Tuesday, July 31, 2012

ภาคสี่ ตอนที่ 61



ค่ำวันนั้น

หลังจากที่ผมจดประกาศขายบ้านตามเสาไฟฟ้ามาแล้วผมรู้สึกกระตือรือร้นกับเรื่องนี้มาก จะว่าไปแล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะกระตือรือร้นไปทำไมเพราะว่าที่บ้านของเราไม่เคยคิดซื้อบ้านในกรุงเทพฯอย่างจริงจังมาก่อน มีเพียงแค่คุยกันลอยๆเท่านั้น แต่ถึงกระนั้นก็ตาม การมีบ้านสักหลัง... แม้จะเป็นเพียงหลังเล็กๆก็ตาม... เป็นความปรารถนาที่อยู่ในส่วนลึกในใจของผมมานานแล้ว

ผมคิดว่าประกาศขายบ้านตามเสาไฟฟ้าเพียงไม่กี่รายการยังไม่มากพอ ผมอยากรู้ว่าแถวนี้ยังมีใครประกาศขายบ้านอีกบ้าง ดังนั้นจึงไปซื้อนิตยสารวัฏจักรบ้านและที่ดินมาหนึ่งฉบับ ในยุคนั้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กำลังเฟื่องฟู นิตยสารรายสัปดาห์และหนังสือพิมพ์ที่เกี่ยวกับบ้านและที่ดินมีอยู่หลายฉบับ ที่คุ้นตาผมมากที่สุดคือนิตยสารวัฏจักรบ้านและที่ดิน เมื่อก่อนชื่อนิตยสารนี้เขียนว่าวัฏจักร แต่ต่อมามีคณะผู้จัดทำดูเหมือนว่าจะมีการแยกวงกัน ต่างคนต่างก็ไปกันคนละทางกัน ดังนั้นต่อมาจึงมีนิตยสารชื่อและตัวสะกดคล้ายๆกันตามออกมา

นิตยสารวัฏจักรบ้านและที่ดินในยุคนั้นดูเหมือนจะราคาฉบับละ ๔๐ บาท แต่ว่าหนามาก ภายในเล่มอัดแน่นไปด้วยโฆษณาบ้านและที่ดิน ทั้งโฆษณาแบบเสียเงินและโฆษณาย่อยที่ลงฟรีหรือที่เรียกว่าคลาสสิฟายด์ เมื่อผมซื้อนิตยสารมาก็ใช้เวลาตั้งแต่หัวค่ำจนถึงดึกเพื่ออ่านโฆษณาย่อยประกาศขายบ้านมือสองในย่านถนนลาดพร้าว โฆษณาชิ้นไหนที่อยู่ในละแวกตั้งแต่ปากทางลาดพร้าวไปจนถึงซอยโชคชัยสี่ผมจะลอกใส่กระดาษต่างหากเอาไว้ทั้งหมดเพื่อเก็บไว้โทรศัพท์ถามรายละเอียดในภายหลัง ยิ่งทำก็ยิ่งกระตือรือร้นจนเวลาผ่านพ้นเที่ยงคืนไปอย่างไม่รู้ตัว

“โฮ้ย เมื่อย...” ผมร้องออกมาเบาๆ พลางวางปากกาที่อยู่ในมือลงบนโต๊ะหลังจากที่เสร็จจากการลอกประกาศชิ้นสุดท้ายลงบนกระดาษ ผมบิดขี้เกียจเพื่อให้คลายเมื่อยขบ

“จะตีหนึ่งแล้วเหรอวะเนี่ย...” ผมพึมพำอย่างไม่เชื่อเมื่อเหลือบไปดูนาฬิกา ยามที่เราใส่ใจกับอะไรอย่างจริงจังดูเหมือนว่าเวลาจะผ่านไปเร็วเหลือเกิน

ผมปิดโคมไฟ จากนั้นลุกจากโต๊ะทำงานไปที่เตียงนอนเพื่อเข้านอน แต่เมื่อเข้านอนแล้วกลับนอนไม่หลับ ในหัวคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปต่างๆนานา

เมื่อตอนหัวค่ำผมจดจ่ออยู่กับประกาศขายบ้าน แต่เมื่อผมทำเรื่องนี้จนเสร็จแล้วผมก็หยุดคิดถึงมันชั่วคราว ผมปล่อยความคิดของผมให้โลดแล่นไปที่เหตุการณ์เมื่อตอนเช้า... ภาพของป้อมในชุดกางเกงว่ายน้ำทรงบิกินีตัวจิ๋วลอยเข้ามาในห้วงความคิดของผม ใบหน้าที่คมคายแจ่มใส ผิวเนื้อที่เรียบเนียน กล้ามเนื้อที่แข็งแรง และเป้ากางเกงบิกีนีที่โป่งพอง... ความคิดของผมฟุ้งซ่าน จินตนาการของผมทำงานราวกับโปรแกรมโฟโต้ช็อปที่สามารถลบกางเกงบิกินีออกจากกร่างของป้อมได้ราวเนรมิต...

ในจินตนาการอันฟุ้งซ่าน ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวของผมร้อนผ่าว ผมรู้สึกอึดอัด ผมพลิกตัวนอนคว่ำ ใบหน้าฝังอยู่ในหมอน จากนั้นขยับตัวขึ้นลงอยู่บนเตียง...

ผมพยายามขยับตัวไม่ให้รุนแรงนักเพื่อไม่ให้เสียงเตียงลั่นดังเด๊ยดอ๊าด แต่ในอารมณ์อันกระเจิดกระเจิงทำให้ผมยากจะควบคุมตนเอง... ผมรู้สึกว่าเตียงลั่นดังขึ้นและดังขึ้น...

ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้ารัวราวกับคนกำลังวิ่งดังอยู่นอกห้อง ฝีเท้านั้นไม่ได้วิ่งโครมคราม ตรงกันข้าม คล้ายกับพยายามเก็บเสียงให้เงียบเข้าไว้

“พี่อู พี่อู เปิดประตูเร็ว” ได้ยินเสียงเรียกผมอยู่ที่หน้าห้องพร้อมกับเสียงเคาะประตูถี่ๆ มันเป็นเสียงของน้องปั้น น้ำเสียงแผ่วเบาแต่เหมือนกับเร่งร้อนราวกับมีเรื่องด่วนอะไรสักอย่าง

ผมรีบลุกขึ้นจากเตียง ลังเลใจเล็กน้อยว่าจะทำอย่างไรดี ผมไม่ได้ใส่กางเกงใน จะใส่ตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว จะเปิดประตูไปตอนนี้ก็อายปั้นมัน ผมจึงคิดจะแกล้งทำเป็นหลับ...

“พี่อู โอ๊ย ขี้เซาจริง รีบเปิดประตู เร็วเข้า...” เสียงอันเร่งร้อนของน้องปั้นดังขึ้นมาอีก พร้อมกับเสียงเคาะประตูเบาๆแต่ถี่รัวกว่าเดิม

ผมสงสัยว่าอาจมีเรื่องเร่งด่วนอะไรเกิดขึ้น ในที่สุดจึงลุกขึ้นจากเตียงและเดินไปเปิดประตูทั้งในสภาพนั้น ผมไม่ได้เปิดไฟในห้องเพื่อพรางสายตา เผื่อว่ามันจะไม่สังเกตเป้ากางเกงของผม

เมื่อผมคลายล็อกลูกบิดประตู ยังไม่ทันที่ผมจะอ้าบานประตูออก ประตูก็ถูกผลักเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมกับคนสามคนกรูกันเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว ทีแรกผมนึกว่ามีแต่ปั้นเพียงคนเดียว ผมถูกผลักจนกระเด็นออกไป

“เฮ้ย อู ไม่ต้องเปิดไฟ” ได้ยินเสียงพี่ธิตพูดพร้อมกับปิดประตูห้อง พี่ธิตก็มาด้วย ผมพยายามมองดูว่าอีกคนหนึ่งเป็นใคร... แป๊ะชั้นดาดฟ้าห้องข้างพี่ธิตนั่นเอง

เมื่อทั้งสามคนอยู่ในห้อง ปั้นรีบเดินไปเปิดผ้าม่านในห้องทันที

“ขอใช้ห้องหน่อยพี่อู มีของดีให้ดูแต่ข้างบนเห็นไม่ถนัด” ปั้นพูดเสียงเบาโดยไม่หันหน้ามามองผม แต่มองออกไปนอกหน้าต่าง พี่ธิตและแป๊ะก็รีบกรูไปที่หน้าต่างห้องเช่นกัน จนผมอดไม่ได้ต้องเข้าไปดู้บางว่ามีอะไร

“โห ตรงนี้แม่งโคตรชัดเลย” ปั้นอุทานอีก

“เฮ้ย เบาๆไอ้ปั้น” พี่ธิตตบหัวปั้นเบาๆแล้วพูดเสียงกระซิบ “เดี๋ยวห้องข้างตื่นกันหมด”

ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณตีหนึ่งแล้ว ห้องรอบข้างผมปิดไฟมืดหมด เสียงเงียบกริบ คงเข้านอนกันหมดแล้ว ผมมองออกไปนอกหน้าต่างบ้าง ภาพที่ผมเห็นก็คือ ท่ามกลางความมืดในยามดึกสงัด ถนนซอยมีเพียงแสงไฟจากเสาไฟฟ้าเป็นบางจุด ตึกด้านตรงข้ามกับตึกที่ผมพักอยู่ส่วนใหญ่ปิดไฟกันเกือบทุกห้อง ยกเว้นอยู่ห้องหนึ่ง...

ห้องที่ตึกตรงข้ามนั้นเป็นห้องที่อยู่ตรงข้ามกับห้องของผมพอดี แต่ว่าอยู่คนละชั้นกัน ห้องนั้นชั้นสาม ส่วนห้องของผมนั้นอยู่ชั้นสี่ เห็นภายในห้องเปิดไฟสว่าง และเนื่องจากห้องนั้นไม่ได้ติดผ้าม่านหน้าต่างจึงสามารถมองเห็นสภาพภายในห้องได้อย่างชัดเจน ห้องนี้หากส่องดูจากชั้นดาดฟ้าลงมาจะมองเห็นได้ไม่ถนัดเพราะความสูงอยู่ต่างระดับกันมาก หากดูจากชั้นสามก็เห็นได้ไม่มากเพราะมีระเบียงบังเอาไว้ ต้องดูจากทำเลห้องของผมจะเป็นมุมที่ดีที่สุด

ปกติผมเห็นสภาพภายในห้องนั้นเป็นประจำ เจ้าของห้องเป็นชายหนุ่มผิวคล้ำ ภายในห้องตั้งเตียงอยู่ตรงกลาง คือหากมองผ่านหน้าต่างเข้าไปจะเห็นเตียงนอนอยู่กลางโดยหัวเตียงตั้งอยู่ชิดผนังด้านใน ส่วนปลายเตียงชี้มาทางห้องของผม ด้านซ้ายมือของห้องเป็นโต๊ะทำงาน ตอนหัวค่ำผมมักเห็นชายหนุ่มเจ้าของห้องนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะโดยไม่ใส่เสื้ออยู่เป็นประจำ เนื่องจากเจ้าของห้องหน้าตางั้นๆและไม่เคยทำอะไรประเจิดประเจ้อภายในห้อง ดังนั้นผมจึงไม่ได้สนใจอะไรมากนัก

แต่ในคืนนั้น ภาพที่ผมมองเห็น ในห้องกลับมีคนสองคนกำลังนอนอยู่บนเตียงนอน คนหนึ่งเป็นผู้หญิง สาวผิวสีน้ำตาล ส่วนอีกคนเป็นชายหนุ่มผิวขาว ทั้งคู่อยู่ในชุดนอน หญิงสาวกำลังนอนหนุนแขนชายหนุ่มอยู่บนเตียง ส่วนชายหนุ่มนั้นแขนข้างหนึ่งให้หญิงสาวหนุน ส่วนอีกข้างหนึ่งกำลังเคล้าคลึงหน้าอกของหญิงสาวอยู่

“กำลังเล้าโลมกันอยู่ เดี๋ยวคงเอากันแน่เลย” ปั้นพูดเบาๆ

“ไอ้นี่พูดจา” พี่ธิตดุปั้นด้วยเสียงกระซิบ “เอ็งนี่ชักแก่แดดขึ้นทุกวันแล้วนะ”

“ผมอยู่ม.ปลาย ไม่เด็กแล้ว” ปั้นหัวเราะฮิฮะเป็นเสียงกระซิบบ้าง “คนแก่ก็อยู่ส่วนคนแก่ไปสิ”

“เจ้าของห้องไม่ใช่คนนี้นี่” ผมกระซิบแทรกขึ้นก่อนที่สองคนนี้จะเถียงกันต่อ ทั้งรูปร่างและสีผิวของชายหนุ่มคนนี้ต่างจากคนเดิมที่ผมเคยเห็น

“เพิ่งย้ายมาเมื่อวาน” แป๊ะพูดขึ้นบ้าง

“อ้าว คนเดิมย้ายไปแล้วเหรอ” ผมพูดเปรยๆ

“คนใหม่มา คนเก่าก็ต้องย้ายไปแล้วสิ พี่อูนี่ถามอะไรก็ไม่รู้” ปั้นกัดผม

“เฮ้ยๆ เลิกพูดได้แล้วไอ้ปั้น ชักเสียงดัง เดี๋ยวก็ไม่ได้ดูหนังสดหรอกเอ็ง” แป๊ะดุปั้นบ้างโดยใช้เสียงกระซิบ

ทั้งหมดเงียบกริบลงเมื่อเห็นความเคลื่อนไหวของคนในห้องฝั่งตรงข้าม ชายหนุ่มเริ่มกอดรัดฟัดเหวี่ยงหญิงสาว ทั้งคู่พัวพันกันเป็นพัลวัน จากนั้นชายหนุ่มพยายามถอดเสื้อนอนของหญิงสาวออก... พี่ธิตรีบปิดตาปั้นพลางผลักปั้นออกไปจากหน้าต่าง

“เฮ้ย หนังเอ็กซ์โว้ย เด็กห้ามดู” พี่ธิตพูด “เดี๋ยวเสียคนหมด”

“ฝันไปเถอะพี่ จะมาห้ามอะไรกันตอนนี้” ปั้นรีบแทรกตัวเข้ามาที่ริมหน้าต่างอีก “พี่แก่แล้วไม่อยากดูก็ไปนอนดิ ผมอยากดูน่ะ”

“เราเปิดม่านดูแบบนี้แน่ใจนะว่าเค้าจะไม่เห็นเรา” แป๊ะถามขึ้นเบาๆ “เกิดโวยขึ้นมาละแย่เลย”

“ห้องเค้าสว่าง ห้องเรามืด เค้ามองออกมา ยังไงก็มองไม่เห็น” พี่ธิตตอบ

“ตกลงนี่ห้องใครกันแน่เนี่ย” ผมกระซิบเปรยขึ้นมา

“อ้อ ห้องอูน่ะ แต่ว่าขอยืมใช้หน่อยไง” พี่ธิตพูดเสียงหัวเราะ “เอา เงียบๆ เลิกคุยกันได้แล้ว”

ภาพที่ผมเห็นอยู่เบื้องหน้าทำให้ผมรู้สึกว่าน้ำลายในลำคอเหนียว... ชายหนุ่มถอดชุดนอนของหญิงสาวออก จากนั้นก็ถอดชุดนอนของตนเองออก เพียงพริบตาทั้งสองก็อยู่ในสภาพเปลือยเปล่า ชายหนุ่มโยนชุดนอนไปไว้ข้างเตียง จากนั้นกอดรัดหญิงสาว ในหน้าฝังลงใบในร่องอกของหญิงสาว...

ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมได้ดูหนังสด ผมได้เห็นสรีระของชายหนุ่มหญิงสาวด้วยสายตาของตนเอง... เห็นเนื้อหนังจริงๆ เห็นลีลาจริงๆ... ทั้งคู่มีรูปร่างที่ใช้ได้เสียด้วย มันเป็นความรู้สึกที่แตกต่างจากการดูหนังสือปกขาวมาก

กอดรัดกันอยู่ชั่วขณะ ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นนั่ง ขณะเดียวกันหญิงสาวก็จัดท่าทางเสียใหม่โดยชันเข่าขึ้น จากนั้นชายหนุ่มก็ขึ้นคร่อมบนลำตัวหญิงสาว แม้จะอยู่ในระยะไกลแต่ผมก็เห็นสรีระของทั้งสองได้ค่อนข้างชัดทีเดียวเพราะไฟในห้องสว่างจ้า

เหตุการณ์ดำเนินต่อไป ลีลาของชายหนุ่มเริ่มจากเชื่องช้า จากนั้นเปลี่ยนเป็นเร่าร้อนรุนแรง ทุกท่วงท่าและลีลาล้วนแต่อยู่ในสายตาของผมอย่างชัดเจน เราทั้งสี่คนเกาะขอบหน้าต่างดูอย่างเงียบกริบในความมืด ผมเว้นระยะให้ห่างจากอีกสามคนเล็กน้อยเพราะไม่ได้ใส่กางเกงใน แต่ก็ไม่มีใครสนใจใครเพราะมัวแต่ดูภาพยนตร์สดที่อยู่ข้างหน้า ส่วนอารมณ์ของผมนั้นกระเจิดกระเจิงไปถึงไหนต่อไหนแล้ว

ชายหนุ่มมีน้ำอดน้ำทน อีกทั้งน่าจะมีความช่ำชองพอสมควร เพราะมีการเปลี่ยนท่าต่างๆหลายท่า สุดท้ายกลับมาอยู่ในท่าพื้นฐานคือท่ามิชชันนารี ชายหนุ่มใช้แรงอย่างไม่ยอมออมรั้ง แม้ภาพที่เคลื่อนไหวตรงหน้าจะอยู่ในระยะห่างกว่าสิบเมตร แต่อุปาทานของผมราวกับได้ยินเสียงในฟิล์มลอดออกมา บั้นท้ายของชายหนุ่มขยับขึ้นลงอย่างร้อนแรง จากนั้นก็ค่อยๆชะลอช้าลง... และช้าลง... จนในที่สุดชายหนุ่มฟุบนิ่งอยู่บนร่างของหญิงสาว แต่ก็เพียงครู่เดียว จากนั้นทั้งคู่ก็รีบถอนตัวออกจากกัน จากนั้นก็รีบลุกขึ้นจากเตียงเดินไปที่ห้องน้ำในสภาพเปลือยกาย...

หนังฉากนี้ใช้เวลานานพอสมควรทีเดียว หลังจากนั้นก็เห็นทั้งสองเดินออกจากห้องน้ำในลักษณะคาดผ้าเช็ดตัวออกมา จากนั้นก็แต่งตัว...

“โห แม่ง... ยิ่งกว่าดูหนังเอ็กซ์อีก” ปั้นถึงกับเพ้อ

“เคยดูหนังเอ็กซ์เหรอวะ” แป๊ะถามเสียงกระซิบ

“ไม่เคยหรอกพี่” ปั้นตอบ

“แล้วเสือกคุย โธ่เอ๊ย” แป๊ะหัวเราะ “เฮ้ย ดูไอ้อูสิ”

ทุกคนหันมาดูผม สายตาเหลือบต่ำลงมามองที่เป้ากางเกง

“ไม่ต้องดูมาก ไม่ได้ใส่กางเกงใน มีอะไรมั้ย” ผมทำหน้าด้าน พลางออกปากไล่แขกด้วยเสียงแผ่วเบา “หนังจบแล้ว ไปนอนกันได้แล้ว”

“แน่ะ มีไล่ด้วย” ปั้นทำเสียงฮิฮะ “รับประกันได้ว่าพี่อูยังไม่นอนแน่ๆ”

ทั้งสามคนค่อยๆเดินออกจากห้องจากเงียบๆ ผมรอให้ทั้งสามคนไปสักพัก เมื่อข้างนอกกลับสู่สภาพเงียบสงัดจึงเดินออกจากห้องไปบ้าง ผมเดินด้วยฝีเท้าอันเงียบกริบ...

“ใครอยู่ในห้องน้ำน่ะ พี่อูใช่มั้ย” ผมได้ยินเสียงปนหัวเราะของปั้นหลังจากที่ผมเข้าห้องน้ำได้ไม่นาน “กะแล้วเชียว...”

“ไอ้ห่า” ผมตอบ

- - -

เช้าวันอาทิตย์

ผมตื่นนอนแต่เช้า หลังจากซักผ้าและทำความสะอาดห้องเรียบร้อยแล้ว ตอนสายๆผมจึงหยิบเหรียญบาทมาประมาณสองกำมือใส่ในกระเป๋ากางเกง จากนั้นเดินลงไปที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะใกล้หอพักพร้อมกับโพยที่จดเอาไว้เมื่อคืน

ผมโทรศัพท์สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับบ้านที่ประกาศขาย เท่าที่ผมเลือกมามีทั้งหมดยี่สิบกว่าราย วันนั้นโทรศัพท์สาธารณะมีคนใช้กันมากอันเป็นเรื่องปกติเนื่องจากในซอยนั้นมีหอพักและห้องพักให้เช่าอยู่หลายตึก

การโทรศัพท์สอบถามรายละเอียดด้วยโทรศัพท์สาธารณะค่อนข้างลำบากเนื่องจากมีผู้มารอคอยคิวใช้โทรศัพท์อย่างต่อเนื่อง ผมโทรได้สักสองสามรายก็ต้องออกไปต่อคิวใหม่เนื่องจากหากเกรงใจผู้ที่มารอ กว่าจะโทรศัพท์สอบถามได้ก็กินเวลาไปราวสองชั่วโมง วันนั้นโทรถามได้สิบกว่าราย บางรายยังติดต่อไม่ได้เนื่องจากเป็นบริษัทนายหน้าอสังหาฯหรือที่เรียกว่าโบรกเกอร์ซึ่งไม่ทำงานในวันหยุด บางรายผู้ที่ลงประกาศขายก็ไม่อยู่ จึงถามข้อมูลไม่ได้ รวมแล้วที่ถามจนได้รายละเอียดมีไม่ถึงสิบราย

แม้จะสอบถามได้ไม่ถึงสิบรายแต่ข้อมูลที่ได้ก็น่าสนใจทีเดียว บ่ายวันนั้นผมจึงใช้เวลาตระเวนดูบ้านตามที่ได้สอบถามมา บ้านเกือบสิบรายนั้นมีทั้งทาวน์เฮ้าส์และบ้านเดี่ยว เนื้อที่ตั้งแต่ยี่สิบกว่าตารางวาไปจนถึงเจ็ดสิบกว่าตารางวา ราคาตั้งแต่ล้านบาทจนถึงสามล้านกว่าบาท ในทำเลตั้งแต่ปากทางลาดพร้าวไปจนถึงซอยโชคชัยสี่ มีบางหลังอยู่ในซอยภาวนาที่ผมเคยอยู่เสียด้วย

ผมไล่ดูตั้งแต่หลังที่อยู่ในซอยลาดพร้าว ๑ เป็นต้นมา จำได้ว่าหลังแรกที่ดูนั้นอยู่ในซอย ๑ ซึ่งต้องเดินเข้าไปลึกมาก เจ้าของบอกว่าเดินจากปากซอยเข้าไปประมาณสี่ร้อยเมตรก็ถึง แต่ผมใช้เวลาเดินประมาณสิบห้านาที คิดว่าน่าจะลึกจากปากซอยกิโลเมตรกว่าๆ ไม่ใช่สี่ร้อยเมตรอย่างที่บอก จะเข้าออกแต่ละทีหากไม่มีรถยนต์ส่วนตัวก็ต้องขึ้นรถสองแถวที่วิ่งรับส่งในซอย ตัวบ้านเป็นบ้านไม้สองชั้น บนเนื้อที่เจ็ดสิบกว่าตารางวา หลังนี้ราคาสองล้านกว่าบาท ตัวบ้านสภาพค่อนข้างเก่าและเล็ก แต่มีพื้นที่รอบบ้านค่อนข้างมาก พื้นที่รอบตัวบ้านปลูกไม้ผลไว้จนแน่น สภาพในบริเวณบ้านนั้นร่มครึ้ม น่าอยู่ทีเดียว เจ้าของบ้านย้ายออกไปอยู่ที่ใหม่แล้ว ตัวบ้านจึงคล้องกุญแจเอาไว้ ผมได้แต่เดินด้อมๆมองๆดูจากภายนอกแล้วก็จากมา

กว่าที่ผมจะตระเวนดูบ้านเสร็จก็ตกเย็น บ้านไม่ถึงสิบหลังแต่ว่าใช้เวลาราวห้าหกชั่วโมงเพราะหาบ้านไม่เจอบ้าง หลงในซอยบ้าง บ้านอยู่ลึกบ้าง บ้านหลังสุดท้ายอยู่ในซอยโชคชัยสี่ อยู่ลึกกว่าสองกิโลเมตร เลยโรงพยาบาลสยาม (ชื่อในสมัยนั้น ปัจจุบันคือโรงพยาบาลเปาโล) ไปอีก

บ้านทั้งหมดนี้ผมไม่ได้เข้าไปดู เพียงแต่สำรวจดูทำเลและดูสภาพจากภายนอกเท่านั้น กว่าจะเสร็จก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน แต่ผลที่ได้ก็คุ้มค่า เพราะว่ามีบ้านที่ผมรู้สึกถูกใจอยู่สองสามหลัง...