Tuesday, February 23, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 50

“อีกส่วนหนึ่งที่ครูไม่ได้บอกเธอในตอนนั้นก็คือ... คนเรานั้นมาพบกันเพียงเพื่อการพลัดพราก ถึงแม้จะมีวาสนาต่อกันเพียงใด สุดท้ายก็ยังต้องพรากจากกัน” ครูช่วยเพ่งตามองผม พูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

“ครูว่า... ทำไมมันเป็นยังละครับ” ผมรู้สึกตกใจกับคำพูดของครูช่วย ไอ้นัยก็คนหนึ่งแล้ว เมื่อหวนคิดถึงคนอื่นๆที่ผมรักแล้วในที่สุดทุกคนจะต้องพรากจากผมไปจนหมด... ผมแทบจะยอมรับไม่ได้เลย

“มันเป็นความจริงนะอู ครูจะยกตัวอย่างให้ฟัง” ครูช่วยพูดช้าๆ “เธอดูอย่างครูนี่ไง เธอเคยเรียนกับครู หลังจากนั้นก็ยังได้เจอครูอีกหลายครั้ง ถือว่ามีวาสนาต่อกัน แต่ในที่สุดครูก็ต้องจากเธอไปตลอดกาล... เมื่อครูเดินไปสุดปลายทางของชีวิต”

ผมนิ่งอึ้ง พูดอะไรไม่ออก

“ความตายไงละอู” ครูช่วยพูดต่อ “ไม่มีใครหนีความตายพ้น ครูถึงได้บอกว่าถึงจะมีวาสนาต่อกันเพียงใด สุดท้ายความตายก็ต้องทำให้เราต้องพลัดพรากจากกัน”

วันนี้ครูช่วยเป็นอะไรไป ทำไมถึงได้พูดเรื่องที่หดหู่จนผมรับแทบไม่ได้ ผมรู้สึกว่าหัวใจของผมหม่นหมอง

“ถ้าพบกับเพื่อจะพลัดพราก อย่างนั้นสู้ไม่พบจะไม่ดีกว่าหรือครับ” ผมถาม

“ทำไมทำหน้ายังงั้นล่ะอู” ครูช่วยพูดด้วยสีหน้าที่บ่งบอกความปรานี “ที่จริงความตายเป็นของธรรมดาโลกนะ ไม่มีใครที่ไม่ตาย เธอเห็นพระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตกทุกวันเธอก็คิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ มันเป็นเรื่องธรรมชาติ แล้วทำไมเธอมองความตายจนน่ากลัวยังงั้นล่ะ ทำไมไม่มองว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาบ้าง”

ครูช่วยหยุดนิดหนึ่ง จากนั้นพูดต่อ

“ครูเห็นเธอมาตั้งแต่เด็ก รู้ว่าเธอช่างคิด อ่อนไหว ที่ครูพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะต้องการเตือนสติเธอ ไม่ต้องการทำให้เธอเอาแต่เศร้าหรือกลัวกับชีวิต ขณะนี้เธออยู่กับปัจจุบัน อดีตแก้ไขไม่ได้แล้วและอนาคตก็ยังไม่เกิด เธออย่ามัวแต่กลัวอนาคต อย่ามัวแต่เศร้าโศกอยู่กับเรื่องในอดีตจนลืมทำสิ่งที่ควรทำในปัจจุบันไป ไม่มีใครรู้ว่าคนที่เธอรักและอยู่รอบข้างของเธอจะสิ้นวาสนากับเธอเมื่อใด ปัจจุบันเป็นเวลาที่มีค่ามากนะอู อย่าประมาทกับชีวิตและใช้เวลาในปัจจุบันให้เต็มที่”

ผมรู้สึกคล้ายเข้าใจแต่ก็คล้ายไม่เข้าใจ หัวใจของผมรู้สึกหม่นหมองและหนักอึ้งเมื่อฟังคำพูดของครูช่วย ดูเหมือนครูช่วยจะเข้าใจความรู้สึกของผม ได้ยินครูพูดต่อ

“ตอนครูหนุ่มๆก็สำมะเลเทเมาเอาเรื่องเหมือนกัน ภรรยาของครูตายตอนที่ครูอายุสี่สิบ ตอนนั้นลูกๆก็กำลังเข้าวัยรุ่น ครูเสียใจมากเพราะคิดว่าครูดูแลภรรยาไม่ดีพอ แต่มันก็สายไปแล้ว หลังจากนั้นครูก็ยิ่งกินเหล้าหนัก ลูกๆเมื่อเข้าวัยรุ่นก็มีปัญหา เตลิดจนแทบเสียคน โชคดีที่ต่อมาได้คิดจึงกลับมาตั้งใจดูแลลูกๆ ไม่อย่างนั้นครูก็คงเสียลูกๆไปด้วย” ครูช่วยหยุดไปนิดหนึ่ง เหมือนกำลังทบทวนอดีต “ถึงตอนนี้เธอจะยังเข้าใจไม่ตลอดก็ไม่เป็นไร แต่จำคำพูดของครูเอาไว้ แล้วอีกหน่อยเธอจะค่อยๆเข้าใจได้เอง”

หลังจากนั้นครูช่วยก็ชวนคุยกันในเรื่องอื่นๆ หลังจากที่กินอาหารเสร็จ ผมกับครูช่วยก็แยกจากกัน

“ถึงเวลาต้องจากกันแล้วนะอู” ครูช่วยพูดยิ้มๆ “ดูซิว่าเราจะยังมีวาสนาได้พบกันอีกไหม”

ทำไมวันนี้ครูพูดแต่เรื่องอะไรแปลกๆนะ ผมฟังแล้วไม่ค่อยสบายใจเลย

“ครูให้เบอร์โทรศัพท์ผมไว้สิครับ ผมจะได้โทรไปคุยกับครู ผมมาดูหนังสือแถวนี้เกือบทุกวันครับ เมื่อไรที่ครูมาแถวนี้อีก ถ้าผมทราบก็จะมากินราดหน้ากับครู” ผมพูด มีความรู้สึกต้องการท้าทายชะตาชีวิตขึ้นมา ถ้าผมต้องการพบกับครูอีก อะไรจะมาขัดขวางได้

“คราวหลังกินอย่างอื่นบ้างแล้ว” ครูช่วยหัวเราะ “จะกินราดหน้าทำไมทุกครั้ง”

หลังจากนั้นครูก็ให้เบอร์โทรศัพท์แก่ผมซึ่งเป็นเบอร์โทรศัพท์ที่บ้านลูกชายของครูนั่นเอง และผมก็ลาและแยกจากครูเพื่อกลับหอ

- - -

ดึกแล้ว...

หลังจากที่ผมกลับมาที่หอก็นั่งดูหนังสือต่อ ดูจนถึงเวลาประมาณตีหนึ่ง รู้สึกว่าสายตาล้ามากแล้ว อากาศภายในห้องก็ร้อนอบอ้าว ผมจึงขึ้นไปนั่งรับลมบนชั้นดาดฟ้า

ปกติหลังเที่ยงคืนก็แทบจะไม่มีใครขึ้นไปบนชั้นดาดฟ้าแล้ว ยิ่งตอนตีหนึ่งตีสองนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

ผมเดินขึ้นบันไดจากชั้นสี่อย่างเงียบกริบ ในเวลาดึกสงัด หอพักทั้งหอเงียบสนิท แม้เสียงเดินตามปกติก็กลายเป็นเสียงดังกังวาน ผมจึงต้องผ่อนฝีเท้าให้เบาเพื่อไม่ให้รบกวนการนอนของผู้อื่น

เมื่อขึ้นไปถึงชั้นดาดฟ้าผมก็ต้องสะดุ้ง เพราะบนนั้นมีเงาตะคุ่มของใครคนหนึ่งกำลังยืนเอนร่างพิงกำแพงดาดฟ้าซึ่งสูงประมาณเอวอยู่ ร่างนั้นขาวๆไม่สวมเสื้อ ใส่แต่กางเกงบอล ปราดแรกที่เห็นทำให้ผมตกใจจนแทบร้องออกมาเพราะนึกว่าเห็นผี พร้อมทั้งเตรียมจะวิ่งหนีลงไปตั้งหลักที่ชั้นล่าง

แต่เมื่อสายตาเริ่มชินกับแสงสลัว ผมจึงเห็นได้ชัดเจนขึ้นว่าเงาร่างนั้นเป็นร่างคนจริงๆ เป็นร่างของชายผิวขาวคนหนึ่ง ผมสั้นทรงนักเรียนทำให้ผมคิดว่าน่าจะเป็นวัยรุ่น ผิวขาวที่ใส่เพียงกางเกงบอลตัวเดียวทำให้ร่างดูสว่างในแสงสลัว

ผมจงใจเดินลงฝีเท้า และก็ได้ผล เงาร่างนั้นดูเหมือนจะได้ยินเสียงผมเดิน จึงหันกลับมาดู... วุฒินั่นเอง

“อ้าว พี่อู ยังไม่นอนอีก” วุฒิทักทายเมื่อเห็นผมเดินมาใกล้พร้อมทั้งหันร่างมา

ผมสำรวจเรือนร่างของวุฒิ ร่างกายของวุฒิกำยำในแบบของวัยรุ่นที่ออกกำลังกาย หัวไหล่หนา หน้าอกมีกล้ามเนื้อแน่น หน้าท้องแบนราบ ขาอ่อนและปลีน่องก็เต็มไปด้วยมัดกล้าม และที่สำคัญ ที่เป้ากางเกงบอลตัวน้อยนั้นตุงออกมาผิดปกติ ดูท่าเมื่อครู่ตอนก่อนผมมาวุฒิคงกำลังคิดอะไรเพลินอยู่

ดูเหมือนว่าผมจะสำรวจเรือนร่างนานเกินไปหน่อยจนวุฒิรู้ตัว วุฒิพยายามจัดเป้ากางเกงให้ดูเรียบร้อยขึ้น แต่มันก็ไม่ดีขึ้นเท่าไรนัก ผมรีบเบือนสายตามาที่ใบหน้าของคู่สนทนาแทนเพื่อไม่ให้ผิดสังเกตไปมากยิ่งกว่านี้

“มันร้อน เลยนอนไม่ค่อยหลับ” ผมตอบ เรือนร่างที่เกือบเปลือยของวุฒิมีเพียงกางเกงบอลตัวเล็กๆปกปิดอยู่เพียงตัวเดียวทำให้เป้ากางเกงของผมเริ่มขยายตัวขึ้น ผมรีบไปยืนพิงกำแพงดาดฟ้า ทำทีเป็นชมท้องฟ้าในยามดึก “ดึกมากแล้วทำไมวุฒิยังไม่นอนล่ะ”

“ในห้องก็ร้อนครับ เลยขึ้นมาตากลมหน่อย” วุฒิตอบ พร้อมทั้งหันร่างไปทาบกับกำแพงเช่นกัน

ตั้งแต่วุฒิมาพักที่หอนี้ ผมเจอวุฒิไม่บ่อยนัก ส่วนใหญ่จะเป็นการเดินสวนกันแล้วทักทายกัน วุฒิขึ้นมาสังสรรค์กับแก๊งพี่ธิตบ้างแต่น้อยครั้ง อีกทั้งวุฒิยังเป็นวัยรุ่นที่ไม่ค่อยช่างพูด ผมเองก็ค่อนข้างเงียบขรึม ดังนั้นแต่ละครั้งที่เราพบกันจึงไม่ได้คุยกันมากนัก แต่วันนี้เป็นสถานการณ์ที่แตกต่างกันออกไป ผมและวุฒิจึงมีโอกาสคุยกันมากขึ้น

เมื่อถามวุฒิว่าอยู่จังหวัดอะไร ทำไมปิดเทอมแล้วจึงยังไม่กลับบ้าน ผมจึงได้รู้ความจริงว่าที่แท้วุฒิไม่ใช่เด็กต่างจังหวัดแต่ว่าบ้านของวุฒิอยู่แถวนี้นี่เอง วุฒิเล่าว่าที่บ้านกำลังซ่อมแซมบ้านอยู่ ทำให้บ้านคับแคบลงไป จึงขอพ่อแม่ออกมาเช่าหอพักอยู่เอง เหตุผลฟังแล้วก็แปลกๆอยู่ แต่คนเราก็ย่อมมีความลับส่วนตัว ผมจึงไม่ไซร้ไล่เรียงต่อเพื่อไม่ให้วุฒิอึดอัดใจ

“เห็นวุฒิสนิทกับแป๋งนะ” ผมถามด้วยท่าทีเรื่อยๆเหมือนกับคำถามที่คุยกันทั่วไปแต่ที่จริงแล้วผมตั้งใจถาม พลางสายตาก็ชำเลืองสังเกตดูท่าทีของวุฒิ ดูเหมือนวุฒิจะมีท่าทีอึดอัดกับคำถามนี้เพราะเห็นเงียบไปนิดหนึ่ง

“พี่แป๋งช่วยติวให้น่ะครับ” วุฒิตอบด้วยท่าทีอึกอักนิดๆ “ผมเรียนไม่ค่อยดี ได้แต่กีฬา พี่แป๋งเลยช่วยติวให้”

ไอ้แป๋งมันใจดีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร ไม่เห็นมันมาช่วยติวให้ผมบ้างเลย ผมนึกหัวเราะในใจ ขณะที่คุยกันเป้ากางเกงบอลของวุฒิขยายออกมาจนเห็นได้ชัด จนวุฒิต้องทาบร่างกับกำแพงอยู่อย่างนั้น ไม่กล้าผละออกมา แต่ว่ามีหรือที่ผมจะไม่สังเกต

เมื่อคุยกันในเรื่องทั่วๆไป ผมก็พบว่าวุฒิไม่ใช่เด็กที่เงียบขรึม วุฒิคุยเก่งพอใช้เลยทีเดียว หลังจากคุยกันได้อีกสักพัก เห็นเป้ากางเกงของวุฒิยังไม่ยอมสงบ ผมรู้สึกร้อนวูบวาบอยู่ภายใน อีกทั้งไม่อยากให้วุฒิลำบากใจจึงขอตัวกลับลงมาข้างล่าง

เมื่อกลับมาที่ห้อง ผมรู้สึกกระสับกระส่าย ภาพเรือนร่างอันกำยำมีกางเกงบอลปกปิดเพียงตัวเดียวของวุฒิรบกวนจิตใจของผม ผมใช้จินตนาการวาดภาพต่อไปถึงส่วนที่ผมมองไม่เห็น...

“เฮ้ย” ผมร้องตกใจเมื่อปะทะกับร่างขาวเนียนของวุฒิขณะที่ผมเดินออกมาจากห้องน้ำและวุฒิก็กำลังเดินผ่านเพื่อลงบันไดไปข้างล่างพอดี วุฒิเดินเงียบมากจนผมไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าเลย

“ตกใจหมดเลยพี่อู” วุฒิพูด “ผมเห็นห้องน้ำเงียบสนิท นึกว่าไม่มีใครอยู่เสียอีก”

- - -

ช่วงที่อยู่หอพักตอนปิดเทอมในปีนั้น วันทั้งวันผมเอาแต่ดูหนังสือ ไม่ไปติว ไม่ติดต่อกับเพื่อน แม้ผมจะไปดูหนังสือที่ห้องสมุดรวมทั้งไปกินอาหารที่ตามศูนย์อาหารในห้างซึ่งมีคนมากมาย แต่ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าผมได้พบปะกับใคร นับว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมอยู่กับตัวเองอย่างแท้จริง มีเพียงคนในครอบครัวกับบอยเท่านั้นที่ผมติดต่อด้วย

การอยู่กับตัวเองแม้ทำให้รู้สึกสงบและมีสมาธิในการอ่านสือ แต่ถ้าอยู่กับตัวเองจนเกินพอดีแล้วก็กลับกลายเป็นเก็บกดและทำให้รู้สึกฟุ้งซ่านไปได้เหมือนกัน

เวลาใกล้เปิดเทอมเข้ามาทุกทีแล้วแต่ว่าผมยังดูหนังสือเรียนชั้น ม.๕ ไม่ทันตามเป้า ความเคร่งเครียดบวกกับความวิตกกังวลทำให้ผมฝันร้ายบ่อยขึ้น ฝันร้ายแต่ละครั้งก็เป็นเรื่องเดิมๆ

ทุกเช้า ผมจะออกจากหอพักประมาณ ๙ โมงเช้า จากนั้นเดินไปขึ้นรถที่ป้ายตรงข้ามซอยภาวนา หลายปีมานี้ผมเดินมาขึ้นรถที่นี่ทุกวันจนติดเป็นนิสัย แม้เป็นเวลาปิดเทอมผมก็ยังไม่เปลี่ยนป้ายขึ้น

ที่ป้ายรถเมล์ตรงข้ามซอยภาวนาจะมีแผงหนังสืออยู่ร้านหนึ่ง แผงหนังสือนี้อยู่ข้างโรงรับจำนำ ปัจจุบันนี้ก็ยังอยู่แต่ว่าในปัจจุบันมีหนังสือพิมพ์และนิตยสารน้อยลงไปมากกว่าตอนที่ผมเรียนมัธยม

นิตยสารกลุ่มหนึ่งที่ผมชอบโฉบเฉี่ยวมาดูที่ร้านนี้ก็คือนิตยสารที่มีภาพเปลือยของชาย ก็คือพวกมิถุนานี่เอง เมื่อผมเรียนอยู่ชั้น ม.๑ เมื่อต้องมาขึ้นรถเมล์ที่ป้ายนี้ ผมก็เห็นหนังสือมิถุนาใส่ซองพลาสติกวางขายคู่กับร้านนี้มาตลอด ภาพนายแบบหน้าปกจะหมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ

จำได้ว่าตอนอยู่ชั้น ม.๑ นั้นผมเห็นหนังสือมิถุนาวางขายอยู่เพียงฉบับเดียว หลังจากนั้นมา ตอนที่ผมเรียนชั้น ม.๒ ก็มีหนังสือแนวเดียวกันแต่หัวอื่นทยอยออกมา ตั้งแต่มรกต นีออน มิดเวย์ ฯลฯ จนในปัจจุบันมีนิตยสารแนวนี้วางอยู่มากมายหลายหัวจนผมจำชื่อได้ไม่หมด แต่ผมก็ได้แต่เพียงโฉบผ่านที่หน้าร้านและเหลือบมองดูหน้าปกที่มีนายแบบชายถ่ายแบบโชว์เรือนร่างเพียงแว่บเล็กๆ อย่าว่าแต่จะซื้อเลย แม้จะดูหน้าปกยังไม่กล้าดูนานเนื่องจากคนขายเป็นหญิงอีกทั้งตรงนั้นเป็นป้ายรถเมล์ มีคนมายืนดูหนังสือพิมพ์อยู่ตลอดเวลา

การได้เหลือบมองเรือนร่างของนายแบบเป็นสีสันเล็กๆน้อยๆอย่างหนึ่งในชีวิตวัยรุ่น แต่พอมาถึงตอนนี้ผมกลับรู้สึกว่าการเหลือบมองภาพหน้าปกนั้นไม่เพียงพอเสียแล้ว ผมอยากอ่านเนื้อหาและดูรูปที่อยู่ในหนังสือนั้น!

จะซื้อก็ไม่กล้าซื้อ เพราะว่าคนขายเห็นผมขึ้นรถที่ป้ายนี้ตั้งแต่เด็กจนวัยรุ่น และยังคงต้องมาขึ้นรถที่นี่อีกไม่รู้ว่ากี่ปี ไม่อยากให้คนขายรู้ว่าผมไม่ปกติ ไม่อย่างนั้นต่อไปคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน อยากอ่านก็อยากอ่าน

ที่จริงแผงหนังสือตรงปากซอยภาวนาก็มี แต่ร้านนั้นก็มีสภาพไม่แตกต่างจากร้านนี้เท่าไรนัก นั่นคือ คนขายเป็นหญิง อีกทั้งมีลูกค้ายืนอยู่หน้าแผงตลอดเวลา แถมร้านนี้ยังเป็นร้านที่คุณป้าซื้อนิตยสารเป็นประจำเสียอีกด้วย

สามเล่มยี่สิบ สามเล่มยี่สิบ ข้อความนี้ลอยขึ้นมาในหัวผม ทำให้ผมได้ความคิดขึ้นมา



<แผงหนังสือตรงข้ามซอยภาวนา ขายมาตั้งแต่ผมยังเป็นเด็กจนเดี๋ยวนี้ก็ยังอยู่แต่ว่านิตยสารน้อยลงไปกว่าเมื่อก่อน เมื่อก่อนจะมีนิตยสารเกย์วางโชว์อยู่ในตะแกรงที่ห้อยอยู่ข้างบน ผมชอบเดินโฉบแล้วก็เหลือบดู ไม่กล้าดูนานกลัวว่าคนจะสังเกตออก>

Friday, February 19, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 49

วันถัดมาผมตื่นแต่เช้าเพื่ออ่านหนังสือ การกลับบ้านต่างจังหวัดทำให้ผมรู้สึกเกียจคร้าน ผลก็คือผมดูหนังสือไม่ทันตามตารางที่กำหนดเอาไว้ ดังนั้นผมจึงต้องเร่งดูหนังสือให้มากขึ้นเพื่อเป็นการชดเชย และนี่คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมเลือกนัดกับไอ้น้องบอยในตอนเย็น เพราะว่าผมจะได้มีเวลาอ่านหนังสือก่อน อ่านจนเหนื่อยแล้วจึงค่อยไปเที่ยว

ผมอ่านหนังสือตั้งแต่เช้ามืดจนถึงประมาณสิบโมงก็เริ่มเข้าใจว่าที่พี่ธิตพูดทิ้งท้ายเป็นปริศนาเอาไว้เมื่อวานนั้นหมายถึงอะไร

เดือนมีนาคมเป็นฤดูร้อนแล้ว อากาศแตกต่างจากช่วงเดือนธันวาคม มกราคม อย่างสิ้นเชิง เมื่อตอนเรียนเทอมสองผมสามารถดูหนังสือที่ห้องในเวลากลางวันได้อย่างสบาย ตกบ่ายแม้จะอากาศร้อนแต่ก็พอทนได้ แต่ตอนนี้แค่สิบโมงเช้าอากาศก็ร้อนอบอ้าวจนแทบทนไม่ไหว พัดลมที่เปิดจ่อลำตัวของผมอยู่พัดมาแต่ลมร้อน ยิ่งใช้พัดลมกลับยิ่งรู้สึกไม่สบายตัว

เนื่องจากผมอยู่ชั้นสี่ซึ่งด้านบนเป็นชั้นดาดฟ้าที่รับแดดเต็มๆ ความร้อนจากแดดที่แผดเผาพื้นชั้นดาดฟ้าทำให้คนที่พักอยู่ชั้นสี่รู้สึกร้อนระอุราวกับอยู่ในเตาอบ ส่วนพี่ธิตที่พักอยู่บนชั้นดาดฟ้านั้นคงไม่ต้องพูดถึง มิน่าเล่าผมจึงไม่ค่อยเห็นพี่ธิตอยู่ที่หอในตอนกลางวันในช่วงวันหยุด ที่แท้ก็อยู่ไม่ไหวนั่นเอง

อากาศร้อนมากเสียจนผมดูหนังสือไม่รู้เรื่อง และที่ร้ายยิ่งไปกว่านั้นก็คือตึกแถวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้องพักของผมมีการปรับปรุงสภาพ กั้นห้อง และตกแต่งภายในเสียใหม่ เสียงก่อสร้างดังสนั่นหวั่นไหว ในที่สุดผมก็คิดว่าต้องไปหาที่ดูหนังสือที่อื่นน่าจะดีกว่า

สมัยนั้นยังไม่มีร้านแมคโดนัลให้นั่งแช่ได้ทั้งวัน การหาที่อ่านหนังสือนอกบ้านไม่ใช่เรื่องง่าย ไปอ่านตามห้างแม้แอร์เย็นสบายแต่เสียงก็อึกทึก แถมที่นั่งก็ไม่ค่อยจะมี

ในที่สุดผมก็เลือกสถานที่อ่านหนังสือที่เหมาะสมได้ นั่นคือ ห้องสมุด หอสมุดแห่งชาตินั่งอ่านได้สบายๆ เพื่อนๆในห้องหลายคนเคยไปนั่งอ่านหนังสือในวันหยุด แต่สำหรับผมตอนนั้นไปไม่ถูก อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ มัวไปหาก็เสียเวลา ครั้นจะไปที่ห้องสมุดเอยูเอก็ไม่ใจว่าเอาหนังสือเรียนเข้าไปอ่านได้ไหม สรุปแล้วก็ตัดสินใจไปที่ห้องสมุดประชาชนปทุมวัน ห้องสมุดที่ผมคุ้นเคย ตรงที่ปัจจุบันเป็นหอศิลป์นั่นเอง

ห้องสมุดแห่งนี้สภาพค่อนข้างเก่า บรรยากาศทึมๆ ไม่ติดแอร์ แต่อากาศภายในไม่ร้อนนัก ในวันหยุดจะมีผู้มานั่งอ่านหนังสือกันแน่นขนัด แต่ก็สงบพอประมาณ แถมยังอยู่ใกล้สยามสแควร์ เหมาะที่จะใช้เป็นที่อ่านหนังสือเป็นอย่างดี

ผมอ่านหนังสือจนถึงเกือบๆห้าโมงเย็นจึงเลิก จากนั้นก็เดินข้ามถนนไปที่โรงหนังสกาล่าเพื่อพบกับบอยตามที่นัดกันเอาไว้ ที่เก่า เวลาเดิม...

เมื่อผมไปถึง เห็นบอยมารออยู่ก่อนแล้ว เมื่อบอยเห็นผมก็ยิ้มแฉ่ง ผมเองก็รู้สึกดีใจที่ได้เจอมันเหมือนกัน เราสองคนไม่ได้เจอกันเป็นสัปดาห์แล้ว

“หูย คิดถึงพี่อูจัง” บอยทักทาย พลางจับมือผมไปแกว่งเล่นด้วยท่าทางดีใจ จนผมต้องชักมือกลับเพราะมีคนยืนอยู่หน้าโรงหนักเยอะแยะ คำพูดที่ตรงไปตรงมาและท่าทีอันจริงใจของบอยทำให้ผมรู้สึกอบอุ่น ยิ่งนานก็ยิ่งรู้สึกว่ามันน่ารักมากยิ่งขึ้น

“คิดถึงเจ้ามือเลี้ยงขนมมากกว่ามั้ง” ผมดักคอมัน

“รู้ทันอีก” บอยหัวเราะ

“วันนี้นายอยากกินอะไรล่ะ” ผมถามขึ้นหลังจากที่ทักทายกันสักครู่

“ตามใจพี่อู แต่เปลี่ยนที่กินมั่งก็ดีฮะ” บอยตามใจผมแต่ก็ยังไม่วายตั้งข้อแม้

“ถ้างั้นไปกินสุกี้ละกัน ดีมั้ย” ผมเสนอ นึกถึงร้านสุกี้ขึ้นมาได้

ร้านสุกี้ที่สยามสแควร์ในยุคนั้นก็มีอยู่สองร้าน คือแคนตั้นกับโคคา ทั้งสองร้านนี้อยู่ใกล้ๆกัน ตั้งอยู่ในสยามสแควร์ด้านถนนอังรีดูนังต์ ผมเดินไปเดินมาอยู่ในสยามสแควร์มาหลายปี เห็นสองร้านนี้มาไม่รู้กี่ครั้งแต่ก็ไม่เคยเข้าไปกินสักทีเนื่องจากสุกี้ไม่ใช่อาหารโปรดของทั้งไอ้นัยและผม ครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรก

เราเข้าไปกินที่ร้านแคนตั้น เมื่อเข้าไปก็เห็นคนนั่งกินอาหารเต็มไปหมด ส่วนใหญ่มากันหลายคน บางโต๊ะก็เป็นลักษณะครอบครัว บางโต๊ะก็เป็นหนุ่มสาวนิสิตนักศึกษาแถวนั้น มีแต่โต๊ะของเราที่เป็นเด็กวัยรุ่นสองคน

พนักงานสาวส่งรายการอาหารมาให้เรา เปิดฝาหม้อสุกี้ เติมน้ำลงไป จากนั้นเปิดแก๊ส จุดไฟ สมัยนั้นยังไม่ใช้เตาไฟฟ้า ใช้เป็นเตาแก๊ส

“สั่งยังไง แล้วกินยังไงอะพี่อู” ไอ้บอยยื่นหน้ามากระซิบถามผมเบาๆ คงกลัวพนักงานจะได้ยินแล้วจะเสียหน้า

“ไม่รู้โว้ย เคยกินซะที่ไหนล่ะ” ผมตอบมันเบาๆเช่นกัน สายตาเหลือบดูโต๊ะข้างๆ เห็นมีถาดผักและของสดวางอยู่ แต่ละคนมีกระชอนเล็กๆใช้ใส่อาหารสดลวกในหม้อ คงสั่งมาลวกกินเองกระมัง

แม้ว่าผมจะอยู่กรุงเทพฯมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็ไม่เคยกินอาหารด้วยวิธีการแปลกใหม่แบบนี้มาก่อน สุกี้ในความเข้าใจของผมคือเหมือนกับที่ขายในโรงเรียน คือขายเป็นชามเหมือนกับก๋วยเตี๋ยว มีสุกี้น้ำกับสุกี้แห้ง เมื่อมาเจอกับสภาพเช่นนี้ก็อดงงไม่ได้

ทำไงดีล่ะ สั่งก็ไม่เป็น กินก็ไม่เป็น แบบนี้ขายหน้าไอ้บอยตายเลย ในที่สุดก็ตัดสินใจหน้าด้านถามพนักงานที่ยืนรอรับคำสั่งอาหารอยู่

“พี่ครับ สั่งไม่ถูก สั่งยังไงกินยังไงครับนี่” ผมถามตรงๆ พนักงานได้ยินแล้วก็อมยิ้ม ผมเห็นพี่แกอมยิ้มตั้งแต่เห็นเราสองคนแล้ว ไม่รู้ว่าเราแปลกตรงไหน

พนักงานสาวแนะนำวิธีการสั่งอาหารและวิธีการกินสุกี้ให้แก่เรา จนผมและไอ้บอยถึงบางอ้อ จึงสั่งอาหารได้ถูก

พอรู้วิธีการกินแล้วคราวนี้สุกี้มื้อนั้นก็กลายเป็นความสนุกสนาน ความสนุกอยู่ตรงตอนลวกอาหารนั่นเอง คนที่กินบ่อยๆอาจไม่รู้สึกอะไร แต่ในความรู้สึกของเด็กวัยรุ่นสองคน มันเป็นวิธีการที่แปลกใหม่และน่าสนุกมาก ไอ้บอยลวกไป กินไป หัวเราะไป คุยจ้อตลอดเวลา บอยนี่จะสังเกตอารมณ์ได้ง่าย ปกติก็คุยเก่งอยู่แล้ว ยิ่งเวลามันอารมณ์ดีจะยิ่งคุยเก่งเป็นพิเศษ

เมื่อกินเสร็จ ถึงเวลาจ่ายเงิน บอยมองดูผมควักเงินด้วยแววตาที่แจ่มใส

“เฮ้ย ไม่คิดช่วยจ่ายมั่งหรือวะ แกล้งทำท่าล้วงตังค์สักหน่อยก็ยังดี” ผมดุมัน

“ไม่อะ หน้าที่พี่อูนี่” บอยสั่นหัวแล้วหัวเราะอารมณ์ดี

หลังจากนั้นเราก็ไปดูหนังรอบค่ำกัน เรื่องอะไรก็จำไม่ได้แล้ว ตอนนั้นเพิ่งปิดเทอมไม่นาน มีหนังใหม่ๆต้อนรับปิดเทอมหลายเรื่องให้เลือกดู

หนังในรอบนั้นมีคนดูเยอะพอสมควร โฆษณาก่อนหนังฉายยาวมาก บอยดูจนเบื่อ

“โอ๊ย ง่วง หนังมาแล้วปลุกด้วยนะพี่อู” บอยพูด จากนั้นก็ไถลตัวลงไปเป็นท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน แล้วเอนหัวมาพิงกับไหล่ของผม พร้อมกับแกล้งกรน “คร่อก ฟี้”

“เฮ้ย อายเค้า” ผมบอกมัน รอบตัวของเราเต็มไปด้วยผู้ชม

“จะไปอายทำไมเล่า ง่วงก็นอน ซบพี่ชายมีอะไรต้องอาย” บอยพูด ไม่ยอมเอาหัวขึ้นจากไหล่ของผม

ผมฟังคำตอบของบอยแล้วถึงกับอึ้ง นี่มันกำลังคิดอะไรของมันอยู่นะ

ผมปล่อยให้บอยนอนพิงอยู่อย่างนั้น ไม่ได้ว่าอะไรมันอีก จมูกของผมสูดดมกลิ่นที่ระเหยจากเรือนผมของมันได้กลิ่นแชมพูหอมอ่อนๆ มันคงเพิ่งสระผมก่อนออกมาจากบ้าน กลิ่นหอมอ่อนๆผสานกับไออุ่นจากแก้มของมันที่แนบกับหัวไหล่และต้นแขนของผมทำให้ผมหวั่นไหว อารมณ์ของผมเริ่มพลุ่งพล่านและกระเจิดกระเจิง...

พรึ่บ

เสียงเพลงสรรเสริญพระบารมีดังขึ้นพร้อมกับเสียงพนักเก้าอี้ ทุกคนรวมทั้งบอยและผมลุกขึ้นยืน อารมณ์อันปั่นป่วนของผมจึงต้องชะงักไปโดยปริยาย

หลังจากที่หนังฉาย บอยก็นั่งดูตามปกติ ไม่ได้ซบผมอีกเลย ตลอดเวลาที่หนังฉาย ผมดูหนังแทบไม่รู้เรื่อง อารมณ์ของผมพลุ่งพล่าน คิดฟุ้งซ่านถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่วาย วันนี้ไอ้บอยมันเป็นอะไรของมัน นี่มันกำลังส่งสัญญาณเพื่อบอกอะไรแก่ผมหรือเปล่า มันชอบผมหรือเปล่า และ... เรื่องที่ผมเริ่มสงสัยก็คือ... มันเป็นแบบเดียวกับที่ผมเป็นหรือเปล่า... คำถามเหล่านี้วนเวียนอยู่ในสมองของผมแต่ผมยังไม่สามารถหาคำตอบได้

คืนนั้น หลังจากที่ผมกลับหอไปแล้ว ผมรู้สึกนอนไม่หลับ ดูหนังสือก็ไม่มีสมาธิ ผมครุ่นคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนหัวค่ำอยู่ตลอดเวลา แม้ผมจะอาบน้ำแล้ว แต่หัวไหล่ของผมยังเหมือนกันแฝงความอบอุ่นและกลิ่นกายของบอยเอาไว้อยู่ตลอดเวลา

- - -

หลังจากที่ผมมากรุงเทพฯอีกครั้ง ผมก็ดูหนังสืออย่างหนักทั้งกลางวันและกลางคืน กลางวันก็หอบหนังสือเรียนไปอ่านที่ห้องสมุดประชาชน ห้องสมุดนี้เสียอยู่อย่างตรงที่ปิดเร็วไปนิด ประมาณห้าโมงเย็นก็ปิดแล้ว เมื่อห้องสมุดปิดผมก็กลับมาอ่านหนังสือต่อที่หอจนดึก ผมนอนหลังเที่ยงคืนและตื่นนอนก่อนหกโมงเช้าเป็นประจำทุกวัน ใหม่ๆจะรู้สึกฝืนอยู่บ้าง แต่พอนานวันเข้าก็รู้สึกชิน

กำลังใจอันสำคัญของผมอยู่ที่ไอ้น้องบอย ผมเริ่มรู้สึกว่าเงาร่างของมันประทับอยู่ในความคิดคำนึงของผมลึกซึ้งยิ่งขึ้นและยิ่งขึ้นทุกวัน ผมโทรคุยกับมันบ่อยๆ เมื่อใดที่รู้สึกเหงาก็จะโทรหามัน มันเป็นบุคคลที่ผมติดต่อด้วยเพียงคนเดียวในช่วงปิดเทอมนอกเหนือไปจากคนในครอบครัวของผม

ไม่นานนักผลสอบปลายภาคสองก็ออก ผมสอบได้เกรด ๒.๙ กว่าๆ น่าเสียดายที่จะถึง ๓ ก็ไม่ถึง ขาดไปนิดเดียว เมื่อรวมกับเกรดเทอมต้นอันต่ำเตี้ยก็เลยทำให้เกรดเฉลี่ยพอดูได้ ผลสอบในครั้งนี้ทำให้ผมดีใจและมีกำลังใจขึ้นอีกมาก

เมื่อผมรู้ผลสอบ ผมรีบโทรศัพท์กลับไปที่บ้านทันที

“ฮัลโหล” ได้ยินเสียงเอ๊ดรับสาย

“เอ๊ด เอ๊ด” ผมเอะอะลงไปในโทรศัพท์ “รู้มั้ยว่าเทอมนี้อูได้เกรดเท่าไร”

“จะไปรู้ได้ไง” เอ๊ดตอบด้วยเสียงเรียบๆ เอ๊ดคงไม่คิดว่าจะมีปาฏิหาริย์อะไรเกิดขึ้น

“สองจุดเก้า” ผมพูดอย่างภูมิใจ “อูทำได้ เห็นมั้ย เอ๊ดไม่ต้องเอนทรานซ์ใหม่แล้วนะ”

ปลายสายด้านโน้นเงียบไปชั่วครู่

“จริงอะ” เอ๊ดถามย้ำ

“จริงสิ จะหลอกไปทำไม” ผมตอบ แล้วรีบพูดต่อ “เนี่ย ตอนนี้อูกำลังอ่านหนังสือ ม.๕ อยู่ อูจะสอบเทียบแล้วก็สอบเอนทรานซ์อย่างที่วางแผนเอาไว้ ไว้ใจอูได้นะ คราวนี้ไม่เหลวไหลแล้ว”

เอ๊ดเงียบไปอีก

“อูบอกป๊าเองละกัน ป๊าจะได้ดีใจ” เอ๊ดพูด “อูรู้ไหมว่าถ้าปีนี้เอ๊ดต้องสอบเอนทรานซ์ใหม่ ถ้าเกิดติดขึ้นมาจริงๆจะต้องมีคนที่เสียใจมากถึงสามคน”

“ใครเหรอ” ผมงง เดาได้ว่าคนหนึ่งคือตัวเอ๊ดเอง แต่อีกสองคนนี่ไม่รู้ว่าเป็นใคร

“คนหนึ่งก็คือตัวเอ๊ดเอง อีกคนหนึ่งก็คือรุ่นน้องคนที่เอ๊ดไปแย่งที่นั่งในมหาวิทยาลัยของเค้ามา แล้วอีกคนก็... ไม่มีอะไรหรอก” เอ๊ดตอบแล้วก็หยุดพูดไป

ในยุคนั้นมหาวิทยาลัยปิดมีเพียงสิบกว่าแห่ง การสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้จึงมีความหมายมาก แตกต่างจากในวันนี้ที่มีมหาวิทยาลัยนับร้อยแห่งให้เลือกเรียนได้ตามความพอใจ

แม้เอ๊ดจะพูดจากระท่อนกระแท่น แต่ผมก็ไม่ได้ติดใจอะไร คงเป็นเพราะความดีใจนั่นเอง หลังจากที่คุยกับเอ๊ดแล้วผมก็คุยกับพ่อ นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่ผมคุยกับพ่อตั้งแต่ผมมาอยู่ที่หอนี้

พ่อฟังแล้วก็เฉยๆ น้ำเสียงฟังไม่ออกเลยว่ายินดีกับผลสอบของผม จนผมอดนึกเคืองในใจไม่ได้ จะดีใจกับลูกบ้างไม่ได้หรือไง จะชมสักคำสองคำไม่ได้หรือไง ความภูมิใจของผมมลายหายไปจนเกือบหมด แต่ก็ช่างเถอะ อย่างน้อยผมก็สามารถแก้ปัญหาเรื่องของเอ๊ดได้ด้วยตัวของผมเอง... มันทำให้ผมมีความมั่นใจในตัวเองมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าพ่อจะยินดีหรือไม่ ผมก็ต้องสอบเทียบและสอบเอนทรานซ์ตามที่ได้ตั้งใจเอาไว้ให้ได้...

- - -

เดือนเมษายน

หลังจากวันที่ผมและบอยไปดูหนังด้วยกันครั้งล่าสุดเป็นต้นมา ผมรู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคนเพิ่มพูนลึกซึ้งขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง บอยติดผมมาก รวมทั้งผมก็ติดบอยเช่นกัน ผมเริ่มใช้โทรศัพท์มากขึ้น จากปกติร้อยวันพันปีแทบไม่ได้โทรหาใคร กลายเป็นว่าโทรหาบอยเกือบทุกวันโดยออกไปโทรที่ตู้ในซอย โทรครั้งหนึ่งๆก็ต้องหยอดเหรียญต่อเวลาไปหลายเหรียญ ส่วนการนัดเจอกันนั้น ตอนปิดเทอมใหม่ๆก็นัดกันราวสัปดาห์ละครั้ง เรื่องที่ทำก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าเดินสยาม กินอาหาร แล้วก็ดูหนัง ชีวิตในเมืองถ้าไม่ทำแบบนี้ก็ไม่รู้จะทำอะไรเหมือนกัน

แต่เมื่อล่วงเข้าเดือนเมษายน การดูหนังสือของผมเริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น พูดง่ายๆก็คือติดลมนั่นเอง แต่แม้ว่าจะติดลมแล้ว ปัญหาของผมก็คือผมมักดูหนังสือไม่ทันตามตารางที่วางเอาไว้ วิชา ม.๕ เป็นเนื้อหาที่ผมยังไม่เคยเรียน ดังนั้นการเรียนรู้ด้วยตนเองจึงค่อนข้างลำบาก ประกอบกับสติปัญญาของผมก็งั้นๆ ดังนั้นจึงต้องอาศัยความอึดเข้าชดเชย กล่าวคือ ต้องใช้เวลากับมันมากกว่าคนอื่นเพื่อที่จะได้เรียนรู้เท่ากัน ซึ่งพอดูหนังสือไม่ทันผมก็จะกังวล พอกังวลก็พยายามดูหนังสือให้มากขึ้นและรู้สึกไม่อยากทำอะไรอย่างอื่นนอกจากอ่านหนังสือ นี่เองเป็นส่วนหนึ่งที่ต่อมาทำให้ผมโทรคุยและเจอกับบอยน้อยลงไปบ้าง แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ผมยังรู้สึกว่าบอยเป็นคนที่มีความหมายต่อผมมาก

วันหนึ่ง หลังจากที่ห้องสมุดปิดทำการในตอนเย็น ผมก็ออกมาเดินเล่นหย่อนใจที่ห้างมาบุญครอง บางครั้งผมก็มากินอาหารเย็นที่ศูนย์อาหาร ชั้น ๖ ก่อนกลับบ้าน ทั้งนี้ เพราะผมเริ่มเบื่อกับเมนูสิ้นคิดที่ร้านเจ้าประจำข้างหอพักนั่นเอง แม้ว่าอาหารที่ศูนย์อาหารจะแพงกว่าแต่มันทำให้ผมรู้สึกเปลี่ยนบรรยากาศได้ดี มากินที่นี่มีสีสันและมีความครึกครื้นของผู้คน ทำให้รู้สึกผ่อนคลายความเคร่งเครียดได้

มาที่นี่ทีไรก็อดคิดถึงไอ้นัยไม่ได้ แม้ผมจะเคยมีอดีตที่ฝังใจ แต่กาลเวลาได้ช่วยชะล้างความเศร้าหมองและรอยอดีตที่ฝังอยู่ให้จางเบาบางลงไปได้บ้างแล้ว

ที่ศูนย์อาหารในตอนเย็นวันนั้นเนืองแน่นไปด้วยผู้คน ร้านอาหารบางร้านขายดีจนต้องยืนต่อคิวกันเพื่อสั่งอาหาร ขณะที่ผมเดินผ่านร้านก๋วยเตี๋ยวราดหน้าแห่งหนึ่ง ผมสังเกตเห็นชายคนหนึ่งยืนต่อคิวรอซื้อราดหน้าอยู่ ชายคนนั้นอยู่ในวัยหกสิบกว่า ผิวคล้ำ รูปร่างสันทัด ผมสีขาวดอกเลา ใส่เสื้อแจ็กเก็ตเก่าๆสีมอๆทับเสื้อยืดข้างใน สะท้อนให้เห็นถึงฐานะความเป็นอยู่ของผู้สวมใส่เป็นอย่างดี ใบหน้าของชายผู้นั้นช่างเป็นใบหน้าที่ผมคุ้นเคยเสียนี่กระไร

“ครูครับ หวัดดีครับ” ผมเดินเข้าไปหาชายคนนั้นพร้อมทั้งยกมือไหว้ รู้สึกดีใจมาก ไม่ใช่ใครอื่น ครูช่วยที่ผมไม่ได้พบมานานหลายปีแล้วนั่นเอง

“อ้าว อูนี่เอง” ครูช่วยรับไหว้พร้อมกับทักทาย สายตาขอครูกวาดมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า “บ๊ะ ไม่ได้เจอกันหลายปี โตเป็นหนุ่มแล้วนะ”

“ครูจำผมได้เหรอครับ” ผมพูดด้วยความดีใจ

“จำได้สิ ถึงเธอจะตัวสูงใหญ่ขึ้น แต่เค้าหน้าไม่ค่อยเปลี่ยน ครูเห็นก็จำได้” ครูช่วยตอบ “กินราดหน้าไหม มา มากินด้วยกัน”

ครูช่วยสั่งราดหน้ามาสองจาน เมื่อได้แล้วก็ชวนผมไปนั่งกินด้วยกัน เมื่อได้โต๊ะว่างและนั่งลงเรียบร้อย ครูช่วยก็เล่าให้ฟังว่าลูกชายของครูมาทำธุระแถวนี้ ครูจึงติดตามมาด้วย ระหว่างที่ลูกชายของครูทำธุระอยู่ครูจึงเดินเล่นอยู่ในห้าง เมื่อเห็นก๋วยเตี๋ยวราดหน้าจึงนึกอยากกินขึ้นมา

“ดีใจจังครับที่ได้เจอครู” ผมพูดจากใจ ความรู้สึกตอนที่ได้พบครูช่วยเหมือนกันได้พบญาติอันสนิท “ตอนที่ครูย้ายบ้านไปผมไม่ทราบเรื่องเลยครับ ยังนึกถึงครูเสมอ”

ครูช่วยเล่าให้ฟังว่าหลังจากที่ผมย้ายโรงเรียนแล้ว สภาพของชุมชนแถบต้นซอยของลาดพร้าวซอย ๑ ก็เปลี่ยนแปลงไป บ้านเรือนเก่าแก่ของชาวชุมชนแถวนั้นถูกเรียกที่ดินคืน ผู้ที่อาศัยอยู่ในย่านนั้นจึงต้องย้ายออกไปรวมทั้งครูช่วยด้วย แม้ผมจะนั่งรถผ่านปากซอยลาดพร้าว ๑ ทุกวันแต่ก็ไม่ทราบว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในซอย จนเมื่อผมแวะไปหาครูช่วยอีกครั้งจึงพบว่าครูย้ายไปแล้ว ครูช่วยกับผมจึงขาดการติดต่อกันตั้งแต่นั้นมา

เมื่อบ้านของครูถูกรื้อ ที่ดินก็ไม่มี ครูจึงไปอาศัยกับลูกชายซึ่งแต่งงานมีครอบครัวแล้วและพักอาศัยอยู่ในย่านฝั่งธนฯ

ผมฟังครูช่วยเล่า สายตาก็สำรวจมองครูช่วยโดยละเอียด ผมอดสะท้อนใจไม่ได้ หลายปีมานี้ดูครูร่วงโรยไปมาก รอยย่นบนใบหน้าเพิ่มขึ้นมาก แว่นสายตาที่ครูใส่อยู่นั้นเก่าจนไม่รู้จะเก่ายังไง เสื้อผ้าก็เก่าและดูล้าสมัย สะท้อนถึงกาลเวลาที่ค่อนข้างยากลำบากของครูประถมที่ผมรักและเคารพคนนี้

“อูเป็นยังไงบ้าง แล้วเพื่อนคนนั้นล่ะเป็นยังไง” ครูช่วยถามถึงเพื่อนคนที่ผมเอาเรื่องไปปรึกษาตอนที่จะสอบเรียนต่อ ม.๑ ซึ่งก็คือไอ้ชัชนั่นเอง

“เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้เจอกันแล้วครับครู” ผมตอบอ้อมแอ้ม รู้สึกว่ากึ่งมุสาครูช่วยไปนิดหน่อย ที่จริงหลังจาก ม.๑ ไปแล้วผมไม่เคยไปหาไอ้ชัชเลยต่างหาก แต่ผมก็มีสาเหตุของผม ทั้งนี้ เพราะผมไม่อยากให้มันรู้เรื่องของไอ้นัย ซึ่งถ้าไปหามันก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเล่าให้มันฟัง จึงตัดปัญหาด้วยการไม่ไปหาเสียเลย

“เห็นไหม ในที่สุดเธอก็ผ่านมันไปได้ แล้วพวกเธอก็จากกันด้วยดี” ครูช่วยพูด

เมื่อพูดถึงการจากกัน ผมอดนึกถึงบอยไม่ได้ นี่ถ้าผมสอบเอนทรานซ์ติดในปีหน้า นั่นก็หมายความว่าถึงเวลาที่ผมจะต้องจากไอ้บอยไป คิดแล้วก็อดใจหายไม่ได้

“เดี๋ยวพอผมเรียนจบมัธยมก็ต้องจากเพื่อนๆอีกแล้วครับ” ผมพูด รู้สึกหม่นหมองวูบขึ้นมาในใจ

ชะรอยครูช่วยคงสังเกตอารมณ์ของผมออก ครูมองหน้าผม

“นี่แน่ะอู เมื่อก่อนตอนที่เธอมาปรึกษาครู ครูบอกเธอเรื่องวาสนา จำได้ไหม” ครูช่วยพูด

“ครับ ครูบอกว่าคนเราได้พบกันเพราะมีวาสนาต่อกัน ถ้าวาสนายังไม่สิ้น สักวันหนึ่งก็จะได้พบกันอีก” ผมตอบ ผมยังจำคำพูดของครูช่วยได้อย่างแม่นยำเพราะว่าหลายปีมานี้ผมใช้คำพูดนี้เป็นความหวังที่หล่อเลี้ยงจิตใจมาโดยตลอด

“อือม์ จำแม่นนี่” ครูชม แล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง “แต่ครูยังบอกเธอไม่หมดนะ ตอนนั้นครูเห็นว่าเธอยังเด็กอยู่ จึงบอกเพียงแค่ครึ่งเดียว”

“แล้วที่เหลือคืออะไรหรือครับ” ผมถามด้วยความอยากรู้

Saturday, February 13, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 48

นี่มันอะไรกัน การณ์กลับกลายเป็นว่าเอ๊ดต้องการสอบเอนทรานซ์ใหม่เพื่อจะได้อยู่ดูแลผมที่กรุงเทพฯได้ และยิ่งไปกว่านั้น ความคิดนี้มาจากพ่อของผมเสียด้วย!

ผมเดินกลับขึ้นไปบนห้องนอนอย่างแผ่วเบา เรื่องที่ผมได้ยินเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง ผมไม่รู้ว่าจะรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้อย่างไร จึงกลับขึ้นมาตั้งหลักในห้องนอนก่อน

ผมนั่งซึมเซาอยู่บนเตียงนอน ความคิดกระเจิดกระเจิง ภาพอดีตหวนเข้ามาในความคิดคำนึง... ตอนที่ผมอยู่ชั้น ป.๖ พ่อไม่สนับสนุนให้ผมย้ายโรงเรียนแต่แล้วในท่าสุดพ่อก็ยอม ในตอนนั้นพ่อเป็นคนที่อารมณ์เย็นและมีเหตุผล

ต่อมาเมื่อผมอยู่ชั้นมัธยมต้น ปัญหาเรื่องไอ้นัยทำให้ผมมีนิสัยแปลกแยกและเข้ากับคุณลุงคุณป้าได้ไม่ดีนัก เมื่อผมมีปัญหากับคุณลุงคุณป้า พ่อก็มักอารมณ์เสีย จนต่อมาในช่วงหลัง ดูเหมือนว่าพ่อจะมีอารมณ์ขุ่นมัวและหงุดหงิดง่ายกว่าเดิม เมื่อผมดื้อก็จะถูกดุด่า จนผมรู้สึกว่าพ่อไม่รักผม และกลายเป็นความน้อยใจ ยิ่งน้อยใจ ผมก็ยิ่งตั้งป้อมกับพ่อเพื่อเรียกร้องความสนใจ จนกลายเป็นสภาพที่พ่อกับลูกเข้ากันไม่ได้มาจนถึงปัจจุบัน

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด ผมนั่งซึมอยู่อย่างนั้นจนมีเสียงเปิดประตูและเห็นคนเดินเข้ามาในห้อง... เอ๊ดนั่นเอง

“อ้าว ยังไม่นอนเหรอ” เอ๊ดทัก “เป็นไรไปอู ซึมเชียว สีหน้าไม่ดีเลย”

เอ๊ดว่าผมสีหน้าไม่ดี แต่สีหน้าของเอ๊ดก็ดูอัดอั้นตันใจ เอ๊ดคงชอบที่เรียนปัจจุบันมากและไม่เต็มใจที่จะสอบเอนทรานซ์ใหม่ ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพ่อจึงต้องบังคับฝืนใจเอ๊ดขนาดนี้

“เอ๊ด... เอ้อ” ผมอึกอัก “เอ๊ดจะสอบเอนทรานซ์ใหม่เหรอ”

เอ๊ดนิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่ง

“รู้ได้ไง” เอ๊ดถาม

“ก็เมื่อกี้อูจะลงไปดูทีวีแล้วได้ยินเอ๊ดคุยน่ะ” ผมบอกตามตรง เมื่อเห็นเอ๊ดนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ผมจึงพูดต่อ “เอ๊ดไม่ต้องสอบใหม่หรอก อูดูแลตัวเองได้ เห็นมั้ยว่าอูอยู่มาได้จนจบ ม.๔ แล้ว”

เอ๊ดเงียบอีก

“ทำไมป๊าต้องสั่งให้เอ๊ดสอบเอนทรานซ์ใหม่ด้วยนะ อูอยู่ได้จริงๆ” ผมพูดต่อ อดต่อว่าพ่อไม่ได้

“อูจะรู้อะไร” เอ๊ดพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ดูเหมือนว่าเรื่องสอบเอนทรานซ์ใหม่นี้เป็นเรื่องที่เสียดแทงใจของเอ๊ด เห็นนิ่งไปนิดหนึ่งจากนั้นก็พรั่งพรูคำพูดออกมาราวกับคนเหลืออด “ป๊าบอกว่าเดี๋ยวนี้อูเปลี่ยนไปมาก ทั้งดื้อ ทั้งก้าวร้าว ให้กลับมาบ้านบ้างก็ไม่ยอมกลับ อยู่คนเดียวน่ะอยู่ได้ แต่กลัวอีกหน่อยจะเสียคนเอาน่ะสิ ทั้งป๊ากับแม่เป็นห่วงอูมากขนาดไหนรู้ไหม”

เมื่อเอ๊ดระบายคำพูดออกมาจนหมด ผมถึงกับอึ้ง รู้สึกจุกในลำคอจนพูดอะไรไม่ออก พ่อเนี่ยนะโทรไปขอร้องเอ๊ด พ่อเนี่ยนะเป็นห่วงผม

“ป๊าเนี่ยนะเป็นห่วง เห็นเอาแต่ขับไล่ไสส่งอู” หลังจากเงียบไปชั่วครู่ ผมก็อดเถียงไม่ได้

“ป๊าโทรมาบ่นเรื่องอูให้เอ๊ดฟังบ่อยๆ ป๊าไม่ได้บังคับเอ๊ดหรอก แต่เค้าขอร้อง ป๊าบอกให้เห็นแก่น้อง จนเอ๊ดสงสารป๊า อูนอกจากก่อเรื่องแล้วรู้อะไรบ้างล่ะ” ดูเอ๊ดจะยิ่งพูดก็ยิ่งหงุดหงิดผม

ในที่สุดผมจึงได้รู้ความจริงว่าที่ผมเข้าใจว่าผมพึ่งตัวเองได้นั้น ทุกคนกลับมองว่าผมเป็นเด็กที่มีปัญหาและคนที่อดรนทนไม่ได้ที่สุดก็คือคนที่ผมคิดว่าเกลียดผมนั่นเอง... ผมเริ่มท้อแท้ ความรู้สึกที่ว่าตนเองไม่เอาไหนและไม่มีค่าเริ่มกลับมาคุกคามผมอีก

ผมถอนหายใจ สายตาพลันเหลือบมองไปเห็นกองหนังสือชั้น ม.ปลาย ของเอ๊ดที่ยังอยู่บนโต๊ะ ถ้าผมท้อ ผมก็คงต้องกลับไปเป็นอย่างเดิมอีก... และในที่สุดก็กลายเป็นตัวปัญหา เป็นภาระของทุกๆคนในครอบครัวไปจริงๆ ผมอุตส่าห์เอาชนะตนเองจนกลับมามุเรียนหนังสือได้อีกครั้งหนึ่งแล้ว ถ้าผมยอมแพ้ในตอนนี้ ความพยายามทั้งหมดก็ต้องสูญเปล่า

“ทำยังไงเอ๊ดถึงจะยอมเชื่อล่ะว่าอูอยู่คนเดียวได้จริงๆ” ผมถาม รู้สึกจนปัญญาเหมือนกัน

“ก็... อูไม่เคยทำอะไรให้ป๊ากับแม่วางใจได้เลยสักเรื่อง” เอ๊ดพูด “ดูเกรดดิ ก็ยิ่งเรียนยิ่งแย่”

เมื่อพูดถึงผลการเรียน ผมได้คิดขึ้นมาทันที

“ถ้ายังงั้นเอ๊ดคอยดูเกรดของอูเทอมนี้ก่อนก็แล้วกัน” ผมพูดด้วยความมั่นใจ “ถ้าเกรดอูห่วยอีกเอ๊ดค่อยไปสอบเอนทรานซ์ แต่ถ้าเกรดอูดี ก็ไม่ต้องสอบ”

เมื่อเอ๊ดเห็นท่าทีที่มั่นใจของผม สีหน้าก็เริ่มฉายแววลังเล

“ที่อูรื้อหนังสือ ม.ปลายของเอ๊ดออกมาก็เพราะว่าอูตั้งใจจะสอบเทียบแล้วก็สอบเอนทรานซ์ปีหน้าด้วย” ผมตัดสินใจเล่าแผนการณ์ของผมให้เอ๊ดฟัง ที่จริงก็ไม่อยากเล่านักเพราะไม่แน่ใจว่าจะทำได้สำเร็จหรือไม่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาพะวงถึงเรื่องนั้น ผมต้องสร้างความมั่นใจให้แก่เอ๊ดไว้ก่อน

“หา อูน่ะเหรอจะสอบเทียบแล้วสอบเอนทรานซ์ปีหน้า” เอ๊ดอุทานอย่างแปลกใจ พร้อมกับทำสีหน้าประหลาด เหมือนกับไม่เชื่อ แต่ดูไปอีกทีก็เหมือนกับจะหัวเราะแต่กลั้นเอาไว้ แต่ช่างเถอะ ถึงจะหัวเราะก็ไม่เป็นไร อยากหัวเราะเยาะก็หัวเราะไป

“ใช่ อูนี่แหละ” ผมย้ำ เมื่อเอ๊ดเห็นท่าทางจริงจังของผมก็นิ่งเงียบไป

“เรื่องเอนทรานซ์ อูไปพูดกับป๊าเองก็แล้วกัน ถ้าเอ๊ดไปบอกป๊าว่าจะไม่สอบ ป๊าก็ต้องโทษเอ๊ดว่าเห็นแก่ตัว ไม่ห่วงน้องอีก” เอ๊ดพูด แล้วในที่สุดเอ๊ดก็หลุดความในใจออกมา “เอ๊ดโดนป๊าว่าเรื่องนี้มาแล้ว เค้าเค้าห่วงอูขนาดไหนรู้มั่งหรือเปล่า ป๊าห่วงอูจน... จนไม่ห่วงความรู้สึกของเอ๊ดเลย”

ผมรู้สึกตื้ออยู่ในอก ประโยคสุดท้ายของเอ๊ดนั้นทำให้ผมรู้สึกสะเทือนใจ ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีใครหลายๆคนกำลังแอบเสียสละเพื่อผมอยู่ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิด

แต่ให้ผมไปพูดกับพ่อเองน่ะเหรอ ผมยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่เพราะความที่ปั้นปึ่งกับพ่อมานาน จู่ๆจะเปลี่ยนท่าทีก็กระไรอยู่

ผมอดแก้ตัวให้แก่ตนเองไม่ได้ว่าถ้าพ่อรักผม เป็นห่วงผม ทำไมไม่พูดให้ผมรู้บ้างล่ะ ทำไมต้องชอบว่า ชอบดุดันใส่ผมนัก แต่ตอนนั้นก็ลืมมองตนเองไปว่าแสดงท่าทีอะไรกับพ่อเอาไว้บ้าง

- - -

เช้าวันรุ่งขึ้น ขณะที่เอ๊ดกำลังจะลงไปกินอาหารเช้า ผมขอให้เอ๊ดช่วยกินอาหารเช้าให้เสร็จเร็วหน่อยแล้วรีบปลีกตัวไปก่อน เพื่อผมจะได้หาโอกาสคุยกับพ่อ ผมคิดว่าคุยกับพ่อแต่เช้าน่าจะดีเพราะว่าคนที่เพิ่งตื่นนอนมักอารมณ์ดี น่าจะทำให้การพูดคุยง่ายขึ้น

ผมย่องลงไปข้างล่าง จากนั้นแฝงตัวเข้าไปในห้องอาหารอย่างเงียบกริบ ขณะนั้นเอ๊ดลุกจากไปแล้ว เหลือเพียงพ่อนั่งอยู่กับแม่ คุยตอนที่แม่อยู่ก็ดีเหมือนกัน เพราะว่าใจจริงผมยังรู้สึกกลัวพ่ออยู่บ้าง แต่ในเมื่อผมก่อ ผมก็ต้องเป็นคนสาน

“อ้าว อู ดีจังที่ลงมาตอนนี้” แม่ทักด้วยความดีใจที่วันนี้ผมไม่ทำตัวเป็นนินจา “มากินข้าวต้มด้วยกันสิ”

พ่อนั่งเงียบ ไม่พูดอะไร ผมกระอักกระอ่วน วางตัวไม่ถูก จะเริ่มพูดก็ไม่รู้จะเริ่มยังไง จะยืนเฉยๆก็ไม่เหมาะ จะไปนั่งกินด้วยก็ไม่รู้จะดีไหม

“ป๊า ป๊าไม่ต้องให้เอ๊ดสอบเอนทรานซ์ใหม่หรอก” ผมพูดโพล่งขึ้นมา ในเมื่อคิดอะไรไม่ออกก็พูดออกมาเสียเลย

พ่อกับแม่มีสีหน้าแปลกใจ คงแปลกใจที่ผมรู้เรื่องนี้

“นี่เอ๊ดบอกเหรอ” พ่อถาม

“เอ๊ดไม่ได้บอก” ผมรีบออกหน้าแทนพี่ชาย ใจชื้นขึ้นมานิดหนึ่งเมื่อพ่อพูดกับผมดีๆ “อูบังเอิญได้ยินเอ๊ดคุยโทรศัพท์กับเพื่อนน่ะ”

“อย่าให้เอ๊ดต้องเสียเวลาเรียนไปปีนึงเลย อูดูแลตัวเองได้จริงๆนะป๊า ไม่เชื่อรออีกไม่กี่วันผลสอบเทอมนี้ก็ออกแล้ว คอยดูเกรดของอูก่อนละกัน” ผมรีบพูดต่อ เมื่อพูดจบก็รู้สึกโล่งใจ ในที่สุดก็ระบายเรื่องที่อยากพูดออกมาจนได้

พ่อกับแม่หันมาสบตากัน

“งั้นดูเกรดของอูก่อนแล้วค่อยว่ากันก็แล้วกัน” พ่อพูด พร้อมกับเอ่ยปากชวน“ไหนๆลงมาแล้วก็นั่งกินเสียสิ”

เมื่อพ่อชวน ผมจึงไม่รีรออีก รีบนั่งลงกินอาหารร่วมกับพ่อและแม่ นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่ผมได้นั่งกินอาหารพร้อมหน้ากับพ่อและแม่ จะขาดก็เพียงเอ๊ด บรรยากาศที่ดีค่อยๆกลับคืนมาสู่บ้าน

หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ ผมก็คุยกับเอ๊ด เล่าเรื่องที่โต๊ะอาหารให้ฟัง พร้อมทั้งกำชับเอ๊ดไม่ให้บอกเรื่องที่ผมจะสอบเทียบกับสอบเอนทรานซ์ให้พ่อกับแม่รู้ เพราะไม่อยากให้ทุกคนคาดหวังในตัวผมมากนัก ซึ่งเอ๊ดก็รับปาก

- - -

ปิดเทอมในปีนั้นผมมีโอกาสอยู่ที่บ้านต่างจังหวัดเพียงไม่กี่วันก็มากรุงเทพฯอีก เนื่องจากเมื่ออยู่ที่บ้านผมดูหนังสือได้น้อยมาก ผมทำตารางเอาไว้เลยว่าในสัปดาห์หนึ่งต้องดูอะไรบ้างและดูให้ได้เท่าไร ซึ่งปรากฏว่าเมื่อกลับไปบ้านแล้วผมทำตามแผนไม่ได้เลยเนื่องจากอยู่ที่บ้านสบายเกินไป ทำให้ผมรู้สึกขี้เกียจ

น่าแปลกที่การกลับบ้านเมื่อเทอมก่อนๆแม้จะมีเวลาอยู่ที่บ้านมากกว่านี้ แต่ผมกลับไม่ได้สังเกตอะไร ตรงกันข้ามกับครั้งนี้ ที่แม้ผมจะอยู่ที่บ้านเพียงไม่กี่วัน แต่ผมกลับสังเกตอะไรได้มากมายหลายอย่างที่ไม่เคยสังเกตพบมาก่อน

อย่างแรกที่ผมสังเกตพบก็คือ เพื่อนๆในวัยเด็กที่อยู่ในละแวกบ้านของผมนั้นแต่ละคนเติบโตและดูเปลี่ยนแปลงไปมาก ความสนิทสนมคุ้นเคยในวัยเด็กได้เปลี่ยนแปลงไปกลายเป็นความแปลกหน้าไม่คุ้นเคย ที่จริงก็ไม่ถึงกับแปลกหน้าต่อกัน เพียงแต่ผมรู้สึกว่าคนเหล่านี้เหมือนไม่ใช่เพื่อนคนเดิมที่ผมรู้จักในวัยเด็ก มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายได้ยาก เพื่อนแต่ละคนเติบโตขึ้นและเริ่มเลือกเส้นทางชีวิตของตนเอง หลายๆคนเข้าไปเรียนต่อ ม.ปลายในเมืองใหญ่ บางคนอยากเป็นทหาร บางคนอยากรับราชการ ในขณะที่บางคนเรียนอาชีวฯ และบางคนก็ไม่ได้เรียนต่อ

อีกอย่างที่ผมสังเกตก็คือ ในละแวกบ้านของผม และแม้แต่ในชนบทเล็กๆตามเส้นทางที่ผ่านมา ผมพบว่ามีเสาอากาศทีวีกันมากขึ้นอย่างผิดหูผิดตา น่าสังเกตว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทีวีแพร่เข้าไปในชนบทอย่างรวดเร็ว เมื่อก่อนหมู่บ้านหนึ่งอาจมีทีวีเพียงไม่กี่เครื่อง ส่วนใหญ่มักเป็นบ้านคนมีฐานะหน่อย แต่ต่อมาเมื่อเข้าสู่ยุคที่ทีวีสีแพร่หลาย ดูเหมือนว่าทีวีจะแพร่เข้าไปในชนบทเร็วมากยิ่งขึ้น บ้านใดมีทีวีสังเกตได้จากเสาอากาศที่สูงหลายเมตร หลังจากนั้น เมื่อมีทีวี วิถีชีวิตของชาวชนบทก็เปลี่ยนไป มอเตอร์ไซค์ รถกระบะ เครื่องใช้ไฟฟ้าเงินผ่อน ตลอดจนเครื่องใช้ไม้สอยอื่นๆก็หลั่งไหลเข้ามาในชนบทอย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ ผมยังอดคิดถึงบึงน้ำที่ผมรักไม่ได้... บึงน้ำในทุ่งขจี ด้านหนึ่งเป็นร่องสวนที่มีต้นไม้ใหญ่ ผมไม่ได้ไปที่นั่นหลายปีมาแล้ว ไม่รู้ว่าป่านนี้ที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง ที่บึงน้ำเร้นรักแห่งนั้นมีอดีต มีความสุข และมีความรักของผมและไอ้นัยฝังอยู่ ผมสัญญากับตัวเองว่าจะกลับไปที่นั่นอีก... พร้อมกับไอ้นัย…

รถประจำทางที่จอดรับผมที่หน้าบ้านเคลื่อนตัวออกอย่างช้าๆ เมื่อผมหันกลับไปมองก็เห็นพ่อ แม่ และเอ๊ดที่ยืนส่งผมที่หน้าบ้านตัวเล็กลงเรื่อยๆ และแล้ว การเดินทางครั้งใหม่ของผมก็เริ่มต้นขึ้น...

- - -

กว่าที่ผมจะมาถึงหอพักก็เป็นเวลาเย็นแล้ว ผมพบกับพี่ธิตที่ปากซอย เราสองคนจึงเดินเข้ามาด้วยกัน พี่ธิตอยู่ในชุดเสื้อแขนยาวกางเกงสแล็ก บ่งบอกมาดของหนุ่มออฟฟิส

“ทำไมรีบกลับมานักล่ะอู” พี่ธิตถามด้วยความสงสัยขณะที่เราเดินไปด้วยกัน

“ขี้เกียจอยู่บ้านครับ” ผมตอบ “อยู่แล้วไม่มีอะไรทำ เลยว่าจะมาเรียนพิเศษในกรุงเทพฯดีกว่า”

ผมก็อ้างเฉไฉไป ไม่ยอมบอกความจริงเรื่องสอบเทียบและสอบเอนทรานซ์

“แล้วเรียนทุกวันเลยเหรอ” พี่ธิตถามต่อด้วยความอยากรู้ “วันที่ไม่เรียนจะทำอะไรล่ะ”

“ยังไม่ทราบเลยพี่ แต่ถ้ามีเวลาว่างผมก็คงนั่งดูหนังสือที่ห้อง ไม่รู้จะไปไหนเหมือนกันครับ” ผมตอบ พลางคิดในใจว่าพี่อย่าซักมากนักสิครับ ผมแต่งเรื่องไม่ทัน

“ดูหนังสือที่ห้องเหรอ” พี่ธิตทวนคำ พลางยิ้มแบบลึกลับ “แล้วน้องจะรู้สึก”

- - -

“ฮัลโหล สวัสดีครับ ผมขอสายบอยหน่อยครับ” ผมกรอกเสียงลงไปในหูโทรศัพท์ เมื่อผมมาถึงหอพัก หลังจากที่แยกกับพี่ธิตและเก็บของที่ห้องแล้วผมก็รีบลงมาโทรศัพท์

ปลายสายด้านโน้นเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นก็มีเสียงอันร่าเริงดังขึ้น

“ฮัลโหล”

“บอย นี่พี่เอง” ผมทัก “พี่กลับมาแล้ว”

“เย้ พี่อู หายไปหลายวันเชียว” เสียงบอยร้องดีใจ ผมอดรู้สึกหัวใจพองโตไม่ได้ มันดีใจขนาดนี้ แสดงว่าผมมีความหมายต่อมันพอสมควรทีเดียว

“พรุ่งนี้ว่างไหม” ผมถาม

“ว่างๆๆ” บอยรีบตอบ “พี่อูจะเลี้ยงใช่ไหม”

“ต่างคนต่างออกโว้ย” ผมพูด “ตอนนี้ยากจน”

“เฮอะ” ไอ้บอยร้อง

“พี่อูไม่รู้จักหน้าทิ่อีกแล้ว” ผมพูดพร้อมกับมัน ทั้งบอยและผมหัวเราะ

“พรุ่งนี้เจอกัน ที่เก่าเวลาเดิมนะ” น่าแปลกที่ผมรู้สึกอารมณ์ดีทุกครั้งที่ได้คุยกับไอ้บอย ครั้งนี้ก็เช่นกัน จนอดปล่อยมุขไม่ได้

“ที่เก่าน่ะที่ไหน เวลาอะไรอ่ะ” บอยงง

ที่เก่าเวลาเดิมเป็นสำนวนที่มาจากชื่อเพลงของวงโอเวชั่น สำนวนนี้ดังมาตั้งแต่ตอนผมอยู่ ป.๖ หรือ ม.๑ นี่แหละ ติดปากกันทั้งผู้ใหญ่และวัยรุ่น ไอ้บอยก็รู้จัก แต่มันคงงงที่ผมพูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

“เซ่อจริง” ผมถือโอกาสหลอกด่ามัน “ก็สยามสแควร์ไง เจอกันหน้าสกาล่า ห้าโมงเย็น ไม่ใช่ที่เก่าเวลาเดิมเหรอ”

“อ๋อ” ไอ้บอยหัวเราะฮิฮะ “สำนวนจากหนังสือเธอกับฉันนี่บอยไม่ค่อยทันหรอกฮะ ไม่ได้อ่านนี่”

ฟังเพลง ที่เก่าเวลาเดิม ของวงโอเวชั่น จากอัลบั้ม ที่เก่าเวลาเดิม ออกในปี พ.ศ. ๒๕๒๖

Sunday, February 7, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 47

หลังจากงานเลี้ยงสังสรรค์ พวกนักเรียนนักศึกษาก็ทยอยเดินทางกลับ หอพักเงียบราวกับเป็นหอร้าง ผมคิดถึงบ้านมาก แต่ด้วยทิษฐิอีกเช่นเคยที่ทำให้ผมไม่ยอมกลับไป

หลังจากที่แม่โทรมาเรียกให้ผมกลับบ้านหลายครั้งด้วยความเป็นห่วง จนครั้งหลังๆแทบจะอ้อนวอน ในที่สุดผมก็ตัดสินใจกลับบ้านโดยให้เหตุผลกับตนเองว่าผมอยากจะกลับไปเพื่อเอาหนังสือเรียน ม.๕ และ ม.๖ ของเอ๊ดมาเพราะว่าหนังสือเหล่านี้ใช้กับการเรียน กศน. ได้ แต่ที่จริงผมก็รู้ว่านั่นเป็นเพียงข้ออ้างที่ผมอ้างกับตนเอง ผมกลับบ้านเพราะผมคิดถึงบ้านมากต่างหาก

เดือนมีนาคม อากาศเริ่มร้อนแล้ว ผมนั่งรถทัวร์กลับบ้านเพราะต้องการความสบาย เมื่อลงรถที่ตัวเมืองแล้วจากนั้นต้องต่อรถเข้าอำเภออีกต่อหนึ่ง

ผมนั่งชมทิวทัศน์สองข้างทาง ปล่อยความคิดให้ล่องลอยไป ปีการศึกษาชั้น ม.๔ นี้เป็นปีที่ผมเดินทางกลับบ้านบ่อยที่สุด มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายในระหว่างปี การกลับบ้านแต่ละครั้งก็กลับด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน

ในตอนต้น ผมถูกพ่อพากลับบ้านเพื่อไปเรียนที่โรงเรียนใกล้บ้าน การกลับบ้านในครั้งนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ท้อแท้ สิ้นหวัง แต่หลังจากนั้นผมก็แอบหนีเข้ากรุงเทพฯเพื่อหาหอพัก ผมเดินทางไปและกลับกรุงเทพฯคนเดียวเป็นครั้งแรก การเดินทางกลับบ้านในช่วงนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ดิ้นรน แต่ก็เป็นเพียงแค่ความพยายามเอาตัวรอดในสถานการณ์เฉพาะหน้าเท่านั้น ยังไม่มีเป้าหมายใดๆในชีวิต

หลังจากเกิดเหตุการณ์ต่างๆมากมาย ในที่สุด ผมก็ได้เดินทางกลับบ้านอีกครั้งหนึ่ง การกลับบ้านในครั้งนี้ผมกลับมาด้วยความหวังและกำลังใจที่จะก้าวต่อไปข้างหน้า พร้อมกับเป้าหมายในชีวิตที่จะมุ่งสู่ประตูมหาวิทยาลัย

เมื่อใกล้ถึงบ้าน ถนนในชนบทเต็มไปด้วยต้นไม้ร่มครึ้ม ต้นนนทรีสองข้างทางออกดอกเหลืองอร่าม ยิ่งใกล้ถึงบ้านเท่าใด ความรู้สึกคิดถึงบ้านก็ยิ่งเข้มข้นมากขึ้นเท่านั้น

ผมเหม่อมองต้นนนทรีเหลืองสวยที่ผ่านสายตาไปต้นแล้วต้นเล่า พร้อมกับปล่อยให้ความคิดล่องลอยไป จู่ๆก็รู้สึกเหงาขึ้นมาอย่างจับใจ ในปีก่อนๆผมกลับบ้านพร้อมกับพ่อ บางทีก็แม่ด้วย แต่ตอนนี้ผมต้องเดินทางกลับบ้านคนเดียว ในด้านหนึ่งของความรู้สึก การเดินทางกลับบ้านคนเดียวหมายถึงความเป็นผู้ใหญ่และสามารถดูแลตัวเองได้แล้ว แต่ในอีกด้านหนึ่งผมกลับรู้สึกอ้างว้างและเดียวดาย ปรารถนาอยากมีเพื่อนสนิทที่รู้ใจร่วมทางมาด้วย ผมเริ่มสงสัยว่าบนเส้นทางชีวิตนั้นต้องอ้างว้างเช่นนี้เสมอไปหรือเปล่า จะมีใครสักคนที่ร่วมเดินเคียงคู่ไปกับเราจนตลอดชีวิตได้หรือไม่

- - -

เมื่อผมกลับมาถึงบ้าน บุคคลแรกที่ผมพบเป็นบุคคลที่ผมอยากหลบหน้ามากที่สุด... พ่อนั่นเอง

“ป๊า” ผมทักพ่อ สายตามองต่ำเหมือนหาเศษตังค์ที่พื้น ไม่กล้าสบตาพ่อ

“ฮื่อ” พ่อทักทายเพียงสั้นๆ

ผมรีบเดินหลบเข้าไปในบ้านทันที จากนั้นก็ไปทักทายแม่ เมื่อแม่เห็นหน้าผมก็บ่นผมเสียจนหูชา เรื่องที่บ่นมากที่สุดก็คือเรื่องที่ผมไม่ค่อยรับโทรศัพท์ของแม่นั่นเอง อีกทั้งโทรกลับก็ไม่โทร ทำให้แม่เป็นห่วงมาก กับอีกเรื่องก็คือเรื่องที่ทำตัวมึนตึงกับพ่อ

ตอนที่ผมกลับมาบ้านนั้นเอ๊ดยังไม่กลับมา ผมตั้งใจว่าจะอยู่ที่บ้านไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ หลังจากนั้นก็จะกลับมาที่หอเพื่ออ่านหนังสือต่อ ขณะที่อยู่ในบ้านผมก็ทำตัวเป็นนินจาผุบๆโผล่ๆ วันๆเอาแต่หลบหน้าพ่อ สาเหตุที่หลบหน้านั้นแม้แต่ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่ ส่วนหนึ่งคงมาจากความน้อยใจและอยากเรียกร้องความสนใจจากพ่อ แต่อีกส่วนหนึ่งกลับเป็นความรู้สึกไม่กล้าสู้หน้าพ่อ เหมือนกับว่าผมทำอะไรผิดเอาไว้ ซึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจว่าเพราะอะไรจึงได้มีความรู้สึกเช่นนั้น แต่รวมความแล้วผมพยายามหลบพ่ออยู่ตลอดเวลาที่อยู่ในบ้าน

ผมไปค้นลังที่เก็บหนังสือเรียนชั้น ม.ปลายของเอ๊ด ค้นได้หนังสือเรียนชั้น ม.๕ และ ม.๖ มาหลายเล่มทีเดียว หนังสือเรียนที่เอ๊ดใช้แล้วนั้นนั้นดีกว่าหนังสือเรียนที่ซื้อใหม่เสียอีก เพราะว่าในหนังสือของเอ๊ดมีการเน้นข้อความสำคัญอีกทั้งเขียนโน้ตกำกับเอาไว้ในหนังสือด้วย ซึ่งช่วยในการเตรียมสอบ กศน. ของผมได้มาก ผมจึงคัดเลือกหนังสือที่ต้องการไว้หลายเล่มเพื่อที่จะเอากลับกรุงเทพฯด้วย

หลังจากที่กลับมาบ้านได้สองสามวัน ผมก็เริ่มรู้สึกเบื่อหน่าย ผมกับพ่อมึนตึงกันตลอด ผมพยายามเก็บตัวอยู่แต่ในห้องจะได้ไม่ต้องเจอพ่อ ซึ่งที่จริงก็ไม่ยากเท่าไรเพราะว่าผมมีหนังสือที่ต้องอ่านอีกมาก สามารถนั่งดูได้ทั้งวัน ส่วนตอนกลางคืนเมื่อดึกมากๆ หลังจากที่ทุกคนเข้านอนกันหมดแล้ว ผมก็จะแอบย่องลงมาดูทีวีบ้างเพื่อเป็นการผ่อนคลาย แต่ดูได้ไม่นานก็ปิดสถานีเพราะว่าในยุคนั้นเป็นยุคที่ต้องประหยัดไฟฟ้า ทำให้สถานีโทรทัศน์ทั้งหลายปิดสถานีกันในราวๆเที่ยงคืน และจำได้ว่าในยุคนั้นมีการปิดสถานีโทรทัศน์ตอนหัวค่ำด้วย กล่าวคือ ช่วงค่ำหกโมงครึ่งถึงสองทุ่มของทุกวันจะไม่มีการออกอากาศ เพื่อลดการใช้ไฟฟ้า หลังจากนั้นต่อมาอีกสองสามปีสถานการณ์จึงคลายตัวลง สถานีโทรทัศน์จึงสามารถออกอากาศในช่วงหัวค่ำได้ รวมทั้งต่อมาจึงเปลี่ยนมาเป็นออกอากาศตลอด ๒๔ ชั่วโมง

“อู มากินข้าวได้แล้ว” เสียงแม่ตะโกนเรียกมาจากชั้นล่างในตอนหัวค่ำในขณะที่ผมกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องนอน

“แม่กินไปก่อน อูยังไม่หิว” ผมตะโกนตอบแม่

ที่จริงก็หิวแล้ว แต่ว่าถ้าลงไปตอนนี้ก็ต้องกินอาหารเย็นพร้อมหน้ากับพ่อ ผมเลยเฉไฉบอกไปว่าไม่หิว

“อู มากินเถอะน่า กินแล้วจะได้เก็บจานล้างจานทีเดียว ไม่วุ่นวาย” เสียงแม่ตะโกนขึ้นมาอีก ตั้งแต่กลับมาผมยังไม่ได้กินอาหารพร้อมหน้ากันพ่อแม่ลูกเลย ทุกมื้อผมต้องอู้ไปกินทีหลัง ทำให้แม่ต้องวุ่นวายคอยเก็บอาหารเอาไว้ให้ แม่บ่นเรื่องนี้หลายหนแล้วแต่ผมก็ทำเป็นหูทวนลม

“มันไม่กินก็ไม่กินสิ จะไปอ้อนวอนมันทำไม เก็บไปเลย หมั่นไส้นัก” ยังไม่ทันที่ผมจะตอบอะไรก็ได้ยินเสียงพ่อเอะอะแทรกขึ้นมา

หลังจากนั้นบ้านก็อึงไปด้วยเสียงเอะอะของพ่อกับแม่ ทั้งคู่ทะเลาะกันเรื่องของผมนั่นเอง แม่ไม่พอใจพ่อที่เอะอะโวยวายในเรื่องเล็กน้อย ส่วนพ่อก็ไม่พอใจแม่ที่โอ๋ผมจนเกินไป เถียงกันไปเถียงกันมาลั่นบ้าน

ผมซ่อนตัวอยู่ในห้องนอน ทำอะไรไม่ถูก ปกติแม่กับพ่อแม้จะมีปากเสียงกันบ้างแต่ก็ไม่บ่อยนัก รวมทั้งไม่รุนแรงขนาดนี้ อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกไม่ดีเลยก็คือทั้งคู่ทะเลาะกันเพราะเรื่องของผม

เอาไงดีล่ะ จะลงไปกินข้าวตอนนี้ก็ทำตัวไม่ถูกเอาเลยจริงๆ จะลงไปห้ามปรามก็ไม่กล้า พ่อกำลังอารมณ์เสีย ผมลงไปอาจบานปลายเสียมากกว่า ในเมื่อคิดอะไรไม่ออก ผมจึงนั่งฟังเสียงพ่อกับแม่ทะเลาะกันอยู่ในห้องนอนด้วยกลัวและไม่สบายใจ

ผมเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ มาตื่นเอาอีกทีเมื่อรู้สึกว่ามีใครมาเขย่าตัว

“อู ไปกินข้าวก่อนไป” เสียงแม่เรียก

ผมลืมตาขึ้นมา เห็นแม่มีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก ไม่รู้ทั้งคู่หยุดทะเลาะกันตอนไหน

“กี่โมงแล้วแม่” ผมถามอย่างงัวเงีย

“สี่ทุ่มแล้ว” แม่ตอบ “ลงไปกินข้าวไป พ่อขึ้นนอนไปแล้ว”

เมื่อได้ยินว่าพ่อนอนไปแล้ว ผมจึงลงไปชั้นล่างพร้อมกับแม่ เมื่อลงไปถึงโต๊ะอาหาร ผมเห็นสำรับอาหารยังวางอยู่เต็มโต๊ะ

“นี่แม่ยังไม่ได้กินข้าวเหรอ” ผมถาม

“ยังไม่มีใครกินข้าวเลย แม่ก็กินไม่ลง กลุ้มใจ อูกินเถอะ” แม่ตอบพลางถอนหายใจ ดูรูปการณ์แล้วสงสัยว่าพ่อก็คงยังไม่ได้กินอาหารเหมือนกัน

“อูไม่หิวเลยแม่” ผมตอบ รู้สึกเซ็งสุดๆ นี่ผมกลายเป็นชนวนให้พ่อกับแม่ต้องทะเลาะกัน ไม่น่าเลย คิดแล้วก็กินไม่ลงเหมือนกัน

“ยังไงก็ต้องกิน กำลังวัยรุ่น ไม่ควรอดอาหาร จะเสียสุขภาพ” แม่ไม่ยอม

เพื่อตัดปัญหา ผมจึงกินอาหารเย็นลงไปเล็กน้อย จากนั้นก็รวบช้อนส้อม

“เดี๋ยวอูเก็บโต๊ะและล้างจานให้เองแม่” ผมพูด พลางลงมือเก็บจานบนโต๊ะ

“อู พรุ่งนี้เอ๊ดก็มาแล้ว อย่าบอกเรื่องนี้กับเอ๊ดนะ เข้าใจไหม” แม่กำชับผม จากนั้นก็ปลีกตัวไป

ขณะที่ล้างจาน ผมหวนคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ในใจรู้สึกโกรธพ่อมาก ระยะหลังผมกับพ่อไม่ค่อยลงรอยกันนัก แม้ผมน้อยใจแต่ก็พยายามไม่คิดถึงมัน แต่มาในวันนี้ ผมเริ่มรู้สึกได้ว่าพ่อเกลียดผม!

ผมอดคิดถึงเอ๊ดขึ้นมาไม่ได้ เอ๊ดเป็นเด็กที่เรียบร้อย ประพฤติตัวดี หัวอ่อน เป็นที่ชื่นชมของผู้ใหญ่ แม้แต่ตอนอยู่ที่บ้านคุณลุงคุณป้า ทั้งสองคนก็ดูโปรดปรานเอ๊ดมากกว่าผมอย่างเห็นได้ชัด ผมมันทั้งดื้อและรั้น ผู้ใหญ่จะไม่ค่อยปลื้มนัก แต่ก็ไม่นึกว่าพ่อจะเกลียดผมได้ลงคอ แต่เหตุการณ์หลายๆอย่างที่ผ่านมาทำให้ผมคิดไปเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลย

ดึกแล้ว...

ทุกคนในบ้านเข้านอนกันหมดแล้ว ยามดึกในชนบทนั้นเงียบสงบจริงๆ แต่ในใจของผมกลับไม่สงบเลยแม้แต่น้อย ความคิดของผมปั่นป่วนราวกับคลื่นใหญ่ในทะเล

ผมคิดว่าพรุ่งนี้ผมจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ เมื่อพ่อเกลียดผม ผมก็จะไม่อยู่ให้เกะกะสายตาพ่ออีก และต่อไปจะพยายามพึ่งตัวเองให้มากที่สุด จะได้ไม่ต้องใช้เงินจากทางบ้าน ผมคำนวณดูอย่างคร่าวๆ สำหรับตอน ม.๕ นี้ ลำพังเพียงเงินเก็บของผมคงไม่พอจ่ายค่าหอกับค่ากินอยู่ตลอดทั้งปีเป็นแน่ จะทำงานหลังเลิกเรียนก็กลัวว่าจะมีเวลาดูหนังสือไม่พอ ดังนั้นถึงอย่างไรปีนี้ก็คงต้องพึ่งทางบ้านบ้าง แต่จะพยายามให้น้อยที่สุด ส่วนเมื่อผมเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้วจะพยายามหางานพิเศษทำหลังเลิกเรียน จะได้ไม่ต้องขอเงินพ่ออีกต่อไป

- - -

วันรุ่งขึ้น เอ๊ดมาถึงบ้านตั้งแต่เช้าตรู่ ตอนนั้นผมเพิ่งตื่น แม้รู้ว่าเอ๊ดมาแต่ก็ไม่ได้ลงไปรับเพราะเกรงจะเจอพ่อ หลังจากที่เอ๊ดเข้าบ้านได้ไม่นาน เอ๊ดเดินเข้ามาในห้องนอน ผมรู้สึกดีใจมากที่ได้เจอพี่ชาย

“เป็นไงบ้างอู อยู่หอสนุกไหม” เอ๊ดทักทาย

“ก็ดี เอ๊ดก็อยู่หอเหมือนกันนี่ เป็นไงบ้างล่ะ” ผมถามกลับ

“อากาศหนาวจะตาย ไม่อยากอาบน้ำเลย” เอ๊ดตอบพลางหัวเราะ “บางวันต้องแอบซักแห้ง”

ซักแห้งหมายถึงไม่ได้อาบน้ำ มันก็น่าอยู่หรอก ขนาดอากาศในกรุงเทพฯยังหนาวแทบแย่ ทางภาคเหนือยิ่งไม่ต้องพูดถึง

หลังจากทักทายกันได้สักครู่ เอ๊ดก็ขอตัวไปกินอาหารก่อนเพราะว่าหิว พร้อมกับชวนผมลงไปกินด้วยกัน แต่ผมก็เฉไฉว่ายังไม่หิว ตั้งใจว่าสายๆค่อยลงไปกิจะได้ไม่ต้องเจอพ่อ แม้ว่าเอ๊ดจะดูดีใจที่ได้กลับมาบ้าน แต่ผมรู้สึกว่าเอ๊ดมีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ เอ๊ดดูซึมไปบ้างซึ่งผมเองก็อธิบายไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมจึงรู้สึกเช่นนั้น

- - -

การกลับมาบ้านของเอ๊ดทำให้ความตั้งใจที่จะเดินทางกลับกรุงเทพฯในวันนั้นของผมเปลี่ยนไป ผมคิดว่าจะกลับกรุงเทพฯในวันถัดไปแทน จะได้มีเวลาอยู่กับพี่ชายสักวัน นานๆเจอกันทีทำให้ผมรู้สึกไม่อยากจากมาเร็วนัก แต่ว่าอยู่นานไปผมก็อึดอัดใจ

หลังจากที่ผมใช้วิชานินจาลงไปกินอาหารในตอนสายๆ หลังจากนั้นก็อาบน้ำ เมื่อผมก็กลับเข้าไปในห้องนอนอีกก็พบว่าเอ๊ดกำลังรื้อค้นลังใส่หนังสืออยู่

“นี่อูทำอะไรเนี่ย เอาหนังสือเรียนของเอ๊ดมากองบนโต๊ะทำไม” เอ๊ดถามผมด้วยความสงสัย

“ก็เอามาอ่านๆเล่นน่ะ อยู่บ้านไม่มีอะไรทำ” ผมพยายามตอบแบบเลี่ยงๆ ไม่ต้องการบอกเรื่องการสอบเทียบและสอบเอนทรานซ์ในปีหน้าแก่ใครแม้กระทั่งเอ๊ด เพราะโอกาสสำเร็จดูเลือนราง บอกไปก็เกรงจะเสียหน้าเปล่าๆ

“อูเนี่ยนะ เอาหนังสือเรียนมาอ่านเล่นๆ” เอ๊ดหัวเราะ ทำเสียงเหมือนเห็นพระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตก “แล้วหนังสือติวเอนทรานซ์ของเอ๊ดหายไปไหนหมดเลย”

เอ๊ดถามหาหนังสือติวต่างๆ มันจะมีได้ยังไงก็ในเมื่อผมยกให้ตี๋ไปหมดแล้ว

“อูเอาไปกรุงเทพฯด้วยน่ะ” ผมตอบอ้อมแอ้ม “เอาไปดูๆ”

“อูเอาไป” เอ๊ดร้องเสียงดัง คราวนี้น้ำคำแฝงแววไม่พอใจ “โธ่เอ๊ย จะเอาไปทำไมกัน อ่านก็ไม่อ่านแล้วยังจะเอาไปอีก”

“ก็ไม่มีใครใช้แล้วนี่ เอ๊ดจะโวยวายทำไม” ผมเริ่มรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาบ้าง กลับมาคราวนี้ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร ดูครอบครัวไม่มีความสงบสุขเลย นี่ผมก็ร่ำๆจะต้องทะเลาะกับเอ๊ดขึ้นมา

“ก็เอ๊ดนี่แหละจะใช้” เอ๊ดพูด น้ำเสียงบ่งบอกความหงุดหงิด เอ๊ดนี่ก็แปลก จู่ๆก็อารมณ์เสียขึ้นมาทั้งๆที่ปกติเป็นคนใจเย็นมาก

“จะเอาไปสอนพิเศษเหรอ” ผมฉุกใจคิด

“เมื่อไรจะเอามาให้เอ๊ดได้ล่ะ” เอ๊ดไม่ตอบแต่ถามต่อ

“เอ้อ…” ผมอึกอัก ใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว หนังสือให้ไอ้ตี๋ไปแล้ว จะไปเอาคืนมาได้ยังไง สงสัยคงต้องซื้อเล่มใหม่มาใช้คืนให้เอ๊ด แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเอาเหตุผลอะไรมาแก้ตัว “ยังไม่รู้ว่าจะคืนเอ๊ดได้เมื่อไรเลย”

“โอ๊ย เอ๊ดจะรีบใช้ อูจะบอกไม่รู้ได้ไง” เอ๊ดโวยด้วยความไม่พอใจ

“เออ ได้ ได้ งั้นพรุ่งนี้อูกลับกรุงเทพฯไปเอามาให้ พอใจหรือยัง” ผมเสียงดังใส่เอ๊ดบ้าง เมื่อวานเกิดศึกคู่ใหญ่ วันนี้เกิดศึกคู่เล็ก บ้านแทบจะไม่เป็นบ้านไปแล้ว

หลังจากเหตุการณ์ตอนเช้า วันนั้นทั้งวันผมแทบไม่ได้คุยกับใครอีกเลย เอาแต่นั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้อง แม้ว่าเอ๊ดจะอยู่ในห้องด้วยแต่ผมก็ทำเป็นไม่สนใจและไม่ยอมคุยด้วยเพราะยังรู้สึกเคืองอยู่ แต่ก็น่าแปลกใจที่หลังจากที่ทะเลาะกันในตอนเช้า หลังจากนั้นเอ๊ดก็ดูซึมไปถนัดตา

- - -

ยามดึกของคืนวันนั้น ผมจัดเตรียมเป้เพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯในวันรุ่งขึ้น หนังสือของเอ๊ดที่เตรียมว่าจะเอากลับไปด้วยก็เปลี่ยนใจไม่เอาไปแล้ว เพราะคิดว่าเอ๊ดอาจใช้สอนพิเศษด้วย ไปหาซื้อเอาใหม่ก็ได้

ดึกป่านนี้แล้วเอ๊ดยังไม่ขึ้นมานอนอีก สงสัยดูทีวีอยู่ ผมหายโกรธเอ๊ดแล้วจึงคิดจะลงไปดูทีวีด้วย

ผมเดินออกจากห้องนอน เมื่อเดินไปถึงบันได ผมก็ได้ยินเสียงเอ๊ดเหมือนกับกำลังคุยกับใครอยู่ ทีแรกนึกว่าคุยกับแม่ แต่ฟังไปฟังมาน่าจะกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ น่าแปลกที่ดึกป่านนี้แล้วเอ๊ดยังมาคุยโทรศัพท์อีก

ผมเดินลงบันไดไปด้วยฝีเท้าอันแผ่วเบา อยากรู้เหมือนกันว่าเอ๊ดคุยกับใครดึกๆดื่นๆเช่นนี้ เมื่อลงไปถึงชั้นล่าง ผมก็ได้ยินเสียงเอ๊ดคุยกันชัดเจนขึ้น

เอ๊ดคงกำลังคุยกับเพื่อนอยู่ ไม่มีเนื้อหาสาระอะไร เป็นเพียงการคุยเรื่อยเปื่อย แต่สังเกตว่าเอ๊ดคุยด้วยเสียงที่นุ่มนวล ไม่มึงมาพาโวยเหมือนพูดกับเพื่อนๆโดยทั่วไป

“ช่วงนี้ก็เตรียมเอนทรานซ์น่ะ” ได้ยินเสียงเอ๊ดพูดขึ้นมาตอนหนึ่ง ผมหูผึ่งทันที ที่แท้เอ๊ดไม่ได้ต้องการหนังสือเพื่อที่จะสอนพิเศษ แต่เอ๊ดจะสอบเอนทรานซ์ใหม่อีกครั้งหนึ่ง

ผมรู้สึกแปลกใจมาก เพราะเท่าที่ฟังเอ๊ดคุยมาตลอดทั้งปี เอ๊ดพอใจกับที่เรียนแห่งนี้มาก ไม่มีวี่แววว่าต้องการสอบเอนทรานซ์ใหม่เลย

“ถ้าสอบติดก็คงไม่ได้กลับไปเรียนอีกแล้ว คงเรียนที่กรุงเทพฯแหละ” ได้ยินเสียงเอ๊ดพูดอีก น้ำเสียงฟังดูเศร้าสร้อย

“ก็ไม่ได้อยากเอนใหม่หรอก แต่พ่อเราขอร้องว่ะ” เอ๊ดพูด จากนั้นหยุดไปชั่วครู่ แล้วถอนหายใจ “พ่อเราเป็นห่วงน้องชาย มันเป็นเด็กมีปัญหาน่ะ มีปัญหามาตั้งแต่เด็กแล้ว ตอนนี้เรียนอยู่ ม.๔ ที่กรุงเทพฯคนเดียว ไม่มีใครดูแล เราก็ไม่รู้จะทำไง ก็ห่วงมันเหมือนกัน”


<เมื่อใกล้ถึงบ้าน ถนนในชนบทเต็มไปด้วยต้นไม้ร่มครึ้ม ต้นนนทรีสองข้างทางออกดอกเหลืองอร่าม ยิ่งใกล้ถึงบ้านเท่าใด ความรู้สึกคิดถึงบ้านก็ยิ่งเข้มข้นมากขึ้นเท่านั้น ผมเหม่อมองต้นนนทรีเหลืองสวยที่ผ่านสายตาไปต้นแล้วต้นเล่า พร้อมกับปล่อยให้ความคิดล่องลอยไป จู่ๆก็รู้สึกเหงาขึ้นมาอย่างจับใจ>