Thursday, February 28, 2013

ภาคสี่ ตอนที่ 69

ตอนสายของวันต่อมา ที่หน้าร้านเฟอร์นิเจอร์

ป้อมมาช่วยผมเลือกเฟอร์นิเจอร์ตามที่ได้นัดกันไว้ ตั้งแต่ปากซอยลาดพร้าว ๒๕ ไปจนถึงปากซอยลาดพร้าว ๓๓ ทั้งสองฝั่งถนน คือทั้งฝั่งซอยคู่และซอยคี่ มีร้านเฟอร์นิเจอร์นับสิบร้าน ผมเห็นร้านเหล่านี้ทุกวันเป็นเวลาหลายปีจนชินตา แต่มาวันนี้ ในวันที่ผมต้องเลือกซื้อเครื่องเรือนเอง ผมกลับรู้สึกว่าร้านเหล่านี้แปลกใหม่ราวกับไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ละร้านมีเครื่องเรือนให้เลือกมากมาย ทั้งแบบสำเร็จรูปและแบบสั่งทำ ทั้งแบบหรูและแบบราคาประหยัด บางร้านก็เลื่อยไม้ ทาสี และประกอบเครื่องเรือนกันอยู่หน้าร้านนั่นเอง  บรรยากาศคึกคักมาก

แม้ว่าในปัจจุบันร้านเฟอร์นิเจอร์เหล่านี้ส่วนใหญ่จะยังอยู่ แต่ว่าลักษณะของสินค้าเครื่องเรือนเปลี่ยนไป โดยในปัจจุบันร้านส่วนใหญ่จะขายสินค้าคล้ายๆกัน คือเป็นเครื่องเรือนสำเร็จรูปที่รับมาจากโรงงานผลิตอีกทีหนึ่ง ไม่มีร้านไหนผลิตเครื่องเรือนเองอีกแล้วเนื่องจากปัจจุบันช่างทำเครื่องเรือนหาได้ยากมาก ช่างรุ่นเก่าก็วางมือไปเพราะสูงวัย ส่วนคนรุ่นใหม่ก็ไม่มีใครอยากทำงานประเภทนี้ และแม้ว่ามีช่างรุ่นใหม่อยู่บ้างแต่ฝีมือช่างรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ประณีตสวยงามสู้ช่างรุ่นเก่าไม่ได้

“โห เยอะแยะไปหมด” ป้อมอุทานเมื่อผมพาเดินเข้าไปในร้านเฟอร์นิเจอร์ร้านหนึ่ง เป็นร้านขนาดหกคูหาติดกัน ข้าวของที่วางอยู่หน้าร้านว่าเยอะแล้ว พอเข้าไปข้างในยิ่งตะลึงเพราะเฟอร์นิเจอร์ในร้านเยอะมาก อัดและซ้อนกันจนแน่นไปหมด

“นั่นน่ะสิ” ผมเห็นด้วย “ขนาดพี่เห็นร้านพวกนี้ทุกวันยังไม่รู้เลยว่าข้างในร้านมีของเยอะขนาดนี้”

“รับอะไรดีคร้าบ” หนุ่มตี๋แก้มยุ้ย วัยประมาณ ๓๐ ปี เดินปราดเข้ามาทักทาย

“เอ้อ...” ผมอึ้งไป นึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะรับอะไรดี เพราะว่าเครื่องเรือนที่ต้องการมีหลายอย่าง แทบจะทั้งบ้าน เลยไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร “ยังไม่รู้เหมือนกันครับ”

“ซื้อเฟอร์นิเจอร์เข้าบ้านใหม่หรือเปล่าล่ะ” หนุ่มตี๋ยิ้มอย่างใจเย็น แล้วเปลี่ยนคำถามใหม่ หางเสียงครับหายไปแล้ว แต่กลายเป็นน้ำเสียงคุยกันอย่างกันเองแทน

“ก็ไม่เชิงครับ” ผมตอบ “บ้านมือสอง แต่ว่าแทบจะเป็นบ้านเปล่า ไม่มีเฟอร์นิเจอร์เลย ผมยังนึกไม่ออกว่าจะซื้ออะไรเข้าบ้านดี ก็เลยมาเดินดูแถวนี้”

“อ๋อ สบาย” หนุ่มตี๋ยิ้มจนแก้มตุ่ย “เดี๋ยวช่วยคิดให้ ใจเย็นๆ เฟอร์นิเจอร์หลักๆก็มีห้องรับแขก แล้วก็ห้องนอน ห้องกินข้าว ห้องครัว จะเอาแบบลอยตัวหรือบิลต์อินละ”

“ของผมเป็นทาวน์เฮาส์น่ะ ยังไม่รู้ว่าจะเอาแบบไหนถึงจะดี พี่แนะนำหน่อยสิ” ผมพลอยคุยอย่างกันเองบ้าง

คนขายสาธยายอย่างคล่องแคล่ว แถมยังใจเย็น ไม่มีสีหน้ารำคาญ ดูท่าทางเป็นนักขายโดยสายเลือดจริงๆ ค่อยๆถามผมทีละประเด็น และให้คำแนะนำ แถมยังสเก็ตช์ภาพให้ดู จนผมพอเห็นภาพว่าผมต้องซื้ออะไรบ้าง
“ตามที่น้องเล่ามา พี่ว่าอย่างนี้แหละ ลงตัวแล้ว ชั้นล่าง ห้องหน้า ซื้อชุดรับแขกกับตู้โชว์ เอาตู้มากั้นพื้นที่ระหว่างห้องด้านหน้ากับห้องกินข้าว แล้วห้องกินข้าวก็ซื้อโต๊ะอาหารแบบหกที่นั่ง ชุดครัวทำเป็นตู้ครัวบิลต์อินดีกว่า สวยกว่าซื้อตู้กับข้าวมาตั้งเยอะแยะ เก็บของได้เยอะกว่าด้วย” คนขายพูดจนน้ำลายเป็นฟองที่มุมปาก อย่างนี้มั้งที่เรียกว่าน้ำลายแตกฟอง หยุดหายใจนิดหน่อยแล้วพูดต่ออีก

“ชั้นบนก็ซื้อเตียง โต๊ะเล็กหัวเตียง เครื่องนอน โต๊ะ ส่วนตู้เสื้อผ้าจะเอาแบบบิลต์อินไหม หรือจะซื้อตู้เสื้อผ้าสวยๆ ใบใหญ่ๆ ตั้งแบบลอยตัวก็ได้”

“เอ้อ แล้วพวกงานบิลต์อินนี่ต้องไปทำที่ไหนล่ะครับ” ผมตาม

“โอ๊ย ก็ทำที่นี่แหละ พี่ช่วยออกแบบและทำให้น้องจนเสร็จ ไม่ต้องห่วง ช่างร้านนี้ฝีมือดีที่สุดในย่านนี้ ค่าแรงช่างเฟอร์นิเจอร์คนหนึ่งวันละเท่าไรรู้ไหม หัวหน้าช่างวันละพันห้าเลยนะน้อง อุ๊ย ขอโทษ” หนุ่มตี๋ ขอโทษขอโพยพร้อมกับเอามือมาเช็ดฝอยน้ำลายของตนเองที่กระเซ็นมาบนแขนของผม

หลังจากคุยกันสักพักผมก็พอได้แนวทางแล้วว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป จากนั้นก็ขอตัวเดินชมเฟอร์นิเจอร์ไปเรื่อยๆก่อน

“ได้ๆ เชิญชมตามสบาย สนใจชิ้นไหนเรียกถามได้เลย ชั้นบนก็มีอีกนะ ของเยอะแยะเลย ขึ้นไปดูได้” พี่แก้มตุ่ยพูดทิ้งท้ายจากนั้นก็เดินจากไป ปล่อยให้ผมเดินชมเฟอร์นิเจอร์กับป้อมอย่างสบายๆ ผมว่าพี่คนนี้ขายของเก่งมาก มีการทิ้งจังหวะให้ผมเดินชมเอง ทำให้ไม่รู้สึกว่าถูกยัดเยียดขาย

“นึกว่าจะขาดใจตายเสียแล้ว พูดจนไม่หายใจ” ป้อมเอียงหน้ามากระซิบกับผมหลังจากที่คนขายเดินจากไป “ป้อมหลบน้ำจิ้มของพี่แกเกือบไม่ทัน”

ผมหัวเราะกับสำนวนของป้อม ใบหน้าของป้อมน่ารักจนผมอดใจไม่ได้ มองซ้ายมองขวาเห็นว่าเป็นจังหวะปลอดคน จึงเอื้อมมือไปหยิกแก้มของป้อมทีหนึ่ง

“เราน่ะ พูดไม่ได้น้อยไปกว่าพี่คนนี้เลยนะ” ผมเหน็บ

ป้อมป่องแก้มจนกลม เป็นความหมายท้าทายให้หยิกอีก

“น้อยหน่อย ป้อมเนี่ยนะพูดเยอะ เอาที่ไหนมาพูด” ป้อมเถียง

ผมแอบหยิกแก้มป้อมไปอีกหนึ่งที

“พี่รู้นะ ว่าป้อมเคยเลี้ยงนกแก้ว แล้วตายไปหลายตัว จนเลิกเลี้ยง” ผมพูด “นี่เป็นหลักฐานว่าคุณชายช่างพูดขนาดไหน”

ตุ้บ

“โอ๊ย เจ็บ” ผมหัวเราะ พร้อมกับเอามือปิดหมัดของป้อม “ทำไมต้องลงไม้ลงมือด้วย อายชาวบ้านเค้า”

“ใครกันแน่ที่ช่างพูด ป้อมว่าพี่อูนี่แหละ” ป้อมไม่ยอม

“เอ้า อย่าเพิ่งตีกัน คุณชายช่วยพี่เลือกของก่อนดีกว่า พี่รู้แล้ว วันนี้เราดูชุดโซฟา ชุดกินอาหาร เตียง โต๊ะทำงาน แล้วก็ตู้เสื้อผ้า ต้องจดก่อน เดี๋ยวลืม” ผมพูด พลางหยิบสมุดจดออกมาเขียนรายการลงไป

จากนั้นผมกับป้อมก็ช่วยกันเดินดูเฟอร์นิเจอร์ตามรายการที่ต้องการ แต่เนื่องจากเครื่องเรือนมีหลายแบบ หลายสไตล์ หลายสี และหลายราคามาก เราสองคนดูกันไป เถียงกันไป เดิมทีที่ดูเหมือนว่าจะเริ่มเข้าใจว่าควรจะซื้ออะไร สุดท้ายก็กลับไปงงอย่างเก่าเพราะเครื่องเรือนมีให้เลือกเยอะมากเยอะจนเลือกไม่ถูก

“งงวุ้ย” ผมพูดเบาๆ พลางเหลือบตาดูน้องน้อยที่ช่วยผมเลือกเครื่องเรือนอยู่หลายชั่วโมง ผมเริ่มมีความคิดแปลกๆวูบเข้ามาในหัว... ตอนนี้ผมก็มีบ้านแล้ว นี่ถ้าผมมีใครสักคน... คนที่อยู่ร่วมชายคาเดียวกัน... เข้าใจกัน แค่สบตากันก็รู้ใจกัน... ถ้าผมมีคนแบบนั้นสักคน... ที่ผมสามารถใช้ชีวิตร่วมด้วย ชีวิตนี้ผมก็คงไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว

“ป้อมก็งงเหมือนกัน” ป้อมพูด “ป้อมงงว่าทำไมพี่อูงง”

“ของมันเยอะจนเลือกไม่ถูก” ผมตอบ “อย่างชุดโซฟาก็มีหลายแบบ หลายขนาด แถมยังวางกองซ้อนกัน ไม่รู้ซื้อไปแล้วจะวางพอดีบ้านหรือเปล่า ถ้าซื้อใหญ่ไปก็คับบ้านอีก”

ผมหยุดคิดนิดหนึ่ง นึกถึงหนังสือเกี่ยวกับบ้านที่เคยอ่านมา นึกได้ว่าในหนังสือสอนไว้ว่าให้เขียนผังบ้านในกระดาษให้รู้ขนาดพื้นที่ใช้สอย แล้วก็จะรู้ว่าตรงไหนมีพื้นที่วางเครื่องเรือนได้มากน้อยเพียงใด

“สงสัยว่าต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่ด้วยการวัดขนาดห้องต่างๆในบ้านมาให้ละเอียดแล้วเขียนผังดูก่อน” ผมพูด “แล้วค่อยมาเลือกเฟอร์นิเจอร์อีกที”

“ไปเดินดูร้านอื่นกันดีกว่าพี่อู เผื่อจะคิดอะไรออก” ป้อมเสนอ

“ก็ดีเหมือนกัน” ผมเห็นด้วย

วันนั้นเราสองคนเดินวนเวียนอยู่แถวนั้นเกือบทั้งวัน เข้าร้านนั้นออกร้านนี้ แต่ละร้านใช้เวลานานทีเดียว ป้อมเดินไปกับผมอย่างไม่รู้เบื่อ ช่วยออกความเห็นอย่างนั้นอย่างนี้อยู่ตลอด ความเห็นของป้อมเข้าท่าบ้าง ไม่เข้าท่าบ้าง เพราะเด็กวัยรุ่นอย่างป้อมไม่เคยมีประสบการณ์เลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์มาก่อน แต่ป้อมก็ตั้งใจช่วยผมอย่างเต็มที่

กว่าที่ป้อมและผมจะแยกย้ายกันกลับก็เป็นเวลาบ่ายมากแล้ว เมื่อผมกลับไปถึงห้องก็ยังต้องเอาตลับสายวัดออกไปวัดพื้นที่บ้านทาวน์เฮาส์อีกรอบหนึ่ง กว่าจะเสร็จงานและกลับมาถึงหออีกครั้งก็ค่ำแล้ว

“น้องอู เมื่อกี้มีโทรศัพท์ถึงน้องอูแน่ะ” พี่พร ผู้ดูแลหอพักพูดกับผมขณะที่ผมเดินเข้าไปในหอพัก

“อ้อ ครับ” ผมตอบ “ขอบคุณครับ”

ผมกลับหลัง เตรียมจะเดินออกจากหอพักเพื่อไปที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะ แต่เห็นพี่พรมองผมแล้วอมยิ้มเหมือนแอบขำอะไรอยู่ ผมอดรนทนไม่ได้จึงถามออกไป

“พี่พรยิ้มอะไรครับ” ผมพูดพลางเอามือลูบในหน้าของตนเอง “หน้าผมมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า”

“หน้าน้องอูน่ะไม่มีอะไรหรอก” พี่พรพูด “แต่น้องอูไม่ถามเหรอว่าใครโทรมา”

“อ้อ นั่นสิ ใครโทรมาครับ” ผมนึกได้จึงถามออกไป ที่จริงถึงไม่ถามผมก็รู้ว่าใครโทรมา

“ก็เจ้าเก่านั่นแหละ” พี่พรตอบ พลางหัวเราะ

พี่พรนะพี่พร ผมแอบด่าอยู่ในใจ วันนี้พี่พรอารมณ์ดีถึงขนาดมาแกล้งผม แค้นนี้ต้องชำระ แต่ขอฝากเอาไว้ก่อน...

ผมออกไปที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะ และต่อโทรศัพท์ทันที

“ฮัลโหล” เสียงงุ้งงิ้งน่ารักรับสาย

“ฮัลโหล คุณชาย” ผมทักทาย ปกติป้อมจะเป็นฝ่ายที่โทรมา ผมไม่ค่อยกล้าโทรไปนักเพราะเกรงคุณพ่อคุณแม่ของป้อมรับสาย เพราะการโทรคุยกันทุกวันค่อนข้างน่าผิดสังเกต

“กลางคืนไม่อยู่ที่ห้อง ไปเที่ยวที่ไหนมา” ป้อมทำเสียงดุ

“ไปร้องคาราโอเกะมา” ผมตอบ “สนุกมากเลย”

“ฮ้า” ป้อมอุทาน “แล้วทำไมไม่ชวนป้อม”

“โอ๊ย คุณชายนี่หลอกง่ายจัง พี่ไปเสียที่ไหนล่ะ เพิ่งแยกกันไม่กี่ชั่วโมงจะไปไหนได้ แค่ไปที่ทาวน์เฮาส์นี่เอง ไปวัดพื้นที่มาจะเอามาเขียนเป็นผัง” ผมหัวเราะ

“นั่นน่ะสิ ป้อมก็ว่ายังงั้นแหละ ทำไมไปเที่ยวกลับมาเร็วนัก” ป้อมหัวเราะบ้าง

“คิดอะไรบ๊องๆ” ผมพูด “ถ้าไปเที่ยวพี่ก็ต้องชวนป้อมสิ”
“ดีแล้ว” ป้อมพูด “ถ้ารู้ว่าไปไหนแล้วไม่ชวนป้อมละก็น่าดู”

“คร้าบ เข้าใจแล้ว” ผมพูด “เอาละ คุณชายไปนอนได้แล้ว นอนหลับฝันดี”

“ฝันดีแน่ถ้าป้อมไม่ฝันถึงพี่อู” ป้อมรีบสวน

“อ๊ะ แล้วป้อมฝันถึงพี่บ่อยไหม” ผมย้อน

“...”

“ว่าไง ทำไม่ตอบ”

“ป้อมไม่อยากฝันร้ายหรอก... กู๊ดไนต์นะ พี่อู” ป้อมตัดบท จากนั้นเราก็จบการสนทนา

-    - -

กลางเดือนพฤษภาคม

ปิดเทอมช่วงฤดูร้อนปีนั้นเป็นปีที่วุ่นวายน่าดู เพราะว่านอกจากผมต้องติวป้อมอย่างหนักแล้วผมยังได้บ้านมาหลังหนึ่งอย่างไม่คาดฝัน ก่อนที่จะได้บ้านมาก็วุ่นวายกับเรื่องการเลือกหาบ้าน เมื่อได้มาแล้วก็ยุ่งวุ่นวายกับการตกแต่งบ้านอีก

หลังจากที่ได้บ้านมาแล้ว ป้อมมาช่วยผมอย่างแข็งขัน หลังจากที่เราเลือกดูเฟอร์นิเจอร์กันในวันนั้นแล้ว ผมก็กลับไปตั้งหลักใหม่ และกลับไปดูเฟอร์นิเจอร์อีกหลายครั้ง ในที่สุดความคิดก็ค่อยๆลงตัว ผมตัดสินใจว่าจ้างให้พี่ตี๋แก้มยุ้ยทำชุดตู้ครัวแบบบิลต์อิน จากนั้นก็ค่อยๆเลือกซื้อเครื่องเรือนสำหรับห้องต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่หลังจากเลือกและสอบถามราคาแล้ว ร้านของพี่ตี๋แก้มยุ้ยนี้ให้ราคาดีที่สุด ดังนั้นเครื่องเรือนส่วนใหญ่จึงซื้อจากร้านนี้

หลังจากนั้นผมก็ไปติดต่อร้านทำมุ้งลวดเพื่อมาบุมุ้งลวดประตูหน้าต่างเสียใหม่ทดแทนของเดิมที่เก่าและขาดเป็นรู จากนั้นก็ยังต้องติดต่อร้านเหล็กดัดมาทำเหล็กดัดที่หน้าต่างห้องนอนเสียใหม่ ของเดิมเป็นแบบติดตาย ซึ่งผมกลัวว่าหากเกิดไฟไหม้ขึ้นมาจะต้องตายอยู่ในบ้านจริงๆ ก็เลยสั่งทำเหล็กดัดหน้าต่างใหม่โดยทำเป็นแบบคล้องแม่กุญแจ ยามฉุกเฉินสามารถใช้เป็นช่องทางหนีออกจากตัวบ้านได้ หากไม่ลืมไปเสียก่อนว่าเก็บกุญแจไว้ที่ไหน จากนั้นก็ติดเครื่องปรับอากาศที่ห้องนอนใหญ่เครื่องหนึ่ง ทั้งบ้านมีเพียงเครื่องเดียว ส่วนห้องอื่นไม่ได้ติดแอร์

ค่าตกแต่ง ค่าเครื่องปรับอากาศ และค่าเฟอร์นิเจอร์นั้นทำไปทำมาก็หลายแสนบาท ผมพยายามเลือกและต่อรองราคาให้ประหยัดที่สุด เพราะรู้ว่าที่บ้านของเรามีสภาพคล่องไม่มากมายนัก แต่บางอย่างก็แอบตามใจตัวเองบ้างไม่ได้เหมือนกัน ส่วนพ่อนั้นคอยจ่ายเงินอย่างเดียว ไม่ค่อยถามอะไรมาก ไม่รู้เหมือนกันว่าไว้ใจผมหรือว่าไม่อยากยุ่งกับผมกันแน่ แต่ก็คิดในแง่ดีว่าน่าจะเป็นอย่างแรกมากกว่า

ตลอดเวลาที่ผมดำเนินการตกแต่งบ้าน ป้อมมาช่วยผมโดยตลอด โดยหลังจากที่เลิกเรียนพิเศษป้อมก็จะไปไหนต่อไหนกับผม จนถึงตอนเย็นจึงค่อยกลับบ้าน เวลาช่วงนั้นแม้ว่าจะเหน็ดเหนื่อย แต่ก็เป็นเวลาที่ผมมีความหมายแก่ผมมาก เพราะป้อมทำให้ผมรู้สึกคล้ายกับว่าบ้านหลังนี้ผมไม่ได้อยู่คนเดียว แต่ผมมีคนที่อยู่เคียงข้าง เผชิญอุปสรรคด้วยกัน แก้ปัญหาด้วยกัน และเป็นกำลังใจให้กันและกัน นี่กระมังคือความหมายของการร่วมทุกข์ร่วมสุข... แต่อย่างไรก็ตาม มันเป็นความรู้สึกที่ค่อนข้างเลื่อนลอย เหมือนหมอกควันที่แม้จะจับเค้าก็ยังยาก อย่าว่าแต่จะไขว่คว้าเอาไว้ได้เลย...

“เอาละ ติวช่วงปิดเทอมก็คงมีเท่านี้ ต่อไปป้อมก็เปิดเทอมแล้ว เราคงติวกันเฉพาะวันเสาร์” ผมพูดกับป้อมในวันหนึ่ง พูดไปก็ใจหาย ปิดเทอมปีนี้เป็นเวลาที่มีค่ามากสำหรับผม โดยเฉพาะตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา ผมกับป้อมใช้เวลาอยู่ด้วยกันเป็นส่วนใหญ่ บางครั้งผมก็รู้สึกเหมือนกับว่าทั้งโลกมีเพียงเราสองคนเท่านั้น ป้อมติดผมมาก ในขณะเดียวกันผมก็ติดป้อมมากโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน

“วันอาทิตย์มาติวป้อมด้วยสิ” ป้อมพูด หน้าเสียไปเหมือนกัน

“คงไม่ไหวล่ะคุณชาย” ผมตอบ “เพราะอีกไม่นานพี่ก็เปิดเทอมเช่นกัน แล้วยังมีเรื่องบ้านด้วย พี่จะพยายามย้ายเข้าไปปลายเดือนนี้ คงเตรียมการสอนไม่ทัน เอาเป็นสัปดาห์ละครั้งไปก่อน”

ป้อมนั่งนิ่ง ดูหน้าจ๋อยไป

“แต่ถึงติวไม่ได้ เราก็ยังไปเที่ยวไหนต่อไหนด้วยกันได้นะ” ผมเสริม

“เย...” ป้อมยิ้มร่า “ใช่แล้ว เรียนไม่ได้ก็ยังเที่ยวได้”

ผมหยิกแก้มของป้อมไปทีหนึ่ง ป้อมป่องแก้มอีกข้างหนึ่งเป็นทำนองให้หยิกอีกข้างด้วย

“ทะเล้นใหญ่แล้ว” ผมหัวเราะ “ห่วงเที่ยวเสียจริง”

ผมต้องรีบจัดการเรื่องบ้านให้เรียบร้อยเพราะว่าต้องการย้ายเข้าในปลายเดือนพฤษภาคม เนื่องจากหากเปิดเทอมแล้วจะไม่สะดวกเพราะติดเรียน อีกอย่างหนึ่งก็คือผมบอกเลิกเช่าหอพักไปแล้ว และพี่พรก็หาผู้เช่ารายใหม่ได้แล้วด้วย หากผมย้ายเข้าบ้านใหม่ไม่ได้ผมก็ไม่มีที่อยู่

-    - -

สามทุ่มแล้ว

เอ... ทำไมไม่โทรมาเสียทีนะ ผมนึกในใจอย่างกระวนกระวาย ปกติป้อมจะโทรมาต้อนสองทุ่มของทุกวัน แต่วันนี้สามทุ่มแล้วก็ยังไม่โทรมา จะโทรไปหาก็ไม่กล้า

สามทุ่มครึ่ง

“น้องอู รับโทรศัพท์” เสียงพี่พรดังมาจากอินเตอร์คอม

“ครับ ไปเดี๋ยวนี้” ผมตะโกนตอบ

เมื่อลงไปถึงชั้นล่าง ผมรีบคว้าหูโทรศัพท์ขึ้นมา

“ฮัลโหล พี่อู” ป้อมทักทาย

“ทำไมโทรมาเอาป่านนี้” ผมอดบ่นไม่ได้

“ฮิฮิ ขอโทษฮะพี่อู” ป้อมหัวเราะร่วน “เมื่อกี้คุยกับเพื่อนค้างอยู่น่ะ”

“คุยกันทีเป็นชั่วโมงเลยเหรอ” ผมถาม อดสงสัยไม่ได้

“ช่าย ปรึกษากันเรื่องรายงานกลุ่ม โทรไปโทรมาตั้งหลายคน” เสียงป้อมแจ่มใส

“อ้อ” ผมทำเสียงรับรู้ รู้สึกอารมณ์ขุ่นมัวนิดหน่อย “เพิ่งเปิดเทอมได้อาทิตย์กว่าๆก็มีรายงานแล้วเหรอ”

“ใช่ฮะพี่อู แล้วพี่อูรู้อะไรไหม” ป้อมพูด

“จะไปรู้ได้ไง ป้อมยังไม่ได้บอก” ผมตอบ

“ป้อมได้เป็นหัวหน้ากลุ่มทำรายงานด้วยนะ เป็นรายงานวิชาภาษาอังกฤษ วันนี้มีควิซภาษาอังกฤษ แล้วป้อมได้คะแนนเต็ม เพื่อนๆมันเลยให้ป้อมเป็นหัวหน้ากลุ่ม” ป้อมเล่าอย่างภูมิใจ

“ขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมอดทึ่งไม่ได้ น้ำเสียงคลายความหงุดหงิดลงไป

“ก็ได้พี่อูนี่แหละ ป้อมเรียนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนรู้เรื่องขึ้นเยอะเลย” ป้อมพูด

“ฮื่อ ดีจัง มันก็เป็นความสามารถของป้อมนั่นแหละ ถ้าสอนแล้วป้อมไม่เอา ใครก็เข็นไม่ไหว” ผมตอบ

“พี่อู พี่อู” ป้อมเรียก

“มีอะไรเหรอ” ผมถาม

“สัปดาห์นี้เราเรียนวันอาทิตย์ได้มั้ยพี่อู” ป้อมถาม

“ทำไมเหรอ” ผมอึ้งไป

“ป้อมจะไปดูหนังกับเพื่อนน่ะ” ป้อมตอบ

“แล้วไม่ดูวันอาทิตย์ล่ะ ทำไมจะมาเลื่อนเรียนพิเศษ” ผมเริ่มอารมณ์ขุ่นมัวอีก

“ก็... ก็... มันนัดกันหลายคนน่ะ ส่วนใหญ่อยากไปวันเสาร์กัน” ป้อมตอบ “ปิดเทอมไม่ได้เจอเพื่อนๆหลายเดือน ป้อมก็อยากไปดูกับพวกมัน นะ นะ พี่อู”


<บรรยากาศในซอยลาดพร้าว ๓๕ หรือชื่อในสมัยก่อนคือซอยสุภาพงษ์ ซอยนี้เป็นซอยเก่า ภายในซอยจึงมีบ้านเรือนรุ่นเก่าและที่ดินรกร้างอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย บรรยากาศในซอย หากเป็นซอยที่ใช้เป็นทางลัดออกถนนใหญ่รถจะพลุกพล่าน หากเป็นซอยย่อยที่เป็นซอยตัน บรรยากาศจะสงบเงียบ>

Saturday, February 16, 2013

ภาคสี่ ตอนที่ 68


“โห ทำไมบ้านพี่อูไกลจัง ทั้งไกล ทั้งลึก”

“มาครั้งเดียวทำบ่น พี่ไปสอนคุณชายทุกสัปดาห์ รู้หรือยังว่าพี่ลำบากแค่ไหน แล้วยังชอบทำงอแงไม่อยากเรียน”

“ไม่รู้หรอก”

ตุ้บ...

“รังแกป้อมเหรอ สู้นะ นี่แน่ะ...”

ตุ้บ... ตุ้บ... ตุ้บ...

“โอ๊ย กลัวแล้ว ยอมแพ้แล้วคร้าบ...”

บ่ายวันหนึ่ง ในซอยภาวนา มีชายสองคนเดินหยอกเย้ากันอยู่ในซอย ซึ่งสองคนนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น ป้อมกับผมนั่นเอง ป้อมอยากเห็นว่าบ้านหลังใหม่ของผมเป็นอย่างไร ผมจึงชวนป้อมมาเที่ยว

“บ้านนี้เข้าออกได้หลายซอย ซอยนี้เดินใกล้ที่สุดแล้ว หากเข้าออกทางซอยอื่นเดินกันขาลากเลย” ผมพูด พลางเหน็บ“บ้านคุณชายเดินใกล้นักนี่”

“นั่นพ่อป้อมปลูก จะมาโทษป้อมไม่ได้” ป้อมทำหน้าทะเล้น

แม้ว่าทางเข้าจากซอยภาวนาใกล้ที่สุดแล้ว แต่ก็ยังไกลหลายร้อยเมตรจากปากซอย ระหว่างที่เดินป้อมกับผมคุยกันไปหยอกล้อกันไปตลอดทาง ทำให้ไม่รู้สึกเบื่อ

ในที่สุด ทาวน์เฮาส์เรียงรายเป็นแถวยาวก็ปรากฏที่ข้างหน้า เราสองคนเดินไปหยุดยืนที่หน้าทาวน์เฮาส์หลังหนึ่ง

“ถึงแล้ว หลังนี้แหละ” ผมพูด

ผมหยิบพวงกุญแจออกมาจากกระเป๋ากางเกง หาลูกกุญแจของแม่กุญแจใหญ่ที่คล้องที่ประตูบ้าน เมื่อหาพบแล้วก็ไขและเปิดประตูเข้าไป

ลานหน้าบ้านมีขนาดไม่ใหญ่นัก สามารถจอดรถได้หนึ่งคัน ด้านข้างมีเนื้อที่เหลืออีกนิดหน่อยสำหรับเป็นทางเดิน จุดเข้าในตัวบ้านเป็นประตูกระจกบานเลื่อน ผมไขประตูกระจกเข้าไป หลังจากนั้นยังมีเหล็กดัดที่คล้องแม่กุญแจอีกชั้นหนึ่ง

“แม่กุญแจประตูเหล็กดัดอยู่ไหนหว่า” ผมพูดพลางหยิบกุญแจในพวงมาทดลองไขดูหลายดอก

“ประตูหลายชั้นจัง” ป้อมพูด

“ทาวน์เฮาส์ทั่วไปก็แบบนี้แหละ ประตูสามชั้น ขนาดเหตุการณ์ปกติยังใช้เวลาตั้งนานกว่าจะไขได้ครบทั้งสามชั้น นี่ถ้าเกิดไฟไหม้ขึ้นมาไม่รู้จะออกทันหรือเปล่านะเนี่ย” ผมบ่น นึกห่วงเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน เรื่องไฟเป็นเรื่องที่ไว้ใจไม่ได้ ข่าวไฟไหม้ย่างสดคนที่ติดเหล็กดัดในบ้านแล้วออกมาไม่ได้มีให้อ่านอยู่เสมอ

“เชิญคร้าบ” ผมพูด หลังจากที่ไขเปิดประตูเหล็กดัดได้

เราสองคนเข้าไปในตัวบ้านได้ เห็นภายในบ้านโล่งไปหมด มีแต่กำแพงและเฟอร์นิเจอร์ติดตรึงเหลืออยู่เท่านั้น อะไรที่ยกออกไปได้เจ้าของเดิมย้ายออกไปจนหมด

“ยังกะโดนขโมยขึ้นบ้าน เกลี้ยงไปหมดเลย” ป้อมหัวเราะ

“ก็ตกลงกันตามนี้ แต่ข้างบนมีเหลือตู้เสื้อผ้าเหลืออยู่บ้าง” ผมพูด “เป็นไงบ้าง”

“แล้วพี่อูจะอยู่ยังไงเนี่ย อะไรก็ไม่มีสักอย่าง แล้วอยู่คนเดียวก็เหงาแย่” ป้อมไม่ตอบแต่ถามกลับ

“ยังไม่ได้ย้ายเข้ามาตอนนี้หรอก ต้องตกแต่งปรับปรุงและซื้อเฟอร์นิเจอร์ใหม่ก่อน คงอีกสักพักใหญ่ๆเลย” ผมตอบ

“แล้วพี่อูอยู่คนเดียวไม่เหงาเหรอ กลัวผีหรือเปล่า” ป้อมถามอีก

“ยังไม่แน่ว่าพี่ชายพี่จะย้ายมาอยู่ด้วยเมื่อไร ช่วงแรกพี่อาจจะอยู่คนเดียวไปก่อน ไม่เหงาหรอก ชินแล้ว ตอนนี้อยู่หอก็อยู่คนเดียว” ผมตอบ “ไม่กลัวผีด้วย กลัวคนมากกว่า”

“ดีเลย เอาไว้ถ้าป้อมทะเลาะกับพ่อ แล้วป้อมจะมาพักอยู่กับพี่อู มีที่สิงแล้ว ฮ่า ฮ่า” ป้อมหัวเราะ

“มาสิ คิดคืนละเท่าไรดีล่ะ” ผมพูด แม้จะรู้ว่าป้อมพูดขำๆแต่ใจก็อดหวั่นไหววูบไปไม่ได้ อยู่คนเดียวมันก็เหงาจริงๆนั่นแหละ ทำเป็นปากแข็งว่าไม่เหงาไปยังงั้นเอง หลายปีที่อยู่ที่หอพักผมเข้าใจความรู้สึกนี้ แต่ก็ต้องพยายามแกล้งลืมๆมันไป หาโน่นหานี่ทำจะได้ไม่มีเวลาเหงา ถ้ามีน้องน้อยคนนี้มาอยู่เป็นเพื่อนได้จริงๆก็คงอบอุ่นดีไม่น้อย แต่ผมรู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ป้อมเพียงแค่พูดเล่นเท่านั้น


พลั่ก

ป้อมทุบหลังผมเบาๆ ผมร้องโอ๊ย

“นี่ไง จ่ายล่วงหน้าให้แล้ว พี่อูนี่งกจัง” ป้อมพูดพลางหัวเราะ

ผมพาป้อมเดินขึ้นไปบนชั้นสอง ชั้นสองแบ่งออกเป็นสองห้องนอนหนึ่งห้องน้ำ ภายในห้องนอนมีตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่อยู่ตู้ละหนึ่งใบ เป็นตู้ไม้ฝีมือใช้ได้ทีเดียว แต่มีขนาดใหญ่ เจ้าของเดิมประเมินแล้วว่าย้ายออกไปได้ยาก จึงทิ้งเอาไว้ให้ ส่วนเตียงนั้นถอดเป็นชิ้นได้จึงถอดเอาไปด้วย ส่วนเครื่องปรับอากาศนั้นก็ถอดออกไป เหลือแต่เพียงรอยสกรูและรูขนาดใหญ่ที่กำแพงเท่านั้น

เรื่องเครื่องปรับอากาศนั้นเดิมทีไม่อยากให้ถอด แต่เมื่อดูสภาพเครื่องปรับอากาศแล้วเห็นว่าเก่ามาก เป็นแอร์ยี่ห้อไม่ดัง เอาราคาถูกเข้าว่า ที่สมัยก่อนเรียกว่าแอร์กิโล หรือแอร์บีทียูละบาท คือตัวเครื่องมีราคาถูกแต่ว่าไม่ประหยัดไฟ ในระยะยาวแล้วจะต้แงจ่ายค่าไฟหนัก เอ๊ดให้ความเห็นว่าแอร์เก่ามากทั้งยังเป็นพวกแอร์กิโล คงกินไฟน่าดู สุดท้ายจึงให้ถอดออกไปเพื่อที่ผมจะติดตั้งเครื่องปรับอากาศเครื่องใหม่แทน

“ต่อไปพี่จะมีห้องแอร์นอนแล้ว” ผมพูด เมื่อพาป้อมเดินเข้ามาในห้องนอน “แต่เดี๋ยวต้องหาซื้อแอร์มาติดเสียก่อน”

“ป้อมนอนห้องแอร์มาตั้งนานแล้ว” ป้อมหัวเราะ

“เออ ใช่ พี่ไม่ได้มีฐานะอย่างป้อมนี่ พี่นอนเปิดพัดลมมาตั้งแต่เด็ก เพิ่งจะมีห้องแอร์นอนก็คราวนี้แหละ” ผมพูด

ที่จริงตอนนั้นผมเพียงพูดขำๆเท่านั้น ปกติก็ไม่เคยน้อยเนื้อต่ำใจกับฐานะของตนเองอยู่แล้ว ตรงกันข้าม กลับรู้สึกว่าผมยังมีโอกาสที่ดีกว่าอีกหลายๆคนมากมายนัก แต่ป้อมกลับเข้าใจผิด คิดว่าผมประชดจริงๆ

“ป้อมพูดเล่นนะพี่อู อย่าคิดมาก” ป้อมรีบพูด “ป้อมไม่ได้ตั้งใจจะ เอ่อ...”

ป้อมพูดแล้วก็หยุดไป คงนึกหาคำพูดเหมาะๆไม่ได้ จึงจับมือผมมากุมเอาไว้

“โกรธป้อมหรือเปล่า... อย่าโกรธป้อมนะ” ป้อมอ้อน

ผมมองหน้าป้อม เห็นสีหน้าของป้อมบอกแววเสียใจ ดูป้อมจะห่วงใยความรู้สึกของผม ความอบอุ่นจากมือของป้อมค่อยๆแผ่ซ่านมาตามลำแขน ลามมาจนถึงหัวใจของผม ป้อมเคยทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นใจแต่มันเป็นความรู้สึกที่วูบขึ้นมาแล้วหายไปเหมือนกับฟ้าแลบที่สว่างเพียงวูบเดียว แต่ครั้งนี้กลับแตกต่างออกไป ผมเคยรู้สึกอบอุ่นใจแบบนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไรนะ... มันนานจนผมเองก็จำไม่ได้แล้ว...

“พี่ไม่ได้โกรธป้อมเสียหน่อย พี่รู้ว่าป้อมพูดเล่น” ผมตอบ พลางบีบมือป้อมเบาๆ “พี่ก็ย้อนป้อมไปเล่นๆเท่านั้นแหละ ไม่ได้คิดอะไรจริงๆ”

“แน่ใจนะพี่อู” ป้อมแกว่งมือผมเล่น ไม่ยอมปล่อย คงยังไม่วางใจ

“จริงๆป้อม” ผมพูดอย่างจริงจัง “พี่ไม่เคยคิดว่าชีวิตของพี่ย่ำแย่เลย มีแค่นี้ก็ดีถมไปแล้ว ยังมีคนอีกเยอะแยะที่ลำบากกว่าพี่ ได้บ้านนี้มาพี่ดีใจก็จริง แต่ถ้าให้อยู่หอพักอย่างเดิมพี่ก็อยู่ได้”

“ไม่โกรธป้อมก็ดีแล้ว” ป้อมยิ้มกว้าง

“ใครจะโกรธคุณชายลงล่ะ อ้อนซะขนาดนี้” ผมตอบ พร้อมกับเอามือขยี้หัวป้อมเล่น

“อ้อนเฉพาะกับพี่อูเท่านั้นหรอก” ป้อมตอบพร้อมกับชกท้องผมเบาๆเหมือนกับแก้เก้อ “กับพ่อหรือแม่ป้อมยังไม่อ้อนขนาดนี้เลย”

“อ้าว ทำไมยังงั้นล่ะ” ผมถาม

“ไม่รู้สิ...” ป้อมตอบด้วยสีหน้าครุ่นคิด “คงเพราะสนิทกับพี่อูมากมั้ง”

ผมพาป้อมเดินสำรวจบ้านจนทั่ว แต่เนื่องจากบ้านมีขนาดเล็ก การสำรวจจึงใช้เวลาเพียงครู่เดียว บ้านนี้ยังโล่งอยู่ จะหาที่นั่งคุยก็ยังไม่มี ต้องนั่งคุยกับพื้นซึ่งเต็มไปด้วยฝุ่น ดังนั้นเราสองคนใช้เวลาอยู่ในบ้านเพียงไม่นานก็กลับ

“ต่อไปพี่คงวุ่นอีกเยอะเลย เรื่องตกแต่งบ้านกับซื้อของเข้าบ้านนี่ดูแล้วคงไม่ง่าย” ผมพูดขณะที่เราเดินอยู่ในซอย

“ยังไงก็ต้องมาสอนป้อมนะ” ป้อมรีบพูดดักคอ “เอาไว้ป้อมจะมาช่วยพี่อูเอง มีอะไรให้ช่วยบอกได้เลย”

“เรื่องสอนน่ะสอนอยู่แล้ว พี่ยังไม่อยากขาดรายได้” ผมพูดขำ “ตอนนี้ยิ่งต้องใช้เงินอยู่ด้วย”

ป้อมเงียบไปนิดหนึ่ง เหมือนกับอึ้งไป

“นี่พี่อูสอนป้อมเพราะเงินเหรอ” จู่ๆป้อมก็พูดโพล่งขึ้นมา

“เปล่า” ผมรีบตอบ “พี่พูดเล่นหรอก”

“ไม่เชื่อ” ป้อมส่ายหัวดิก ทำหน้าเคือง

“จริงๆ” ผมย้ำ “ป้อมรู้ไหมว่าพี่สอนป้อมสองวิชาต้องเตรีมการสอนป้อมเยอะขนาดไหน ถ้าพี่คิดจะสอนเพื่อเงินพี่คงเลิกสอนไปนานแล้ว”

“แล้วพี่อูทำไมถึงไม่เลิกสอนป้อมล่ะ” ป้อมถามแบบคาดคั้นอยากรู้คำตอบ

ผมอึ้งไป พอพูดเรื่องเงินก็ว่าผมสอนเพื่อเงิน พอบอกว่าไม่ได้สอนเพื่อเงินก็ยังถามอีกว่าสอนทำไม แล้วจะให้ผมตอบยังไงดีล่ะ... ผมคิดอย่างรวดเร็วพลางตัดสินใจ เอาละวะ ลองดูหน่อย...

“ป้อมรู้ไหมว่าป้อมเป็นแขกคนแรกของบ้านนี้เลยนะ” ผมวกไปคุยเรื่องอื่น

“พี่อูเพิ่งได้มา ยังไม่ทันเข้ามาอยู่เลยด้วยซ้ำ ป้อมเป็นแขกคนแรกก็ไม่แปลก” ป้อมก็ไม่เซ้าซี้อยู่กับเรื่องเดิม

“มันก็ไม่เชิง หมายถึงเป็นแขกคนแรกของพี่น่ะ ตลอดเวลาที่พี่อยู่ที่หอพักก็ไม่เคยพาเพื่อนมาเที่ยวที่หอเลย” ผมพูด

“ทำไมยังงั้นล่ะ” ป้อมสงสัย

“ก็... ไม่รู้เหมือนกัน” ผมพูดตะกุกตะกัก “อาจเป็นเพราะพี่ไม่มีเพื่อนที่สนิทมากถึงขนาดที่จะพามาเที่ยวบ้านมั้ง”

“ถ้ายังงั้นป้อมละ” ป้อมถามด้วยความอยากรู้

“กับป้อมนี่ไม่เหมือนกัน ป้อมรู้สึกว่าสนิทกับพี่ใช่ไหม พี่ก็รู้สึกว่าสนิทกับป้อมเหมือนกัน สนิทมากกว่าเพื่อนในแผนกของพี่เสียอีก...” ผมพูด

เมื่อพูดแล้วก็โล่งอก ในที่สุดผมก็ได้เปิดเผยความรู้สึกของผมที่มีต่อป้อมเสียที แต่เป็นการพูดอย่างอ้อมๆ เหมือนกับเป็นการหยั่งเชิงมากกว่า ผมอยากรู้ว่าป้อมจะมีปฏิกิริยาอย่างไร

“ป้อมพิเศษขนาดนั้นเลยเหรอ” ป้อมพูด สีหน้าบ่งบอกแววภาคภูมิใจ

“แน่นอน” ผมพูดอย่างจริงจัง “และที่พี่สอนป้อมอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะความรู้สึกนี้... รู้สึกว่าเราถูกชะตากัน... ไม่ใช่เพราะว่าเพื่อเงิน ป้อมเข้าใจพี่หรือยัง”

“พี่อูนี่ดีจังเลย” ป้อมพูดพร้อมกับจับมือผมโยกอีก “เป็นพี่ชายป้อมตลอดไปนะ”

“ได้... ไม่มีปัญหา” ผมตอบ

ป้อมนิ่งไปนิดหนึ่ง แล้วเอียงหน้ามาพูดด้วยเสียงกระซิบ

“งั้นต่อไปไม่ต้องรับค่าสอนนะพี่อู เราเป็นพี่น้องกัน พี่ต้องสอนน้องฟรีสิ ถูกไหม”

พูดจบ ป้อมก็กระโดดออกห่างจากตัวผมเมื่อเห็นผมขยับเท้า พลางหัวเราะแล้ววิ่งหนี

“ไอ้น้องเจ้าเล่ห์” ผมตะโกนพลางวิ่งไล่ตาม “ยังงี้ต้องเลี้ยงด้วยลำแข้ง”

-    - -

หลังจากที่รับโอนบ้านมาแล้ว ความยุ่งยากต่างๆก็เริ่มขึ้น ผมต้องรีบดำเนินการปรับปรุงและตกแต่งบ้าน พร้อมกับหาซื้อเฟอร์นิเจอร์เข้าบ้าน เหตุที่ต้องเร่งรีบเพราะว่าช่วงนี้ยังปิดเทอมอยู่ ถือว่าเป็นจังหวะที่เหมาะ หากเนิ่นช้าออกไป เมื่อผมเปิดเทอมแล้วก็ไม่รู้ว่าจะจัดแบ่งเวลาอย่างไร ตอนนั้นยังไม่มีประสบการณ์ในเรื่องตกแต่งต่อเติมบ้านเลย ดังนั้นจึงยังประเมินไม่ถูกว่างานเหล่านี้กินเวลาเพียงใด หากเริ่มงานได้ในช่วงปิดเทอมดูจะปลอดภัยกว่า

ในช่วงที่มองหาบ้านอยู่นั้น นอกจากติดตามนิตยสารพวกซื้อขายบ้านและที่ดินแล้วผมยังชอบอ่านนิตยสารพวกตกแต่งบ้านและตกแต่งสวนอีกด้วย ก็ตามประสาคนอยากมีบ้านนั่นแหละ บ้านที่อยากได้ย่อมเป็นบ้านในฝัน มีการตกแต่งที่สวยงาม ดูเอาไว้จะได้รู้ว่าบ้านสวยๆนั้นเป็นอย่างไร เผื่อมีโอกาสจะได้ทำตามแบบนั้นบ้าง แต่เมื่อได้บ้านเป็นของตนเองแล้วจริงๆผมก็รู้ว่าผมไม่มีทางทำแบบนั้นได้เลย เพราะการตกแต่งบ้านให้สวยงามนั้นหากเจ้าของบ้านไม่มีหัวทางด้านตกแต่งภายในอยู่แล้วละก็ต้องพึ่งมัณฑนากร ซึ่งทาวน์เฮาส์เล็กๆแบบนี้คงยากที่จะจ้างใครมาตกแต่งภายใน เพราะเป็นเรื่องที่ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม คนที่อยู่บ้านทาวน์เฮาส์แบบนี้แสดงว่าต้องการประหยัดงบ หากมีใครที่มีกำลังทรัพย์พอที่จะจ้างมัณฑนากรได้ก็คงไม่มาอยู่บ้านในระดับราคาแบบนี้

สิ่งที่ผมได้กลับเป็นความรู้จากนิตยสารพวกซื้อขายบ้านและที่ดินมากกว่า นั่นคือ รู้ว่าต้องหาผู้รับเหมามาตกแต่ง ต่อเติม แล้วอยากได้อะไรก็บอกผู้รับเหมาไป ส่วนเรื่องเฟอร์นิเจอร์นั้นหากเป็นเฟอร์นิเจอร์แบบบิลต์อินก็ต้องจ้างทำ แต่หากซื้อเป็นเฟอร์นิเจอร์แบบลอยตัวก็ไปเลือกซื้อแถวปากซอยลาดพร้าว ๒๗ ถึง ๓๓ ได้เลย ถนนช่วงนั้นทั้งสองฝั่งเต็มไปด้วยร้านขายเฟอร์นิเจอร์

“ฮัลโหล เอ๊ด วันเสาร์นี้ว่างมั้ย” ผมโทรไปหาเอ๊ด

“จะทำไมล่ะ” เอ๊ดถาม “เสาร์อาทิตย์นี้ต้องเข้ากะกลางวัน”

“อยากให้มาช่วยเลือกเฟอร์นิเจอร์กันหน่อย” ผมตอบ “วันหยุดทำไมยังต้องทำงาน”

“ช่วงนี้งานเร่ง ทำเจ็ดวันเลย งานโรงงานก็ยังงี้แหละ” เอ๊ดตอบ “เอ๊ดเพิ่งเริ่มทดลองงาน เค้าสั่งยังไงก็ต้องรับไว้ก่อน ไม่อยากเรื่องมาก เอาไว้งานซาแล้วจะไปช่วย รอได้หรือเปล่า”

“ถ้ายังงั้นช่างมันก่อน” ผมพักเรื่องเอาไว้ “ยังมีอีกเรื่อง อูจะหาช่างรับเหมาตกแต่ง ต่อเติม แล้วจะไปหาที่ไหนละเนี่ย เอ๊ดพอหาได้ไหม”

“เอ๊ดรู้จักเสียที่ไหนล่ะ” เอ๊ดตอบ

“ผู้รับเหมาแบบนี้โฆษณาในวัฏจักรมีเยอะเลย แต่อูอยากได้ที่มีคนแนะนำมากกว่า” ผมพูด

“นั่นสิ มีคนแนะนำก็ดีกว่าไปคว้าใครที่ไหนมาก็ไม่รู้ ถ้ายังงั้นเอ๊ดจะลองถามเพื่อนๆดูให้ว่าที่บ้านมีใครเคยจ้างผู้รับเหมาหรือเปล่า อูก็ลองถามเพื่อนๆดูบ้าง จะได้หาหลายๆทาง” เอ๊ดแนะนำ

เป็นอันว่าเรื่องดูเฟอร์นิเจอร์เอ๊ดยังมาช่วยดูเร็วๆนี้ไม่ได้ ต้องรองานซาก่อน ซึ่งคงอีกหลายวัน ส่วนเรื่องหาผู้รับเหมาผมกับเอ๊ดต่างก็ช่วยกันถามในหมู่เพื่อนฝูง ผมก็โทรหาเพื่อนเท่าที่พอจะโทรได้ เพราะว่าตอนนั้นยังปิดเทอมอยู่ แต่ในที่สุดก็ไม่ได้เรื่องเพราะไม่มีใครแนะนำให้ได้ ทางด้านเอ๊ดเองก็ไม่ได้เรื่องเช่นเดียวกัน ทางเลือกสุดท้ายก็คืออาจต้องลองติดต่อผู้รับเหมาที่ลงโฆษณาในหน้านิตยสารดู แค่เริ่มต้นก็เริ่มจนใจเสียแล้ว...

-    - -

วันถัดมา เวลาสองทุ่ม

“เอ... ทำไมไม่โทรมาเสียทีนะ” ผมบ่นพึมพำกับตัวเอง พลางเดินวนเวียนไปมาในห้องอย่างหงุดหงิดใจ ตอนนั้นนั่งอ่านหนังสือไม่รู้เรื่องเลย รู้สึกกระวนกระวาย จนต้องลุกขึ้นมาเดินไปเดินมา

สองทุ่มยี่สิบนาที

“เด็กชายอู ชั้นสี่ รับโทรศัพท์” เสียงชายวัยรุ่นดังออกมาจากอินเตอร์คอมประจำชั้น

“เออ รู้แล้ว” ผมร้องตะโกนตอบ ผมรู้ดีว่าเจ้าของเสียงนั้นคือแป๋ง ดังนั้นจึงไม่ต้องใช้วาจาที่สุภาพเรียบร้อยนัก

ผมรีบวิ่งลงบันไดลงไปยังชั้นล่าง เห็นแป๋งนั่งอมยิ้มอยู่ที่โต๊ะผู้จัดการ ผมไม่ได้เจอแป๋งนานแล้วทั้งๆที่อยู่ตึกเดียวกันแท้ๆ แป๋งยังคงอารมณ์ดีเช่นเคย ฟันเขี้ยวเวลาที่แป๋งยิ้มทำให้ใบหน้าของแป๋งดูมีเสน่ห์

“เฮ้ย เด็กโทรมา” แป๋งพูด

ผมรีบเดินไปรับสายทันที

“ฮัลโหล” ผมทักทาย “ทำไมป่านนี้เพิ่งโทรมา”

“เมื่อกี้พ่อใช้สายน่ะพี่อู” ป้อมตอบ

“แล้วทำไมไม่บอกพ่อไปล่ะว่าป้อมจะใช้สายบ้าง” ผมพูด

“เอาไว้พี่อูมาพูดเองละกัน ป้อมยังไม่อยากโดนพ่อเตะ” ป้อมหัวเราะ

“ยังงั้นไม่ต้องถามก็ได้” ผมพลอยหัวเราะบ้าง

“วันนี้พี่อูทำอะไรบ้างล่ะ” ป้อมถาม

“วันนี้ก็เดินอยู่แถวหน้าหอพักนั่นแหละ เดินดูเฟอร์นิเจอร์ เยอะแยะไปหมด จนเลือกไม่ถูก” ผมตอบ

“ให้ป้อมไปช่วยเลือกมั้ย” ป้อมถาม

“ก็ดีน่ะสิ มาเลยๆ” ผมตอบ

“เฮอะ” ป้อมแค่นเสียง “ดีแล้วทำไมไม่ขอให้ป้อมไปช่วยเลือกล่ะ ต้องรอให้ป้อมถาม”

“พี่ก็เกรงใจคุณชายไง เมื่อวานมาก็บ่นกระปอดกระแปดว่าไกล เลยไม่ค่อยกล้าชวน” ผมตอบ “งั้นมาช่วยพี่เลือกหน่อยสิ พรุ่งนี้เรียนเสร็จแล้วมาเลยไหม”

“ได้เลยฮะพี่อู” ป้อมตอบ

“งั้นพรุ่งนี้เจอกัน ฝันดีนะป้อม” ผมพูด

“ฮะ ฝันดีเช่นกันฮะพี่อู” ป้อมตอบ

หลังจากที่วางสาย เมื่อเดินผ่านโต๊ะผู้จัดการ แป๋งก็หรี่ตามองดูผม พลางทำเสียงจึ๊กจั๊กกวนประสาท

“เพื่อนเรานี่มีสายเข้าทุกวันเลยเว้ยเฮ้ย” แป๋งพูดพลางทำหน้ากวน “วิ่งจนหัวบันไดไม่แห้งเลย”

“สายเข้าทุกวันที่ไหน นายไม่ค่อยได้ลงมาข้างล่าง อย่ามามั่ว” ผมไม่ยอมรับ

“มั่วอะไร พี่พรเป็นคนพูดเองว่ามีโทรศัพท์ถึงนายทุกวัน” แป๋งแฉ ดีที่ไม่มีใครอยู่ใกล้ๆในเวลานั้น

พี่พรนะพี่พร ไม่นึกเลยว่าจะเอาผมไปเม้า

“นักเรียนที่เรียนพิเศษกับเราน่ะ ช่วงนี้ติวหนัก กลัวมันขี้เกียจ เลยบังคับให้มันโทรมารายงานทุกวัน” ผมทำไร่สตรอเบอรี่ คิดได้ยังไงเนี่ย เหตุผลแบบนี้ แต่ฟังดูก็เข้าที

“อ้อ” แป๋งหัวเราะ ทำสีหน้ากวนเป็นที่สุด “เหรอ”

“เออ” ผมตอบ “ ไม่คุยแล้ว จะรีบขึ้นไปทำงาน”

ผมตัดบท พลางรีบเดินหนีไปทันที

ช่วงนี้ป้อมโทรมาหาผมทุกวันจริงๆ โดยจะโทรมาในเวลาประมาณสองทุ่ม ผมรู้ดีว่าการโทรเช่นนี้คงสร้างความระแวงให้แก่พี่พร รวมทั้งคนที่ชั้นสี่ก็อาจสงสัยด้วย เพราะได้ยินเสียงพี่พรตามตัวทุกวัน แต่ผมกลับไม่ค่อยแคร์เท่าไรนัก ที่ห่วงก็คือกลัวว่าป้อมจะไม่โทรมาหาทุกวันต่างหาก แม้ป้อมจะโทรมาคุยเพียงวันละห้านาที ซึ่งไม่ได้มากมายอะไร เพียงคุยทักทายกันสั้นๆ แต่วันใดที่ป้อมโทรมาช้า ผมจะรู้สึกกระวนกระวายมาก