Saturday, March 26, 2011

ภาคสี่ ตอนที่ 27

“ถ้าคุณถามหนุ่ยมาแล้วคุณก็ต้องรู้สิว่าเราแค่นัดเจอกันเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น” ผมพูด

“คุณก็ลองเล่ามาสิว่าไปทำอะไรมาบ้าง” เอกไม่ยอมตอบแต่รุกถามอีก

ผมรู้แล้วว่าเอกต้องการสอบปากคำผมนั่นเอง เอกคงถามหนุ่ยแล้วแต่ไม่เชื่อเรื่องที่หนุ่ยเล่าจึงมาถามผมอีกครั้งหนึ่งว่าเราสองคนพูดตรงกันหรือเปล่า

ไอ้หนุ่ยมันเล่าอะไรไปบ้างนะ ผมคิดในใจ เรื่องกินข้าวคงเล่าได้ ไม่น่ามีอะไร แต่ว่าเรื่องดูหนังนี่สิ น่าคิดอยู่เหมือนกัน มันหมิ่นเหม่ที่จะทำให้เข้าใจผิดได้เหมือนกัน จะเล่าหรือไม่เล่าดีนะ ผมไม่แน่ใจว่าหนุ่ยกล้าเล่าเรื่องดูหนังให้เอกฟังหรือไม่ หากเราเล่าไม่ตรงกันเรื่องคงไม่จบง่ายๆ

“เรากินอาหารกันมื้อหนึ่ง แล้วก็ดูหนัง จากนั้นก็แยกกัน ต่างคนต่างกลับ” ผมตัดสินใจเล่าเรื่องดูหนังด้วยในที่สุด

“พวกคุณตกลงกันเอาไว้ก่อนแล้วละสิ” เอกแค่นเสียง

“เล่ายังไงก็ไม่เชื่ออยู่ดี ถ้างั้นคุณจะถามทำไม” ผมชักเคือง

“ผมจะต้องเค้นความจริงออกมาให้ได้” เอกพูด “ไอ้หนุ่ยปากแข็งมาก ผมซ้อมมันจนปากแตกมันก็ยังไม่พูดความจริง”

“เฮ้ย คุณซ้อมแฟนคุณเลยเหรอ” ผมตกใจ

“เป็นห่วงมันหรือไง” เอกถามเสียงราบเรียบเหมือนกับคุยเรื่องทั่วๆไป “มันนอนหมอบอยู่ข้างๆนี่เอง”

สัญญาณโทรศัพท์ถูกตัดเพราะครบเวลาห้านาทีแล้ว

“โธ่เอ๊ย เสือกมาตัดสายตอนนี้” ผมอดบ่นกับตัวเองไม่ได้

จากนั้นก็มีคนในหอมาใช้โทรศัพท์ต่อ ผมรู้สึกร้อนรนกระวนกระวายใจ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหนุ่ยบ้าง เอกกับหนุ่ยตอนนี้อยู่ที่ไหน ทำไมเอกถึงทำรุนแรงกับหนุ่ยได้โดยที่ไม่มีใครห้ามปราม แม้ว่าในชีวิตของผมจะเคยห็นการใช้ความรุนแรงในครอบครัวมาหลายต่อหลายครั้งแต่ก็เป็นเรื่องแบบผัวเมียตีกัน นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้รับรู้ถึงการใช้ความรุนแรงของคู่เกย์ มิหนำซ้ำยังเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับคนใกล้ตัวเสียอีก

ผมเดินกระวนกระวายอยู่ที่ชั้นล่างของหอพักเพื่อรอให้โทรศัพท์ว่าง หากโทรศัพท์ว่างเมื่อไรเอกคงโทรมาอีก แต่จนแล้วจนรอดโทรศัพท์ก็ไม่ว่างเสียที ผมเดินกระวนกระวายไปมาอยู่นานจนพี่พรรำคาญ

“วันนี้น้องอูเป็นอะไรไป ดูลุกลี้ลุกลน” พี่พรถาม “พี่ดูน้องอูเดินจนพี่เวียนหัวแล้ว”

“ผมลุกลี้ลุกลนหรือครับ” ผมยังไม่รู้ตัวเอง “กำลังรอโทรศัพท์อยู่น่ะครับ”

“นั่งรอเฉยๆก็ได้นะ ไม่ต้องเดินหรอก” พี่พรแนะนำ แม้ว่าคำพูดจะเป็นการแนะนำแต่ว่าน้ำเสียงกลับเป็นเชิงบังคับ

“เอ้อ ครับพี่” ผมรับคำ จากนั้นก็หยุดเดินและนั่งลง

“มีเรื่องอะไรร้อนใจหรือเปล่า” พี่พรถามอีก

“เอ้อ...” จะตอบยังไงดีหว่า “คือ... เพื่อน อ้อ เพื่อนมีเรื่องเดือดร้อนน่ะครับ”

พี่พรพยักหน้า โชคดีที่ไม่ถามอะไรต่ออีก

ผมรออยู่เกือบชั่วโมง แม้ว่าตอนที่สายของเอกถูกตัดไปนั้นมีคนใช้โทรศัพท์ต่อมาอีกสองสามคน แต่หลังจากนั้นแล้วโทรศัพท์ก็ว่าง เอกกลับไม่โทรมาอีกเลย จนถึงเวลาสี่ทุ่มกว่าผมก็รอไม่ไหวและกลับขึ้นไปที่ห้อง

ห้าทุ่ม...

“น้องอู รับโทรศัพท์” เสียงพี่พรดังจากอินเตอร์คอมประจำชั้นสี่

คนที่โทรมาคงไม่ใช่ใครอื่น ต้องเป็นเอกแน่ ผมขานรับจากนั้นก็รีบวิ่งลงไปที่ชั้นล่าง

“ฮัลโหล” ผมรับสาย

“เรามาคุยกันต่อ” เสียงของเอกนั่นเอง เอกพูดด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ ไม่ได้แสดงความโมโหออกมาเลย แต่ผมกลับรู้สึกว่าท่าทีแบบนี้กลับน่ากลัวยิ่งกว่าการโมโหโวยวายเสียอีก

“ผมไม่เชื่อหรอกว่าพวกคุณไม่มีอะไรกัน” เอกพูด “รับมาเสียดีๆ”

“ก็ในเมื่อมันไม่มีแล้วคุณจะให้ผมรับได้ยังไง” ผมพูด

“ปากแข็งอีกคนล่ะ” เอกพูดอีก

ผมไม่กล้าถามถึงหนุ่ยว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างแม้ว่าอยากจะรู้แทบแย่ หากผมถามไปในตอนนี้เอกคงระแวงในตัวผมมากยิ่งขึ้น

“โอ๊ย ไม่รู้จะพูดยังไง” ผมชักหงุดหงิด “พูดแล้ววนเวียนเหมือนพายเรือในอ่าง”

“ก็รับมาเสียดีๆสิ” เอกตะล่อม

“ก็บอกว่าไม่ได้มีอะไรกันแล้วจะให้รับได้ยังไง” ผมยืนกราน

“เอาล่ะ” พรุ่งนี้หกโมงเย็นผมจะโทรมาอีกนะ คอยรับโทรศัพท์ของผมด้วยล่ะ” เอกพูด “เราจะคุยเรื่องนี้กันอีก คุณไปคิดดูให้ดี”

“คุยกี่ทีผมก็ตอบแบบนี้ คุณไม่ต้องโทรมาแล้ว” ผมตัดบท

“ผมจะโทรมา และคุณต้องคอยรับสายและตอบคำถามของผมอีก” เอกพูดช้าๆด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ แต่ผมกลับหนาววูบไปถึงขั้วหัวใจ จู่ๆก็รู้สึกกลัวขึ้นมา... กลัวอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน

- - -

“โอ๊ย ตายห่าแล้วไอ้อู” เสียงพี่ตั้วเอะอะมาจากหน้าประตูชมรม

เมื่อพี่ตั้วเดินเข้ามาในห้องชั้นใน เห็นในมือพี่ตั้วมีชีตปึกเบ้อเร่ออยู่ มันเยอะจนต้องถือด้วยสองมือ ตอนนั้นเป็นเวลาหลังเลิกเรียน น้องๆปีหนึ่งอยู่กันเต็มไปหมด รวมทั้งไอ้กี้ด้วย

“มีอะไรครับพี่” ผมถาม

“นายดูผลงานของนายสิ” พี่ตั้วโดยกองชีตในมือบนโต๊ะเสียงดังโครม “พิมพ์ผิดเละเทะเลย”

“ไหนพี่” ผมหน้าร้อนวูบขึ้นมาทันที

พี่ตั้วหยิบชีตขึ้นมาชุดหนึ่ง จากนั้นเอาปากกาวงตรงนั้นตรงนี้รวมแล้วสิบกว่าวง มันเป็นชีตวิชาแคลคูลัสที่ผมเป็นคนพิมพ์ต้นฉบับนั่นเอง วันนี้หลังจากที่พิมพ์งานเสร็จในช่วงเที่ยงผมก็รีบส่งให้พี่ตั้วจากนั้นก็ลงไปเรียน ส่วนพี่ตั้วคงใช้เวลาในช่วงบ่ายนำมันไปถ่ายเอกสาร เมื่อผมเลิกเรียนภาคบ่ายก็รีบขึ้นมาที่ชมรม เพิ่งนั่งได้ไม่นานพี่ตั้วก็ขึ้นมา

“เอ้า แหกตาดูซะ” พี่ตั้วพูดเสียงหงุดหงิด “พี่เอาไปถ่ายเอกสารเสียเงินไปตั้งหลายร้อยบาท”

ทุกคนที่อยู่ในห้องพากันล้อมวงดู เมื่อเพ็ญดูรอยวงกลมของพี่ตั้วทั้งหมดก็อุทานขึ้นมา

“ตายละ ผิดเยอะแยะเลย” เพ็ญพูดพลางหันมามองหน้าผม

“ก็ใช่น่ะสิ แบบนี้แจกได้ที่ไหนล่ะ” พี่ตั้วบ่นอีก “ทำไมทำงานชุ่ยยังงี้วะ”

ตามปกติขั้นตอนในการพิมพ์ต้นฉบับชีตนั้นผมต้องตรวจทานดูหลายรอบ ทั้งตรวจบนหน้าจอและพิมพ์ออกมาเป็นกระดาษแล้วตรวจทาน หลังจากตรวจแล้วก็แก้ที่ผิดให้เรียบร้อย จากนั้นจึงนำงานไปส่งให้พี่ตั้ว ปกติก็มีผิดบ้างนิดๆหน่อยๆเท่านั้น พี่ตั้วจึงไว้วางใจผมมาก แต่งานที่เพิ่งพิมพ์เสร็จในวันนี้มีที่ผิดเยอะจริงๆ

“ขอโทษครับพี่” ผมจ๋อย ในยุคนั้นระบบอาวุโสยังเหลืออยู่บ้าง รุ่นน้องยังต้องเคารพรุ่นพี่อยู่ ถึงโดนด่าแรงก็ไม่กล้าเถียง อีกอย่างคือผมผิดเองจริงๆ

“อูเค้าพิมพ์ชีตมาตั้งหลายชุด เพิ่งผิดจังๆครั้งนี้เอง คนเราทำผิดกันได้นะคะพี่...” เพ็ญพูด เมื่อพูดถึงตอนท้ายก็ชะงักคำพูดไป

“ก็เพราะพิมพ์มาหลายชุดน่ะสิ ครั้งนี้ถึงไม่ควรผิด” พี่ตั้วบ่นอีก “เสียดายเงินจริงๆเลย”

“พรุ่งนี้ผมแก้ให้ครับ คราวนี้จะตรวจให้ดี ไม่ให้ผิดอีก” ผมยอมรับผิด ผลงานก็เห็นอยู่ ไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไร ซวยจริงๆ ไม่น่าแวะขึ้นมาที่ชมรมหลังเลิกเรียนเลย “ผมออกค่าชีตที่เสียไปคืนให้ชมรมก็ได้ครับ”

“หนอย ทำอวดรวย” พี่ตั้วยังไม่หายหงุดหงิด แขวะใส่ผมอีก “รีบๆแก้เสียก่อน เรื่องอื่นค่อยมาว่ากันทีหลัง พี่จะได้เอาไปถ่ายเอกสารใหม่”

“วันนี้ต้องรีบกลับครับพี่” ผมพูดพลางคว้าเป้ขึ้นสะพายไหล่ ดูนาฬิกาที่ข้อมมือ เห็นเป็นเวลาสี่โมงครึ่งแล้ว “พรุ่งนี้ผมจะรีบมาแก้ให้แต่เช้าเลยครับ”

“อะไรวะ” พี่ตั้วโวย

“พี่ตั้วคะ ใจเย็นๆ” เพ็ญรีบปราม “พรุ่งนี้ก็ดีค่ะ จะได้มีเวลาเยอะหน่อย รีบเกินไปก็จะพลาดอีกนะคะ”

เมื่อพี่ตั้วได้ยินดังนั้นจึงหยุดโวย จากนั้นก็เดินไปนั่งหน้างออยู่ที่โต๊ะทำงาน ส่วนผมก็รีบเดินออกจากชมรมไป

“อู อู คอยเดี๋ยว” ผมได้ยินเสียงเรียกไล่หลังเมื่อเดินลงบันไดมาจนถึงชั้นล่าง เป็นเสียงของเพ็ญนั่นเอง “เดี๋ยวก่อน อู ขอคุยด้วยหน่อย”

“มีอะไรเหรอเพ็ญ” ผมถาม

“เห็นเธอโดนพี่ตั้วอัดเสียหนัก ก็เลย... ก็เลย...” เพ็ญอึกอัก

“ฮื่อ เพิ่งขึ้นไปก็โดนด่าเลย” ผมอดบ่นไม่ได้ “ทำงานหนักแล้วยังโดนด่าอีก รู้งี้นั่งร้องเพลงแบบไอ้กี้ดีกว่า ไม่ทำอะไรก็ไม่มีอะไรให้ทำผิด”

“อย่าไปคิดยังงั้นสิ” เพ็ญพยายามปลอบใจ “ว่าแต่... เราสังเกตว่าวันนี้อูดูใจลอยจริงๆนะ ตอนตรวจงานพิมพ์เราก็สังเกตว่าอูไม่ค่อยมีสมาธิ”

“คงนอนดึกมั้ง” ผมพูดอ้อมแอ้ม ที่จริงก็ไม่ได้โกหก เมื่อคืนผมนอนไม่ค่อยหลับจริงๆ เรื่องของเอกและหนุ่ยรบกวนจิตใจของผมมาก

“งั้นไปหาอะไรกินที่โรงอาหารกันไหม เผื่อจะสบายใจขึ้น” เพ็ญชวน

“วันนี้เราต้องรีบกลับ” ผมยกมือขึ้นดูนาฬิกา

“วันนี้อูมีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่า” เพ็ญถามตรงๆ

“เอ้อ” ผมอึ้งไป ไม่นึกว่าเพ็ญจะดูออก “ทำไมเพ็ญคิดยังงั้นล่ะ”

“ก็ดูออกนี่” เพ็ญตอบ “อูน่ะดูง่ายจะตาย เธอมีอะไรอยู่ในใจสีหน้าของเธอมันบอกออกมาหมด”

“โห” เพ็ญพูดจนผมรู้สึกเขิน “นี่เราอ่านง่ายถึงขนาดนั้นเลยเหรอ”

“ฮื่อ” เพ็ญตอบพลางหัวเราะเช่นกัน

ผมรู้สึกหวิวๆอยู่ในใจ คำพูดในลักษณะนี้เคยมีคนพูดกับผมนานมาแล้ว... ตั้งแต่เมื่อครั้งที่เรายังเป็นเด็กอยู่... ไม่เอา... ไม่คิด ไม่คิด...

“พี่ตั้วไม่น่าฉีกหน้าเธอขนาดนั้นเลย เป็นใครก็ต้องเสียหน้า” เพ็ญพยายามปลอบใจ “เธอก็อย่าเก็บเอาไปคิดเลยนะ”

“ฮื่อ ไม่คิดหรอก” ผมมุสา แต่แล้วก็อดพูดไม่ได้ “ทำไมพี่ตั้วถึงได้อารมณ์เสียกับเราขนาดนี้ก็ไม่รู้ เรื่องก็ไม่ใช่ใหญ่โตอะไร เฮ้อ ปวดหัว”

“ปวดหัวก็ไปนั่งเล่นเย็นใจที่โรงอาหารกันก่อนก็ได้” เพ็ญชวนอีก “เรารู้นะว่าเธอไม่สบายใจ”

“เราต้องรีบกลับ วันนี้ไม่ได้จริงๆ” ผมพูด พลางดูนาฬิกาข้อมืออีก คุยกันไปคุยกันมาตอนนี้ ๑๖.๕๐ น.แล้ว “ต้องรีบกลับแล้วละเพ็ญ พรุ่งนี้ค่อยคุยกันต่อนะ”

ผมพูดจบก็รีบเดินจากเพ็ญมาในทันที

- - -

ผมมีเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงกับอีกสิบนาทีเพื่อที่จะกลับมาถึงหอพักให้ทันหกโมงเย็น ด้วยความที่ติดโน่นติดนี่อยู่ที่มหาวิทยาลัย ประกอบกับรถติด แม้ว่าผมจะรีบวิ่งกระหืดกระหอบมาตั้งแต่ที่ป้ายรถเมล์ แต่กว่าผมจะกลับถึงหอพักก็หกโมงครึ่ง เข้าไปแล้ว

เมื่อผมเข้าไปในหอพัก พอพี่พรเห็นผมก็ทำหน้าแปลกๆ

“น้องอูหอบแฮ่กมาเชียว” พี่พรทัก

“เหนื่อยครับ วิ่งมา” ผมตอบพลางหอบหายใจ

“นี่เราไปทำอะไรมา” พี่พรถาม “เมื่อเย็นมีโทรศัพท์มาหาน้องอูหลายครั้ง ก็เจ้าเก่านั่นแหละ”

“เหรอครับ” ผมไม่รู้จะพูดอะไรดี

“มันไม่ใช่แค่นั้นนะ พี่บอกว่าน้องอูยังไม่กลับ วันนี้เค้าเลยบอกว่าเค้าเป็นแฟนของคนชื่อหนุ่ย และยังบอกอีกว่าน้องอูไปแย่งแฟนเค้ามา ที่เค้าโทรมาก็เพื่อจะเจรจากับอูให้รู้เรื่อง” พี่พรพูด

“หา” ผมตกใจ รู้สึกใจสั่น มือเย็นเฉียบ ทำอะไรไม่ถูก “มันพูดยังงั้นเลยเหรอครับ”

“ยังไม่จบ” พี่พรพูด ผมรู้สึกเสียววูบ นึกถึงรถไฟเหาะตีลังกาที่แดนเนรมิตขึ้นมา “ตอนพี่พรรับสาย เค้าบอกแบบนี้แล้วก็วางสายไป สักพักก็โทรมาใหม่ ครั้งหลังคนอื่นช่วยรับสายเค้าก็พูดแบบนี้อีก”

“ถ้ายังงั้น...” ผมรู้สึกเครียดหนักขึ้นมาทันที มือที่เย็นเฉียบนั้นยิ่งเย็นจนผมรู้สึกว่ามันสั่นระริก ถ้าเช่นนั้นความลับของผม...

“ใช่ ป่านนี้รู้กันหมดทั้งหอแล้ว...” พี่พรพยักหน้า “เค้ายังบอกว่าจะโทรมาอีก”



<ซอฟต์แวร์สำเร็จรูปที่ใช้กับเครื่องพีซีในยุคนั้นนอกจากโปรแกรมซียูเวิร์ดซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ด้านประมวลผลคำยอดนิยมแล้ว ซอฟต์แวร์ด้านคำนวณยอดฮิตในสมัยนั้นไม่ใช่ Exel แต่เป็นโปรแกรมโลตัส 1-2-3 (Lotus 1-2-3) โลตัสไม่ใช่ซอฟต์แวร์ด้านสเปรดชีตตัวแรก ถ้ากล่าวถึงเส้นทางของซอฟต์แวร์สเปรดชีต ตัวแรกน่าจะเป็น visicalc บนเครื่องแอปเปิล จากนั้นจึงมาสู่ยุคของ Supercalc ซึ่งมีทั้งบนเครื่องแอปเปิลและเครื่องพีซี จากนั้นจึงเป็น Lotus 1-2-3 บนเครื่องพีซีระบบปฏิบัติการดอส และจากนั้นจึงเป็นยุคของ MS Excel บนระบบปฏัติการวินโดวส์ ที่เห็นในภาพเป็นภาพหน้าจอของโลตัส 1-2-3 บนดอสในยุคที่ผมเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย>

Friday, March 11, 2011

ภาคสี่ ตอนที่ 26

ผมใจกล้าๆกลัวๆ ใจหนึ่งก็อยากลอง ส่วนอีกใจหนึ่งก็รู้สึกขัดเขิน มันดูประเจิดประเจ้อเกินไปหน่อย กลัวว่าใครจะมาเห็นเข้า จริงอยู่ แม้ว่าโรงหนังจะมืดแต่ก็ไม่ถึงกับมืดสนิทเสียทีเดียว หากใครเดินผ่านก็ยังพอเห็นได้ว่ามีผู้ชายสองคนนั่งกอดกันอยู่

แต่ในที่สุดความอยากลองมีมากกว่า ผมจึงเอาแขนไปโอบรอบลำตัวของหนุ่ย เมื่อหนุ่ยรู้ว่าผมสวมกอดก็ยิ่งซุกตัวเข้ามาใกล้ผมมากยิ่งขึ้น ร่างของหนุ่ยขดอยู่ข้างๆกายของผมราวกับเป็นลูกแมวน้อยตัวหนึ่ง

เราอยู่ใกล้กันจนผมสามารถได้กลิ่นกายชายจากตัวของหนุ่ย กลิ่นกายชายเป็นกลิ่นตัวอ่อนๆ อาจผสมด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆของสบู่บ้าง และหากเหงื่อไหลไคลย้อยมาทั้งวันก็จะผสมกลิ่นเหงื่อเข้าไปด้วย ไม่ค่อยมีกลิ่นน้ำหอมมาปนเนื่องจากนักศึกษาชายในยุคนั้นไม่ค่อยมีคนใช้น้ำหอมหรือโคโลญจน์กัน แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่ปีก็เป็นยุคของผู้ชายเมโทรเซ็กชวล (metrosexual) ที่เอาใจใส่ดูแลบุคลิกภาพของตนเองและมักใช้น้ำหอม โคโลญจน์ หรือเครื่องสำอางบำรุงผิว กลิ่นกายของผู้ชายเมโทรจึงมักถูกกลบด้วยกลิ่นของเครื่องหอมแทน

ผมรู้สึกใจหวั่นไหวอย่างประหลาด ไออุ่นและกลิ่นกายชายของหนุ่ยทำให้ผมรู้สึกดีมาก... มันเป็นความรู้สึกที่เต็มอิ่มกว่าการได้สนิทชิดใกล้กับชายคนอื่นๆเท่าที่ผ่านมา

เมื่อก่อนตอนที่ได้สวมกอดไอ้นัยนั้นเรายังค่อนข้างเด็กอยู่ ความรู้สึกยังมีความเป็นเพื่อนเจือปนอยู่มาก ต่อมาเมื่อได้มาสวมกอดบอยแม้ว่าตอนนั้นจะมีจิตปฏิพัทธ์บอยอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่รู้ว่าบอยคิดกับผมอย่างไร อีกทั้งการสวมกอดยังต้องทำให้แนบเนียน ไม่สามารถทำอย่างโจ่งแจ้งได้ ต้องทำให้เหมือนกับไม่ได้ตั้งใจ ดังนั้นจึงเหมือนยังมีระยะห่างของความรู้สึกอยู่

ส่วนตอนที่อยู่กับโอ๋นั้นมีแต่ความใคร่เสียมากกว่า จึงไม่ค่อยรู้สึกอะไรตอนอยู่ใกล้ชิดโอ๋เท่าไรนัก แต่กับหนุ่ยนั้นแตกต่างกันมาก ผมมีโอกาสได้กอดหนุ่ยด้วยความเต็มใจทั้งสองฝ่าย... ความรู้สึกในแบบชายกับชายที่ไม่ถูกกีดกั้นด้วยม่านทางจารีตและค่านิยมในสังคม... เป็นความรู้สึกที่เหมือนกับว่าเราเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันในท่ามกลางสังคมของเผ่าพันธุ์อื่น... การสวมกอดหนุ่ยได้เติมเต็มอารมณ์ของผมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“ฮือ...” ได้ยินเสียงหนุ่ยครางเบาๆ

“ยังหนาวเหรอ” ผมถามหนุ่ยเบาๆ กอดหนุ่ยแน่นขึ้นอย่างทะนุถนอม

“เปล่า... แต่หนุ่ยมีความสุข” หนุ่ยตอบ

ผมกอดหนุ่ยเอาไว้อย่างนั้น แม้กายของผมจะนิ่งงัน แต่ใจนั้นปั่นป่วนเป็นระลอกใหญ่ หัวใจเต้นระทึก อยากทำอะไรที่มากไปกว่านั้นแต่ก็ไม่กล้า... ผมกอดหนุ่ยอยู่นานพอควรจนในที่สุดก็ต้องคลายกอดออกเนื่องจากมาคนเดินผ่านไปมา และหลังจากนั้นเราก็ไม่ได้กอดกันอีก

- - -

กว่าที่เราสองคนจะออกจากโรงหนังก็เป็นเวลาประมาณหกโมงเย็น ท้องฟ้าในยามฤดูหนาวเริ่มครึ้มแล้ว ม่านแห่งวิกาลค่อยๆคลี่คลุมลงมา ในที่สุดก็ถึงเวลาที่เราจะต้องแยกจากกัน

“ฟ้ามืดเร็วเสียด้วย หนุ่ยคงต้องรีบกลับหน่อยแล้วล่ะ” ผมพูดขึ้นขณะที่เราเดินอยู่หน้าโรงหนัง “อ้อ ลืมบอกไป หากจะโทรหาเราให้บอกคนรับว่าเรียกห้องเบอร์ ... ดีกว่า ไม่ต้องบอกชื่อเราหรอกเพราะบางทีคนรับสายก็จำชื่อผู้เช่าไม่ได้”

ผมพูดดักเอาไว้ก่อนเพราะเกรงว่าหากหนุ่ยโทรไปแล้วบอกว่าขอพูดกับปูความรื่องชื่อปลอมก็จะแตก ทีแรกตอนที่ให้เบอร์หนุ่ยก็ลืมนึกถึงข้อนี้ไป

“โหย ค่ำอย่างนี้หนุ่ยกลับบ้านไม่ได้แล้วล่ะ” หนุ่ยพูด “กว่าจะถึงคงดึก”

“อ้าว แล้วจะทำไงล่ะ” ผมสงสัย

“ก็ให้หนุ่ยไปนอนค้างที่ห้องปูสักคืนหนึ่งสิ พรุ่งนี้เช้าหนุ่ยค่อยกลับ” หนุ่ยพูดหน้าตาเฉย

“หนุ่ยไม่ได้เตรียมเสื้อผ้ามาเลยนี่” ผมถาม

“หนุ่ยใส่กางเกงในนอนก็ได้” หนุ่ยตอบ

“เอ้อ ไม่ค่อยเหมาะมั้ง” ผมเริ่มระวังตัวขึ้นมาทันที ไม่รู้เหมือนกันว่าตนเองหมายถึงอะไรกันแน่ที่ว่าไม่เหมาะ เรื่องการนอนค้างคืนที่ห้องของผมหรือว่าการใส่กางเกงในนอน...

“แล้วปูจะปล่อยให้หนุ่ยกลับทั้งมืดๆอย่างนี้เหรอ หนุ่ยกลัว ไม่เคยเดินทางกลางคืนคนเดียว ไม่สงสารหนุ่ยบ้างหรือไง” หนุ่ยทำเสียงอ้อนเหมือนกับคนที่หมดหนทางจนจะร้องไห้ แถมท้ายยังต่อว่าผมเสียอีก

“ไม่ใช่ไม่สงสารหนุ่ย” ผมรีบแก้ตัว “แต่ว่าห้องเราไม่ค่อยสะดวกน่ะ คือ คือ คือ เอ้อ ช่วงนี้พี่ชายเรามาพักอยู่ด้วยน่ะ”

“ปูไม่เคยพูดเรื่องที่พี่ชายมาพักด้วยเลยนี่” หนุ่ยทำเสียงเหมือนไม่ค่อยเชื่อ

“พี่ชายเราก็ไปๆมาๆแบบนี้เสมอ อีกอย่าง หนุ่ยไม่เคยบอกว่าจะมาพักด้วยนี่ เราก็เลยไม่ได้พูดอะไรเรื่องพี่ชาย”

“ไม่รู้ล่ะ ปูต้องช่วยหนุ่ยแก้ปัญหาด้วย มืดค่ำแบบนี้หนุ่ยไม่กล้ากลับแล้ว” หนุ่ยพูดเสียงเครือราวกับว่าหากกลับไปในตอนนี้คงไม่แคล้วถูกฉุดคร่าเป็นแน่

“แล้วทำไมหนุ่ยไม่พักกับพี่สาวล่ะ อยู่แถวนี้เอง” ผมพยายามบ่ายเบี่ยง

“เขาพักกับเพื่อนผู้หญิง ห้องหนึ่งอยู่กันหลายคน หนุ่ยไปพักด้วยไม่ได้หรอก มันไม่สะดวก” หนุ่ยอ้าง

“อ่า เอาไงดีหว่า” ผมชักหนักใจ แต่แล้วก็คิดออก “แถวนี้มีโรงแรมตั้งหลายแห่ง เขียนว่ามีแบบชั่วคราวด้วย ลองไปถามราคาดูไหม”

ย่านสะพานควายในยุคนั้นมีโรงแรมที่ชื่อโรงแรมเป็นตัวเลขอยู่ด้วย จำได้ว่าอยู่ไม่ไกลนัก ซึ่งมันก็คือโรงแรมม่านรูดนั่นเอง ซึ่งผมคิดว่าถึงจะม่านรูดหรือไม่ม่านรูดก็น่าจะเข้าพักแก้ขัดได้สักคืนหนึ่ง

“ดีเหมือนกัน” หนุ่ยมีสีหน้าสดชื่นขึ้นทันที “ปูพาไปหน่อยสิ”

“กินอาหารเย็นกันก่อนไหม” ผมแนะนำ “หนุ่ยเข้าพักแล้วจะได้ไม่ต้องออกมาหาอะไรกินอีก แล้วเราก็จะได้แยกกลับ วันพรุ่งนี้หนุ่ยก็รีบกลับแต่เช้า”

“อ๊าว” หนุ่ยโวย “จะทิ้งหนุ่ยให้นอนในโรงแรมคนเดียวได้ไง ปูต้องนอนเป็นเพื่อนหนุ่ยด้วยสิ นะปูนะ”

ผมชักลังเลใจ ความหล่อของหนุ่ยบวกกับความขี้อ้อนทำให้ผมรู้สึกดีกับหนุ่ย ผมรู้ดีว่าหากเรานอนด้วยกันแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ที่จริงผมก็อยากมีความสุขเล็กๆน้อยๆกับหนุ่ยอยู่เหมือนกัน

“เอ้อ...” ผมลากเสียงลังเล

“ไม่ต้องเอ้อแล้ว ปูจะทิ้งหนุ่ยไปได้ไง” หนุ่ยย้ำอีก

หากจะมีความสุขกันเล็กๆน้อยๆผมไม่ถือสาอะไร แต่หากผมค้างคืนกับหนุ่ยผมกลัวว่าผมเองจะยั้งใจไม่ได้จนมีอะไรกันเลยเถิด ผมคิดหนัก... ต่างคนต่างก็มีวิธีคิดของตนเอง สำหรับผมนั้นผมไม่ต้องการมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับใครที่ผมไม่ได้รัก มันก็ไม่เชิงว่าคนคนนั้นต้องเป็นไอ้นัยเพราะตอนนั้นเรื่องของไอ้นัยก็ผ่านมาหลายปีแล้ว การขาดการติดต่อกันโดยสิ้นเชิงทำให้ภาพของไอ้นัยเริ่มลางเลือนไปแล้ว... คนผู้นั้นอาจเป็นคนอื่นก็คงได้แต่ขอให้เป็นคนที่ผมมอบหัวใจรักให้... จริงอยู่ แม้หนุ่ยกับผมจะถูกอัธยาศัยกันและผมรู้สึกดีกับหนุ่ยมาก แต่หากจะพูดคำว่ารักแล้วมันยังห่างอยู่อีกช่วงหนึ่ง... ช่วงใหญ่ทีเดียว...

ด้วยความที่ผมเป็นเพียงปุถุชนคนหนึ่ง หากค้างคืนกันสองต่อสอง ความหล่อกับความอ้อนของหนุ่ยคงทำให้ผมยากที่จะหักห้ามใจตนเองได้เป็นแน่...

“เราคงช่วยหนุ่ยได้เท่านี้เพราะเราเองก็ต้องกลับหอ หากเราไม่กลับไปนอนที่หอพี่ชายเกิดเอาไปฟ้องพ่อแม่ว่าเราเหลวไหลเราคงเดือดร้อน” ผมตัดสินใจพูดอย่างรวบรัด แม้จะฟังดูถูไถไปบ้างแต่ก็ตัดรอนอย่างชัดเจน “หนุ่ยเลือกเอาก็แล้วกันว่าจะกลับบ้านตอนนี้หรือจะนอนค้างคืนคนเดียวในโรงแรม”

ด้วยน้ำเสียงที่ไม่เปิดโอกาสให้หนุ่ยต่อรองทำให้หนุ่ยอึ้งไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็พูดเสียงอ่อยๆ

“งั้นหนุ่ยกลับก็แล้วกัน หนุ่ยไม่กล้านอนในโรงแรมแบบนี้คนเดียวหรอก”

น้ำเสียงของหนุ่ยทำให้ผมแทบใจอ่อน แต่ในเมื่อผมตัดสินใจพูดแล้วผมก็คงกลับคำอีกไม่ได้ ผมตัดสินใจตัดไฟเสียแต่ต้นลมดีกว่า ในที่สุดผมก็ส่งหนุ่ยขึ้นรถเมล์ที่หน้าโรงหนังมงคลรามานั่นเองเพื่อไปยังสถานีขนส่งสายใต้

“หวัดดีหนุ่ย แล้วโทรคุยกันอีกนะ หรือจะเขียนจดหมายก็ได้” ผมกล่าวลาหนุ่ยขณะที่ส่งหนุ่ยขึ้นรถไป

- - -

“เอ้า เพ็ญ กินขนมหน่อย เพิ่งหายไข้ต้องบำรุงหน่อย” พี่ตั้วเดินเข้ามาในห้องชั้นในของชมรมพร้อมกับชูถุงขนมในมือ

“กินขนมแล้วมันจะบำรุงตรงไหน ไม่ใช่ยาบำรุงสักหน่อย” ผมกวน

“เสือก ไม่ได้เอามาให้นายกิน” พี่ตั้วดุ

“ก็อยากเสือกน่ะ มีอะไรมั้ย” ผมหน้าด้าน ไม่เลิกกวน จากนั้นก็หันไปพูดกับเพ็ญ “เพ็ญกินคนเดียวไม่หมดเนอะ แบ่งกันดีกว่า”

“พี่ตั้วเค้าซื้อมาฝากพวกเราทุกคนนั่นแหละ ก็แบ่งๆกัน” เพ็ญพูดแบบพยายามรักษาน้ำใจ

“แบ่งๆกันกินก็ได้ แต่ไม่ให้ไอ้อูกิน มันกวนโอ๊ยนัก” พี่ตั้วพูดพลางหัวเราะ

หลังจากที่เพ็ญกลับมาเรียนอีกครั้งหนึ่ง เพ็ญก็เชื่อคำแนะนำของผมที่พยายามอย่าอยู่ว่างจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน ดังนั้นเพ็ญจึงกลับมาทำงานที่ชมรมอีกครั้งหนึ่งโดยพี่ตั้วมอบหมายให้เพ็ญทำหน้าที่ทำชีตเฉลยแบบฝึกหัดวิชาแคลคูลัสของเทอมสอง ในเทอมนี้เราได้ไอ้กี้กับเพื่อนที่ชื่อวัตรมาร่วมงานด้วยแต่เนื่องจากผมกับเพ็ญทำงานเข้าขากันดีอยู่แล้ว เพ็ญเขียนเฉลย ส่วนผมพิมพ์ต้นฉบับ ความคุ้นเคยกับลายมือของเพ็ญมาตั้งแต่เทอมที่แล้วทำให้งานค่อนข้างราบรื่น แทบจะทำกันเพียงสองคนก็ยังได้ ไอ้กี้กับวัตรหากจะช่วยก็คงช่วยอะไรไม่ได้มากนัก พี่ตั้วจึงมอบหมายไอ้สองคนนี้ทำอย่างอื่น การทำงานในชมรมเป็นไปอย่างสนุกสนานเพราะรุ่นพี่กับรุ่นน้องเข้าขากันได้ดี กว่าจะได้ปิดชมรมก็เย็นถึงค่ำทุกวัน เพ็ญเองก็มักอยู่จนปิดชมรม

การได้ทำงานเฉลยแบบฝึกหัดทำให้ผมเท่ากับว่าได้ความรู้เพิ่มเติมไปในตัว เพราะเมื่อผมสงสัยข้อใด เพ็ญก็มักอธิบายให้ผมฟัง แม้บางข้อจะเข้าใจยาก เพ็ญก็พยายามอธิบายจนผมเข้าใจ จนมคิดว่าเกรดวิชาแคลคูลัสในเทอมนี้ของผมคงไม่ผ่านแบบเน่าๆเหมือนเทอมที่แล้วเป็นแน่ ขณะเดียวกัน ในเวลากลางคืนและในวันหยุดผมก็แบ่งเวลาให้กับการดูหนังสือสอบเอนทรานซ์อย่างเอาจริงเอาจัง

- - -

“หวัดดีครับพี่พร” ผมทักทายพี่พร แม่บ้านประจำหอพักที่นั่งเฝ้าอยู่ที่ร้านค้าชั้นล่างของหอพัก ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบสามทุ่มแล้ว วันนั้นผมกลับดึกนิดหน่อย

“กลับเสียดึกเชียวน้องอู” พี่พรทักทาย “มีคนโทรศัพท์มาหาอูหลายครั้งแล้วตั้งแต่มื่อตอนเย็น ดูท่าจะมีธุระด่วน”

“เค้าฝากบอกอะไรหรือเปล่าครับ” ผมถาม คาดว่าอาจเป็นหนุ่ย ตอนนี้คนที่รู้เบอร์โทรศัพท์ของผมมีแต่คนที่บ้านกับหนุ่ยเท่านั้น

“ไม่ได้ฝากบอกอะไร ถามแต่ว่าเมื่อไรกลับ แล้วจะโทรมาอีก” พี่พรตอบ จากนั้นก็พูดเหมือนนึกได้ “อ้อ ไม่รู้ว่าพี่ฟังผิดหรือว่าคนที่โทรมาพูดผิด คือสำเนียงเค้าแบบคนกาญจน์น่ะ แต่พี่ว่าเค้าเรียกชื่อปูนะ ดีแต่ว่าบอกเลขห้องด้วยพี่เลยรู้ว่าหมายถึงอู”

อ้อ ถ้าอย่างนั้นคงเป็นหนุ่ยแน่เลย ถ้าสำเนียงแบบนั้นน่าจะเป็นหนุ่ยแต่พี่พรคงเข้าใจว่าเป็นสำเนียงกาญจนบุรี หนุ่ยมีธุระด่วนอะไรจึงต้องโทรมาหลายครั้งผมก็ยังนึกไม่ออกเหมือนกัน

ผมเดินขึ้นบันไดมาจนถึงชั้นสี่ เพิ่งจะเดินมาถึงหน้าห้องพัก ยังไม่ทันจะไขกุญแจเข้าไปในห้อง ก็ได้ยินเสียงออดของอินเตอร์คอมที่ติดอยู่ที่ทางเดินของชั้นสี่ดังขึ้น

“น้องอู ชั้นสี่ รับโทรศัพท์” เสียงพี่พรลั่นออกมาทางลำโพงของอินเตอร์คอม

“คร้าบ ลงไปเดี๋ยวนี้” ผมร้องตอบพร้อมทั้งรีบเดินลงไปชั้นล่างอีกครั้งหนึ่ง

เมื่อผมเดินลงไปถึงชั้นล่าง พี่พรก็บุ้ยใบ้ไปทางหูโทรศัพท์ที่วางอยู่

“นั่นไง มาอีกแล้ว เจ้าเก่านั่นแหละ” พี่พรพูดเบาๆ

ผมเดินไปยกหูโทรศัพท์แล้วรับสาย

“ฮัลโหล”

“ฮัลโหล นั่นคุณปูเหรอ” ผมเสียงทักทายด้วยสำเนียงเหน่อกระจาย แต่เสียงนั้นกลับไม่ใช่เสียงของหนุ่ย

“นั่นใครน่ะ” ผมถามอย่างงุนงง ยังนึกตนสายปลายเหตุไม่ออกว่าเหตุใดจึงมีคนแปลกหน้ารู้จักเบอร์โทรศัพท์ของหอพักที่ผมพักอยู่ได้

“ผมเป็นแฟนของหนุ่ยนะ” ได้ยินปลายสายทางด้านโน้นพูด

ผมเงียบไปด้วยความตกใจ มันเกิดอะไรขึ้นกันนี่

“ได้ยินว่าคุณคบกับหนุ่ย... วันก่อนหนุ่ยก็มาหาคุณ แล้วพวกคุณก็มีอะไรกัน” ปลายสายทางด้านโน้นพูดอีก

“เฮ้ย เอาอะไรมาพูด” ผมพยายามพูดเสียงเบาที่สุดเพราะเกรงคนในร้านได้ยิน “คุณชื่ออะไรล่ะ ผมจะได้เรียกถูก”

“ผมชื่อเอก” เอกตอบ

“เดี๋ยวผมโทรกลับได้ไหม ขอเบอร์คุณหน่อย ที่นี่เป็นหอพัก คุยไม่สะดวก” ผมพยายามต่อรองเพื่อที่จะไปคุยที่ตู้สาธารณะ คุยตรงนี้หากเผลอพูดเสียงดังหน่อยพอดีได้รู้กันหมดทั้งหอพัก

“คุยกันที่นี่แหละ” เอกยืนกราน

“เฮ้ย ก็บอกแล้วไงว่าไม่สะดวก คนอยู่เยอะแยะเลย” ผมพยายามพูดเสียงเบาที่สุด

“ไม่ต้อง คุยที่นี่แหละ” เอกยืนกรานอีก

“ถ้าคุณไม่ให้ผมโทรกลับ ยังงั้นผมก็ไม่คุยเหมือนกันเพราะไม่สะดวกคุย” ผมชักโมโห

“ถ้าคุณไม่คุยกับผมให้รู้เรื่อง ผมจะโทรมาที่เบอร์นี้อีก แล้วบอกทุกคนที่รับสายว่าคุณแย่งแฟนคนอื่น... เป็นแฟนผู้ชายด้วย” เอกไม่กลัวคำขู่ของผมเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม เมื่อผมได้ยินคำขู่กลับของเอกผมถึงกับเย็นสันหลังวาบ ขวัญหนีดีฝ่อ

ฉิบหายแล้ว ผมคิดในใจ ไอ้หนุ่ยก่อเรื่องให้ผมเสียแล้ว เรื่องราวเป็นมายังไงผมยังไม่รู้เลยแม้แต่น้อย รู้แต่ว่าครั้งนี้ผมคงเดือดร้อนแน่

“เอาก็เอา คุยที่นี่ก็ได้ แต่มันจะตัดทุกห้านาทีนะ โทรศัพท์ของหอพักมันจำกัดเวลา ผมไม่ได้แกล้งตัดสาย คุณอย่าเข้าใจผิดก็แล้วกัน” ในที่สุดผมก็ต้องจำยอมตกเป็นเบี้ยล่างของเอก

“ผมเป็นแฟนของหนุ่ยนะ” เอกพูดด้วยเสียงเคร่งเครียด “และคุณกำลังเป็นชู้กับแฟนของผม”

ผมฟังแล้วแทบสำลักน้ำลายในลำคอของตนเอง มันเป็นคำกล่าวหาที่น่าเกลียดมาก ผมไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าจะต้องมาแบกข้อหาเป็นชู้กับแฟนคนอื่น และยิ่งไปกว่านั้น นี่ไม่ใช่เรื่องชู้สาวเสียด้วย แต่เป็นเรื่องชู้หนุ่ม

“เดี๋ยวๆๆ” ผมพูดเกือบเป็นเสียงกระซิบ “ผมไม่เคยมีอะไรกับหนุ่ยเลยนะ จะมาว่าเป็นชู้ได้ไง”

“หนุ่ยมันเป็นคนเจ้าชู้” เอกพูดด้วยเสียงเครียด “มันแอบไปคบคนอื่นโดยที่ผมไม่รู้หลายคนแล้ว นี่ผมเจอชื่อคุณในสมุดจดเบอร์โทรศัพท์ของหนุ่ย คุณเป็นรายล่าสุดของมัน ผมถามมาแล้ว รู้ว่ามันไปหาคุณที่กรุงเทพฯเมื่อเสาร์ก่อน อย่านึกว่าผมไม่รู้นะ มันสารภาพออกมาหมดแล้ว”




<โรงหนังมงคลรามา เปิดฉายประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๒ เป็นโรงหนังชั้นสองที่ฉายแนวหนังฝรั่ง โรงหนังโรงนี้เปิดให้บริการมาอย่างยาวนานในขณะที่โรงหนังชั้นสองโรงอื่นๆทยอยกันปิดกิจการไปตั้งแต่เมื่อโรงหนังเข้าสู่ยุคที่เรียกว่าโรงหนังขึ้นห้างหรือเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๓๐ เป็นต้นมา และเมื่อถึงยุคหลังต้มยำกุ้งหรือว่าในช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้ โรงหนังในห้างได้พัฒนาคุณภาพทั้งด้านระบบการฉายและระบบเสียงไปมาก การดูหนังได้กลายมาเป็นไลฟ์สไตล์ของวัยรุ่นและคนหนุ่มสาวไป โรงหนังชั้นสองที่ทั้งเก่าและสภาพทรุดโทรมจึงหมดความนิยมและยิ่งปิดตัวไปจนเกือบหมด ภาพบนเป็นโรงหนังมงคลรามาที่ถ่ายเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๒ มงคลรามาให้บริการมาจนถึงปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๓ จึงเลิกกิจการและรื้อถอนไป ภาพล่างเป็นกิจการใหม่ที่มาแทนที่ในปัจจุบัน>




<สภาพภายในโรงหนังมงคลรามาสมัยก่อน เป็นโรงหนังที่มีสองชั้นซึ่งถือว่าหรูมาก เก้าอี้เบาะสีแดงนั่งสบาย ระบบปรับอากาศเย็นฉ่ำ ผู้ชมส่วนใหญ่จะนั่งออกันอยู่ตรงที่นั่งชั้นล่างด้านหลังกับที่นั่งชั้นบน (หมายถึงชั้นที่สอง) ดังนั้นที่นั่งของชั้นล่างด้านหน้าใกล้จอจึงมักว่างโล่ง สามารถนั่งพลอดรักกันได้>

Saturday, March 5, 2011

ภาคสี่ ตอนที่ 25

วันต่อมาเป็นวันสุดท้ายที่เพ็ญจะพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาล ผมจึงไปเยี่ยมเธออีกครั้งหนึ่ง คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้ไปเยี่ยมเธอ หากเธอกลับที่พักไปแล้วผมก็คงไม่มีหน้าที่ที่จะต้องไปเยี่ยมอีก

“เป็นไงบ้างเพ็ญ พร้อมจะกลับหรือยัง” ผมถามหลังจากที่เราพบกันและผมมอบสำเนาสมุดจดวิชาเรียนต่างๆประจำวันนั้นให้แก่เพ็ญ

“พร้อมแล้วล่ะ อยู่หลายๆวันก็เปลืองเงิน” เพ็ญตอบยิ้มๆ

วันนี้เป็นวันแรกที่ผมเห็นเธอพูดเล่นและมีสีหน้าที่ยิ้มแย้ม ตลอดเวลาที่ผ่านมาที่เธออยู่ในโรงพยาบาลนั้นผมเห็นสีหน้าของเธอซีดซียวและซึมเซาอยู่ตลอด ทำให้ดูเหมือนคนป่วยหนัก แต่วันนี้เมื่อเธอยิ้มทำให้ผมรู้สึกว่าเธอแข็งแรงสดชื่นและเกือบเป็นปกติแล้ว คนเราพอยิ้มแล้วช่วยให้อะไรๆดีขึ้นมาก

“แล้วเมื่อไรจะไปเรียนล่ะ” ผมถามอีก

สีหน้าของเพ็ญเปลี่ยนไปทันที ใช่แล้ว การกลับไปเรียนคงเป็นปัญหาที่เธอหนักใจ เพ็ญคงกังวลใจไปต่างๆนานา จะอธิบายกับเพื่อนๆอย่างไรว่าหายไปไหนมา และจะสู้หน้าเพื่อนได้อย่างไร จริงอยู่ แม้จะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ความลับของเธอแต่อย่างไรก็ต้องถือว่ามีเพื่อนรู้ ความรู้สึกอับอายเพื่อนฝูงคงมีอยู่เป็นแน่ แม้ว่าผมจะอยากรู้ว่าเธอเตรียมคำพูดไว้อย่างไรบ้างแต่ผมก็ไม่คิดจะถามเธอ

“ยังไงเพ็ญก็ต้องไปเรียนนั่นแหละ ไม่อย่างนั้นจะไปไหนล่ะ ไม่เรียนแล้วจะเอาวุฒิ ม.๖ ไปหางานทำเหรอ” ผมพูด “อ้อ หรือจะไปทอดกล้วยแขกขาย ใช้แต่ฝีมือ ไม่ใช้วุฒิ”

“บ้า เคยทอดกล้วยแขกเสียที่ไหน” เพ็ญอดหัวเราะไม่ได้ “ขายปาท่องโก๋ดีกว่า”

“เออ ได้ๆ ปาท่องโก๋ก็ได้ เข้าท่ากว่ากล้วยแขกอีก ทำไม่เป็นไปเรียนกับลุงขาวไขอาชีพที่สวนลุมก็ได่” ผมพูด

ในยุคนั้นรายการโทรทัศน์ที่สอนเกี่ยวกับอาชีพค้าขายอิสระที่ดังที่สุดดูเหมือนจะเป็นรายการลุงขาวไขอาชีพ ลุงขาวนอกจากทำรายการโทรทัศน์แล้วยังจัดฝึกสอนอาชีพที่สวนลุมพินีเป็นประจำอีกด้วย ส่วนใหญ่จะสอนพวกอาหารทำขายต่างๆ ปัจจุบันรายการลุงขาวไขอาชีพก็ยังมีอยู่แม้ว่าตัวลุงขาวต้นตำรับจะเสียชีวิตไปหลายปีแล้วก็ตาม ลุงขาวผู้ดำเนินรายการในปัจจุบันเป็นลุงขาวที่เกิดจากคอมพิวเตอร์กราฟิก

แม้ผมจะพูดไม่เป็นโล้เป็นพายแต่อย่างน้อยก็ทำให้เพ็ญหัวเราะได้ และแม้ว่าเพ็ญยังไม่ได้ตอบว่าจะไปเรียนเมื่อไรแต่ผมรู้ดีว่าคงอีกไม่นาน

หลังจากที่ผมอยู่เป็นเพื่อนเพ็ญจนใกล้ๆสองทุ่มก็ขอตัวกลับ

“ไปละนะเพ็ญ ต่อไปเราคงไม่ได้มาแล้วล่ะ” ผมพูด รู้สึกใจหวิวๆนิดหน่อยเหมือนกัน หลายวันมานี้มาอยู่เป็นเพื่อนเพ็ญทุกวันจนกลายเป็นกิจวัตรไปเสียแล้ว เมื่อรู้ว่าต่อไปจะไม่ได้มาเยี่ยมอีกก็รู้สึกใจหายอยู่บ้าง ไม่ได้ใจหายเพราะว่าเพ็ญจะออกจากโรงพยาบาล แต่ใจหายเพราะการเปลี่ยนแปลงจากความคุ้นชินเดิมๆมากกว่า “แล้วเจอกันที่คณะ”

“อือม์ แล้วเจอกันที่คณะ” เพ็ญรับคำด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกำลังใจลอยคิดเรื่องอื่นอยู่

“เรื่องที่อูพูดเมื่อวานน่ะ... เราจะลองเอาไปคิดดูด้วย” เพ็ญพูดทิ้งท้าย

“เออ ดีๆ” ผมพูด ได้แต่หวังว่าเมื่อใดที่เธอคิดตก ชีวิตของเธอก็จะหลุดจากพันธนาการแห่งอดีตและก้าวต่อไปได้ คิดถึงเพ็ญแล้วก็อดย้อนมาคิดถึงตนเองไม่ได้ แล้วผมเองล่ะ เมื่อไรที่ผมจะหลุดจากพันธนาการแห่งอดีตได้เสียที...

- - -

ไม่นานเกินรอ หลังจากที่เพ็ญออกจากโรงพยาบาลได้วันเดียว วันรุ่งขึ้นเธอก็กลับมาเรียนที่คณะ

เพื่อนๆรุมทักทายเธอพร้อมกับถามถึงเรื่องสุขภาพเพราะทุกคนรู้เพียงแต่ว่าเธอไม่ค่อยสบายแต่ไม่มีใครรู้รายละเอียด บางคนก็ต่อว่าเพ็ญว่าเป็นอะไรก็ไม่บอกเพื่อนๆ จะได้ไปเยี่ยมเยียน

“เป็นไข้หวัดใหญ่น่ะ” เพ็ญตอบ “ที่พักนานหน่อยเพราะกลัวว่าจะเอาเชื้อมาแพร่ให้พวกเพื่อนๆ เดี๋ยวระบาดไปทั้งคณะแล้วจะมาโทษเรา เพื่อนๆไม่ได้ไปเยี่ยมก็ดีแล้วเพราะเราไม่อยากให้เพื่อนๆติดหวัดกัน”

ไข้หวัดใหญ่ โห เนียนจริงๆเลย ผมคิดอยู่หลายวันยังคิดไม่ออกว่าจะอ้างว่าป่วยเป็นโรคอะไรดี คิดถึงโรคที่ผมเคยเป็นเมื่อเด็กๆแล้วต้องหยุดเรียนหลายๆวันก็มีหัด อีสุกอีใส แต่นั่นก็ไม่เหมาะเพราะว่าต้องมีแผลตามตัวเป็นหลักฐานด้วย จะบอกว่าท้องเสียก็ไม่น่าหายตัวไปนานขนาดนี้ ไข้หวัดใหญ่นี่แหละเหมาะเลย คิดได้ไงเนี่ย ฉลาดจริงๆ

สีหน้าของเพ็ญยังซีดเซียวอยู่บ้าง สมกับคนที่เพิ่งฟื้นจากอาการป่วยไข้จริงๆ ผมเองก็เข้าไปทักทายเพ็ญด้วยเช่นกัน

วันนั้นผมไม่ค่อยมีสมาธิเรียนหนังสือนัก ครุ่นคิดถึงแต่เรื่องเพ็ญตลอดทั้งวัน เธอขาดเรียนวิชาบรรยายไปหลายวัน อยากรู้ว่าเธอเรียนรู้เรื่องหรือไม่ และเธอรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในชีวิตครั้งนี้ได้ดีเพียงใด

ผมพบเพ็ญในห้องเรียนในบางวิชาที่มีตารางเรียนตรงกันเท่านั้น บางวิชาก็เรียนกันคนละห้อง ส่วนตอนพักเที่ยงนั้นผมก็หาตัวเพ็ญไม่พบ ไม่รู้ว่าเธอไปอยู่ที่ไหน ไปดูที่ห้องสมุดก็ไปพบ ไปหาที่ชมรมก็ไม่พบ

“พี่ตั้ว เห็นเพ็ญมั้ยครับ” ผมถามพี่ตั้วเมื่อขึ้นไปที่ชมรมวิชาการในระหว่างพักเที่ยง

“อัอ เพ็ญมาเรียนแล้วเหรอ” พี่ตั้วไม่รู้เรื่อง “ยังไม่เห็นเลย”

ผมอดเป็นห่วงเพ็ญไม่ได้ นึกถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งอดีตเรื่องไอ้ตี๋ หลังจากที่เพื่อนๆจับได้ว่ามันขโมยของและถูกลงโทษไปแล้วมันก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ตี๋ทำตัวแปลกแยก ไม่คบกับใคร วันๆเอาแต่อยู่กับตัวเอง แม้กรณีของเพ็ญจะแตกต่างจากตี๋ ความบอบช้ำของจิตใจจะมาจากสาเหตุที่แตกต่างกัน แต่ผมคิดว่าในเรื่องความรู้สึกอยากถอยห่างออกมาจากสังคมนั้นคงไม่แตกต่างกันนัก

เมื่อคิดถึงสภาพของตี๋ในตอนนั้นแล้วก็มีความคิดอยากช่วยเพ็ญบ้างเท่าที่จะทำได้ ในช่วงบ่ายเป็นเวลาที่นักศึกษาปีหนึ่งเรียนวิชาแล็บ ผมเองก็เรียนแต่ไม่ได้เรียนวิชาเดียวกันกับเพ็ญ ผมสืบถามจากเพื่อนๆก็รู้ว่าเพ็ญเรียนอยู่ห้องใด บ่ายวันนั้นผมรีบทำแล็บให้เสร็จโดยเร็ว จากนั้นก็ไปที่ห้องแล็บที่เพ็ญเรียน เห็นเธอกำลังก้มหน้าก้มตาทำงานง่วนอยู่ ผมจึงไปเดินแกร่วอยู่หน้าตึกเพื่อรอเวลาที่เธอเสร็จงานและลงมาจากตึก

“เพ็ญ วันนี้เป็นไงบ้าง” เมื่อเพ็ญเดินออกมาจากตึกพร้อมกับเพื่อนๆกลุ่มผู้หญิง ผมก็เดินเข้าไปหาและทักทายทันที

“มาทำอะไรแถวนี้ไอ้อู” เพื่อนๆของเพ็ญที่เดินมาด้วยกันถาม ตอนที่เรียนเทอมหนึ่งผู้หญิงคณะนี้มีทั้งที่เรียบร้อยและทั้งที่ห้าวหาญ แต่พอมาเทอมสองทำไมผู้หญิงเรียบร้อยหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ ที่เรียบร้อยแต่เดิมก็กลายเป็นห้าวหาญพูดจาภาษาลูกทุ่งไป

“ก็เดินผ่านมาน่ะ เห็นเพ็ญเข้าพอดีก็เลยเดินมาทัก” ผมทำไร่สตรอเบอร์รี่

“ผ่านมาตรงไหนเหรอ ชั้นดูจากในห้องแล็บ เห็นเธอเดินไปเดินมาอยู่ที่หน้าตึกตั้งนานแล้ว” เพื่อนของเพ็ญแฉ

อ้าว มองเห็นด้วยเหรอ ซวยเลย จะแถยังไงดีหว่า

“เอ้อ...” ผมหยุดคิดนิดหนึ่ง “รุ่นพี่ที่ชมรมให้มาตามตัวไปเพ็ญช่วยงานน่ะ ก็มาเดินๆดูหน่อย คิดว่าถ้าเจอก็บอก ถ้าไม่เจอก็จะกลับแล้ว”

โอ้โฮ เนียนสุดๆ ผมชมตัวเองในใจที่คิดหาข้ออ้างจนได้ พลางหันไปพูดกับเพ็ญต่อ

“ถ้าว่างก็ขึ้นไปหาพี่ตั้วหน่อยนะ พี่ตั้วตามหาเพ็ญมาหลายวันแล้ว”

“เอ๊า แล้วไม่พูดแบบนี้มาตั้งแต่แรกล่ะ” เพื่อนๆของพ็ญตีรวนไม่ยอมเลิก “ไอ้อูนี่มีพิรุธเฮะ”

“ตอนนี้ก็ว่างแล้วล่ะ เราขึ้นไปหาพี่ตั้วตอนนี้เลยก็ได้” เพ็ญพูดเพื่อช่วยคลายสถานการณ์ให้ พลางหันหน้าไปพูดกับเพื่อนๆ “เราไปที่ชมรมวิชาการก่อน แล้วค่อยคุยกันต่อก็แล้วกัน”

หลังจากนั้นเพ็ญก็กับผมเดินไปด้วยกันเพื่อไปยังชมรมวิชการ ส่วนเพื่อนๆของเพ็ญก็แยกย้ายกันไป

“เฮ้อ ดีนะที่เจออู” เพ็ญพูดพลางถอนหายใจโล่งอก

“มีอะไรเหรอ” ผมงง

“ก็เพื่อนๆน่ะสิ รุมถามเราตั้งแต่เช้าแล้วว่าเป็นยังไงมายังไง อึดอัดจัง” เพ็ญพูด สีหน้าดูหม่นลงไปถนัด “เดี๋ยวขึ้นไปที่ชมรมคงโดนถามอีก”

“ที่จริงพี่ตั้วไม่ได้ให้เรามาตามเพ็ญหรอกนะ” ผมพูดอ้อมแอ้ม “คือวันก่อนพี่ตั้วก็ถามถึงน่ะ แต่ว่าวันนี้ไม่ได้ให้มาตาม เราพูดไปยังงั้นเอง”

“อ้าว” เพ็ญอุทาน

“คือเราอยากมาดูเพ็ญว่าเป็นยังไงบ้างน่ะ เราก็รู้ว่าวันแรกๆเพ็ญคงอึดอัดใจมาก” ผมพูด “อีกอย่าง วันนี้เราเห็นเพ็ญหายตัวไปในช่วงพัก เรารู้ว่าเพ็ญอาจรู้สึกอยากแยกตัวออกมาจากเพื่อนฝูง แต่นั่นมันคงไม่ค่อยดีกับแธอเท่าไรนัก พยายามอย่าอยู่คนเดียวให้มาก มัน เอ้อ... จะฟุ้งซ่านได้ง่ายน่ะ”

ผมพูดยาว จากนั้นหยุดหายใจนิดหนึ่ง สังเกตปฏิกิริยาของเพ็ญ ไม่อยากให้เพ็ญคิดว่าผมไปก้าวล่วงในเรื่องส่วนตัว

“ตอนอยู่โรงพยาบาลเราก็อยู่คนเดียวนะ” เพ็ญแย้ง “ถ้ามันจะฟุ้งซ่านมันก็เป็นมานานแล้วล่ะ”

“ก็นั่นแหละ” ผมพูด “ยิ่งนานก็ยิ่งเป็นผลเสีย ตอนอยู่โรงพยาบาลก็จนใจ แต่ตอนนี้หากพยายามอยู่ในหมู่เพื่อนฝูงเอาไว้ก็น่าจะดี”

เมื่อไม่เห็นว่าเพ็ญมีท่าทีไม่พอใจ ผมจึงพูดต่อ

“เราว่าถ้ายังไงเพ็ญขึ้นไปทำงานที่ชมรมด้วยกันดีกว่า มีโน่นมีนี่ทำจะได้ไม่ต้องคิดมาก”

เพ็ญมองหน้าเป็นเวลานานผมจนผมต้องหลบสายตา

“อูคิดยังงั้นเหรอ” เพ็ญถาม

“ช่าย” ผมตอบ

“ได้ เราเชื่อเธอก็ได้” เพ็ญตอบง่ายๆ สั้นๆ จนผมอดแปลกใจไม่ได้ ต้องอึ้งไปชั่วขณะ เพ็ญเห็นว่าผมเงียบไปจึงถามว่า “อูเป็นอะไรหรือเปล่า”

“เอ้อ เปล่านี่” ผมตอบ

“แล้วทำไมเงียบไป ไม่คุยต่อ” เพ็ญถาม

“คือ... แปลกใจน่ะ” ผมตอบตามตรง “ปกติไม่ค่อยมีใครเชื่อถือความคิดของเราเท่าไร พ่อแม่เรายังไม่ค่อยเชื่อความคิดเห็นของเราเลย ยิ่งเพื่อนๆนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง พอเราพูดแล้วเพ็ญก็เห็นด้วยทันที เราเลยงง”

“เรื่องนี้เอง” เพ็ญหัวเราะ ตอนที่เธอหัวเราะใบหน้าของเธอดูไม่ซีดเซียวอีกต่อไป แต่ดูแจ่มใสมีชีวิตชีวา “ไม่มีใครเชื่ออู เราเชื่ออูเองก็ได้ ความคิดของเธอเข้าท่าดีออก ไม่เห็นจะแย่ตรงไหนเลย”

คำตอบของเพ็ญทำให้ผมรู้สึกปลาบปลื้ม หัวใจพองโตจนคับซี่โครง เพ็ญนับเป็นคนแรกที่เห็นว่าผมมีความคิดดีๆ แบบนี้น่าจะให้เธอได้ไปคุยกับไอ้กี้เสียหน่อย เผื่อจะเปลี่ยนความคิดของไอ้กี้ได้บ้าง

- - -

วันเสาร์

ในที่สุดก็ถึงวันเสาร์ที่ผมรอคอย วันเสาร์ที่ผมจะได้พบกับหนุ่ย...

ผมไปรอหนุ่ยที่ศูนย์อาหารของห้างเมอร์รี่คิงส์ สะพานควายตั้งแต่บ่ายสองโมงกว่า ผมแต่งตัวตามที่นัดหมายเอาไว้กับหนุ่ย นั่งรออยู่เป็นนาน เหลียวมองซ้ายขวาจนเมื่อยแต่ก็ยังไม่พบใครที่เข้าเค้าว่าจะเป็นหนุ่ยเสียที

“โป้ง” เสียงวัยรุ่นชายดังขึ้นที่ด้านหลังพร้อมกับรู้สึกว่ามีใครบางคนจับไหล่ของผมเขย่า

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนที่มาเขย่าไหล่ของผมจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากหนุ่ยนั่นเอง ผมหันกลับไปเพื่อจะทักทายหนุ่ย แต่เมื่อเห็นหน้าหนุ่ยผมก็ต้องตะลึง

หนุ่ยมีโครงหน้าเรียว สมส่วน มีกรามเล็กน้อย คางมน โครงหน้าคล้ายคลึงกับพี่นิว อธิป ทองจินดา นายแบบวัยรุ่นที่โด่งดังและเสียชีวิตไปในช่วงที่ผมเรียนอยู่ชั้นมัธยม เหลี่ยมมุมเล็กน้อยบนใบหน้าของหนุ่ยทำให้หนุ่ยดูทะมัดทะแมงและเข้มข้น ประกอบกับริมฝีปากเรียว จมูกรั้นเชิดเล็กน้อย รวมความแล้วต้องบอกว่าแม้หนุ่ยจะไม่หล่อเท่ากับพี่นิวแต่ก็จัดว่าหล่อขั้นเทพทีเดียว

เมื่อผมเห็นหนุ่ยผมถึงกับตะลึง คาดไม่ถึงว่าจะมีเพื่อนหล่อขั้นเทพเช่นนี้ ทีแรกนึกว่าจะหน้าตาธรรมดา เนื่องจากหนุ่ยไม่เคยถามถึงหน้าตาของผม รวมทั้งไม่เคยพูดถึงหน้าตาของตนเอง จึงทำให้ผมไม่ได้คาดหวังอะไรในเรื่องหน้าตา คิดเพียงแต่ว่าคุยกันถูกคอก็ดีใจมากแล้ว แต่เมื่อมาเห็นตัวจริงในวันนี้ยังอดนึกเสียดายไม่ได้ว่าถ้าหล่อขนาดนี้ผมน่าจะนัดเจอตั้งนานแล้ว

“เป็นไรไปอู นั่งงงเชียว นี่หนุ่ยไง” หนุ่ยพูด สำเนียงเหน่อกระจายทำให้ผมรู้ว่าใช่หนุ่ยไม่ผิดตัวแน่

“ตกใจหมด” ผมพูดแก้เก้อ “กำลังคิดอะไรเพลินๆ”

หนุ่ยยิ้มแฉ่ง ใบหน้าเปื้อนยิ้มของหนุ่ยทำให้เห็นลักยิ้มบุ๋มที่สองข้างแก้มพร้อมกับฟันเขี้ยวที่ขึ้นซ้อนเบียดกับฟันซี่ข้างๆเล็กน้อย ลักยิ้มกับเขี้ยวที่ซ้อนเบียดทำให้ใบหน้าของหนุ่ยมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น

“แกล้งแบบนี้ไม่กลัวทักผิดคนบ้างหรือไง” ผมพูด “หากผิดคนอาจโดนชกได้นะ”

“จะผิดได้ไง ก็อูแต่งตัวมาตามที่บอก คนกรุงเทพฯใจร้ายขนาดนี้เลยเหรอ ทักผิดหน่อยก็ชกแล้ว” หนุ่ยหัวเราะ “ว่าแต่อูกินอะไรมาหรือยัง”

“จะเอามื้อไหนล่ะ หากมื้อเที่ยงก็กินแล้ว หากมื้อเย็นก็ยัง” ผมกวน

“หนุ่ยก็กินมื้อเที่ยงมาแล้ว แต่เห็นอาหารแล้วรู้สึกหิว หาอะไรกินกันก่อนดีกว่า” หนุ่ยชวน

เราสองคนจึงไปซื้ออาหารและน้ำดื่มจากนั้นมานั่งกินด้วยกัน ที่จริงผมยังไม่หิวเลยแต่ที่กินเพราะว่าต้องการกินเป็นเพื่อนหนุ่ย

เราสองคนกินไปก็คุยกันไป เรานั่งตรงข้ามกันทำให้ผมเห็นหน้าหนุ่ยได้อย่างชัดเจนตลอดเวลาที่นั่งคุยกัน ยามที่หนุ่ยยิ้มนั้นทำให้หัวใจของผมแทบละลาย...

“เดี๋ยวเราไปดูหนังเรื่องอะไรกันดี” หนุ่ยถาม

“ถ้าจะเอาสะดวกก็ดูโรงหนังชั้นสองแถวนี้ก็แล้วกัน มีตั้งหลายโรง” ผมเสนอความคิด “เฉลิมสินฉายหนังไทย มงคลฉายหนังหรั่ง พหลโยธินฉายหนังจีน”

ตอนนั้นเฉลิมสินฉายแต่หนังไทยควบเป็นหลัก ส่วนมงคลรามานั้นฉายหนังฝรั่งควบ ส่วนพหลโยธินรามาฉายหนังจีนที่ไม่ใช่หนังจีนทั่วไป แต่ เป็นหนังจีนที่มีคำว่าสวาทปนอยู่ในชื่อเรื่องด้วย นึกถึงหนังชื่อสวาทๆทำให้นึกถึงหนังที่โรงหนังแคปปิตอล ยังจำได้ว่าพี่หมีกับพี่เอ้บอกว่ายังกับดูหนังสารคดีสงครามโลก

“อูอยากดูหนังอะไรล่ะ” หนุ่ยพูด “ตามใจอูละกัน”

“งั้นดูหนังหรั่งที่มงคลรามาก็แล้วกัน” ผมพูด ถ้าตามใจผมละก็หวานเลย ผมชอบดูหนังฝรั่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนเรียนมัธยมก็ดูแต่หนังฝรั่งแถวสยามสแควร์ แต่ถ้าเลือกได้วันนั้นไม่อยากดูหนังเสียมากกว่า อยากนั่งดูหน้าหนุ่ยนานๆ ดูแล้วสบายใจดี

“อ้อ หนุ่ยยังไม่มีเบอร์ของอูเลย” หนุ่ยพูด “ขอเบอร์อูหน่อยสิ”

“ก็อย่างที่บอกนั่นแหละหนุ่ย เราอยู่หอพัก โทรเข้าไม่ค่อยสะดวก” ผมพยายามบ่ายเบี่ยง

“หนุ่ยก็รู้ แต่ก็แค่ขอเบอร์เผื่อเอาไว้น่ะ ปกติก็ไม่โทรไปหรอก” หนุ่ยพูดอีก “เผื่ออูหายไปนานๆ หนุ่ยคิดถึงก็จะได้ติดต่ออูได้ไง”

หนุ่ยเนี่ยนะคิดถึงผม หล่ออย่างนี้ถือว่าหล่อเลือกได้ อยากคนกับใครก็เลือกได้ทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องมาสนใจคนที่หน้าตาอย่างผมเลย แต่เมื่อหนุ่ยเห็นหน้าผมแล้วก็ยังพูดคุยอย่างปกติ แถมยังขอเบอร์เผื่อเอาไว้ยามคิดถึงอีก แสดงว่าหนุ่ยคงเห็นผมเป็นเพื่อนและอยากคบเอาไว้จริงๆ ความหล่อของหนุ่ยมีส่วนทำให้ความระมัดระวังตัวของผมผ่อนคลายลงไป คิดไปคิดมาผมก็ต้องใจอ่อน

“ก็ได้” ผมพูด “เบอร์...”

หนุ่ยยิ้มแฉ่งด้วยความดีใจพลางหยิบสมุดจดเบอร์โทรศัพท์เล่มเล็กๆออกมาจากในกระเป๋าเสื้อและจดเบอร์โทรศัพท์ของผมลงไป

“ถ้าไม่จำเป็นหนุ่ยไม่โทรหรอก สัญญาๆ” หนุ่ยพูด

- - -

หลังจากที่เรากินอาหารเสร็จก็ข้ามถนนไปยังโรงหนังมงคลรามาที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เนื่องจากโรงหนังชั้นสองฉายหนังสองเรื่องวนตลอดทั้งวัน ดังนั้นจะเข้าไปดูตอนไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องรอให้เริ่มฉายต้นเรื่อง วันนั้นหนุ่ยไม่อยากเสียเวลารอ เราสองคนจึงเข้าไปดูทั้งๆที่ฉายอยู่กลางเรื่อง

“แล้วจะดูรู้เรื่องเหรอ” ผมถามหนุ่ย

“นั่นสิ” หนุ่ยหัวเราะ “แต่ถ้าไม่อย่างนั้นรออีกตั้งชั่วโมงเลยนะอู ดูไปมันก็คงรู้เรื่องเองนั่นแหละ”

หนังส่วนใหญ่ถ้าหากว่าดูแล้วไม่คิดอะไรมาก แม้ว่าจะเป็นกลางเรื่องแต่เมื่อดูไปเรื่อยๆก็เดาเรื่องได้เองอย่างที่หนุ่ยว่าจริงๆ แต่ถ้าหากจะดูเอารสชาติแล้วละก็การเข้าไปดูกลางเรื่องถือเป็นการทำลายรสชาติของหนังโดยสิ้นเชิง เมื่อเรารู้ดูกลางเรื่องไปจนจบเสียแล้วก็ป่วยการที่จะไปดูตอนต้นเรื่องอีก ที่จริงผมติดนิสัยจากสิทธิ์กับหมูที่เป็นนักดูหนังตัวยงตั้งแต่ชั้นมัธยมปลายคือดูหนังมักดูแบบเอาจริงเอาจัง แต่เมื่อมากับหนุ่ยก็ต้องถือว่าเป็นข้อยกเว้น

เราเข้าไปขณะที่หนังกำลังดำเนินเรื่องอยู่ แสงสว่างที่สะท้อนจากจอหนังทำให้เราพอเห็นที่นั่งภายในโรงได้อย่างลางๆ แม้วันนั้นจะเป็นวันเสาร์แต่ผู้ชมในโรงมีไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะนั่งออกันอยู่ทางที่นั่งด้านหลังโรง ส่วนที่นั่งหน้าด้านหน้าหรือว่าที่นั่งด้านใกล้จอนั้นมีผู้ชมนั่งอยู่เพียงประปรายเท่านั้น

“ไปนั่งด้านหน้าหน่อยดีกว่า” หนุ่ยพูด “ข้างหน้าว่างๆนั่งสบาย อย่าไปเบียดกันที่ข้างหลังเลย”

หนุ่ยว่ายังไงผมก็ว่ายังงั้น เราจึงไปนั่งยังที่นั่งด้านหน้าซึ่งแม้ว่าจะต้องแหงนหน้าดูเล็กน้อยแต่ก็เป็นมุมสงบที่ห่างไกลจากผู้ชมรายอื่นๆ

นั่งดูไปได้พักใหญ่ หนุ่ยก็บ่นว่าอุณหภูมิภายในโรงหนังค่อนข้างหนาว

“หนุ่ยหนาวจัง อูหนาวมั้ย” หนุ่ยหันหน้ามาถามผม

“ฮื่อ รู้สึกหนาวนิดหน่อยเหมือนกัน” ผมเห็นด้วย “คงเป็นเพราะเปิดแอร์แรงแต่คนน้อย ก็เลยหนาว”

หนุ่ยนั่งดูหนังต่อไปอีกสักครู่ก็เอื้อมมือมาจับมือผมไปกุมเอาไว้

“อูย... หนาวจัง” หนุ่ยพูด “มือหนุ่ยเย็นไหม”

มือของหนุ่ยเย็นเฉียบจริงๆ ผมจับมือของหนุ่ยกุมเอาไว้พลางถูไปมาเบาๆ มันเป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเองโดยไม่ได้ตั้งใจ

หนุ่ยเอนตัวมาแนบชิดลำตัวของผมพลางซบหัวลงกับไหล่ของผม ผมใจหายวูบ ไม่ได้ใจหายเพราะกลัวว่าใครจะมาเห็นเข้าเนื่องจากตำแหน่งที่เรานั่งอยู่นั้นห่างไกลจากผู้คน แต่ที่ใจหายเพราะท่าซบหัวไหล่นี้ช่างเหมือนกันที่ใครบางคนเคยทำกับผมตอนอยู่ในโรงหนังเหลือเกิน...

ผมนั่งนิ่ง ตัวชา ความรู้สึกเก่าๆย้อนกลับมา ขณะเดียวกันความรู้สึกใหม่ๆกับเพื่อนใหม่ที่นั่งอยู่ข้างๆก็กำลังก่อตัวขึ้น...

“อยู่ชิดอูแล้วอุ่นขึ้นหน่อย” หนุ่ยพูด “กอดหนุ่ยหน่อยได้ป่าว”

“แหะๆ จะดีเหรอ” ผมลังเล ถ้าสวมกอดหนุ่ยแล้วใครมาเห็นเข้าคงชักแขนออกมาไม่ทันเป็นแน่

“กอดหนุ่ยหน่อยน่า แป๊ปเดียวก็ยังดี ให้หนุ่ยหายหนาวหน่อย นะอู นะ” หนุ่ยอ้อน สำเนียงเหน่อกระจายนั้นฟังดูใสซื่อและแฝงความเย้ายวนที่ยากขัดขืน




<ภาพห้างเมอร์รี่คิงส์ สะพานควาย มองจากด้านสี่แยกสะพานควาย ภาพบนเป็นภาพเก่า น่าจะถ่ายไว้ในช่วงที่ห้างเริ่มเปิดกิจการไม่นานนัก ส่วนภาพล่างเป็นภาพถ่ายในปัจจุบันที่โครงสร้างรางรถไฟฟ้าบดบังทัศนียภาพไปมาก>