Sunday, May 31, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 88

เนื่องจากรถเมล์แน่นมาก อีกทั้งผมไหลมาทางข้างหลังของมัน ดังนั้นไอ้นัยจึงไม่เห็นผมเลยแม้แต่น้อย ผมมองไอ้นัยเห็นด้านหลังของมันในแนวเฉียง คือเห็นด้านหลังและพอจะเห็นด้านข้างได้เล็กน้อย ผมสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของไอ้นัยได้หลายอย่าง ไอ้นัยเอาชายเสื้ออกนอกกางเกงซึ่งปกติมันทำไม่บ่อยนัก ในมือถือกระเป๋าหนังจาคอบซึ่งเป็นกระเป๋านักเรียนทรงบาง กะทัดรัด บางกว่ากระเป๋านักเรียนทั่วไป กระเป๋าแบบนี้ถือสะดวกแต่ก็จุหนังสือได้น้อย ไม่รู้มาก่อนเหมือนกันว่ามันไม่ได้หิ้วเป้แต่หันมาหิ้วกระเป๋าแบบนี้แทน

ผมมองเห็นใบหน้าด้านข้างของไอ้นัยได้เล็กน้อย ตั้งแต่ขึ้น ม.๓ เป็นต้นมา ผมยังไม่มีโอกาสได้มองไอ้นัยอย่างเต็มตาเลย เพราะทุกครั้งที่ได้เจอกันหากไม่ใช่ทะเลาะกันก็หลบหน้ากัน

ผมมองไอ้นัยจนเพลิน ใจก็คิดเรื่อยเปื่อยไปต่างๆนานา คนคนนี้คือเพื่อนที่ผมสนิทสนมด้วยมากที่สุด เราโตมาด้วยกันตั้งแต่วัยเด็ก และคนคนนี้เองที่ผมเคยวาดหวังว่าเราจะใช้ชีวิตร่วมกันในอนาคต... เราจะปลูกบ้านอยู่ติดกัน จะได้เห็นกันทุกวัน

ขณะที่มองไอ้นัยเพลินอยู่นั้น ผมก็สังเกตว่าคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าไอ้นัยมักเบือนหน้ามาเหลือบมองไอ้นัยเป็นระยะ คนที่ยืนข้างหน้าติดกับไอ้นัยนี้เป็นชายหนุ่มแต่งตัวดี ใส่เชิร์ตแขนยาว ผูกเนคไท ดูจากใบหน้าที่เบือนมาแม้เห็นไม่เต็มใบหน้าแต่ก็คิดว่าหน้าตาดีทีเดียว

รถเมล์แน่นมากจนหายใจแทบไม่ออก แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกเป็นทรมานแต่อย่างใดเพราะมัวแต่ใจลอยคิดเรื่องไอ้นัยอยู่ เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ตัว

“ซอยอารีย์แล้ว ป้ายด้วยยยยย...” เสียงกระเป๋ารถเมล์ตะโกนลั่นรถ

ผมเห็นชายหนุ่มที่ยืนเบียดติดกับไอ้นัยเบือนหน้ามาเหลือบมองไอ้นัยอีก คราวนี้พยักหน้าน้อยๆด้วย นายคนนี้เป็นอะไรก็ไม่รู้ ชอบหันมามองไอ้นัย หรืออาจจะรำคาญที่ไอ้นัยไปเบียดก็ได้ จึงหันมามองเพื่อแสดงความไม่พอใจ รถเมล์แน่นก็ไม่ใช่ความผิดของไอ้นัย ทำไมต้องมาเขม่นมันด้วย

ผมละสายตาจากไอ้นัย มองออกไปทางนอกหน้าต่าง อีกตั้งนานกว่าจะถึงบ้าน ถ้าคนเบียดกันขนาดนี้ ทั้งผมและไอ้นัยอาจจะแบนเสียก่อนก็ได้ ผมคิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อยเปื่อย

รถเมล์กระชากตัวออกจากป้าย คนเบียดกันไปมาตามแรงของรถ ผมถูกคลื่นคนที่เบียดกระชากให้ตื่นจากภวังค์

ไอ้นัยหายไปแล้ว!

พริบตาที่ผมละสายตาจากไอ้นัยเพื่อมองออกไปนอกรถ เมื่อหันกลับมาอีกทีไอ้นัยก็หายตัวไปเสียแล้ว หรือว่ามันลงรถไปแล้ว? ก็ไม่น่าเป็นไปได้ มันจะลงรถทำไมที่ป้ายซอยอารีย์ จะว่ามันเปลี่ยนที่ยืนก็ไม่ใช่เพราะเมื่อมองไปรอบๆก็ไม่เห็นไอ้นัยเลย

ผมตัดสินใจลงจากรถเมล์ที่ป้ายถัดมา จากนั้นก็เดินย้อนขึ้นไปยังป้ายซอยอารีย์เพื่อตามหาไอ้นัย ผมรู้สึกเป็นห่วงมัน มันอาจไม่สบายและลงไปนั่งพักก่อนก็ได้ ถึงเราจะโกรธกันแต่ผมก็อดเป็นห่วงมันไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ขอไปดูให้รู้แน่เพื่อความสบายใจ

ป้ายรถเมล์ป้ายนั้นเดินไกลไม่น้อย แม้ผมจ้ำเดินอย่างรวดเร็วแต่ก็ใช้เวลาอยู่บ้าง ผมไปถึงป้ายซอยอารีย์ด้วยเหงื่อที่โซมหน้า พยายามกวาดสายตามองแต่ก็ไม่พบไอ้นัย

ผมเดินดูตามร้านขายอาหารที่ตั้งอยู่ริมถนน เผื่อว่าไอ้นัยจะเข้าไปนั่งพัก แต่ก็ไม่พบเช่นกัน ผมเดินวนเวียนอยู่แถวนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง แต่ก็ไม่พบไอ้นัยแม้แต่เงา

มันอาจแค่หิวน้ำ ลงมากินน้ำเสียหน่อยแล้วก็นั่งรถต่อไปแล้วก็เป็นได้ ผมคิดในใจ พยายามมองโลกในแง่ดี ในที่สุด เมื่อผมหาไอ้นัยไม่พบ ผมก็นั่งรถต่อเพื่อกลับบ้าน

การที่ผมได้พบไอ้นัยบนรถเมล์และไอ้แอบมองมันเป็นเวลานานทำให้ผมคิดมาก ช่วงเวลาที่ผ่านมาผมคิดเรื่องไอ้นัยมากเสียจนต้องพยายามสลัดมันออกไปจากหัวสมองบ้าง ไม่อย่างนั้นผมคงทำอย่างอื่นไม่ได้ แต่เหตุการณ์ที่ผมพบมันในวันนี้ทำให้ผมกลับมาคิดมากอีก ผมคิดเรื่องไอ้นัยวนไปเวียนมาจนดึก

- - -

“เฮ้ย ไอ้รงค์ เป็นไงบ้างวะ สำเร็จไหม” เพื่อนๆต่างพากันทักทายรงค์อย่างเซ็งแซ่ในเช้าวันหนึ่ง เมื่อมันเดินเข้ามาในห้องเรียน รงค์เป็นเพื่อนร่วมชั้นของผม มันเป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอลล์ด้วย หน้าตาใช้ได้ทีเดียว ที่สำคัญคือมันรูปร่างสูง ทำให้ดูเด่นเมื่อเทียบกับเพื่อนคนอื่นๆ

รงค์เป็นที่สนใจของกลุ่มเพื่อนๆในระยะนี้ เพราะเป็นที่รู้กันว่ามันกำลังจีบสาวระดับชั้นเดียวกันของโรงเรียนอื่นอยู่ ไม่รู้เหมือนกันว่าต้นเรื่องที่เอาข่าวของไอ้รงค์มาปล่อยคือใคร แต่ไอ้รงค์ก็ไม่ปฏิเสธข่าวนี้ ในยุคนั้นนักเรียน ม.๓ จีบสาวยังพบไม่มากนัก ดังนั้นเรื่องของรงค์จึงเป็นข่าวร้อนประจำห้อง และรงค์เองมักคอยเล่าถึงความคืบหน้าให้เพื่อนๆฟังอยู่เสมอเพื่อถูกถามถึง

“เฮ้ย เมื่อวานเค้ามาดูกูซ้อมว่ะ ตามแผนเลย กูก็เลยจัดการตามแผน” ไอ้รงค์เล่า ไอ้รงค์เป็นนักเรียนในกลุ่มตัวสูงนั่งหลังห้องเหมือนกัน นั่งอยู่ใกล้ๆกับผมและไอ้แก่นี่เอง ดังนั้นผมจึงได้ยินการสนทนาของมันอย่างชัดเจนแม้ไม่สนใจจะฟังก็ตาม ผมนั่งปั่นการบ้านอยู่อย่างเงียบๆ ไม่เข้ากลุ่มสนทนา เมื่อคืนคิดมากจนไม่อยากทำอะไร ก็เลยยังไม่ได้ทำการบ้าน

“แล้วเค้ารับมั้ย แล้วว่าไงบ้าง” เพื่อนๆถามต่อ ที่ว่าตามแผนของไอ้รงค์นั้นไม่ใช่แผนปล้ำนักเรียนหญิงแต่อย่างใด แต่มันเตรียมการเอาไว้โดยชวนสาวที่มันชอบมาดูมันซ้อมบาสที่โรงเรียน จากนั้นมันก็มอบดอกกุหลาบให้หลังซ้อมเสร็จ

ไม่ลงทุนเลยเว้ย ผมคิดในใจ ดอกไม้ทุกชนิดรวมทั้งดอกกุหลาบเป็นของที่หาได้ไม่ยากสำหรับพวกเรา เพราะที่ปากคลองตลาดมีมากมาย

“รับดิ ปลื้มใหญ่เลย” ไอ้รงค์พูดอย่างภูมิใจ จากนั้นมันก็คุยกับเพื่อนๆผู้ยังไม่เคยจีบสาวต่างก็พากันแนะนำกลยุทธ์ให้ไอ้รงค์ต่างๆนานาเพื่อสร้างความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นขึ้น เช่น พาไปเดินสยามเพื่อดูหนัง ซื้อของ เป็นต้น

- - -

วันถัดมา

“เอ้า นักเรียน วันนี้ครูขอแนะนำอาจารย์วิทย์ อาจารย์วิทย์เป็นนักศึกษาฝึกสอน จะมาสอนพวกเธอแทนครูช่วงหนึ่ง” เสียงอาจารย์ประจำวิชาสุขศึกษาแนะนำอาจารย์ใหม่ให้นักเรียนในชั้นทราบ

อาจารย์วิทย์เป็นนักศึกษาฝึกสอนที่มาช่วยสอนวิชาพลศึกษาและสุขศึกษาในเทอมนี้ อาจารย์วิทย์เป็นนักศึกษาหนุ่มผิวคล้ำ ท่าทางประหม่าห้องเรียนมาก

ปกตินักเรียนไม่ค่อยมองนักศึกษาฝึกสอนเหล่านี้ว่าเป็นอาจารย์ แต่มักจะมองว่าเป็นรุ่นพี่มากกว่า ดังนั้นหากนักศึกษาคนใดคุยสนุก นักเรียนก็จะสนิทสนมด้วย และมักจะสนิทยิ่งกว่าอาจารย์ประจำวิชาตัวจริงเสียอีก เพราะวัยไม่ห่างกันมากนัก

หลังจากที่อาจารย์ตัวจริงออกจากห้องไปแล้ว อาจารย์วิทย์ก็เริ่มการสอน ชั่วโมงแรกของการฝึกสอนของอาจารย์วิทย์ยังไม่มีเนื้อหาอะไรมาก ส่วนใหญ่เป็นการพูดคุยแนะนำตัวและสร้างความคุ้นเคยกันมากกว่า

“เอ้า พวกนักเรียนอยากรู้อะไรบ้าง ถามได้ เรื่องอะไรก็ได้ แต่ห้ามยืมตังค์” อาจารย์วิทย์ดูเป็นกันเองมากขึ้นและประหม่าน้อยลง หลังจากที่ได้คุยกับนักเรียนมาพักหนึ่ง

“เรื่องอะไรก็ได้จริงนะครับ” นักเรียนตะโกนถาม อาจารย์วิทย์พยักหน้ายืนยัน

“อาจารย์มีแฟนยัง” ใครก็ไม่รู้ถามขึ้น พวกนักเรียนเฮกันใหญ่

อาจารย์วิทย์อมยิ้ม พยักหน้า ไอ้รงค์พอเห็นดังนั้นก็ตะโกนถามขึ้นทันที

“อาจารย์สอนวิธีจีบผู้หญิงหน่อยครับ”

เพื่อนๆเฮกันลั่นห้อง ไอ้รงค์พยายามหาความรู้จากทุกทางเพื่อเอาชนะใจหญิงสาวคนที่มันหมายปอง

เมื่อหายประหม่าแล้วอาจารย์วิทย์ก็เป็นคนคุยสนุก จึงเล่าวีธีการจีบสาวอย่างเฮฮา หัวเราะกันทั้งห้อง จนช่วงท้ายของคาบ อาจารย์วิทย์จึงเริ่มสั่งงาน

“พวกเราต้องทำรายงานกลุ่มกัน ที่จริงวันนี้ครูเพิ่งมาสอน ยังไม่ทันได้สอนอะไรเลย ก็ไม่อยากสั่งการบ้านหรอก แต่อันนี้เป็นแผนการสอนที่เตรียมเอาไว้แล้ว ก็เลยต้องสั่งงาน” อาจารย์วิทย์ออกตัว

อาจารย์สั่งให้แบ่งกลุ่มกันเป็นกลุ่มละ ๕ คน รวมแล้วมีทั้งหมด ๑๐ กลุ่ม แต่ละกลุ่มทำรายงานเรื่องโรคร้ายแรงกลุ่มละหนึ่งโรค แล้วให้ออกมาเล่าให้เพื่อนฟังหน้าชั้น มีตั้งแต่โรคไข้กาฬหลังแอ่น ไข้สมองอักเสบ ไปจนถึงกามโรค เช่น ซิฟิลิส และโรคเอดส์

“ใครได้โรคเอดส์ไปทำก็อาจจะง่ายหน่อยนะ ตอนนี้กำลังดัง ข้อมูลหาได้ง่ายมาก” อาจารย์วิทย์พูด

ในช่วงสองปีมานี้ โรคด์เอดส์เป็นโรคใหม่ซึ่งตกเป็นข่าวและสร้างความตื่นกลัวแก่ประชาชนเป็นอย่างมาก เพราะเป็นโรคที่รักษาไม่หาย เป็นแล้วตายสถานเดียว เรียกได้ว่าเป็นโรคมฤตยู สภาพการตายก็น่าอเนจอนาถ กระแสความตื่นกลัวต่อโรคเอดส์เป็นไปทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทยซึ่งเริ่มตื่นตัวเนื่องจากพบผู้ป่วยเอดส์ในเมืองไทยแล้วหลายราย ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคเอดส์ในยุคนั้นก็คือเกิดจากพวกรักร่วมเพศหรือว่าเกย์ ดังนั้นโรคเอดส์จึงเป็นโรคที่ทั้งกลัวและน่ารังเกียจ เกย์จึงตกเป็นจำเลยของสังคมในยุคนั้นไปช่วงหนึ่ง ทั้งๆที่จริงแล้วโรคนี้แพร่ระบาดในหมู่ผู้ติดยาเสพย์คิดที่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกันด้วย

กระแสรณรงค์ต่อต้านโรคเอดส์รวมทั้งให้ความรู้ในเรื่อโรคเอดส์เริ่มมาตั้งแต่ปีที่แล้ว และมาในปีนี้สถานการณ์กลับเริ่มเลวร้ายลง ผู้คนกลับตระหนกและหวาดกลัวต่อโรคเอดส์มากยิ่งขึ้นเพราะปรากฏผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆทั่วโลก ในเมืองไทยมีคนไทยเสียชีวิตจากโรคเอดส์ไปแล้วสองคน จนถึงขนาดทางการของประเทศซาอุดิอารเบียต้องออกกฎระเบียบให้คนไทยต้องมีใบรับรองการตรวจเอดส์ด้วยจึงจะยอมให้เข้าไปทำงานได้

“โรคนี้พระเจ้าสร้างขึ้นมาเพื่อทำลายไอ้พวกวิปริตครับอาจารย์ ฟ้าผ่ามันช้าไป ตายห่าไปให้หมดก็ดี” เสียงใครคนหนึ่งแสดงความเห็นขึ้นมา ทั้งห้องฮือฮาสนับสนุนกันยกใหญ่ ผมรู้สึกหน้าชาวูบเหมือนกับโดนตบหน้าอย่างแรง

- - -

สัปดาห์นั้นเป็นอีกสัปดาห์หนึ่งที่ผมเต็มไปด้วยความสับสน มีเรื่องมากมายเกิดขึ้นและทำให้ผมต้องคิดมาก ผมคิดวนไปเวียนมาจนปวดหัว เรียนอะไรก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง

“เฮ้ย ไอ้อ๊อด” ผมทักอ๊อดในวันหนึ่งเมื่อเราเดินสวนกันที่ทางเดิน ตอนนั้นยังเช้าอยู่ นักเรียนยังไม่พลุกพล่านนัก “กูถามอะไรมึงหน่อย” ผมเห็นว่าคนยังน้อย เลยได้โอกาสคุยหาข้อมูลจากอ๊อด

“ไอ้ไก่อู” อ๊อดทัก

“ไอ้นัยมันเป็นไงบ้างวะ” ผมถามแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย อ๊อดงง

“ไอ้นัยห้องกูน่ะเหรอ” อ๊อดถาม “มึงรู้จักมันด้วยเหรอ”

ผมพยักหน้ารับ “ปีที่แล้วทำงานสหกรณ์ด้วยกัน เลยเป็นเพื่อนกัน” ผมตอบสั้นๆ ไม่อยากเล่ามาก

“มึงเป็นเพื่อนกับมันได้ด้วยเหรอ” อ๊อดหัวเราะ

ผมงงว่าทำไมอ๊อดถามแปลกแบบนั้น

“ก็มันเงียบจะตายห่า ท่าทางซึมๆ ไม่คบใคร มีใครบอกว่ามันเคยเป็นหัวหน้าห้องเมื่อปีที่แล้วด้วย โคตรทึ่มเลย เป็นได้ไงฟะ” อ๊อดพูดไปหัวเราะไป “พูดกะมันสิบคำ มันพูดคำเดียว ใครจะไปอยากคุยด้วย เอ๊ะ แล้วมึงถามถึงมันทำไม”

“ไม่มีอะไรหรอก จู่ๆก็นึกถึงมันได้ เลยถามถึง หมู่นี้ไม่ค่อยได้คุยกันน่ะ” ผมกลบเกลื่อนแบบน้ำขุ่นๆ

“ว่าแต่มึงเถอะ หายอกหักหรือยังวะ พักหลังมึงก็เงียบไปเยอะเลยนะ” อ๊อดวกกลับมาที่ตัวผม ดูมันมั่นใจมากว่าผมอกหัก คอยตอกย้ำอยู่เรื่อย

ผมรีบผละจากอ๊อดมาเพราะเกรงว่าหากคุยมากไปจะเผยพิรุธ แต่ก็นับว่าผมได้ข้อมูลเรื่องไอ้นัยในด้านที่ผมไม่รู้มาก่อน

- - -

วันเสาร์ถัดมา

สัปดาห์นั้นผมเรียนอะไรไม่รู้เรื่องสักวิชา แม้กระทั่งเรียนเปียโนก็ยังเรียนไม่รู้เรื่องเพราะมัวแต่ใจลอย

หลังจากที่เรียนเปียโนเสร็จ ผมมาเดินแกร่วอยู่ในห้องโชว์ ในห้องโชว์มีเครื่องดนตรี แบบเรียนเปียโน และโน้ตเพลงเป็นแผ่นๆที่เรียกว่ามิวสิกชีต (music sheet) มากมาย เลิกเรียนแล้วผมก็ไม่รู้จะไปไหน ตั้งแต่เปิดเทอมมา ผมไม่เคยเจอไอ้นัยที่โรงเรียนดนตรีเลย เมื่อถามครูสอนกีตาร์ของไอ้นัยจึงได้รู้ว่าไอ้นัยย้ายเวลาเรียน ดังนั้นระยะหลังนี้ผมจึงไปเรียนดนตรีและเดินเล่นคนเดียว ใหม่ๆก็เหงา ต่อมาก็เริ่มชิน แต่แทนที่จะชินแล้วชินเลย พอมาระยะนี้กลับรู้สึกเหงาหนักยิ่งขึ้น มันดูเหมือนคนที่เพิ่งฟื้นไข้ แต่แล้วก็กลับมีอาการทรุดหนักลงอย่างรวดเร็ว

ผมพลิกดูแบบเรียนเปียโนเล่มต่างๆอย่างเซ็งๆ ที่จริงก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เพียงแต่ยังคิดไม่ออกว่าหลังจากเลิกเรียนแล้วจะไปไหนดี จึงมาดูหนังสือในห้องโชว์ฆ่าเวลาไปก่อน

ผมพลิกดูแบบเรียนเล่มหนึ่งอย่างไม่ตั้งใจ มันเป็นโน้ตเพลงพื้นเมืองต่างๆ

“My Luve is Like a Red Red Rose” ผมสะดุดกับชื่อเพลงบทหนึ่งภายในเล่ม ชื่อนี้เหมือนกับบทกวีของรอเบิร์ต เบิร์นส์ ที่ผมเขียนเรียนเมื่อตอน ม.๑ เลย ผมยังจำบทกวีบทนั้นได้ เพราะมันเป็นบทกวีรักอันแสนหวาน ผมเรียนบทกวีนั้นด้วยความทรงจำที่ลึกซึ้งเป็นพิเศษเพราะเป็นช่วงที่ผมมีไอ้นัยอยู่เคียงข้าง รวมทั้งความสัมพันธ์ของเราในช่วงนั้นก็ดีมาก บทกวีนี้เปรียบเทียบความรักประดุจดอกกุหลาบสีแดง ไม่ยักรู้ว่าบทกวีนี้แท้ที่จริงแล้วเป็นเนื้อเพลงจากเพลงพื้นบ้านของสก็อตแลนด์นี่เอง

O my Luve's like a red, red rose,
That's newly sprung in June:
O my Luve's like the melodie,
That's sweetly play'd in tune.

As fair art thou, my bonie lass,
So deep in luve am I;
And I will luve thee still, my dear,
Till a' the seas gang dry.

Till a' the seas gang dry, my dear,
And the rocks melt wi' the sun;
And I will luve thee still, my dear,
While the sands o' life shall run.

And fare-thee-weel, my only Luve!
And fare-thee-weel, a while!
And I will come again, my Luve,
Tho' 'twere ten thousand mile!

เพลงรักแสนหวานนี้ฉุดให้ผมจมดิ่งอยู่ในภวังค์ชั่วครู่ ผมปิดหนังสือลงจากนั้นผมก็คิดออกว่าผมอยากไปที่ไหน…

ที่ร้านโดนัทร้านประจำในสยามสแควร์ที่ผมและไอ้นัยชอบมานั่งกิน ผมเข้ามาสั่งโดนัทแบบที่ไอ้นัยชอบและน้ำหวานมานั่งกินคนเดียวอย่างเงียบเหงา สภาพภายในร้านยังเหมือนเดิม แต่ที่เปลี่ยนไปก็คือใจคน...

ผมนั่งกินโดนัทช้าๆ สายตาเหม่อมองดูผู้คน ปล่อยความคิดล่องลอย ความคิดต่างๆวนไปเวียนมา ความหลังระหว่างผมและไอ้นัยปรากฏมาเป็นฉากๆ คำพูดของอ๊อดก้องอยู่ในหู เรื่องของรงค์ เหตุการณ์ในชั่วโมงสุขศึกษา ล้วนแต่วนเวียนอยู่ในหัวของผม...

ผมรักไอ้นัย…

ความคิดนี้วนเวียนอยู่ในหัวของผมตลอดเวลา ตอนนี้ผมอายุสิบห้าแล้ว ผมโตพอที่จะรู้แล้วว่าความรักคืออะไร แท้ที่จริงผมรู้มานานแล้วด้วย ความรู้สึกนี้ค่อยๆพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง แต่ผมปฏิเสธมัน ผมไม่กล้าแม้แต่จะคิด ผมไม่กล้าที่จะยอมรับมัน ผู้ชายจะรักผู้ชายด้วยกันได้อย่างไร ถ้าผมยอมรับมัน ก็เท่ากับว่าผมยอมรับว่าตนเองวิปริตผิดเพศ และถ้าไอ้นัยยอมรับก็เท่ากับตราหน้าว่าไอ้นัยวิปริตไปด้วย ผมยอมรับไม่ได้ที่ตนเองและไอ้นัยต้องกลายเป็นคนวิปริตในสังคม ผมอยากเป็นคนปกติ...

ความกลัวและการปฏิเสธตนเองของผมนี่เองที่ทำให้ผมเพิกเฉยต่อเสียงเรียกของหัวใจมาโดยตลอด และมันก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายมาจนถึงทุกวันนี้

นับวันผมยิ่งเข้าใจธรรมชาติของตนเองมากยิ่งขึ้น เพียงแต่ว่าผมจะกล้ายอมรับตนเองได้หรือไม่เท่านั้น ความหมางเมินระหว่างผมกับไอ้นัยทำให้ผมทุกข์ทรมานใจมาก ผมต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง...

ผมนึกถึงไอ้พงศ์ปากกว้าง และไอ้อ้วน บนเส้นทางของการยอมรับตนเองคงเต็มไปด้วยความไม่ราบรื่น

ผมนึกถึงไอ้รงค์ เรามีการสอนถึงบทบาทหน้าที่ระหว่างชายและหญิง เราถูกปลูกฝังให้มีความคิดว่าชายและหญิงเป็นของคู่กัน คนเราเมื่อเติบโตก็ต้องแต่งงาน มีครอบครัว มีลูกหลาน ผมคิดถึงอาจารย์วิทย์ที่สอนเรื่องการจีบสาว เรามีคนสอนวิชาความรู้ในเรื่องต่างๆมากมาย แต่กลับไม่มีใครสอนผมเลยว่าเด็กวัยรุ่นที่รักเพศเดียวกันคนหนึ่งเมื่อเติบโตขึ้นจะใช้ชีวิตอย่างไร จะเติบโตขึ้นอย่างไรให้เป็นที่ยอมรับและมีศักดิ์ศรี ไม่ต้องถูกเหยียบย่ำหรือตราหน้าว่าวิปริต...

ผมหวนนึกถึงบทกวีอันหวานไพเราะของรอเบิร์ต เบิร์นส์อีกครั้งหนึ่ง เมื่อขับขานบทกวีนี้ภายใต้ทำนองเพลงคงไพเราะงดงามมากทีเดียว

ในที่สุด ผมก็ตัดสินใจได้

ในชีวิตผมมักตัดสินใจผิดพลาดเสมอ แต่ที่ไม่เคยคิดว่าผิดพลาดก็คือการได้รู้จักและเป็นเพื่อนกับไอ้นัย... และผมหวังว่าการตัดสินใจในวันนี้ของผมจะไม่ผิดอีกเช่นกัน...

ฟังเพลง My Love is Like a Red Red Rose (youtube) เวอร์ชันนี้ร้องโดยนักร้องหญิง เอ็ดดี รีดเดอร์ (Eddie Reader) ได้รับความนิยมมาก

ฟังเพลง My Love is Like a Red Red Rose (youtube) เวอร์ชันนี้บรรเลงด้วยเปียโนและไวโอลิน หวานซึ้งกินใจ

Wednesday, May 27, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 87

จิตใจของผมในระยะนั้นมีแต่ความสับสนวุ่นวาย แม้แต่สีหน้าของไอ้นัยในขณะนั้นผมก็แยกแยะไม่ออกว่าเป็นสีหน้าที่เย็นชาไม่ยี่หระอะไร หรือว่าเป็นสีหน้าที่เศร้าหมองอมทุกข์กันแน่ อย่าว่าแต่แยกแยะอารมณ์ของไอ้นัยไม่ออกเลย แม้แต่อารมณ์ของตนเองผมก็ยังแยกแยะไม่ออก ผมไม่รู้ว่ากำลังโกรธ น้อยใจ หรือสงสารไอ้นัยกันแน่

วันนั้นเราสองคนไม่ได้กลับบ้านด้วยกัน ต่างคนต่างกลับ การที่ผมแตกหักกับไอ้นัยไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกสบายใจเลยแม้แต่น้อย ผมกลับเป็นทุกข์ใจ ผมไม่ได้นึกสะใจหรือว่าสมน้ำหน้าที่มันติดกัญชาเลย ตรงกันข้าม กลับรู้สึกเป็นห่วงมันมาก

- - -

กลางเดือนพฤษภาคม

วันหยุดภาคฤดูร้อนก็สิ้นสุดลง ในที่สุดก็ถึงเวลาเปิดเทอมใหม่…

ตอนนี้ผมกลายเป็นพี่ ม.๓ ไปแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าพริบตาเดียวก็ผ่านไป ๒ ปี จากน้องเล็กกลายมาเป็นพี่ ที่จริงผมควรจะตื่นเต้นดีใจกับชั้นเรียนใหม่และเพื่อนใหม่ แต่ผมกลับไม่รู้สึกตื่นเต้นยินดีเลยแม้แต่น้อย

สภาพอากาศของวันเปิดภาคเรียนวันแรกไม่ดีเท่าไรนัก ฝนปรอยลงมาตั้งแต่เช้า ทำให้ผมต้องรีบออกจากบ้านเช้าขึ้นอีกเล็กน้อยเผื่อเวลารถติด ผมไปขึ้นรถเมล์ตามปกติ ที่ซึ่งผมมักพบไอ้นัยยืนคอยผมอยู่เสมอ แต่วันนี้ ที่ท่ารถอันพลุกพล่าน ผมไม่เห็นไอ้นัยเลย

ผมรู้สึกใจหาย ที่จริงผมก็คาดเอาไว้อยู่แล้วว่าคงไม่พบไอ้นัยที่ป้ายรถเมล์ แต่ผมยังมีความหวังเหลืออยู่ใยหนึ่ง ผมหวังให้มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น

เผื่อมันตื่นสาย รอมันหน่อยละกัน ผมคิดในใจและตัดสินใจรอไอ้นัยสักครู่ สายฝนที่โปรยปราย อากาศที่ขมุกขมัวในยามเช้า ชวนให้ผมรู้สึกเศร้าหมอง ภาพที่ผมและไอ้นัยทะเลาะกันจนแตกหักเมื่อวันก่อน รวมทั้งภาพวันลงทะเบียนเรียนที่เราสองคนหมางเมินกันโดยสิ้นเชิงวนเวียนอยู่ในหัวของผมตลอดเวลา

ไอ้นัย กูยังหวังดีกับมึงเสมอ มาง้อกูหน่อยเถอะ อ้อนกูสักสองสามครั้ง กูพร้อมจะกลับเป็นเพื่อนสนิทของมึงเหมือนเดิม ถึงมึงจะเลิกกัญชาไม่ได้ทันทีก็ไม่เป็นไร ค่อยๆเลิกก็ได้ มาคุยกับกูหน่อยนะไอ้เพื่อนรัก...

รออยู่ประมาณสิบห้านาที ฝนเริ่มตกหนักขึ้น เมื่อไม่เห็นไอ้นัย ผมจึงนั่งรถเมล์มาโรงเรียนคนเดียว

ด้วยความรีบร้อนทำให้ผมลืมหยิบร่มมาด้วยก่อนออกจากบ้าน ผมมาถึงโรงเรียนด้วยสภาพเปียกมอมเพราะต้องวิ่งฝ่าสายฝนมาจากสะพานพุทธซึ่งเป็นระยะทางไกลพอสมควร

ห้องเรียนของผมในปีนี้อยู่คนละตึกกับปีที่แล้ว ตึกนี้เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก ไม่ใช่อาคารครึ่งตึกครึ่งไม้ทรงโบราณเหมือนเมื่อ ม.๑ ม.๒ แต่ถึงกระนั้นตึกเรียนของผมก็ยังถือว่าเป็นตึกรุ่นเก่าอยู่ดี อายุคงหลายสิบปี ตึกนี้คือตึกที่ไอ้นัยเคยมาประชุมเซลล์กรุ๊ปนั่นเอง

ตึกนี้เป็นอาคาร ๔ ชั้น ใช้เป็นห้องเรียนของนักเรียนระดับชั้น ม.๓ และ ม.๔ ห้องเรียนของผมและห้องเรียนของไอ้นัยปีนี้อยู่ชั้นเดียวกัน นับว่าใกล้กันขึ้นมาหน่อย แต่ก่อนห้องเรียนไกลแต่หัวใจอยู่ใกล้กัน มาปีนี้ห้องเรียนอยู่ใกล้แต่หัวใจกับอยู่ไกลกัน

ผมเข้าไปในตึกเรียนใหม่ของผมด้วยความรู้สึกแปลกๆ มันเป็นความรู้สึกแปลกหน้า ไม่คุ้นเคย การคละนักเรียนใหม่ทุกปีแม้ทำให้นักเรียนรู้จักกันทั่วถึงกันมากขึ้นก็จริง แต่เป็นการรู้จักที่ไม่สนิทสนมกันนัก เพราะความสนิทสนมต้องใช้เวลา ซึ่งบางครั้งอาจต้องยาวนานกว่าหนึ่งปี

เมื่อไปถึงห้องเรียน แทนที่ผมจะเข้าไปในห้องเรียนเลย ผมกลับเดินเลยไปอีกเพื่อไปยังห้องเรียนของไอ้นัย ห้องเรียนของมันอยู่ถัดจากผมไปเพียงไม่กี่ห้อง ที่นั่น ผมเห็นไอ้นัยมาถึงแล้ว กำลังนั่งก้มๆเงยๆจัดของอยู่ เมื่อไอ้นัยเห็นผม มันก็ก้มหน้าทำทีเป็นหาของ

ผมรู้สึกเจ็บแปลบเข้าไปในความรู้สึก ทุกครั้งที่ผมพบหน้าไอ้นัย ผมจะเห็นวงหน้าอันคมคาย แจ่มใส และมันจะยิ้มให้ผมเสมอ แม้ยามมันตีหน้าตายก็ยังดูเสมือนหนึ่งมันยิ้มให้ แม้ในยามมันเศร้าหมองผมก็ยังรู้สึกว่าไอ้นัยยังมีความอบอุ่นในดวงใจมอบให้แก่ผมเสมอ แต่วันนี้ มันแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นผม...

ผมเดินย้อนกลับมายังห้องเรียนของตนเอง ผมเข้าห้องเรียนใหม่ด้วยใจที่หวั่นไหว รู้สึกตื่นกลัว ผมกลัวเพื่อนใหม่ กลัวสังคมใหม่ รวมทั้งกลัวอนาคตอย่างไม่รู้สาเหตุ ที่จริงเพื่อนร่วมห้องของผมในปีนี้ก็ไม่ได้ใหม่เอี่ยมอ่องมากจากไหน ส่วนใหญ่ก็เคยเห็นหน้ากันมาแล้วทั้งนั้น เพียงแต่อาจไม่เคยคุยกันเท่านั้นเอง แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังรู้สึกตื่นกลัวอยู่ดี

ผมเลือกจับจองโต๊ะว่างหลังห้อง ผมนั่งหลังห้องมาสองปีจนเริ่มจะเคยชินแล้ว มาปีนี้จึงมองหาที่ว่างหลังห้องอีก ผมอดนึกถึงอ๊อด เพื่อนสนิทที่เข้าขากันได้ดีเมื่อปีที่แล้วไม่ได้ ป่านนี้มันคงจับจองโต๊ะว่างหลังห้องเช่นกัน เสียดายที่เราไม่ได้เรียนห้องเดียวกันอีก ผมถูกอัธยาศัยกับมันมาก

โต๊ะข้างๆผมมีเป้วางอยู่แล้ว แต่ไม่เห็นเจ้าของ เพื่อนโต๊ะติดกันของผมเป็นใครกันหนอ ถ้าเป็นไอ้นัยก็วิเศษเลย ผมคิดไปเรื่อยเปื่อย

หลังจากจับจองโต๊ะเรียบร้อย ผมก็ทักทายและแนะนำตัว ทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมห้องที่นั่งอยู่ในห้องในเวลานั้น แต่ละคนมาจาก ม.๒ ห้องต่างๆกัน ที่เป็นเพื่อนร่วมห้องเดิมของไอ้นัยก็มี

“เฮ้ ชื่อไรน่ะ” เสียงทักทายแว่วมาเข้าหูผม

“เฮ้ย กูถามมึงนั่นแหละ” เสียงนั้นถามซ้ำอีก แต่คราวนี้ดังขึ้น ผมสะดุ้งตื่นจากภวังค์ เมื่อหันไปมองก็เจ้าของโต๊ะติดกันกับผมนั่งอยู่ที่โต๊ะแล้ว และกำลังมองผมอยู่

“เอ้อ เอ้อ ชื่ออู” ผมตะกุกตะกัก

“อ้อ ยังได้ยินอยู่” เพื่อนคนใหม่ของผมหัวเราะ “ทีแรกยังนึกว่ามึงหูหนวกเสียอีก”

“พอดีคิดอะไรเพลินไปหน่อย นายชื่ออะไรล่ะ” ผมถาม เพื่อนไม่คุ้นเคยเรียกนายไปก่อน ยังไม่อยากใช้กูมึง

เพื่อนใหม่ของผมลูบเส้นผมของตนเองเล่น ผมสังเกตว่าผมของมันไม่ได้ดำขลับเหมือนเด็กทั่วไป แต่มีผมหงอกแซม เด็กในยุคของผมที่มีผมหงอกแซมตอนเป็นวัยรุ่นก็พอมีบ้างแล้ว แต่ในยุคหลังๆยิ่งพบมากขึ้น ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร

“ใครๆเรียกกูว่าแก่ว่ะ” มันพูด ตกลงมันมีชื่อเล่นว่าไอ้แก่นั่นเอง

ผมถอนใจ เพื่อนโต๊ะติดกันของผมแต่ละปีมีแต่เด็กประหลาดๆทั้งนั้น

หลังจากคุยแนะนำตัวกันสักพัก ผมก็ขอตัวออกมา ผมเดินออกมานอกห้องและแวะเวียนไปดูที่ห้องของไอ้นัย เดิมทีผมตั้งใจว่าจะไม่สนใจไอ้นัยมันอีกต่อไป มันจะไปทำอะไรที่ไหนก็ช่าง ชีวิตใครชีวิตมัน แต่แล้วในที่สุดผมก็แพ้ใจตัวเอง ผมเดินไปที่ห้องไอ้นัยอีกครั้ง

เมื่อผมเดินไปถึงก็เห็นไอ้นัยนั่งคุยอยู่กับเพื่อนใหม่ของมัน ไอ้นัยพอเหลือบมาเห็นผม มันก็หลบหน้าวูบ

ไอ้นัย มึงไม่คอยกู เสือกมาโรงเรียนคนเดียว แล้วยังหลบหน้ากูอีก มึงนะมึง ผมคิด จิตใจส่วนหนึ่งรู้สึกโกรธ แต่อีกส่วนกลับรู้สึกอ้างว้างอย่างประหลาด มันเป็นความรู้สึกของการสูญเสีย

“ไอ้ไก่อู” ผมสะดุ้งด้วยความตกใจ เสียงอันคุ้นเคยดังอยู่ข้างหูผม ทั้งโรงเรียนมีอยู่คนเดียวที่เรียกผมว่าไอ้ไก่อู

“ไอ้ห่าอ๊อด เสือกตะโกนกรอกหูกู” ผมหันไปด่าเจ้าของเสียง

อ๊อดหัวเราะร่า ดูมันดีใจที่เจอผม ผมเองก็ดีใจที่เห็นมันเช่นกัน

“มาด้อมๆมองๆอะไรที่ห้องนี้วะ มาหากูเหรอ” อ๊อดถาม

“อ้อ มึงเรียนห้องนี้เหรอ” ผมถาม ที่แท้อ๊อดเรียนห้องเดียวกับไอ้นัย

“อ้าว นึกว่ามาหากู มึงมาหาใครล่ะ” อ๊อดสงสัย

“เปล่าๆ แค่มาเดินดูเล่นๆว่าเพื่อนเก่าอยู่ห้องไหนกันบ้างเท่านั้นเอง” ผมบ่ายเบี่ยงไม่บอกความจริง

“อยากนั่งติดกับมึงอีกจัง” อ๊อดพูดด้วยสีหน้าจริงใจ “นั่งกับมึงแล้วรู้สึกว่ามันถูกโฉลกว่ะ ปีที่แล้วเกรดกูสวยเชียว”

ผมอดหัวเราะเยาะตนเองไม่ได้ แม้แต่ผมยังรู้สึกว่าตนเองเป็นตัวซวย เป็นเพื่อนใครคนนั้นก็มีแต่เคราะห์ร้าย แต่อ๊อดกลับมองผมเป็นตัวนำโชค อ๊อดเห็นคุณค่าในตัวผม แล้วไอ้นัยล่ะ มันเห็นคุณค่าของเพื่อนอย่างผมบ้างไหม...

- - -

เดือนมิถุนายน...

นับตั้งแต่เปิดเทอมเป็นต้นมา ผมและไอ้นัยไม่ได้พูดคุยกันอีกเลย รวมทั้งไม่ได้นั่งรถไปและกลับด้วยกันอีกด้วย ผมพยายามรอไอ้นัยในตอนเช้า แต่ก็ไม่เคยพบมันที่ป้ายรถเมล์เลยสักวัน ไม่รู้ว่ามันเปลี่ยนเวลาออกจากบ้านเป็นเวลาไหนกันแน่จึงสามารถเลี่ยงผมได้ทุกวัน ส่วนตอนกลับบ้านนั้น ไอ้นัยก็กลับบ้านไม่เป็นเวลา ไม่เจอมันที่ท่ารถสักวันเช่นกัน ส่วนในระหว่างเวลาเรียน เรายังเจอกันบ้างเพราะปีนี้เราเรียนอยู่ห้องใกล้ๆกัน แต่มันพยายามหลบหน้าผมตลอด แม้เจอกันจังๆก็ไม่ได้ทักทายกัน

ผมไม่ได้ทำงานที่สหกรณ์แล้วเพราะคิดว่าปีนี้ไอ้นัยอาจกลับไปทำงานที่สหกรณ์อีก ผมก็เลยไม่ไปดีกว่า เพราะผมรู้ดีว่าถ้าผมอยู่มันก็คงไม่ไปทำ ผมอยากให้มันมีกิจกรรมอะไรทำบ้าง จะได้ไม่เหงา เผื่อจะช่วยเรื่องเลิกกัญชาได้บ้าง ผมเคยแวะเวียนไปสืบข่าวเกี่ยวกับไอ้นัยที่สหกรณ์บ้าง แต่กลับพบว่าตั้งแต่เปิดเทอมไอ้นัยไม่ได้ขึ้นไปที่สหกรณ์เลย แต่แม้ผมจะรู้เช่นนั้น ผมก็ไม่ได้กลับไปงานที่สหกรณ์อีก เพราะยังเผื่อใจไว้ว่าสักพักไอ้นัยอาจกลับไปทำงานที่นั่นต่อ

ชีวิตนักเรียน ม.๓ ของผมไม่ค่อยราบรื่นเท่าใดนัก ระยะนี้ผมมักใจลอยเสมอ รวมทั้งเริ่มมีนิสัยแปลกแยก ไม่ค่อยชอบสุงสิงกับเพื่อนฝูง ทำให้ความสัมพันธ์กับเพื่อนๆโดยทั่วไปไม่ค่อยดีนัก เวลาเพื่อนๆจะไปไหนหรือจะทำอะไรกัน ใหม่ๆก็มักชวนผมด้วยเสมอ แต่พอนานวันเข้า เมื่อเพื่อนๆเห็นผมไม่ค่อยเข้ากลุ่มสุงสิงกับคนอื่นๆ เพื่อนๆก็ค่อยๆห่างออกไป มันทำให้ผมมีปัญหาเวลาทำงานกลุ่มบ้าง เพราะบางทีก็ไม่มีใครอยากชวนเข้ากลุ่มด้วย ผมมักต้องไปรวมกลุ่มกับพวกเศษเกินคนอื่นๆในห้องเสมอ แต่ผมก็ไม่ค่อยเดือดเนื้อร้อนใจอะไรนัก ตราบใดที่ผมยังพอมีกลุ่มให้เข้า ผมก็อยู่ของผมได้ ที่ผมสนใจมีอยู่เรื่องเดียวคือเรื่องไอ้นัย แม้ผมพยายามแสดงออกว่าผมตัดขาดกับมันและไม่สนใจมันอีกต่อไป แต่ที่จริงแล้วผมยังสนใจและเป็นห่วง รวมทั้งยังแอบติดตามความเป็นไปของมันอยู่เสมอ

ไอ้แก่ เพื่อนโต๊ะติดกันของผมนับเป็นเพื่อนที่ใช้ได้ทีเดียว แม้ผมของมันจะหงอก แม้ใบหน้าของมันจะดูแก่กว่าวัย ทำให้ดูอย่างไรก็ไม่หล่อ แต่แก่นิสัยดีมาก แม้ผมจะไม่ค่อยสนใจมันเท่าไร แต่มันคอยเป็นห่วงผมเสมอ ถึงขนาดในการทำงานกลุ่มบางครั้ง มันยอมไม่เข้ากลุ่มกับเพื่อนคนอื่นๆที่มาชวนมัน แต่มาจับกลุ่มกับผมเพราะกลัวว่าผมจะไม่มีกลุ่มอยู่ การกระทำของแก่ทำให้ผมนึกถึงตี๋ เมื่อก่อน ไม่มีใครเอามัน เป็นผมที่พยายามช่วยเหลือมัน ตอนนี้ผมกลับตกที่นั่งเดียวกันกับตี๋เสียเอง

“ไอ้อู” เสียงไอ้แก่เรียก พร้อมทั้งเอาศอกกระทุ้งสีข้างของผมขณะที่เราอยู่ในชั่วโมงภาษาไทย “อาจารย์เรียกมึง”

ผมสะดุ้งเฮือก อาจารย์เรียกตอนไหนหว่า ไม่ได้ยินเลย

“เอ้า เธอ ลุกขึ้นยืนแล้วตอบคำถามครูซิ” อาจารย์วิชาภาษาไทยเรียกผม

ฉิบหายละสิ อาจารย์ถามว่าอะไรหว่า เมื่อครู่ไม่ได้สนฟังอาจารย์สอนเลยแม้แต่น้อย เพื่อนหน้าแก่ของผมพยายามกระซิบบอก

“นี่ เพื่อนที่นั่งข้างๆน่ะ ไม่ต้องบอกเค้า” อาจารย์ดุแก่ แล้วหันหน้ามาทางผม “ตอบมาเร้ว”

“เอ้อ อ้า ผมไม่ได้ยินคำถามครับ” ผมสารภาพตามตรง

เท่านั้นเอง ผมก็โดนอาจารย์เทศนาชุดใหญ่ถึงความไม่เอาใจใส่ในการเรียนของผม ผมต้องยืนฟังอาจารย์เทศนาเป็นเวลานานด้วยความอับอายเพื่อนฝูง

ขณะที่ผมยืนฟังอาจารย์เทศน์อยู่นั่นเอง ผมเห็นร่างนักเรียนเดินผ่านหน้าห้องเรียนไป ไอ้นัยนั่นเอง...

ไอ้นัยเดินมาเห็นฉากสำคัญที่ผมกำลังโดนด่าพอดี พอไอ้นัยเห็นผม มันก็แกล้งเบือนหน้าไปทางอื่นแล้วเดินผ่านไป

ไอ้นัย ที่กูเป็นอย่างนี้ก็เพราะมึง มึงรู้บ้างไหม ตั้งแต่วันนั้น ใจกูไม่เคยมีความสุขเลย มึงรู้ไหมว่ามันทรมานขนาดไหนที่เห็นมึงไม่แยแสกู มึงจะง้อกูสักนิดไม่ได้เชียวหรือ ขอเพียงมึงง้อกูสักครั้งเดียว เราจะได้กลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม... ผมอ้อนวอนมันอยู่ในใจ

“โอ๊ย ตายแล้ว ครูจะบ้าตาย” เสียงอาจารย์เอะอะลั่น กระชากผมจนตื่นจากภวังค์ “นี่ขนาดครูกำลังอบรมเธออยู่ เธอยังไม่สนใจ โอยๆๆ”

การเดินผ่านหน้าห้องของไอ้นัยทำให้การเทศนาของอาจารย์ที่กำลังจะจบลงต้องยืดยาวออกไปอีกเท่าตัว ผมยืนก้มหน้านิ่ง รู้สึกชาไปหมดทั้งใบหน้าและลำตัว หลังจากนั้นตัวผมก็เริ่มสั่น ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวสั่นเพราะอะไร อาจจะเป็นความกลัวหรือความอับอายก็ได้ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยถูกอาจารย์ว่าต่อหน้าเพื่อนๆขนาดหนักเช่นนี้มาก่อน

หลังจากเทศนาจบลง ผมนั่งลงที่เก้าอี้ แต่ตัวยังไม่หายสั่น แก่เอามือมาบีบขาของผมเบาๆเป็นความหมายว่าใจเย็นๆเอาไว้ สักพักผมจึงสงบลงได้

- - -

หลังจากที่โดนเทศนาไปชุดใหญ่ วันนั้นผมเรียนหนังสือไม่รู้เรื่องเลย ผมคิดเตลิดเปิดเปิงไปถึงเหตุการณ์เก่าๆ วันเวลาที่ผมมีความสุขกับไอ้นัย จากนั้นจู่ๆผมก็หวนคิดถึงคำพูดของอ๊อด

“ยังงี้อกหักชัวร์ มึงจะไม่รับก็ช่างมึง...”

หรือนี่คืออาการอกหักจริงๆ และถ้าผมอกหักเพราะไอ้นัย ก็แปลว่าผมหลงรักมันเข้าแล้วน่ะสิ!!!

หลังเลิกเรียน ผมแอบเดินผ่านหน้าห้องของไอ้นัยอีก ตึกนี้มีบันไดสามทาง ที่ปีกตึกสองข้างและตรงกลาง ดังนั้นการที่ผมจะเดินผ่านห้องเรียนของไอ้นัยบ่อยๆจึงไม่ใช่เรื่องที่ผิดสังเกตแต่อย่างใด

ไอ้นัยไม่อยู่ในห้อง คงกลับไปแล้ว ผมหวนคิดคำพูดของอ๊อดวนเวียนไปมา แต่ก่อนผมไม่กล้าคิดและพยายามจะไม่คิดมัน แต่ตอนนี้ผมกำลังใช้ความคิดอย่างหนักเพื่อหาคำตอบให้แก่หัวใจของตนเอง

เมื่อไอ้นัยไม่อยู่ ผมก็เดินเรื่อยเปื่อย หัวใจอ้างว้าง ความคิดสับสน ไม่รู้จะไปไหนดี อยากขึ้นไปนั่งเล่นที่สหกรณ์เหมือนกัน ปีนี้พี่มั่วห่างไปแล้วเพราะว่าเรียนอยู่ชั้น ม.๖ ต้องเตรียมสอบเอนทรานซ์ พี่เอ้กับพี่หมีซึ่งเป็นพี่ ม.๕ เป็นคนกุมอำนาจการบริหารในสหกรณ์ คุยกับพี่สองคนนี้ก็สนุกดี แต่อย่าดีกว่า ไม่อยากโดนซักเรื่องไอ้นัย ขี้เกียจตอบคำถาม

ไปเดินเล่นวังบูรพาก่อนแล้วค่อยกลับบ้านก็แล้วกัน...

ผมเดินเรื่อยเปื่อยอยู่ในวังบูรพาสักพัก รู้สึกเบื่อหน่าย จึงเดินออกมาทางด้านถนนเจริญกรุง ฝั่งตรงข้ามร้านออนล็อกหยุ่น เพื่อรอรถเมล์กลับบ้าน

รถเมล์สาย ๘ คันที่มาแน่นขนัด ถ้าไม่ขึ้นรถที่ต้นสายอย่าหวังเลยว่าจะได้นั่ง ผมยืนเบียดอยู่ที่ประตูด้านหลังของรถอยู่หลายป้ายกว่าจะขยับขึ้นไปยืนบนรถได้

กระแสคนเบียดผมไหลไปเรื่อยๆจนไปได้ที่ยืนที่ด้านท้ายรถ และเมื่อผมมองไปข้างหน้า ผมเห็นเงาหลังอันคุ้นเคยยืนอยู่ด้านหน้าผมถัดไปไม่กี่ช่วงคน

ไอ้นัยนั่นเอง!

- - -
ฟังเพลง My Love is Like a Red Red Rose เพลงนี้เก่าแก่มาก และเป็นเพลงที่มีความหมายระหว่างผมและนัย ซึ่งจะได้เล่าต่อไป

Saturday, May 23, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 86

“เฮ้ย นี่เพื่อนกูเอง” ไอ้นัยรีบร้องห้าม

“เดี๋ยวแม่งเอาไปบอกตำรวจจะตายห่ากันหมด” วัยรุ่นคนหนึ่งที่จับตัวผมไว้พูด

“ไอ้ห่านี่ มึงไม่พูดเผื่อมันจะไม่รู้เรื่อง ดันเสือกพูดออกมาได้” วัยรุ่นอีกคนดุ

“ปล่อยเถอะ นี่เพื่อนสนิทกูเอง” ไอ้นัยพูดอีก “เพื่อนกูไม่พูดหรอก อย่าไปอัดมันเลย”

“ใครจะรับรองได้วะว่ามันจะไม่ปากสว่าง” วัยรุ่นคนหลังยังไม่ยอม

“กูรับรองเอง ถ้ามีอะไรมึงมาอัดกูละกัน” ไอ้นัยรับรองผม

“ถ้ามีอะไรก็คงเข้าโรงเรียนดัดสันดานกันหมด กูคงไม่ได้มาอัดมึงหรอก” วัยรุ่นคนแรกพูด

ผมจึงถูกคลายจากวงแขนที่ล็อกผมเอาไว้ เมื่อผมเป็นอิสระก็หันไปดูหน้าของคนที่ล็อกตัวผมเอาไว้ เห็นเป็นวัยรุ่นอายุราว ๑๕-๑๖ ปี โตกว่าผมและไอ้นัยหน่อย ตัวผอมๆ เท่าที่ฟังจากน้ำเสียงไม่ถึงกับดุร้าย น่าจะเป็นเป็นวัยรุ่นที่เพียงติดบุหรี่ คงไม่ถึงกับมีนิสัยชอบตีรันฟันแทง

ไอ้นัยถึงกับคบเพื่อนเกเรแบบข้ามรุ่นเลยทีเดียว เรื่องเลวๆทั้งหลายไอ้สองคนนี่มันคงเป็นคนสอนไอ้นัยเป็นแน่

“พวกมึงออกไปก่อนละกัน เดี๋ยวกูขอคุยกับมันก่อนแล้วค่อยตามออกไป” ไอ้นัยพูดกับไอ้สองคนนั่น มันพูดกูมึงกับเด็กโตกว่าอย่างไม่เคอะเขิน นี่ถ้าพูดแบบนี้กับรุ่นพี่ในโรงเรียนมีหวังโดนเตะแน่

สองคนนั่นบ่นพึมพำอีกเล็กน้อย ด่าผมที่เข้ามาวุ่นวาย หลังจากนั้นก็ปีนรั้วออกจากบ้านร้างไป

“ไปกันเถอะอู” ไอ้นัยพูดกับผมด้วยเสียงราบเรียบ

“ไอ้นัย มึงเป็นอะไรไปวะเนี่ย” ผมถามมัน ทั้งตกใจในสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งเป็นห่วงในพฤติกรรมของเพื่อนรักที่นับวันจะแปลกขึ้นทุกวัน

“ไปคุยกันที่บ้านเถอะ เดี๋ยวใครเข้ามาเห็นจะหนีไม่ทัน” ไอ้นัยเตือน พลางรีบพาผมปีนออกจากบ้านร้างหลังจากที่สองคนนั้นออกไปแล้วครู่หนึ่ง

ผมพยายามสะกดกลั้นใจไม่ถามอะไรระหว่างเดินไปที่บ้านของไอ้นัย มีคำถามมากมายที่ผมต้องการรู้คำตอบ

“นี่มึงเป็นอะไรไปวะไอ้นัย” ผมรีบถามมันทันทีที่ก้าวเข้าไปในบ้าน

“ก็ไม่ได้เป็นไรนี่” ไอ้นัยตอบด้วยเสียงราบเรียบ

“แบบนี้ยังบอกไม่เป็นไรอีก แล้วนี่มึงสูบอะไรกันแน่ ถ้าสูบบุหรี่ทำไมถึงต้องแตกตื่นกันขนาดนี้” ผมคาดคั้นต่อ

“...”

“ไอ้นัย มึงสูบอะไรกันแน่ มึงนึกว่ากูโง่จนไม่รู้อะไรเลยเหรอ” ผมเอ็ดมันเสียงดัง แล้วผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “เฮ้ย มึงสูบเฮโรอีนเหรอ”

ไอ้นัยรีบเอามือมาอุดปากผม “อย่าเอะอะสิวะ เดี๋ยวใครได้ยินเข้า”

“ตายห่า มึงสูบเฮโรอีน” ผมครางด้วยความตกใจสุดขีด

“จะบ้าเหรอ เปล่าโว้ย” ไอ้นัยปฏิเสธ แล้วเงียบไปครู่หนึ่ง “แค่กัญชา” ไอ้นัยพูดอ้อมแอ้ม

“หา มึงสูบกัญชา” ผมเอะอะอีก ไอ้นัยรีบอุดปากผมอีกรอบ “อย่าเสียงดังสิวะอู”

แค่สูบบุหรี่ยังพอยอมรับได้ แต่ไอ้นัยสูบกัญชา ถือว่าเสพยาเสพย์ติด มันยากที่ผมจะทำใจยอมรับได้

“นี่มึงถึงกับเล่นยาเสพย์ติดเลยเหรอ” ผมคราง

ไอ้นัยนิ่งเงียบ เดินไปเปิดตู้เย็นรินน้ำเย็นดื่มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“เฮ้ย นี่มึงไม่รู้สึกอะไรเลยหรือไง” ผมว่ามัน

ไอ้นัยเงียบอีก ทำโน่นทำนี่ไป ผมรู้สึกโมโหที่มันทำเป็นทองไม่รู้ร้อน

“งั้นกูต้องบอกคุณอาละนะ” ผมเตือนมัน ที่จริงเด็กๆไม่ค่อยชอบเอาเรื่องไปฟ้องผู้ใหญ่ ชอบจัดการกันเองมากกว่า แต่ผมคิดว่าเรื่องนี้มันใหญ่เกินกว่าที่ผมจะจัดการได้

“อย่านะอู” ไอ้นัยทำหน้าตกใจ

ที่จริงผมเองก็ไม่อยากบอกคุณอา เพราะถ้าคุณอารู้ ผมเองก็คาดไม่ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับไอ้นัยบ้าง รวมทั้งถ้าเรื่องบานปลายออกไป ไอ้นัยนอกจากถูกคุณอาเล่นงานแล้ว ยังอาจถูกไอ้สองคนนั้นเล่นงานเอาได้ มันอุตส่าห์รับรองผมเอาไว้เพื่อช่วยให้ผมปลอดภัย แล้วผมจะทำร้ายมันได้อย่างไร แต่ผมเองก็ไม่แน่ใจนักว่าการบอกผู้ใหญ่กับการไม่บอกผู้ใหญ่ อย่างไหนจะทำร้ายมันมากกว่ากัน

ผมด่ามันไปยกใหญ่ด้วยความโมโห และก็เผื่อว่ามันจะรู้สำนึกขึ้นมาบ้าง แต่ผมคิดผิด...

“โอ๊ย หยุดบ่นเสียทีได้มั้ย หนวกหูโว้ย” ไอ้นัยเอ็ดตะโรใส่ผมอย่างเหลืออด เสียงของไอ้นัยดังจนผมตกใจ “สอนอยู่ได้ มึงจะเป็นพ่อกูหรือไง”

ไอ้นัยพูดแล้วก็ชะงักไป ผมเองก็ชะงัก จริงสินะ ไอ้นัยไม่เคยพูดถึงพ่อเลยสักครั้ง เพิ่งจะได้ยินมันพูดอะไรที่เกี่ยวกับพ่อก็วันนี้เอง

ผมฉุกใจเกี่ยวกับคำพูดของไอ้นัยได้เพียงแว่บเดียวก็ถูกความโกรธบดบังไปจนหมด นี่มันเห็นกงจักรเป็นดอกบัวแล้วยังไม่ยอมรับความจริงอีก

“ไอ้นัย กูผิดหวังมึงจริงๆ มึงทำผิดแล้วยังไม่สำนึกอีก กูไม่อยากมีเพื่อนขี้ยาโว้ย” ผมกระชากเสียงใส่มันบ้าง

ดูเหมือนคำว่าขี้ยากระแทงใจดำของไอ้นัย มันหน้าแดงขึ้นมาทันที

“งั้นมึงก็อย่ามายุ่งกับกูสิ จะไปไหนก็ไปเลย” ไอ้นัยตะโกน เสียงของมันแหบแห้งจนผมเองแทบจำเสียงไม่ได้

“เออ มึงไล่กู กูหวังดีต่อมึงมาตลอด แต่วันนี้มึงไล่กู...” ผมพูดด้วยความเจ็บช้ำน้ำใจ “ได้ ถ้ามึงไม่เลิกสูบกัญชา มึงก็จะเสียเพื่อนคนนี้ไป”

ในเมื่อผมบอกผู้ใหญ่ไม่ได้ ผมจึงต่อรองกับไอ้นัยเป็นครั้งสุดท้าย ด้วยเดิมพันที่สูงค่าที่สุดในชีวิตของผม นั่นคือมิตรภาพระหว่างเราสองคน ถ้ามันอยากได้เพื่อนคนนี้ มันต้องเลิกกัญชาให้ได้ ผมคงพอมีน้ำหนักอยู่ในใจของมันบ้างกระมัง...ไม่รู้สินะ

“มึงจะเลิกคบกับกูเหรอ” ไอ้นัยถาม ผมเดาไม่ออกว่ามันกำลังอยู่ในอารมณ์ใด

“ถ้ามึงไม่เลิกสูบกัญชา” ผมพูด เมื่อพูดจบผมรู้สึกหนาวยะเยือกอยู่ในหัวใจ

“พอรู้ว่ากูสูบกัญชา มึงก็รังเกียจกูขนาดนี้เลยเหรอ” ไอ้นัยพูดเหมือนพึมพำกับตนเอง

ผมออกจากบ้านไอ้นัยด้วยความรู้สึกที่สับสนไปหมด ทั้งโกรธ ทั้งเกลียด ทั้งเสียใจ แม้แต่ผมเองก็แยกแยะไม่ออกว่าโกรธใคร เกลียดใคร และเสียใจให้แก่ใคร...

- - -

คืนนั้น ตั้งแต่หัวค่ำเป็นต้นมา ผมกระสับกระส่ายอยู่ตลอดเวลา ใจคอยคิดถึงแต่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อบ่าย ผมคอยโทรศัพท์อยู่ตลอดเวลา หวังลมๆแล้งๆว่าไอ้นัยจะโทรมาเพื่อคุยกันให้หายคาใจ รวมทั้งรับปากว่าจะเลิกสูบกัญชา

“อู วันนี้เป็นอะไรไปน่ะ กระสับกระส่ายตลอดเวลา ป้าเห็นอูแล้วก็พลอยกระสับกระส่ายไม่มีสมาธิไปด้วย” คุณป้าดุผมด้วยความรำคาญ หลังจากที่เห็นผมผุดลุกผุดนั่งไม่เป็นสุข

“ขอโทษครับ” ผมพูด ว่าแล้วก็รีบหนีขึ้นข้างบนไป ใจจริงอยากอยู่ใกล้ๆโทรศัพท์ แต่คงไม่เหมาะเสียแล้ว

เวลาผ่านไปจนดึกโดยไม่มีวี่แววว่าไอ้นัยจะโทรมาเลย จนได้เวลาเข้านอน ผมนอนไม่หลับ พลิกไปพลิกมา ใจยังมีความหวังใยเล็กๆว่าไอ้นัยจะโทรมา ผมคอยโทรศัพท์จนกระทั่งผล็อยหลับไป

วันรุ่งขึ้น ไอ้นัยก็ยังเงียบ...

หลายวันผ่านไป ไอ้นัยไม่เคยโทรมาหาผมเลย

ผมรู้สึกสะเทือนใจมาก การเงียบไร้การติดต่อของไอ้นัยเท่ากับเป็นคำตอบแก่ผมว่าไอ้นัยเลือกที่จะอยู่ข้างใด ผมตีค่าตนเองสูงเกินไป นึกว่าจะพอมีน้ำหนักอยู่ในหัวใจของไอ้นัยบ้าง แต่ที่แท้ก็ไม่มีเลย... ผมรู้สึกอ้างว้าง เลื่อนลอย และหวาดกลัว...

- - -

ต้นเดือนพฤษภาคม ในที่สุดก็ถึงวันลงทะเบียนเรียนในปีการศึกษาใหม่

ผมใส่ชุดนักเรียนใหม่ออกจากบ้านตั้งแต่เช้า แทนที่จะกระตือรือร้นที่จะได้เจอเพื่อนๆ ผมกลับออกจากบ้านด้วยใจที่หวั่นไหว ผมกลัวที่จะเผชิญหน้ากับความจริงที่กำลังจะเกิดขึ้น

เช้าวันนี้ผมไม่เห็นไอ้นัยรอผมที่ป้ายรถเมล์เหมือนเช่นที่เคยเป็นมา

มันอาจจะยังมาไม่ถึงน่ะ คอยหน่อยละกัน ผมคิดในใจ ในใจของผมมักเหลือความหวังใยเล็กๆอยู่ใยหนึ่งเสมอ

ผมคอยอยู่จนเกือบครึ่งชั่วโมง มันผิดเวลาไปมากแล้ว ผมยังไม่เห็นไอ้นัย ในที่สุดผมก็ต้องยอมรับความจริงว่าไอ้นัยไม่ได้เลือกผม...

วันนั้นผมนั่งรถเมล์ไปโรงเรียนคนเดียว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมไปโรงเรียนคนเดียว แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกอ้างว้างและเลื่อนลอยอย่างที่สุด มันเหมือนกับว่าชีวิตของผมหายไปครึ่งชีวิต

เมื่อไปถึงโรงเรียน ผมพยายามเก็บงำอาการเอาไว้อย่างดีที่สุด ไม่อยากให้เพื่อนๆผิดสังเกตเพราะไม่อยากคอยตอบคำถาม

วันลงทะเบียนเรียนเป็นวันแรกที่พวกนักเรียนได้เจอกันหลังจากการปิดภาคฤดูร้อนอันยาวนาน นอกจากการลงทะเบียนเรียนแล้ววันนี้ยังเป็นวันที่เราจะได้รู้ว่าในปีนี้เราจะได้อยู่ห้องใด และมีใครเป็นเพื่อนร่วมห้องบ้าง ตามนโยบายคละนักเรียนใหม่ทุกปีของทางโรงเรียน

พวกเราคุยทักทายกันวุ่นวายไปหมด ผมได้เจอตี๋ ผลการเรียนของตี๋ปีที่แล้วไม่ค่อยสวยนัก น่าจะเป็นเพราะมีเรื่องให้มันกระทบกระเทือนใจจนส่งผลกับการเรียน ส่วนอ๊อดนั้นผลการเรียนได้เกือบๆ ๓ ซึ่งอ๊อดพอใจมาก อ๊อดแปลกใจที่รู้ว่าเกรดเฉลี่ยของผมร่วงลงจาก ๓ กว่าๆลงมาเหลือเกรด ๒ ปลายๆ

“โห ไม่น่าเชื่อเลยว่าเกรดจะร่วงได้ขนาดนี้ ยังงี้อกหักชัวร์ มึงจะไม่รับก็ช่างมึง” อ๊อดพูดอย่างมั่นใจ

สำหรับไอ้นัยนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมาผมยังไม่มีโอกาสได้รู้ผลสอบของมันเลย มาวันนี้ผมจึงหาโอกาสสืบเกรดของมันจากเพื่อนที่เรียนอยู่ห้องเดียวกับมัน และก็ได้รู้ว่าไอ้นัยเทอมที่แล้วไอ้นัยพลาด ได้เกรดไม่ถึง ๓.๕

ผมยืนดูบอร์ดรายชื่อห้องเรียนใหม่ในระดับชั้น ม.๓ ของผม มีเพื่อนเก่าที่มาจากชั้น ม.๑ และ ม.๒ เพียงไม่กี่คนเท่านั้น ผมหวังว่าปีนี้อาจโชคดีได้เรียนห้องเดียวกับไอ้นัย แต่แล้วก็ต้องผิดหวัง

ผมละสายตาจากบอร์ด และถอยออกมาเพื่อให้คนอื่นๆได้เข้ามาดูบ้าง ทันใดนั้นเอง สายตาของผมก็ประสานกับสายตาที่ผมคุ้นเคยมาแต่เยาว์วัย

ผมถอยออกมาโดยไม่พูดอะไร ไอ้นัยเองก็ทำสีหน้าเรียบเฉย ไม่พูดอะไรเช่นกัน

เอาสิวะ ถ้ามึงเลือกกัญชา กูก็ถือว่าไม่มีเพื่อนอย่างมึง ผมคิดในใจ ในความท้อแท้ ทิษฐิได้กลับกลายเป็นพลังให้แก่ผม



<กัญชาเป็นพืชล้มลุกจำพวกหญ้า ขึ้นได้ง่ายในเขตร้อน ส่วนที่นำมาเสพได้แก่ก้าน ใบ และยอดช่อดอก โดยนำมาตากแห้งแล้วหั่นซอย กัญชามีวิธีเสพหลายรูปแบบ โดยการสูบ ได้แก่การสูบจากอุปกรณ์เฉพาะที่เรียกว่าบ้องกัญชาก็ได้ บ้องไม้ไผ่ที่เห็นในภาพล่างซ้ายมือคือบ้องกัญชานั่นเอง หรือยัดไส้บุหรี่สูบก็ได้ นอกจากนี้ยังสามารถใช้ผสมในอาหารหรือเคี้ยวกินเฉยๆก็ได้ สามารถออกฤทธิ์ได้เหมือนกัน กัญชามีศัพท์สแลงในหมู่นักเสพว่า ‘เนื้อ’ เมื่อนำมายัดไส้บุหรี่จะมีศัพท์สแลงเรียกว่า ‘พันลำ’

กัญชาเป็นยาเสพย์ติด ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง กล่าวคือ ทั้งกระตุ้นประสาท กดประสาท และหลอนประสาท ในเบื้องต้นจะออกฤทธิ์กระตุ้นประสาทก่อน ทำให้ตื่นเต้น ตกใจง่าย ช่างพูด หัวเราะง่าย เหมือนทำให้อารมณ์ดีขึ้น ทำให้บางคนคิดว่ากัญชาสามารถคลายทุกข์โศกได้ ถ้าเสพมากในปริมาณระดับหนึ่งจะกลายเป็นกดประสาท ทำให้ผู้เสพมีอาการเมาอย่างอ่อนๆ ซึม ง่วงเหงาหาวนอน และถ้าเสพในปริมาณมากยิ่งขึ้นไปอีกจะกลายเป็นหลอนประสาท ทำให้ผู้เสพเห็นภาพลวงตา หูแว่ว ขาดสติ

สมัยก่อน การปรุงอาหารในต่างจังหวัดบางบ้านที่รู้จักสรรพคุณของกัญชาอาจนำกัญชามาผสมอาหารด้วยเล็กน้อย เพราะจะทำให้ผู้รับประทานอาหารอารมณ์ดี ครื้นเครง ต่อมาร้านอาหารบางร้านหัวใสนำกัญชามาแอบใส่ในอาหารของตน ทำให้ลูกค้ากินแล้วติดใจ ขายอาหารได้มากขึ้น แต่ปัจจุบันไม่น่ามีแล้ว เพราะกัญชาหายากขึ้น อีกอย่าง กัญชาเป็นยาเสพย์ติดให้โทษ การครอบครองและการเสพเป็นความผิดตามกฎหมาย>

Wednesday, May 20, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 85

ปิดเทอมปีนี้เป็นปีที่เซ็งอย่างที่สุด ผมเปลี่ยนเป็นเงียบขรึมและคิดถึงแต่ไอ้นัยเกือบตลอดเวลา บางวันผมนั่งอยู่ใกล้ๆโทรศัพท์เป็นชั่วโมงด้วยความหวังลมๆแล้งๆว่าไอ้นัยจะโทรมาหาผมบ้าง ทุกคนลงความเห็นตรงกันว่าผมเปลี่ยนไปมาก และพยายามสืบหาสาเหตุของความเปลี่ยนแปลงนี้

“อู ตอนนี้นัยอยู่ไหนเนี่ย” จู่ๆเอ๊ดถามผมขึ้นมาในวันหนึ่ง

“จะไปรู้ได้ไง” ผมตอบกวนๆ รู้สึกอารมณ์ไม่ดีนิดหน่อยเมื่อถูกถามถึงเรื่องไอ้นัย “ไม่ได้เฝ้ามันเอาไว้นี่”

“ก็นั่นดิ แล้วอูไม่อยากรู้หรือว่าตอนนี้นัยเป็นยังไง ทุกทีพอปิดเทอมอูทั้งเขียนจดหมาย ทั้งโทรศัพท์ ปีนี้เงียบสนิท” เอ๊ดพูด “แถมอูยังไปนั่งเฝ้าเครื่องโทรศัพท์อีก ยังงี้โกรธกันชัวร์ ทำไมโกรธกันเป็นเดือนๆแล้วยังไม่หายสักที”

ในที่สุดผมก็ตกหลุมพรางที่เอ๊ดขุดเอาไว้จนได้

ผมรู้สึกว่าทุกคนในบ้านกำลังพยายามสืบเสาะเพื่อค้นหาความลับในใจของผม ถ้าทุกคนรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับไอ้นัยนั้นมีเรื่องที่ลึกล้ำเกินกว่าเพื่อนสนิทจะมีต่อกัน อะไรจะเกิดขึ้น ในวูบหนึ่งของความคิดผมคิดไปถึงตอนที่ผมกำลังสืบเสาะความลับของไอ้นัย...

ผมรู้สึกว่าอันตรายกำลังมาใกล้ตัว ยิ่งอยู่บ้านนานผมก็ยิ่งเผยพิรุธ ผมจำเป็นต้องหนีเอาไว้ก่อน ดังนั้นเพียงปลายเดือนเมษายน ผมก็เข้ากรุงเทพฯด้วยข้ออ้างที่ว่าผมต้องการมีเวลาซ้อมเปียโนในช่วงปิดเทอมให้มากขึ้น แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นเพราะที่ผมเข้ากรุงเทพฯเร็วเพราะว่าผมคิดถึงไอ้นัย และผมต้องการจะหนีจากทุกคนที่กำลังพยายามสืบเสาะความลับของผม

- - -

ผมกลับมาอยู่กรุงเทพฯได้กว่าหนึ่งสัปดาห์แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้โทรศัพท์ไปหาไอ้นัยสักทีเพราะทิษฐิที่ค้ำคออยู่ คงเป็นการเสียหน้าอย่างมากถ้าจะโทรไปหามันก่อน เดิมทีผมคิดว่าเมื่อผมมาอยู่กรุงเทพฯแล้ว แม้ไม่ติดต่อกัน แต่ผมคงคลายความคิดถึงไอ้นัยลงไปได้บ้าง เพราะอย่างน้อยความรู้สึกที่ว่าเราอยู่ใกล้กันคงทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น แต่ที่ไหนได้ ผมกลับยิ่งรู้สึกคิดถึงมันยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ความเหงาทำให้ผมใช้เวลาไปกับการซ้อมเปียโนให้มากขึ้น แต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก

ผมรอให้ถึงวันเสาร์เพื่อที่จะดักเจอไอ้นัย จะได้ไปเรียนดนตรีด้วยกัน แต่ผมก็ไม่พบไอ้นัยที่ป้ายรถเมล์เลย หรือมันจะไปแต่เช้าก็อาจเป็นได้ เพราะมันยังไม่รู้ว่าผมมากรุงเทพฯแล้วจึงไม่ได้รอผมที่ป้ายรถเมล์เช่นปกติ

เมื่อไปถึงโรงเรียน ผมไปด้อมๆมองๆดูไอ้นัยที่ห้องเรียนกีตาร์แต่ก็ไม่พบ เมื่อถามครูจึงได้รู้ว่าไอ้นัยไม่ได้มาเรียนในวันนั้น

วันนั้นทั้งวัน จิตใจผมร้อนรุ่มไปหมด คิดถึงแต่ไอ้นัย จะทำอะไรก็ไม่มีสมาธิ ผมใช้เวลาช่วงบ่ายวันเสาร์เดินเล่นอยู่ในสยามและมาบุญครองเผื่อว่าจะคลายเหงาได้บ้าง แต่ยิ่งเดินก็ยิ่งเหงา ครั้นพออยู่เฉยๆก็ยิ่งว้าวุ่นใจ

วันจันทร์ต่อมา ผมทนอยู่ที่บ้านต่อไปอีกไม่ไหว จึงหอบแบบเรียนเปียโนไปที่โรงเรียนดนตรีเพื่อจะซ้อมเปียโนฆ่าเวลา เผื่อว่าดนตรีจะช่วยคลายความร้อนรุ่มในหัวใจของผมลงได้บ้าง

แบบเรียนเปียโนเล่มแรกในชีวิตของผมก็คือแบบเรียนเปียโนของจอห์น ทอมป์สัน เล่ม ๑ ซึ่งในยุคที่ผมเรียนและยุคก่อนหน้านั้นนิยมใช้กันมาก ครูของผมบอกว่าเล่ม ๑ นี้ปกติใช้เวลาเรียน ๖ เดือนถึง ๑ ปี แล้วแต่ความสามารถ แต่ผมคงเป็นเด็กมีความสามารถพิเศษ เพราะกว่าจะเรียนเล่ม ๑ จบก็ใช้เวลาเกือบหนึ่งปีครึ่ง

ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ผมเรียนแบบเรียนเล่ม ๑ จนจบ และได้ขึ้นแบบเรียนเล่ม ๒ แต่เพิ่งหัดไปได้สองสามเพลงก็ติดสอบปลายภาค หลังจากนั้นก็กลับบ้านไป เพิ่งจะมีโอกาสได้หัดต่อก็ตอนนี้นี่เอง

เมื่อหัดเพลงที่สามได้แล้ว การบ้านที่ผมได้รับมาจากการเรียนเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาก็คือ ให้ผมลองหัดเพลงที่สี่เอง แล้วนำไปเล่นให้ครูฟังในสัปดาห์หน้า

เมื่อผมก็เริ่มหัดเพลงที่สี่ของเล่ม ผมลองใช้มือขวาเล่นแนวทำนองดูก่อน

เอ เพลงนี้คุ้นๆแฮะ ผมนึกในใจ ทำนองนี้คล้ายเคยได้ยินจากที่ไหน

ผมเหลือบดูชื่อเพลง เห็นเขียนเอาไว้ว่า MINUET แล้วมีชื่อผู้ประพันธ์เขียนตัวเล็กๆเอาไว้ว่า Johan Sebastian Bach หลังจากจิ้มคีย์เปียโนไปตามตัวโน้ตอีกสักพัก ผมก็นึกออก

นี่มันทำนองเพลง A Lover’s Concerto นี่หว่า เสียงตัวโน้ตนี่ใช่เลย เพียงแต่จังหวะแตกต่างออกไปบ้าง

พริบตานั้น ความทรงจำในอดีตก็ไหลพรั่งพรูเข้ามาในห้วงความคิดคำนึงของผม สายฝนที่โปรยปรายเหนือบึงน้ำ ระลอกในบึงที่พลิ้วเลื่อมพราย ไอ้นัยกำลังดีดกีตาร์ใต้พลาสติกกันฝนที่ผมกางคลุมให้มัน... เสียงกีตาร์ของไอ้นัยเหมือนกำลังดังก้องอยู่ในหูของผม...

ผมปิดหนังสือแบบเรียนและรีบเดินไปที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะหน้าโรงเรียนดนตรีทันที

ไอ้นัย กูยอมแพ้มึง ยอมเสียหน้าก็ได้วะ คิดถึงมึงเหลือเกิน ผมคิดในใจ และรีบต่อโทรศัพท์ไปที่บ้านไอ้นัย

“ฮัลโหล” เสียงคุณอาผู้หญิงรับสาย

“สวัสดีครับคุณอา ผมอูครับ” ผมทักทาย “นัยอยู่ไหมครับ”

“หวัดดีจ้ะอู” คุณอาตอบ “นัยอยู่ เอ๊ะ ไม่อยู่”

จะเอายังไงกันแน่ อยู่หรือไม่อยู่ครับ ผมถามในใจ แต่ไม่กล้าออกเสียง

“คือนัยไม่ได้ไปไหนหรอก แต่ว่าตอนนี้ไม่อยู่ในบ้าน คงไปเล่นกับเพื่อนบ้านแถวนี้แหละ” คุณอาตอบเหมือนรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่

ไอ้นัยมีเพื่อนวัยเดียวกันแถวบ้านแล้วหรือนี่ ไม่ยักรู้มาก่อน

“เดี๋ยวผมเข้าไปหานัยนะครับคุณอา” ผมพูด

“เข้ามาสิ เดี๋ยวนัยก็คงกลับเข้ามา” คุณอาตอบ

ผมนั่งรถกลับจากโรงเรียนดนตรีเพื่อไปหาไอ้นัย ทั้งๆที่เพิ่งเข้าไปซ้อมได้ไม่ถึงสิบห้านาที แต่ทำอย่างไรได้ ถึงอยู่ซ้อมต่อไปผมก็คงไม่มีสมาธิ

ใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดผมก็มาถึงบ้านไอ้นัย ผมไม่ได้มาหาไอ้นัยหลายเดือนแล้วตั้งแต่เราหมางเมินกัน

คุณอาผู้หญิงออกมาปิดประตูรับผม ตอนนั้นคุณอาอยู่บ้านกันทั้งสองคน แต่กำลังเตรียมตัวจะออกไปข้างนอก

“อ้าว อู เป็นไงบ้าง ไม่ได้เจอกันเสียนาน” คุณอาผู้ชายทัก หลังจากที่ผมเข้ามาในบ้านแล้วและยกมือไหว้

“ครับ กลับบ้านไปเสียนานเลย” ผมตอบ

“เสียดายนะที่อูซ่อมบ้าน นัยเลยไม่ได้ไปเที่ยวปิดเทอมนี้ นัยเหงาไปเลย” คุณอาพูด

เอ๊ะ ผมซ่อมบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่กัน คำพูดของคุณอาทำให้ผมงุนงง

“ซ่อมบ้านที่ไหนกันครับ” ผมถาม

“อ้าว ก็บ้านคุณพ่ออูไง นี่ไม่ได้ซ่อมบ้านหรอกเหรอ” คุณอาทำหน้าสงสัย

ฉิบหายล่ะสิ ไอ้นัยคงไปโกหกคุณอาเอาไว้ เพื่อที่จะหาข้ออ้างไปกับพี่เต้กระมัง

“เอ้อ ซ่อม... ซ่อมครับ” ผมตกบันไดพลอยโจน “แต่ผมงง นึกว่าคุณอาหมายถึงบ้านที่กรุงเทพฯนี่”

ไม่รู้ว่าโกหกได้เนียนหรือเปล่า แต่คุณอาก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ

“แล้วนัยไปเที่ยวไหนบ้างหรือเปล่าครับ” ผมถามบ้าง

“ไม่ได้ไปไหนเลย ถึงว่านัยเค้าเหงาไง แต่ก็โชคดี นัยเค้าไปเข้ากลุ่มกับเพื่อนบ้านที่เป็นเด็กรุ่นเดียวกันได้ ช่วงหลังก็พอหายเหงา” คุณอาเล่าให้ฟัง จากนั้นก็ทำหน้าฉงนอีก “เอ๊ะ นี่ปิดเทอมไม่ได้คุยกันเลยหรือไง ท่าทางอูไม่รู้เรื่องอะไรเลย”

“เอ้อ คุยครับ” ผมดำน้ำไปเรื่อยๆ “แต่ผมหมายถึงช่วงนี้น่ะครับ พอดีไม่ได้คุยกันหลายวันแล้ว” คุณอาฟังแล้วจะเชื่อผมไหมนี่ ผมก็ได้รู้เพิ่มมาอีกอย่างก็คือ ไอ้นัยไม่ได้ไปไหน แสดงว่ามันไม่ได้เที่ยวกับพี่เต้ ผมยิ่งงงหนักว่าเกิดอะไรขึ้น

“ผมขอไปอ่านการ์ตูนในห้องนัยนะครับ อยากอ่านการ์ตูนจัง” ผมรีบหาเรื่องปลีกตัวออกมาจากคุณอาทั้งสองคน หากคุยกันต่อสงสัยจะอันตราย

“อากำลังจะออกไปพอดี งั้นอาฝากดูแลบ้านด้วยละกัน” คุณอาพูด

เมื่อคุณอาทั้งสองออกไปแล้ว ผมก็เดินขึ้นชั้นสองไปยังห้องนอนของไอ้นัย เห็นกีตาร์ตัวโปรดวางอยู่ที่มุมห้อง ห้องนอนของไอ้นัยยังเหมือนเดิม แต่เจ้าของกลับเปลี่ยนไป

เมื่อไม่มีใครอยู่ ผมจึงได้โอกาสค้นห้องไอ้นัยเสียเลย อยากรู้ว่ามันซ่อนความลับอะไรเอาไว้บ้าง ความตั้งใจของผมที่จะไขความลับของไอ้นัยยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

ผมรู้ดีว่าไอ้นัยมีช่องลับสำหรับซ่อนสิ่งของเอาไว้ที่ใดบ้าง เป็นธรรมดาของเด็กวัยรุ่นที่อาจมีเรื่องที่ไม่อยากให้ผู้ใหญ่รู้ ในลิ้นชักโต๊ะของมันมีอยู่ที่หนึ่ง มันทำเป็นกล่องเล็กๆติดกาวเอาไว้กับเพดานลิ้นชัก แต่ก่อนมันเอาไว้ซ่อนของสัปดน เช่น ไพ่ลามก คือเป็นสำรับไพ่ที่มีแต่รูปผู้หญิงโป๊ หรือปากกาผู้หญิงโป๊ คือเป็นปากกา พอคว่ำปากกาไปทางหนึ่ง จะเห็นผู้หญิงอยู่ในชุดดำ พอคว่ำอีกทางหนึ่ง หมึกก็จะไหลออกไป ผู้หญิงชุดดำกลายเป็นผู้หญิงไม่ใส่เสื้อผ้า ของพวกนี้ก็ได้มาจากเพื่อนๆนั่นเอง

ผมล้วงมือเข้าไปในกล่องลับในลิ้นชัก พบว่าในนั้นมีของอยู่ ลักษณะเป็นกล่องสี่เหลี่ยม นิ่มๆ

อะไรวะ ผมสงสัย พลางล้วงของนั้นออกมา

บุหรี่!!!

ของที่ผมล้วงออกมาเป็นซองบุหรี่ บุหรี่ซองนี้ถูกแกะออกมาแล้ว ปากซองถูกฉีกเปิดออกหมด เห็นข้างในมีบุหรี่อยู่ราว ๖-๗ มวน บางมวนมีลักษณะเหมือนถูกขยำจนเยินไปหมด แต่บางมวนก็อยู่ในสภาพเรียบร้อย

ไอ้นัยสูบบุหรี่หรือนี่ ผมตกใจมาก นึกไม่ถึงว่าเด็กดีอย่างไอ้นัยจะริสูบบุหรี่ นี่มันเริ่มสูบตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

ผมพยายามปะติดปะต่อเหตุการณ์... หรือว่าไอ้นัยไปหัดมาจากเด็กในซอยที่คุณอาบอกว่าเป็นเพื่อนบ้านในซอยวัยเดียวกันกับไอ้นัย?

ผมคิดต่อไปอีกว่า ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้ที่ไอ้นัยไม่อยู่บ้าน ก็อาจกำลังมั่วสุมอยู่กับเพื่อนกลุ่มนี้อยู่ ไม่แน่ว่าอาจจะกำลังสูบบุหรี่กันอยู่ก็ได้

และถ้าพวกมันสูบบุหรี่กันจะไปสูบที่ไหน ถ้าเป็นเด็กอื่นผมไม่รู้ แต่ถ้าเป็นไอ้นัย มันคงไม่สูบให้ใครเห็นแน่ มันต้องแอบสูบในสถานที่ลึกลับ

ผมรีบเก็บซองบุหรี่กลับคืนที่เดิม จากนั้นลงมาปิดบ้าน แล้วผมก็ออกจากบ้านไป... ผมจะลองไปหาไอ้นัยดู

ผมออกจากบ้านไอ้นัย เดินลึกเข้าไปในซอย จนถึงบ้านร้างที่เราสองคนเคยเข้ามาเล่นกัน...

บ้านร้างหลังนั้นก็ยังร้างอยู่เช่นเดิม ผมยืนเมียงมองอยู่หน้าประตูสักพัก พยายามสังเกตความเคลื่อนไหวข้างใน แต่ก็สังเกตไม่ออก

เมื่อสังเกตจากข้างนอกไม่รู้ ผมตัดสินใจปีนเข้าไปดู ผมพยายามปีนรั้วอย่างแผ่วเบาที่สุด เพราะถ้าไอ้นัยอยู่ในนี้ ผมก็ไม่อยากให้มันรู้ตัว...

เมื่อเข้าไปในบริเวณบ้านได้ ผมเดินย่องฝีเท้าอย่างแผ่วเบาไปยังด้านหลัง ส่วนที่เป็นเรือนหลังตึกใหญ่

ด้านหลังเงียบกริบ แต่ผมได้กลิ่นบุหรี่โชยมา ผมยืนอยู่ที่ทางเดินระหว่างเรือนใหญ่กับเรือนหลัง กลิ่นบุหรี่ยังโชยเข้าจมูกอยู่ บนพื้นมีขี้บุหรี่เกลื่อน แต่ไม่เห็นใคร

ผมลองบิดลูกบิดของประตูห้องห้องหนึ่งของเรือนหลัง เดิมทีห้องทุกห้องล็อกหมด แต่เมื่อผมลองบิดลูกบิดดู ลูกบิดทั้งหัวก็หลุดติดมือผมออกมา ลูกบิดนี้ถูกงัดออกมาหลังจากนั้นก็ใส่ลวงเอาไว้เฉยๆ กลิ่นบุหรี่แปลกๆโชยออกมาจากโพรงลูกบิด มันเป็นกลิ่นบุหรี่ผสมกับกลิ่นฟางไหม้

เสร็จกูละไอ้นัย มึงซ่อนอยู่ในนี้แน่ ผมคิด ด้วยความผลีผลาม ผมรีบเอามือล้วงตรงโพรงลูกบิดแล้วประตูออกมาทันที

ทันใดนั้นเอง ผมรู้สึกว่ามีเงาคนหลายคนกรูกันออกมาชนผมจนกระเด็นไป

“เฮ้ย เด็กนี่หว่า” เสียงใครคนหนึ่งพูด “งั้นอัดแม่งเลย ไอ้เหี้ยนี่”

คนที่กรูกันออกมาและแตกฮือไปเหมือนกับจะวิ่งหนี พอได้ฟังเสียงนั้นก็ย้อนกลับมาและรวบตัวผมเอาไว้โดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว มีสองคนมาล็อกตรึงแขนผมเอาไว้ ด้วยกำลังของมันที่มากกว่าทำให้ผมขัดขืนดิ้นรนไม่ได้เลย

เมื่อผมเงยหน้าขึ้นมา หายจากอาการงง พบว่ากลุ่มคนที่วิ่งกรูออกมานี้มีสามคน เป็นเด็กวัยรุ่นทั้งสิ้น สองคนยึดตัวผมอยู่ และอีกคนที่ยืนดูอยู่ก็คือไอ้นัยนั่นเอง!!!

ฟังเพลง Minuet in G Major เวอร์ชันที่เป็นแบบเรียนเปียโน (youtube)


<แบบเรียนเปียโน John Thompson Modern Course for the piano ทั้งเล่ม ๑ และ เล่ม ๒ ที่ผมเรียนตอนอยู่มัธยมต้น แบบเรียนเล่มนี้นิยมใช้ในเมืองไทยมาหลายสิบปี ลักษณะเด่นของแบบเรียนชุดนี้คือหน้าปกเป็นสีแดงสด ปกที่เห็นนี้เป็นฉบับที่พิมพ์ในปัจจุบัน ตอนที่ผมเรียนนั้นหน้าปกแดงๆเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนสองเล่มนี้เสียทีเดียว เพราะพิมพ์คนละรุ่นกัน>

Sunday, May 17, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 84

เย็นวันนั้น เรากลับบ้านด้วยกัน ผมสังเกตเห็นไอ้นัยเงียบขรึมไป แม้ช่วงนี้เราจะเงียบขรึมต่อกันอยู่แล้ว แต่ผมดูออกว่าตอนนี้ไอ้นัยมีความในใจ

“เป็นไรหรือเปล่านัย” ผมถาม “เงียบเชียว”

“...”

“นัย” ผมเรียกอีก “เป็นอะไรหรือเปล่า”

ไอ้นัยส่ายหัว ไม่ตอบคำ ผมชักรู้สึกเคือง มันจะเอายังไงกันวะ ถามอะไรก็ไม่พูดสักคำ

“เออ ไม่พูดก็ช่างมึงวะ” ผมกระแทกเสียง จากนั้นก็ไม่พูดกับไอ้นัยไปจนตลอดทางกลับบ้าน มึงไม่อยากคุยกับกู กูก็ไม่อยากคุยกับมึง

- - -

วันรุ่งขึ้น ผมรีบเข้าไปที่สหกรณ์เพื่อถามพี่เอ้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน

“พี่เอ้ ถามอะไรหน่อยดิ” ผมเกริ่น

พี่เอ้มองหน้าผม “มีอะไรเหรอไอ้อู”

“เมื่อวานทำไมพวกพี่ๆพูดเรื่องพี่เต้กันตอนไอ้นัยอยู่ มีอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า” ผมถามตรงเข้าประเด็น

พี่เอ้พยักหน้า “ฮื่อ ใช่”

ผมมองหน้าพี่เอ้อย่างต้องการคำอธิบาย

“เอ็งไม่สังเกตเหรอว่าช่วงหลังที่ไอ้นัยมันขึ้นมาทำงานที่สหกรณ์น่ะ มันมองที่ประตูบ่อยๆ” พี่เอ้พูด “พี่กับพี่มั่วคิดกันว่าไอ้นัยคงยังไม่รู้เรื่องพี่เต้กับยายเปิ้ลอะไรนั่น ก็เลยหาทางบอกอ้อมๆให้มันรู้ ทีนี้เข้าใจหรือยัง”

ผมสั่นหัว “ไม่เข้าใจอะ แล้วพวกพี่ๆบอกมันเพื่ออะไร”

“เฮ้อ” พี่เอ้ถอนหายใจ “อย่างน้อยมันจะได้เข้าใจสถานการณ์” พี่เอ้พูดแล้วค่อนข้างคลุมเครือ ไม่รู้ว่าสถานการณ์ที่ว่านั้นหมายถึงอะไรกันแน่

- - -

หลายวันผ่านไป ไอ้นัยก็ยังไม่ยอมพูดหรือเล่าอะไร ผมเองที่ใจเย็นคิดว่าถือไพ่เหนือกว่ามาตลอดก็ชักเริ่มไม่มั่นใจเสียแล้ว

ไอ้นัย เสียแรงที่เราเป็นเพื่อนกันมาแต่เด็ก และกูคิดว่าเราสองคนไม่มีความลับอะไรต่อกัน ที่ไหนได้ มึงไม่ไว้ใจกู ผมคิดในใจไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไร

จากเดิมที่ผมอาศัยจังหวะได้เปรียบ ฉวยโอกาสนี้คลี่คลายความลับของไอ้นัย ผมเคยคิดเอาไว้ว่าถ้าไม่สามารถรู้ความจริงได้ก็คงจนใจ แต่ไหนแต่ไรไอ้นัยก็ไม่ยอมเล่าอยู่แล้ว และจะกลับไปพูดคุยกับมันเหมือนเดิม แต่พอถึงเวลานี้จริงๆ ความคิดของผมกลับเปลี่ยนไป ทิษฐิอันแรงกล้าบังเกิดขึ้นในใจของผม ผมเคยอ่านหนังสือเรื่องตลก มีคำกล่าวขำๆเอาไว้ว่าสามีที่ใจเย็นที่สุดทำให้ภรรยากลายเป็นคนโมโหร้ายที่สุด แต่ก่อนผมไม่เข้าใจความหมายของคำพูดประโยคนี้ แต่ตอนนี้ผมพอเข้าใจแล้ว ความใจเย็นบางครั้งก็ยั่วโมโหคนสนิทชิดใกล้ได้ดีกว่าการทะเลาะกันเสียอีก ท่าทีเงียบเฉยเป็นทองไม่รู้ร้อนของไอ้นัยยิ่งกระตุ้นให้ผมโกรธ

แต่ไหนแต่ไรมา เราสองคนอ่อนข้อให้กันและกันมาตลอด ผมไม่เคยคิดจะเอาชนะอะไรมันสักเรื่อง แต่ครั้งนี้ผมขอเอาชนะมันให้ได้สักเรื่องหนึ่งเถอะ

ความคิดเอาชนะทำให้จากการแก้ลำเล็กๆน้อยๆกลายเป็นสงครามเย็น ไอ้นัยกับผมกลับกลายเป็นเย็นชาต่อกันและไม่พูดกันอีก แต่คราวนี้ผมเป็นคนเริ่มก่อน

กลางเดือนมกราคม...

ไอ้นัยขอตัวหยุดงานที่สหกรณ์ไปจนสิ้นเทอมโดยมันอ้างว่าต้องการดูหนังสือสอบเพราะช่วงหลังมีเวลาดูหนังสือน้อยลง กลัวว่าผลการเรียนจะตก แต่ผมรู้ว่าสาเหตุที่แท้จริงคงเป็นเพราะมันอึดอัดผม การที่มันไม่ทำงานที่สหกรณ์นอกจากจะทำให้เราไม่ต้องตกเป็นเป้าวิพากษ์วิจารณ์และตอบคำถามของพวกพี่ๆในสหกรณ์แล้วยังทำให้เราไม่ต้องกลับบ้านด้วยกันอีกด้วย

กลางเดือนกุมภาพันธ์...

สหกรณ์ปิดทำการเพื่อให้นักเรียนเตรียมตัวสอบ สงครามเย็นระหว่างไอ้นัยและผมยังคงดำเนินต่อมา ความตึงเครียดและอึดอัดระหว่างเราสองคนยิ่งทวีขึ้นเพราะเราทั้งไปและกลับด้วยกันตามเดิม ไม่มีใครยอมแพ้ใคร เมื่อไอ้นัยไม่ยอมเล่าความลับของมัน ผมก็ไม่ยอมพูดคุยกับมัน เรายันกันอยู่ในสภาพเช่นนี้เอง สถานการณ์ในช่วงนั้นเป็นช่วงที่น่าอึดอัดมากที่สุดช่วงหนึ่งสำหรับเราสองคน สีหน้าของไอ้นัยไม่ดีเอาเลย ที่จริงเทอมนี้ทั้งเทอมสีหน้าของมันไม่ค่อยดีมาตลอด มีแต่เคร่งขรึมกับดูเศร้าหมอง และก็เช่นเดียวกับสีหน้าของผมที่อ๊อดมักทักว่าหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่เสมอ

จนล่วงเข้าปลายเดือนกุมภาพันธ์ ช่วงเวลาสอบปลายภาคเริ่มขึ้น อีกไม่กี่วันก็จะสอบเสร็จและปิดเทอมแล้ว ผมใจหายเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าแล้วปีนี้ไอ้นัยจะไปเที่ยวที่บ้านต่างจังหวัดของผมเช่นเดิมหรือไม่ มัวแต่เล่นสงครามเย็นใส่กันจนยังไม่ได้ชวนมันสักที

ไอ้นัย กูอยากให้มึงไปเที่ยวบ้านกูเหมือนเดิมนะ มึงจะง้อกูหน่อยไม่ได้หรือไง กูจะได้ชวนมึงไป ผมพูดกับมันในความคิด ในส่วนลึกของหัวใจแล้วผมเคยรู้สึกอย่างไรก็ยังรู้สึกกับมันเช่นเดิม เพียงแต่ทิษฐิทำให้เราต้องหมางเมินกัน ผมอ้าปากจะชวนไอ้นัยหลายทีแล้ว แต่แล้วก็พูดไม่ออก

“อู” ไอ้นัยเรียกผมเบาๆในวันหนึ่ง ขณะที่เรากำลังกลับบ้าน ผมรู้สึกดีใจมาก ในที่สุดมึงก็ยอมง้อกูเสียที กูรอจะชวนมึงไปบ้านกูอยู่นานแล้วนะไอ้เพื่อนรัก

“มีไรเหรอ” ผมถามด้วยความรู้สึกของผู้ชนะในสงครามเย็นครั้งนี้

“ปิดเทอมนี้พี่เต้เค้าชวนกูไปเที่ยวอะ แต่กูบอกเค้าว่าปกติพอสอบเสร็จก็จะไปเที่ยวบ้านมึง...” ไอ้นัยพูดอ้อมแอ้มด้วยเสียงแผ่วเบา

ผมรู้สึกใจหายวูบ หลังจากนั้นความรู้สึกโกรธเคืองก็ตามมา ผมกลืนคำพูดที่เตรียมเอาไว้ลงไปจนหมด ตั้งแต่ปีใหม่เป็นต้นมา ผมไม่เห็นพี่เต้ไปที่สหกรณ์หรือเห็นพี่เต้เจอกับไอ้นัยเลย จนผมเข้าใจว่าป่านนี้พี่เต้มัวแต่ไปหลีสาวและออกจากชีวิตของผมและไอ้นัยไปแล้วเสียอีก

“...” ผมไม่รู้จะพูดอะไรดี ยังตั้งตัวไม่ถูก

“แต่...” ไอ้นัยอึกอัก สีหน้าของมันหมองจนผมอดสงสารไม่ได้ ในชั่ววินาทีนั้น ความคิดของผมสับสนไปหมด ทั้งโกรธ ทั้งสงสาร ผมจะแกล้งมันดีไหม ถ้าผมจะรั้งมันไว้ไม่ให้ไปเที่ยวกับพี่เต้มันก็คงต้องจำใจปฏิเสธพี่เต้ไป แต่มาคิดอีกที บางทีถ้ามันไปเที่ยวกับพี่เต้บ้างอาจทำให้มันสบายใจขึ้น เพราะอยู่กับผมก็มีแต่อึดอัดใจ ใบหน้าที่เศร้าหมองของเพื่อนรักในวัยเยาว์ทำให้ผมใจอ่อน ความรู้สึกของผู้ชนะเมื่อครู่มลายไปสิ้น ท้ายที่สุดผมกลับกลายเป็นผู้แพ้…

“ก็ตามใจมึงเถอะ อยากไปกับพี่เต้ก็ไป ไม่เต้องห่วงกูหรอก เรามีเวลาเที่ยวด้วยกันอีกถมเถ” ผมถอดใจ เลิกคิดเอาชนะมันอีกต่อไป มันอยากจะทำอะไรก็ทำไป ถ้าผมดึงดันต่อไป ในที่สุดผู้แพ้ก็จะเป็นเราทั้งสองคน ไม่ใช่ผมคนเดียว

“...”

ไอ้นัยก้มหน้าเงียบไป ผมรู้สึกแปลกใจ เพราะทุกครั้งที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นตอนไปเล่นสเก็ตน้ำแข็ง หรือว่าตอนไปเที่ยวเขาใหญ่ ไอ้นัยจะรู้สึกดีใจที่ได้ไปกับพี่เต้ แต่ครั้งนี้กลับไม่ใช่...

- - -

ต้นเดือนมีนาคม…

ในที่สุดการสอบปลายภาคก็เสร็จสิ้น และม.๒ เทอมปลายอันวุ่นวายก็สิ้นสุดลง แม้ปีนี้จะไม่มีเรื่องวุ่นวายเหมือนเมื่อปีก่อนๆ แต่เรื่องสับสนวุ่นวายในจิตใจกลับมีมากกว่า

ปีนี้ผมกลับบ้านด้วยความรู้สึกที่เดียวดายและเศร้าหมอง หลายปีที่ผ่านมา ผมกลับบ้านพร้อมกับมีไอ้นัยมาด้วยเสมอ แต่ปีนี้ไม่ใช่ ผมเดินทางกลับบ้านพร้อมพ่อและเอ๊ดอย่างเงียบเหงา ทั้งสองคนต่างก็ถามถึงไอ้นัย ผมก็บอกไปเพียงสั้นๆว่าไอ้นัยไปเที่ยวกับกลุ่มรุ่นพี่

“ปีนี้นัยไม่มา อูเลยเหงาไปเลยนะ” พ่อพยายามชวนคุยในระหว่างทาง ส่วนผมก็เอาแต่มองออกไปนอกหน้าต่างเพราะไม่อยากให้ทั้งสองคนสังเกตสีหน้าของผม

เมื่อกลับถึงบ้าน แม่ก็ทักอีกเช่นกัน

“อ้าว อู ทำไมนัยไม่มาด้วยล่ะ”

“ไอ้นัยไปเที่ยวกับพวกรุ่นพี่น่ะแม่” ผมตอบ

“อู ทำไมไม่ได้แห็นเทอมเดียว อูดูซูบไปนะ หน้าก็ดูหมองๆ เป็นอะไรไปหรือเปล่า ไม่สบายหรือเปล่า” แม่ระดมคำถามจนผมตั้งตัวไม่ทัน ดูเหมือนแม่จะช่างสังเกตกว่าพ่อ เพราะพ่อไม่ได้ทักผมเรื่องนี้เลย

“มันเป็นยังงี้มาหลายเดือนแล้วล่ะแม่” เอ๊ดบอก “สงสัยเป็นโรคประสาท”

“ทำไมไปว่าน้องยังงี้ล่ะ” แม่ดุเอ๊ด

“เอ๊ดรำคาญมันจะตาย ถามอะไรก็ไม่พูดไม่จา เหมือนคนใบ้ ไม่เชื่อแม่ลองถามมันดูดิ ดูว่ามันจะพูดไหม” เอ๊ดพูด

ช่วงหลังๆผมไม่ค่อยได้พูดกับเอ๊ดจริงๆ แต่สาเหตุเพราะเป็นทุกข์เรื่องไอ้นัยเลยอาจทำตัวแปลกแยกไปบ้าง แต่นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเหตุให้เอ๊ดหงุดหงิดรำคาญผมได้ขนาดนี้

ผมหงุดหงิดกับไอ้นัย ส่วนเอ๊ดก็หงุดหงิดกับผม สิ่งที่ไอ้นัยทำ ผมเองก็ทำเหมือนกัน ในวูบหนึ่งของความคิด ดูเหมือนผมจะจับเค้าเงื่อนอะไรได้บางอย่าง คล้ายจะเข้าใจไอ้นัยมากขึ้น แต่มันปรากฏวูบก็หายวับไป...

- - -

กลางคืนวันนั้น ผมอยู่กับแม่สองคนในห้องครัว แม่กำลังล้างจานอยู่ ผมอาสาจะช่วย แต่แม่บอกว่าจะทำเอง คนเป็นแม่ก็แบบนี้แหละ ผมเลยนั่งดูแม่ล้างจาน

“อู ทะเลาะกับนัยหรือเปล่า” แม่ถาม

ผมอึ้ง ตั้งตัวไม่ติดกับคำถามอย่างกะทันหันนี้

“เอ้อ... ทำไมแม่ถามแบบนี้อะ” ผมเลี่ยงไม่ยอมตอบคำถาม

“เอ๊ดบอกว่าหมู่นี้อูอารมณ์ไม่ดีตลอดเลย สงสัยว่าจะทะเลาะกับนัย” แม่พูด นี่ขนาดผมไม่พูดอะไร เอ๊ดยังเดาเรื่องราวได้ใกล้เคียงขนาดนี้ ผมคงเก็บอาการได้ไม่เนียนเอาเสียเลย

“อูอย่าไปรังแกนัยนะ” แม่พูดต่อ ผมฟังแล้วงง จากนั้นตามมาด้วยความหงุดหงิด ทำไมแม่ไม่เข้าข้างลูกตัวเอง กลับไปเข้าข้างไอ้นัย

“ทำไมแม่คิดว่าอูรังแกมัน ทำไมไม่คิดว่ามันรังแกอูบ้างล่ะ” ผมย้อนถาม แต่รู้แก่ใจดีว่าแม้แต่แม่ก็ไม่เชื่อว่าเด็กดีอย่างไอ้นัยจะรังแกผมได้ คงมีแต่ผมไปรังแกมันมากกว่า

“ก็อูน่ะชอบอารมณ์ร้อน ส่วนนัยเค้าอารมณ์เย็น” แม่พูด “เพื่อนดีๆอย่างนี้หาได้ยาก แต่ก่อนเห็นรักกันยังกับพี่น้อง เพื่อนกันก็คงมีทะเลาะโกรธเคืองกันบ้าง แต่อย่าให้ถึงกับเสียเพื่อนนะอู”

แม่เตือนสติผม ช่างหมือนกับพี่มั่วเตือนเลย ดูแม่รักใคร่เอ็นดูไอ้นัยมาก แต่คำพูดที่ว่า ‘รักกัน’ ทำให้ผมถึงกับสะดุ้ง

“...”

“อูเปลี่ยนไปจริงๆ” แม่พูด “แต่ก่อนช่างพูด เดี๋ยวนี้กลายเป็นช่างคิด”

คุยกันได้ไม่นาน ผมก็รีบเลี่ยงออกมา ขืนอยู่นานไปแม่คงสังเกตอะไรได้มากขึ้นอีก

Wednesday, May 13, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 83

“เออ อย่ามาวุ่นวายกับไอ้นัยก็ดี มันยังเด็กอยู่” พี่มั่วสรุป

“เด็กเปรตน่ะดิ ไอ้สองตัวนี่แก่แดดจะตาย” พี่เอ้พูด พลางชายตามองมาทางผม แล้วก็หัวเราะขำ “เอ๊ะ ไอ้อู นี่คุยกันกับไอ้นัยรึยัง”

“ยังครับ” ผมส่ายหน้า

“อ้าว เกิดอะไรขึ้นล่ะ นึกว่าปรับความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้ว” พี่มั่วฉงนบ้าง

“ยังไม่มีโอกาสปรับความเข้าใจกันเลยครับ อีกอย่าง ถึงผมพูดมันก็คงไม่เชื่อ” ผมตอบ

“ดูท่ามันจะไปกันใหญ่แล้วนะไอ้เอ้” พี่มั่วตำหนิพี่เอ้อีก พี่เอ้หน้าจ๋อย

“เอ็งทิษฐิมากกว่ามั้ง เลยไม่ยอมอธิบาย” พี่มั่วหันมาพูดกับผม “อย่างอนกันนานนักนะไอ้อู เสียเพื่อนเพราะเรื่องแค่นี้มันไม่คุ้ม” พี่มั่วเตือนสติผม

เรื่องระหว่างไอ้นัยกับผม สำหรับที่สหกรณ์แล้วไม่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมากนัก ส่วนใหญ่คงคิดว่าโกรธกันบ้าง ดีกันบ้าง ตามประสาเพื่อนมากกว่าที่จะมองความสัมพันธ์ของเราเป็นอย่างอื่น พวกพี่ๆคงมองว่าพวกเรายังเด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจเรื่องความรัก แต่สำหรับกรณีพี่เต้กับไอ้นัยนั้นแตกต่างกัน พวกพี่ๆคิดว่าพี่เต้ชอบไอ้นัย ส่วนไอ้นัยนั้นก็ยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจว่าพี่เต้คิดอะไร

ผมนั่งเล่นอยู่กับพวกพี่ๆพักใหญ่ก็รู้สึกเซ็งขึ้นมาอีก เบื่อที่จะฟังเรื่องพวกนี้เต็มที ก็เลยจากมา แต่ครั้นจะกลับบ้าน กลับไปก็ยิ่งไม่รู้จะทำอะไร

ผมออกจากโรงเรียน เดินไปเรื่อยๆจนถึงใต้สะพานพุทธ จากนั้นเดินลงไปที่โป๊ะซึ่งอยู่ใต้สะพาน

โป๊ะที่ว่านี้เป็นโป๊ะสภาพเก่า ปกติไม่เห็นใช้งานอะไร คงมีเพียงเด็กแถวนั้นมาใช้เป็นท่าสำหรับเล่นน้ำในบางครั้งเท่านั้น ไม่ทราบว่าปัจจุบันโป๊ะที่ว่านี้ยังมีอยู่หรือไม่ เพราะไม่ได้ไปผ่านไปนานมากแล้ว

ผมยืนอยู่บนโป๊ะ สายตาก็ทอดมองสายน้ำเจ้าพระยา สายน้ำนี้ไหลอยู่ชั่วนาตาปี เปรียบเหมือนชีวิตที่ไหลไปโดยไม่มีวันหวนกลับ ร่างที่ยืนบนโป๊ะโคลงเคลงด้วยแรงกระเพื่อมของสายน้ำ ผมริ่มได้คิดว่าชีวิตคนเราก็ไม่มั่นคงเช่นนี้เอง

กูไม่นึกเลยว่ามึงจะเป็นคนแบบนี้ เสียงของไอ้นัยยังก้องอยู่ในโสตประสาทของผม ผมปล่อยให้ความคิดไหลไปเรื่อยๆเฉกเช่นกระแสน้ำที่เบื้องหน้า นี่ถ้าผมทะเลาะกับอ๊อด หรือไอ้อ๊อดว่าผมแบบนี้ ผมจะเสียใจขนาดนี้ไหม ผมจะคิดมากขนาดนี้ไหม และถ้าเป็นเพื่อนคนอื่นๆทำกับผมแบบนี้ล่ะ? แล้วทำไมผมต้องคิดมากเพราะไอ้นัยด้วย คำถามและความคิดมากมายประดังกันอยู่ในหัวของผมจนสับสนไปหมด

“ใจลอยอะไรอะ” เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นข้างหลังผม ไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่าใคร ผมรู้สีกแปลกใจที่ได้ยินเสียงมันในเวลานี้

“...” ผมใช้ความเงียบแทนคำตอบเพราะไม่รู้จะพูดอะไรดี

เจ้าของเสียงก้าวมายืนข้างๆผม ใบหน้าอันคุ้นเคย พวงแก้มสีน้ำผึ้ง ไรหนวดสีเขียวอ่อน กลิ่นกายอ่อนๆที่ผมหลงใหล วงหน้าที่คุ้นเคยนี้แต่ก่อนมีแต่ความสดใส แต่ตอนนี้แฝงแววเศร้าสร้อยและอิดโรย

ผมหวนคิดถึงวันที่แอบพาไอ้นัยเข้าไปในหอนักเรียนประจำ ตอนที่เราอยู่ชั้น ป.๕ ตอนนั้นไอ้นัยยังตัวเล็กอยู่ ทั้งซน สดใส และร่าเริง อีกทั้งชอบตีหน้าตาย ผมเพิ่งจะสังเกตว่าเพียงไม่กี่ปีไอ้นัยเติบโตขึ้นมาก... ทั้งเติบโตและเปลี่ยนไป... ทำไมผมจึงไม่เคยสังเกตมาก่อนเลยว่าไอ้นัยเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้...

“มองไรอะ ไม่เคยเห็นกูเหรอ” ไอ้นัยพยายามยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นเศร้าอย่างไรก็ไม่รู้

“เมื่อกี้กูแวะไปที่สหกรณ์ เจอพี่เอ้ พี่เอ้เล่าให้ฟังแล้ว...” ไอ้นัยพูดต่อ แล้วเงียบไปอึดใจหนึ่ง “ขอโทษนะอู”

กูไม่นึกเลยว่ามึงจะเป็นคนแบบนี้ เสียงของไอ้นัยดังอยู่ในโสตประสาทของผมอีก

“...”

“ขอโทษนะอู อูใจดี๊ ใจดี” ไอ้นัยพยายามอ้อนเมื่อเห็นผมนิ่งเงียบ “ทำยังไงมึงถึงจะหายโกรธล่ะ ให้เขกหัวก็ได้เอ้า กูยอมเยี่ยวรดที่นอน” ว่าแล้วไอ้นัยก็ยื่นหัวเข้ามาให้ผมเขก

ผมอดยิ้มไม่ได้ ไอ้นัยรู้ดีว่าทำอย่างไรผมจึงจะใจอ่อน ผมคงถูกชะตากำหนดให้แพ้ทางมันไปจนตลอดชีวิต

“นี่มันท่ารถนะ อายคนเค้า ไอ้เปรต” ผมพูดเสียงดุ หัวใจที่ด้านชาของผมกลับมามีความรู้สึกอีกครั้ง

“ยอมพูดแล้ว” ไอ้นัยพูดด้วยความดีใจ “ไม่มีใครรู้หรอกว่าเราคุยอะไรกัน หายโกรธกูแล้วใช่ไหม”

“ยังโว้ย” ผมพูด

“แล้วจะให้ทำไงดีล่ะ เขกหัวไม่เอาแล้วมึงจะให้ทำอะไร” ไอ้นัยอ้อนต่อ

ผมหายโกรธไอ้นัยแล้ว ตอนนั้นผมคิดว่าตนเองกำลังอยู่ในฐานะได้เปรียบ จึงอยากแกล้งไอ้นัยเอาคืนบ้าง

ความคิดวาบเข้ามาในสมอง ในที่สุดผมก็คิดออก

“มึงรู้หรือเปล่าว่าคำพูดมึงทำให้กูเสียใจขนาดไหน ถ้าเป็นคนอื่นพูดกูคงไม่เจ็บเท่าไร แต่นี่เป็นมึงพูด...” ผมระบายความรู้สึกออกมา ไอ้นัยรู้ดีว่าคำพูดที่ว่านั้นคือประโยคไหน

ไอ้นัยจ๋อยไปสนิท “ขอโทษนะอู กูไม่ได้ตั้งใจ...” ไอ้นัยอ้อมแอ้ม

“ถ้ามึงอยากชดเชยความผิดของมึง ต้องแสดงความจริงใจออกมา” ผมขุดหลุมพราง รอให้ไอ้นัยเดินตกลงไป

“จะให้ทำอะไรล่ะ” ไอ้นัยถามด้วยความอยากรู้

“ทำได้ทุกอย่างแน่นะ” ผมคาดคั้น

“ให้กูโดดน้ำตายไม่เอานะ” ไอ้นัยพูดติดตลก พอรู้ว่ามีทางต่อรองกับผมได้ เสียงของมันก็แช่มชื่นขึ้น

“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก” ผมพูด “ก็แค่อยากให้มึงเล่าความลับที่มึงปิดบังกูอยู่เท่านั้นแหละ”

ไอ้นัยถึงกับอึ้ง

“กูไม่มีอะไรนะอู” ไอ้นัยปฏิเสธ “ไม่มี...อะไรจะเล่าอะ”

“รู้ๆอยู่” ผมดักคอมัน

“...”

“มึงเอาไปคิดดูละกัน มึงบอกให้กูเสนอเงื่อนไขเอง ถ้ามึงไม่เล่า กูก็ยังไม่หายโกรธมึง” ผมถือโอกาสขู่กรรโชก เพราะว่ากำลังถือไพ่เหนือกว่า

วันนั้นเรานั่งรถกลับบ้านด้วยกัน ที่จริงผมหายโกรธแล้ว แต่ผมใช้โอกาสที่ไอ้นัยมาง้อนี้ต่อรองเพื่อให้ได้รู้ความลับของไอ้นัย ผมนึกกระหยิ่มใจ ปล่อยให้มันไปคิดดูก่อน ส่วนตอนนี้ผมก็จะเล่นบทใจแข็งเอาไว้ ถึงอย่างไรในที่สุดด้วยความสำนึกผิด มันก็คงยอมเล่า เมื่อนั้น ปริศนาที่คาใจผมอยู่จะได้กระจ่างเสียที

- - -

วันหยุดในช่วงปีใหม่ผ่านไปอย่างไรรสชาติ ปกติช่วงปีใหม่ผมต้องอยู่ที่บ้าน เพราะคุณลุงมักมีญาติหรือคนที่เคารพนับถือมาเยี่ยม ผมหรือเอ๊ดต้องอยู่คอยต้อนรับแขกของคุณลุง ถ้าใครคนหนึ่งจะกลับบ้านต่างจังหวัดอีกคนก็ต้องอยู่ แต่ส่วนใหญ่เราไม่ได้กลับบ้านช่วงปีใหม่เลย อยู่ที่บ้านคุณลุงกันทั้งคู่

ช่วงวันหยุดที่ผ่านมาผมไม่ได้โทรศัพท์คุยกับไอ้นัยเลย ส่วนไอ้นัยเองก็ไม่ได้โทรมาคุยกับผม ผมยังใจเย็นอยู่ ค่อนข้างมั่นใจว่าในที่สุดไอ้นัยต้องยอมเล่าเรื่องที่ปิดบังอยู่ให้ผมฟัง เพียงแต่อาจต้องให้เวลาไอ้นัยคิดบ้างเท่านั้น

หลังปีใหม่ เราเดินทางไปโรงเรียนด้วยกันตามปกติ รวมทั้ไอ้นัยก็กลับมาช่วยงานที่สหกรณ์ตามเดิม แต่ผมก็อดนึกสงสัยไม่ได้ว่าไอ้นัยมาอยู่ที่สหกรณ์เพื่อรอพี่เต้หรือเพื่อทำงานกันแน่

เมื่อเปิดเรียนหลังปีใหม่ได้สองสามวัน สถานการณ์ระหว่างผมกับไอ้นัยดูดีขึ้น ผมไม่ได้โกรธมันแล้ว แต่ยังพูดกันไม่มาก เพราะผมกำลังเล่นตัวอยู่ แต่ที่น่าแปลกก็คือ สีหน้าไอ้นัยไม่ค่อยดีนัก ดูมันเศร้าหมองอยู่ตลอดเวลา บางครั้งเวลายิ้มหรือหัวเราะกับรุ่นพี่ก็ยังดูเหมือนกับฝืนๆอย่างไรชอบกล

บ่ายวันหนึ่ง หลังเลิกเรียน พวกเราสุมหัวกันอยู่ที่สหกรณ์เช่นเคย ขณะที่ผมและไอ้นัยมาถึงสหกรณ์พวกพี่ๆกำลังจับกลุ่มคุยกันอยู่ พอเห็นเราสองคนก็วงแตก

หลังจากทำงานกันไปได้สักพัก พี่มั่วก็พูดขึ้นเปรยๆ

“เฮ้อ เสียลูกค้าขาประจำไปคนหนึ่งซะแล้ว”

“ใครกันพี่” พี่เอ้ถาม

“ก็ไอ้เต้น่ะสิ” พี่มั่วพูด ผมหูผึ่ง ละสายตาจากเอกสารที่กำลังกรอกอยู่มองไปทางพี่มั่ว แลเห็นพี่มั่วเหลือบมองไอ้นัยแว่บหนึ่ง

“มีอะไรเล่าเร็วๆดิ” พี่เอ้ซักต่อ

“ก็ตอนนี้มันไม่ค่อยได้มาอุดหนุนเช่าหนังสือเลย เพราะมัวแต่ไปหลีสาวอยู่” พี่มั่วอธิบาย คำว่าหลีเป็นสแลงที่นิยมใช้กันในช่วงนั้น หมายถึงจีบ แต่ปัจจุบันไม่ค่อยได้ยินแล้ว

“ไปหลีสาวที่ไหนเหรอพี่” พี่เอ้ถามต่อ

พี่มั่วเหลือบมองไอ้นัยอีกแว่บหนึ่ง ผมเห็นไอ้นัยชำเลืองสายตาขึ้นมาฟังบ้าง แต่แล้วก็ก้มหน้าก้มตาลงบัญชีต่อไป

“ก็ที่พี่ว่ามันเอาของขวัญปีใหม่ไปให้เด็กสตรีวิทย์นั่นน่ะ เรื่องจริงโว้ย ไอ้เต้ไปจีบเด็กสตรีวิทย์ที่เรียนกวดวิชาห้องเดียวกับมัน ตอนนี้เทคแคร์กันสุดๆ” พี่มั่วเล่า “ชื่อเปิ้ลว่ะ เรื่องนี้เชื่อได้ เพราะเพื่อนพี่คนที่เรียนกวดห้องเดียวกับไอ้เต้มันเล่าให้ฟัง ถึงขนาดรู้ชื่อนี่คงไม่มั่วอยู่แล้ว”

ในยุคนั้นก็เป็นเช่นเดียวกับสมัยนี้ คือพอเรียนม.ปลายแล้วส่วนใหญ่ก็ต้องกวดวิชาเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยไปด้วย แต่พี่มั่วดูเหมือนจะต่อต้านพวกการเรียนกวดวิชา เพราะพี่มั่วชอบพูดให้ฟังบ่อยๆว่าถึงไม่เรียนก็จะสอบเข้าที่ดีๆให้ได้ ประโยชน์อีกประการของโรงเรียนกวดวิชาที่ผมรู้ในเวลาต่อมาก็คือ เป็นสถานที่ที่นักเรียนจากโรงเรียนชายล้วนหรือหญิงล้วนจะได้มีโอกาสรู้จักเพื่อนต่างเพศ

ผมมองพี่มั่ว พี่เอ้ นึกสงสัยว่าทำไมพี่ๆถึงมาพูดเรื่องพี่เต้กันในตอนนี้ หรือชะรอยจะต้องการบอกใบ้อะไรให้ไอ้นัยรู้

เมื่อมองดูไอ้นัย เห็นมันก้มหน้าก้มตาทำงาน มองไม่เห็นสีหน้าของมันเลย...

Saturday, May 9, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 82

ผมพยายามเก็บอาการและความรู้สึกเอาไว้อย่างดีที่สุดเพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต แต่ปรากฏว่าทุกคนที่ใกล้ชิดกับผมต่างก็ทักถึงความผิดปกติของผมกันหมด ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือที่โรงเรียน

“ไอ้ไก่อู หมู่นี้มึงเป็นอะไรไปวะ” อ๊อดถามผมเมื่อเราอยู่ในห้องเรียน

“กูไม่ได้เป็นไรนี่” ผมตอบ

“นี่ถ้ามึงไม่ได้เป็นอะไร โลกนี้คงไม่มีใครที่ไม่สบาย” อ๊อดพูดยียวน “ทั้งซึม ทั้งเหม่อ อาการแบบนี้ถ้าไม่ใช่ที่บ้านมีปัญหาก็อกหัก มึงเป็นอย่างไหนล่ะ”

ผมอึ้งไป คำว่าอกหักทำให้ผมฉุกใจคิด นี่น่ะหรือคืออาการอกหัก หรือว่าผมหลงรัก...

“เฮ้ย” อ๊อดตะโกนใส่หูผม “กูพูดกับมึงอยู่นี่มึงก็ยังเหม่อ แล้วยังบอกไม่เป็นไรอีก เฮ้ย ไอ้ไก่อู มึงเป็นอะไรกันแน่วะ”

มันเป็นไปได้หรือที่ผู้ชายจะรักผู้ชายด้วยกันแบบที่ชายรักกับหญิง ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยเห็นผู้ชายเป็นแฟนกัน แต่ผมไม่เคยเข้าใจว่าความรักแบบนั้นเป็นฉันใด... ผมพยายามสลัดความคิดนี้ออกไปจากสมอง ไม่กล้าคิดต่อ

“โอ๊ย ไอ้ห่า เสือกตะโกนกรอกหูกู” ผมด่าอ๊อด

“กูกรอกหูมึงตั้งนาน เพิ่งจะมาโวยวาย ทำไมประสาทช้านักวะ” อ๊อดหัวเราะ พลางชะโงกหน้าเข้ามากระซิบ “อกหักใช่ไหม ไม่เห็นมึงเล่าเลยว่าไปจีบสาวที่ไหน ไวไฟนักนะมึง เห็นเงียบๆหงิมๆ”

“เปล่าโว้ย” ผมปฏิเสธ

ไม่เพียงแต่อ๊อด เพื่อนสนิทอีกหลายคนต่างก็ทักผมถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น ไม่เพียงแต่เพื่อน แม้แต่คุณลุง คุณป้าก็แสดงความเป็นห่วง เพราะคิดว่าผมไม่สบาย ส่วนเอ๊ดดูเหมือนจะชินกับเรื่องของผมเสียแล้วจนขี้เกียจถาม เอ๊ดรู้ดีว่าถึงถามผมก็ไม่พูด

กลุ่มคนที่สนิทกับผม แต่กลับทักถึงความผิดปกติของผมช้าที่สุดก็คือพวกพี่ๆในสหกรณ์

ผมเดินเข้าไปในสหกรณ์ในวันหนึ่งใกล้สิ้นปี ช่วงนั้นมีคนมาใช้บริการเช่าหนังสือกันน้อยเพราะส่วนใหญ่มัวแต่วุ่นวายกับกิจกรรมปีใหม่กัน งานในสหกรณ์จึงมีไม่มากนัก พวกพี่ๆเมื่อว่างๆก็นั่งจับกลุ่มคุยกันเฮฮา บางคนก็ไม่ได้เข้ามาเพราะต้องเตรียมงานที่ห้องของตนเอง ส่วนผมนั้นปีนี้ผมไม่ได้มีส่วนช่วยอะไรที่ห้องมากนักจึงค่อนข้างว่างงาน

เมื่อผมเข้าไปในสหกรณ์ พี่ๆที่คุยเอะอะกันอยู่ก็เงียบกริบ พี่เอ้พยักหน้ากับพี่มั่วเหมือนกับส่งสัญญาณอะไรบางอย่าง

“ไอ้อู มาพอดีเลย มานี่หน่อย” พี่มั่วทักแล้วเข้ามาจับแขนผมดึงออกไปนอกห้อง

“พี่ขอคุยด้วยหน่อย” พี่มั่วเกริ่นเมื่อเรานั่งลงที่ม้านั่งริมระเบียงตึกเรียบร้อย

“มีอะไรอะพี่ ทำไมต้องมาคุยนอกห้อง” ผมสงสัย รู้สึกสังหรณ์ใจอย่างไรชอบกล

“อยากคุยส่วนตัวน่ะ” พี่มั่วพูด สีหน้าดูจริงจัง “หมู่นี้เอ็งซึมไป มีปัญหาอะไรกับพวกพี่หรือเปล่า” พี่มั่วถามตรงๆ

“ไม่มีนี่ครับ” ผมตอบ ทำไมนะ มีแต่คนถามผมเรื่องซึม

“ทะเลาะกับไอ้นัยใช่ไหม” พี่มั่วเพ่งตามองผมเหมือนกับจะค้นหาความจริง

“เปล่าครับ” ผมหลบสายตา

“อย่ามาหลอกพี่เลย” พี่มั่วไม่เชื่อ

“เอ้อ ทำไมพี่คิดยังงั้นล่ะครับ” ผมไม่ตอบ เสไปตั้งคำถามแทน

“เขารู้กันทั้งสหกรณ์ว่าเอ็งสองคนไม่พูดกัน ใครดูไม่ออกก็บ้าแล้ว” พี่มั่วตอบ ไม่รู้ว่าพวกพี่ๆช่างสังเกต หรือว่าผมไม่เนียนกันแน่ แต่สงสัยจะเป็นอย่างหลังมากกว่า

“เกี่ยวกับที่พวกพี่ไปแซวพี่เต้วันนั้นด้วยใช่ไหม” พี่มั่วรุกถามอีก

ผมใจหายวูบ พี่เต้ยิ่งถามยิ่งเข้าใกล้ความลับของผมและไอ้นัยเข้าไปทุกที

“ไอ้นัยมันโกรธเพราะคิดว่าผมเป็นคนไปนินทามันกับพี่เต้ให้พวกพี่ๆฟังครับ แล้วพี่ๆก็เลยเอาไปแซว” หลังจากถูกคาดคั้นอย่างหนัก ในที่สุดผมก็ยอมพูด แต่ก็พยายามพูดให้น้อยที่สุดและเลือกใช้คำพูดอย่างระวัง

“แต่ก่อนหน้านั้นก็เห็นเอ็งสองคนตึงๆกันอยู่ ใช่ไหม” พี่มั่วรุกถามต่อ ทำไมพี่มั่วรู้ทั้งๆที่ไม่ค่อยได้มาที่สหกรณ์ในระยะหลัง คงเป็นพี่เอ้พูดให้ฟังเป็นแน่ พวกพี่ๆนี่ช่างสังเกตกันเสียจริง

“เอ้อ ก็ผิดใจกันนิดหน่อยครับ แต่ไม่มีอะไรมาก มาหนักก็เรื่องแซวนี่แหละครับ” ผมกล้อมแกล้มอธิบาย

“เฮ้อ” พี่มั่วถอนใจ “นึกแล้วเชียว” ที่ว่านึกแล้วเชียวไม่รู้ว่าพี่มั่วนึกอะไร ผมไม่กล้าถาม เพราะเหมือนวัวสันหลังหวะ กลัวว่าคำตอบของพี่มั่วจะแทงใจดำเข้า ในสถานการณ์เช่นนี้คงไม่มีอะไรดีกว่าการเงียบ

“วันนั้นไอ้เอ้มันคึกมากไปหน่อย พี่เองก็พลอยเป็นไปด้วย แซวไอ้เต้กับไอ้นัยเสียหนัก ไม่นึกว่าจะบานปลาย เอ็งเลยซวย ไอ้เต้ก็ซวย ตอนนี้ซวยกันไปหมด” พี่มั่วทำหน้าจ๋อยเมื่อพูดถึงผลงานที่พวกตนก่อเอาไว้

“แล้วนี่ดีกันหรือยัง” พี่มั่วถามต่อ ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบ พี่มั่วตบไหล่ผมเป็นเชิงขอโทษ “โทษทีนะ พวกพี่ไม่ได้ตั้งใจจะให้เอ็งเดือดร้อน”

คำพูดและท่าทีของพี่มั่วไม่ค่อยชัดเจนนักว่ารู้อะไรมาบ้าง แต่รู้ว่าการคุยกับผมในวันนี้พวกพี่ๆเตรียมการกันเอาไว้ก่อนแล้ว เรื่องที่ผมไม่แน่ใจและไม่กล้าถามก็คือ พวกพี่ๆมองความสัมพันธ์ของผมกับไอ้นัยอย่างไร

- - -

อีกวันเดียวจะสิ้นปี...

งานปีใหม่ของโรงเรียนมีขึ้นในวันจันทร์ อันเป็นวันสุดท้ายของการเรียนก่อนหยุดช่วงเทศกาลปีใหม่

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ไอ้นัยไม่ได้ไปเรียนดนตรี บรรยากาศในสยามสแควร์คึกคักและอบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความรื่นเริงในช่วงเทศกาลเหมือนทุกปีที่ผ่านมา เมื่อผมเรียนดนตรีเสร็จจึงเดินเล่นในสยามสแควร์และมาบุญครองคนเดียว ที่จริงก็ไม่อยากเดินเท่าไรแต่ก็ไม่รู้จะทำอะไรดี เมื่อก่อนตอนมีไอ้นัยอยู่ด้วย แม้จะอยู่ที่ไหนผมก็มีความสุข แต่เมื่อไม่มีไอ้นัย จะอยู่ที่ไหนก็เซ็งไปหมด

แม้เดินอยู่ในทะเลแห่งผู้คน แต่ผมกลับรู้สึกเดียวดาย... แม้ในท่ามกลางเสียงอึกทึก แต่ผมกลับรู้สึกเงียบเหงา...

เช้าวันนี้ เมื่อผมเดินเข้ามาในโรงเรียนทางประตูสอง ผมได้ยินเสียงเครื่องดนตรีที่ดังผ่านแอมป์ลอยมาตามลม ผมนึกในใจว่างานปีใหม่ในโรงเรียนปีนี้มีพัฒนาการ เพราะมีการเอาวงดนตรีมาเล่นเพื่อสร้างบรรยากาศด้วย

เมื่อเข้าไปในโรงเรียน ผมจึงพบว่าเสียงดนตรีลอยมาจากตึก ม.๒

ผมเดินตามเสียงไป พบว่าที่บันไดทางขึ้นตึกมีวงดนตรีนักเรียนกำลังเล่นอยู่ วงนี้เล่นกันอยู่สี่ห้าคน เครื่องดนตรีก็มีกลองกับกีตาร์ และหนึ่งในนักเรียนที่กำลังเล่นกีตาร์อยู่ก็คือไอ้นัย!!!

ผมชะงัก ยืนละล้าละลัง ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะเข้าไปดูดี หรือว่าจะเดินเลี่ยงไปดี แต่ในที่สุดผมก็ตัดสินใจเดินเข้าไปดู

“ทำไมอยู่ดีๆมีวงมาเล่นล่ะ” ผมถามเพื่อน ม.๒ ด้วยกันที่ยืนฟังดนตรีอยู่

ไม่มีใครรู้ข้อเท็จจริง แต่ผมมารู้เอาภายหลังว่าเป็นความคิดของกลุ่มหัวหน้าห้องระดับ ม.๒ ที่อยากสร้างบรรยากาศงานปีใหม่ด้วยการเอาวงดนตรีนักเรียนมาเล่นที่หน้าตึกแบบให้แปลกใจกันเล่น รวมทั้งเป็นของขวัญปีใหม่สำหรับชาว ม.๒ และทุกๆคนด้วย ไม่ใช่ทางโรงเรียนจัดให้อย่างที่ผมเข้าใจในตอนแรก

ไอ้นัยกรีดนิ้วลงบนสายกีตาร์ เล่นเพลงพรปีใหม่ในแนววงสตริง จังหวะหนึ่งไอ้นัยเงยหน้ามองมาเห็นผมเข้าพอดี ใบหน้าของมันเรียบเฉยจนอ่านความรู้สึกไม่ออก

ขอโทษนะเพื่อน... ผมคิดด้วยความเสียใจ ผมเข้าใจผิดมาตลอดว่าไอ้นัยหาข้ออ้างเรื่องซ้อมดนตรีเพื่อหลบหน้าผม ที่แท้ไอ้นัยไม่เคยโกหกผมเลย

งานเลี้ยงฉลองปีใหม่ในวันนั้นเป็นวันที่ไม่สนุกที่สุดเท่าที่เคยมีมาในความรู้สึกของผม ผมรู้สึกเซ็งเหลือเกิน อยากจะเจอกับไอ้นัยเพื่อจะกล่าวคำขอโทษ แต่ถ้าผมเจอมันจริงๆ ผมจะเอ่ยคำขอโทษออกมาได้หรือ ทีมันเข้าใจผมผิดเรื่องปล่อยข่าวมันยังไม่เห็นมาขอโทษผมเลย ไอ้นัยต่างหากที่ต้องมาขอโทษผม... ผมคิดสับสนวนเวียนแต่เรื่องไอ้นัยตลอดทั้งวัน

ตอนบ่าย หลังงานเลี้ยงในห้องเลิก ผมหอบของขวัญที่จับฉลากได้มาที่สหกรณ์ ที่จริงวันนี้สหกรณ์ปิด แต่ผมไม่มีที่ไป จึงลองแวะมาดู เผื่อพวกพี่ๆมามั่วสุมกันอยู่

ไม่ผิดหวัง ห้องปิดประตูแต่ไม่ได้คล้องกุญแจ แสดงว่าข้างในมีคนอยู่...

ผมเปิดลูกบิดและเดินเข้าไป เห็นพี่มั่วกับพี่เอ้นั่งคุยกันอยู่แค่สองคน

“เฮ้ ไอ้อู เข้ามาสิ” พี่มั่วทัก “หน้าตาเอ็งยังไม่ดีเลยนะ”

ผมนั่งลงบนเก้าอี้ ไม่พูดอะไร ที่จริงตั้งแต่มีเรื่อง หน้าตาพี่มั่วกับพี่เอ้ก็ไม่ค่อยดีเท่าไรเหมือนกัน

“ไอ้อู ไอ้นัยยังไม่หายโกรธเอ็งอีกหรือวะ” พี่เอ้ถาม คงรู้เรื่องจากพี่มั่วมาแล้ว

ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ

“ไอ้นัยมันโกรธจริงโว้ย” พี่มั่วเปรย

“เฮ้ย พี่ขอโทษนะอู” พี่เอ้กล่าวคำขอโทษออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง “พี่ปากเสียเอง ทำให้เอ็งซวยไปด้วย”

คงไม่ง่ายนักที่เด็กรุ่นพี่จะขอโทษรุ่นน้องในยุคที่ระบบอาวุโสยังมีอยู่ ทัศนคติของผมที่มีต่อพี่เอ้เริ่มเปลี่ยนกลับมาในทางดีขึ้นอีกครั้ง พี่เอ้นับเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง กล้าทำก็กล้ารับผิด

พี่มั่วตบหัวพี่เอ้ซ้ำ “เพราะเอ็งตัวเดียวแท้ๆ เดือดร้อนกันไปหมด แล้วนี่คิดจะขอโทษไอ้เต้มันบ้างไหม”

“ยังไม่เจอพี่เต้เลยพี่” พี่เอ้ตอบ

“เออ พูดถึงไอ้เต้” พี่มั่วทำหน้าแบบนึกอะไรขึ้นมาได้ “วันนี้พี่เจอมันถือห่อของขวัญว่ะ”

“แล้วไง” พี่เอ้ถาม ส่วนผมเองก็อยากรู้

“พี่ก็ถามมันว่าจะเอาไปให้ใคร มันก็ตอบว่าจะเอาไปให้สาวสตรีวิทย์” พี่มั่วเล่า “มันก็แปลกๆ ช่วงหลังมันไม่ยอมคุยกับพี่ แต่วันนี้ถามแล้วมันกลับตอบ มันไปจีบเด็กสตรีวิทย์ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”

ผมฟังพี่มั่วเล่าด้วยความรู้สึกหลายๆอย่างระคนกัน ทั้งแปลกใจ เพราะเรื่องนี้เกิดขึ้นกะทันหัน ทั้งดีใจ เพราะถ้าเป็นจริง พี่เต้จะได้ไปจากชีวิตของผมและไอ้นัยเสียที และทั้งสงสัย... สงสัยว่ามันเป็นความจริงหรือไม่ และทั้งสงสัยว่าไอ้นัยจะคิดอย่างไรเมื่อได้รับรู้เรื่องนี้


<เมื่อเข้าไปในโรงเรียน ผมจึงพบว่าเสียงดนตรีลอยมาจากตึก ม.๒ ผมเดินตามเสียงไป พบว่าที่บันไดทางขึ้นตึกมีวงดนตรีนักเรียนกำลังเล่นอยู่ วงนี้เล่นกันอยู่สี่ห้าคน เครื่องดนตรีก็มีกลองกับกีตาร์ และหนึ่งในนักเรียนที่กำลังเล่นกีตาร์อยู่ก็คือไอ้นัย!!!>

Wednesday, May 6, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 81

ผมยืนเก้ๆกังๆอยู่หน้าห้องสหกรณ์สักครู่ ในที่สุดก็ตัดสินใจเดินกลับเข้าไปใหม่ คราวนี้จงใจส่งเสียงนำไปก่อน

“มาแล้วคร้าบ”

พวกพี่ๆที่อยู่หลังตู้หยุดคุยไปชั่วขณะ

“อ้าว ไอ้อู ทำไมวันนี้มาเร็วนักวะ ยังไม่ได้ไปเก็บของที่ห้องเหรอ” พี่เอ้ทักทาย พลางมองไปที่เป้ในมือของผม

“ขี้เกียจเดินไปเดินมาอะครับ เลยตรงมานี่เลย” ผมตอบ “พวกพี่คุยอะไรกันอยู่น่ะ”

“คุยเรื่องพี่เต้” พี่เอ้ตอบตามตรง

“พี่เต้มีอะไรเหรอ” ผมถาม

“ก็เห็นเทคแคร์ไอ้นัยมาก เลยคุยกันว่าไอ้นัยตอนนี้เป็นเด็กพี่เต้ไปแล้ว” พี่เอ้เล่าไปเรื่อยๆ ไม่มีท่าทีปิดบังอะไร ดูท่าพวกพี่ๆคงเห็นเป็นเรื่องขำๆมากกว่า หรือไม่อย่างนั้นก็อาจเห็นว่าเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ แต่เรื่องที่พี่เอ้ไม่ได้พูดถึงก็คือเรื่องที่พี่เอ้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับผม

“ไม่มีอะไรมั้ง” ผมพยายามแก้ต่างให้

พูดยังไม่ทันจะขาดคำ พี่เต้ก็โผล่เข้ามาพอดี

“อ้าวพี่เต้ เด็กพี่ยังไม่มาเลย” พี่เอ้ทักทาย

พี่เต้นิ่งไปนิดหนึ่ง ทำหน้าบอกไม่ถูก

“เฮ้ย เด็กไอ้เต้นี่มันใครวะ” พี่มั่วรับลูก ไม่รู้ว่าเกิดคะนองอะไรขึ้นมา จึงเข้ารุมแซวพี่เต้ด้วย

พี่เอ้ทำท่าบุ้ยใบ้ไปทางพี่เต้ “พี่ถามเค้าดูเองดิ”

“เด็กเดิกอะไร” พี่เต้ทำสีหน้ากระอักกระอ่วนยากที่จะบรรยายออกมาได้ “พี่จะมายืมหนังสือ”

“อ้าว นึกว่ามาหาไอ้นัย” พี่หมีกัดพี่เต้จนจมเขี้ยว

แล้วพวกพี่สามคนก็กระเซ้าเย้าแหย่พี่เต้อีกเล็กน้อย ผมเองได้แต่เป็นผู้ดู ไม่ได้ร่วมวงกัดด้วย

พวกพี่มั่ว พี่เอ้ และพี่หมี คงแหย่เล่นแบบคะนองปาก ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะเห็นท่าทียิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ได้มีท่าทางประชดหรือว่าเสียดสีเพื่อให้ได้อาย แต่สำหรับพี่เต้แล้ว เมื่อดูจากสีหน้าคงไม่คิดว่าเป็นเรื่องสนุกเป็นแน่ เมื่อยืมหนังสือเสร็จแล้วก็รีบจากไปทันที

- - -

เช้าวันนั้นไอ้นัยไม่ได้มาที่สหกรณ์เลย กว่าจะโผล่มาก็ตอนพักเที่ยง ตอนนั้นรุ่นพี่อยู่กันแต่พี่เอ้กับพี่หมี พอเข้ามาพี่เอ้กับพี่หมีก็รุมไอ้นัยทันที

“ไอ้นัย ป่านนี้เพิ่งจะมา ผู้ปกครองเอ็งมาหาตั้งแต่เช้าแน่ะ” พี่เอ้แซว

ไอ้นัยทำหน้างง “ผู้ปกครอง?”

“ผู้ปกครองตัวเองเป็นใครยังไม่รู้แฮะ” พี่เอ้หัวเราะ “ไอ้หมีเฉลยหน่อยซิ”

“ก็พี่เต้ไง” พี่หมีพูด “เดี๋ยวก็คงมาอีก”

พี่เอ้กับพี่หมีหัวเราะครึกครื้น ไอ้นัยตีหน้าตาย เหลือบมองมาทางผมแว่บหนึ่ง ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้ไอ้นัยคิดอะไรอยู่

ไอ้นัยถามหาพี่มั่ว พอรู้ว่าพี่มั่วไม่อยู่จึงบอกกับพี่เอ้และพี่หมีว่าช่วงนี้จะไม่ขึ้นมาทำงานที่สหกรณ์ในช่วงหลังเลิกเรียนชั่วคราว ดังนั้นเวรของไอ้นัยจะต้องหาคนมาทำแทน

“จะไปไหนวะ” พี่หมีถาม “อย่าบอกนะว่ามีนัดกับผู้ปกครอง”

“เปล่าพี่” ไอ้นัยตอบด้วยสีหน้าปกติ “ผมต้องซ้อมดนตรีครับ จัดงานปีใหม่กันน่ะ”

ซ้อมดนตรีเหรอ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย ไอ้นัยไม่ได้บอกผมเรื่องนี้มาก่อน หรือว่าเป็นเรื่องที่มันอ้างขึ้นมาเพื่อจะได้ไม่ต้องเจอหน้าผมที่สหกรณ์ รวมทั้งไม่ต้องกลับบ้านด้วยกันอีกด้วย ผมคิดไปเรื่อยเปื่อยด้วยความฟุ้งซ่าน ที่จริงผมควรจะรู้เรื่องนี้ก่อนพี่เอ้กับพี่หมีด้วยซ้ำไป

“อู ช่วงนี้ตอนเย็นไม่ต้องรอนะ” ไอ้นัยหันมาพูดกับผมด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่ผมรู้สึกว่าน้ำเสียงของไอ้นัยช่างห่างเหินเสียเสียเหลือเกิน

หลังจากนั้นไอ้นัยก็นั่งทำงานของมันไปตามปกติ โดยที่เราทั้งสองไม่ได้คุยกันอีกเลย

- - -

“อู” ผมได้ยินเสียงคนเรียกอยู่ข้างหลัง ขณะที่ผมกำลังจะเดินเข้าห้องเรียนในภาคบ่าย เสียงนั้นเป็นเสียงที่ผมคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก ไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่าเป็นใคร

จู่ๆไอ้นัยก็ตามผมมาถึงห้องเรียน หรือว่ามันจะมาง้อผม ความคิดแว่บเข้ามาในสมอง แค่นี้ผมก็รู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาแล้ว

“มึงเป็นคนเอาไปพูดใช่มั้ย” ไอ้นัยถาม เมื่อผมมองหน้ามัน เห็นใบหน้าของมันแสดงความขุ่นเคือง กี่ครั้งนะที่ผมเคยเห็นมันโกรธแบบนี้ ผมพยายามนึก ความอบอุ่นในหัวใจวูบนั้นมลายหายไปสิ้น กลายเป็นความเย็นยะเยือกจับใจ

“เรื่องอะไรเหรอ” ผมพยายามควบคุมอารมณ์ และพูดด้วยเสียงราบเรียบ

“ก็เรื่องพี่เต้” ไอ้นัยพูดอย่างโกรธเคือง “เมื่อกี้พวกพี่ๆเล่าว่าเมื่อเช้ารุมพี่เต้สนุกกันใหญ่ เป็นมึงเอาไปพูดใช่ไหม”

วันนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่เอ้ ถึงได้คึกคะนองมาก และพาลลามให้คนอื่นคะนองไปด้วย นี่คงไปแซวไอ้นัยอีกหลังจากที่ผมออกมาจากสหกรณ์มาแล้ว

ผมรู้สึกน้อยใจ ทำไมเรื่องไม่ดีทั้งหลายต้องยกให้ผมเป็นคนทำด้วยนะ ...

แต่พอมาคิดอีกที หลายปีที่ผ่านมา เรื่องร้ายๆทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับไอ้นัยก็ล้วนแต่ผมเป็นคนก่อทั้งสิ้น แม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม หลายปีที่ผ่านมา ผมคงเป็นตัวซวยในสายตาของมัน พอคิดได้เช่นนี้ อารมณ์น้อยใจก็สลายไป กลายเป็นความท้อแท้ทอดอาลัย

“ถ้ามึงคิดว่ากูทำ ก็ถือว่ากูทำก็แล้วกัน” ผมพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป คำพูดจากอารมณ์ชั่ววูบทำให้เรื่องบานปลายยิ่งขึ้นไปอีก

“กูไม่นึกเลยว่ามึงจะเป็นคนแบบนี้” ไอ้นัยพูดทิ้งท้ายแล้วเดินจากไป

- - -

ใกล้ปีใหม่แล้ว อากาศในฤดูหนาวเย็นสบาย อีกไม่นานก็จะได้ฉลองเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ ช่วงเวลานี้น่าจะเป็นเวลาที่จิตใจผ่องใสรื่นเริง...

หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ผมกับไอ้นัยแทบจะเหมือนคนแปลกหน้าต่อกัน เวลาที่เราอยู่ด้วยกันมีเพียงตอนเช้าระหว่างนั่งรถเมล์มาโรงเรียนเท่านั้น ส่วนตอนพักเที่ยงไอ้นัยไม่โผล่มาที่สหกรณ์เลย บางวันไม่ได้พูดกันเลยสักคำ วันไหนที่พูดกันก็เป็นเรื่องที่จำเป็นทั้งสิ้น ไม่มีการคุยเล่นเลยแม้แต่น้อย

ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่ผมสับสนว้าวุ่นมากที่สุดช่วงหนึ่ง เวลาที่อยู่กับไอ้นัยผมจะรู้สึกอึดอัดใจ วางตัวไม่ถูก แต่เมื่อไม่ได้พบมัน ผมก็จะรู้สึกอ้างว้างและอยากพบมัน ทั้งรู้สึกอยากคุยกับมัน แต่ก็เบื่อที่จะคุยกับมัน ยิ่งนานผมยิ่งว้าวุ่นและไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจทั้งตนเองและก็ไม่เข้าใจไอ้นัย ยิ่งคิดว่าไอ้นัยถึงกับต้องหาข้ออ้างอยู่ซ้อมดนตรีตอนเย็น เพื่อที่จะไม่ต้องกลับบ้านด้วยกัน อีกทั้งไม่ขึ้นมาสหกรณ์ตอนพักเที่ยง เมื่อคิดถึงตอนที่ไอ้นัยหัวเราะจนหน้าแดงเมื่ออยู่กับพี่เต้ ยิ่งคิดผมก็ยิ่งสับสน

ความสับสนในใจของผมริ่มส่งผลกระทบต่อการเรียน ผมเริ่มมีอาการเหม่อลอย เรียนหนังสือไม่ค่อยรู้เรื่อง จนเพื่อนฝูงและอาจารย์ทัก ผมหมกมุ่นครุ่นคิดถึงแต่เรื่องไอ้นัย บางทีก็คิดถึงเรื่องพี่เต้ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน แม้แต่ตอนทำงานที่สหกรณ์ก็ยังเหม่อลอย เมื่อก่อน ไม่ว่าผมจะมีปัญหาอย่างไร ผมก็ยังรวบรวมสมาธิเรียนหนังสือได้ แม้จะมีอาการเรียนไม่รู้เรื่องบ้างเป็นบางครั้ง แต่ก็เป็นช่วงสั้นๆเท่านั้น ไม่ได้ต่อเนื่องยาวแบบที่เป็นอยู่ในตอนนี้

กูไม่นึกเลยว่ามึงจะเป็นคนแบบนี้ ประโยคนี้ยังก้องอยู่ในสมองของผมตลอดเวลา คำพูดประโยคนี้เปรียบประดุจคมมีดที่กรีดลงในดวงใจของผม ผมเริ่มเข้าใจความรู้สึก ‘เจ็บปวด’ ก็ในช่วงนี้เอง...

- - -

หลังจากวันที่พี่เต้โดนรุมแซว วันถัดมาพี่เต้ก็เอาหนังสือที่ยืมไปมาคืน พร้อมทั้งโดนแซวอีกเล็กน้อย หลังจากนั้นมาพี่เต้ก็ไม่ได้มาที่สหกรณ์อีกเลย

ผมเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายพวกพี่ๆในสหกรณ์ เห็นหน้าแล้วก็เซ็งไปหมด แต่พอไม่ไปนั่งทำงานที่สหกรณ์ก็ยิ่งฟุ้งซ่าน ไปห้องสมุดก็อ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง นั่งในห้องเรียนก็ไม่อยากคุยกับใครแม้แต่อ๊อดเพื่อนสนิทที่นั่งโต๊ะติดกันก็ไม่อยากคุย สรุปแล้วตอนนี้ผมทำอะไรไม่ถูก มันว้าวุ่นไปหมด

จนล่วงเข้าใกล้ปีใหม่ มีอยู่วันหนึ่ง จู่ๆพี่มั่วก็เดินหน้าตาเคร่งเครียดเข้ามาในห้องสหกรณ์

“เฮ้ย มีใครเอาเรื่องไอ้เต้ไปพูดหรือเปล่าวะ” พี่มั่วถามพี่เอ้กับพี่หมี

สองคู่หูงงกับคำถาม “พูดอะไรเหรอพี่” พี่เอ้ถาม

พี่มั่วถอนใจ “ช่วงนี้ที่ห้องไอ้เต้มันลือกันให้แซ่ดว่าไอ้เต้ชอบกินถั่วดำ กำลังจีบเด็กรุ่นน้องอยู่ ไม่รู้ไปเอาข่าวมาจากไหน พวกเอ็งมีใครเอาไปเที่ยวพูดหรือเปล่าวะ”

สองคู่หูรีบปฏิเสธพัลวัน “โธ่ พี่ ก็แค่แซวกันในห้องนี้เท่านั้น ถั่วดำถั่วแดงอะไร พวกผมจะเอาไปพูดที่ไหน อีกอย่าง ม.๔ เรียนคนละตึกกับ ม.๕ ว่าแต่พี่มั่วเถอะ เรียนห้องติดกัน น่าสงสัยกว่าพวกผมอีก” พี่หมีพูด แถมยังแว้งกลับในตอนท้าย

“ไอ้เวร” พี่มั่วส่ายหัว “นี่แหละปัญหา มันก็คิดว่าพี่เป็นคนเอาไปพูด เนี่ย เพิ่งทะเลาะกันมา เฮ้อ สงสารไอ้เต้จัง ท่าทางจะโดนเพื่อนเล่นหนัก ไม่รู้ว่ามันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน กูก็พลอยโดนไปด้วย” พี่มั่วเผลอพูดกูออกมา

ผมใจหาย รู้สึกเห็นใจพี่เต้ ผมเองก็เคยโดนเรื่องแบบนี้มาแล้ว จึงเข้าใจความรู้สึกดี นี่ถ้าไอ้นัยรู้เรื่องนี้ มันคงคิดว่าผมเป็นคนปล่อยข่าวเป็นแน่ ผมยิ้มเยาะกับตนเอง

เป็นอันว่าทุกคนที่อยู่ในสหกรณ์ตอนนี้ต่างตกเป็นผู้ต้องสงสัยปล่อยข่าวกันหมด ผมโดนไอ้นัยสงสัย พี่หมีกับพี่เอ้โดนพี่มั่วสงสัย และพี่มั่วก็ถูกพี่เต้สงสัย

- - -

“ยืมเล่มนี้ครับอาจารย์” ผมพูดกับบรรณารักษ์ห้องสมุดในตอนบ่ายวันหนึ่ง ในมือถือหนังสือ ‘ต้นส้มแสนรัก’

ที่จริงช่วงนี้ผมหมดความสนใจต่อเรื่องภายนอกไปมาก แม้แต่การเรียนก็ไม่สนใจ เหลืออยู่แต่เรื่องหนึ่งที่ยังติดใจอยู่บ้าง นั่นก็คือหนังสือเล่มนี้ ทำไมไอ้นัยถึงสนใจหนังสือเล่มนี้นัก และทำไมพี่เต้ต้องซื้อหนังสือเล่มนี้ให้ไอ้นัย แม้ไอ้นัยจะเย็นชากับผม และแม้ผมจะเบื่อโลกก็ตาม แต่ส่วนลึกแล้วผมก็ยังสนใจและคิดถึงไอ้นัยอยู่เสมอ ผมยังอยากไขปริศนาแห่งตัวตนของมันให้กระจ่าง

ตอนแรกผมอ่านแบบไม่ตั้งใจ แต่เมื่อหลายหน้าผ่านไป หนังสือเล่มนี้คล้ายมีมนต์ขลัง สมาธิที่ฟุ้งซ่านของผมกลับรวมตัวและจดจ่อกับหนังสือเล่มนี้ได้

วรรณมกรรมเยาวชนเล่มนี้เล่าถึงเรื่องราวของเด็กชายวัย ๖ ขวบที่ชื่อ เซเซ่ เซเซ่เป็นเด็กที่เฉลียวฉลาด แต่เกิดในครอบครัวที่ยากจนและมีลูกมาก จึงไม่ได้รับการเอาใจใส่ อีกทั้งยังถูกมองว่าเป็นส่วนเกินของครอบครัว ไม่มีใครรัก เซเซ่จึง สร้างเพื่อนในโลกส่วนตัวขึ้น เพื่อนผู้นั้นคือต้นส้มเล็กๆที่รู้ใจและเข้าใจเด็กน้อยในทุกเรื่อง

จนวันหนึ่ง เซเซ่ก็ได้พบสิ่งที่ตนเองถวิลหามาตลอด นั่นคือ ความรักและความอบอุ่นที่แท้จริง ซึ่งไม่ใช่จากผู้ให้กำเนิด ไม่ใช่จากต้นส้มเพื่อนสนิทในจินตนาการ แต่มาจากชายสูงอายุคนหนึ่งซึ่งเซเซ่เคยเกลียดนักหนา เซเซ่รักและผูกพันกับชายผู้นี้มาก จนถึงกับขอร้องให้เขาเป็นพ่อของตนเอง…

แต่แล้วโลกนี้ก็ไม่มีอะไรแน่นอน ในที่สุด เซเซ่ก็ต้องพบกับความจริงอันปวดร้าวอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้...

ผมอ่านเรื่องต้นส้มแสนรักจบภายในไม่กี่วัน เมื่อถึงตอนท้าย น้ำตาของผมต้องไหลพรากด้วยความสะเทือนใจ อย่างน้อยผมก็เข้าใจแล้วว่าทำไมไอ้นัยไม่อยากรีบอ่านหนังสือเล่มนี้ให้จบๆไป เพราะมันละเมียดละมัยเกินกว่าที่จะอ่านอย่างลวกๆได้

ทำไมไอ้นัยถึงได้ชอบอ่านเรื่องแบบนี้นะ ผมคิดในใจ แต่ก็คิดไม่ออก


<ต้นส้มแสนรัก วรรณกรรมเยาวชนที่ได้รับความนิยมจากทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เรียกน้ำตาจากผู้อ่านมาแล้วทั่วโลก เขียนโดยนักเขียนชาวบราซิล ชื่อโฮเซ วาสกอนซีลอส ในปี ค.ศ. ๑๙๔๒ ฉบับแปลภาษาไทยมีสองสำนวนแปล คือ แปลโดย มัทนี เกษกมล และแปลโดยสมบัติ เครือทอง ตอนที่ผมเรียนมัธยมอยู่นั้นอ่านฉบับแปลของมัทนี เกษกมล>


<เรื่องตอนส้มแสนรักฉบับภาษาไทยนี้ ได้รับการตีพิมพ์ซ้ำหลายต่อหลายครั้ง ดังจะเห็นได้จากภาพปกที่มีต่างๆนานา ฉบับที่ผมอ่านในตอนนั้นคือเล่มนี้>

Saturday, May 2, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 80

ผมรีบเดินออกไปที่นอกห้องสหกรณ์ เห็นเด็กวัยรุ่นสามคนเดินเอะอะกันมาตามระเบียงตึก คนหนึ่งคือไอ้นัย คนหนึ่งคือพี่เอ้ และอีกคนจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพี่เต้ขาประจำนั่นเอง

เมื่อทั้งสามเดินเข้ามาใกล้ เห็นไอ้นัยหัวเราะจนหน้าแดง ใบหน้าแจ่มใส ผมไม่ได้เห็นภาพไอ้นัยแบบนี้มานานแล้ว ตั้งแต่มาเรียนที่นี่ ตลอดเวลาที่ผมอยู่กับไอ้นัย ผมไม่เคยเห็นมันหัวเราะท้องคัดท้องแข็งเลย

“โอย พี่เต้นี่ร้ายจริงๆ นายแน่มาก” พี่เอ้ใช้สำนวนที่ฮิตติดปากวัยรุ่นในยุคนั้น พูดพลางหัวเราะพลาง จากนั้นพวกเราทั้งหมดก็เดินเข้ามาในห้อง ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไร พี่มั่วก็ชิงถามขึ้นก่อน

“เฮ้ย ไปทำอะไรมากัน หัวเราะร่วนเชียว”

“ก็พี่เต้น่ะดิ” พี่เอ้พูด “พาพวกเราไปกินกาแฟ”

“กินกาแฟหรือกินกัญชากันแน่วะ หัวเราะซะขนาดนี้” พี่มั่วอดหัวเราะไปด้วยไม่ได้ “กินกาแฟแล้วทำไมต้องขำ”

“ก็พี่เต้พาเราไปกินกาแฟที่ร้านออนล๊อกหยุ่น แล้วนั่งเก๊กท่าวิจารณ์การเมืองล้อเลียนคนที่นั่งในร้าน” พี่เอ้เล่าถึงตอนนี้แล้วก็ยิ่งหัวเราะ ไอ้นัยเองก็หัวเราะไม่หยุด “ต้องไปดูหน้าพี่เต้ตอนนั้นเอาเอง โอย ขำ”

“โห” พี่มั่วร้อง “ร้านออนล๊อกหยุ่นน่ะเหรอ ลูกค้าที่นั่นมีแต่สามคนสองร้อย”

“อะไรอะ สามคนสองร้อย” ไอ้นัยสงสัย

“อายุไง” พี่มั่วตอบ ปล่อยมุขบ้าง เท่านั้นเอง นักเรียนในห้องก็หัวเราะกันอย่างไม่ต้องอั้น

ร้านออนล๊อกหยุ่นที่ว่านี้เป็นร้านกาแฟที่ตั้งอยู่ข้างๆศาลาเฉลิมกรุง ย่านหลังวังบูรพา ว่ากันว่าเปิดร้านมาตั้งแต่สมัยปี พ.ศ. ๒๐๗๐ กว่าๆ จนถึงตอนที่ผมเรียนมัธยมก็อายุของร้านก็ปาเข้าไปราว ๕๐ กว่าปีแล้ว ร้านออนล๊อกหยุ่นนี้เป็นร้านกาแฟแบบเก่า ชงกาแฟด้วยถุงกาแฟแบบโบราณ ลูกค้าในร้านส่วนมากเป็นผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ มักมานั่งดื่มกาแฟ อ่านหนังสือพิมพ์ และสนทนากัน อย่างเช่นวิจารณ์เรื่องการเมือง อย่างที่เรียกกันว่าสภากาแฟ ที่จริงผมกับไอ้นัยเวลานั่งรถขากลับก็ต้องผ่านร้านนี้ทุกวัน ไม่เคยเห็นมีนักเรียนเข้าไปนั่งกินในร้านสักที มีแต่พวกผู้ใหญ่สภากาแฟที่ว่า

“พี่เต้วางมาดเสียแก่เชียว” ไอ้นัยเสริม มันยังหัวเราะไม่หยุด “แถมแกล้งวิจารณ์การเมืองเสียงดังอีก ผู้ใหญ่ร้านมองกันใหญ่ ยังกับเห็นตัวประหลาด”

“เล่นแรงเสียด้วย ร้ายนักนะมึง” พี่มั่วพูดกับพี่เต้ พลอยขำไปด้วย “นี่มึงให้เด็กกินกาแฟด้วยเหรอ เดี๋ยวก็นอนไม่หลับทั้งคืนหรอก” พี่มั่วพูดพลางมองมาทางไอ้นัย

“ไม่เด็กแล้วนะพี่ โตแล้ว” ไอ้นัยพูดแก้ ใบหน้าแดงแจ่มใส

“เปล่า นัยให้เค้ากินไมโล แต่ไอ้เอ้มันอยากกินกาแฟเลยสั่งมา เดี๋ยวคืนนี้ก็รู้” พี่เต้หัวเราะ

“เฮ้ย นัย พาไอ้อูกลับบ้านได้แล้ว ดูมันดิ หน้าเป็นตูดแล้ว” พี่หมีพูดขึ้นบ้าง “มันเดินไปเดินมาคอยเอ็งจนพี่เวียนหัว”

พอพี่หมีพูดถึงผม เหมือนไอ้นัยจะนึกขึ้นได้ ยิ้มที่เปื้อนใบหน้าอยู่หายไปหมดทันที ไอ้นัยหันมามองผมแบบขอโทษ

“กลับบ้านเถอะอู เย็นแล้ว” ไอ้นัยพูดพลางรีบคว้าเป้ขึ้นสะพาย

ผมเงียบ ไม่พูดอะไร คว้าเป้ได้ก็รีบเดินลิ่วออกจากห้องทันที ไอ้นัยรีบเดินตาม

“อู ขอโทษนะ” ไอ้นัยพูดเสียงอ่อย “วันนี้กลับช้าไปหน่อย”

“หน่อยเหรอ นี่มันกี่โมงแล้ววะ” ผมถามด้วยความโมโห

“ก็วันนี้ตอนเลิกเรียน กูกับพี่เอ้กำลังเดินไปซื้อหนังสือ พอดีเจอพี่เต้ที่หน้าตึก พี่เต้ก็เลยไปเป็นเพื่อนด้วย ขากลับกูหิวน้ำ พี่เต้เลยชวนแวะที่ร้านออนล๊อกหยุ่น” ไอ้นัยพยายามอธิบาย แต่พอผมได้ยินว่าพี่เต้เป็นคนชวน แทนที่มันจะเหมือนราดน้ำลงบนกองเพลิง กลับกลายเป็นราดน้ำมันลงบนกองเพลิงแทน

“ทำไมวะ พี่เต้ชวนแล้วมึงก็ต้องไปงั้นเหรอ มึงไม่รู้หรือไงว่ากูรออยู่” ผมโวย

“ขอโทษอะ” ไอ้นัยหน้าจ๋อย

ผมบ่นไอ้นัยไปอีกหลายประโยค ไอ้นัยเงียบ ไม่พูดอะไร

“ทำไมไอ้พี่เต้ชวนแล้วมึงปฏิเสธไม่เป็นหรือไง” หลังจากบ่นอะไรต่ออะไรไปยืดยาว ผมก็หลุดคำว่าไอ้พี่เต้ออกมาด้วยความโมโห

“ทำไมมึงต้องเรียกเค้าว่าไอ้ด้วยวะ” ไอ้นัยเสียงแข็งขึ้นมาบ้าง

“เรียกไอ้พี่เต้แล้วเป็นไงเหรอ” ผมแกล้งพูดย้ำ “เป็นรุ่นพี่แล้วชวนรุ่นน้องเถลไถลมันควรทำไหมล่ะ”

“มึงหยุดบ่นเสียทีได้มั้ย” ไอ้นัยพูดเสียงดังขึ้นมาบ้าง “เซ็งโว้ย”

ผมตกตะลึง นึกไม่ถึงว่าไอ้นัยจะขึ้นเสียงใส่ผม พอได้สติผมก็หยุดพูด ตอนนั้นเราเดินกันมาจนถึงลานหน้าสะพานพุทธแล้ว ไม่มีใครเดินอยู่ใกล้ๆ คงไม่มีใครได้ยินเสียงเราสองคนทะเลาะกัน

เมื่อผมไม่พูดอะไร ไอ้นัยก็ไม่พูดอะไรอีก เราสองคนไม่พูดกันไปตลอดทางจนผมแยกลงจากรถที่ซอยภาวนา

- - -

ค่ำวันนั้นผมไม่มีความสุขเลย ผมหวนคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเย็น ไอ้นัยไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ผมเองอาจจะบ่นมากไปหน่อย แต่ไอ้นัยก็ควรจะรู้ตัวว่ามันเองเป็นคนผิด

ผมคิดถึงใบหน้าของไอ้นัยที่หัวเราะจนแดงเมื่อตอนเย็น ผมไม่ได้เห็นใบหน้าแบบนั้นมานานแล้ว ยิ่งช่วงนี้เห็นมันซึมๆหงอยๆเป็นส่วนใหญ่ พลางหวนคิดถึงวันเวลาตอนที่เรายังอยู่ชั้นประถม ไอ้นัยชอบหัวเราะแล้วก็ตีหน้าตาย หรือเป็นเพราะผมที่ทำให้ชีวิตของมันย่ำแย่ลง จึงทำให้มันขาดความสุขและไม่ค่อยได้หัวเราะ

ผมอาจจะอารมณ์เสียเกินกว่าเหตุไปหน่อยก็ได้ ที่จริงแล้ว วันนี้เมื่อผมกลับถึงบ้าน ผมก็ไม่ได้โดนดุอะไร เกือบสองปีที่ผมมาอยู่ที่นี่ ผมพยายามปรับปรุงตัวและทำตัวดีมาตลอด น้อยครั้งนักที่จะกลับบ้านผิดเวลา จนระยะหลังคุณลุงคุณป้าไว้วางใจ ถ้าผมติดกิจกรรมบ้างเป็นบางครั้ง เพียงโทรมาบอกที่บ้านก่อน จะกลับค่ำไปบ้างก็ไม่เป็นไร

คิดไปคิดมาก็รู้สึกสงสารไอ้นัย ผมควรจะโทรไปคุยกับมันเสียหน่อยน่าจะดี จะได้ไม่ค้างคาใจกัน

สามทุ่มเศษๆ ผมแว่บออกไปโทรศัพท์ที่ตู้ใกล้บ้าน...

สายไม่ว่างแฮะ ผมโทรซ้ำอยู่หลายครั้ง สายก็ไม่ว่างเสียที บางทีคุณอาของไอ้นัยอาจจะกำลังใช้สายอยู่ ผมจึงกลับเข้าบ้านมาก่อน

สามทุ่มครึ่ง ผมออกไปโทรอีกรอบหนึ่ง ผลก็ยังเป็นเช่นเดิมคือสายยังไม่ว่าง

จนสี่ทุ่มกว่า ผมแว่บออกจากบ้านเป็นครั้งที่สามเพื่อไปโทรศัพท์ สายก็ยังไม่ว่างอยู่เช่นเดิม ทำไมวันนี้คุณอาใช้สายนานนัก ผมโทรซ้ำอีกหลายครั้ง จนถอดใจจะเลิกโทรอยู่แล้ว ก็พอดีสายเรียกได้

เสียงเรียกสายดังเพียงแค่ครึ่งตู๊ด ทางโน้นก็รับสายทันที

“ลืมอะไรเหรอพี่” เสียงไอ้นัยพูดจากปลายสายด้านโน้น

“ไอ้นัย นี่กูเอง พี่ที่ไหนวะ” ผมทักมันอย่างงงๆ

“...” ไอ้นัยเงียบเสียงไป ผมนึกอะไรขึ้นมาได้

“เมื่อกี้มึงคุยกับใครน่ะ” ผมถาม

“...”

“มึงคุยกับพี่เต้ใช่ไหม” ผมคาดคั้น

“โทรมามีอะไรเหรออู” ไอ้นัยถาม

“ต้องมีอะไรถึงจะโทรมาได้หรือไง ทีมึงคุยกับไอ้พี่เต้เป็นชั่วโมงมีสาระอะไรบ้างวะ” ผมพูดด้วยความโมโห

“มึงเลิกเรียกเค้าว่าไอ้ได้มั้ย” ไอ้นัยเสียงแข็งขึ้นมาบ้าง “ยังไงเค้าก็เป็นรุ่นพี่นะ”

ตั้งแต่เด็กมา ผมเกรงใจไอ้นัยมาตลอด แม้แต่แม่ของผมก็ยังรู้ว่าเวลาผมอารมณ์ร้อนหรือดื้อขึ้นมา มีแต่ไอ้นัยที่ปรามผมได้ และก็ไอ้นัยคนนี้เองที่ยอมอ่อนข้อให้ผมมาตลอด แต่ตอนนี้ ไอ้นัยเป็นคนที่กระตุ้นต่อมโมโหของผมได้มากที่สุด และไม่ยอมอ่อนข้อให้ผมแม้แต่น้อย มันคงหมดความอดทนกับผมแล้วกระมัง

“รุ่นพี่เรอะ” ผมเสียงแข็งไม่แพ้กัน “เค้าไม่เห็นทำดีกับกูเหมือนทำกับมึงเลย เด็กมันก็ดูออกว่าเค้าชอบมึง” ผมพูดโพล่งออกไป ผมเคยคิดเรื่องนี้อยู่ในใจ แต่ไม่เคยพูดออกมา ไม่อยากแม้แต่จะคิดถึงเรื่องนี้ แต่ในที่สุดผมก็พูดออกไป

“...”

ผมวางหูโทรศัพท์ลงด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก ทั้งโมโห ทั้งท้อใจ ความตั้งใจที่จะโทรไปง้อไอ้นัย สุดท้ายกลับกลายเป็นทะเลาะกันหนักยิ่งขึ้น

- - -

วันรุ่งขึ้น ไอ้นัยมายืนรอผมที่ป้ายรถเมล์ตามปกติ กิจวัตรเช่นเดิมแต่ความรู้สึกกลับไม่เหมือนเดิม ก่อนหน้านี้ แม้เราเคืองกัน เวลาไปไหนมาไหนด้วยกันจะรู้สึกอึดอัดบ้าง แต่ในส่วนลึกของหัวใจผมก็ยังรู้สึกถึงสายใยที่ผูกพันเราสองคนอยู่ แต่เช้าวันนี้ ความรู้สึกที่ผมรับรู้ได้คือความเย็นชา.. อีกทั้งสายใยที่ผมเคยสัมผัสได้ด้วยหัวใจก็ดูเหมือนจะหายไป...

เราสองคนไม่พูดกันเลยตลอดทาง จนมาถึงหน้าประตูโรงเรียน ปกติเราสองคนจะเข้าประตูสอง เพราะประตูนี้อยู่ใกล้ห้องเรียน เอาเป้ไปเก็บในห้องเรียนก่อนจากนั้นจึงไปที่สหกรณ์ แต่วันนี้ผมรู้สึกเซ็ง เดินกับไอ้นัยแล้วอึดอัดมาก อึดอัดจนอยากจะหนีไปจากสภาพเช่นนี้... ผมจึงตั้งใจจะไปที่สหกรณ์ลย ดังนั้นเมื่อเราเดินผ่านประตูหนึ่ง ผมก็แยกเดินเข้าประตูหนึ่งไปเลยโดยไม่พูดจาอะไร

เมื่อผมไปถึงสหกรณ์ ภายในห้องกำลังเอะอะเฮฮากันอยู่หลังตู้เอกสาร ไม่มีใครรู้ว่าผมเดินเข้าไปในห้องเพราะตู้เอกสารบังอยู่

“ไอ้นัยเป็นเด็กพี่เต้แน่เลยว่ะ” เสียงพี่เอ้พูด

“เฮ้ย” เสียงพี่หมีร้อง “มึงรู้ได้ไง”

“เมื่อก่อนก็สงสัยอยู่แล้ว แต่เมื่อวานแน่ใจเลยว่ะ” พี่เอ้พูด “พี่เต้เทคแคร์ไอ้นัยมาก มันจะกินกาแฟก็ไม่ให้มันกิน ต้องสั่งไมโลให้ กูจะกินอะไรไม่เห็นห้ามเลย”

“ก็มันยังเด็ก” พี่หมีพยายามอธิบาย “มึงมันแก่แดดแล้ว” พูดจบก็หัวเราะ

“ยังมีอีกโว้ย” พี่เอ้พูดต่อ “เมื่อวานพี่เต้ซื้อหนังสือให้ไอ้นัยด้วย”

“แล้วแปลกตรงไหนวะ” เสียงพี่มั่วแทรกขึ้น พี่มั่วก็อยู่ด้วย

“ก็หนังสือชื่อ ‘ต้นส้มแสนรัก’ พี่ว่ามันแปลกพอไหม” พี่เอ้ย้อนถาม

ผมคาดเดาเอาว่าไอ้นัยคงคุยเรื่องหนังสือต้นส้มแสนรักกับพี่เต้ พี่เต้เลยซื้อให้เพื่อจะได้ไม่ต้องยืมจากห้องสมุด ส่วนพี่เอ้เข้าใจผิดว่าชื่อของหนังสือเล่มนี้แฝงความนัยบางอย่างอยู่

“ฮื่อ น่าคิดโว้ย” พี่หมีพูด “พี่เต้ทั้งหน้าตาดี ทั้งนิสัยดี เสียดายของจังโว้ย” ว่าแล้วก็หัวเราะ

“แล้วมึงดูไอ้อู คอยไอ้นัยจนหน้าเป็นตูด มึงว่ามันมีซัมติงรองกันไหม” พี่เอ้วิจารณ์ต่อ

“โอ๊ย ยุ่งกันใหญ่” พี่มั่วพูด “พี่สังเกตมาตั้งนานแล้วล่ะ ไอ้เต้มันมานี่เกือบทุกวัน หนังสือก็เช่ามั่งไม่เช่ามั่ง มาแล้วก็เอาแต่คุยกับไอ้นัย” ว่าแล้วทั้งสามคนก็หัวเราะกันขำ

ปกติผมชอบพี่เอ้เพราะว่าพี่เอ้เป็นคนปากตรงกับใจ คิดอะไรก็พูดตรงๆ แต่วันนี้ผมรู้สึกว่าพี่เอ้ปากตรงกับใจเกินไปเสียแล้ว…

ผมถอยออกมาจากสหกรณ์อย่างเงียบกริบ ความคิดที่จะเข้าไปนั่งแก้เซ็งเปลี่ยนไปในทันที


<ร้านออน ล๊อก หยุ่น ตั้งอยู่ข้างศาลาเฉลิมกรุง เป็นร้านกาแฟสไตล์โบราณ ชื่อร้านเป็นภาษาจีน ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นภาษาจีนสำเนียงถิ่นไหน แต่ไม่ใช่แต้จิ๋ว ถ้าภาษาจีนกลางออกเสียงว่า ‘อานเล่อหยวน’ แปลว่าแดนสวรรค์อันสุขสงบ สังเกตว่าหน้าร้านมีกระป๋องไมโลตั้งเรียงรายอยู่ กระป๋องนี้ตั้งโชว์มาหลายสิบปี จากสีเขียวสดกลายเป็นสีเขียวซีด แต่ปัจจุบันก็ยังตั้งอยู่ เป็นเครื่องบ่งบอกอายุอันยืนนานของร้านนี้>


<บรรยากาศภายในร้านกาแฟรุ่นเก่าคูหาเดียว เป็นแหล่งพบปะสังสรรค์ของบรรดาสภากาแฟซึ่งมักมีแต่ผู้ใหญ่อย่างที่พี่มั่วบอก>