Tuesday, April 8, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 6

เอ๊ดถอนหายใจดังๆ แล้วพูดขึ้นมา “เฮ้อ สงสัยลำบากแน่งานนี้”

“ใครลำบากเหรอ” ผมถาม

“ไม่รู้สิ” เอ๊ดตอบ “อาจจะทั้งสองคนเลยก็ได้”

หลังจากนั้น พ่อกับแม่ก็กำชับผมอย่างหนัก เกี่ยวกับมารยาทและการวางตัวเมื่อต้องเข้าพบผู้ใหญ่ ซึ่งก็คือคุณลุงกับคุณป้า พ่อกำชับแล้วกำชับอีกจนผมรำคาญ ความตื่นเต้นยินดีที่จะได้พบกับไอ้นัยลดหายไปไม่น้อย

เราออกเดินทางตั้งแต่เช้ามืด กว่าจะถึงถนนลาดพร้าวก็ปาเข้าไป ๙ นาฬิกาแล้ว สถานที่แรกที่เราจะไปในวันนี้ก็คือบ้านของคุณลุง หลังจากนั้นเราก็จะพักอยู่ในกรุงเทพฯหนึ่งคืน จากนั้นวันรุ่งขึ้นก็จะเป็นการมอบตัวและลงทะเบียนเรียนของผม

ขณะอยู่บนถนนลาดพร้าว โรงเรียนที่ผมเพิ่งจากมาก็ปรากฏขึ้นมาในสายตา ภาพของโรงเรียนเก่าทำให้ผมอดนึกถึงวันเวลาที่ผ่านมาไม่ได้ เพื่อนเก่าๆ สถานที่เก่าๆ ที่คุ้นเคย รวมทั้งไอ้ชัช ป่านนี้ไอ้ชัชจะเป็นอย่างไรบ้าง ต่อจากนี้ไปผมต้องเผชิญกับชีวิตในสังคมใหม่ ยังดีที่มีไอ้นัยอยู่ด้วย ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นใจได้บ้าง

ผมนั่งเงียบ ปล่อยความคิดให้ล่องลอยไป คิดถึงไอ้นัย บ้านของมันก็อยู่บนถนนลาดพร้าวเหมือนกัน แต่ว่าเข้าไปอีกไกลมาก นี่ถ้าขับรถเลยไปอีกก็ได้ไปเยี่ยมไอ้นัยแล้ว แต่ไม่เป็นไร ยังไงพรุ่งนี้ก็ได้เจอกัน

คิดอะไรเพลินๆ มารู้สึกตัวอีกทีก็มาถึงบ้านคุณลุงกับคุณป้าแล้ว บ้านที่ผมจะมาพักอยู่ด้วยนี้ก็อยู่บนถนนลาดพร้าว ในซอยภาวนา เข้าซอยไปลึกเหมือนกัน เนื่องจากซอยนี้เป็นซอยที่ลึกมาก อีกทั้งยังทะลุออกซอยอื่นได้ด้วย ดังนั้นจึงมีรถสองแถวไว้คอยบริการ แต่บ้านหลังนี้อยู่ในระยะที่เดินจากปากซอยถึง

“อย่าลืมนะ” พ่อหันมากำชับอีกครั้งก่อนลงจากรถ อันเป็นความหมายว่าอย่าลืมว่าต้องทำตัวให้เรียบร้อย

“รู้แล้วคร้าบ” ผมพูด แต่ในใจชักรู้สึกอยากลองของบ้างเหมือนกัน มันจะอะไรกันนักหนา

“พอแล้วล่ะป๋า กำชับมันมากๆ เอ๊ดกลัวไอ้อูมันจะออกฤทธิ์” เอ๊ดพูดขัดพ่อเอาไว้ ก่อนที่พ่อจะพูดอะไรต่อ เอ๊ดนี่เข้าใจผมดีจริงๆ เห็นสีหน้าผมก็รู้แล้วว่าผมคิดอะไร

บ้านที่เอ๊ดพักตอนเรียนหนังสือหลังนี้เป็นบ้านไม้สองชั้น ค่อนข้างเก่า แต่สภาพยังดีอยู่ เนื้อที่ของบ้านมีขนาดใหญ่พอควร บริเวณบ้านทำเป็นสวนไม้ดอก ดูสวยงามดี แถมมีเรือนกล้วยไม้เล็กๆอีกด้วย เพียงแค่ยืนอยู่หน้าบ้าน ผมก็พอรู้สึกได้แล้วว่าเจ้าของบ้านคงเป็นผู้ดีเก่าเจ้าระเบียบ

แม่กดกริ่งที่อยู่ที่รั้วหน้าบ้าน เพียงครู่เดียว หญิงสูงวัยคนหนึ่งก็เดินออกมาต้อนรับ จะว่าไปก็ยังไม่ถึงกับเรียกว่าแก่ เพราะอายุน่าจะประมาณ ๕๐ เศษๆ

หญิงคนนี้ดูอายุมากกว่าแม่ของผมนิดหน่อย หน้าตาค่อนข้างเคร่งขรึม ผิดกับแม่ของผมที่หน้าตายิ้มแย้ม พอเอ๊ดเห็นเข้าก็รีบยกมือไหว้

ไม่ต้องบอกก็รู้ หญิงสูงวัยคนนี้ก็คือคุณป้านั่นเอง ผมเลยยกมือไหว้ตามบ้าง ส่วนพ่อกับแม่ก็ส่งเสียงทักทายกับคุณป้า

“เออๆ ไหว้พระเถอะลูก” คุณป้าพูดกับเอ๊ดและผม

“นี่ลูกชายคนเล็กเหรอนี่ อือม์ หน้าตาเกลี้ยงเกลาดีนะ คล้ายพี่เขาอยู่เหมือนกัน” คุณป้าพูดขึ้นมา

“ค่ะ” แม่รับคำ

หลังจากนั้น เราทั้งหมดก็เข้าไปในบ้าน

เมื่อเดินเข้าไปในตัวบ้าน เห็นภายในบ้านสะอาดสะอ้าน ข้าวของทุกชิ้นจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ไม่เห็นอะไรที่วางเกะกะรกรุงรังเลยแม้แต่ชิ้นเดียว ภายในเห็นชายอายุประมาณ ๕๐ ปีคนหนึ่งรอต้อนรับอยู่แล้ว

เอ๊ดกับผมรีบยกมือไหว้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าชายผู้นี้ต้องเป็นคุณลุงแน่นอน

หลังจากนั้นพวกผู้ใหญ่ก็นั่งคุยกัน ผมก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง เพราะบางเรื่องก็เป็นเรื่องที่พ่อกับคุณลุงคุยกันถึงสมัยอดีต แต่ท่อนหลังๆนั้นเกี่ยวกับผม เป็นการแนะนำตัวผมและขอฝากฝังให้ช่วยดูแล

“อยากให้มันเรียนที่เก่า แต่ก็ขัดมันไม่ได้ มันดูหนังสือเอง สมัครสอบเอง ทำอะไรเองทุกอย่างหมด จนสอบได้ เลยต้องยอมมัน” พ่อบอก ไม่รู้ว่าต้องการจะอวด หรือจะว่าผมกันแน่ แต่ที่แน่ๆก็คือ พ่อไม่ควรพูดประโยคนี้ออกมาเลย เพราะทันทีที่พูดจบ คุณลุงก็สวนขึ้นมาทันที

“อ้าว เป็นเด็กก็ต้องเชื่อฟังพ่อแม่สิ พ่อแม่อยากให้เรียนอยู่ที่เดิมก็แสดงว่าผู้ใหญ่เค้าคิดดีแล้ว เป็นเด็กต้องเชื่อฟังพ่อแม่รู้ไหม” ท้ายประโยคคุณลุงก็หันหน้ามาทางผม

ซวยแล้วสิ พ่อนะพ่อ พ่อบอกให้ผมทำตัวดีๆ แต่พ่อเองหาเรื่องมาให้ผมจนได้ อยู่ดีไม่ว่าดีก็มาพูดดิสเครดิตกัน ไม่น่าเผากันเลย มาบ้านนี้ยังไม่ทันจะทำคะแนน ก็ต้องเสียคะแนนเสียแล้ว

พ่อเองคงจะได้คิดเหมือนกันว่าพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด

“ก็ไม่เป็นไรหรอก โลกมันอาจจะเปลี่ยนไปจนเราตามไม่ทัน เราเองก็อยู่ต่างจังหวัด อูเค้าต้องอยู่โรงเรียนประจำ ก็เลยพยายามสอนให้เค้าช่วยตัวเองเยอะๆ ที่จริงโรงเรียนใหม่นี่ก็มีชื่อเสียงดีมาก ครูเค้าก็สนับสนุนน่ะ เราเลยเปลี่ยนใจ” พ่อรีบแก้ตัวเป็นพัลวัน แต่เท่าที่ผมจำได้ พ่อไม่เคยปรึกษากับครูเรื่องของผมเลย ก็เลยไม่รู้ว่าที่บอกว่าครูสนับสนุนนั้นไปคุยกันตอนไหน สงสัยพยายามเอาตัวรอดมากกว่า

ว่าแล้วพ่อก็พยายามเฉไฉไปคุยเรื่องอื่น แม่ของผมก็เข้าใจสถานการณ์ รีบชวนกันเฉไปคุยเรืองอื่นอย่างแนบเนียนเช่นกัน

สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ที่พ่อกับแม่ไม่อยากให้ผมมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ต้น รวมทั้งที่กำชับกำชาผมนักหนาให้ทำตัวให้เรียบร้อย ถึงตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าอะไรเป็นอะไร

- - -

คืนนั้นเราสองคน คือเอ๊ดกับผม นอนค้างอยู่ที่บ้านคุณลุง ส่วนพ่อกับแม่นั้นไปพักโรงแรมเอา เพราะเกรงใจ ไม่อยากรบกวนคุณลุงกับคุณป้ามาก สาเหตุอีกประการก็คงน่าจะเป็นเพราะว่าพ่ออยากให้ผมลองอยู่ที่บ้านนี้เองโดยลำพัง จะได้รีบทำความคุ้นเคยกับสภาพชีวิตภายในบ้านนี้โดยเร็ว

เอ๊ดนั้นดูคุ้นเคย จะทำอะไรก็ดูเรียบร้อย เป็นระเบียบ ทำตัวเข้ากับบ้านนี้ได้อย่างกลมกลืน คงเป็นเพราะอยู่มาจนคุ้นเคยแล้วนั่นเอง ส่วนผมนั้นรู้สึกกระโดกกระเดกมาก จะหยิบจับอะไรก็เกร็งไปหมด เพราะกลัวโดนดุ อีกอย่าง กลัวทำอะไรผิดพลาดแล้วจะอยู่ไม่ได้ แล้วจะต้องกลับไปเรียนที่เก่าอีก

ผมนอนในห้องนอนของเอ๊ด และต่อไปก็ต้องนอนแบบนี้ เพราะว่าไม่มีห้องอื่นให้นอนอีกแล้ว ห้องนอนของเอ๊ดเป็นห้องขนาดใหญ่พอควร มีตู้ โต๊ะ เตียง ครบครัน แต่มีอยู่เพียงชุดเดียว และไม่มีเครื่องปรับอากาศ การใช้เครื่องปรับอากาศในยุคนั้นยังไม่แพร่หลายเท่ากับในสมัยนี้ ธุระอย่างหนึ่งที่พ่อจะต้องทำในการเข้ากรุงเทพฯครั้งนี้ก็คือการซื้อเฟอร์นิเจอร์สำหรับผม

สำหรับคืนนี้ ผมนอนเตียงเดียวกับเอ๊ด คืนหนึ่งที่นี่เหมือนกับตกนรก ตอนอยู่ที่หอ แม้จะมีระเบียบวินัยของหออยู่ แต่ผมก็รู้สึกว่าอิสระกว่าที่นี่มาก ตอนกินอาหารเย็นผมก็โดนดุว่ากินไม่เรียบร้อย กินเสร็จก็ต้องไปช่วยกันล้างจานกับเอ๊ด เพราะว่าที่นี่ไม่มีแม่บ้าน ต้องทำงานบ้านกันเอง ล้างจานอยู่ ทำจานกระทบกันเสียงดัง ก็ไม่วายโดนดุอีก ผมเริ่มรู้สึกอึดอัดแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ต้องพยายามอดทน พยายามนึกถึงสิ่งดีๆเพื่อปลอบใจตนเอง นึกถึงโรงเรียนใหม่ เพื่อนใหม่ ... และไอ้นัย

- - -

เช้าวันรุ่งขึ้น ผมกับเอ๊ดต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปจัดการเรื่องมอบตัวและลงทะเบียนเรียน ที่จริงเอ๊ดก็ไม่ได้มีธุระอะไร เพียงแต่ไปเป็นเพื่อนเผมท่านั้นเอง

“โอย แย่ เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับเลย” เอ๊ดบ่นขึ้นในตอนเช้า

“เป็นไรเหรอ” ผมถาม

“ก็อูน่ะสิ นอนกอดเอ๊ดทั้งคืน รำคาญจะตาย นอนไม่ค่อยหลับเลย” เอ๊ดบ่นอุบอิบ

ตายล่ะ ผมเผลอไปกอดเอ๊ดตั้งแต่เมื่อไรกันเนี่ย สงสัยไปติดนิสัยมาจากตอนนอนกอดไอ้นัย

“เอ้อ คงเป็นเพราะกอดหมอนข้างจนติดน่ะ ตอน ป.๖ มีหมอนข้างกอดตอนนอน” ผมพยายามแก้ตัว ที่จริงตอนอยู่หอ ป.๖ ไม่มีหมอนข้างหรอกครับ แต่ถึงอย่างไรเอ๊ดก็ไม่รู้หรอก


<ทิวทัศน์ของบึงน้ำ สถานที่ที่ผมเก็บไว้ในความทรงจำตลอดมา>