Friday, November 28, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 38

ไอ้นัยมันขยันซ้อมกีตาร์มาก จนครูของมันสอนเล่นกีตาร์แนวโฟล์ก-ป๊อบเพิ่มเติมให้ด้วย ซึ่งก็คือสอนการเล่นคอร์ดและเล่นพิกกิง ซึ่งไอ้นัยถูกใจมาก เพราะสามารถเอามาใช้เล่นเพลงที่วัยรุ่นนิยมกันได้ ต่างจากเพลงคลาสสิกที่แม้จะไพเราะ แต่ก็ไม่ใช่เพลงที่อยู่ในความนิยมของวัยรุ่น

ไอ้นัยเรียนแนวโฟล์ก-ป๊อบได้ก้าวหน้าดีทีเดียว เพราะเพียงไม่นาน มันสามารถเล่นเพลงง่ายๆได้แล้ว มันไปซื้อหนังสือ IS Song Hits ที่รวมเพลงทั้งไทยและฝรั่ง มีเนื้อเพลงและคอร์ดกีตาร์ให้ด้วย เอามาหัดเป็นการใหญ่ เพลงแรกๆที่มันหัดก็จะเป็นแนวโฟล์ก ได้แก่เพลงของพีเตอร์ พอล และแมรี ที่เราคุ้นเคยกันตั้งแต่ชั้นประถม ในช่วงนั้นเพลงโฟล์กของพีเตอร์ พอล และแมรีถือเป็นแม่แบบของการหัดเล่นกีตาร์โฟล์กเลยเดียว ส่วนเพลงไทยมันก็พยายามแกะเพลงที่วัยรุ่นนิยมกันในช่วงนั้น อย่างเช่น เพลงของวงบรั่นดี ฟรุ้ตตี้ คีรีบูน ฯลฯ แรงบันดาลใจในการหัดเล่นกีตาร์แนวป๊อบของไอ้นัยน่าจะเกิดจากในปีนั้น หนังเรื่องวัยระเริงเข้าฉาย เรื่องนี้เป็นหนังเรื่องแรกของหนุ่ย อำพล ลำพูน ในหนังมีเพลงแนวป๊อบร้อคประกอบ เล่นกีตาร์กันมันหยด ช่วงนั้นดังมาก ดังทั้งดาราและเพลง

กีตาร์แนวนี้ควรจะใช้กีตาร์สายเหล็กทั่วไป แต่ไอ้นัยมีกีตาร์คลาสสิกเพียงตัวเดียว ก็เลยหัดด้วยสายไนล่อนนั่นเอง เสียงนุ่มๆ ไม่ค่อยกังวานใสแบบสายเหล็ก แต่ก็น่าฟังดี อีกอย่าง ครูของไอ้นัยไม่อยากให้ไอ้นัยเล่นกีตาร์สายเหล็กเพราะจะทำให้ปลายนิ้วด้าน ผมคิดว่าคงจะมีผลเสียกับการหัดกีตาร์คลาสสิก ครูเลยห้ามเอาไว้ ไอ้นัยมุฝึกซ้อมมากจนกระทั่งไม่สนใจการบ้านกีตาร์คลาสสิก และโดนครูดุเอา มันจึงลดความเห่อลงไปได้บ้าง

ในบางวันที่ผมไปซ้อมเปียโนที่โรงเรียน ถ้าไอ้นัยอยู่บ้านจนเบื่อ มันก็จะตามไปกับผมด้วย เรื่องของเรื่องก็คือมันอยากจะไปเดินสยามสแควร์นั่นเอง ช่วงปิดเทอมนี้เองที่ทำให้เรากลายเป็นเด็กวัยรุ่นที่ติดแสงสีของสยามสแควร์ไป เมื่อไรที่มาที่โรงเรียนดนตรีก็ขอให้ได้แวะเดินเล่น กินขนมสักหน่อย แล้วจึงจะกลับบ้านได้ และติดนิสัยนี้ไปจนกระทั่งเปิดเทอม

- - -

เมื่อมาอยู่ที่โรงเรียนนี้ ไอ้นัยก็เริ่มฉายแววของเด็กเรียนเก่งออกมา เพราะผลการสอบภาคต้นที่ออกมา ปรากฏว่าไอ้นัยได้เกรดสูงถึง 3.5 กว่าๆ ได้อันดับที่ห้าของห้อง ใครได้เกรด 3.5-3.6 ก็ถือว่าเก่งมากและสามารถติดอันดับต้นๆของห้องได้แล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคุณอาทั้งสองของไอ้นัยจะภูมิใจในตัวหลานชายเพียงใด ส่วนผมนั้นได้เกรด 3.2 ได้อันดับที่สิบกว่าๆของห้อง โดยปกติแล้วพ่อไม่ค่อยสนใจกับผลการเรียนของผมนัก พ่อเชื่อว่าถึงยังไงผมก็เอาตัวรอดได้ แต่ทว่าบางทีมันก็ทำให้ผมอดคิดไม่ได้เหมือนกันว่า แล้วพ่อภูมิใจอะไรในตัวผมบ้าง

ผลการสอบทำให้ผมรู้สึกเสียหน้าไอ้นัยนิดหน่อย เพราะแพ้พนันและจะได้รับเงิน 100 บาท ตามที่มันเคยหยามเอาไว้ แต่ไม่เป็นไร เงิน 100 บาทใครจะไม่เอา จะหยามก็หยามไป

“กูแพ้มึงแล้ว ไหนล่ะ เงิน” ผมทวงเอาดื้อๆเมื่อรู้ผลสอบและเห็นไอ้นัยทำเฉย ไม่ยอมพูดถึง

ไอ้นัยอึ้งไปนิดหนึ่ง แล้วซ่อนยิ้มไว้ในใบหน้า “พรุ่งนี้ละกัน วันนี้ไม่ได้ติดมา”

“อะไรกัน เงินร้อยบาทมีไม่พอเหรอ” ผมสงสัย เพราะปกติไอ้นัยมีเงินติดตัวมากกว่าร้อยบาทเสมอ

“เถอะน่า เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยให้ อย่างกนักเลย” ไอ้นัยยืนยันคำเดิม

“ไม่ได้งก แต่ว่าอยากได้” ผมแก้ตัวน้ำขุ่นๆ

- - -

วันรุ่งขึ้น เรานั่งรถไปเรียนด้วยกันตามปกติ ผมลืมเรื่องเงินร้อยบาทไปสนิท ไอ้นัยก็ไม่พูดอะไร จนผมมานึกได้เอาตอนเวลาพักเที่ยงที่เรากินอาหารกลางวันด้วยกันสามคน

“ไหนล่ะ เงิน กูไม่ทวง มึงก็แกล้งลืมเชียวนะ” ผมทวงเงินอีก

โหนกที่นั่งกินอาหารด้วยกันทำหน้าเหรอหรา ไม่รู้ว่าผมทวงเงินอะไร จนผมต้องอธิบายให้มันฟัง

ไอ้นัยล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง แล้วหยิบธนบัตรแดงๆออกมาใบหนึ่ง ยัดใส่มือผม

“อะ ให้ หมดหนี้กันแล้วนะ” ไอ้นัยพูดแล้วตีหน้าตาย

“เออ ดี” ผมรับเงินมา แต่แล้วก็ต้องโยนเงินทิ้งไป “ไอ้เปรต เอาแบงก์กาโม่มาให้”

ไอ้นัยหัวเราะก๊าก ไม่บ่อยนักที่จะเห็นไอ้นัยหัวเราะขำขนาดนี้ เดี๋ยวนี้ไอ้นัยมีลวดลายเยอะขึ้นมาก บางทีก็หาโอกาสแกล้งผม ทุกครั้งที่เห็นไอ้นัยมีความสุข ผมเองก็พลอยมีความสุขไปด้วย

แบงก์กาโม่ที่ว่านี้ก็คือธนบัตรเด็กเล่น ที่พิมพ์เลียนแบบให้คลับคล้ายธนบัตรจริง มักทำเป็นใบละร้อย สีแดงๆ ดูผาดๆจะคล้ายธนบัตรใบละร้อยบาทของจริง แต่เมื่อดูให้ละเอียดจะพบว่าภาพในธนบัตรเป็นภาพกาโม่ มนุษย์กายสิทธิ์ ก็เลยเป็นที่มาของคำว่าแบงก์กาโม่

“รักกันจริงนะ คู่นี้” โหนกพูดเปรยๆ

“อ้าว แน่ละ ก็เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ประถม” ผมตอบ แม้คำพูดของโหนกจะแปลกๆอยู่บ้าง แต่ผมก็ไม่ได้เฉลียวใจอะไร

- - -

หลังจากที่ไอ้นัยกับผมเสพติดกับแสงสีและความคึกคักของสยามสแควร์ ทำให้ทุกครั้งที่ไปเรียนดนตรีจะต้องแวะไปเดินเล่นในสยามสแควร์แล้ว ความก้าวหน้าขั้นต่อมาของเราก็คือการดูหนัง

ผมกับไอ้นัยริตีตั๋วดูหนังโรงกันเองสองคน เมื่อย้อนมาคิดดูแล้ว เด็กชายวัย ม. 1 สองคนซื้อตั๋วเข้าไปดูหนังด้วยกัน ในยุคนั้นผมก็ว่ามันดูแปลกๆอยู่เหมือนกัน ถ้ามาเป็นกลุ่มก็ว่าไปอย่าง แต่ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรมาก อยากดูก็ดู ไม่ได้สนใจสายตาของใคร รวมทั้งคิดไม่ถึงด้วย

วันหนึ่ง ขณะที่เราเดินเล่นในสยามสแควร์นั่นเอง ไอ้นัยก็เกิดอยากดูหนังขึ้นมา

“ท่าทางจะน่าดูนะ” ไอ้นัยรำพึง หนังที่เข้าฉายในโรงหนังสยาม ลิโด และสกาลา เป็นหนังฝรั่ง ถ้าหนังไทยจะไปเข้าโรงเอเธนส์ เฉลิมกรุง ฯลฯ ตอนนั้นไอ้นัยไปถูกใจโปสเตอร์หนังเรื่องคนเหล็ก หรือ The Terminator เข้า หนังฝรั่งเรื่องนี้เป็นแนวไซไฟแอ็กชันซึ่งดังมากในช่วงนั้น และทำรายได้ถล่มทลาย จนมีภาคต่อๆมา

“ดูกันมั้ย” ผมชวน ถ้าไอ้นัยรำพึงแบบนี้แสดงว่ามันอยากดู แต่มันมักไม่ออกปากชวน นิสัยมันเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว คงเป็นเพราะว่ามันตามใจคนอื่นเสียจนเคยชิน ก็เลยติดนิสัยไม่เรียกร้องอะไร อยากได้อะไรก็ไม่พูดตรงๆ

ไอ้นัยพยักหน้า สีหน้าแจ่มใสทันที ดูแค่นี้ก็รู้แล้วว่ามันอยากดูมากเพียงใด

เราเดินไปที่ช่องขายตั๋ว คนแน่นมาก เพราะหนังเพิ่งเข้าโปรแกรม ตั๋วเต็มหมด แต่หน้าโรงจะมีตั๋วผีขาย ตั๋วผีก็คือตั๋วหนังที่คนหัวใสไปเหมาซื้อจากช่องขายตั๋วมาขายต่อโดยบวกกำไรเข้าไป ตั๋วผีนี้มักทำกับหนังดังหรือหนังต้นโปรแกรม คนดูหนังส่วนใหญ่เมื่อไปถึงโรงหนังแล้ว ถึงอย่างไรก็ต้องซื้อ เพราะไม่อยากมาเสียเที่ยว ยิ่งมากันเป็นคู่ๆกับแฟนเกือบร้อยทั้งร้อยต้องยอมซื้อตั๋วผี แต่ตั๋วผีสมัยนี้ไม่มีแล้ว

ตอนนั้นที่นั่งแพงสุดคือแถวหลัง ในสมัยผมเรียน ม. 1 ราคา 60 บาท ส่วนแถวหน้าราคาถูกที่สุดคือ 20 บาท เราเลือกดูราคาถูกที่สุด

“ขายแพงจัง” ไอ้นัยบ่นอุบ เพราะที่นั่ง 20 บาท ตั๋วผีจะถูกโก่งราคาในราว 25 หรือ 30 บาท

“งั้นมาดูวันหลังละกัน รอคนซาจะได้ไม่ต้องซื้อตั๋วผี” ผมเสนอ

“...” ไอ้นัยยืนนิ่ง สายตาไม่ยอมละจากโปสเตอร์หนัง

“ไป กลับบ้านละกัน” ผมแกล้งพูด อดขำไอ้นัยไม่ได้ แค่มันเงียบผมก็รู้แล้วว่ามันอยากดูมาก ทำบ่นไปยังงั้นเอง

ไอ้นัยยังไม่ยอมขยับ ผมเขกหัวมันไปหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้

“อยากดูก็บอกสิวะ ทำยึกยักอยู่นั่นแหละ” ผมว่ามัน ไอ้นัยทำหน้าเขินๆที่ผมรู้ทัน

ว่าแล้วผมก็ไปซื้อตั๋วผีมาสองใบ จากนั้นต้องรออีกพักใหญ่ กว่าจะถึงรอบฉาย

หนังโรงเรื่องแรกในชีวิตที่เราไปดูกันเองสองคนนั้นสนุกมาก แต่ดูแล้วเวียนหัวโคตรเลย เพราะว่าที่นั่ง 20 บาทนั้นมีเพียงสองแถวด้านหน้าติดจอเท่านั้น ซึ่งใกล้มาก เวลาดูต้องแหงนคอตั้งบ่า แล้วหนังแอ็กชั่นก็มีการเคลื่อนไหวว่องไว วูบไปวูบมา ดูแล้วแทนที่จะสนุกกลับเวียนหัว แถมเมื่อยคออีกต่างหาก

“โอย กูเวียนหัว จะอ้วก ดูไม่รู้เรื่องเลย” ผมบ่น หลังจากที่หนังจบและเราพากันเดินออกจากโรงหนัง

“เหมือนกันเลยว่ะ ไม่น่างกเลยนะมึง ดันซื้อซะถูกสุด” ไอ้นัยบ่นบ้าง

“อ้าว ตกลงกูผิดเหรอ ที่ซื้อตั๋วให้มึง” ผมถาม

“เออ” ไอ้นัยพยักหน้า รับคำหนักแน่น มันปั้นสีหน้าจริงจังจนผมขำ ผมไม่ได้เคืองมันหรอกครับ ได้ดูหนังกับมันสองคนก็มีความสุขแล้ว แค่แหย่กันไปแหย่กันมาเท่านั้นเอง

ผมไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าหนังเรื่องนั้นจะเป็นการจุดชนวนของความยุ่งยากวุ่นวายในชีวิตของผมในเวลาต่อมา... เพียงแค่หนังเรื่องเดียวแท้ๆ


<แบงก์กาโม่ เป็นธนบัตรเด็กเล่น ทำสีสัน รูปร่าง คล้ายๆธนบัตรใบละร้อยบาท ปกติแบงก์เด็กเล่นนี้มักแถมมากับขนมหรือของเล่น แล้วเด็กๆก็สะสมเอาไว้ แล้วเอามาใช้ในการซื้อขายกันแทนธนบัตรจริงในหมู่เด็กๆ โดยมากมักใช้กับการซื้อขายของเล่นเล็กๆน้อยๆ เช่น ซื้อขายตุ๊กตุ่นพลาสติก เป็นต้น

คำว่ากาโม่นี้มาจากชื่อตัวเอกในภาพยนตร์แนวยอดมนุษย์ของญี่ปุ่น ภาพยนตร์ทีวีเรื่องนี้มีชื่อในภาคภาษาไทยว่า “กาโม่ มนุษย์กายสิทธิ์” หรือชื่อในภาคภาษาอังกฤษว่าสเปกเตอร์แมน (Spectreman) ฉายในเมืองไทยครั้งแรกราวปี พ.ศ. 2515 ธนบัตรเด็กเล่นที่มีรูปมนุษย์กายสิทธิ์นี้อยู่จึงเรียกว่าแบงก์กาโม่ จนเป็นชื่อที่ติดปาก ต่อมา แม้เป็นธนบัตรเด็กเล่นที่เป็นรูปของยอดมนุษย์ญี่ปุ่นคนอื่นๆ ก็ยังคงเรียกว่าแบงก์กาโม่เช่นกัน เพราะความเคยชิน>

Monday, November 24, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 37

ชีวิตของผมในช่วงนั้นราบรื่นและมีความสุข ผมมีเพื่อนๆที่ดี ครูและโรงเรียนที่ดี สิ่งที่ดีเป็นพิเศษก็คือการไปเรียนดนตรีในวันเสาร์ ซึ่งทำให้ผมสามารถออกจากบ้านและเป็นอิสระได้ทั้งวัน และสิ่งที่ดีที่สุดนั่นก็คือ... การมีไอ้นัยเป็นเพื่อน

แต่ชีวิตเราจะราบรื่นไร้ที่ติเสียเลยก็คงเป็นไปไม่ได้ ชีวิตของผมก็เช่นกัน คงมีเรื่องรบกวนจิตใจอยู่บ้าง

อย่างแรกก็คือเรื่องการเรียนดนตรี การเรียนดนตรีของผมนั้นไม่ก้าวหน้าเอาเสียเลย สาเหตุสำคัญก็เพราะขาดการฝึกซ้อมนั่นเอง การจองเปียโนสำหรับซ้อมนั้นพอเอาเข้าจริงๆแล้วใช่ว่าจะง่าย เวลาที่ผมสะดวก คนอื่นก็สะดวกในเวลานั้นด้วย ผลก็คือหาเวลาซ้อมได้ยากมาก ส่วนเวลาอื่นที่มีเปียโนว่าง ผมก็ไม่สามารถจะมาซ้อมได้ บางทีได้เครื่องว่างเป็นอิเล็กโทน แทนที่จะเป็นเปียโน แต่ก็ต้องเอาไว้ก่อน

แต่ถึงกระนั้นก็ตาม เวลาซ้อมของผมก็น้อยมาก ทำให้การเรียนของผมไปได้ช้า และมักทำให้ผมกังวลบ่อยๆ เพราะว่าทุกสัปดาห์จะต้องมีการบ้าน การไม่มีเวลาซ้อมก็เหมือนไม่ได้ทำการบ้านส่งครู แต่ก็โชคดีที่ครูของผมใจดีและเข้าใจปัญหา ดังนั้นจึงไม่ได้เข้มงวดกับผมมากนัก ซึ่งผิดกับไอ้นัย ไอ้นัยดูจะชื่นชอบและตั้งใจเรียนกีตาร์คลาสสิกมาก มันฝึกซ้อมบทเรียนกีตาร์ทุกวัน ทำให้มันก้าวหน้าค่อนข้างเร็ว

เรื่องรบกวนจิตใจของผมอีกเรื่องก็คือเรื่องของโหนก ระยะหลังโหนกพยายามสนิทกับผมในห้องเรียนมากขึ้น บางทีก็มาคุย บางทีก็มาขอยืมนั่นขอยืมนี่ ขณะเดียวกัน เวลาพักเที่ยง ขณะที่เรากินอาหารกัน โหนกมักเฉยชากับไอ้นัย จนทำให้ผมนึกถึงตอนที่ไอ้ชัชมึนตึงกับไอ้นัย เหตุการณ์มันช่างคล้ายกันเหลือเกิน หรือว่าโหนก...

ประสบการณ์ที่เคยได้รับมา สอนให้ผมระวังตัวมากขึ้น ผมพยายามระวังไม่ให้สนิทกับโหนกจนเกินไป เพราะไม่รู้ว่าโหนกนั้นคิดอะไรกับผมกันแน่ ผมไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ต้องซ้ำรอยอีกหน

ความเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งที่ผมสังเกตได้จากโหนกก็คือ หลังจากที่โหนกไปสนิทสนมกับพงศ์ ดูโหนกมันจะมีจริตมากขึ้น ทำอะไรก็ดูกรีดกราย แถมยังมีวี้ดว้ายอยู่บ้างเล็กๆ ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ต้องบอกว่าสาวแตกหรือว่าแต๋วแตก แต่ก็ไม่ถึงกับแตกมาก คงแตกออกมาเพียงนิดหน่อย ดูไปชักจะคล้ายกับพงศ์มากขึ้นทุกวัน

ส่วนพงศ์นั้นก็พยายามจีบหัวหน้าดิษฐ์ หลังๆจีบอย่างออกหน้าออกตามากขึ้น จนเพื่อนๆหลายคนชักจะหมั่นไส้ ส่วนดิษฐ์เองนั้นก็วางตัวเฉยๆ จึงดูไม่ออกว่าคิดอย่างไรกับพงศ์

คนที่เขม่นพงศ์มากที่สุดน่าจะเป็นเล็ก ซึ่งนั่งอยู่หน้าดิษฐ์นั่นเอง ไม่มีใครรู้ว่าเล็กแอบเขม่นพงศ์นอกจากผม สาเหตุที่รู้ก็เนื่องจากมีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่เป็นช่วงเปลี่ยนคาบและไม่มีอาจารย์อยู่ในห้อง ผมเดินไปส่งการบ้านที่โต๊ะอาจารย์ซึ่งอยู่หน้าชั้น ตอนนั้นพงศ์กำลังเข้าไปจี๋จ๋ากับหัวหน้าอยู่ พอจะเดินกลับมาที่โต๊ะ พงศ์ก็สะดุดอะไรเข้าบางอย่างจนหัวทิ่มและล้มลงไปกองกับพื้น

ผลก็คือพงศ์ปากแตกเล็กน้อย ปากคงไปกระแทกขาโต๊ะตอนที่ล้ม สิ่งที่พงศ์สะดุดนั้นก็คือขาของเล็กนั่นเอง ใครๆก็นึกว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่ผมเท่านั้นที่เห็นเหตุการณ์โดยตลอดว่าเล็กจงใจยื่นขาไปขัดขาของพงศ์ จนมันหกล้ม ส่วนสาเหตุที่เหตุใดเล็กจึงได้เขม่นพงศ์มากมายขนาดนั้นผมก็ไม่ทราบได้ อย่างที่เคยเล่าไปแล้ว เล็กเป็นคนที่เรียบร้อย นิสัยดี เห็นหงิมๆนึกไม่ถึงเหมือนกันว่าจะเล่นแรงขนาดนี้

เราสอบปลายภาคกันในช่วงปลายเดือนกันยายน ช่วงเดือนกันยายนเป็นช่วงที่เราทุกคน รวมทั้งไอ้นัยและผม เรียนและดูหนังสือเตรียมสอบกันอย่างเต็มที่ เพราะเราไม่รู้ว่าข้อสอบของที่นี่จะยากง่ายเพียงใด และอีกอย่าง เราก็ไม่อยากให้ผลสอบในเทอมแรกของเราไม่สวย ผมกับไอ้นัยถึงกับพนันกัน

“เรามาพนันผลสอบกันดีกว่า” ผมท้าไอ้นัย

“พนันว่าไงอะ” ไอ้นัยถาม

“ก็เราสองคน ถ้าเกรดใครแย่กว่า ต้องเสียค่าปรับให้อีกคน” ผมบอก

“แล้วจะพนันกันด้วยอะไรล่ะ” ไอ้นัยถามต่อ

จริงสินะ จะพนันกันด้วยอะไรดี เลี้ยงข้าวกันไม่สนุก เพราะถึงไม่พนันกันก็เลี้ยงกันไปเลี้ยงกันมาตั้งแต่เป็นเด็กประถมอยู่แล้ว

“พนันเป็นเงินค่าขนมละกัน ใครแพ้ต้องจ่ายคนชนะหนึ่งร้อยบาท” ผมออกความคิด

ไอ้นัยนิ่งคิด “เอางี้ละกัน ขอแก้เป็น คนชนะต้องจ่ายให้คนแพ้ร้อยบาท ดีมั้ย” ไอ้นัยเสนอ

“ทำไมกลับกันแบบนั้นล่ะ” ผมสงสัย

“ก็กูไม่อยากได้เงินมึงน่ะสิ สงสาร” ไอ้นัยพูดหน้าตาเฉย

“โห...” ผมอึ้ง พูดไม่ออก นึกไม่ถึงว่าไอ้นัยจะหลอกเหน็บผม “เดี๋ยวนี้ร้ายนะมึง”

ไอ้นัยหัวเราะอย่างอารมณ์ดี คงสะใจที่แกล้งผมได้ เป็นอันว่าเราก็ตกลงกันตามนี้

- - -

หลังจากการสอบผ่านพ้นไป ก็เป็นการปิดภาคต้น หยุดเทอมครั้งนั้น ไอ้นัยไม่ได้ไปเที่ยวที่บ้านต่างจังหวัดของผม รวมทั้งผมเองก็กลับบ้านเพียงช่วงสั้นๆแค่สัปดาห์เดียว เวลาที่เหลือผมอยู่ที่กรุงเทพฯและพยายามจองเวลาซ้อมเปียโนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ในช่วงปิดเทอมนี้ ผมออกจากบ้านทุกวันจันทร์ถึงเสาร์ มาจองเวลาซ้อมเปียโนได้ราววันละสองถึงสามชั่วโมง ซ้อมเสร็จก็กลับบ้าน แต่ก่อนกลับบ้านก็มักแวะเดินเล่นที่สยามสแควร์นิดหน่อย ตอนนั้นสยามสแควร์เป็นสถานที่ที่ผมโปรดปราน เพราะเต็มไปด้วยสีสัน ยิ่งวันไหนไอ้นัยมาด้วย การเดินเล่นในสยามก็ยิ่งมีสีสันมากยิ่งขึ้น

สาเหตุที่ผมต้องขยันฝึกซ้อมเปียโนส่วนหนึ่งก็เพราะไอ้นัยนั่นเอง เพราะเมื่อผมเห็นมันขยันซ้อมกีตาร์แล้ว มันมีส่วนกระตุ้นให้ผมขยันและพยายามทำเพื่อแข่งกับมัน


<สยามสแควร์และสยามเซ็นเตอร์ในวันที่ยังไม่มีรถไฟฟ้า ไม่มีสยามดิสคัฟเวอรี่ ไม่มีสยามพารากอน ภาพนี้ถ่ายจากสะพานลอยตรงใกล้สี่แยกปทุมวัน เมื่อก่อนนั้นมีสะพานลอยคนข้ามอยู่แห่งหนึ่ง ด้านซ้ายมือในภาพจะเป็นสยามเซ็นเตอร์ ด้านนอกดูเป็นโทนเขียว ส่วนด้านขวามือในภาพเป็นฝั่งสยามสแควร์ มีโรงหนังสามโรง คือ สยาม ลิโด และสกาลา ในภาพพอมองเห็นป้ายโรงหนังลิโดได้เฉียงๆ>

Friday, November 21, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 36

บ่ายวันนั้นคุณอาของไอ้นัยไปพบลูกค้าทั้งสองคน กว่าจะกลับก็คงเย็น ดังนั้นเราสองคนจึงได้ครอบครองบ้านเป็นการชั่วคราว

เมื่อเข้าไปในตัวบ้าน ไอ้นัยก็วางย่าม และถอดเสื้อยืดออก แล้วก็ไปเปิดตู้เย็น หยิบเอาขวดน้ำเย็นออกมา

“โฮ้ย ร้อน” ไอ้นัยบ่น พลางรินน้ำเย็นสองแก้ว ส่งให้ผมแก้วหนึ่ง

ผมดื่มน้ำเย็นจนหมด วางแก้วน้ำเย็นลง แล้วเอื้อมมือไปปลดเข็มขัดของไอ้นัย

“ถอดแต่เสื้อไม่หายร้อนหรอก ต้องถอดกางเกงด้วย” ผมบอกมัน มือก็ทำงานไปเรื่อยๆ

ไอ้นัยหัวเราะกิ๊กด้วยความจั๊กกระจี้ เพราะว่านิ้วของผมไปโดนพุงมัน แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด ปล่อยให้ผมจัดการแต่โดยดี

เพียงครู่เดียว ผมก็ถอดกางเกงยีนส์ออกจากตัวของไอ้นัยได้ ไอ้นัยที่ใส่กางเกงในตัวเดียว เห็นกางเกงในของมันโป่งพองเป็นลำ เมื่อผมถอดกางเกงในของมันออก ท่อนเนื้อแข็งเป็นลำของมันก็ดีดผึงขึ้นมา

รูปร่างของไอ้นัยดีมาก ผิวเนื้อสีน้ำผึ้งเนียนสุดๆ ผมเอาจมูกซุกไซร้ใบหูและต้นคอของมัน สูดกลิ่นกายหอมอ่อนๆของมันอย่างหลงใหล

“ตรงนี้เลยเหรอ” ไอ้นัยถาม เพราะที่ที่เรายืนอยู่นี้คือห้องกินข้าวชั้นล่าง รอบข้างเป็นหน้าต่างที่ไม่ได้รูดม่าน แต่ข้างนอกไม่สามารถมองเข้ามาได้ถนัดเพราะมีต้นไม้บังอยู่ ตอนนี้ไอ้นัยเปลือยกายทั้งตัว ไม่มีอะไรปกปิด

“ไปที่โซฟาละกัน” ผมพูดเสียงอู้อี้เพราะมัวแต่ไซร้พวงแก้มของไอ้นัยอยู่ ผมยังจำความรู้สึกของการมีอะไรกันที่ชั้นล่างได้ มันตื่นเต้นมาก เพราะว่าชั้นล่างนั้นพื้นที่กว้างใหญ่และเปิดโล่งกว่า ไม่มิดชิดเท่าในห้องนอนชั้นบน

ไอ้นัยเดินดอแข็งไปนอนที่โซฟา ขณะเดียวกันผมก็เดินไปล็อคประตูบ้าน จากนั้นก็เปลื้องเสื้อผ้าของตนเองออก

ผมโถมลงไปทับร่างเปลือยเปล่าบนโซฟาของไอ้นัย แท่งเนื้อที่บดขยี้กันตรงท้องน้อยทำให้อารมณ์ของเราทั้งสองกระเจิดกระเจิง

แรงขับตามธรรมชาติผลักดันให้ผมไซร้ไปตามแผ่นอกที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของไอ้นัย กลิ่นกายผสมกลิ่นเหงื่อของมันไม่เหม็นเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม กลับกระตุ้นอารมณ์ของผมได้อย่างประหลาด

ผมไซร้จากแผ่นอก เรื่อยลงไปจนถึงหน้าท้อง และแล้วก็ถึงท้องน้อย...

“เดี๋ยว ขอตัวแป๊ปนึง ขออาบน้ำก่อน” ไอ้นัยขัดจังหวะ ว่าแล้วก็เดินเปลือยกายวิ่งขึ้นชั้นบนเพื่อไปเข้าห้องน้ำ

ไอ้นัยนี่มันเด็กอนามัยจริงๆ นิสัยของมันเป็นเด็กรักความสะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อยมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไหนๆก็ไหนๆ ผมเลยสะอาดตามมันบ้าง จึงตามมันขึ้นไปอาบน้ำเช่นกัน

เราอาบน้ำแบบรวบรัด และไม่ได้ทำอะไรกันในห้องน้ำ เพราะว่าวันนี้ผมอยากมีอะไรกับมันที่โซฟาชั้นล่าง มันตื่นเต้นดี

หลังจากอาบน้ำเสร็จ เราก็มาต่อกันที่โซฟา ไอ้นัยนอนหงายอยู่บนโซฟา ท่อนลำของมันผงาดเป็นแท่ง ผมคุกเข่าอยู่ข้างโซฟา ซุกไซร้ตรงบริเวณท้องน้อยของมัน

ไอ้นัยหายใจแรง ผมเอาจมูกไซร้ไปตามมุ่นไหมของมัน กลิ่นกายผสมกลิ่นสบู่อ่อนๆเร้าอารมณ์อย่างบอกไม่ถูก ผมใช้ฝีปากก็เม้มไปที่ผิวเนื้อโคนท่อนลำเบาๆ ไอ้นัยถึงกับครางออกมาด้วยความเสียว

ผมอ้าปากงับโคนแท่งเนื้อของมันเบาๆ รูดปากไล่มาจนถึงปลายแท่ง ที่ปลายแท่ง หนังหุ้มปลายของมันร่นเปิดลงมาเพียงครึ่งเดียว เผยให้เห็นหัวเห็ดที่เบ่งพองและแดงคล้ำครึ่งหัว รอยแยกที่ปลายดอกเห็ดเยิ้มไปด้วยน้ำใสๆ

ผมเอาลิ้นฉกไปที่รอยแยกเบาๆ ไอ้นัยสะดุ้งเบาๆ จากนั้นผมเอาปากครอบหัวเห็ดทั้งหัวของไอ้นัยเอาไว้ ใช้ปากรูดหนังหุ้มปลายของมันขึ้นมา จากนั้นเม้มหนังหุ้มปลายของมันเอาไว้ แล้วใช้ปากและลิ้นถอกหนังหุ้มปลายของมันลงไปใหม่ พร้อมทั้งใช้ลิ้นฉกไปที่รอยแยกตรงปลายท่อ

ไอ้นัยดิ้นพราด ครางเสียงลั่น คราวนี้ไม่ครางเบาๆแล้ว มันพยายามจะถอยหนีผม แต่ผมไม่ยอม ผมยึดตัวมันเอาไว้ พยายามใช้ปากและลิ้นถอกหัวเห็ดของไอ้นัยเข้าออกอีก

ไอ้นัยดิ้นอีก แต่หลังจากผมถอกให้มันอีกไม่กี่ครั้ง ไอ้นัยก็หยุดดิ้น จากนั้นผมรู้สึกว่าแท่งเนื้อของมันที่อยู่ในปากผมเกิดอาการเกร็งเป็นจังหวะ หลังจากนั้นมันก็ฉีดน้ำว่าวของมันเข้ามาในปากของผมเต็มแรง

ผมสำลักน้ำว่าวพรวด รีบถอนปากออกจากท่อนเนื้อของไอ้นัย ผมกะจะทำให้มันเสียวเล่น แต่ไม่นึกว่ามันจะแตกในปากของผมรวดเร็วขนาดนี้

เมื่อผมถอนปากออกมา ท่อนเนื้อของไอ้นัยยังระเบิดน้ำว่าวตามออกมาอีก มันพุ่งกระฉูดอีกหลายครั้ง น้ำว่าวที่พุ่งออกมาหล่นลงบนหน้าอกของไอ้นัยบ้าง เข้าหน้าผมบ้าง กระเด็นไปเปื้อนโซฟาบ้าง รสชาติของน้ำว่าวนี่ผมไม่ค่อยคุ้นเอาเสียเลย ทั้งคาว ทั้งขื่น จนผมต้องรีบบ้วนออกมา

ไอ้นัยนอนหลับตาพริ้มอยู่บนโซฟา น้ำว่าวส่วนหลังๆไม่พุ่งแล้ว แต่รินออกมาจากปลายท่อนเนื้อ เลอะอยู่ตามท้องน้อยและมุ่นไหม

“โอย เสียวสุดๆ” ไอ้นัยครางทั้งๆที่ยังหลับตาอมยิ้มอยู่

“น้ำว่าวเปรอะไปหมดแล้ว” ผมบอกมัน

“อู มึงช่วยเช็ดให้หน่อยนะ” ไอ้นัยหลับตาพูด “เสียวจนหมดแรงแล้ว”

ดูมันทำเข้า นี่ผมต้องรีดน้ำว่าวให้มัน แถมยังต้องเก็บกวาดให้มันอีก แต่เห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มเต็มไปด้วยความสุขของมันแล้วก็อดขำไม่ได้ ผมจึงจัดแจงเอาทิชชู่เช็ดน้ำว่าวที่เลอะเทอะทั้งบนโซฟา ตามพื้น และบนตัวมันจนหมด

“นี่แน่ะ” ผมเอานิ้วที่เปื้อนน้ำว่าวยัดเข้าไปในปากมัน ไอ้นัยเบือนหน้าหนีแล้วทำหน้าเบ้

“ทำไมมันคาวยังงี้วะ” ไอ้นัยพูด

“ก็น้ำว่าวของมึงเอง กูจะไปรู้ได้ไง” ผมตอบมัน “ลองดูไอ้นี่บ้างละกัน”

ว่าแล้วผมก็ปีนขึ้นไปบนโซฟา นั่งคร่อมอยู่บนหน้าอกของไอ้นัย จากนั้นส่งแท่งเนื้อของผมเองยัดเข้าไปในปากมันบ้าง

ไอ้นัยรู้งานเป็นอย่างดี มันทำกับผมอย่างที่ผมทำกับมันบ้าง มันใช้ปากและลิ้นถอกหนังหุ้มปลายของผมเข้าออก พร้อมทั้งใช้ลิ้นตวัดเลียส่วนปลายหัวเห็ดที่ไวต่อความรู้สึก ฝีปากของไอ้นัยใช้ได้ทีเดียว คราวนี้ผมรู้แล้วว่าที่ผมทำกับไอ้นัยนั้นมันรู้สึกอย่างไร

“อูย...” ผมครางออกมาบ้าง

ไอ้นัยผงกหัวเข้าออก ปากและลิ้นวนเวียนอยู่ที่ส่วนปลายหัวเห็ดของผม ความรู้สึกเสียวที่หัวเห็ดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด ผมอดรนทนไม่ไหว ต้องซอยท่อนเนื้อเข้าออกในปากมันตามจังหวะบ้าง

ไอ้นัยครางอู้อี้ ท่อนเนื้อของผมอยู่เต็มปากมัน ไม่รู้ว่ามันจะพูดอะไร แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาไปสนใจแล้ว

ผมกระดกเอวกระเด้าท่อนเนื้ออยู่ในปากมันต่อเพียงครู่เดียว ผมก็รู้ตัวว่าน้ำกำลังจะแตกแล้ว

“ขอกูแตกให้หมดก่อนนะ แล้วค่อยคาย” ผมบอกมันล่วงหน้า เพราะไม่อยากให้สะดุดเสียจังหวะตอนน้ำกำลังแตก

ผมรู้สึกหน่วงที่ท้องน้อย จากนั้นก็รู้สึกเกร็งวูบ และแล้ว น้ำว่าวของผมก็ฉีดออกมา

ขณะที่น้ำแตก ผมยังซอยอยู่ในปากไอ้นัย ไอ้นัยก็พยายามสนอง มันรอจนผมฉีดน้ำว่าวออกมาจนหมด มันจึงถอนปากออกมา

“อุ๊...อาว อิ๊บ อ๋าย...” ไอ้นัยครางเสียงอู้อี้ ไม่รู้ว่าพยายามจะพูดอะไร

“มึงไปบ้วนออกมาก่อนไป” ผมบอกมัน ไอ้นัยรีบวิ่งจู๊ดไปบ้วนน้ำว่าวของผมทิ้งในอ่างล้างมือ

“ไอ้เปรต กินเข้าไปตั้งเยอะแล้ว คาวฉิบ...” ไอ้นัยบ่นอุบอิบ

ผมหอมแก้มมันเบาๆ เป็นการปลอบใจ พวงแก้มสีชมพูของมันทั้งนุ่ม ทั้งหอม แถมยังเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ผมรู้ว่ามันบ่นไปยังงั้นเอง

“ขอบใจมากนะนัย...จุ๊บ”


<ผมเอาปากครอบหัวเห็ดทั้งหัวของไอ้นัยเอาไว้ ใช้ปากรูดหนังหุ้มปลายของมันขึ้นมา จากนั้นเม้มหนังหุ้มปลายของมันเอาไว้ แล้วใช้ปากและลิ้นถอกหนังหุ้มปลายของมันลงไปใหม่>

Sunday, November 16, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 35

เพียงแค่สิบเอ็ดโมง ไอ้นัยก็เรียนเสร็จ หลังจากนั้นเราก็มีเวลาที่เป็นอิสระได้ทั้งวัน

“ไปเดินเล่นสยามสแควร์กันดีกว่า” ไอ้นัยชวน

เนื่องจากตอนนั้นมาบุญครองเซ็นเตอร์ยังสร้างไม่เสร็จ ดังนั้นความรุ่งเรืองของย่านนั้นจึงอยู่ที่สยามเซ็นเตอร์และสยามสแควร์ ด้านสยามสแควร์นั้นมีโรงหนังสามโรง คือ สยาม ลิโด และสกาลา เหมือนในปัจจุบัน ร้านรวงแถวนั้นส่วนใหญ่ก็เป็นร้านขายเสื้อผ้า ของแฟชั่น อาหาร และหนังสือ ส่วนเซ็นเตอร์พอยต์ยังไม่มี ด้านสยามเซ็นเตอร์ตอนนั้นก็มีแต่สยามเซ็นเตอร์เท่านั้น ยังไม่มีสยามดิสคัฟเวอรีและสยามพารากอน ตรงสยามพารากอนตอนนั้นยังเป็นโรงแรมสยามอินเตอร์คอนติเนนตัลอยู่

เรื่องที่ส่งผลถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงในชีวิตของผมและไอ้นัยในเวลาต่อมา ถ้าจะว่าไปแล้ว แท้ที่จริงก็มาจากเรื่องเล็กๆสองเรื่อง นั่นคือ การเรียนดนตรีและการนั่งรถเมล์

การเรียนดนตรีที่สยามกลการเป็นการเปิดโลกแห่งการเรียนรู้ของผม พร้อมๆกับการเติบโตของวัย แต่เดิมในสมัยประถม โลกของผมมีแค่โรงเรียนกับหอนักเรียนประจำซึ่งอยู่ติดกัน พอมาเรียนชั้น ม.๑ โลกของผมค่อยขยับขยายขึ้นบ้าง กลายมาเป็นบ้านและโรงเรียน พอมาตอนนี้ ผมได้เห็นสีสันของชีวิตมากมายที่สยามสแควร์ อันเป็นผลมาจากการมาเรียนดนตรี

แต่ทว่าโลกของไอ้นัยและผมจะขยายออกไปไม่ได้ ถ้าเรายังต้องถูกผู้ปกครองคอยรับส่งด้วยรถส่วนตัวอยู่

ไม่ว่าจะเป็นในตอนที่ผมเรียนมัธยม หรือในปัจจุบันก็ตาม มีเด็กในวัย ม.๑ จำนวนไม่น้อยที่ผู้ปกครองยังต้องคอยรับส่ง หรือพาไปไหนมาไหน แต่สำหรับเรื่องนี้ คุณอาไอ้นัยบอกว่าถ้าไอ้นัยเรียน ม.๑ แล้วก็ให้นั่งรถเมล์ไปไหนมาไหนเอง ส่วนผมนั้นเป็นเด็กต่างจังหวัดมาพักอยู่ที่บ้านคนอื่น ยังไงก็ต้องนั่งรถเมล์อยู่แล้ว เพราะไม่มีรถส่วนตัว

เรื่องการนั่งรถเมล์นั้นมันเป็นค่านิยมในสมัยของผม ที่จริงต้องบอกมีมาตั้งแต่สมัยคุณอาไอ้นัยแล้ว กล่าวคือ ในโรงเรียนของเรา มีค่านิยมกันอยู่ว่า การนั่งรถเมล์มาโรงเรียนเป็นการแสดงออกว่าโตแล้ว สามารถพึ่งตนเองได้แล้ว ถ้าใครมีผู้ปกครองคอยรับส่งไปโรงเรียน เพื่อนๆก็มักจะมองกันว่าเป็นลูกแหง่ ยังพึ่งตัวเองไม่ได้ ดังนั้นในตอนที่ผมเรียนมัธยมอยู่ ถ้าใครมีผู้ปกครองมารับส่ง พวกนี้ส่วนใหญ่มักให้ผู้ปกครองจอดรถส่งให้ห่างโรงเรียนไปหน่อย ไม่ให้ใครเห็น จากนั้นก็เดินเอาช่วงหนึ่ง ทำเนียนว่ามารถเมล์เอง เพื่อนจะได้ไม่ล้อ บางรายถึงกับทะเลาะกับพ่อแม่ เพราะพ่อแม่พยายามจะมาส่งที่หน้าประตูโรงเรียน แต่ลูกไม่ยอม เพราะว่าอายเพื่อน ดังนั้นการนั่งรถเมล์ไปไหนมาไหน ถือเป็นความภูมิใจอย่างหนึ่ง แต่ว่าค่านิยมนี้สมัยนี้คงเปลี่ยนไปแล้ว กลายเป็นว่าถ้าใครมีรถเก๋งราคาแพงๆมาส่งที่หน้าโรงเรียน ก็เป็นเครื่องบ่งบอกถึงฐานะและความมีหน้ามีตาไป

ไอ้นัยกับผมเดินเล่นอยู่ในสยามสแควร์หลายชั่วโมง ดูนั่นดูนี่ ไอ้นัยสนใจเสื้อผ้าวัยรุ่น ส่วนผมนั้นดูไปเรื่อยๆ ไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษ ไอ้นัยเคยมาเดินที่สยามสแควร์หลายครั้งแล้วโดยมากับคุณอา ดังนั้นจึงไม่ตื่นเต้นเท่าใดนัก แต่สำหรับผมนั้นเป็นครั้งแรกในชีวิต ดังนั้นจึงรู้สึกว่าอะไรๆก็แปลกใหม่และน่าสนใจไปเสียหมด

“มานี่ อู” ไอ้นัยจับมือผมแล้วลากเข้าไปในร้านดังกิ้นโดนัทขณะที่เราเดินผ่าน ไม่บ่อยนักที่ไอ้นัยจะจับมือของผมกุมเอาไว้แบบนี้ มือของไอ้นัยนั้นอบอุ่นและเปี่ยมไปด้วยมิตรภาพ

มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมกินโดนัท แต่มันเป็นครั้งแรกที่ผมเหยียบย่างเข้ามาในร้านโดนัท ภายในร้านคลาคล่ำไปด้วยเด็กวัยรุ่นและหนุ่มสาว

“เค้าสั่งกันยังไงวะ” ผมถามไอ้นัยเบาๆ เพราะว่ากลัวใครได้ยิน อายเค้า

ไอ้นัยพาผมมานั่งที่โต๊ะ “มึงนั่งจองโต๊ะเอาไว้ เดี๋ยวกูจัดการให้เอง”

มาถึงตอนนี้ ไอ้นัยก็กลายเป็นพี่เลี้ยงของผมไป เห็นมันเดินไปเข้าคิวที่เคาน์เตอร์ เพียงครู่เดียว มันก็ยกถาดที่มีโดนัทและน้ำอัดลมเดินมา กลิ่นโดนัทหอมเย้ายวนใจ

“เท่าไรน่ะ” ผมถาม

“กูเลี้ยงมึง” ไอ้นัยตอบ คำพูดสั้นๆแต่เปี่ยมไปด้วยน้ำใจไมตรี

ราคาโดนัทตอนนั้นดูเหมือนจะชิ้นละ ๗-๘ บาท ซึ่งก็ไม่ถือว่าถูกนัก เรากินโดนัทและนั่งแช่อยู่นาน ผมมองนั่นมองนี่ไปเรื่อย ในร้านโดนัทมักมีนักศึกษามาใช้เป็นสถานที่สอนพิเศษนักเรียน แต่ปกติพนักงานของร้านก็มักไม่ว่าอะไร แต่ถ้ามาติวกันในช่วงเวลาทำเงิน อย่างเช่นในวันเสาร์อาทิตย์ บางทีพนักงานก็เหล่เอาเหมือนกัน การสอนพิเศษในร้านโดนัทเป็นที่นิยมกันอยู่หลายปี จนมาถึงยุคของร้านแมคโดนัลด์เฟื่อง จึงกลายมาเป็นการสอนพิเศษในร้านแมคโดนัลด์แทน

- - -

ในสัปดาห์ถัดมา ผมจึงได้เริ่มเรียนเปียโน ครูที่สอนผมเป็นครูในวัยราวสี่สิบปี ชื่อครูหลิน

ห้องเรียนของผมเป็นห้องเล็กๆ ในห้องมีเพียงเปียโนหนึ่งหลัง เก้าอี้เปียโนหนึ่งตัว กับเก้าอี้ธรรมดาอีกหนึ่งตัว เครื่องนับจังหวะหนึ่งเครื่อง นอกจากนั้นก็ไม่มีอุปกรณ์อะไรอื่นอีก

ครูหลินเริ่มต้นการสอนด้วยการสอนให้รู้จักวางนิ้วบนคีย์เปียโน เปียโนนั้นเป็นเปียโนยามาฮ่า สภาพค่อนข้างเก่า สังเกตได้จากคีย์ที่เป็นสีเหลืองงาช้าง เดิมคงจะเป็นสีขาว

หลังจากนั้นครูหลินก็สอนให้ผมรู้จักโน้ตและการอ่านโน้ต แบบเรียนเปียโนเล่มแรกของผมก็คือจอห์น ทอมป์สัน เล่มหนึ่ง (John Thompson I) ซึ่งนิยมใช้กันสำหรับผู้เริ่มเรียนเปียโน หน้าปกสีแดงแจ๊ด

ในชั่วโมงแรกของการเรียน ผมก็ถูกจับให้หัดเล่นเพลงบทแรกในเล่มเลย เวลาหนึ่งชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว แม้ครูหลินบอกว่าเพลงบทแรกนั้นง่ายมาก แต่มันก็ไม่ง่ายสำหรับผมเลย

“ลองเอาไปซ้อมดูนะคะ แล้วเสารห์หน้ามาเล่นให้ครูฟัง” ครูหลินสั่งการบ้านก่อนจากกัน

เอาละสิ เรียนครั้งแรกก็มีการบ้านเสียแล้ว มันช่างเหมือนกับที่โรงเรียนเสียจริง ผมไม่ค่อยชอบการบ้านเท่าไรนัก

หลังจากที่ออกมาจากห้องเรียน ผมก็ไปติดต่อที่ธุรการเพื่อขอซ้อมเปียโน แต่ปรากฏว่าในตอนนั้นไม่มีเปียโนว่างเลย ผมเพิ่งมารู้ตอนนี้เองว่าวันเสาร์อาทิตย์จะหาเครื่องว่างสำหรับฝึกซ้อมได้ยากมาก ส่วนใหญ่จะมีนักเรียนใช้เต็มหมด เนื่องจากเด็กส่วนใหญ่จะมาเรียนกันตอนวันเสาร์อาทิตย์ ถ้าเป็นวันธรรมดาเวลากลางวันจะมีเปียโนว่างให้ซ้อมอย่างเหลือเฟือ ผมก็เลยขอจองเวลาซ้อมสำหรับเสาร์หน้า พอดีมีเปียโนว่างตอนเก้าโมงเช้า เอาก็เอาวะ ต้องมาเร็วหน่อย ไม่อย่างนั้นถ้าไม่ฝึกซ้อมเลยคงเล่นให้ครูหลินฟังไม่ได้

“เป็นไงบ้าง ฮุฮุ” เสียงอันคุ้นเคยดังมาจากด้านหลัง ขณะที่ผมกำลังเขียนจองเวลาเปียโนอยู่

“แย่ว่ะ” ผมทำหน้าเบ้ “วันนี้เจอแต่ลูกอ๊อดสีขาวสีดำ แถมมีการบ้านแล้วด้วย”

“แค่นี้ท้อแล้ว” ไอ้นัยเย้ย

“ยังโว้ย แค่บอกให้ฟังเฉยๆ” ผมแก้ตัว “ว่าแต่วันนี้ไปไหนดีล่ะ”

“วันนี้อากูไม่อยู่บ้าน…” ไอ้นัยตอบไม่ตรงคำถาม

“เออ งั้นไปนอนเล่นบ้านมึงดีกว่า” แบบนี้ก็เข้าทางผมเลย


<บรรยากาศของสยามสแควร์ในช่วงที่อยู่มัธยมต้น แฟชั่นการแต่งตัวของวัยรุ่นและหนุ่มสาวเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย>

Wednesday, November 12, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 34

หลังจากที่ทุกอย่างราบรื่น ตอนนี้ผมเองก็มีอาการเช่นเดียวกับไอ้นัย นั่นคือ ใจจดใจจ่อ อยากให้ถึงวันเสาร์เร็วๆ จะได้ไปเรียนดนตรี ...

“อู เย็นนี้ไปเดินเป็นเพื่อนกูหน่อยนะ” โหนกพูดขึ้นในตอนบ่ายวันหนึ่ง

ผมติดหนี้มันเรื่องไปเป็นเพื่อนเดินดูหนังสือที่วังบูรพา พอไอ้โหนกมาทักเช่นนี้ ผมก็รู้ว่ามันมาทวงเรื่องเก่า

“ไปดิ แต่ไปได้เดี๋ยวเดียวนะ ต้องรีบกลับบ้าน” ผมตอบ “เลิกเรียนแล้วกูจะรีบไปตามไอ้นัย แล้วไปกันเลย”

“ทำไมมึงไปไหนก็ต้องไปกับไอ้นัยวะ ไปไหนเองไม่เป็นหรือไง” โหนกพูดด้วยน้ำเสียงที่อธิบายไม่ถูก คล้ายๆหงุดหงิดรำคาญ แต่ผมก็ไม่รู้สาเหตุ

“อ้าว ก็ปกติเราก็ไปไหนด้วยกันสามคนนี่ กินข้าวก็กินด้วยกัน แล้วนี่ก็ต้องกลับบ้านด้วยกัน ก็ต้องไปด้วยกันสิ” ผมอธิบาย

โหนกทำสีหน้าไม่ค่อยพอใจนัก ก่อนหน้านี้โหนกไปสนิทกับพงศ์ พอพงศ์ไปคลุกคลีกับหัวหน้า โหนกก็พลอยไปกับเขาด้วย แต่เป็นเฉพาะตอนอยู่ในห้องเรียน ตอนกินข้าวยังไปกินกับผมและไอ้นัยอยู่ บางครั้งก็ตามผมแจ บางครั้งก็ไปอยู่กับพงศ์และดิษฐ์ ผมเองก็ไม่เห็นว่ามีอะไรที่จะทำให้โหนกไม่พอใจไอ้นัย เพราะไอ้นัยไม่เคยขัดใจใคร ยิ่งไม่เคยขัดคออะไรโหนกเลย แต่สังเกตอยู่บ้างเหมือนกันว่าพักหลัง เวลากินข้าวกัน โหนกไม่ค่อยคุยกับไอ้นัยนัก มักจะคุยกับผมมากกว่า

“มึงไม่ชวนมันไปด้วยได้ไหม” โหนกถาม

ผมงงกับคำถามของโหนก “ยังไงก็ต้องกลับบ้านด้วยกัน ไม่ไปดูหนังสือด้วยกัน แล้วจะกลับบ้านด้วยกันได้ไง”

“ก็ให้มันกลับบ้านก่อนก็ได้นี่” โหนกพูด

“ไม่เอาอ่ะ มึงพูดอะไรแปลกๆ ไม่เห็นจำเป็นต้องทำแบบนี้เลย” ผมตอบ “วันนี้มึงเป็นไรไปวะ”

“เปล่า ไม่ได้เป็นไร” โหนกปฏิเสธ “แค่อยากไปเดินกับมึงสองคนเท่านั้น”

เอ... มันชักจะยังไง ผมเองเริ่มรู้สึกไม่พอใจโหนก เพราะจู่ๆก็ไปไม่พอใจไอ้นัยโดยไม่มีเหตุผล

“ถ้าไม่ให้ชวนไอ้นัย ยังงั้นกูไม่ไปละกัน ไม่มีเหตุผลเลย” ผมพูด

“เออ ไม่ไปก็อย่าไปวะ ไม่ง้อ ไปคนเดียวก็ได้” โหนกพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจหนักยิ่งกว่าเก่า กลายเป็นว่ามันเคืองผมด้วยอีกคน

ในเมื่อโหนกบอกว่าจะไปคนเดียว ผมก็เลยไม่ได้ว่าอะไร ใจหนึ่งก็อยากจะตามใจไปเป็นเพื่อนกับมัน แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกเคือง พอถึงเวลาเลิกเรียนก็เลยกลับบ้านไปกับไอ้นัยตามปกติ

สัปดาห์นั้นโหนกดูเงียบๆไป ไม่ค่อยได้คุยกับผมและไอ้นัยมากนัก ซึ่งไอ้นัยก็สังเกตข้อนี้ได้เหมือนกัน มันถามโหนก โหนกก็ตอบแบบห้วนๆว่าไม่มีอะไร ไอ้นัยก็เลยมาแอบถามผม ผมก็บอกไปว่าไม่รู้ เพราะไม่รู้สาเหตุจริงๆ แต่เรื่องที่โหนกมาชวนผมไปวังบูรพาโดยไม่ให้ชวนไอ้นัยไปด้วยนั้น ผมไม่ได้บอกมัน เพราะเกรงว่ามันจะเสียใจ

ทางด้านตัวผมเองนั้น หลังจากที่โหนกมีอาการปั้นปึ่ง ผมก็เฉยๆ ไม่ได้ไปง้อมัน เพราะคิดว่ามันเป็นฝ่ายที่ไม่มีเหตุผลก่อน และอีกอย่าง ผมไม่ค่อยพอใจมันด้วย ที่มันแสดงอาการกีดกันไอ้นัย ซึ่งเหตุผลข้อหลังนั้นมีน้ำหนักมากกว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ผมมีเรื่องขัดเคืองใจกับโหนก

- - -

ระยะหลังไอ้ใหญ่สนิทกับผมมากขึ้น พอถึงชั่วโมงพลศึกษาซึ่งต้องมีการจับคู่กันหัด ใหญ่ก็พยายามมาจับคู่กับผมอีก ทั้งๆที่ผมพยายามจะจับคู่กับดิษฐ์ ในที่สุด ผมก็จับคู่กับดิษฐ์ไม่สำเร็จ เพราะใหญ่มันมาเสนอตัว จะปฏิเสธมันก็กระไรอยู่ ส่วนดิษฐ์นั้นมักจับคู่กับเล็กที่นั่งโต๊ะข้างหน้าของดิษฐ์นั่นเอง

เมื่อถึงชั่วโมงพลศึกษา ใหญ่ก็มาชวนผมไปชักว่าวอีก ที่จริงผมอยากจะบอกกับมันไปว่าต่างคนต่างชักมันจะไปสนุกอะไร ยิ่งลีลาของมันธรรมดามาก ดูครั้งสองครั้งก็เบื่อแล้ว ทำไมไม่มาชักว่าวด้วยกันเสียเลย แต่ก็ไม่กล้าพูดขึ้นมาก่อน ครั้นรอให้มันพูด ก็ไม่เห็นมันชวนสักที

สาเหตุที่ผมไม่ชวนใหญ่ก่อน เพราะบทเรียนจากกรณีของอ้วนกับพงศ์ได้สอนให้ผมรู้ว่า สังคมที่นี่ไม่เหมือนที่โรงเรียนเก่า ที่หอโรงเรียนประจำ การที่เด็กผู้ชายชักว่าวด้วยกันเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับที่นี่ พฤติกรรมทางเพศระหว่างชายกับชายเป็นที่รังเกียจสำหรับคนบางคน ดังนั้นผมจึงระวังตัวมากขึ้น และไม่กล้าแสดงออกว่ารสนิยมทางเพศของผมเป็นอย่างไร

ดังนั้น เมื่อใหญ่ชวนให้ผมชักว่าวให้มันดูอีก ผมจึงปฏิเสธมันไป โดยอ้างแบบถูไถไปว่าเมื่อเช้าเพิ่งชักว่าวมา ยังไม่มีอารมณ์ ใหญ่มันก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไร

- - -

เสาร์ถัดมา ...

ในที่สุด วันที่ผมรอคอยมาตลอดสัปดาห์ก็มาถึง นั่นคือ วันที่ผมจะไปสมัครเรียนเปียโน

ไอ้นัยกับผมนัดเจอกันที่ป้ายรถเมล์ที่เก่า แต่วันนี้เรานัดกันเวลาแปดโมงครึ่ง เนื่องจากไอ้นัยเรียนเวลาสิบโมง วันนี้ไอ้นัยก็มายืนอมยิ้มรอผมอยู่แล้วเช่นเคย มันใส่รองเท้าแตะสกอลล์คู่เก่งที่อาซื้อให้ สะพายย่ามใบเล็กๆซึ่งภายในย่ามบรรจุแบบเรียนกีตาร์คลาสสิก จากนั้นเราก็นั่งรถเมล์ปรับอากาศสาย ปอ.2 ซึ่งในตอนนั้นวิ่งระหว่างบางกะปิ-สีลม โดยผ่านสี่แยกปทุมวันไปทางสามย่าน

เมื่อลงรถที่สี่แยกปทุมวัน เราเดินข้ามถนนไปยังฝั่งที่ปัจจุบันเป็นหอศิลป์ ตอนนั้นมาบุญครองเซ็นเตอร์ยังสร้างไม่เสร็จ หัวมุมสี่แยกปทุมวันมุมที่ปัจจุบันเป็นหอศิลป์นั้น ตอนนั้นเป็นร้านขายเครื่องกีฬา ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นร้านขายเครื่องกีฬาตรานกแก้ว ที่จริงแถวนั้นในยุคก่อนมีมาบุญครองเซ็นเตอร์เป็นศูนย์รวมของร้านขายเครื่องกีฬา และตรงหัวมุมสี่แยกนั่นเองจะมีซอยเล็กๆซอยหนึ่ง เดินเข้าไปเพียงนิดเดียวก็จะมีห้องสมุดประชาชนสาขาปทุมวัน เดินต่อไปอีกหน่อยก็จะเป็นโรงเรียนดนตรีสยามกลการ ปัจจุบัน ไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว แต่ย้ายไปอยู่เลยสถานีรถไฟฟ้าไปเล็กน้อย

โรงเรียนดนตรีแห่งนี้ภายในติดแอร์ทั้งหลัง เมื่อแรกเดินเข้าไป ผมก็ได้เห็นเครื่องดนตรีจำนวนมากจัดวางเรียงรายอยู่ในส่วนหน้าซึ่งเป็นโชว์รูม มีทั้งกีตาร์ เปียโน อิเล็กโทน ฟลุ้ต คลาริเนต และอื่นๆ

วันนั้นผมได้แค่ไปสมัครเรียน ที่จริงการสมัครเรียนต้องมีผู้ปกครองพาไปสมัคร แต่ไอ้นัยทำตัวเป็นผู้ปกครองของผมเบ็ดเสร็จ โดยมันอ้างว่าเราเป็นญาติกัน ผู้ปกครองคนเดียวกัน ทางเจ้าหน้าที่เห็นว่าไอ้นัยเป็นนักเรียนอยู่แล้ว ก็เลยอะลุ้มอะล่วยให้ ไม่ต้องพาผู้ปกครองมาอีก จากนั้น มันก็ช่วยแนะนำผมในการกรอกใบสมัคร วันนี้ ท่าทางที่มันช่วยผมนั้นดูเหมือนเป็นพี่ชายของผมเสียจริงๆ

หลักสูตรการเรียนดนตรีของที่นี่จะมีสองแบบ คือ ถ้าจะเรียนแบบพื้นฐานดนตรีก็จะมีชั้นเรียนแบบเป็นกลุ่ม ชั้นหนึ่งประมาณสิบกว่าคน การเรียนก็จะเรียนรู้เกี่ยวกับตัวโน้ต และมีการฝึกฝนการเล่นเครื่องดนตรี แต่จะเป็นลักษณะไปด้วยกันทั้งชั้น การเรียนลักษณะนี้จะทำให้เด็กได้เรียนดนตรี อีกทั้งได้คบเพื่อนใหม่ๆไปด้วย

การเรียนอีกแบบหนึ่งเป็นการเรียนเครื่องดนตรีแบบล้วนๆ เรียนคนเดียว ไม่ปะปนกับใคร แบบนี้จะได้ทักษะการเล่นเครื่องดนตรีมากกว่าแบบแรก แต่ค่าเล่าเรียนก็จะแพงกว่า ค่าเรียนชั่วโมงละ 300 บาท เรียนครั้งละหนึ่งชั่วโมง ทุกสัปดาห์ รวมแล้วเดือนหนึ่งก็ราวๆ 1,200 – 1,500 บาท ขึ้นกับว่าเดือนนั้นมีกี่สัปดาห์

ผมกับไอ้นัยเรียนแบบหลัง คือเรียนปฏิบัติเครื่องดนตรีแบบเดี่ยว เมื่อไอ้นัยจัดการให้ผมสมัครเสร็จเรียบร้อย ก็ถึงเวลาเรียนของมันพอดี ส่วนผมนั้นก็เดินดูห้องเรียนต่างๆเพื่อฆ่าเวลา


<รองเท้าสกอลล์ที่เด็กวัยรุ่นนิยมกัน ใครไม่มีถือว่าตกยุค>

Saturday, November 8, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 33

หลังจากที่ไปเรียนกีตาร์เป็นครั้งแรก ไอ้นัยก็เริ่มมีอาการเห่อกีตาร์ วันๆเอาแต่คุยเรื่องกีตาร์ ตอนเย็นก็จะรีบกลับบ้านไปซ้อมกีตาร์ จนผมหมั่นไส้ แต่อีกดด้านหนึ่ง ขนาดคนที่พูดน้อยแบบไอ้นัยกลายมาเป็นคนที่คุยจ้อได้ การดนตรีคงมีอะไรที่น่าสนุกและน่าสนใจเป็นแน่

สมองอันเฉียบแหลมของผมคิดต่อไปอีก ว่าถ้าผมได้เรียนดนตรีแบบไอ้นัยบ้าง มันก็คงเป็นข้ออ้างให้ผมได้ออกนอกบ้านในวันเสาร์ เพราะทุกวันนี้วันหยุดเสาร์อาทิตย์ก็ได้แต่นั่งจ่อมอยู่ในบ้าน เบื่อจะแย่

ไม่รอช้า ผมรีบโทรศัพท์ติดต่อแหล่งเงินทุนของผมทันที

“ป๋าๆ คิดถึงป๋าจัง” ผมกรอกใส่กระบอกโทรศัพท์เมื่อรู้ว่าผู้รับสายเป็นใคร

“จะขออะไรล่ะสิ” พ่อดักคอ

“ทำไมป๋ารู้ล่ะ อิอิ” ไม่ชอบคนรู้ทันเลย

“อูมาแบบนี้ทีไรก็มีเรื่องไม่อะไรก็อะไรสักอย่าง แบบนี้ทุกที” พ่อของผมนี่รู้ใจผมจริงๆ

“คืออูอยากเรียนกีตาร์น่ะ” ผมพูดเข้าเป้าเลย เพราะว่าเสียดายค่าโทรศัพท์

“จะเรียนไปทำไมกัน” พ่อถาม

“กูท่าทางจะสนุกดีอ่ะป๋า อีกอย่าง ไม่แน่อีกหน่อยอาจใช้เป็นอาชีพได้” ผมพยายามชักแม่น้ำทั้งห้า ว่าไปโน่น เพิ่ง ม.๑ เอง มองเสียไกล

“โฮ้ย ถ้าคิดแบบนั้นไม่ต้องเรียนหรอก อาชีพเต้นกินรำกิน มีแต่ไส้แห้ง” พ่อพูด

พ่อผมกับอาไอ้นัย แม้อายุจะต่างกันไม่มาก แต่มุมมองต่อโลกนั้นต่างกันมาก อาไอ้นัยจะทันสมัยและมองการณ์ไกลกว่า พ่อของผมก็คิดแบบคนทั่วไป เพราะในตอนนั้น การเป็นนักแสดง นักร้อง นักดนตรี ยังถูกมองว่าเป็นอาชีพที่ไม่มั่นคงและมีรายได้น้อยอยู่ ต่างจากสมัยนี้ที่เป็นอาชีพที่มีโอกาสทำเงินได้อย่างมหาศาลถ้าหน้าตาดีหน่อย

“น่า นะ นะ ป๋า อูอยากเรียน” ผมเห็นว่าการชักแม่น้ำทั้งห้าไม่มีประโยชน์แล้ว เลยตื๊อเอาดื้อๆ ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก

“เท่าไรล่ะ” พ่อถาม วันนั้นพ่อคงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เพราะเปิดโอกาสให้ผมตื๊อ ไม่ถึงกับตัดรอนแบบสิ้นเยื่อใย

“ก็...” ผมอึ้งไป คิดถึงราคากีตาร์แล้วก็ไม่กล้าบอก แต่ถ้าไม่พูดก็คงอด

“ค่าเรียนเดือนละประมาณ 1,200 บาท” ผมพูด

“ฮื่อ แพงไม่ใช่เล่น” พ่อพูด ตามประสาคนไม่อยากจ่ายตังค์

“ยังมีอีกอ่ะป๋า” ผมพยายามค่อยๆบอก “มีค่ากีตาร์อีก ราคาตัวหนึ่งก็สองหมื่นกว่าบาท”

เท่านั้นเอง พ่อก็ร้องจ๊าก “โอย แพงยังงี้ ไม่ต้องไปเรียนหรอก ไม่ไหว ซื้อมาแล้วเกิดไม่เรียน เงินสองหมื่นก็สูญเปล่า ค่าเล่าเรียนยังไม่เท่าไร”

“แต่ที่จริงดนตรีก็มีประโยชน์นะป๋า สุนทรภู่ยังบอกเลยว่าอันดนตรีมีคุณทุกอย่างไป” ผมพยายามชักจูงแบบข้างๆคูๆ เพราะพอพ่อร้องจ๊าก ผมก็นึกอะไรไม่ออกแล้ว

“เออ งั้นอูก็ไปเรียนเป่าปี่ละกัน ปี่อันหนึ่งคงไม่แพงขนาดนี้” พ่อชักเริ่มตีรวนบ้าง

เป็นอันว่าการเจรจากับแหล่งเงินทุนของผมในวันนั้นล้มเหลวไม่เป็นท่า ผมจึงเอาพ่อไปบ่นให้เอ๊ดฟัง

“ป๋าคงคิดถูกแล้วมั้ง” เอ๊ดพูด พี่ชายคนนี้ไม่เข้าข้างกันเสียเลย

“มันจะถูกได้ยังไง” ผมเถียง

“ก็ถ้าอูไม่เอาจริง เรียนแล้วเบื่อก็ทิ้ง กีตาร์ตั้งสองหมื่นจะเอาไปทำอะไร แขวนเสื้อยังไม่ได้เลย” เอ๊ดพูด

คติตื๊อเท่านั้นที่ครองโลกดูท่าจะไม่ประสบผลในครั้งนี้ เพราะผมเพียรพยายามตื๊ออยู่หลายวัน แต่ก็ไม่สำเร็จ เอ๊ดเองก็ไม่เห็นด้วย จึงไม่ยอมช่วยสนับสนุนให้ผม ผมจึงเอาไปบ่นให้ไอ้นัยฟัง

“ป๋านี่ขี้เหนียวจริงๆ” ผมบ่น แต่ไม่มองตัวเองว่าขอเกินเลยไปหรือเปล่า

ไอ้นัยหัวเราะฮุฮุ “เรียนดนตรีน่ะไม่มีเครื่องดนตรีไม่ได้หรอก เพราะเรียนแล้วต้องเอามาฝึกต่อที่บ้าน มึงมาเล่นกีตาร์กูก็ได้” ไอ้นัยเสนอ ใจดีจริงๆ ไอ้นัยไม่หวงของเลย

ผมได้ประเด็นใหม่เพื่อเอาไปต่อรอง แต่พ่อก็ไม่เอาด้วยอยู่ดี

“ไม่เอา เกรงใจนัยเค้า เกรงใจอาเค้าด้วย ทำแบบนี้เท่ากับไปรบกวนเค้า” พ่อปฏิเสธอีก

คราวนี้เห็นทีจะไม่ได้เรียนแน่แล้ว ที่จริงตอนนั้นความอยากเรียนดนตรีมันก็ไม่มากนักหรอกครับ แต่เรื่องของเรื่องคือผมไม่อยากอยู่บ้านมากกว่า อีกอย่าง อยากมีโอกาสได้อยู่ใกล้ๆไอ้นัยด้วย เพราะตั้งแต่มาเรียนที่นี่ อยู่กันคนละห้อง แม้เราจะเจอกันทุกวันตอนนั่งรถเมล์ แต่มันก็ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เรียนด้วยกัน มีกิจกรรมทำด้วยกันทั้งวัน คิดๆดู แผนการของผมดูจะต้องลงทุนมากเกินไปจริงๆ

ผมเล่าให้ไอ้นัยฟัง ขณะจะถอดใจยอมแพ้อยู่แล้ว ไอ้นัยก็แนะนำว่าให้ไปเรียนเปียโนแทน

“มึงบอกว่าเปียโนยิ่งแพงกว่ากีตาร์อีก แล้วจะเรียนเข้าไปได้ยังไง” ผมงง

ไอ้นัยเลยอธิบายให้ฟังว่า ถ้าเรียนกีตาร์ต้องมีเครื่องดนตรีของตนเอง แต่ถ้าเรียนเปียโน ที่โรงเรียนดนตรีมีเปียโนให้ใช้ฝึกซ้อมได้ ที่เป็นอย่างนี้เพราะว่าเปียโนเป็นเครื่องดนตรีที่มีราคาสูง ผู้ปกครองอาจไม่มีกำลังซื้อกันทุกคน ดังนั้นทางโรงเรียนจึงจัดเปียโนเอาไว้ให้ฝึกซ้อมที่โรงเรียน

“ไอ้เวร แล้วก็ไม่บอกแต่แรก” ผมดุมัน พูดไปยังงั้นเองแหละครับ ที่จริงขอบใจมันมากกว่า ที่อุตส่าห์ช่วยออกความคิด

ผมกลับมามีความหวังอีกครั้ง ถ้าเป็นแบบนี้จริง ปัญหาก็อยู่แค่ที่ค่าเรียนเท่านั้น

ผมกลับไปตื๊อพ่ออีกครั้ง คราวนี้ต่อรองแบบทุ่มสุดตัว

“ถ้าป๋าให้อูเรียนนะ ป๋าช่วยอูออกแค่เดือนละหกร้อยก็พอ อีกหกร้อยอูจะประหยัดเบี้ยเลี้ยงออกเอง” ผมเสนอ ตอนนั้นได้เบี้ยเลี้ยงหรือว่าค่าขนมเดือนละสองพันห้า ผมไม่ค่อยได้ใช้อะไรหรอก มีเงินเหลือเก็บพอสมควร ที่จริง ถึงจะออกค่าเรียนเองเดือนละพันสอง ผมก็พอจะประหยัดจนเรียนได้ แต่ปัญหาอยู่ที่ต้องให้พ่อเป็นคนออกหน้าเจรจากับคุณลุง เพราะถ้าจะออกนอกบ้านวันเสาร์ก็ต้องให้คุณลุงคุณป้าอนุญาตด้วย

ข้อเสนอนี้สร้างความทึ่งแก่พ่อของผมพอสมควร

“เอาขนาดนั้นเลยเหรอ” พ่อพูด

เมื่อพ่อเห็นความตั้งใจจริงของผม ประกอบกับใช้เงินไม่มากนัก จึงตกลงให้ผมลองเรียนดู แล้วก็รับภาระเจรจากับคุณลุงคุณป้าให้ แต่ก็ไม่วายบ่นว่าผมวุ่นวายตามเคย คุณลุงคุณป้าเองไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะไม่เห็นว่าเรียนแล้วจะมีประโยชน์อะไร คงคิดคล้ายๆพ่อของผม แต่ว่าในเมื่อเป็นความประสงค์ของพ่อที่จะให้ผมเรียน ซึ่งที่จริงคือความประสงค์ของผมเองนั่นแหละ ทั้งสองก็เลยไม่ว่าอะไร เป็นอันว่าผมจะมีเวลาในวันเสาร์ที่สามารถใช้เวลาได้อย่างอิสระนอกบ้าน เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งวัน


<กีตาร์คลาสสิกกับกีตาร์ทั่วไป ที่จริงแล้วจัดว่าเป็นกีตาร์อะคูสติก(acoustic guitar)ทั้งคู่ เพราะเนื้อเสียงและคุณภาพเสียงต่างก็เกิดจากการดีดสายให้เกิดเสียงแล้วเสียงเข้าไปก้องอยู่ในโพรงในตัวกีตาร์ กีตาร์คลาสสิกนั้นมีรูปทรงภายนอกแตกต่างจากกีตาร์ทั่วไปอยู่บ้าง แต่ผู้ที่ไม่ได้สนใจเรื่องกีตาร์อาจแยกออกได้ยาก ความแตกต่างที่พอจะเห็นได้ชัดเจนก็คือ กีตาร์คลาสสิกจะมีคอกว้างกว่ากีตาร์ธรรมดา และสายที่ใช้ก็เป็นสายไนลอน ส่วนกีตาร์ธรรมดานั้นคอจะแคบกว่าและใช้สายเหล็ก

นอกจากนี้ เทคนิคการเล่นของกีตาร์คลาสสิกก็ต่างจากกีตาร์ธรรมดา เพราะกีตาร์ธรรมดานั้นใช้เล่นเพื่อคลอไปกับแนวทำนองหลัก ส่วนกีตาร์คลาสสิกนั้นสามารถเล่นแนวทำนองหลักได้

ในภาพ ด้านซ้ายมือเป็นกีตาร์คลาสสิก ส่วนด้านขวามือเป็นกีตาร์ทั่วไป>

Saturday, November 1, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 32

ตอนฝึกก็ต้องจับคู่กัน เพราะตอนที่ยกตัวเอาขาชี้ฟ้านั้นต้องมีคนคอยประคองขาเอาไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นจะล้ม ใหญ่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ อาสาเป็นคู่ให้ผมเช่นเคย

คู่ที่อยู่ติดกับผมคือดิษฐ์กับเล็ก ดิษฐ์ได้ฝึกก่อน โดยมีเล็กช่วยจับขาให้ ส่วนคู่ของผมนั้นใหญ่ได้ฝึกก่อน

ขณะที่ดิษฐ์ยกขาชี้ฟี้นั่นเอง กางเกงกีฬาขากว้างก็ร่นลงมาตามแรงโน้มถ่วง เผยให้เห็นต้นขาอันใหญ่ล่ำสันแลเห็นไปจนถึงง่ามขา พร้อมทั้งกางเกงในที่แพลมออกมา ผมสังเกตว่าเล็กพยายามมองล้วงเข้าไปในขากางเกงของดิษฐ์

ผมเหลือบมองลงไปที่คู่ฝึกของผมบ้าง เมื่อมองลอดขากางเกงเข้าไป เห็นมันใส่กางเกงในแบบผ้าฝ้าย คิดว่ากางเกงในนี้คงใส่มานานแล้ว เพราะว่าขากางเกงในหลวมกว้างหย่อนยาน ไม่รัดกับผิวเนื้อ เมื่อมองลึกเข้าไปในขากางเกงใน เห็นถุงไข่ของใหญ่ พร้อมทั้งขนอันหยิกหยอยเลื้อยลามออกมาที่ง่ามขา ที่สำคัญคือเป้าเกางเกงของมันโป่งพอง แสดงว่าส่วนสำคัญภายในกางเกงในของมันกำลังแข็งตัวอยู่

“ควยลุกเลยนะมึง” ผมก้มลงไปบอกใหญ่ ที่ต้องก้มเพราะว่าตอนนี้หัวมันอยู่ด้านล่าง

ใหญ่เอาขาลง พร้อมทั้งลุกขึ้นมา

“กูอยากดูมึงชักว่าวอีกอ่ะ” ใหญ่พูดขึ้นมาดื้อๆ “ชักให้กูดูหน่อยดิ”

“เฮ้ย อะไรกันวะ อยู่ดีๆอยากดูกูชักว่าว มึงก็ดูของมึงเองดิ” ผมทำเป็นไม่เล่นด้วย ที่จริงตอนนั้นก็มีอารมณ์อยู่แล้ว อยากชักว่าวอยู่เหมือนกันเพราะดอมันแข็ง

“น่า ท่าชักว่าวของมึงได้อารมณ์มาก ชักให้กูดูอีก นะ นะ นะ” ใหญ่อ้อน

ผมนึกแปลกใจอยู่เหมือนกัน ไอ้ใหญ่นี่มันยังไงของมัน ปกติมีแต่ชวนกันไปชักว่าว ไอ้นี่ขอให้ชักว่าวให้ดู

ผมอิดออดพอเป็นสังเขป แต่ในที่สุดก็ตอบตกลง ...

“มึงชักให้กูดูบ้างนะ แลกกัน” ผมต่อรอง ใหญ่ไม่ขัดข้อง

เราสองคนแอบแว่บไปที่ห้องส้วมหลังโรมยิมอีก แล้วก็ทำอย่างเก่า คือเข้าห้องส้วมกันคนละห้อง แล้วปีนดูกัน ผมชักว่าวให้มันดูก่อน คราวก่อนแค่ร่นกางเกงพละลงมาแล้วชัก แต่คราวนี้ผมถอดกางเกงและกางเกงในออกมาเลย ทำให้ชักว่าวได้ถนัดขึ้น ไม่ต้องกลัวน้ำว่าวแตกเลอะกางเกง

“ถอดเสื้อด้วยดิ” ใหญ่กระซิบลงมาจากกำแพง

เอาก็เอาวะ ไหนๆก็ไหนๆ ผมเลยถอดเสื้อยืดออกมาด้วย คราวนี้ผมอยู่ในสภาพเปลือยทั้งตัว อวดส่วนสัดของเด็กวัยรุ่นให้ใหญ่เห็นเต็มตา ทั้งเนื้อทั้งตัวผมก็เหลือแต่รองเท้ากับถุงเท้าเท่านั้น

ผมลงมือชักดอของผม เริ่มจากช้าๆ เน้นๆ การมีคนจ้องดูอยู่ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นกว่าปกติ ความรู้สึกของผมนึกย้อนไปถึงตอนอยู่หอ ที่ชักว่าวกันตรงอ่างอาบน้ำ จากนั้นค่อยๆเร่งความเร็วขึ้น ไม่นาน ผมก็ใกล้น้ำแตก ผมย้อนนึกถึงตอนที่กระเด้ากับไอ้นัย เอวก็ขยับไปมาในท่ากระเด้าลม

ผมรู้สึกหน่วงที่ท้องน้อย น้ำใกล้แตกเต็มทีแล้ว เมื่อแหงนหน้ามองไปบนผนัง เห็นใหญ่จ้องมองที่ดอของผม ตาเป็นประกาย จากนั้นความรู้สึกของผมก็พุ่งขึ้นสู่จุดสุดยอด แล้วผมก็ฉีดน้ำว่าวสีขาวขุ่นออกมา มันเลอะพื้นและผนังเต็มไปหมด

ใหญ่จับจ้องการชักว่าวของผมทุกอิริยาบถ ตอนน้ำยังไม่แตก เห็นมันจ้องดูก็รู้สึกเร้าใจ แต่พอน้ำแตกแล้วคราวนี้ผมชักเริ่มรู้สึกเขิน จึงพยักหน้าส่งสัญญาณให้มันชักว่าวบ้าง

ผมปีนขึ้นไปบนผนังเพื่อชะโงกดูทั้งที่ตนเองยังเปลือยกายอยู่ เห็นใหญ่ถอดเสื้อยืดและกางเกงเช่นเดียวกับผม จากนั้นลงมือชักว่าวบ้าง

หุ่นของใหญ่ผอมๆ ตัวขาวๆ ดูแล้วก็ไม่ค่อยเร้าอารมณ์เท่าไรนัก อีกทั้งลีลาการชักว่าวก็จืดๆ ใช้นิ้วบีบหัวดอแล้วชักแต่เฉพาะส่วนหัว ส่วนที่น่าดูก็อยู่ตรงที่หมอยมันเยอะ ขึ้นดกมากเลย

ใหญ่ชักว่าวอยู่นานเหมือนกัน จากนั้นก็น้ำแตก ผมรีบลงมาจากกำแพง แล้วใส่เสื้อผ้า จากนั้นก็เดินออกมาจากห้องส้วม ตอนกลับนี่แยกกันเดินกลับเข้าโรงยิม เพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัย วิชาพลศึกษานี่ก็ดีเหมือนกัน เรียนทีไรก็ได้น้ำแตก

- - -

หลังจากวันที่โดนอ้วนจับแก้ผ้าเป็นต้นมา พงษ์ปากกว้างก็พยายามเข้าไปคลุกคลีกับหัวหน้าดิษฐ์มากยิ่งขึ้น คล้ายๆกับพยายามยึดดิษฐ์เป็นที่พึ่ง เพื่อไม่ให้ถูกแก๊งไอ้อ้วนรังแก โต๊ะของพงษ์นั้นอยู่หน้าโต๊ะดิษฐ์เพียงสองสามโต๊ะ ดังนั้นจึงเป็นการง่ายที่พงษ์จะเข้าไปเจ๊าะแจ๊ะกับดิษฐ์ได้บ่อยๆ

“หัวหน้า ขอยืมยางลบหน่อยนะ” พงษ์เดินเข้ามาหาดิษฐ์เพื่อขอยืมยางลบ

“เอ้า นี่ เอาไป” เล็กซึ่งนั่งอยู่ข้างหน้าดิษฐ์ชิงยื่นยางลบไปให้

“ไม่อาว... จะยืมหัวหน้า”พงษ์ทำเสียงออดอ้อน

ดิษฐ์ก็ไม่ได้ว่าอะไร หยิบยางลบของตนเองส่งให้ พอนานวันเข้า พงษ์ก็สนิทสนมกับดิษฐ์มากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อนๆก็แซวกันว่าพงษ์เป็นเมียดิษฐ์ไปเรียบร้อยแล้ว พงษ์ก็เลยแสดงบทบาทของเมียแบบขำๆในบางครั้ง

“ผัวจ๋า ขอลอกการบ้านหน่อยสิ” พงษ์หยอก

ดิษฐ์ก็รับมุข พลอยสนุกไปด้วย เอื้อมมือไปหยิกแก้มพงษ์

“เมียจ๋า อย่าแร่ดมากนักสิ” ดิษฐ์พูด

ทั้งคู่มีการปล่อยมุขผัวเมียแบบนี้เป็นบางครั้ง สร้างความครึกครื้นเฮฮาแก่เพื่อนฝูง ส่วนแก๊งไอ้อ้วนก็ยังทะเลาะและด่ากับพงษ์ตามปกติ เพียงแต่ไม่มีการลงไม้ลงมือกันอีก คงเป็นเพราะเกรงใจหัวหน้า ที่จริงแล้ว ดิษฐ์เป็นหัวหน้าที่ดีทีเดียว เรียกได้ว่ามีความเป็นผู้นำโดยธรรมชาติ เพราะสามารถสร้างบารมีในหมู่เพื่อนนักเรียนได้ แต่ข้อเสียของดิษฐ์คือตรงไปตรงมาและเข้มงวด ทำให้บางคนไม่พอใจอยู่เงียบๆ อย่างเช่นกลุ่มของอ้วน
- - -

ในสัปดาห์นั้น เป็นสัปดาห์ที่ไอ้นัยใจจดใจจ่อ รอให้ถึงวันเสาร์ เพราะจะเป็นวันที่มันไปเรียนกีตาร์เป็นครั้งแรก

โรงเรียนดนตรีที่ไอ้นัยไปเรียนคือโรงเรียนดนตรีสยามกลการ หรือที่เรียกว่ายามาฮ่า ชื่อเดียวกับยี่ห้อกีตาร์นั่นเอง โรงเรียนดนตรีแห่งนี้ตั้งอยู่ที่สี่แยกปทุมวัน ตรงข้ามสนามกีฬาศุภชลาศัย ในสมัยก่อนเป็นโรงเรียนดนตรีที่มีชื่อเสียงมาก เพราะว่าก่อตั้งมายาวนาน มีการดำเนินการ การจัดการเรียนการสอนแบบโรงเรียน

การเรียนดนตรีของเด็กในยุคที่ผมเป็นนักเรียนมัธยม รวมทั้งก่อนหน้านั้นด้วย แหล่งที่สอนดนตรีจะมี ๓ แบบ คือ แบบแรก เรียนตามหน่วยงาน อย่างเช่น ไปเรียนที่วงดุริยางค์ราชนาวี หรือเรียนกับวงดนตรีที่จัดตั้งอยู่ภายในโรงเรียน

แบบที่สอง ซึ่งเป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือการเรียนแบบส่วนตัว นั่นคือ ไปเรียนที่บ้านครูสอนดนตรี หรือครูดนตรีมาสอนให้ที่บ้านนักเรียน แบบที่สองนี้ส่วนใหญ่มักเป็นการสอนเปียโนมากกว่าเครื่องดนตรีอย่างอื่น

แบบที่สาม คือเรียนที่โรงเรียนดนตรี ในสมัยนั้นกิจการโรงเรียนดนตรียังไม่นิยมทำกันแบบในสมัยนี้ ดังนั้นโรงเรียนดนตรีจึงมีน้อยมาก ที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือโรงเรียนดนตรีสยามกลการนี่เอง มีการสอนเครื่องดนตรีหลายชนิด ต่อมาจนถึงยุคที่การเรียนดนตรีได้รับความนิยมมากขึ้น โรงเรียนดนตรีแห่งนี้มีการขยายสาขาออกไปอีกด้วย ปัจจุบันโรงเรียนดนตรีสยามกลการดั้งเดิมที่ปทุมวันไม่มีแล้ว แต่เปลี่ยนสภาพเป็นโรงเรียนดนตรีสยามกลการในห้างสรรพสินค้าต่างๆแทน



<คราวนี้ผมอยู่ในสภาพเปลือยทั้งตัว อวดส่วนสัดของเด็กวัยรุ่นให้ใหญ่เห็นเต็มตา ทั้งเนื้อทั้งตัวผมก็เหลือแต่รองเท้ากับถุงเท้าเท่านั้น>