Thursday, March 29, 2007

ตอนที่ 14

ไอ้ชัชก็เลยหยุด แหม น่าเสียดายเหมือนกัน นี่ถ้าไม่เป็นเพราะกำลังขี่จักรยานอยู่คงไม่เรียกมันหยุดหรอกครับ

หลังจากตระเวนขี่จักรยานเที่ยวจนเย็น พวกเราก็กลับบ้าน ไอ้นัยขี่เก่งขึ้นกว่าเมื่อตอนบ่ายเยอะเลย ไม่ขี่เซไปเซมาแล้ว

ระหว่างทาง พวกเราขี่รถผ่านสนามฟุตบอลของหมู่บ้าน เรียกชื่อให้มันหรูยังงั้นแหละ ที่จริงมันก็คือสนามขนาดกำลังดีที่พวกเด็กแถวนั้นใช้เป็นที่เตะฟุตบอลกันนั่นเอง สนามนี้ปรับดินแล้วค่อนข้างเรียบ เหมาะสำหรับเล่นกีฬา ไม่เหมือนกับเอาท้องนามาทำสนาม แต่มีข้อเสียคือลูกรังเยอะไปหน่อย เวลาเตะฟุตบอลแต่ละคนต้องกินฝุ่นกันเข้าไปไม่น้อย

ตอนนั้นก็มีพวกเด็กๆกำลังเตะบอลกันอยู่เกือบสิบคน เด็กแถวนั้น ผมรู้จักทั้งนั้น ส่วนใหญ่ก็เจอกันแล้วเมื่อกลางวัน ผมเลยชวนไอ้สองตัวหยุดดูมันเล่นกันเสียหน่อย

ที่จริงว่าจะดูเฉยๆ เพราะกำลังจะกลับบ้าน แต่ดูไปดูมาก็ถูกชวนให้เล่นด้วยกัน เพราะตอนนั้นคนเล่นไม่เท่ากัน ข้างหนึ่งมี 4 คน อีกข้างมี 5 คน เล่นไม่ค่อยสนุก เอาก็เอาวะ เล่นสักเดี๋ยวไม่น่ากลับบ้านค่ำ ก็เลยชวนไอ้สองตัวมันมาเล่นด้วย

“เฮ้ย ข้าเอาเพื่อนลงเล่นด้วยนะ จะได้ข้างละหกคนพอดี” ผมพูดกับกลุ่มที่เล่นฟุตบอล

“เออ ดี ดี ลองดูฝีตีนเด็กกรุงเทพฯหน่อยก็ดี” ไอ้ทิวพูดขึ้น ไอ้ทิวนี่เป็นเด็กค่อนข้างเฮี้ยว มักทำตัวเป็นหัวโจกของกลุ่มเด็ก ตอนนั้นเพิ่งจบ ป. 6 หมาดๆ อายุคงแก่กว่าผมหน่อย ปกติมันพูดจาหมาไม่รับประทานแบบนั้นเสมอ แต่ก็ไม่เคยมีปัญหาอะไรกันเพราะเป็นเด็กบ้านเดียวกัน คือคนบ้านเดียวกันมักจะไม่ค่อยรังแกกันน่ะครับ ถ้าจะรังแกมักไปมีเรื่องกับคนบ้านอื่นมากกว่า อันนี้คือค่อนข้างเป็นธรรมเนียมในถิ่นที่ผมโตมา อีกอย่าง ผมไม่ค่อยอยู่ที่บ้านด้วย โอกาสที่จะเจอหน้ากับมันก็เลยน้อย

ผมเล่นข้างเดียวกับไอ้ทิว ส่วนไอ้ชัชไอ้นัยเล่นอีกข้างหนึ่ง ก็ไม่ได้ตั้งใจเลือกอยู่ข้างมันหรอก เหตุการณ์มันพาไปแบบตกบันไดพลอยโจนมากกว่า

หลังจากที่พวกเราสามคนมาเล่นด้วย เกมก็ชักสนุกขึ้น เพราะคนมากก็สนุกกว่าคนน้อยอยู่แล้ว ไอ้นัยนี่ฝีเท้าเล่นฟุตบอลของมันไม่เลวเลยครับ เห็นมันเฉยๆ อย่าคิดว่ามันจะเฉื่อย เพราะปกติเวลาพวกเราอยู่ที่โรงเรียน ไอ้นัยก็เล่นบอลอยู่เสมอ เนื่องจากถูกพวกเราลากมันลงไปเล่น ไอ้นี่มันขัดใจเพื่อนเป็นที่ไหน เพื่อนให้เล่นมันก็เล่น เล่นบ่อยๆเข้าฝีเท้าก็ไม่เลว ที่จริงไอ้นัยเก่งหลายอย่างครับ เรียนหนังสือก็เก่ง เรียนพวกศิลปะวาดเขียนก็ได้คะแนนดี เวลาเรียนวาดเขียน รูปที่มันวาดมักได้เกือบเต็มเสมอ มันวาดมะม่วงก็ดูเป็นมะม่วง แต่ผมวาดแล้วดูเป็นอุนจิ แหะๆ แต่เรื่องที่ไม่เก่งของมันก็มีครับ คือมันร้องเพลงห่วยมาก ยิ่งช่วงนี้เสียงแตก ถ้ามันอยากร้องเพลงต้องไล่ให้มันไปร้องไกลๆ

อ้าว เล่าเลยเถิดไปถึงไหนแล้วเนี่ย กลับมาต่อกันเรื่องเตะบอล

เตะกันฝุ่นโขมง เพียงไม่นาน ข้างไอ้นัยก็ได้ประตูไป ใครเตะเข้าก็ไม่รู้ จำไม่ได้แล้ว เล่นไปเล่นมาอีกสักพัก ข้างผมก็เสียประตูอีก ไอ้ทิวทำปากจึ๊กจั๊กไม่พอใจ

“พวกมึงเล่นกันประสาอะไรวะ อย่างนี้เราก็แพ้ลุ่ยเลยสิ” ไอ้ทิวโวย

ผมเฉยๆ ไม่พูดอะไร ที่จริงผมก็มีส่วนผิด เพราะเป็นกองหน้าแต่หลวม ปล่อยให้ข้างโน้นบุกเข้ามาได้

“เออ โทษทีโว้ย เดี๋ยวขอแก้ตัว” ผมบอกมัน

เตะกันไปอีกสักพัก ไอ้นัยก็ได้ลูก บุกฝ่าเข้ามา คราวเคราะห์ของมันจริงๆครับ ผมแย่งบอลจากมันไม่สำเร็จ ไอ้นัยเลยฝ่าเข้าไป และเตรียมจะยิงประตู

ไอ้ทิวบุกเข้าชาร์จทันที ไม่รู้ว่าแย่งลูกกันยังไง เพราะดูไม่ทัน อีกอย่าง ฝุ่นฟุ้งด้วย รู้แต่ว่าหลังจากที่ไอ้ทิววิ่งเข้าใส่ ไอ้นัยก็ล้มลงไปนอนบิดตัวกับพื้น

ผมรีบเข้าไปดู ไอ้ชัชก็วิ่งเข้ามา เห็นไอ้นัยหน้าเขียว เขียวจริงๆครับ ไม่ใช่เขียวเล่นๆ ตัวงอเป็นกุ้งเผาร้าน ป.กุ้งเผา ผมรีบฉุดมันลุกขึ้น แต่มันลุกไม่ไหว ได้แต่เอามือกุมหน้าอกบิดตัวไปมา ท่าทางน่ากลัวมากเหมือนกำลังจะตาย

ผมเพิ่งจะเห็นนี่แหละครับ ว่าไอ้นัยเป็นคนใจเด็ด มันเจ็บแต่ไม่ร้องสักแอะ ผมเห็นมันกัดกรามแน่นพยายามไม่ร้องออกมา วันนั้นเองที่ผมได้รู้จักไอ้นัยลึกซึ้งขึ้นอีกชั้นหนึ่ง ว่าเปลือกนอกของมันที่เห็นเฉยๆ เดาใจยาก และชอบถูกเพื่อนแกล้ง แต่ที่จริงแล้วมันเป็นคนที่เด็ดเดี่ยวคนหนึ่ง

“เฮะ ทำไมเด็กกรุงเทพฯร่วงง่ายยังงี้วะ กระดูกอ่อนจัง” ได้ยินเสียงไอ้ทิววิจารณ์

ผมโมโหมาก แน่ใจเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่อุบติเหตุ แต่เป็นเพราะไอ้ทิวจงใจแกล้ง แล้วนี่ไอ้นัยมันจะตายไหมวะ ผมเดินไปหาไอ้ทิวและเอามือผลักอกมัน

“ไอ้สัตว์ แม่งจงใจแกล้งเพื่อนกูนี่หว่า”

ทิวเมื่อโดนผลักอก มันก็ผลักอกผมคืนบ้าง ผลก็คือผมล้มก้นกระแทกเลยครับ ไอ้ทิวมันตัวใหญ่กว่าผมเยอะเลย คือความสูงน่ะสูงกว่าไม่มาก แต่ตัวมันล่ำกว่า ก็มันช่วยพ่อแม่ทำนำทำไร่ใช้แรงงานนี่ครับ ตัวเลยบึก ส่วนไอ้นัย ไอ้ชัช กับผม ตัวบางๆกันทั้งนั้น

มันทำเพื่อนผมแบบนี้จะไปยอมได้ไง เล็กกว่าก็ต้องสู้ ผมลุกขึ้นมาอีกครั้ง พุ่งเข้าไปหามัน แต่ไม่สำเร็จ เพื่อนๆช่วยกันจับตัวผมไว้แล้วลากออกไปให้ห่างไอ้ทิว

“มึงอยากตายเหรอไอ้อู ตัวมึงยังกับลูกหมา ตัวมันยังกับควาย” เพื่อนคนไหนก็ไม่รู้พูดกับผม ตอนนั้นชุลมุน ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ได้ยินแต่เสียง

ผมยังไม่ยอม ดิ้นจะไปฟัดกับไอ้ทิว (หรือให้ไอ้ทิวมันฟัดก็ไม่รู้) แต่ดิ้นไม่หลุดหรอกครับ เพราะคนจับผมไว้มีหลายคน

“มึงไปดูเพื่อนมึงดีกว่า” ใครก็ไม่รู้พูดอีก

ผมนึกได้ เลยเลิกดิ้น เพื่อนๆก็ปล่อยผม ผมวิ่งไปดูไอ้นัย เห็นมันกำลังนอนอยู่ ไม่ดิ้นแล้วแต่ยังไม่ลุก หน้ายังเขียวอยู่ มีไอ้ชัชนั่งอยู่ข้างๆ

มันจะตายไหมวะ ความคิดเรื่องตายแว่บเข้ามาในใจอีก ตอนนั้นยังเด็กครับ พอเห็นมันชักดิ้นชักงอก็กลัวว่ามันจะเป็นไรไป

“นัย นัย เป็นไงบ้าง” ผมคุกเข่าลงไปนั่งข้างๆมัน

“มันเงียบไปเลยว่ะ ไม่รู้สลบไปหรือเปล่า” ไอ้ชัชพูดด้วยความกังวล

“ไม่เป็นไร...” เสียงไอ้นัยพูดขึ้นกระท่อนกระแท่น “แค่จุก...”

ว่าแล้วมันก็พยายามจะลุกขึ้น ผมดีใจมาก เหมือนกับยกภูเขาออกจากอก รู้สึกโล่งไปหมด คิดว่ายังไงมันก็ต้องไม่ตายแน่แล้ว

พวกเพื่อนๆช่วยกันดึงไอ้นัยให้ลุกขึ้นจากพื้น แถมยังช่วยปัดฝุ่นที่เปื้อนตัวให้อันเป็นการแสดงน้ำใจและความเป็นมิตร ส่วนไอ้ทิวยืนดูอยู่ห่างๆไม่พูดอะไร

เย็นวันนั้น ผมเลยต้องพาไอ้นัยกลับบ้านโดยให้มันซ้อนท้ายจักรยานของผม ส่วนไอ้ชัชก็ขี่คันของไอ้นัยกลับไป เพราะนัยมันขี่ไม่ไหว

ไอ้นัยบอกว่า ตอนที่มันได้ลูกเตรียมจะยิงประตู ไอ้ทิวเข้าชาร์จโดยเอาศอกกระแทกอกมันอย่างแรง (ที่จริงคือกระแทกลิ้นปี่) มันรู้สึกจุกและหมดแรงไปทั้งตัว หายใจก็ไม่ออก อย่าว่าพูดเลย แม้แต่มันเองตอนนั้นก็คิดว่ามันกำลังจะตาย เรื่องโดนกระแทกลิ้นปี่จนจุกนี่ ถ้าใครไม่โดนไม่รู้หรอกครับว่าเป็นอย่างไร

หลังจากถึงบ้าน ผมปิดเรื่องนี้ไม่ให้พ่อแม่รู้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมไม่บอก ตอนนั้นคงคิดอย่างเด็กๆว่าถ้ามีอะไรแล้วเอาแต่บอกพ่อแม่ มันเหมือนคนขี้ฟ้อง ไอ้นัยเปลี้ยอยู่เป็นชั่วโมงเลย ผมต้องพาไปหลบนอนอยู่ในห้องนอน เมื่อพ่อถามว่าทำไมมันซึมไป ผมก็บอกว่าคงเป็นเพราะตากแดดมากเกินไป

วันนั้นเป็นวันที่ผมเองก็คับแค้นใจมาก เพื่อนรักที่มาเป็นแขกโดนรังแก ส่วนผมเองที่ถือว่าเป็นเจ้าของบ้านกลับทำอะไรไม่ได้ รู้สึกผิดมากๆ ความรู้สึกที่ว่าปกป้องเพื่อนไม่ได้นั้น ผมรับไม่ได้เลยครับ ยิ่งคิดยิ่งโมโห โมโหจนน้ำตาไหล (แต่ไม่มีใครเห็นครับ แอบเช็ดออก)

“กูขอโทษนะ นัย” ผมพูดกับมันสองต่อสองตอนไอ้ชัชไปเข้าห้องน้ำ “มึงเจ็บแต่กูช่วยอะไรมึงไม่ได้ ไม่น่าพามึงมาเจ็บตัวเลย ขอโทษจริงๆว่ะเพื่อน”

ไอ้นัยมองหน้าผม มันทำหน้าตายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ไม่เป็นไรหรอก หายแล้วล่ะ นายไม่ผิดสักหน่อย”

ปกติผมกับไอ้นัย ไอ้ชัชจะพูดกูมึงกัน ไอ้นัยนี่นานๆมันจะหลุดเรียกผมว่า “นาย” สักที ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมมันถึงหลุดเรียกผมแบบนี้ แต่ฟังดูดีครับ ไม่ค่อยแข็งแบบคำว่ามึง ส่วนผมเองนั้นปกติเรียกมันมีคำว่า “ไอ้” นำหน้าเสมอ นานๆก็หลุดเรียกมันว่านัยเฉยๆ สักทีเหมือนกัน โดยมากมักเป็นอารมณ์ที่อยากสุภาพกับมันเป็นพิเศษ

เห็นมันทำหน้าตายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมยิ่งรู้สึกผิด นี่ถ้ามันตำหนิผม ผมจะไม่รู้สึกผิดเท่านี้

หลังจากนั้น พวกเราก็ถูกเรียกลงไปกินข้าวเย็น ตกค่ำก็อาบน้ำและเข้านอน อยู่ต่างจังหวัดเข้านอนกันเร็วครับ สองสามทุ่มก็ปิดไฟหมดบ้านแล้ว

เป็นอันว่าการมาเที่ยวบ้านผมในวันแรกก็กลายเป็นวันแห่งความเศร้า เพราะไอ้นัยเจ็บหนัก ไม่อยากนึกเลยว่าพรุ่งนี้จะมีเรื่องร้ายๆอะไรอีกหรือเปล่า

1 comment:

INo said...

เปนอะไรที่เศร้านัก ฮือๆๆๆๆ พี่นัย ของโผมมมมมมม ตอนนี้จะยังสบายดีอยู๋มั้ยหนอ อยากจะไปดูแลจังเลย โหะๆๆๆ

เออ จะถามอายุ รู้สึกว่าจะเขียนเรื่องนี้ เกิดขึ้นเมื่อ2545 สิน่ะครับ หรือป่าวเด๋วกลับไปดูใหม่แล้วกัน
ตอนนั้นผมอายุ10พออ่ะ -3-