภาคก็สอบกันทั้งมหาวิทยาลัย พี่เหล่งถามคงอยากรู้ว่าน้องรหัสคนนี้ใส่ใจการเรียนขนาดไหนนั่นเอง

“แย่ พี่” ผมตอบตามตรง “ต้นเทอมเอาแต่เล่น ทำสอบไม่ค่อยได้เลยครับ”

“ปีหนึ่งก็ยังงี้แหละ” พี่เหล่งปลอบใจ “เข้ามาใหม่ๆก็เอาแต่สนุก เมื่อจะสอบจึงค่อยได้คิด รอดูผลสอบก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

หลังจากที่แนะนำตัวกันโดยละเอียดจึงได้รู้ว่าพี่เหล่งนั้นเรียนในสาขาดนตรีสากล ผมคิดว่าคณะนี้มีแต่เรียนจิตรกรรมกับประติมากรรมเสียอีก ที่แท้ยังมีดนตรีไทยและดนตรีสากลอีกด้วย แถมเครื่องดนตรีที่พี่เหล่งถนัดก็คือเปียโน

“พี่เล่นเปียโนเหรอครับ” ผมกระตือรือร้นขึ้นมาทันที “ผมก็เคยเรียนมา”

เมื่อเราเล่นเครื่องดนตรีชนิดเดียวกันก็ดูเหมือนกับว่าเรายิ่งสนิทสนมและเป็นกันเองมากยิ่งขึ้น ผมเล่าให้ฟังว่าเคยเรียนเปียโนตอนอยู่มัธยมจากนั้นก็หยุดเรียนไป พี่เหล่งก็เล่าให้ฟังว่าเรียนเปียโนมาตั้งแต่เด็กโดยไปเรียนที่บ้านของครูดนตรีเป็นการส่วนตัว ไม่ได้เรียนในโรงเรียนดนตรี รวมทั้งที่บ้านก็มีเปียโนด้วย เรียนมาหลายปีจนรู้สึกชอบ เมื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยจึงเลือกเรียนต่อทางสายดนตรี

“วันหลังผมแอบมาเล่นเปียโนที่นี่บ้างได้ไหมครับ” ผมถามเล่นๆ

“ถ้าตอนเย็นๆว่างก็ลองมาดูสิ” พี่เหล่งตอบ “ถ้าพี่อยู่และมีเปียโนว่างจะมาเล่นบ้างก็ได้ พี่จะแบ่งคิวซ้อมของพี่ให้อูเล่น”

ความจริงใจของพี่รหัสคนนี้ทำให้ผมรู้สึกประทับใจมาก หลังจากที่คุยกันอีกสักพัก จนได้เวลาเย็นเราสองคนจึงแยกย้าย ก่อนกลับพี่เหล่งให้เบอร์โทรศัพท์แก่ผมด้วย

“ว่างก็มาหาพี่อีกนะ จะมาวันไหนโทรมาบอกล่วงหน้า แล้วไปหาอะไรกินที่สยามสแควร์กัน” พี่เหล่งกำชับ

กว่าที่ผมจะแยกจากพี่เหล่งก็เป็นเวลาเย็นแล้ว พี่เหล่งกลับขึ้นไปที่ห้องพักนักศึกษาส่วนผมก็เดินทางกลับหอพัก พร้อมกับนึกดีใจที่ผมได้พี่เหล่งเป็นพี่รหัส ท่าทางจะเอาใจใส่ดูแลน้องรหัสดี ไม่แน่ว่าต่อไปผมอาจมีโอกาสได้มาจิ้มเปียโนเล่นที่นี่บ้าง หลังจากที่หยุดเรียนเปียโนไปเมื่อตอนมัธยมปลายแล้วผมก็ยังคิดถึงวันเวลาเมื่อตอนที่ไปเรียนดนตรีอยู่เสมอ สำหรับผมแล้วชอบการเรียนดนตรีอยู่ไม่น้อยเลย ศิลปะและดนตรีการดูเหมือนจะช่วยกล่อมเกลาจิตใจได้อย่างที่พูดกันจริงๆ

ผมเดินลัดสนามหญ้าขนาดใหญ่เพื่อไปยังประตูทางออกของมหาวิทยาลัย สนามหญ้าผืนนี้มีขนาดใหญ่มาก แม้จะเดินลัดผ่านก็ยังต้องใช้เวลาไม่น้อย ปกติยามเย็นที่สนามหญ้านี้มักมีนักศึกษามาซ้อมฟุตบอลกัน การเดินลัดสนามมักต้องคอยระวังลูกฟุตบอลหลงพุ่งเข้าใส่ แต่ในวันนี้เกลับเงียบสงัด ทั้งสนามมีผมแต่เพียงคนเดียว

ผมเดินช้าๆ ปล่อยความคิดให้ล่องลอยไป หลังจากที่การสอบกลางภาคเสร็จสิ้นลง พวกนักศึกษาปีหนึ่งก็เกิดความระส่ำระสายเนื่องจากข้อสอบกลางภาคที่ผ่านมานั้นยากมาก ต่างก็หนาวๆร้อนๆกับผลสอบที่จะออกมาในไม่ช้านี้ นักศึกษาบ่นว่าข้อสอบยาก อาจารย์ก็บ่นว่านักศึกษาเอาแต่เล่น ไม่ตั้งใจเรียน สำหรับผมนั้นก็ทำข้อสอบไม่ค่อยได้เช่นกัน ทำให้รู้สึกกังวลอยู่บ้าง ประกอบกับเหตุการณ์ที่ได้พบน้องบอยที่เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ยิ่งทำให้รู้สึกเซ็งอย่างมาก

ผลจากการพบกับบอยในครั้งนั้นทำให้ผมเริ่มคิดถึงเรื่องที่ว่าทำอย่างไรจึงจะหายจากความผิดปกติทางเพศนี้ได้ แต่ก่อนนั้นผมไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย อาจเป็นเพราะเมื่อก่อนยังเด็กอยู่ ไม่เคยคิดไปไกลถึงขนาดนั้น หรืออาจเป็นเพราะคิดว่าไม่มีทางรักษาก็ได้ แต่มาในตอนนี้... ยิ่งนานผมก็ยิ่งคับข้องใจกับความรักที่ผิดปกติของตนเองและความรู้สึกที่อยากเป็นเหมือนคนปกติทั่วไปก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น

หลังจากการสอบกลางภาคผ่านไป ผมพยายามแยกตัวออกจากกลุ่มเพื่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพยายามหลีกห่างจากชาญ มันเบื่อๆอย่างไรก็ไม่รู้ แต่การแยกตัวออกจากเพื่อนๆก็ไม่ใช่เรื่องง่าย หลังจากที่เข้ามาเป็นนักศึกษาได้ครึ่งเทอม ชีวิตก็เริ่มลงตัวและเข้ารูปเข้ารอยมากยิ่งขึ้น เรื่องที่เคยเป็นสีสันก็กลับกลายเป็นของเสมือนกิจวัตร ชีวิตในตอนนี้ก็มีเพียงเวลาเรียนกับยามว่างในตอนพักเที่ยงกับตอนหลังเลิกเรียน โดยเฉพาะหลังเลิกเรียน ชาญยังชอบไปไหนมาไหนกับผมเสมอ หากจะหลบหน้าชาญก็มีแต่ต้องกลับหอพัก แต่การกลับหอพักเร็วก็น่าเบื่อเนื่องจากเมื่อกลับไปแล้วก็ต้องอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆแต่เพียงคนเดียว

- - -

ตึกกิจกรรมนักศึกษา

“โอย แค่เดินขึ้นตึกก็เหนื่อยแล้ว” ชาญบ่นอุบขณะที่เดินตามผมขึ้นบันไดมายังชั้นสี่ของตึก

“ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องมาก็ได้” ผมบ่นใส่มันบ้าง “อยากมาเอง ไม่ต้องมาบ่นเลย”

ตึกกิจกรรมนักศึกษานี้เป็นตึกสี่ชั้นเก่าๆในคณะเทคโน ตึกนี้ค่อนข้างจับฉ่าย ชั้นล่างเป็นที่ทำงานของฝ่ายอาคารสถานที่ของคณะ ชั้นสองเป็นที่ทำการสโมสรนักศึกษาของคณะหรือที่เรียกกันสั้นๆว่าห้องสโม ชั้นสามกับชั้นสี่เป็นห้องเรียนเก่าๆที่อยู่รวมกับห้องชมรมต่างๆ

ชมรมในสังกัดคณะเทคโนมีไม่มาก มีเพียง ๔ ชมรม คือชมรมธรรม ชมรมกีฬาและเชียร์ ชมรมค่ายอาสาพัฒนาชนบทหรือที่เรียกสั้นๆว่าชมรมค่าย และชมรมวิชาการ ชมรมธรรมกับชมรมกีฬาและเชียร์อยู่ที่ชั้นสาม ส่วนชมรมค่ายกับชมรมวิชาการอยู่ที่ชั้นสี่

ผมพยายามหาทางสลัดให้หลุดจากชาญโดยที่ไม่ต้องกลับหอพักเร็วนัก คิดไปคิดมาก็มาคิดถึงชมรมต่างๆขึ้นมา งานกิจกรรมชมรมเป็นงานที่ผมเคยทำมาตั้งแต่ตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น จะว่าไปผมก็เป็นเด็กกิจกรรมเก่าเหมือนกัน กลับมาลองทำอีกครั้งก็ดีเหมือนกัน อาจเป็นทางออกสำหรับผมก็ได้

ตึกนี้เป็นตึกที่ผมมาไม่บ่อยนักเนื่องจากตลอดเวลาที่ผ่านมาใช้เวลาอยู่ที่กลุ่มเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่มาวันนี้ผมอยากลองทำกิจกรรมดูบ้าง ก่อนที่ผมจะมาถึงชั้นสี่นี้ผมแวะไปที่ชั้นสามมาแล้ว ห้องแรกที่ผมเข้าไปเยี่ยมชมก็คือชมรมธรรม

“สวัสดีค่า... ยินดีต้อนรับค่า...” นักศึกษาสาวชั้นปีอะไรก็ไม่รู้มาต้อนรับผมและชาญด้วยการยกมือไหว้พร้อมกับทักทาย เสียงยานคางของเธอถ้าหากไม่เห็นหน้าผู้พูดผมคงนึกว่าเธอกินหมากกินพลูอยู่

ผมรีบรับไหว้แทบไม่ทันด้วยความรู้สึกแปลกใจ อยู่ดีๆมาไหว้ผมทำไมกัน ผมพยายามมองลอดเข้าไป เห็นภายในห้องมีนักศึกษานั่งพับเพียบคุยกันอยู่หลายคน บางคนก็ใส่ชุดขาวแบบนุ่งขาวห่มขาว

“มาหาครายหรือเปล่าค้า” เสียงยานคางนั้นถามอีก

“แหะ เปล่าคร้าบ ม่ายด้ายมาหาคราย” ผมพยายามตอบด้วยจังหวะการพูดแบบเดียวกับเธอเพื่อให้เกิดความกลมกลืน “เพียงแต่อยากมาเยี่ยมชมโชมโรมต่างๆ อยากทามกิจกามน่าคร้าบ”

“ที่นี่เราก็มีการตักบาตรตอนเช้าเป็นปราจาม เอ๊ย เป็นประจำ และก็มีกิจกรรมไปวัด ทำบุญ ฟังเทศน์ฟังธรรมอย่างสม่ำเสมอค่า” หญิงสาวชักมีสีหน้าที่ไม่ค่อยดี พยายามปรับสำเนียงที่เนิบนาบให้เร็วยิ่งขึ้น

“ตักบาตรแล้วไม่บาปเหรอ” ชาญถามบ้าง

เธอทำสีหน้างงๆ ผมเองก็งงเช่นกัน

“ตักบาตรสิได้บุญ โดยเฉพาะตักบาตรกับอริยสงฆ์ยิ่งได้บุญมากมายมหาศาล แล้วจะบาปได้ยังไง” เธอถาม

“เป็นฆราวาสไปตักเอาข้าวปลาอาหารออกจากบาตรพระก็บาปน่ะดิ ต้องใส่บาตรสิถึงจะได้บุญ” ชาญตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ผมฟังแล้วแทบขำกลิ้ง

“ไม่เป็นไรครับ เอาไว้ผมแวะมาชมใหม่อีกทีดีกว่า” ผมตัดบทพลางฉุดชาญออกมาจากหน้าห้องชมรมธรรม

“อ้าว ไม่คุยต่อล่ะ” ชาญหัวเราะ “กำลังคุยสนุกเชียว คุยกับยัยคนนี้ถ้าอัดเทปไปด้วยคงเปลืองเทปน่าดู”

“ไอ้เวร นายเห็นหน้าเค้าหรือเปล่า หน้าเปลี่ยนสีเลย ดูเหมือนจะมีควันออกทางรูหูด้วย ไม่รีบออกมามีหวังโดนยำตีน” ผมหัวเราะบ้าง

“ก็นายกวนก่อนนี่หว่า เราก็เลยกวนบ้าง” ชาญตอบ “แต่ที่จริงก็น่าแหย่ดีเหมือนกันนะ”

หลังจากแวะที่ชมรมธรรม ห้องกิจกรรมอีกห้องหนึ่งที่อยู่ในชั้นเดียวกันคือชมรมกีฬาและเชียร์ แม้ว่าชาญจะเป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลให้ทีมของคณะแต่ก็ไม่ค่อยได้มาที่ชมรมนี้ เห็นภายในห้องมีนักศึกษาชายหญิงหลายคนกำลังร่ายรำลีลาเชียร์ลีดเดอร์อยู่

“ไปดูชั้นสี่กันดีกว่า” ผมชวน

จากนั้นเราก็เดินขึ้นมาที่ชั้นสี่ ที่ชั้นสี่มีห้องชมรมค่ายอาสาและชมรมวิชาการตั้งอยู่ใกล้ๆกัน

“แหวะ วิชาการน่าเบื่อ” ชาญบ่นอีก “ไปดูชมรมค่ายดีกว่า”

เมื่อรู้ว่าชาญไม่ชอบชมรมนี้ผมก็รีบเดินเข้าไปทันที

“เอาน่า แวะดูชมรมวิชาการกันก่อน” ผมพูด

ชมรมทั้งสี่นี้มีลักษณะที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งก็คือต่างก็เป็นชมรมผู้ดีเก่า พื้นห้องของชมรมปูด้วยเสื่อน้ำมัน เมื่อจะเข้าห้องต้องถอดรองเท้าวางเอาไว้ที่หน้าห้อง เมื่อผมไปถึงหน้าห้องชมรมวิชาการผมก็ถอดรองเท้าวางไว้ที่หน้าห้องและเดินเข้าไปทันที

ชมรมวิชาการวางผังห้องไว้ค่อนข้างลึกลับพอสมควร ในชมรมแบ่งออกเป็นห้องชั้นนอกกับห้องชั้นใน เมื่อยืนอยู่หน้าประตูชมรมจะเห็นเพียงห้องชั้นนอกซึ่งมีลักษณะแคบเล็ก มีโต๊ะทำงานกับกองเอกสารรกระเกะระกะไปหมด เหมือนกับเป็นชมรมเล็กๆ เมื่อเข้าไปแล้วจึงจะเห็นว่าประตูเชื่อมกับห้องชั้นในอีกทีหนึ่ง แม้ผมจะไม่เห็นสภาพของห้องชั้นในแต่ก็ได้ยินเสียงกีตาร์และเสียงร้องเพลงลอดออกมา...

รุ่นพี่ชายคนหนึ่งเดิมออกจากห้องชั้นในมาต้อนรับผมพลางยืนขวางประตูเข้าห้องชั้นในเอาไว้

“ว่าไงครับน้อง” รุ่นพี่ทักทายเป็นเชิงถามว่ามาทำไม ช่วงเปิดโลกกิจกรรมผ่านพ้นไปนานแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีใครคิดว่าผมจะมาสมัครทำกิจกรรมในตอนนี้

“สนใจอยากทำกิจกรรมครับพี่ ที่นี่มีอะไรให้ช่วยทำบ้างไหม” ผมเข้าประเด็น

“แล้วน้องสองคนทำอะไรได้บ้างล่ะ” รุ่นพี่ถามกลับ

“แบกหาม ใช้แรงงาน งานจีบี” ชาญตอบแทน วันนี้ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรของมัน เกรียนมาตั้งแต่ขึ้นตึกแล้ว สงสัยกินยาผิดหรือไม่ก็คงกินอาหารผิดสำแดง

“ยังไม่รู้ว่างานที่นี่เป็นงานแบบไหนเลยครับ” ผมตอบ “แต่ความสามารถผมก็แค่ทั่วๆไปครับ อะไรที่คนอื่นทำได้ผมก็พอทำได้”

“แล้วทำไมอยากมาทำงานชมรมเอาตอนนี้ล่ะ” รุ่นพี่ชวนคุยต่อ ผมรู้สึกราวกับว่าการสมัครทำงานกับชมรมนี้ต้องผ่านการสอบสัมภาษณ์ก่อนยังไงยังงั้นเลย

“ช่วงก่อนก็มีกิจกรรมน้องใหม่ค่อนข้างมาก แล้วก็กิจกรรมที่กลุ่มด้วย เลยยังหาโอกาสไม่ได้ครับพี่ ตอนนี้สอบเสร็จ อยากเปลี่ยนบรรยากาศมาทำงานชมรมดูบ้าง ตอนเรียนมัธยมผมก็เคยทำงานกิจกรรมชมรมมาก่อน” ผมพยายามอธิบายเหตุผลพร้อมทั้งแนะนำตนเองไปในตัว

“อ้อ เคยทำกิจกรรมมาก่อนเหรอ ดีๆๆ” รุ่นพี่ชม

หลังจากนั้นเราก็แนะนำตัวกัน รุ่นพี่คนนี้ชื่อพี่หมู อยู่ชั้นปีสาม

“งั้นเข้ามาดูข้างในกัน” พี่หมูซึ่งมีร่างกายผ่ายผอม หัวโตและใส่แว่น ชวนเราเข้าไปชมห้องชั้นใน

เมื่อเข้าไปในห้องชั้นในที่มีเสียงกีตาร์ลอยออกมาจึงได้เข้าใจว่าทำไมพี่หมูจึงได้ชวนพูดคุยและซักถามอะไรหลายต่อหลายอย่าง ทั้งนี้เพราะภายในห้องเป็นห้องขนาดใหญ่ ค่อนข้างโล่ง ข้าวของและโต๊ะวางเรียงรายรอบตัวห้องแต่ไม่มีใครนั่งทำงานที่โต๊ะ ตรงกลางเว้นเป็นพื้นที่ว่างเอาไว้ มีรุ่นพี่ชายสองคนกำลังนอนเหยียดยาวหลับอย่างสบายใจอยู่ ที่ว่างที่ห่างออกไปมีรุ่นพี่ชายอีกสองคนกำลังเล่นกีตาร์คู่กันอยู่ มีนักศึกษาทั้งชายและหญิงหลายคนกำลังนั่งล้อมวงฟังและร้องเพลงคลออยู่ บรรยากาศดูสนุกสนานและเป็นกันเอง น่าจะเป็นชมรมสันทนาการมากกว่าที่จะเป็นชมรมวิชาการ

“เวลาพักผ่อนน่ะน้อง” พี่หมูพูดแบบเขินๆเป็นการออกตัวหลังจากที่พาพวกเราเข้ามาในห้อง “ใครมาติดต่อธุระเห็นเข้าอายเค้าตายเลย”

ผมหัวเราะ พร้อมกับสังเกตไปรอบๆห้อง เห็นบนโต๊ะทำงานที่เรียงรายอยู่รอบห้องนั้นมีเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพีซีวางตั้งอยู่โดยไม่มีใครใช้ถึงสองเครื่อง บรรยากาศอันสบายๆและเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ผมใฝ่ฝันอยากเล่นมานานทำให้ผมรู้สึกถูกใจชมรมนี้มากถึงมากที่สุด

“เอ้า เฮ้ย พวกเรา มีน้องปีหนึ่งมาสมัครเข้าชมรม ต้อนรับน้องด้วย” พี่หมูผู้ผ่ายผอมพูดเสียงดัง

“เอ๊า ประธานชมรมก็ต้อนรับไปสิ” คนที่เล่นกีตาร์พูด “ให้น้องๆมาร้องเพลงด้วยกันกับเราก็ได้”

ผมจึงถึงบางอ้อว่าพี่หมูนั้นก็คือประธานชมรมนั่นเอง ดูหุ่นแล้วไม่ค่อยให้ที่จะเเป็นประธานชมรมเท่าไรนัก แต่คนเราก็ไม่อาจตัดสินกันที่ภายนอก หุ่นไม่ให้แต่ใจอาจจะรักก็ได้

เมื่อรู้ว่ามีผู้มาเยือนเข้ามาในห้อง พวกที่นั่งล้อมวงกันร้องเพลงอยู่ก็หันมามอง สองคนในจำนวนหลายคนที่นั่งอยู่นั้นผมกับชาญรู้จักดีเสียด้วย นั่นคือเพ็ญกับเจตนั่นเอง




<ราชประสงค์เมื่อเป็นดาวน์ทาวน์ยุคแรก

หลังจากที่ย่านราชประสงค์ถูกพัฒนาให้กลายเป็นแหล่งธุรกิจและศูนย์กลางแฟชั่นและความบันเทิง วังบูรพาก็เริ่มเสื่อมความนิยมลง ราชประสงค์รุ่งเรืองในยุคแรกอยู่ในช่วงประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๐ ต้นๆ อันเป็นยุคของศูนย์การค้าราชประสงค์ ทั้งฝั่งศูนย์การค้าราชประสงค์ (เซ็นทรัลเวิลด์ในปัจจุบัน) และฝั่งถนนเกษร (เกษาพลาซ่าในปัจจุบัน) เป็นศูนย์รวมของธุรกิจการค้า มีสำนักงานสายการบิน เสื้อผ้าแฟชั่น ร้านอาหารแบบฝรั่ง ร้านหนังสือ ร้านขายของเล่นแบบไฮโซ เช่น เครื่องบินบังคับด้วยวิทยุ ดิสโก้เธค คลับ ฯลฯ อีกทั้งด้านตรงข้ามยังเป็นโรงแรมใหญ่ที่มีชื่อเสียงในอดีต นั่นคือ โรงแรมเอราวัณ ต่อจากนั้นราชประสงค์ก็เข้าสู่ยุครุ่งเรืองเต็มที่ในราวปี พ.ศ. ๒๕๐๗ เนื่องจากมีห้างสรรพสินค้าสัญชาติญี่ปุ่นมาเปิดกิจการในฝั่งศูนย์การค้าราชประสงค์

ภาพชุดนี้ทั้งสองภาพเป็นย่านราชประสงค์ ถ่ายจากสี่แยกราชประสงค์มองไปทางประตูน้ำ ภาพบนเป็นราชประสงค์ในยุคแรก ถนนราชดำริในยุคนั้นเป็นถนนหกช่องทางจราจร มีเกาะกลางถนนอีกด้วย ความเก่าของภาพสังเกตได้จากรถเมล์และรถยนต์ในภาพ อาคารส่วนใหญ่เป็นอาคารพาณิชย์สี่ชั้น ซ้ายมือที่เห็นป้าย POLA เป็นร้านขายเครื่องสำอางโพลาซึ่งโด่งดังมากในยุคนั้น ป้ายโฆษณาในภาพสังเกตว่ามีสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ ดีดีทีตราหัวไก่ และนาฬิการาโด ห้างไทยได้มารูจะอยู่หลังอาคารพาณิชย์ด้านซ้ายมืออีกทีหนึ่ง

ราชประสงค์ในยุคแรกนี้เติบโตและเข้าสู่ยุคร่วงโรยในเวลาเพียงไม่กี่ปีเนื่องจากพื้นที่ย่านปทุมวันถูกพัฒนาขึ้นมาเป็นศูนย์การค้าใหม่ในชื่อศูนย์การค้าปทุมวัน (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นสยามสแควร์)

ภาพล่างเป็นภาพราชประสงค์ในยุคปัจจุบัน ถ่ายภาพจากตำแหน่งที่ใกล้เคียงกัน เห็นตึกโรงแรมอินทราที่อยู่ไกลออกไปเช่นเดียวกัน>



<ห้างไทยไดมารู ห้างนี้ในตอนแรกอยู่ในฝั่งศูนย์การค้าราชประสงค์ (เซ็นทรัลเวิลด์ในปัจจุบัน) มีบันไดเลื่อนตัวแรกไทย ชั้นล่างกับชั้นที่สองเป็นห้างสรรพสินค้า ชั้นที่ ๓ ไม่แน่ใจว่าเป็นห้างด้วยหรือไม่ ส่วนชั้นที่ ๔ เป็นภัตตาคาร และย่านศูนย์การค้านี้หากเดินลึกเข้าไปอีก ข้างในจะเป็นโรงเรียนช่างฝีมืออินทราชัย มีทั้งช่างก่อสร้างและช่างฝีมือ ในส่วนช่างก่อสร้างนั้นเรื่องการสร้างวีรกรรมก็มีมาแต่ยุคนั้น ต่อมาโรงเรียนช่างฝีมือก็ย้ายออกไป ฝ่ายช่างก่อสร้างกลายไปเป็นเทคนิคดอนเมือง ส่วนช่างฝีมือกลายเป็นพาณิชยการอินทราชัย>


<บันไดเลื่อนตัวแรกซึ่งห้างไทยไดมารูนำมาใช้เป็นแม่เหล็กดึงลูกค้าเพราะเป็นของแปลกใหม่ในยุคนั้น ส่วนลิฟต์ไม่ใช่ของแปลกเนื่องจากลิฟต์มีใช้กันมานานแล้ว>

Saturday, December 11, 2010

ภาคสี่ ตอนที่ 16

ผมและนักเรียนกางเกงดำคนนั้นอึ้งกันไปชั่วขณะเนื่องจากการพบกันโดยไม่คาดหมาย สักพักเมื่อยังไม่เห็นนักเรียนคนนั้นทักทาย ผมที่เป็นรุ่นพี่จึงเป็นฝ่ายทักทายขึ้นก่อน

“บอย...” ผมพูดแล้วชะงักไปชั่วครู่ มันกะทันหันจนผมเองก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะพูดอะไรดี “เป็นไงบ้าง สบายดีหรือเปล่า”

“ฮะ” บอยตอบ เด็กนักเรียนคนนั้นก็คือบอยนั่นเอง “บอยสบายดี พี่อูเข้ามหาวิทยาลัยแล้วเหรอ”

“ใช่ ไม่มีโอกาสได้บอกนายเลย โทษทีนะ” ผมตอบ บอยในวันนี้ดูเติบโตขึ้นกว่าเก่าอีกมาก ทรงผมซึ่งเดิมตัดเกรียนกลายเป็นทรงนักเรียนแบบเอาหวีรอง ไรหนวดที่เดิมเป็นสีเขียวอ่อนมาวันนี้กลับกลายเป็นสีเขียวเข้ม ใบหน้าที่เคยแฝงไว้ด้วยความกวนกลายเป็นจริงจังขึ้น จากบอยเมื่อวันก่อนที่เป็นเด็กกวนๆกลายเป็นหนุ่มน้อยที่คมคายแจ่มใสคนหนึ่ง เห็นบอยแล้วทำให้อดนึกถึงอดีตที่ผ่านมาไม่ได้

“ไม่เป็นไรฮะ บอยเองก็ไม่ทันได้บอกพี่อูเหมือนกันว่าสอบได้” บอยพูด

ขณะที่บอยพูด ผมสังเกตเห็นสายตาของบอยกวาดมองผมและชาญและหันไปมองเพื่อนนักเรียนสาวที่มาด้วยกัน ซึ่งไม่ใช่ใครอื่น คือน้องส้มนั่นเอง แม้บอยจะไม่แนะนำแต่ผมเคยเห็นน้องส้มมาแล้วครั้งหนึ่งจึงจำได้ ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่าแต่สีหน้าของบอยและส้มทั้งคู่นั้นดูแปลกๆเมื่อมองมายังเรา และไม่เพียงเท่านั้น เพียงครู่เดียวก็มีนักเรียนชายหญิงอีกหลายคนเดินตามมาสมทบกับทั้งสองคน เดิมทีผมคิดว่าบอยมาเดินเที่ยวกับส้มสองคนที่แท้กลับมากันเป็นกลุ่มใหญ่ เพื่อนๆของบอยมองเราสองคนด้วยความสนใจ

“พี่เรียนอยู่ที่สะพานเหลืองนี่เอง” ผมพูดต่อ รู้สึกอึดอัดกับการพบกันในครั้งนี้ “เอ้อ... เอ้อ... เอาไว้วันหลังพี่พาไปเลี้ยงฉลองที่สอบได้ก็แล้วกัน”

“ฮะพี่อู” บอยตอบ ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นการตอบตามมารยาทหรือเต็มใจเช่นนั้นจริงๆ

“งั้น... งั้น...พี่ไปก่อนละนะบอย” ผมตะกุกตะกัก ไม่รู้เพราะอะไรจึงพูดไม่ออก

“ฮะ พี่อู” บอยตอบเสียงแผ่วเบา

ผมรีบเดินจากบอยมาโดยมีชาญเดินอยู่ข้างๆ ผมไม่กล้าแม้แต่จะหันกลับไปมองที่ด้านหลัง...

“เฮ้ย นั่นรุ่นน้องโรงเรียนนายเหรอ” ชาญถาม

“ฮื่อ...” ผมตอบด้วยเสียงแผ่วเบา ความรู้สึกหลังจากได้พบบอยนั้นมันช่างสับสนจนบอกไม่ถูก มีทั้งเสียใจ ผิดหวัง อ้างว้าง อับอาย และอิจฉา ความรู้สึกต่างๆประดังกันเข้ามาดั่งระลอกคลื่นอันปั่นป่วนในทะเลใจที่เวิ้งว้าง

ที่เสียใจนั้นคือเสียใจที่บอยไม่เคยส่งข่าวให้ผมรู้เลยว่าสอบเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมได้ทั้งๆที่บอยก็รู้เบอร์โทรศัพท์ของหอพักที่ผมพักอยู่ ที่ผิดหวังก็คือผิดหวังที่บอยดูเหมือนจะมีใจให้แก่ผมในตอนแรกแต่แล้วก็เปลี่ยนไปโดยไม่รู้สาเหตุ ที่อ้างว้างก็คือเมื่อก่อนบอยเคยเป็นกำลังใจให้แก่ชีวิตของผม ทำให้ผมก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้ ผมจำยังได้ถึงความรู้สึกอันอ้างว้างเมื่อตอนที่รู้ว่าต้องเสียบอยไปได้อย่างไม่มีวันลืม

ที่อับอายก็คือบอยเดินควงสาวขณะที่ผมอนู่ในสภาพที่เหมือนกับเดินควงเพื่อนชาย และท้ายที่สุด... ที่อิจฉาก็คือผมรู้สึกอิจฉาที่บอยสามารถมีชีวิตเช่นคนปกติ ส่วนผมนั้นเล่ากลับต้องการความรักจากชายด้วยกันอันเป็นความรักที่ต้องห้าม... ความรู้สึกนี้ทำให้ผมแทบยอมรับตัวเองไม่ได้...

“แล้วทำไมดูนายเจอมันแล้วตกใจยังไงก็ไม่รู้ เหมือนกับเจอผียังงั้นแหละ” ชาญพูดพลางหัวเราะ

“ขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมพยายามระงับอารมณ์และความรู้สึกที่ประดังกันขึ้นมาเพื่อไม่ให้ชาญผิดสังเกต พร้อมกันคิดว่าที่ตกใจอย่างนั้นก็เพราะมึงนั่นแหละ “คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอน่ะ เอ้อ เดี๋ยวเรากลับเลยละกัน”

“เฮ้ย เอาจริงเหรอ เดินเป็นเพื่อนกันอีกหน่อยน่า” ชาญอ้อนวอน

“ไม่ล่ะ เมื่อยมากแล้ว เอาไว้วันอื่นมาเดินต่อก็แล้วกัน” ผมตัดบท รู้สึกเซ็งขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ไม่อยากให้ชาญมาเซ้าซี้ต่อรองอีก “หรือนายจะเดินเที่ยวคนเดียวไปก่อนก็ได้ ตามสบายเลย”

เมื่อชาญเห็นว่ารั้งผมไม่อยู่แน่แล้วจึงไม่เซ้าซี้ต่อไปอีก เราสองคนจึงต่างแยกย้ายกันกลับ

- - -

เช้าวันรุ่งขึ้น

“อู กุหลาบตายแหงแก๋ต้นนั้นหายไปไหนแล้วล่ะ” เสียงพี่ธิตทักทายผมในตอนเช้าตรู่ขณะที่ผมกำลังยืนมองทิวทัศน์ยามรุ่งสางจากชั้นดาดฟ้าอยู่ เราสองคนทักทายกันเป็นประจำทุกเช้าเนื่องจากผมต้องขึ้นมาดูและรดน้ำกุหลาบทุกเช้า วันใดที่ไม่ต้องรดน้ำเพราะฝนตกก็ขึ้นมาดูเฉยๆ

พี่ธิตแซวผมขณะที่เหลือบมองดูพื้นที่ดาดฟ้าตำแหน่งที่เคยตั้งกระถางกุหลาบอยู่ มาตอนนี้มันเหลือแต่รอยดินที่พื้นปูนเป็นรูปก้นกระถางเท่านั้น

“เอาไปทิ้งแล้วครับพี่” ผมตอบเนือยๆ

“ก็ไหนเพิ่งบอกว่าจะดูไปก่อน” พี่ธิตสงสัย

“ผมเปลี่ยนใจแล้วครับ” ผมพูด “ต้องยอมรับความจริงเสียที เลิกหวังลมๆแล้งๆได้แล้ว”

“ไม่เป็นไรนะอู ลองปลูกใหม่ก็ได้ คนเราก็ต้องเรียนรู้แบบนี้แหละ อีกหน่อยก็สำเร็จเอง” พี่ธิตปลอบใจ

“ไม่ไหวครับ สองครั้งแล้ว คงพอแล้วละ” ผมส่ายหน้า

“อะไรกันวะ แค่นี้ก็ท้อ แล้วต่อไปจะไปทำอะไรกิน” พี่ธิตพยายามให้ข้อคิด

“ทั้งสองครั้งผมทุ่มเต็มที่เลย แต่มันก็ล้มเหลว” ผมพูดขณะที่สายตามองทอดไปไกลสุดขอบฟ้าพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ “เหนื่อยแล้วละครับ”

“ไอ้อูนี่เพี้ยนใหญ่แล้ว แค่ปลูกกุหลาบ เหนื่อยอะไรนักหนา” พี่ธิตหัวเราะ คิดว่าผมพูดเล่น “แค่นี้ก็ท้อ ชีวิตยังต้องเจออีกเยอะแยะ ลองอย่างอื่นดูบ้างก็ได้นี่ เผื่อถูกโฉลกกันก็คงรุ่งหรอก”

เราหยุดการสนทนาเอาไว้เพียงแค่นั้นจากนั้นผมก็รีบไปมหาวิทยาลัย วันนั้นผมยังต้องขายดอกไม้อีกเนื่องจากการรับปริญญายังเหลืออยู่อีกหนึ่งวัน

การขายดอกไม้ของเราในวันสุดท้ายของการรับปริญญาเป็นไปอย่างเนือยๆเนื่องจากการขายในสองวันที่ผ่านมาก็ทำให้เราเริ่มล้าแล้ว โดยเฉพาะในลำคอนี่เจ็บเอาการทีเดียวเนื่องจากต้องโก่งคอบูมมาตลอดสองวัน มาในวันนี้พวกเราจึงขายไปอู้ไป พยายามออมแรงและออมเสียงเอาไว้

“เฮ้ยอู วันนี้เป็นอะไรไปวะ ทำสีหน้าเหมือนเบื่อโลก” ชาญแหย่ผมด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มหลังจากที่การขายดอกไม้ในวันสุดท้ายสิ้นสุดลงในราวสิบเอ็ดโมง ผมรู้สึกโล่งใจที่ภารกิจของผมเสร็จสิ้นลงเสียที

“เออ นั่นสิ วันนี้ไอ้อูสีหน้าไม่ดีเลย ไม่สบายหรือเปล่า” จิ๊บพลอยทักขึ้นบ้าง

“ง่วงนอนน่ะ วันนี้เราขอกลับก่อนละกัน อยากพักสักหน่อย” ผมพยายามหาข้อแก้ตัวที่วันนี้ดูเงียบไป พลางขอตัวกลับ แต่แท้ที่จริงคือผมกำลังเซ็ง

หลังจากงานรับปริญญาเป็นวันสุดสัปดาห์พอดี ตลอดวันหยุดผมเก็บตัวอยู่แต่ภายในห้อง พยายามคิดทบทวนเหตุการณ์ต่างๆ เหตุการณ์เมื่อวันก่อนทำให้ผมรู้สึกอับอาย ภาพของบอยที่เดินคู่กับส้มแฟนสาวได้คุ้ยเขี่ยปมด้อยในจิตใจของผมขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง... ปมด้อยที่ผมพยายามฝังมันลงไปที่ก้นบึ้งของหัวใจและปูทับด้วยความภูมิใจในตนเองและความนับถือตนเอง... ผมเคยยอมรับความผิดปกติทางเพศของตนเองได้มาช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่การยอมรับนี้ก็เหมือนกับการที่เรายอมรับว่าเป็นโรคร้ายอะไรสักอย่างที่ไม่มีทางรักษาให้หายได้ ผมยอมรับมันเพราะความจำใจแต่ไม่ได้ชื่นชมมันเลยแม้แต่น้อย... ตอนนี้ผมกลับเริ่มรู้สึกยอมรับตนเองไม่ได้ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

- - -

หลังจากที่งานรับปริญญาสิ้นสุดลงก็เป็นเวลาที่การสอบกลางภาคใกล้เข้ามา กิจกรรมนักศึกษาทุกอย่างถูกงดเพื่อให้นักศึกษามีเวลาเตรียมตัวสอบกลางภาคในอีกไม่กี่วันที่จะมาถึงนี้

เมื่อไม่มีกิจกรรมหลายคนก็เริ่มได้คิดและเตรียมตัวสอบ ห้องสมุดที่แต่เดิมว่างโล่งกลับกลายเป็นแน่นขนัด ซุ้มถ่ายเอกสารก็แน่นขนัดตลอดทั้งวัน แต่บางคนที่ยังติดกลุ่มและติดเล่นอยู่ก็ยังคงดำเนินชีวิตแบบสบายๆ ถ้าในยุคนั้นก็เรียกว่าแบบเบิร์ดๆแต่ถ้าเป็นในยุคนี้คงเรียกว่าแบบชิลๆ


ตั้งแต่วันสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ชีวิตของผมเหมือนมาพบกับทางตันอีกครั้ง ผมรู้สึกเบื่อหน่ายและยอมรับตนเองไม่ได้ ผมอดคิดถึงบทความเรื่องรักร่วมเพศรักษาได้ที่เคยอ่านในห้องสมุด จากเดิมที่ผมคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้ มาวันนี้ผมอดที่จะมีความหวังไม่ได้พร้อมทั้งภาวนาขอให้เรื่องที่ผมอ่านนั้นเป็นความจริง

ผมอดคิดไม่ได้ว่าชาญอาจเริ่มชอบผม ก่อนหน้านี้ผมเคยคิดเรื่องนี้มาแต่ประสบการณ์เรื่องบอยทำให้ผมต้องระวังความคิดของตนเอง คนเรามักชอบคิดเข้าข้างตน บางทีชาญอาจคิดกับผมแบบเพื่อนธรรมดาก็ได้ ผมจึงพยายามสลัดความคิดนั้นออกไป

ผมพยายามถามตนเองว่าแล้วผมชอบชาญหรือเปล่า คำตอบก็คือไม่ ผมเห็นชาญเป็นเพื่อนสนิทเท่านั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเหมือนกัน แม้ว่าเราจะสนิทกันมากและชาญก็เป็นคนที่น่ารัก ยิ้มง่าย อารมณ์ดี แต่ผมไม่เคยรู้สึกกับชาญในแบบที่เคยรู้สึกกับบอยเลย

หลังจากงานรับปริญญาเป็นต้นมา ผมพยายามทำตัวให้ห่างจากชาญ ก่อนหน้านั้นผมก็ยังไม่รู้สึกอะไร แต่หลังจากเหตุการณ์ที่ผมพบบอยผมเริ่มรู้สึกอึดอัดกับการไปไหนมาไหนกับมัน ในเมื่อผมไม่ได้ชอบชาญแบบนั้น การที่เราสนิทสนมและตัวติดกันเกินไปอาจกลายเป็นผลเสียในที่สุด ประกอบกับผมรู้สึกอยากอยู่คนเดียวด้วยจึงพยายามปลีกตัวออกมา แต่เนื่องจากชาญเป็นคู่แล็บของผมและอยู่ในกลุ่มเพื่อนสนิท อีกทั้งช่วงนี้ใกล้สอบกลางภาคแล้วด้วย ในเรื่องการเรียนยังต้องพึ่งพาอาศัยกันอยู่ การตีตัวออกห่างจึงไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก

“เฮ้ย ไอ้อู ช่วยทวนแคลคูลัสให้หน่อยสิ” ชาญพูดกับผมในวันหนึ่งหลังจากหมดคาบวิชาแคลคูลัส อาจารย์เตือนให้ทบทวนกันให้มากๆเนื่องจากข้อสอบค่อนข้างยาก เราทั้งคู่ฟังแล้วต่างก็เริ่มรู้สึกกังวลใจ

“ไม่ค่อยจะรู้เรื่องเหมือนกันโว้ย” ผมออกตัว แคลคูลัสเป็นวิชาที่ยาก สูตรคำนวณเยอะแยะไปหมด “แล้วนายไม่เข้าใจบทไหนล่ะ”

“ทุกบทเลยตั้งแต่ต้น” ชาญตอบ “เมื่อคืนลองก็ทำแบบฝึกหัดดู ทำไม่ได้เลยสักข้อว่ะ ใกล้สอบแล้วด้วย ยังมาขู่กันอีก คราวนี้ตายห่าแน่เลย”

“เฮ้อ ไม่รู้จะช่วยยังไง” ผมถอนใจ “เราก็พอๆกับนายนั่นแหละ ไม่ค่อยได้ทำแบบฝึกหัดเหมือนกัน”

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าผมไม่มีความรู้พอที่จะติวให้ได้จริงๆและอีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะผมไม่ต้องการติวกับชาญเพียงลำพังสองคน ผมจึงบอกปัดพร้อมกับแนะให้ไปขอให้แมวกับจิ๊บช่วยติวให้จะได้ติวด้วยกันทั้งสี่คน แต่สองสาวเพื่อนสนิทของเราไม่ถนัดวิชาคณิตศาสตร์จึงช่วยเราไม่ได้มากนัก แม้จะช่วยติวให้แต่เมื่อถามเหตุผลก็มักอธิบายไม่ได้ รู้เพียงแต่ว่าถ้าโจทย์เป็นแบบนี้ต้องทำการคำนวณและใช้สูตรแบบนี้ และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือเราไม่ได้มีปัญหาแต่เฉพาะในวิชาแคลคูลัส แต่เรามีปัญหาแบบเดียวกันนี้ในทุกวิชาเนื่องจากตั้งแต่เปิดเทอมมาเรา เรียนเฉพาะในชั่วโมงเรียนเท่านั้น นอกเวลาเรียนเรามีกิจกรรมต่างๆให้ทำอยู่ตลอดจนไม่ได้ทำการบ้านและทบทวนบทเรียนเลย

วันสอบยิ่งใกล้เข้ามา การติวของเราก็เหมือนกับเตี้ยอุ้มค่อมเพราะต่างก็ไม่ค่อยรู้เรื่องอยู่แล้ว ในที่สุดผมและชาญต่างก็ตัดสินใจหยุดติว ต่างคนต่างใช้เวลาที่เหลือไปทบทวนกันเอาเอง ดังนั้นหลังเลิกเรียนผมจึงกลับหอพักให้เร็วขึ้นเพื่อจะได้มีเวลาอ่านหนังสือเตรียมสอบ ซึ่งทำให้สามารถห่างจากชาญไปได้โดยปริยาย... อย่างน้อยก็ช่วงหนึ่ง

- - -

ที่สนามบินดอนเมือง เวลา ๖.๔๕ น.

ผมวิ่งเข้ามาในตัวอาคารผู้โดยสารขาออก หันรีหันขวาง ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน จากนั้นก็วิ่งไปที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์

“พี่ครับ ผมจะมาส่งเพื่อน เที่ยวบินหกโมงห้าสิบไปอเมริกา ต้องไปที่ไหนครับ” ผมละล่ำละลักถามพนักงานด้วยความร้อนใจ

พนักงานก้มหน้าก้มตาทำงานเหมือนทองไม่รู้ร้อน ไม่ได้ชายมามองผมแม้สักนิดเดียว

“พี่ครับ” ผมตะโกนลั่น “พี่”

ไม่ได้ผล พนักงานประชาสัมพันธ์ก็ยังไม่สนใจผมอยู่ดี

เมื่อสอบถามจากประชาสัมพันธ์ไม่ได้ความใดๆ ผมจึงไม่อยากเสียเวลาถามอีก ผมรีบวิ่งอย่างสะเปะสะปะไปทั่วอาคาร

ทันใดนั้นผมก็เห็นเงาหลังของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง ยืนหันหลังให้ผมอยู่ห่างออกไปหลายสิบเมตร เงาหลังนั้นช่างคล้ายไอ้นัยเหลือเกิน โดยไม่รอช้า ผมรีบไปวิ่งไปที่ร่างนั้นทันที

เมื่อเข้าใกล้ ร่างนั้นกลับหายไปในฝูงคน ผมพยายามมองหอีกก็เห็นร่างนั้น กำลังเดินห่างออกไป... ห่างออกไป...

ผมรีบวิ่งตาม เมื่อเข้าไปใกล้จึงแน่ใจว่าเงาหลังที่ผมเห็นนั้นคือไอ้นัยนั่นเอง

“นัย” ผมตะโกนลั่น “รอก่อน”

เมื่อผมวิ่งเข้าไปใกล้ ร่างนั้นคล้ายกับได้ยินเสียงเรียกของผมจึงหันกลับมา และเมื่อผมเห็นใบหน้านั้นชัดตาผมก็ต้องขนลุกเกรียว มันกลับเป็นใบหน้าของบอยที่กำลังแสยะยิ้มให้ผมอย่างน่าสะพรึงกลัว...

“เฮ้ย” ผมร้องลั่นพลางสะดุ้งตื่นขึ้นมา เหงื่อไหลโซมกาย รู้สึกกลัวจนใจสั่น ฝันร้ายนั้นช่างเป็นจริงเป็นจังและน่ากลัวเหลือเกิน...

ผมเอื้อมมือไปหยิบนาฬิกาปลุกที่หัวเตียงเพื่อดูเวลา ภายในห้องสลัวครึ้มไม่ถึงกับมืดเนื่องจากมีแสงจากภายนอกห้องส่องลอดเข้ามาตามช่องหน้าต่างบ้าง ผมพยายามนึกทบทวนเหตุการณ์เมื่อคืนว่าผมทำอะไรไปก่อนที่จะหลับ จำได้ว่าผมดูหนังสือดึกมากเนื่องจากวันรุ่งขึ้นวันวันสอบกลางภาคแล้ว ผมดูหนังสือจนหลับไปโดยไม่รู้ตัว หนังสือยังเปิดคาอยู่บนโต๊ะทำงาน

“เฮ้ย สว่างแล้ว วันนี้สอบนี่หว่า ตายห่า สายแน่เลย” เห็นนาฬิกาบอกเวลาเจ็ดโมงเช้า ผมตกใจ กระโดดพรวดลงจากเตียง วันนี้เป็นวันสอบกลางภาควันแรกและผมต้องเข้าสอบในเวลาเก้าโมงเช้า

- - -

การสอบวิชาแรกเป็นวิชาฟิสิกส์ ผมไปถึงห้องสอบก่อนเวลาสอบเพียงนิดเดียว นี่ถ้าผมไม่ฝันร้ายจนตกใจตื่นผมอาจตื่นสายจนไม่ได้เข้าสอบเลยก็เป็นได้

การสอบใช้เวลาสามชั่วโมง นักศึกษาส่วนใหญ่นั่งกุมขมับกันตลอดทั้งสามชั่วโมง แทบไม่มีใครออกจากห้องสอบก่อนเวลาเลยเนื่องจากข้อสอบแม้จะมีเพียงไม่กี่ข้อแต่ก็เป็นโจทย์ที่ต้องตีความและเลือกวิธีคำนวณเพื่อแก้ปัญหาเอาเอง อีกทั้งยังต้องแสดงวิธีทำโดยละเอียดอีกด้วย หลังจากที่สอบเสร็จ นักศึกษาพากันทยอยเดินออกจากห้องสอบ ส่วนใหญ่ต่างก็มีสีหน้าระทดระทวย

“โห ข้อสอบโคตรยากเลย”

“เอาตรงไหนมาออกข้อสอบวะเนี่ย อยากเจอคนออกข้อสอบจัง”

“โอ๊ย แทนค่าผิด คำตอบผิดหมดเลย”

ฯลฯ

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวิชาฟิสิกส์เป็นเหมือนสัญญาณเตือนให้รู้ถึงภัยที่กำลังกรายเข้ามา แต่น่าเสียดายที่ผมและเพื่อนๆชั้นปีหนึ่งเตรียมตัวรับมือกันไม่ทัน ข้อสอบกลางภาคในวิชาอื่นๆที่ตามมาติดๆก็เป็นเช่นเดียวกัน ส่วนใหญ่ทำข้อสอบกันไม่ค่อยได้เนื่องจากก่อนหน้านี้ไม่ค่อยได้ทำแบบฝึกหัดและทบทวนบทเรียนกัน และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือข้อสอบเหล่านี้ล้วนแต่เป็นข้อสอบที่ต้องตอบโดยการแสดงวิธีทำหรือเขียนอธิบายซึ่งเป็นวิธีการที่พวกเราไม่คุ้นเคยนักเนื่องจากเมื่อตอนที่เรียนมัธยมปลายข้อสอบส่วนใหญ่เป็นข้อสอบปรนัยใช้เลือกข้อถูกเอาหรืออย่างมากก็เพียงเติมคำตอบลงในช่องว่างเท่านั้น แต่ก็นั่นแหละ คนเราเมื่อผิดพลาดไปแล้วก็มักไม่อยากโทษตนเอง มักหาข้อแก้ตัวและโทษผู้อื่นไปต่างๆนานา





<ราชประสงค์ ๔ ยุค ยุคแรกและยุคปัจจุบัน: ย่านใจกลางเมืองหรือว่าย่านดาวน์ทาวน์ในกรุงเทพฯนั้นหากจะแบ่งคร่าวๆก็พอจะแบ่งได้เป็น ๔ ยุค โดยยุคแรกแหล่งการค้าและความบันเทิงอยู่ที่ย่านเยาวราชมาตั้งแต่ต้นรัตนโกสินทร์ ต่อมาเมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุด ความเจริญจากย่านเยาวราชก็ได้ขยายมามาจนถึงวังบูรพาอันเป็นโครงการที่เปิดใหม่ ต่อมาย่านวังบูรพาจึงกลายมาเป็นดาวน์ทาว์นแห่งใหม่ซึ่งมีช่วงที่เจริญถึงขีดสุดเพียงไม่กี่ปีคือในยุคโก๋หลังวังหรือประมาณ พ.ศ. ๒๔๙๘ นั่นเอง

ต่อมาวังบูรพาก็เริ่มเข้ายุคเสื่อม พื้นที่ที่กลายมาเป็นดาวน์ทาวน์แทนก็คือย่านราชประสงค์นั่นเอง และหลังจากนั้นต่อมาจึงเป็นยุคสยามสแควร์

ยุคดาวน์ทาวน์ราชประสงค์เองก็แบ่งย่อยได้เป็นสี่ยุค ในยุคต้นนั้นของราชประสงค์นั้นเป็นย่านใจกลางเมืองหรือว่าย่านดาวน์ทาว์นที่เริ่มเฟื่องมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๐ ต้นๆ และรุ่งเรืองมากตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๗ เป็นต้นมาเมื่อห้างสรรพสินค้ายุคแรกของกรุงเทพฯอันเป็นห้างญี่ปุ่นที่มีชื่อว่าห้างไทยไดมารูมาเปิดกิจการ ที่เห็นในภาพเป็นภาพถ่ายของสี่แยกราชประสงค์ในยุคต้น

หมายเลข ๑ คือตึกหัวมุมแยกราชประสงค์ ในยุคนั้นเป็นตึกเจ็ดชั้น มีสำนักงานสายการบิน BOAC อันเป็นสายการบินอังกฤษตั้งอยู่ หลังตึกนี้เป็นถนนสายเล็กชื่อว่าถนนเกษร ในถนนเกษรนั้นถือเป็นย่านไฮโซ มีร้านค้าดังหลายร้าน เช่น ร้านลิตเติลโฮมเบเกอรี่ซึ่งเป็นร้านขายอาหารและเบเกอรี่แบบฝรั่ง เมนูดังของร้านนี้คือแพนเค้กราดน้ำเชื่อมเมเปิล ว่ากันว่าอร่อยมาก มีร้านอมรซึ่งเป็นร้านขายของเล่นใหญ่ที่สุดในยุคก่อน ร้านหนังสือเฉลิมนิต และร้านกาแฟแนวไฮโซ ยัปปี้หลายร้าน มีร้านเครื่องแต่งกายสินค้าแฟชั่นล่าสุดนำเข้าจากต่างประเทศ รวมทั้งมีดิสโก้เธคด้วย ปัจจุบันส่วนที่เป็นหมายเลขหนึ่งนี้รวมทั้งถนนเกษรด้านหลังกลายเป็นเกษรพลาซ่า

มองข้ามสี่แยกราชประสงค์ไปจะเห็นอาคารสองชั้น พื้นที่ด้านราชประสงค์ฝั่งหมายเลข ๒ นั้นเป็นดาวน์ทาวน์ตัวจริงของย่านราชประสงค์ โดยเมื่อก่อนด้านนั้นเรียกว่าศูนย์การค้าราชประสงค์ มีห้างไทยไดมารู (ไทยไดมารูไม่ใช่ตึกหมายเลข ๒ ที่เห็นในภาพแต่อยู่ด้านในเข้าไปอีก) ซึ่งเป็นห้างสัญชาติญี่ปุ่นขนาดสี่ชั้นมาเปิดกิจการเมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๕๐๗ และมีบันไดเลื่อนตัวแรกของไทยมาติดตั้งด้วย ว่ากันว่าลูกค้ามาเข้าคิวรอขึ้นบันไดเลื่อนกันยาวเหยียดตลอดทั้งวันเพราะอยากลองของแปลก

บริเวณศูนย์การค้าราชประสงค์ในยุคปลายทศวรรษ ๒๕๐๐ นั้นเป็นศูนย์กลางแฟชั่นและความทันสมัยของกรุงเทพฯ มีร้านฟาสต์ฟูดแห่งแรกของไทยตั้งอยู่หน้าห้างไทยได้มารู นั่นคือ ร้านแฮมเบอร์เกอร์ชื่อวิมปี้ (Wimpy) พื้นที่ศูนย์การค้าราชประสงค์ในยุคนั้นก็คือเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในยุคต่อมาและก็คือเซ็นทรัลเวิลด์ปัจจุบันนั่นเอง

หมายเหตุ ภาพเก่านี้ถ่ายจากริมถนนด้านที่เป็นอมรินทร์พลาซ่าในปัจจุบัน ส่วนภาพปัจจุบันพยายามถ่ายจากตำแหน่งใกล้เคียงกัน แต่ต้องขึ้นไปถ่ายบนสกายวอล์กหน้าอมรินทร์พลาซ่า หากถ่ายที่ริมถนนเช่นกันจะมองไม่เห็นอะไรเนื่องจากทางรถไฟฟ้าและสกายวอล์กบังจนหมด>

Saturday, December 4, 2010

ภาคสี่ ตอนที่ 15

เมื่อไปถึงมหาวิทยาลัย ผมรีบไปที่กลุ่มสามทันที ผมว่าผมไปเช้าแล้วแต่ว่ายังมีคนที่ไปเช้ากว่า ตอนที่ผมไปถึงนั้นที่กลุ่มมีนักศึกษาปีหนึ่งและปีสองแน่นขนัดไปหมด ดอกกล้วยไม้ ถัง กะละมัง วางเต็มไปหมด งานนี้ส่วนใหญ่ให้ปีหนึ่งกับพี่ไปสองไปทำกัน พวกพี่ปีสามและปีสี่มักไม่ค่อยเข้ามายุ่งด้วย คงถือว่าพ้นวัยสำหรับกิจกรรมนี้ไปแล้ว

กลุ่มย่อยไถเงินพี่บัณฑิตของผมมี ๕ คน เป็นชายสาม หญิงสอง ซึ่งก็คือก๊วนเรียนหนังสือของพวกเรานั่นเอง รุ่นพี่จะให้แบ่งกลุ่มย่อยเป็นกลุ่มละ ๔-๕ คน มีทั้งชายและหญิงคละกัน หน้าที่ก็กำหนดกันเอาไว้คร่าวๆคือพวกนักศึกษาชายเอาไว้บูมและอ้อนพี่บัณฑิตที่เป็นหญิง ส่วนนักศึกษาหญิงเอาไว้คอยติดดอกไม้ อ้อนพี่บัณฑิตชาย และคอยเก็บเงินทอนเงิน กลุ่มของเราพอดีมี ๕ คนอยู่แล้วจึงไม่ต้องไปจับกลุ่มกันใหม่ งานนี้เป็นงานที่ไอ้เป้ารอทำเป็นกิจกรรมชิ้นสุดท้าย หลังจากนั้นมันก็จะไม่มาเรียนที่นี่อีกแล้ว

เมื่อพวกเรามากันครบทั้งห้าคนก็รับดอกไม้มาจำนวนหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มออกตระเวนหาพี่บัณฑิตทันที การติดดอกไม้นั้นไม่จำกัดคณะ น้องคณะไหนจะติดให้พี่คณะใดก็ได้แต่ส่วนใหญ่หากเป็นคณะเดียวกันจะได้ค่าดอกไม้ดีกว่าเนื่องจากพี่บัณฑิตส่วนใหญ่ต่างก็คิดคล้ายๆกัน นั่นคือเก็บเงินส่วนหนึ่งเอาไว้อุดหนุนน้องคณะของตนเอง

แม้เวลาจะยังเช้าอยู่แต่ทว่ามหาวิทยาลัยกลับแออัด ทั้งนักศึกษา บัณฑิต และญาติมิตร มากันเต็มไปหมด ร้านขายน้ำกับร้านขายฟิล์มขายดิบขายดีกันตั้งแต่เช้า ภายในมหาวิทยาลัยอนุญาตให้ตั้งโต๊ะขายสินค้าได้เฉพาะเครื่องดื่มกับฟิล์มถ่ายรูปเท่านั้น ส่วนดอกไม้ห้ามตั้งวางจำหน่าย ในยุคนั้นยังเป็นยุคที่ใช้กล้องฟิล์มอยู่ ดังนั้นเรื่องแผงขายฟิล์มจึงเป็นเรื่องจำเป็นเนื่องจากบางคนแม้จะเตรียมฟิล์มมาเองแล้วแต่ก็ยังไม่พอ ยังต้องหาซื้อเพิ่มในระหว่างวันอีก

ตากล้องของบัณฑิตมีอยู่สองแบบ คือตากล้องภาพนิ่งกับตากล้องวีดิโอ ส่วนใหญ่บัณฑิตที่ถ่ายวีดิโอก็มักถ่ายภาพนิ่งด้วย ดังนั้นบัณฑิตที่ถ่ายวีดิโอจึงมักใช้ตากล้องถึงสองคน ตากล้องนี่อาจเป็นญาติหรือเพื่อนมาทำหน้าที่ตากล้องจำเป็นก็ได้ หรือหากหาคนใกล้ตัวไม่ได้จริงๆก็จ้างนักศึกษาที่พอมีฝีมือและต้องการหารายได้พิเศษมาเป็นตากล้องก็ได้ ส่วนที่จ้างตากล้องมืออาชีพจริงๆก็มีแต่ว่าน้อยราย

งานรับปริญญามีทั้งสิ้นสามวัน บัณฑิตคณะเทคโนรับปริญญาในวันแรก พวกชี่คณะเทคโนจึงต้องแต่งชุดขาวและเข้าร่วมพิธีในหอประชุมเพียงในวันแรกเท่านั้น ส่วนงานขายดอกไม้หาเงินเข้ากลุ่มนั้นก็เน้นที่ในวันแรกเป็นหลัก ส่วนวันอื่นๆก็ตามอัธยาศัย ใครยังไม่เหนื่อยก็มาช่วยกันทำดอกไม้และออกไปบูม

กลุ่มของเราหอบดอกไม้แบบกลัดติดเสื้อมาจำนวนหนึ่ง กับแบบเป็นช่ออีกนิดหน่อย จากนั้นเดินออกจากหลังตึกไปยังลานถ่ายรูปหมู่ซึ่งอยู่ใกล้กับคณะศิลปกรรม ลานถ่ายรูปหมู่นี้อยู่ไกลจากคณะเทคโนมาก บัณฑิตทุกคนจะต้องไปชุมนุมกันที่นั่นเพื่อถ่ายรูปหมู่ไปทำหนังสืออนุสรณ์บัณฑิต หากไปดักรอที่นั่นถึงอย่างไรก็ต้องขายดอกไม้ได้แน่ๆ

แต่เพียงแค่เดินออกจากหลังตึกเราก็พบเหยื่อแล้ว

“ติดดอกไม้หน่อยนะคะพี่” แมวร้องทักพี่บัณฑิตชายคนหนึ่งด้วยเสียงอ่อนหวาน หางเปียสะบัดไปมาดูน่ารัก

“เต็มครุยแล้วละน้อง” พี่บัณฑิตบอก พี่คนนี้มีดอกไม้ติดเรียงรายอยู่เต็มเสื้อครุยจริงๆ แถมในมือยังถือช่อกล้วยไม้อีกช่อหนึ่ง

“หนูหาที่แทรกได้ค่ะ” แมวตอบ อ้อนถึงขนาดนี้ใครปฏิเสธก็ใจแข็งแล้ว

หลังจากกลัดดอกไม้เสร็จก็รับทรัพย์มา ๒๐ บาท ส่วนใหญ่ก็จะให้ค่าดอกไม้กันราว ๑๐ บาท ถึง ๒๐ บาท

“ขอบคุณนะคะ” แมวยกมือไหว้หลังจากรับเงิน

“อ้าว แล้วน้องไม้บูมให้พี่หน่อยเหรอ” บัณฑิตทวง “แหม แกล้งทำลืมเชียว”

“ไม่ได้แกล้งทำลืมค่ะ” แมวหัวเราะ แล้วหันมาทางพวกผู้ชายในกลุ่ม “เอ้า หนุ่มๆ บูมหน่อยเร็ว”

หลังจากนั้นพวกเราทั้งห้าคนก็ช่วยกันบูมให้พี่บัณฑิต จากนั้นลูกค้ารายแรกของพวกเราก็เดินจากไป

กว่าเราจะเดินไปถึงลานถ่ายรูปหมู่หรือว่าลานถ่ายรูปหมูก็หาเงินมาได้หลายร้อยบาท ติดดอกไม้ไปได้หลายสิบดอก บูมกันจนเจ็บคอ ตอนที่เดินออกจากคณะนั้นยังหน่อมแน้มอยู่ ไม่ค่อยตื๊อพี่บัณฑิตเท่าไรนัก เวลาบูมก็บูมกันจนสุดเสียงทั้งห้าคน แต่เมื่อเดินไปจนถึงลานถ่ายรูปหมู่พวกเราก็กลายเป็นผู้ชำนาญการ มีการใช้ลูกเล่นในการติดดอกไม้เพื่อให้ซื้อหลายๆดอก รวมทั้งเวลาบูมก็ผลัดกันบูมอีกทั้งยังบูมไม่เต็มเสียงเนื่องจากต้องออมเสียงกับออมแรงเอาไว้จนถึงใกล้เที่ยง

“ดอกไม้เต็มแล้วน้อง” บัณฑิตชายต่างคณะคนหนึ่งที่เราพบที่หน้าคณะศิลปกรรมพูดปฏิเสธเมื่อเราจะเข้าไปติดดอกไม้ให้ที่ชายครุย ครุยนี้มีดอกกล้วยไม้กลัดติดอยู่เต็มไปหมดจริงๆ แต่เป็นดอกกล้วยไม้ที่เหมือนกันหมดซึ่งแสดงว่าติดมาจากที่บ้าน บัณฑิตบางคนต้องการประหยัดมักนิยมใช้มุขนี้ นั่นคือ ติดดอกไม้มาเองจากที่บ้านมาส่วนหนึ่ง แล้วเหลือที่ว่างนิดหน่อยเพื่อให้รุ่นน้องติดให้ที่มหาวิทยาลัย เพื่อจะได้ไม่ต้องจ่ายเงินค่าดอกไม้มากๆ แถมบางคนยังถือช่อดอกไม้มาจากบ้านอีกด้วย

พวกเรามองดอกกล้วยไม้ชนิดเดียวกันที่ติดเรียงรายอยู่เต็มชายครุยแล้วหันมามองหน้ากันเป็นทำนองว่าพี่คนนี้เขี้ยวเหลือเกิน

“ติดให้คุณพ่อคุณแม่ก็ได้ค่ะ” จิ๊บพูดพลางพยักหน้ากับแมวแล้วรีบกลัดดอกไม้ให้แก่คนในครอบครัวที่มากับพี่คนนี้ เพิ่งติดไปได้ดอกเดียวพี่ก็บอกให้พอ

“พอแล้วๆน้อง” พี่บัณฑิตพูดพลางควักแบงค์ใบละห้าสิบบาทออกมาจากกระเป๋ากางเกง ยุคนั้นมีแบงค์ใบละห้าสิบบาทแล้ว เพิ่งออกใช้ได้ไม่กี่ปี ผมยืนอยู่ใกล้ที่สุดจึงเป็นคนรับแบงค์มาถือเอาไว้

“จะให้ทอนเท่าไรดีครับพี่” ผมถาม หมายถึงว่าพี่จะให้ค่าดอกไม้เท่าไร

“เงินทอนไม่มีเลยครับพี่” ไอ้เป้ารีบพูดพลางเอามือสะกิดให้ผมหยุดพูด

“อ้าว น้องคนนี้บอกว่ามีทอน” พี่บัณฑิตมองมาทางผม

“มันไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกครับ เงินทอนไม่มีเลย ไม่ต้องทอนนะครับ ถือว่าช่วยน้องๆ” เป้าพูดเองเออเองแบบมัดมือชก “ติดเพิ่มไปอีกดอกหนึ่งก็ได้พี่”

พี่บัณฑิตเจอมุขของไอ้เป้าถึงกับอึ้ง เป็นอันว่าแบงค์ห้าสิบบาทใบนั้นจึงไม่ได้เงินทอน หลังจากที่แยกจากพี่คนนั้นแล้ว พวกเราก็หัวเราะกันอย่างครื้นเครง

“อยากเขี้ยวนัก ต้องใช้แบบนี้” เป้าหัวเราะ

ในตอนนั้นพวกเรายังไม่ได้หาเงินใช้เอง วิธีการมองโลกของพวกเราก็เป็นแบบหนึ่ง แต่มาในวันนี้เมื่อมองย้อนไปก็คิดต่างออกไปจากเดิม คนเรามีกำลังทรัพย์ไม่เท่ากัน พี่คนนั้นอาจไม่ได้เขี้ยวแต่มีความจำเป็นก็เป็นได้

เรานึกว่าขุมทรัพย์ของพวกเราจะอยู่ที่อัฒจรรย์ถ่ายรูปหมู่ แต่ว่าเมื่อไปถึงจริงๆปรากฏว่าคนเยอะมาก พี่บัณฑิตมัวแต่ห่วงเรื่องเข้าคิวถ่ายรูปหมู่จนไม่มีเวลามาฟังน้องๆบูม อีกทั้งตอนถ่ายรูปหมู่นี่ต้องถอดเอาดอกไม้ที่ติดอยู่ที่เสื้อครุยออก จึงไม่เหมาะที่จะติดดอกไม้ พวกเราจึงเดินติดดอกไม้เรื่อยๆในบริเวณสนามหญ้าหน้าเสาธงซึ่งเป็นพื้นที่ถ่ายรูปยอดนิยม

จนสายๆ พวกเราก็บูมกันจนเสียงแหบและคอระบมไปหมด หาเงินมาได้พันกว่าบาท วันนั้นเป็นวันหนึ่งที่ประทับอยู่ในความทรงจำของผม เป็นวันที่พวเราสนุกมากและเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมหาเงินได้ด้วยความสามารถของตนเอง จนถึงประมาณ ๑๑ โมงพวกเราก็เลิกบูมและไปกินอาหารเที่ยง เนื่องจากต้องเตรียมตัวเข้าหอประชุมในภาคบ่าย

หลังจากที่กินอาหารกันเสร็จ พวกชี่ก็ต้องไปตั้งแถวเตรียมตัวเข้าหอประชุมใหญ่เพื่อร่วมในพิธีรับปริญญา พวกปีหนึ่งตั้งแถวกันอยู่ทางด้านหนึ่ง พวกพี่บัณฑิตก็ตั้งแถวกันอยู่อีกด้านหนึ่ง เห็นบัณฑิตในชุดครุยสีขาวสะอาดตาแล้วผมก็อดนึกวาดภาพของตนเองไม่ได้ อีกเพียงไม่กี่ปีผมก็คงจะมีโอกาสแบบนี้บ้าง เรียนจบแล้วก็มีงานดีๆทำ เงินเดือนดีๆ แค่นี้ก็คงถือว่าประสบความสำเร็จในชีวิตได้แล้วกระมัง...

- - -

กว่าที่พวกเราจะออกจากหอประชุมก็เป็นเวลาห้าโมงเย็นแล้ว งานพิธีผ่านไปอย่างน่าประทับใจแม้ว่าผมจะหลับขณะอยู่ในหอประชุมไปหลายครั้งก็ตาม หลังจากที่เสร็จพิธีพวกเราทั้งห้าคนก็มาพบกันที่ข้างหอประชุม

“เฮ้ย ทุกคน พวกเราคงเจอกันเป็นวันสุดท้ายแล้วนะ” เป้าพูดขึ้น “ต่อไปคงไม่ได้มาที่นี่อีกแล้วล่ะ วันนี้สนุกมาก...” พูดได้เพียงแค่นี้เป้าก็หยุดพูดแล้วทำตาแดงๆ

“ไม่แน่หรอก วันเดินทางพวกเราอาจจะไปส่งที่สนามบิน ถ้าไปก็ได้เจอกันอีก” ชาญพูด

“ไม่ต้องลำบากหรอก ถ้าเราไปเที่ยวบินดึกมากหรือเช้ามากพวกนายก็คงไม่สะดวก ถ้าเป็นสายๆพวกนายก็ติดเรียนอีก ถือว่าลากันตอนนี้เลยก็แล้วกัน” เป้าพูด

เมื่อเป้าพูดถึงวันสุดท้ายและเที่ยวบินเช้า จู่ๆผมก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมา เมื่อหลายปีมาแล้วผมก็เคยไปที่สนามบินดอนเมืองมาครั้งหนึ่ง วันนั้นเป็นวันที่ฝนตกและรถติดมาก...

ผมแหงนหน้าดูท้องฟ้า เห็นท้องฟ้าในยามเย็นหม่นครึ้ม บรรยากาศราวกับยามโพล้เพล้ ลมพัดแรงคล้ายกับฝนใกล้จะตก... ผมอดรู้สึกใจหายไม่ได้ การอำลาของเป้าทำให้ผมเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก

“ขอจับมือหน่อย ถึงเราจะรู้จักกันเพียงเดือนกว่าสองเดือนแต่เรากลับรู้สึกเหมือนกับว่าเป็นเพื่อนกันมานาน” เป้าพูด พร้อมกับจับมือพวกพวกเราไปกุมเอาไว้ทีละคนเป็นการอำลา “เขียนจดหมายคุยกันบ้างนะ หวังว่าพวกเราคงมีโอกาสได้พบกันอีก”

ผมกุมมือเป้าเอาไว้ บีบจนแน่นอย่างลืมตัวเหมือนกับจะชดเชยความรู้สึกให้แก่ตนเอง...

“โชคดีนะเพื่อน... ขอให้โชคดี... ดูแล...” ผมพูด ประโยคท้ายๆราวกับพึมพำกับตนเอง

“ว่าอะไรนะไอ้อู” เป้าถาม “ดูแลอะไร”

“เอ้อ... ไม่มีอะไร” ผมตอบ

- - -

ดึกแล้ว...

วันนี้ผมกลับมาถึงหอพักในตอนค่ำ หลังจากที่เหนื่อยมาทั้งวัน เมื่อกลับมาถึงหอพักผมก็อาบน้ำและเข้านอนเลยเนื่องจากยังเหลืองานรับปริญญาอีกสองวัน ต้องพยายามนอนออมแรงเอาไว้ ราวๆตีสามผมก็ตื่นขึ้นมาและหลังจากนั้นก็นอนไม่หลับ จึงขึ้นมาเดินเล่นที่ดาดฟ้า

ท้องฟ้ายามกลางเดือนกรกฎาคมวันนั้นไร้ดวงดาวเนื่องจากเมฆฝนบดบังเอาไว้ สายลมที่พัดผ่านหอบเอากลิ่นไอฝนมาด้วย การร่ำลาเมื่อตอนเย็นยังทำให้ผมหดหู่ใจอยู่ไม่คลาย...

ผมเดินไปที่ต้นกุหลาบ ใต้แสงไฟที่สาดส่อง ผมเห็นกิ่งของต้นกุหลาบมอญกลายเป็นสีดำเกือบหมดทั้งต้น เดิมเป็นสีดำเพียงกิ่งใหญ่กิ่งเดียว แต่หลังจากนั้นอาการกิ่งดำก็ลุกลามทุกวัน จนมาวันนี้ต้นกุหลาบกลายเป็นสีดำเมื่อมเกือบทั้งต้น ส่วนใบนั้นไม่ต้องพูดถึง ไม่มีเหลืออยู่เลยแม้แต่ใบเดียว ผมดูกุหลาบมอญด้วยความรู้สึกเลื่อนลอย

“นี่ห่วงกุหลาบจนต้องมาเฝ้าดูดึกๆดื่นๆเลยเหรอ” ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นที่ข้างหลัง เป็นเสียงของพี่ธิตนั่นเอง ไม่รู้ว่าพี่ธิตออกมาจากห้องตั้งแต่เมื่อไร ผมคงใจลอยจนไม่ได้ยินเสียงประตู

“ผมนอนไม่หลับน่ะครับ เลยขึ้นมาเดินเล่น” ผมตอบ

“คงไม่รอดแล้วละอู” พี่ธิตพูด

“ครับพี่” ผมรับคำ ที่จริงผมก็รู้มาหลายวันแล้วว่ากุหลาบมอญต้นนี้ในที่สุดก็คงไม่รอด แต่ก็ยังมีความหวังว่ามันอาจแข็งแรงพอที่จะกลับฟื้นขึ้นมาได้ และในที่สุดผมก็ต้องยอมรับว่าความหวังเช่นนั้นก็เหมือนกับหวังให้เกิดปาฏิหาริย์ขึ้น

“เอาไปทิ้งได้แล้ว” พี่ธิตพูดอีก

“ยังหรอกครับ ดูไปอีกสักนิด” ผมตอบ แม้รู้ว่าปาฏิหาริย์คงไม่เกิดขึ้นกับผมแต่ผมก็ยังตัดใจไม่ลง

“เฮ้ย อู เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมซึมไปเลย” พี่ธิตพูดพลางมองผมอย่างพินิจพิเคราะห์เหมือนกับจะหาความผิดปกติอะไรบางอย่างในตัวผม “มันก็แค่กุหลาบตายไปต้นหนึ่ง จะไปคิดอะไรมาก ปลูกใหม่ก็ได้”

“สองต้นแล้วครับพี่” ผมตอบ “คงไม่เลี้ยงอีกแล้วละครับ”

สำหรับผม กุหลาบมอญสองต้นนี้ไม่ได้เป็นพียงแค่กุหลาบ แต่ลึกๆแล้วมันเหมือนกับเป็นสัญลักษณ์ของอะไรบางอย่างที่ผมเองก็บอกไม่ถูก ผมรู้แต่ว่าในยามที่ผมเหงาและผิดหวัง ผมเอาความหวังในใจของผมมาทุ่มเทให้กับกุหลาบทั้งสองต้นนี้จนหมดสิ้น...

- - -

งานรับปริญญาในวันที่สองสำหรับชี่คณะเทคโนแล้วก็ไม่มีอะไรมาก การขายดอกไม้ไม่ค่อยดีนักเนื่องจากไม่มีพี่บัณฑิตคณะเทคโนมาคอยอุดหนุน ตอนบ่ายก็ไม่ต้องเข้าหอประชุม งานในวันนี้ของพวกเราจึงสบายกว่าเมื่อวานมาก ทีมของเราเหลือเพียง ๔ คนเนื่องจากเป้าไม่มาแล้ว เวลาออกไปติดดอกไม้และบูมอดรู้สึกเหมือนกับขาดอะไรไปไม่ได้ พวกเราเดินกันไปก็บ่นถึงเป้ากันไป

“คิดถึงไอ้หน้าปักเป้าจัง” จิ๊บพูด

“เรายังอยู่นะ แถมยังหล่อกว่ามันด้วย” ชาญพูดพลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “สนใจเราแทนก็ได้”

“บ้าแล้ว ใครบอกว่าเราสนใจไอ้เป้ามัน” จิ๊บรีบปฏิเสธ “อย่างนายก็หล่อไม่พอ เรายังไม่สนหรอก”

“เฮอะ อย่าให้รู้นะว่าแอบชอบเรา” ชาญพูด พลางเหลือบมองมาทางผมแว่บหนึ่ง มันเป็นเพียงแว่บเล็กๆที่แทบไม่มีใครสังเกต...

“เออ สองคู่พอดี จีบกันเองก็ดีเหมือนกัน” ผมปล่อยมุขไปเรื่อยเปื่อย

“เออ. ความคิดไอ้อูนี่เข้าท่าดีว่ะ” ชาญเห็นด้วย

“โอ๊ย ผู้ชายติงต๊อง ไม่เอาหรอก เราไปหาที่อื่นดีกว่า” แมวรีบปฏิเสธ

พวกเราติดดอกไม้กันจนประมาณ ๑๑ โมงก็ต้องเลิกเนื่องจากบัณฑิตต้องเตรียมตัวเข้าหอประชุม ช่วงเที่ยงจนถึงบ่ายพวกเราจึงไม่มีอะไรทำ แมวกับจิ๊บขอตัวกลับเนื่องจากเห็นว่าไม่มีอะไรให้ช่วยแล้วจึงอยากกลับไปพักผ่อน ส่วนผมกับชาญนั่งเคว้งอยู่ที่กลุ่ม ผมกลับหอไปตอนนี้ก็ไม่มีอะไรทำ แต่ถึงอยู่ที่คณะก็ไม่มีอะไรทำเหมือนกัน

“เฮ้ย อู ไอ้เวิลด์เทรดนี่มันเป็นยังไง สวยไหม” จู่ๆชาญก็ถามขึ้นมา

เวิลด์เทรดที่ชาญพูดถึงคือเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ซึ่งก็คือเซ็นทรัลเวิลด์ ราชประสงค์ ในปัจจุบันนั่นเอง ในยุคนั้นยังเรียกว่าเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ศูนย์การค้านี้อยู่ในย่านราชประสงค์ซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของแฟชั่นและวัยรุ่นคนหนุ่มสาวหรือว่าเป็นดาวน์ทาวน์ของกรุงเทพฯมาช่วงหนึ่งอันเป็นยุคที่ต่อมาจากยุควังบูรพา ต่อมาเมื่อวันเวลาเปลี่ยนไป ยุคของราชประสงค์ก็โรยราไปและเข้าสู่ยุคสยามสแควร์ ต่อมาเมื่อสยามสแควร์เริ่มแออัดจึงมีกลุ่มธุรกิจที่พยายามดึงความเจริญของสยามสแควร์ให้กลับมาชุบชีวิตราชประสงค์อีกครั้งหนึ่ง จึงเป็นที่มาของการนำพื้นที่ย่านราชประสงค์ด้านวังเพชรบูรณ์เดิมมาสร้างเป็นศูนย์การค้าใหญ่ ศูนย์การค้าเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์นี้ใช้เวลาก่อสร้างอยู่หลายปีและเพิ่งเปิดให้บริการส่วนหนึ่งเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมานี้เอง ผมเองไม่ค่อยชอบเดินตามห้างนัก แม้แต่มาบุญครองก็ยังไม่ค่อยได้ไปเดิน ส่วนใหญ่ชอบเดินเล่นอยู่ในสยามสแควร์มากกว่า ดังนั้นตั้งแต่เวิลด์เทรดเปิดผมจึงยังไม่ได้มาเดินเที่ยวสักที ส่วนพวกผู้หญิงนั้นมาเดินกันคนละหลายๆครั้งแล้ว โดยเฉพาะแมวกับจิ๊บ

“ยังไม่เคยไปเลย” ผมตอบ

“ทำไมเชยยังงี้วะ” ไอ้ชาญพูดด้วยน้ำเสียงตำหนิ ซึ่งมันก็จริง ขอบโลกด้านหนึ่งของผมไปจรดเพียงแค่สยามสแควร์เท่านั้น ไกลออกไปกว่านั้นแทบไม่เคยไปเอาเลย

“แล้วนายไปมาแล้วหรือไง” ผมถาม

“ก็ยังน่ะสิ” ชาญตอบพลางทำหน้าทะเล้น “วันนี้ว่างๆ ลองไปเดินเล่นที่เวิลด์เทรดกันไหม”

“เออ ก็ดีเหมือนกัน” ผมตอบ ลองไปเดินเล่นฆ่าเวลาก็ดีเหมือนกัน

- - -

เราสองคนมาที่เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในช่วงบ่ายโดยนั่งรถเมล์สาย ๔๐ มาลงที่หน้าวัดปทุมวนาราม จากนั้นก็เดินต่ออีกเล็กน้อยก็มาถึงสี่แยกราชประสงค์

สี่แยกราชประสงค์ในตอนนั้นแตกต่างจากในยุคนี้มากทีเดียว ด้านโรงพยาบาลตำรวจก็ยังไม่มีตึกสูงที่มุมถนนเช่นในวันนี้ ส่วนด้านโรงแรมแกรนด์ไฮแอท เอราวัณนั้นเมื่อตอนนั้นเป็นโรงแรมชื่อเอราวัณอันเป็นโรงแรมรัฐวิสาหกิจเก่าแก่ โรงแรมเอราวัณปิดตัวไปในปีที่เวิลด์เทรดเปิดนั่นเอง หลังจากนั้นมีการรื้อและก่อสร้างใหม่ กลายเป็นโรงแรมเช่นในปัจจุบัน

ทางด้านตรงข้ามกับเวิลด์เทรดเมื่อก่อนเป็นอาคารพาณิชย์และถนนสายเล็กๆอยู่ตรงมุมถนนเลย เรียกว่าถนนเกษร ซึ่งปัจจุบันเป็นเกษรพลาซ่า ถัดจากถนนเกษรเป็นเดอะมอลล์ราชดำริ (ต่อมาเป็นร้านนารายณ์ภัณฑ์และปัจจุบันเป็นที่ว่างซึ่งกำลังมีการก่อสร้างอยู่ข้างโรงแรมอโนมา) ถัดจากเดอะมอลล์มาเป็นสหกรณ์กรุงเทพ (ปัจจุบันเป็นโรงแรมอโนมา) และถัดจากสหกรณ์กรุงเทพเป็นราชดำริอาเขต ห้างไทยไดมารู (ปัจจุบันคือห้างบิ๊กซีราชดำริ) และถัดจากนั้นไปก็เป็นห้างโรบินสันราชดำริซึ่งอยู่ในซอย (ปัจจุบันเป็นร้านขายเครื่องเสียง)

เวิลด์เทรดในวันนั้นเป็นตึกที่มีรูปลักษณ์แตกต่างไปจากในวันนี้ หัวมุมด้านสี่แยกราชประสงค์เป็นห้างญี่ปุ่นชื่อเซน หัวมุมด้านคลองแสนแสบเป็นห้างญี่ปุ่นเช่นกันชื่ออิเซตัน ตรงกลางเป็นช้อปปิ้งพลาซ่าขนาดใหญ่

ชาญกับผมเดินจากป้ายรถเมล์หน้าวัดปทุมมาจนถึงสี่แยกราชประสงค์ เห็นหัวมุมสี่แยกมีป้ายหินแกรนิตขนาดใหญ่สลักอักษร World Trade Center WTC ขนาดใหญ่เอาไว้ พวกเราจึงเดินเข้าไปตรงทางเข้าด้านเซน

“โห ใหญ่ฉิบหายเลย” ชาญอุทานเมื่อเห็นสภาพภายใน ผมเองก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจเหมือนกัน เวิลด์เทรดในวันนั้นมีผู้คนเดินกันขวักไขว่ ส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นและคนหนุ่มสาวทั้งในชุดทำงานและชุดนักเรียนนักศึกษา

“ใหญ่กว่าภูเขาหน้าบ้านนายหรือเปล่าวะ” ผมอดเหน็บมันไม่ได้

“ใหญ่พอๆกันเลยโว้ย” ชาญหัวเราะและรับมุขของผมอย่างอารมณ์ดี

เราเดินชมร้านรวงและข้าวของเครื่องใช้ต่างๆไปเรื่อยๆ อากาศภายในตึกเย็นสบายทำให้รู้สึกน่าเดิน แต่เนื่องจากอาคารมีขนาดใหญ่มากอีกทั้งมีทางเดินและชุดเชื่อมต่างๆมากมายไปหมด เดินไปนานๆเข้าในที่สุดเราก็หลงจนจำทิศทางไม่ได้ ตรงนั้นเป็นส่วนที่คนเดินกันน้อยมากเพราะมีร้านค้าค่อนข้างน้อย

“นี่มันตรงไหนกันละเนี่ย” ผมถามชาญอย่างงงๆ “แล้วจะออกไปป้ายรถเมล์ได้ยังไง”

“นั่นดิ งงเหมือนกันวุ้ย” ชาญตอบ “จะกลับแล้วเหรอ”

“เมื่อยแล้วว่ะ” ผมพยักหน้า

“เฮ่ย เดินอีกหน่อยน่า ยังไม่หมดทุกชั้นเลย” ชาญตอบ พลางคว้ามือผมในลักษณะกึ่งลากกึ่งจูงเพื่อให้ผมเดินต่อ ผมนึกอยากแกล้งมันจึงจับมือมันและรั้งเอาไว้ ชาญก็พยายามออกแรงทั้งลากทั้งจูงผม

“ไอ้อู หนักนะโว้ย อย่าขืนสิ” ชาญหัวเราะ

ผมปล่อยให้มันจูงผมไปได้เพียงครู่เดียวก็เห็นคนเดินเลี้ยวออกมาจากร้านค้าหัวมุมทางเดิน เป็นนักเรียนชายหญิงสองคน ผมและชาญปะเข้ากับนักเรียนสองคนนั้นที่หัวมุมทางเดินพอดี

นักเรียนชายหญิงคู่นั้นเดินใกล้ชิดกันอย่างสนิทสนม ทั้งคู่อยู่ในชุดกางเกงและกระโปรงนักเรียนสีดำ ที่อกเสื้อติดเข็มพระเกี้ยวโดยไม่ปักชื่อโรงเรียน เมื่อเห็นใบหน้าชัดผมก็ต้องตกใจและรีบสลัดมือชาญออกไปทันที...



<ประเพณีในวันรับปริญญา นักศึกษาปีหนึ่งจะใส่ชุดขาวและมาร้องเพลงบูมให้พี่บัณฑิตฟัง พร้อมกับติดดอกไม้ให้ที่เสื้อครุยหรือที่เสื้อของญาติมิตรของบัณฑิต บัณฑิตก็จะให้เงินมาเป็นค่าดอกไม้เพื่อนำไปใช้เป็นเงินสวัสดิการของกลุ่ม ดอกไม้กลัดเสื้อดอกหนึ่งมักอยู่ในราว ๑๐-๒๐ บาท หากเป็นช่อก็ มักจะ ๕๐ บาทขึ้นไป รวมทั้งขึ้นอยู่กับความพอใจด้วย หากบูมถูกใจก็อาจให้มากกว่านี้ ปัจจุบันประเพณีขายดอกไม้นี้ถูกยกเลิกไปเนื่องจากเห็นว่าเป็นการเบียดเบียนบัณฑิตที่แต่ละคนอาจมีภาระและความจำเป็นต่างๆกัน ปัจจุบันมีเพียงการติดดอกไม้แสดงความยินดีและบูมให้โดยไม่มีการขายดอกไม้หรือรับสินน้ำใจ>


<การแต่งกายของวัยรุ่นในยุคนั้น กางเกงขามอสขาเดฟหมดสมัยไปแล้ว กางเกงที่นิยมกันมักเป็นกางเกงยีนหรือสแล็กทรงกระบอกธรรมดานี่เอง>

Sunday, November 21, 2010

ภาคสี่ ตอนที่ 14

“เฮ้ย พวกมึงเป็นไงกันบ้าง โห ของกูสุดยอดเลย เสียดายไม่ยอมให้เบิ้ล” เพื่อนๆคุยกันหลังจากที่แต่ละคนทยอยกันเสร็จกิจและออกมานั่งรอที่ด้านนอก ถ้าเป็นภาษาสมัยนี้ก็ต้องบอกว่าสุโค่ย บางคนก็บรรยายถึงความประทับใจในการขึ้นครูเป็นครั้งแรก บางคนขี้อายหน่อยก็เงียบๆ ผมเองก็ออกมารอด้วยแต่ว่ายืนเงียบๆไม่ได้คุยอะไร

“เฮ้ย เป็นไงไอ้อู” ไอ้เป้าถามผมหลังจากที่เดินมาสมทบ

“ฮื่อ” ผมตอบสั้นๆ

สักครู่พี่แต้มพี่ต่อก็เข้ามา เมื่อพวกเรามากันครบก็เตรียมตัวกลับ

“ไอ้อู เป็นไง” พี่ต่อถาม ทำสีหน้ายู่ยี่เหมือนกระดาษชำระที่ใช้แล้วและถูกขยำ

“ก็ดีครับพี่” ผมตอบอ้อมแอ้ม

“เอ็งเข้าไปหลับในห้อง มันจะดียังไงวะ” พี่ต่อถามอีกด้วยน้ำเสียงที่ขุ่นเคือง

เพื่อนๆหยุดคุย หันมาสนใจการสนทนาของผมกับพี่ต่อทันที

“พี่รู้ได้ไง” ผมถาม รู้สึกตกใจอยู่เหมือนกัน ไม่คิดว่าจะมีใครรู้เรื่องบนเตียงของผม

“ก็พี่ไปถามพวกสาวๆดูว่าบริการพวกน้องๆดีหรือเปล่า ถามไปถามมาก็เลยรู้ว่าเอ็งเข้าไปหลับในห้อง” พี่ต่อพูด พวกเพื่อนๆฮากันครืน

“ผมเมาน่ะครับ จะอ้วกด้วย เลยขอพัก แล้วก็หลับไปเลย” ผมอ้อมแอ้ม

“เค้าบอกว่าเอ็งแกล้งเมานะไอ้อู พี่ก็ว่ายังงั้น ตอร์ปิโดแก้วเดียวเอ็งจะเมาจนถึงเช้าเลยหรือไง โฮ้ย เสียดายเงินว่ะ คนหนึ่งตั้งหลายร้อย อุตส่าห์ตั้งใจเลี้ยง กลัวบริการไม่ดีพี่ก็เลือกคนให้อีก เสือกไม่เห็นค่า ตกลงเอ็งเป็นอะไรกันแน่วะ ทำไมต้องแกล้งเมา” พี่ต่อคาดคั้น

“เมาจริงๆพี่ ผมเมาง่าย กินนิดเดียวก็แย่แล้ว ปกติไม่ค่อยได้กินเหล้า” ผมยืนกระต่ายขาเดียวว่าเมา

พี่แต้มเข้ามาไกล่เกลี่ย บอกให้พากันแยกย้ายกลับบ้าน ส่วนพี่ต่อยังบ่นอุบอิบต่อไปอีกเล็กน้อยด้วยความเสียดายเงิน

หลังจากที่พวกเราออกมาจากบ้านหลังนั้น ต่างคนก็แยกย้ายกันกลับ ตอนนั้นเป็นเวลาหลังเที่ยงคืนแล้ว รถเมล์ไม่ค่อยมี จึงนั่งแท็กซี่กลับหอ เมื่อไปถึงหอก็พบว่าประตูหอปิดไปแล้วเสียอีก ต้องกดออดเรียกพี่พรให้มาเปิดประตู

“เดี๋ยวนี้เรียนมหาลัยภาคค่ำเหรอน้องอู” พี่พรประชดขณะที่มือก็ไขแม่กุญแจเพื่อเปิดประตูเหล็ก “ตั้งแต่เรียนมหาลัยนี่กลับดึกๆดื่นๆทุกวัน”

“เรียนภาคกลางวันนี่แหละครับ” ผมตอบ ไม่กล้าเกรียนกับพี่พรเพราะรู้ว่าพี่พรหวังดี ปกติมักคอยสอดส่องดูแลและตักเตือนเรื่องความประพฤติให้แก่เด็กนักเรียนที่อยู่ในหอเสมอ อีกอย่างคือกลัวพี่พรเอาไปบอกแม่ด้วย “แต่ว่ามีกิจกรรมเยอะครับ ไหนจะซ้อมเชียร์ แข่งกีฬา แล้วยังงานรับน้องอีก”

“ดีนะที่ไม่เมาหามกลับมา” พี่พรพูดดักคอเหมือนจะรู้ทัน

- - -

เช้าวันจันทร์ถัดมา

วิชาแรกของเช้าวันจันทร์เป็นวิชาเคมี เมื่อผมเดินเข้าไปในห้องเรียนเคมีก็ไปหาที่นั่งหลังชั้น เพื่อนร่วมกลุ่มสามที่เป็นชายที่นั่งอยู่ก่อนแล้วเมื่อเห็นผมก็หัวเราะขำ

“เฮ้ย ไอ้อูล่มปากอ่าวมาแล้วโว้ย” เสียงพูดลอยๆแว่วมาให้พอได้ยิน

ผมชะงัก แต่ก็ทำเนียนเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากนั้นก็เดินเข้าไปทักทายเพื่อนๆ

“เฮ้ย มันไม่ได้ล่มปากอ่าว ปากอ่าวยังไม่ทันเห็นเลยมันก็หลับเสียก่อน” อีกคนรับมุข ทั้งกลุ่มหัวเราะกันสนุก

“เฮ้ย ไอ้อู มีคนเค้าบอกว่ามึงหลับคาปากหม้อเลยเหรอ” อีกคนหนึ่งแซว

“เฮ้ย วันนั้นเมาหนักไปหน่อย” ผมกลบเกลื่อน “เสียดายของเหมือนกัน”

“หรือว่ามันเป็นโฮโมไม่ชอบผู้หญิงวะ” อีกคนพูด เพื่อนๆหัวเราะกันใหญ่

ผมเย็นวาบไปทั้งตัว อยากรู้เหมือนกันว่าสีหน้าของตนเองในตอนนั้นเป็นอย่างไร

“เออ ระวังกูบอกรักมึงก็แล้วกัน” ผมพูด รับมุขตามน้ำไปเลยเนื่องจากผมคิดว่าหากพยายามเฉไฉจะยิ่งกลายเป็นพิรุธ

พวกเพื่อนๆหัวเราะกัน ผมก็หัวเราะไปด้วย แต่ในใจกลับไม่ได้รู้สึกขำหรือว่าสนุกไปด้วยเลย ผมเริ่มเบื่อที่จะต้องเก็บงำความรู้สึกที่แท้จริงของตนเองเอาไว้เป็นความลับ หลายปีมานี้ผมต้องแกล้งทำเป็นเนียนซึ่งก็ไม่รู้ว่าเนียนพอหรือไม่ พร้อมกับต้องคอยระวังไม่ให้ใครมาขุดคุ้ยรสนิยมส่วนตัวของผม แต่เพื่อนๆก็มักชอบเข้ามาขุดคุ้ยอยู่เสมออย่างเช่นในตอนนี้ ผมอยากมีทางเลือกที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้เหลือเกิน...

- - -

ในวิชาฟิสิกส์ หมู่เรียนที่ผมมานั่งเรียนอยู่นี้มีคนเรียนน้อยมาก นักศึกษาเกือบทั้งคณะแห่กันไปเรียนอีกหมู่หนึ่งกัน ห้องเรียนที่ผมนั่งอยู่นี้จึงว่างโล่ง นั่งเหยียดขาได้ตามสบาย

ผมเลือกที่นั่งที่ห่างเพื่อนๆเพื่อจะได้นั่งคนเดียวอย่างสบายๆ ทันใดนั้นเอง ก่อนที่ชั้นเรียนจะเริ่มขึ้น ผมก็รู้สึกว่ามีคนมานั่งข้างๆผม... ชาญนั่นเอง

“เฮ้ย มาได้ไงวะ” ผมถาม

“ก็เดินเข้ามาทางประตูนี่แหละ” ชาญตอบ

“ไอ้เปรต หมายถึงทำไมมาเรียนหมู่นี้ ไม่เรียนกับพวกยายแมวเหมือนเคย” คำตอบของมันทำให้ผมรู้สึกอยากเตะมันขึ้นมา

“ก็อยากลองเรียนห้องนี้ดูบ้างน่ะ” ชาญตอบ พลางเพ่งสายตามาที่กองหนังสือเรียนของผมที่วางอยู่บนโต๊ะ “เฮ้ย อู นายเปลี่ยนหนังสือเรียนใหม่หมดเลยเหรอ แคลคูลัส ฟิสิกส์ เคมี ซื้อใหม่ทั้งนั้นเลย เปลี่ยนตั้งแต่เมื่อไรวะ ไม่ทันได้สังเกต แล้วของเดิมไปไหนเสียล่ะ”

“เอ้อ... เอ้อ...” ผมไม่นึกว่าจะเจอคำถามกะหันหันเช่นนี้ “มันหายไปน่ะ นึกไม่ออกว่าไปลืมเอาไว้ที่ไหน เลยไปซื้อมาใหม่”

“หาย” ชาญทวนคำ “หายยังไงวะ งงวุ้ย แล้วสมุดไม่หายเหรอ”

“ไม่หรอก สมุดยังอยู่” ผมตอบ แล้วก็รีบเปลี่ยนเรื่อง “เกิดอะไรขึ้นถึงได้ย้ายมาเรียนห้องนี้วะ ห้องโน้นหาที่นั่งไม่ได้หรือไง”

“เฮ้ย ไอ้อู เมื่อวันศุกร์เป็นไงบ้าง” ชาญไม่ตอบคำถามผม เอาแต่ตั้งคำถามในเรื่องที่มันอยากรู้

“ก็เมาน่ะ” ผมตอบสั้นๆ

“แล้วตอนอยู่ในห้องทำอะไรไปบ้างวะ” ชาญถามเซ้าซี้ไม่เลิก

“อยากรู้ทำไมไม่ไปด้วยกันล่ะ” ผมชักรำคาญ

“ไม่เอาโว้ย กลัวติดโรค พ่อด่าตายห่า” ชาญหัวเราะ เหตุผลของมันง่ายๆแต่ก็ฟังดูดี ทำไมผมจึงนึกเหตุผลนี้ไม่ได้ตั้งแต่แรกนะ จะได้ไม่ต้องยุ่งยากวุ่นวายขนาดนี้

“แต่ก็อยากรู้ว่ะ เล่าหน่อยดิ นะนะ ก่อนหลับทำอะไรไปบ้าง” ชาญอ้อน แต่คำว่าก่อนหลับทำให้ผมเคืองขึ้นมา คิดว่ามันกำลังล้อเลียนผมอยู่

“ไม่เล่าโว้ย เรื่องในมุ้ง อยากรู้ไปเองสิ” ผมตัดบท

เห็นชาญหน้าจ๋อยไป หลังจากนั้นชั้นเรียนก็เริ่มขึ้น ชาญนั่งเรียนเงียบๆไม่เซ้าซี้ผมอีกเลย จนจบคาบ หลังจากที่กำลังจะลุกจากที่นั่ง ชาญก็พูดกับผม

“เย็นนี้เรามีซ้อมวอลเลย์ นายไปนั่งเป็นเพื่อนเราหน่อยนะ”

“ไม่ล่ะ จะกลับบ้าน วันนี้ขี้เกียจอยู่เย็น” ผมตอบ รู้สึกเซ็งขึ้นมาจึงปฏิเสธไป

“ไปหน่อยน่า อยากมีเพื่อนคอยเชียร์น่ะ” ชาญอ้อนอีก

“ไปชวนคนอื่นสิ ชวนเจตก็ได้ รายนั้นชอบเล่นวอลเลย์อยู่แล้ว” ผมบอกปัดอีก

สีหน้าของชาญเปลี่ยนไป กลายเป็นจ๋อยสนิท ชาญไม่พูดอะไรอีก จากนั้นเราสองคนจึงลุกจากที่นั่งและเดินออกจากห้องเรียนไป

- - -

ตลอดทั้งวัน เพื่อนๆเอาเรื่องเมื่อวันศุกร์ไปล้อกันเป็นเรื่องขำ ต้นตอของข่าวก็เป็นพวกเพื่อนๆที่ไปด้วยกันในวันนั้นนั่นเอง แม้แต่เพื่อนสาวบางคนที่สนิทกันยังกล้าแซวผม ชื่อเสียงของผมโด่งดังอย่างรวดเร็วในกลุ่มสาม แต่ไม่ได้ดังในพวกเรียนดีกีฬาเด่น ไปดังในประเภทขบขันแทน เพื่อนๆมักแซวผมว่าอูล่มปากอ่าว กับอูหลับปากหม้อ ฟังดูคล้ายๆชื่อของกิน อย่างหลังดูเหมือนจะติดปากเพื่อนๆมากกว่าเนื่องจากหลายคนยังจำเรื่องที่ผมหลับในวิชาเคมีในวันเปิดภาคเรียนได้ เรื่องผมกับการหลับจึงดูเป็นของคู่กัน

น่าแปลกที่ชาญไม่ได้ไปในวันนั้นแต่กลับถูกแซวเพียงนิดหน่อยว่าเป็นลูกแหง่ยังต้องกินนม ส่วนผมนั้นกลับโดนแซวอย่างหนัก เพื่อนๆคงล้อเล่นขำๆตามประสาเพื่อนฝูง แต่ผมก็รู้สึกอึดอัดมาก ฉายาที่เพื่อนๆตั้งให้นี่เกลียดโคตรเลย

เพื่อนๆอาจเพียงรู้สึกสนุกและคิดว่าเป็นเพียงเรื่องที่หยอกเย้ากัน แต่สำหรับผมแล้วมันเหมือนกับการคุ้ยเขี่ยปมด้อยมาประจานกัน ผมอดนึกถึงตี๋ไม่ได้ ค่อยๆเข้าใจความรู้สึกของมันในวัยเด็กได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ผมรู้ดีกว่าหากทำเป็นเคืองหรือพยายามแก้ต่าง เรื่องราวอาจแย่ลง แซวกันแค่นี้ก็ยังดีกว่าแซวว่าอูโฮโม ประสบการณ์จากโรงเรียนเก่าสอนให้ผมรู้ว่าผมทำได้อย่างเดียวในสถานการณ์เช่นนี้ก็คือ... ยิ้มสู้

เย็นวันนั้น ผมไปที่สนามกีฬาในร่มเพื่อดูชาญซ้อมวอลเลย์บอล เห็นสีหน้าจ๋อยสนิทของมันแล้วอดสงสารไม่ได้ สีหน้าเช่นนี้ทำให้ผมนึกถึงใครบางคน...

ชาญอยู่ในสนามขณะที่ผมไปถึง มันจึงไม่เห็นผม ผมนั่งดูอยู่นานจนมันพัก เมื่อมันหันมาทางด้านที่ผมนั่งอยู่ ผมจึงโบกมือให้มัน

“เฮ้ย มาแล้วโว้ย” ผมตะโกน

ชาญยิ้มแป้นทันที ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่ดูเหมือนกับว่าดวงตาหลังเลนส์แว่นตาสีฟ้านั้นดูแจ่มใสเป็นประกาย... ดวงตาคู่นั้นเหมือนกับจะยิ้มไปด้วยทีเดียว...

ชาญเดินมาหาผม เมื่อเข้ามาถึงก็จับมือผมกุมพลางโยกมือของผมเล่น

“ไหนบอกว่าจะไม่มาไง”

“ก็เปลี่ยนใจน่ะ” ผมตอบสั้นๆพลางค่อยๆดึงมือของผมออกจากมือของมัน

- - -

“เอ... ทำไมอาการมันมีแต่แย่ลงหว่า” ผมรำพึงกับตนเองในขณะที่ขึ้นไปดูกุหลาบมอญที่ผมเลี้ยงเอาไว้บนชั้นดาดฟ้า

ช่วงนี้ฝนตกบ่อยผมจึงไม่ค่อยได้รดน้ำแต่ก็ยังขึ้นมาดูอยู่เสมอ หลังจากที่เดิมกุหลาบมีอาการใบหงิกและใบกลายเป็นสีน้ำตาลแล้ว เมื่อผมลิดใบออก ใบที่ผลิใหม่ก็ยังมีอาการเช่นเดิม ลิดไปลิดมาจนใบแทบจะหมดต้นก็ยังไม่หาย นอกจากอาการใบหงิกจะไม่หายแล้ว วันนี้ผมยังสังเกตเห็นว่ากิ่งใหญ่กิ่งหนึ่งเปลี่ยนเป็นสีดำสนิททั้งกิ่งอีกด้วย

“ไหนว่าเลี้ยงง่ายไง นี่ต้นที่สองแล้วนะ” ผมถอนหายใจ ชักเริ่มท้อกับการเลี้ยงกุหลาบ หลังจากนั้นก็รีบไปเรียน

หลายวันผ่านไป เรื่องคดีหลับปากหม้อของผมก็ค่อยๆซาลงไปพร้อมกับเสียงแซวที่ค่อยๆลดน้อยลง แต่ก็ยังมีเพื่อนบางคนหยิบยกมาแซวอยู่บ้าง ซึ่งผมก็ได้แต่หวังว่าในที่สุดทุกคนจะลืมมันไปจนหมด ขณะเดียวกัน ผมก็พยายามปลีกตัวออกมาจากกลุ่มสาม ไม่แวะเวียนเข้าไปเป็นประจำเหมือนเช่นเคย สาเหตุหนึ่งก็คือเบื่อ ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งก็คือ ตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้นเป็นต้นมาดูพี่ต่อจะไม่ค่อยพอใจผมนัก คงยังเคืองผมอยู่ที่ผมทำให้เสียเงินเปล่า ผมจึงพยายามเลี่ยงที่จะพบหน้าพี่ต่อ

ช่วงที่ห่างจากกลุ่มนั้นเป็นช่วงที่เคว้งอยู่บ้างเหมือนกัน เนื่องจากปกติโต๊ะกลุ่มเป็นสถานที่พบปะสังสรรค์และสรวลเสเฮฮาของนักศึกษา เมื่อไม่ได้ไปที่กลุ่มผมก็แทบจะไม่มีที่ไป รวมทั้งเมื่อไม่ได้ไปที่กลุ่มก็ทำให้ผมห่างจากแก๊งของผมไปบ้าง เพราะปกติแมว จิ๊บ เป้า ไปขลุกอยู่ที่กลุ่มเป็นประจำ ยกเว้นชาญที่ยังไปไหนมาไหนกับผมเสมอ

ในตอนกลางวันผมพยายามใช้เวลาไปกับการอ่านนิตยสารและหนังสือพิมพ์ในห้องสมุดโดยมีชาญนั่งลอกสมุดจดงานเป็นเพื่อน แต่อ่านไปก็เบื่ออีก ส่วนในตอนบ่ายหลังเลิกเรียนบางทีก็ไปดูชาญซ้อมกีฬาบ้างพอได้แก้เซ็ง

ที่ห้องสมุดนี้ผมได้พบความจริงอย่างหนึ่งก็คือ นักศึกษาที่มาใช้ห้องสมุดนานๆมักเป็นพวกที่มีนิสัยเรียบร้อย แตกต่างจากนักศึกษาที่คลุกคลีอยู่ที่กลุ่มซึ่งมักมีนิสัยเอะอะเฮฮา เพื่อนๆที่เป็นหนอนหนังสือฝังตัวอยู่ในห้องสมุดแม้รู้เรื่องของผมแต่ก็ไม่ได้แซวผมมากมายอะไรนัก

และที่ห้องสมุดของคณะนี่เองที่ผมได้เห็นเพ็ญอยู่บ่อยๆ ดูเพ็ญจะเป็นคนที่ขยันเรียนจริงๆ ไม่ค่อยได้เข้ากลุ่ม เวลาว่างส่วนใหญ่ของเพ็ญดูเหมือนจะเป็นการขลุกอยู่กับเจต ดูเจตซ้อมกีฬาบ้าง นั่งทำการบ้านกับเจตบ้าง เมื่อมีเวลาว่างก็มาขลุกที่ห้องสมุดซึ่งในบางครั้งเจตก็มานั่งเป็นเพื่อนด้วย

แต่การปลีกตัวออกจากลุ่มของผมดำเนินอยู่ได้ไม่นาน ผมก็ถูกตามตัวให้ไปทำกิจกรรมอีก

“เฮ้ย อู บ่ายสี่โมง เลิกเรียนแล้วไปที่กลุ่มนะ มีประชุม” เจตเดินมาหาผมที่โต๊ะขณะที่เราอยู่ในห้องสมุดและพูดเบาๆ

“ประชุมอีกแล้วเหรอ เรื่องอะไรอีกล่ะ” ผมถาม

“งานรับปริญญา ต้องเตรียมหาตังค์ อย่าลืมล่ะ ใกล้วันเข้ามาแล้ว” เจตตอบพลางย้ำนัดหมาย

กิจกรรมสำคัญอีกอย่างหนึ่งสำหรับนักศึกษาใหม่ก็คืองานรับปริญญา ในวันนั้นรุ่นพี่ที่เพิ่งจบออกไปจะกลับมาที่มหาวิทยาลัยเพื่อร่วมงานรับปริญญา หน้าที่ของนักศึกษาปีหนึ่งก็คือคอยติดดอกไม้แสดงความยินดีแก่พี่ๆบัณฑิต ร่วมถ่ายรูปหรือที่เรียกว่าเป็นแบ็กกราวนด์ เข้าร่วมในหอประชุมขณะมีพิธี และหน้าที่ที่สำคัญที่สุดในช่วงวันรับปริญญาก็คือ... หาเงินเข้ากลุ่ม

ในวันรับปริญญา พี่ๆบัณฑิตจะกลับมาที่มหาวิทยาลัยในชุดครุยปริญญาพร้อมกับครอบครัวเพื่อถ่ายรูปในตอนเช้าและเข้าร่วมพิธีในหอประชุมในช่วงบ่าย ในการถ่ายรูปในช่วงเช้านั้นจะมีน้องๆมาคอยติดดอกไม้ให้ที่เสื้อครุยปริญญาของพี่ๆ และบูมให้พี่บัณฑิตฟัง การติดดอกไม้และบูมให้พี่ๆนั้นแม้จะทำด้วยน้ำใจแต่ก็ไม่ได้ทำให้เปล่าๆ เป็นที่รู้กันว่าพี่ๆจะต้องตอบแทนน้ำใจของน้องๆด้วยธนบัตร ในยุคนั้นธรรมเนียมยังเป็นอย่างนี้อยู่ เงินที่ได้จากรุ่นพี่นั้นก็ไม่ได้เข้ากระเป๋าใครแต่นำมาใช้ในกิจกรรมของกลุ่มและชมรมต่างๆ แต่ต่อมาธรรมเนียมไถเงินรุ่นพี่นี้ถูกยกเลิกไป เหลือเพียงการติดดอกไม้แสดงความยินดีให้โดยห้ามรับเงินจากบัณฑิตหรือจากญาติๆของบัณฑิต

การประชุมในตอนบ่ายวันนั้นเป็นการชี้แจงให้รู้ถึงกิจกรรมหาเงินเข้ากลุ่มในวันรับปริญญาเพื่อนำเงินมาใช้เป็นสวัสดิการของกลุ่ม พวกพี่ๆมีการแบ่งงานและแบ่งกลุ่มปีหนึ่งออกเป็นกลุ่มย่อย ส่วนหนึ่งคอยทำดอกไม้ อีกส่วนหนึ่งแบ่งกันเป็นกลุ่มย่อยไปไล่ล่าติดดอกไม้ บูม และไถเงินจากพี่บัณฑิต

“พวกที่ติดดอกไม้และบูมต้องไปซ้อมให้ดีๆนะ บูมไม่ดังพี่เค้าก็ให้เงินน้อย ต้องบูมดังๆพี่จะได้จ่ายเยอะๆ เข้าใจมั้ย” พี่ที่เป็นประธานในการประชุมกลุ่มสามในวันนั้นกำชับพวกเรา

“พูดยังกะเป็นหัวหน้าแก๊งรีดไถเลย” ไอ้ชาญกระซิบเบาๆกับผม

“ถ้ายังงั้นเราก็คงเป็นสมุนแก๊งรีดไถ” ผมตอบ

- - -

วันงานรับปริญญา

ในที่สุดวันงานรับปริญญาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง ก่อนหน้าวันงาน พวกผู้หญิงไปซื้อดอกกล้วยไม้ที่ปากคลองตลาดกัน จากนั้นนำมาห่อด้วยอะลูมินัมฟอยล์ ที่ใช้ห่ออาหาร ติดเข็มกลัดเข้าไป ทำเป็นช่อกล้วยไม้สำหรับกลัดเสื้อ ทำกันตั้งแต่เช้ายันค่ำ ช่อดอกไม้กลัดเสื้อนี่ทำเยอะที่สุด นอกจากนั้นก็เป็นช่อกล้วยไม้ขนาดใหญ่สำหรับถือ ทำจากกล้วยไม้ ห่อด้วยกระดาษรองก้อนเค้กที่มีลวดลาย ห่อด้วยกระดาษแก้วอีกทีหนึ่ง ใครว่างจากเรียนก็มาช่วยกันทำ เหตุที่เลือกใช้กล้วยไม้แทนที่จะเป็นดอกไม้สดน่าจะเป็นเป็นเพราะว่าดอกกล้วยไม้บานทนทาน สามารถทำล่วงหน้าได้ หากเป็นช่อดอกไม้สดคงเหี่ยวไปแล้ว

เช้าวันนี้ผมรีบตื่นเป็นพิเศษเนื่องจากงานติดดอกไม้ต้องเริ่มตั้งแต่เช้าตรู่เนื่องจากพวกพี่ๆบัณฑิตจะมากันเช้ามาก เมื่อคืนกว่าจะกลับถึงหอก็ดึก เช้านี้ก็ต้องรีบตื่นอีก

วันนี้ผมแต่งตัวด้วยชุดขาวผูกเนคไทอีกครั้งหนึ่งเนื่องจากเป็นวันพิเศษ แต่งตัวเสร็จก็ออกจากหอตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เช้าวันนั้นการจราจรบนถนนพหลโยธินและถนนพญาไทคับคั่งกว่าปกติ เมื่อรถ ปอ.๒ มาถึงสยามสแควร์การจราจรก็ติดหนัก

เมื่อผมลงจากรถที่สามย่านและข้ามไปทางฝั่งถนนพระรามสี่ ผมก็พบว่าที่หน้ามหาวิทยาลัยเปลี่ยนสภาพไปจนจำแทบได้ วันนี้ที่หน้ามหาวิทยาลัยมีแผงลอยขายช่อดอกไม้ทั้งใหญ่และเล็ก ตุ๊กตุ่นตุ๊กตาเต็มไปหมด เดิมที่มีแต่นักศึกษาเดินกันขวักไขว่วันนี้ก็มีบัณฑิตในชุดครุยและญาติๆเป็นจำนวนมากเดินเลือกซื้อช่อดอกไม้กันจนเต็มทางเท้า ยิ่งเมื่อเข้าไปในมหาวิทยาลัยก็พบว่าภายในมหาวิทยาลัยมีผู้คนเดินกันพลุกพล่าน ทั้งนักศึกษาปีหนึ่งในชุดขาว นักศึกษาปีอื่นๆ บัณฑิตในชุดครุย และญาติมิตรที่มาร่วมงานชุดแต่งกายต่างๆนานาตามสถานภาพ อัดกันจนแน่นมหาวิทยาลัยไปหมด


<การรับน้องที่ริมชายหาดในยุคก่อน ไปกันทีใช้รถบัสนับสิบคัน ข้าวของก็เต็มไปหมด ทั้งเหนื่อยและทั้งสนุก>



<ผมก็พบว่าที่หน้ามหาวิทยาลัยเปลี่ยนสภาพไปจนจำแทบได้ วันนี้ที่หน้ามหาวิทยาลัยมีแผงลอยขายช่อดอกไม้ทั้งใหญ่และเล็ก ตุ๊กตุ่นตุ๊กตาเต็มไปหมด เดิมที่มีแต่นักศึกษาเดินกันขวักไขว่วันนี้ก็มีบัณฑิตในชุดครุยและญาติๆเป็นจำนวนมาก>