Sunday, November 21, 2010

ภาคสี่ ตอนที่ 14

“เฮ้ย พวกมึงเป็นไงกันบ้าง โห ของกูสุดยอดเลย เสียดายไม่ยอมให้เบิ้ล” เพื่อนๆคุยกันหลังจากที่แต่ละคนทยอยกันเสร็จกิจและออกมานั่งรอที่ด้านนอก ถ้าเป็นภาษาสมัยนี้ก็ต้องบอกว่าสุโค่ย บางคนก็บรรยายถึงความประทับใจในการขึ้นครูเป็นครั้งแรก บางคนขี้อายหน่อยก็เงียบๆ ผมเองก็ออกมารอด้วยแต่ว่ายืนเงียบๆไม่ได้คุยอะไร

“เฮ้ย เป็นไงไอ้อู” ไอ้เป้าถามผมหลังจากที่เดินมาสมทบ

“ฮื่อ” ผมตอบสั้นๆ

สักครู่พี่แต้มพี่ต่อก็เข้ามา เมื่อพวกเรามากันครบก็เตรียมตัวกลับ

“ไอ้อู เป็นไง” พี่ต่อถาม ทำสีหน้ายู่ยี่เหมือนกระดาษชำระที่ใช้แล้วและถูกขยำ

“ก็ดีครับพี่” ผมตอบอ้อมแอ้ม

“เอ็งเข้าไปหลับในห้อง มันจะดียังไงวะ” พี่ต่อถามอีกด้วยน้ำเสียงที่ขุ่นเคือง

เพื่อนๆหยุดคุย หันมาสนใจการสนทนาของผมกับพี่ต่อทันที

“พี่รู้ได้ไง” ผมถาม รู้สึกตกใจอยู่เหมือนกัน ไม่คิดว่าจะมีใครรู้เรื่องบนเตียงของผม

“ก็พี่ไปถามพวกสาวๆดูว่าบริการพวกน้องๆดีหรือเปล่า ถามไปถามมาก็เลยรู้ว่าเอ็งเข้าไปหลับในห้อง” พี่ต่อพูด พวกเพื่อนๆฮากันครืน

“ผมเมาน่ะครับ จะอ้วกด้วย เลยขอพัก แล้วก็หลับไปเลย” ผมอ้อมแอ้ม

“เค้าบอกว่าเอ็งแกล้งเมานะไอ้อู พี่ก็ว่ายังงั้น ตอร์ปิโดแก้วเดียวเอ็งจะเมาจนถึงเช้าเลยหรือไง โฮ้ย เสียดายเงินว่ะ คนหนึ่งตั้งหลายร้อย อุตส่าห์ตั้งใจเลี้ยง กลัวบริการไม่ดีพี่ก็เลือกคนให้อีก เสือกไม่เห็นค่า ตกลงเอ็งเป็นอะไรกันแน่วะ ทำไมต้องแกล้งเมา” พี่ต่อคาดคั้น

“เมาจริงๆพี่ ผมเมาง่าย กินนิดเดียวก็แย่แล้ว ปกติไม่ค่อยได้กินเหล้า” ผมยืนกระต่ายขาเดียวว่าเมา

พี่แต้มเข้ามาไกล่เกลี่ย บอกให้พากันแยกย้ายกลับบ้าน ส่วนพี่ต่อยังบ่นอุบอิบต่อไปอีกเล็กน้อยด้วยความเสียดายเงิน

หลังจากที่พวกเราออกมาจากบ้านหลังนั้น ต่างคนก็แยกย้ายกันกลับ ตอนนั้นเป็นเวลาหลังเที่ยงคืนแล้ว รถเมล์ไม่ค่อยมี จึงนั่งแท็กซี่กลับหอ เมื่อไปถึงหอก็พบว่าประตูหอปิดไปแล้วเสียอีก ต้องกดออดเรียกพี่พรให้มาเปิดประตู

“เดี๋ยวนี้เรียนมหาลัยภาคค่ำเหรอน้องอู” พี่พรประชดขณะที่มือก็ไขแม่กุญแจเพื่อเปิดประตูเหล็ก “ตั้งแต่เรียนมหาลัยนี่กลับดึกๆดื่นๆทุกวัน”

“เรียนภาคกลางวันนี่แหละครับ” ผมตอบ ไม่กล้าเกรียนกับพี่พรเพราะรู้ว่าพี่พรหวังดี ปกติมักคอยสอดส่องดูแลและตักเตือนเรื่องความประพฤติให้แก่เด็กนักเรียนที่อยู่ในหอเสมอ อีกอย่างคือกลัวพี่พรเอาไปบอกแม่ด้วย “แต่ว่ามีกิจกรรมเยอะครับ ไหนจะซ้อมเชียร์ แข่งกีฬา แล้วยังงานรับน้องอีก”

“ดีนะที่ไม่เมาหามกลับมา” พี่พรพูดดักคอเหมือนจะรู้ทัน

- - -

เช้าวันจันทร์ถัดมา

วิชาแรกของเช้าวันจันทร์เป็นวิชาเคมี เมื่อผมเดินเข้าไปในห้องเรียนเคมีก็ไปหาที่นั่งหลังชั้น เพื่อนร่วมกลุ่มสามที่เป็นชายที่นั่งอยู่ก่อนแล้วเมื่อเห็นผมก็หัวเราะขำ

“เฮ้ย ไอ้อูล่มปากอ่าวมาแล้วโว้ย” เสียงพูดลอยๆแว่วมาให้พอได้ยิน

ผมชะงัก แต่ก็ทำเนียนเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากนั้นก็เดินเข้าไปทักทายเพื่อนๆ

“เฮ้ย มันไม่ได้ล่มปากอ่าว ปากอ่าวยังไม่ทันเห็นเลยมันก็หลับเสียก่อน” อีกคนรับมุข ทั้งกลุ่มหัวเราะกันสนุก

“เฮ้ย ไอ้อู มีคนเค้าบอกว่ามึงหลับคาปากหม้อเลยเหรอ” อีกคนหนึ่งแซว

“เฮ้ย วันนั้นเมาหนักไปหน่อย” ผมกลบเกลื่อน “เสียดายของเหมือนกัน”

“หรือว่ามันเป็นโฮโมไม่ชอบผู้หญิงวะ” อีกคนพูด เพื่อนๆหัวเราะกันใหญ่

ผมเย็นวาบไปทั้งตัว อยากรู้เหมือนกันว่าสีหน้าของตนเองในตอนนั้นเป็นอย่างไร

“เออ ระวังกูบอกรักมึงก็แล้วกัน” ผมพูด รับมุขตามน้ำไปเลยเนื่องจากผมคิดว่าหากพยายามเฉไฉจะยิ่งกลายเป็นพิรุธ

พวกเพื่อนๆหัวเราะกัน ผมก็หัวเราะไปด้วย แต่ในใจกลับไม่ได้รู้สึกขำหรือว่าสนุกไปด้วยเลย ผมเริ่มเบื่อที่จะต้องเก็บงำความรู้สึกที่แท้จริงของตนเองเอาไว้เป็นความลับ หลายปีมานี้ผมต้องแกล้งทำเป็นเนียนซึ่งก็ไม่รู้ว่าเนียนพอหรือไม่ พร้อมกับต้องคอยระวังไม่ให้ใครมาขุดคุ้ยรสนิยมส่วนตัวของผม แต่เพื่อนๆก็มักชอบเข้ามาขุดคุ้ยอยู่เสมออย่างเช่นในตอนนี้ ผมอยากมีทางเลือกที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้เหลือเกิน...

- - -

ในวิชาฟิสิกส์ หมู่เรียนที่ผมมานั่งเรียนอยู่นี้มีคนเรียนน้อยมาก นักศึกษาเกือบทั้งคณะแห่กันไปเรียนอีกหมู่หนึ่งกัน ห้องเรียนที่ผมนั่งอยู่นี้จึงว่างโล่ง นั่งเหยียดขาได้ตามสบาย

ผมเลือกที่นั่งที่ห่างเพื่อนๆเพื่อจะได้นั่งคนเดียวอย่างสบายๆ ทันใดนั้นเอง ก่อนที่ชั้นเรียนจะเริ่มขึ้น ผมก็รู้สึกว่ามีคนมานั่งข้างๆผม... ชาญนั่นเอง

“เฮ้ย มาได้ไงวะ” ผมถาม

“ก็เดินเข้ามาทางประตูนี่แหละ” ชาญตอบ

“ไอ้เปรต หมายถึงทำไมมาเรียนหมู่นี้ ไม่เรียนกับพวกยายแมวเหมือนเคย” คำตอบของมันทำให้ผมรู้สึกอยากเตะมันขึ้นมา

“ก็อยากลองเรียนห้องนี้ดูบ้างน่ะ” ชาญตอบ พลางเพ่งสายตามาที่กองหนังสือเรียนของผมที่วางอยู่บนโต๊ะ “เฮ้ย อู นายเปลี่ยนหนังสือเรียนใหม่หมดเลยเหรอ แคลคูลัส ฟิสิกส์ เคมี ซื้อใหม่ทั้งนั้นเลย เปลี่ยนตั้งแต่เมื่อไรวะ ไม่ทันได้สังเกต แล้วของเดิมไปไหนเสียล่ะ”

“เอ้อ... เอ้อ...” ผมไม่นึกว่าจะเจอคำถามกะหันหันเช่นนี้ “มันหายไปน่ะ นึกไม่ออกว่าไปลืมเอาไว้ที่ไหน เลยไปซื้อมาใหม่”

“หาย” ชาญทวนคำ “หายยังไงวะ งงวุ้ย แล้วสมุดไม่หายเหรอ”

“ไม่หรอก สมุดยังอยู่” ผมตอบ แล้วก็รีบเปลี่ยนเรื่อง “เกิดอะไรขึ้นถึงได้ย้ายมาเรียนห้องนี้วะ ห้องโน้นหาที่นั่งไม่ได้หรือไง”

“เฮ้ย ไอ้อู เมื่อวันศุกร์เป็นไงบ้าง” ชาญไม่ตอบคำถามผม เอาแต่ตั้งคำถามในเรื่องที่มันอยากรู้

“ก็เมาน่ะ” ผมตอบสั้นๆ

“แล้วตอนอยู่ในห้องทำอะไรไปบ้างวะ” ชาญถามเซ้าซี้ไม่เลิก

“อยากรู้ทำไมไม่ไปด้วยกันล่ะ” ผมชักรำคาญ

“ไม่เอาโว้ย กลัวติดโรค พ่อด่าตายห่า” ชาญหัวเราะ เหตุผลของมันง่ายๆแต่ก็ฟังดูดี ทำไมผมจึงนึกเหตุผลนี้ไม่ได้ตั้งแต่แรกนะ จะได้ไม่ต้องยุ่งยากวุ่นวายขนาดนี้

“แต่ก็อยากรู้ว่ะ เล่าหน่อยดิ นะนะ ก่อนหลับทำอะไรไปบ้าง” ชาญอ้อน แต่คำว่าก่อนหลับทำให้ผมเคืองขึ้นมา คิดว่ามันกำลังล้อเลียนผมอยู่

“ไม่เล่าโว้ย เรื่องในมุ้ง อยากรู้ไปเองสิ” ผมตัดบท

เห็นชาญหน้าจ๋อยไป หลังจากนั้นชั้นเรียนก็เริ่มขึ้น ชาญนั่งเรียนเงียบๆไม่เซ้าซี้ผมอีกเลย จนจบคาบ หลังจากที่กำลังจะลุกจากที่นั่ง ชาญก็พูดกับผม

“เย็นนี้เรามีซ้อมวอลเลย์ นายไปนั่งเป็นเพื่อนเราหน่อยนะ”

“ไม่ล่ะ จะกลับบ้าน วันนี้ขี้เกียจอยู่เย็น” ผมตอบ รู้สึกเซ็งขึ้นมาจึงปฏิเสธไป

“ไปหน่อยน่า อยากมีเพื่อนคอยเชียร์น่ะ” ชาญอ้อนอีก

“ไปชวนคนอื่นสิ ชวนเจตก็ได้ รายนั้นชอบเล่นวอลเลย์อยู่แล้ว” ผมบอกปัดอีก

สีหน้าของชาญเปลี่ยนไป กลายเป็นจ๋อยสนิท ชาญไม่พูดอะไรอีก จากนั้นเราสองคนจึงลุกจากที่นั่งและเดินออกจากห้องเรียนไป

- - -

ตลอดทั้งวัน เพื่อนๆเอาเรื่องเมื่อวันศุกร์ไปล้อกันเป็นเรื่องขำ ต้นตอของข่าวก็เป็นพวกเพื่อนๆที่ไปด้วยกันในวันนั้นนั่นเอง แม้แต่เพื่อนสาวบางคนที่สนิทกันยังกล้าแซวผม ชื่อเสียงของผมโด่งดังอย่างรวดเร็วในกลุ่มสาม แต่ไม่ได้ดังในพวกเรียนดีกีฬาเด่น ไปดังในประเภทขบขันแทน เพื่อนๆมักแซวผมว่าอูล่มปากอ่าว กับอูหลับปากหม้อ ฟังดูคล้ายๆชื่อของกิน อย่างหลังดูเหมือนจะติดปากเพื่อนๆมากกว่าเนื่องจากหลายคนยังจำเรื่องที่ผมหลับในวิชาเคมีในวันเปิดภาคเรียนได้ เรื่องผมกับการหลับจึงดูเป็นของคู่กัน

น่าแปลกที่ชาญไม่ได้ไปในวันนั้นแต่กลับถูกแซวเพียงนิดหน่อยว่าเป็นลูกแหง่ยังต้องกินนม ส่วนผมนั้นกลับโดนแซวอย่างหนัก เพื่อนๆคงล้อเล่นขำๆตามประสาเพื่อนฝูง แต่ผมก็รู้สึกอึดอัดมาก ฉายาที่เพื่อนๆตั้งให้นี่เกลียดโคตรเลย

เพื่อนๆอาจเพียงรู้สึกสนุกและคิดว่าเป็นเพียงเรื่องที่หยอกเย้ากัน แต่สำหรับผมแล้วมันเหมือนกับการคุ้ยเขี่ยปมด้อยมาประจานกัน ผมอดนึกถึงตี๋ไม่ได้ ค่อยๆเข้าใจความรู้สึกของมันในวัยเด็กได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ผมรู้ดีกว่าหากทำเป็นเคืองหรือพยายามแก้ต่าง เรื่องราวอาจแย่ลง แซวกันแค่นี้ก็ยังดีกว่าแซวว่าอูโฮโม ประสบการณ์จากโรงเรียนเก่าสอนให้ผมรู้ว่าผมทำได้อย่างเดียวในสถานการณ์เช่นนี้ก็คือ... ยิ้มสู้

เย็นวันนั้น ผมไปที่สนามกีฬาในร่มเพื่อดูชาญซ้อมวอลเลย์บอล เห็นสีหน้าจ๋อยสนิทของมันแล้วอดสงสารไม่ได้ สีหน้าเช่นนี้ทำให้ผมนึกถึงใครบางคน...

ชาญอยู่ในสนามขณะที่ผมไปถึง มันจึงไม่เห็นผม ผมนั่งดูอยู่นานจนมันพัก เมื่อมันหันมาทางด้านที่ผมนั่งอยู่ ผมจึงโบกมือให้มัน

“เฮ้ย มาแล้วโว้ย” ผมตะโกน

ชาญยิ้มแป้นทันที ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่ดูเหมือนกับว่าดวงตาหลังเลนส์แว่นตาสีฟ้านั้นดูแจ่มใสเป็นประกาย... ดวงตาคู่นั้นเหมือนกับจะยิ้มไปด้วยทีเดียว...

ชาญเดินมาหาผม เมื่อเข้ามาถึงก็จับมือผมกุมพลางโยกมือของผมเล่น

“ไหนบอกว่าจะไม่มาไง”

“ก็เปลี่ยนใจน่ะ” ผมตอบสั้นๆพลางค่อยๆดึงมือของผมออกจากมือของมัน

- - -

“เอ... ทำไมอาการมันมีแต่แย่ลงหว่า” ผมรำพึงกับตนเองในขณะที่ขึ้นไปดูกุหลาบมอญที่ผมเลี้ยงเอาไว้บนชั้นดาดฟ้า

ช่วงนี้ฝนตกบ่อยผมจึงไม่ค่อยได้รดน้ำแต่ก็ยังขึ้นมาดูอยู่เสมอ หลังจากที่เดิมกุหลาบมีอาการใบหงิกและใบกลายเป็นสีน้ำตาลแล้ว เมื่อผมลิดใบออก ใบที่ผลิใหม่ก็ยังมีอาการเช่นเดิม ลิดไปลิดมาจนใบแทบจะหมดต้นก็ยังไม่หาย นอกจากอาการใบหงิกจะไม่หายแล้ว วันนี้ผมยังสังเกตเห็นว่ากิ่งใหญ่กิ่งหนึ่งเปลี่ยนเป็นสีดำสนิททั้งกิ่งอีกด้วย

“ไหนว่าเลี้ยงง่ายไง นี่ต้นที่สองแล้วนะ” ผมถอนหายใจ ชักเริ่มท้อกับการเลี้ยงกุหลาบ หลังจากนั้นก็รีบไปเรียน

หลายวันผ่านไป เรื่องคดีหลับปากหม้อของผมก็ค่อยๆซาลงไปพร้อมกับเสียงแซวที่ค่อยๆลดน้อยลง แต่ก็ยังมีเพื่อนบางคนหยิบยกมาแซวอยู่บ้าง ซึ่งผมก็ได้แต่หวังว่าในที่สุดทุกคนจะลืมมันไปจนหมด ขณะเดียวกัน ผมก็พยายามปลีกตัวออกมาจากกลุ่มสาม ไม่แวะเวียนเข้าไปเป็นประจำเหมือนเช่นเคย สาเหตุหนึ่งก็คือเบื่อ ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งก็คือ ตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้นเป็นต้นมาดูพี่ต่อจะไม่ค่อยพอใจผมนัก คงยังเคืองผมอยู่ที่ผมทำให้เสียเงินเปล่า ผมจึงพยายามเลี่ยงที่จะพบหน้าพี่ต่อ

ช่วงที่ห่างจากกลุ่มนั้นเป็นช่วงที่เคว้งอยู่บ้างเหมือนกัน เนื่องจากปกติโต๊ะกลุ่มเป็นสถานที่พบปะสังสรรค์และสรวลเสเฮฮาของนักศึกษา เมื่อไม่ได้ไปที่กลุ่มผมก็แทบจะไม่มีที่ไป รวมทั้งเมื่อไม่ได้ไปที่กลุ่มก็ทำให้ผมห่างจากแก๊งของผมไปบ้าง เพราะปกติแมว จิ๊บ เป้า ไปขลุกอยู่ที่กลุ่มเป็นประจำ ยกเว้นชาญที่ยังไปไหนมาไหนกับผมเสมอ

ในตอนกลางวันผมพยายามใช้เวลาไปกับการอ่านนิตยสารและหนังสือพิมพ์ในห้องสมุดโดยมีชาญนั่งลอกสมุดจดงานเป็นเพื่อน แต่อ่านไปก็เบื่ออีก ส่วนในตอนบ่ายหลังเลิกเรียนบางทีก็ไปดูชาญซ้อมกีฬาบ้างพอได้แก้เซ็ง

ที่ห้องสมุดนี้ผมได้พบความจริงอย่างหนึ่งก็คือ นักศึกษาที่มาใช้ห้องสมุดนานๆมักเป็นพวกที่มีนิสัยเรียบร้อย แตกต่างจากนักศึกษาที่คลุกคลีอยู่ที่กลุ่มซึ่งมักมีนิสัยเอะอะเฮฮา เพื่อนๆที่เป็นหนอนหนังสือฝังตัวอยู่ในห้องสมุดแม้รู้เรื่องของผมแต่ก็ไม่ได้แซวผมมากมายอะไรนัก

และที่ห้องสมุดของคณะนี่เองที่ผมได้เห็นเพ็ญอยู่บ่อยๆ ดูเพ็ญจะเป็นคนที่ขยันเรียนจริงๆ ไม่ค่อยได้เข้ากลุ่ม เวลาว่างส่วนใหญ่ของเพ็ญดูเหมือนจะเป็นการขลุกอยู่กับเจต ดูเจตซ้อมกีฬาบ้าง นั่งทำการบ้านกับเจตบ้าง เมื่อมีเวลาว่างก็มาขลุกที่ห้องสมุดซึ่งในบางครั้งเจตก็มานั่งเป็นเพื่อนด้วย

แต่การปลีกตัวออกจากลุ่มของผมดำเนินอยู่ได้ไม่นาน ผมก็ถูกตามตัวให้ไปทำกิจกรรมอีก

“เฮ้ย อู บ่ายสี่โมง เลิกเรียนแล้วไปที่กลุ่มนะ มีประชุม” เจตเดินมาหาผมที่โต๊ะขณะที่เราอยู่ในห้องสมุดและพูดเบาๆ

“ประชุมอีกแล้วเหรอ เรื่องอะไรอีกล่ะ” ผมถาม

“งานรับปริญญา ต้องเตรียมหาตังค์ อย่าลืมล่ะ ใกล้วันเข้ามาแล้ว” เจตตอบพลางย้ำนัดหมาย

กิจกรรมสำคัญอีกอย่างหนึ่งสำหรับนักศึกษาใหม่ก็คืองานรับปริญญา ในวันนั้นรุ่นพี่ที่เพิ่งจบออกไปจะกลับมาที่มหาวิทยาลัยเพื่อร่วมงานรับปริญญา หน้าที่ของนักศึกษาปีหนึ่งก็คือคอยติดดอกไม้แสดงความยินดีแก่พี่ๆบัณฑิต ร่วมถ่ายรูปหรือที่เรียกว่าเป็นแบ็กกราวนด์ เข้าร่วมในหอประชุมขณะมีพิธี และหน้าที่ที่สำคัญที่สุดในช่วงวันรับปริญญาก็คือ... หาเงินเข้ากลุ่ม

ในวันรับปริญญา พี่ๆบัณฑิตจะกลับมาที่มหาวิทยาลัยในชุดครุยปริญญาพร้อมกับครอบครัวเพื่อถ่ายรูปในตอนเช้าและเข้าร่วมพิธีในหอประชุมในช่วงบ่าย ในการถ่ายรูปในช่วงเช้านั้นจะมีน้องๆมาคอยติดดอกไม้ให้ที่เสื้อครุยปริญญาของพี่ๆ และบูมให้พี่บัณฑิตฟัง การติดดอกไม้และบูมให้พี่ๆนั้นแม้จะทำด้วยน้ำใจแต่ก็ไม่ได้ทำให้เปล่าๆ เป็นที่รู้กันว่าพี่ๆจะต้องตอบแทนน้ำใจของน้องๆด้วยธนบัตร ในยุคนั้นธรรมเนียมยังเป็นอย่างนี้อยู่ เงินที่ได้จากรุ่นพี่นั้นก็ไม่ได้เข้ากระเป๋าใครแต่นำมาใช้ในกิจกรรมของกลุ่มและชมรมต่างๆ แต่ต่อมาธรรมเนียมไถเงินรุ่นพี่นี้ถูกยกเลิกไป เหลือเพียงการติดดอกไม้แสดงความยินดีให้โดยห้ามรับเงินจากบัณฑิตหรือจากญาติๆของบัณฑิต

การประชุมในตอนบ่ายวันนั้นเป็นการชี้แจงให้รู้ถึงกิจกรรมหาเงินเข้ากลุ่มในวันรับปริญญาเพื่อนำเงินมาใช้เป็นสวัสดิการของกลุ่ม พวกพี่ๆมีการแบ่งงานและแบ่งกลุ่มปีหนึ่งออกเป็นกลุ่มย่อย ส่วนหนึ่งคอยทำดอกไม้ อีกส่วนหนึ่งแบ่งกันเป็นกลุ่มย่อยไปไล่ล่าติดดอกไม้ บูม และไถเงินจากพี่บัณฑิต

“พวกที่ติดดอกไม้และบูมต้องไปซ้อมให้ดีๆนะ บูมไม่ดังพี่เค้าก็ให้เงินน้อย ต้องบูมดังๆพี่จะได้จ่ายเยอะๆ เข้าใจมั้ย” พี่ที่เป็นประธานในการประชุมกลุ่มสามในวันนั้นกำชับพวกเรา

“พูดยังกะเป็นหัวหน้าแก๊งรีดไถเลย” ไอ้ชาญกระซิบเบาๆกับผม

“ถ้ายังงั้นเราก็คงเป็นสมุนแก๊งรีดไถ” ผมตอบ

- - -

วันงานรับปริญญา

ในที่สุดวันงานรับปริญญาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง ก่อนหน้าวันงาน พวกผู้หญิงไปซื้อดอกกล้วยไม้ที่ปากคลองตลาดกัน จากนั้นนำมาห่อด้วยอะลูมินัมฟอยล์ ที่ใช้ห่ออาหาร ติดเข็มกลัดเข้าไป ทำเป็นช่อกล้วยไม้สำหรับกลัดเสื้อ ทำกันตั้งแต่เช้ายันค่ำ ช่อดอกไม้กลัดเสื้อนี่ทำเยอะที่สุด นอกจากนั้นก็เป็นช่อกล้วยไม้ขนาดใหญ่สำหรับถือ ทำจากกล้วยไม้ ห่อด้วยกระดาษรองก้อนเค้กที่มีลวดลาย ห่อด้วยกระดาษแก้วอีกทีหนึ่ง ใครว่างจากเรียนก็มาช่วยกันทำ เหตุที่เลือกใช้กล้วยไม้แทนที่จะเป็นดอกไม้สดน่าจะเป็นเป็นเพราะว่าดอกกล้วยไม้บานทนทาน สามารถทำล่วงหน้าได้ หากเป็นช่อดอกไม้สดคงเหี่ยวไปแล้ว

เช้าวันนี้ผมรีบตื่นเป็นพิเศษเนื่องจากงานติดดอกไม้ต้องเริ่มตั้งแต่เช้าตรู่เนื่องจากพวกพี่ๆบัณฑิตจะมากันเช้ามาก เมื่อคืนกว่าจะกลับถึงหอก็ดึก เช้านี้ก็ต้องรีบตื่นอีก

วันนี้ผมแต่งตัวด้วยชุดขาวผูกเนคไทอีกครั้งหนึ่งเนื่องจากเป็นวันพิเศษ แต่งตัวเสร็จก็ออกจากหอตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เช้าวันนั้นการจราจรบนถนนพหลโยธินและถนนพญาไทคับคั่งกว่าปกติ เมื่อรถ ปอ.๒ มาถึงสยามสแควร์การจราจรก็ติดหนัก

เมื่อผมลงจากรถที่สามย่านและข้ามไปทางฝั่งถนนพระรามสี่ ผมก็พบว่าที่หน้ามหาวิทยาลัยเปลี่ยนสภาพไปจนจำแทบได้ วันนี้ที่หน้ามหาวิทยาลัยมีแผงลอยขายช่อดอกไม้ทั้งใหญ่และเล็ก ตุ๊กตุ่นตุ๊กตาเต็มไปหมด เดิมที่มีแต่นักศึกษาเดินกันขวักไขว่วันนี้ก็มีบัณฑิตในชุดครุยและญาติๆเป็นจำนวนมากเดินเลือกซื้อช่อดอกไม้กันจนเต็มทางเท้า ยิ่งเมื่อเข้าไปในมหาวิทยาลัยก็พบว่าภายในมหาวิทยาลัยมีผู้คนเดินกันพลุกพล่าน ทั้งนักศึกษาปีหนึ่งในชุดขาว นักศึกษาปีอื่นๆ บัณฑิตในชุดครุย และญาติมิตรที่มาร่วมงานชุดแต่งกายต่างๆนานาตามสถานภาพ อัดกันจนแน่นมหาวิทยาลัยไปหมด


<การรับน้องที่ริมชายหาดในยุคก่อน ไปกันทีใช้รถบัสนับสิบคัน ข้าวของก็เต็มไปหมด ทั้งเหนื่อยและทั้งสนุก>



<ผมก็พบว่าที่หน้ามหาวิทยาลัยเปลี่ยนสภาพไปจนจำแทบได้ วันนี้ที่หน้ามหาวิทยาลัยมีแผงลอยขายช่อดอกไม้ทั้งใหญ่และเล็ก ตุ๊กตุ่นตุ๊กตาเต็มไปหมด เดิมที่มีแต่นักศึกษาเดินกันขวักไขว่วันนี้ก็มีบัณฑิตในชุดครุยและญาติๆเป็นจำนวนมาก>

Sunday, November 14, 2010

ภาคสี่ ตอนที่ 13

ในยุคนั้นการขายบริการทางเพศก็มีรูปแบบที่หลากหลายใกล้เคียงกับปัจจุบันแล้ว รูปแบบดั้งเดิมที่มีมาแต่ไหนแต่ไรก็คืออาบอบนวด โรงแรมม่านรูด โรงน้ำชา ซ่อง และผีขนุน ส่วนรูปแบบแอบแฝงที่เพิ่งเริ่มต้นมีในยุคที่ผมเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ก็คือพวกเอสคอร์ตและการนวดแผนไทยหรือที่เรียกว่าหัตถเวช

อาบอบนวดนี่ก็มีแหล่งของมัน เช่น ที่ถนนศรีอยุธยา มีอยู่สองแห่ง เจ้าพระยากับชวาลา เปิดใกล้โรงเรียนเสียด้วย นอกจากนั้นก็ดูเหมือนจะเป็นย่านเพชรบุรีตัดใหม่ ใกล้มหาวิทยาลัย อย่างเช่นโมนาลิซ่า ไม่รู้ว่าบังเอิญหรืออย่างไรที่แหล่งอาบอบนวดทั้งสองแหล่งไปอยู่ใกล้สถานศึกษา ที่สามย่านแถวๆมหาวิทยาลัยที่ผมเรียนก็มี คือ ส.โบตั๋น

ในยุคนั้นมีบริการพิเศษในหมู่คนรักอ่าง ก็คือการนวดแบบบีคอสอันเป็นการนวดแบบที่ใช้ไม่ใช้มือ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าใช้เท้านวด แต่ที่ไม่ใช้มือนั้นพนักงานนวดจะใช้ลำตัวนวดแขก คงคล้ายงูเหลือมที่เลื้อยตวัดรัดพัน นอกจากนั้นก็เป็นการนวดแบบโตร่า ซึ่งก็เป็นการนวดแบบใช้ลำตัวเหมือนบีคอส แต่ว่ามีน้ำยาลื่นๆชนิดหนึ่งประกอบในการนวดด้วย น้ำยานี้มียี่ห้อโตร่า ต่อมาจึงกลายเป็นชื่อการนวดไป ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าสมัยนี้ยังมีการนวดแบบโตร่าหรือไม่

แหล่งขายบริการถัดมาจากอาบอบนวดก็คือโรงแรมม่านรูด โรงแรมม่านรูดนั้นใช้แนวคิดแบบโมเตลของฝรั่ง นั่นคือ ขับรถเข้ามาจอดแล้วพักแรม เหมาะสำหรับผู้ที่ขับรถเดินทาง แต่โรงแรงม่านรูดของเราไม่ต้องขับรถเดินทางแต่อย่างใดแต่เป็นการขับรถเจาะจงเข้าไปใช้บริการเลย จะพักแรมหรือชั่วคราวสามชั่วโมงก็ได้

ลักษณะของโรงแรมม่านรูดมักจะเป็นโรงแรมชั้นเดียว ห้องพักแต่ละห้องจะถูกซอยในลักษณะเรียงรายกันไปเหมือนกับคูหาของตึกแถว หน้าห้องจะเป็นที่จอดรถ การใช้บริการโรงแรมม่านรูดก็จะขับรถเข้าไปจอดหน้าห้องพักที่ไม่ได้ปิดม่านอยู่ เมื่อจอดรถเรียบร้อยแล้วพนักงานก็จะรูดม่านปิดเอาไว้ ทำให้มองไม่เห็นทั้งรถและห้องพัก ไม่ต้องกลัวว่าใครจะจำรถได้ เวลาลงจากรถก็ไม่มีใครเห็นเพราะว่ามีม่านรูดบังเอาไว้แล้ว โรงแรมม่านรูดในยุคนั้นมักตั้งชื่อโรงแรมเป็นตัวเลขสองหลัก เช่น ๖๖, ๙๙ ฯลฯ ไม่รู้ว่าทำไมต้องตั้งชื่อเป็นตัวเลขเหมือนกัน ย่านที่มีโรงแรมม่านรูดชุกชุมก็เช่นย่านซอยรางน้ำ ราชเทวี ราชปรารภ แต่ที่จริงถ้าจะว่าไปแล้วก็เห็นมีกระจายกันอยู่ทั่วไปทั้งกรุงเทพฯ

การใช้บริการโรงแรมม่านรูดนั้นแขกจะพาผู้หญิงไปเองหรือบางแห่งอาจมีหญิงบริการไว้ให้ด้วยก็ได้ รวมทั้งหากไม่มีรถก็ใช้โรงแรมม่านรูดได้ โดยเดินเข้าไปดื้อๆ หรือจะนั่งแท็กซี่เข้าไปก็ได้

ถัดจากโรงแรมม่านรูดก็เป็นโรงน้ำชา เข้าไปนั่งกินน้ำชาแล้วก็รับบริการจากพนักงานสาวไปด้วย ที่จริงน้ำชาก็เป็นบริการการบังหน้าอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง โรงน้ำชาดังในยุคนั้นจะอยู่ในย่านเยาวราช พวกรุ่นใหญ่มักไปใช้บริการกัน ที่อยู่นอกย่านเยาวราชและมีชื่อเสียงก็เห็นจะเป็นโรงน้ำชานิวกิมซัวที่ลำสาลี บางกะปิ ในสมัยนั้นดังมาก

ที่จริงรูปแบบที่เปิดเผยและเก่าแก่ที่สุดของการขายบริการทางเพศน่าจะเป็นรูปแบบของซ่อง ซึ่งเปิดขายบริการกันแบบจะแจ้ง ชนิดที่ว่าหน้าบ้านแขวนโคมเอาไว้เลย ซ่องนั้นมีมาแต่สมัยโบราณแล้ว ปกติมักเป็นบ้านที่มีรั้วรอบขอบชิด แต่ต่อมาไม่เปิดให้บริการกันอย่างโจ่งแจ้งได้เพราะว่าผิดกฎหมาย จึงต้องเปลี่ยนไปทำธุรกิจรูปแบบอื่นบังหน้า แหล่งขายบริการที่เป็นบ้านในสมัยที่ผมเรียนก็มีอยู่แถวประตูน้ำ ถนนเพชรบุรี ฯลฯ ถ้าเป็นต่างจังหวัดก็มีที่โด่งดังคือย่านกำแพงดิน ย่านท่าม่วง และบ้านโป่ง เป็นต้น

นอกจากแหล่งขายบริการที่มีสถานที่เป็นหลักเป็นแหล่งแล้ว การขายบริการอีกแบบหนึ่งที่ผู้ขายบริการบริหารจัดการลูกค้าเอาเองเหมือนเป็นศิลปินเดี่ยวก็คือรูปแบบผีขนุน ซึ่งเคยเล่าให้ฟังมาบ้างแล้ว ผีขนุนนี้จะยืนใต้ต้นขนุน หรืออาจจะยืนใต้เสาไฟฟ้าก็ได้ในยามดึกสงัดก็ได้

ปกติศิลปินเดี่ยวผีขนุนมักใช้บริการโรงแรมชั่วคราวในละแวกใกล้เคียง แต่ถ้าไม่ใช้แม้แต่โรงแรม ไปประกอบกิจกันตามสุมทุมพุ่มไม้ก็จะเรียกว่าไปใช้โรงแรมจิ้งหรีด สมัยก่อนตามสวนสาธารณะที่กลายเป็นโรงแรมจิ้งหรีดก็มีอยู่หลายแห่ง

ผู้ขายบริการแบบศิลปินเดี่ยวถ้ายกระดับตัวเองขึ้นมา ไม่ไปยืนใต้ต้นขนุนหรือตามเสาไฟฟ้า แต่ไปอยู่ตามโฆษณาในหน้าหนังสือพิมพ์ พวกนี้จะเปลี่ยนชื่อเรียกไป กลายเป็นสาวเอสคอร์ต สาวเอสคอร์ตเป็นเพื่อนที่ยิ่งกว่าเพื่อน คือเป็นทั้งเพื่อนคุย เพื่อนกิน เพื่อนเที่ยว และเพื่อนนอน แต่ว่าปกติแล้วหน้าที่ส่วนใหญ่คือเป็นเพื่อนนอน การใช้บริการต้องใช้การโทรนัด เอสคอร์ตเป็นบริการที่มีราคาแพงเพราะถือว่าเป็นรูปแบบการขายบริการที่พัฒนาขึ้นมา มีการสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้นมาตามหลักการตลาด แหล่งสาวเอสคอร์ตมีอยู่หลายที่ เช่น ย่านสุทธิสาร อินทามาระ ที่จริงในย่านสุทธิสาร อินทามาระในยุคนั้นเป็นแหล่งที่มีการขายบริการในหลายรูปแบบ ไม่ได้มีเฉพาะสาวเอสคอร์ต ในยุคนั้นหนุ่มเอสอคอร์ตก็มีแล้วแต่ส่วนใหญ่มักให้บริการสาวใหญ่เสียมากกว่า

แหล่งขายบริการที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบไป และเป็นที่นิยมในยุคนั้นก็คือร้านนวดแผนโบราณ สมัยนั้นไม่ได้เรียกว่านวดแผนไทย แต่เรียกว่านวดแผนโบราณ เดิมก็คงจะแผนโบราณจริงๆ แต่ต่อมา โดยเฉพาะในยุคที่ผมเรียนมหาวิทยาลัย ชั้นล่างจะเป็นนวดแผนโบราณ แต่ชั้นบนจะไม่โบราณแล้ว ร้านนวดแผนโบราณแอบแฝงขายบริการนี้ทำให้ร้านนวดที่มีแต่บริการนวดแผนไทยจริงๆพลอยถูกเพ่งเล็งและได้รับผลกระทบไปด้วย ปัจจุบันร้านนวดแผนโบราณที่ขายบริการก็ยังมี มักเรียกสั้นๆเป็นที่รู้กันว่า นผบ.

ต่อมาการขายบริการทางเพศก็แพร่ไปตามสถานที่ต่างๆจนแทบไม่มีขีดจำกัด ไม่ว่าบาร์ ร้านตัดผม หรือแม้แต่เพิงขายยาดองก็อาจกลายเป็นแหล่งขายบริการได้ จนมาถึงในยุคปัจจุบันนี้ที่ร้านนวดได้รับความนิยมอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่ร้านนวดแผนโบราณ แต่เป็นการนวดในรูปแบบใหม่ที่เรียกว่านวดเฉพาะจุด หรือบางทีก็เรียกให้โจ่งแจ้งยิ่งกว่านั้นว่านวดกระปู๋

- - -

“ลองดูสิ เลือกใครดี” พี่ต่อพูดอีก ตอนนั้นมีแต่พี่ต่อกับไอ้เป้าที่ยืนอยู่กับผม ส่วนคนอื่นนั้นเป็นอย่างไรบ้างผมไม่ทันได้สังเกตเพราะมัวแต่ตกใจกับสถาการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่

ผมกวาดตามองห้องใหญ่ที่ครึ้มสลัว ภายในห้องมีหญิงสาวนั่งและเดินไปเดินมาอยู่หลายคน ตู้กระจกที่มีสาวงามนั่งอยู่นั้นมีเพียงไม่กี่ตู้ ดูไปแล้วเหมือนกับเป็นการตกแต่งเพื่อแสดงไฮไลต์ของสถานที่เสียมากกว่า

“เอ้อ...” ผมอึกอัก ทำอะไรไม่ถูก ผมรู้ว่าผีเมื่อหามมาถึงป่าช้าแล้วถึงอย่างไรก็ต้องฝัง งานนี้ผมคงไม่มีทางปฏิเสธได้เพราะหากปฏิเสธคงจะกลายเป็นพิรุธ ผมสบตากับไอ้เป้าเพื่อขอความช่วยเหลือ

“ไม่ต้องกลัวไอ้อู คนเรามันต้องมีครั้งแรก จากไม่เคยแล้วก็เป็นเองนั่นแหละ เดี๋ยวเราเลือกคนให้ละกัน” เป้าพูดให้กำลังใจผม จากนั้นหันไปพูดกับพี่ต่อ พี่ต่อก็ไปพูดกับคนดูแลอีกทอดหนึ่ง

หลังจากที่คนดูแลรับออร์เดอร์ไปแล้ว สักครู่หญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในห้องซึ่งไม่ใช่ตู้กระจกก็เดินมาหาผม เมื่อเดินมาในระยะใกล้ผมจึงเห็นว่าเธอมีรูปร่างค่อนข้างเล็ก ผิวขาว ใบหน้าป้อมๆ ไว้ผมยาว เธอพยักหน้าเรียกผมให้เดินตามเธอไป หลังจากนั้นผมก็ไม่รู้แล้วว่าเพื่อนๆแต่ละคนเป็นอย่างไรกันบ้าง

ผมตามเธอไปออกจากห้องอันมืดสลัวนั้น เดินไปตามทางเดินซึ่งมีห้องเรียงรายอยู่ จากนั้นขึ้นไปชั้นบน และเปิดเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง

เมื่อเข้าไปภายในห้อง เห็นภายในห้องสลัวและออกสีเหลืองอุ่นด้วยแสงไฟจากหลอดแบบไส้รุ่นเก่า ในห้องมีเครื่องเรือนเด่นอยู่เพียงสามอย่างเท่าที่ผมจำได้ นั่นคือ เตียงคู่ บนเตียงมีผ้าขนหนูพับไว้เรียบร้อยวางอยู่ ชุดรับแขกเล็กชุดหนึ่งพร้อมที่เขี่ยบุหรี่ และโต๊ะเครื่องแป้งพร้อมกระจกเงา

“น้องนั่งรอก่อนนะ” หญิงสาวพูดกับผมอย่างกันเองจากนั้นก็ออกจากห้องไป ทิ้งให้ผมอยู่ในห้องแต่เพียงคนเดียว

ผมไปนั่งรออยู่บนเตียง พร้อมกับนึกว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี นอนกับผู้หญิงนี่ทำยังไงก็ไม่รู้ ตอนเรียนสุขศึกษาอาจารย์ก็ไม่ได้สอนให้ละเอียดเสียด้วย

เพียงครู่เดียวหญิงสาวคนเดิมก็กลับเข้ามาในห้อง คราวนี้ในมือถือตะกร้าหวายใบเล็กๆมาด้วย ผมสังเกตเห็นในตะกร้ามีของใช้กระจุกกระจิก พวกแปรง หวี และกระปุกใบใหญ่หน่อยซึ่งไม่รู้ว่าข้างในบรรจุอะไร และซองเล็กๆอยู่จำนวนหนึ่ง

เมื่ออยู่กันสองคนในห้อง มีจึงมีโอกาสสังเกตใบหน้าของเธอ เค้าโครงใบหน้าของเธอได้รูป หน้าตาดูพอใช้ได้เลยทีเดียว แต่ผอมไปสักนิด ใบหน้านั้นเรียบเฉย แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางบ้าง ในทันใดนั้นผมอดนึกถึงเพลงนางงามตู้กระจกของวงคาราบาวไม่ได้ ใครจะรู้ว่าเครื่องสำอางที่เธอประทินผิวอยู่นั้นได้ซ่อนเร้นปกปิดริ้วรอยแห่งชีวิตเอาไว้มากน้อยเพียงใด

“น้องไม่เคยเที่ยวใช่ไหม” หญิงสาวถาม พลางวางตะกร้าหวายลงบนโต๊ะเครื่องแป้ง

“ครับ” ผมตอบ รู้สึกว่าใจเริ่มเต้นอย่างแรง แม้แต่เสียงยังพลอยสั่นไปด้วย

“ใจเย็นๆ” ดูเหมือนเธอจะจับความรู้สึกในน้ำเสียงของผมออก “ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ”

“น้องอยากทำอะไรบ้างล่ะ” เธอถามผมอีก

“ไม่รู้สิพี่” ผมตอบ ดูเธอคงแก่กว่าผม เลยเรียกพี่เอาไว้ก่อน ใจจริงอยากตอบว่าไม่อยากทำอะไร อยากกลับหอ แต่ในตอนนั้นคงตอบแบบนั้นไม่ได้เป็นแน่

“ไปผลัดผ้าก่อนไป” เธอแนะนำ

“ผลัดผ้า” ผมทวนคำ งงว่าต้องทำอย่างไร

“ก็นุ่งผ้าเช็ดตัวน่ะ อาบน้ำให้สบายตัวก่อน” เธอตอบ พลางนั่งลงบนเตียง หยิบผ้าเช็ดตัวส่งให้ผม

อาบน้ำเสียหน่อยก็ดีเหมือนกัน ผมคิด พลางรับผ้าเช็ดตัวมาถือเอาไว้ จากนั้นเดินไปที่ห้องน้ำ ล็อกกลอน ถอดเสื้อผ้าและอาบน้ำอย่างรวดเร็ว

เมื่อได้อาบน้ำชำระร่างกาย น้ำเย็นทำให้สติของผมแจ่มใสขึ้น ตอนนั้นอาการเมาลดลงไปมากแล้ว ผมนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่เดินออกมาจากห้องน้ำ เมื่อออกมาก็เห็นพี่คนนั้นนุ่งผ้าขนหนูกระโจมอกนั่งอยู่บนเตียงเช่นกัน เมื่อผมเห็นการแต่งตัวของเธอ ผมก็แทบหายเมา เธอกวักมือผมเรียกไปนั่งบนเตียง

“ปล่อยใจให้สบายนะน้อง ไม่ต้องตื่นเต้น” เธอพูด พลางขยับตัวเข้ามาชิดผม จากนั้งมือของเธอก็ล้วงไปใต้ผ้าขนหนูที่ผมคาดเอวอยู่

ผมสะดุ้งเฮือก แทบจะกระโดดหนี แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าเมื่อหนีไม่พ้นแล้วเอาก็เอาวะ ลองดูสักหน่อย

เธอค่อยคลึงท่อนลำของผมอย่างนุ่มมือ เพียงไม่นานผมก็รู้สึกว่ามันเริ่มแข็งตัว ตอนนั้นก็ไม่ได้หื่นอะไรมากมาย คงแข็งตัวเพราะถูกกระตุ้นเสียมากกว่า

มือของเธอค่อยๆกำแน่นขึ้น จากมือที่เคล้นคลึงกลายเป็นกำรอบและรูดเป็นจังหวะ นิ้วมือของเธอที่เสียดสีส่วนหัวของผมทำให้ผมเริ่มเคลิ้มและมีอาการตอบสนอง

ผมเริ่มอยากรู้ว่าสรีระของผู้หญิงสาวนั้นแตกต่างจากของผมมากน้อยเพียงใด ตั้งแต่เด็กผมเรียนอยู่ในโรงเรียนชายมาโดยตลอด มีโอกาสเรียนรู้ความแตกต่างระหว่างเพศไม่มากนัก จำได้ว่าครั้งหนึ่งแก้ผ้าอาบน้ำในบึงกับตุ้มเด็กหญิงแถวบ้าน ผมอาจได้เรียนรู้เรื่องความสัมพันธ์กับเพศตรงข้ามตั้งแต่ตอนนั้นแล้วก็ได้ตามแรงยุของลุงหนูหากไอ้นัยไม่ห้ามเอาไว้เสียก่อน จำได้ว่าตอนนั้นผมก็เกิดอารมณ์กับไอ้ตุ้มอยู่เหมือนกัน หากเหตุการณ์วันนั้นเกิดขึ้นจริง ไม่แน่ว่าผมอาจต้องถูกส่งเข้าสถานพินิจหรืออาจต้องกลายเป็นพ่อคนตั้งแต่ยังเด็กก็ได้

คิดไปคิดมาอารมณ์ก็เตลิดกระเจิง ผมเอื้อมมือไปปลดปมผ้าขนหนูที่หน้าอกของเธอ พลางเอามือลูบไล้เนินอกของเธอแบบไม่เกรงใจ

อือม์ ตึงๆ หยุ่นๆ แปลกดีแฮะ ผมคิด เป็นครั้งแรกที่ผมได้เรียนรู้สรีระของเพศตรงข้ามจากของจริง ดูจากภายนอกเหมือนกับว่าเธอค่อนข้างผอม แต่ที่จริงแล้วเรือนร่างของเธอมีน้ำมีนวลพอควรทีเดียว ผมเคล้นคลึงไฟหน้าและหลอดไฟของเธอ ทีแรกก็กล้าๆกลัวๆทำอย่างเบามือ แต่เมื่อเธอปล่อยให้ผมทำโดยไม่ว่าอะไร พอลืมตัวผมก็ทำแรงขึ้น หลังจากนั้นค่อยๆเลื่อนมือลงมายังเบื้องล่าง สามเหลี่ยมทองคำของเธอนั้นอวบอูม ขนกำลังดี ไม่เกาเหลาไม่คาราบาว

ผมเลือนนิ้วแหวกร่องหลืบลงไป จนสะดุดเงี่ยงเล็กๆและถ้ำโพรงที่ซ่อนอยู่ รสสัมผัสจากท่อนลำที่แข็งเกร็งของผมซึ่งมือของเธอกำลังสาวขึ้นลงอยู่ ผสมกับรสสัมผัสจากปลายนิ้วมือของผมที่ชอนไชไปตามซอกหลืบต่างๆใต้เนินอันอวบอูมของเธอทำให้ผมรู้สึกว่าร่างกายร้อนผ่าวไปหมด หัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น อารมณ์ของคุโชนราวเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้อย่างบ้าคลั่งเมื่อได้แรงลมโหมกระพือ

เหตุการณ์ตอนนั้นเปรียบเสมือนว่าวที่ติดลมบนแล้ว เธอปล่อยมือจากท่อนเนื้อของผม จากนั้นเหตุการณ์ขั้นต่อไปก็ดำเนินไปได้ด้วยตัวของมันเองภายใต้การแนะนำของเธออีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เธอจับผมนอนหงายลงบนเตียง ตอนนั้นผ้าขนหนูของเราทั้งสองคนหลุดลุ่ยไปหมดแล้ว ผมนอนเปลือยกายอยู่เบื้องหน้าของเธอ ท่อนเนื้อแดงก่ำเพราะถูกเสียดสี ความเขินอายหมดสิ้นไปแล้ว ตอนนั้นผมรู้สึกแปลกๆอยู่บ้าง แต่ก็จำแนกไม่ออกว่าแปลกตรงไหนหรือว่าแปลกเพราะอะไร อาจจะเป็นเพราะความแปลกใหม่ที่ไม่คุ้นเคยก็เป็นได้

“ใช้ถุงไหม” เธอถาม

“ถุง...” ผมทวนคำ จากนั้นก็นึกได้ว่าหมายถึงถุงยางอนามัยหรือที่สมัยนั้นเรียกว่าร่ม สมัยนั้นนักเที่ยวยังไม่ค่อยกลัวเรื่องการรับเชื้อเอดส์จากหญิงบริการเพราะยังเป็นกรณีที่ค่อนข้างใหม่อยู่ หากจะกลัวก็กลัวแต่พวกกามโรค เช่น ซิฟิลิส หนองใน ฯลฯ ส่วนทางฝ่ายหญิงขายบริการเองบางคนก็ไม่มากเรื่อง อยากใช้ก็ได้ ไม่ใช้ก็ได้ เพราะกลัวว่าหากมากเรื่องแล้วแขกจะหนี บางทีการยืนกรานให้แขกใช้ถุงยางก็เหมือนกับกำลังบอกกับแขกว่าตัวเธอไม่ค่อยปลอดภัยนัก “เลือกได้ด้วยเหรอพี่ ถ้ายังงั้นใช้ก็แล้วกันครับ”

เธอหยิบซองเล็กๆออกมาจากตะกร้า ฉีกปากซองออก ข้างในเป็นแผ่นยางบางใส เธอจับถุงยางมาครอบลงบนท่อนเนื้อที่กำลังแข็งเกร็งของผม จากนั้นก็ค่อยๆรูดวงยางลง ถุงยางสีส้มอมชมพูบางใสค่อยๆคลี่ปกคลุมลงจนถึงโคน ผมรู้สึกรัดนิดๆ เป็นความรู้สึกที่แปลกๆ ไม่เคยประสบมาก่อน จากนั้นเห็นเธอหยิบกระปุกออกมาจากตะกร้าหวาย เปิดฝาออกและป้ายสิ่งที่อยู่ข้างในกระปุกออกมาชโลมรอบถุงยางอีกที มันคงเป็นเจลหล่อลื่นอะไรสักอย่าง ตอนนั้นผมแอบสงสัยอยู่เหมือนกันว่านอนกับผู้หญิงทำไมต้องใช้เจลหล่อลื่นด้วย

เมื่อใส่ถุงยางเสร็จ เธอประคองตัวของผมขึ้นในขณะที่เธอเองค่อยๆล้มตัวลงนอนบนเตียง ผมค่อยๆลุกตาม และในที่สุดเธอก็อยู่ในสภาพนอนหงายชันขาทั้งสองข้างขึ้นโดยมีผมคร่อมอยู่ที่หว่างขาของเธอ ภาพร่างกายอันเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ของเราสองคนยิ่งกระตุ้นให้อารมณ์ของผมกระเจิดกระเจิง

ทำไงต่อหว่า ผมชะงักไปนิดหนึ่ง ลังเลใจไม่กล้าสอดใส่ กลัวว่าหากสอดใส่ผิดจะกลายเป็นขี่รถออฟโรดไป

ดูเหมือนว่าเธอจะรู้ว่าผมไปต่อไม่ถูก จึงเอื้อมมือมาจับท่อนเนื้อของผม ค่อยๆจูงเพื่อจะพาผมเข้าถ้ำ

ร่างของผมโน้มไปข้างหน้า เมื่อมือของเธอจูง สะโพกของผมก็ขยับเข้าไปใกล้ก้นของเธอตามแรงมืออย่างว่าง่าย จนท่อนเนื้อของผมจ่ออยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง... อารมณ์ของผมกระเจิงเต็มที่จนแทบแตกระเบิด เหลือเพียงแค่ผมกดสะโพกลงไปเท่านั้น...

ผมอดนึกถึงไอ้ตุ้มในวัยเด็กไม่ได้ ในที่สุดผมก็จะได้ทำในสิ่งที่ในวัยเด็กยังทำไม่สำเร็จ... เมื่อนึกถึงตุ้ม ผมก็อดนึกถึงไอ้นัยไม่ได้

“เรื่องเหี้ยๆที่กูไปทำไว้น่ะ กูคิดจะทำเพื่อความสะใจ แต่แล้วก็นึกถึงมึงทุกครั้ง สุดท้ายก็เลยแค่ใช้มือ ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น... กูไม่กล้าสู้หน้ามึง... กูสะใจที่ได้ทำ แต่ก็เสียใจที่ได้ทำลงไป ไม่รู้ว่ามึงจะเชื่อเด็กเลวขี้โกหกหรือเปล่า แต่ขอให้มึงเชื่อกูสักครั้งนะอู”

ข้อความในจดหมายฉบับสุดท้ายของไอ้นัยแว่บเข้ามาในหัวของผม ผมรู้สึกหนาววูบขึ้นมาราวกับถูกน้ำเย็นสาดใส่ทั้งๆที่วันนั้นอากาศค่อนข้างอบอ้าว ผมมองดูใบหน้าของหญิงสาวที่นอนทอดกายอยู่ใต้ร่างเปลือยเปล่าของผม ใบหน้านี้เหมือนไม่ใช่สาวคนเดิมที่เพิ่งพาผมเข้าห้องมาเมื่อครู่...

เธอเป็นใครก็ไม่รู้ มาจากไหนก็ไม่รู้อีก รักก็ไม่รัก ความผูกพันก็ไม่มี แล้วนี่ผมกำลังจะทำอะไรลงไป ผมจะทำอะไรแบบนี้กับคนที่ผมไม่รักได้อย่างไร...

อารมณ์ที่คุโชนของผมมอดโทรมลงไปมาก ใจหนึ่งอยากหยุดแค่นี้ แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากหยุดยั้งกลางคัน แค่เพียงกดสะโพกลงไป ผมก็จะได้เรียนรู้ประสบการณ์ที่ผมไม่เคยได้ลิ้มลองมาก่อนในชีวิต มันเป็นประสบการณ์แห่งความสุขที่ชายหนุ่มเป็นจำนวนมากอยากได้ลิ้มลอง... หากผมไม่ลองในวันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไรจะได้ลองอีก แล้วออกไปก็ไม่รู้จะแก้ตัวเพื่อนๆยังไงอีกด้วย...

ความคิดต่างๆพลุ่นพล่านอยู่ในสมอง เพียงวูบเดียว ผมก็ล้มตัวลงนอนข้างๆหญิงสาวโดยหันหลังให้เธอ เอาผ้าขนหนูขึ้นมาคลุมสะโพกและก้นของผมเอาไว้โดยไม่สนใจกับถุงยางที่สวมคาอยู่

“ไม่ไหวแล้วพี่ โคตรเมาเลย กลัวอ้วกรดพี่ ขอพักให้หายเมาก่อน” ผมพูดพลางหลับตา มันเป็นมุขเดียวที่ผมคิดออกในตอนนั้น ผมไม่กล้าลืมตาดูว่าสีหน้าท่าทีของเธอว่าเป็นอย่างไรเหมือนกัน...


ฟังเพลง นางงามตู้กระจก ร้องโดยเทียรี่ เมฆวัฒนา จากอัลบั้มชุดเมดอินไทยแลนด์ วงคาราบาว ออกในปี พ.ศ. ๒๕๒๗



<ภาพบัตรนักศึกษาปีหนึ่งในยุคนั้น บัตรกระดาษแข็งติดรูปถ่ายขนาดหนึ่งนิ้วแล้วนำไปเคลือบพลาสติกธรรมดา ไม่มีลูกเล่นอะไรเลย ตอนนั้นยังไม่มีบัตรสมาร์ตการ์ด ไม่มีบัตรที่พิมพ์รูปถ่ายอยู่บนตัวบัตรดังเช่นที่ใช้ในปัจจุบัน นักศึกษาปีหนึ่งในยุคนั้นดูจะอ่อนต่อโลกกว่าคนวัยเดียวกันในยุคนี้เนื่องจากตอนนั้นโลกทั้งโลกยังไม่ได้อยู่เพียงแค่เอื้อมในจอมอนิเตอร์หรือในจอโทรศัพท์มือถือดังเช่นในปัจจุบัน แต่ในเรื่องการหาทางออกทางเพศวัยรุ่นในแต่ละยุคสมัยก็มีทางระบายออกของตนเอง ในยุคที่ผมเรียนมหาวิทยาลัยนั้นการขึ้นครูอันหมายถึงการไปเที่ยวผู้หญิงเป็นครั้งแรกนั้นเป็นประเพณีของบางคณะ โดยรุ่นพี่จะพาชี่ที่เป็นชายไปดื่มเหล้าและขึ้นครูหลังจากงานรับน้องโดยรุ่นพี่จะเรี่ยไรเงินกันและเป็นสปอนเซอร์ให้ แต่ธรรมเนียมนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแน่นอน บางคณะที่มีนักศึกษาหญิงมากๆก็อาจไม่มีธรรมเนียมนี้ อย่างเช่นคณะเทคโนก็ไม่มีประเพณีพาชี่ไปขึ้นครู หากจะไปก็เป็นการจัดการกันเองในกลุ่มย่อย>

Tuesday, November 9, 2010

ภาคสี่ ตอนที่ 12

วันศุกร์

วันนั้นเป็นวันที่ร้อนอบอ้าวมาก ท้องฟ้ามืดครึ้มเต็มไปด้วยเมฆแต่จนแล้วจนรอดฝนก็ไม่ตก

หลังเลิกเรียนในภาคบ่ายผมไปนั่งเล่นที่กลุ่มเพื่อรอไปเลี้ยงส่งเป้าในตอนเย็น ผมนั่งไปได้สักครู่รู้สึกร้อนมากจึงไปนั่งหลบร้อนในห้องสมุดพร้อมกับชาญ ส่วนแมวและจิ๊บสมัครใจนั่งทนร้อนอยู่ที่กลุ่มต่อไปเพราะอยากคุยมากกว่าเนื่องจากว่าหากเข้าไปนั่งในห้องสมุดแล้วคุยไม่ได้ ส่วนเป้ายังไม่มาที่กลุ่ม คาดว่าคงยังไม่เลิกเรียน

ห้องสมุดของคณะเทคโนอยู่ที่ชั้นสองของอาคารเรียนรวม ที่นั่นติดเครื่องปรับอากาศเย็นสบาย ผมเองไม่ค่อยได้มาที่ห้องสมุดบ่อยนักแม้ว่าห้องสมุดจะเย็นสบายก็ตามเนื่องจากเหตุผลหลายๆประการ ประการแรกก็คือห้องสมุดนี้มีแต่หนังสือและนิตยสารวิชาการ ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ ส่วนใหญ่จะเป็นภาษาอังกฤษ ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นนโยบายของคณะที่ต้องการให้นักศึกษาคุ้นเคยกับตำรับตำราภาษาอังกฤษ และหนังสือพิมพ์ทั้งรายวันและรายสัปดาห์ ส่วนหนังสืออ่านเล่นไม่มีเลย นอกจากนี้ยังมีเหตุผลที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือเจ้าหน้าที่ห้องสมุดดุมาก หากใครส่งเสียงดังจะถูกดุเสมอ

จากเหตุผลที่ว่าทำให้นักศึกษาที่อยากเข้าไปนั่งคุยพร้อมกับตากแอร์ให้เย็นใจจึงไม่ค่อยกล้าเข้าไปใช้ห้องสมุดนัก คงเหลือแต่บรรดาหนอนหนังสือที่เข้าไปตั้งใจนั่งอ่านหนังสือ หรือไม่ก็พวกที่เอาการบ้านหรือสมุดจดงานของเพื่อนไปลอกกันอย่างเงียบๆ สำหรับผมนั้นเมื่อเห็นหนังสือวิชาการเยอะๆก็ตาลายแล้วจึงไม่รู้ว่าจะเข้าไปทำไม อีกอย่าง กิจกรรมที่ต้องทำมีอยู่เยอะแยะจึงไม่ค่อยมีโอกาสได้เข้ามาใช้ห้องสมุด ยกเว้นเมื่อต้องการอ่านหนังสือพิมพ์หรือในวันที่อากาศร้อนมากจริงๆ

เมื่อผมกับชาญเข้าไปนั่งตากแอร์เล่นก็อดที่จะคุยกันไม่ได้ คุยไปคุยมา ก็เห็นมือข้างหนึ่งนำป้ายกระดาษแผ่นโตแผ่นหนึ่งมาวางที่ตรงหน้าของผมและชาญ เห็นในป้ายกระดาษเขียนข้อความว่า

‘โปรดเงียบ เกรงใจผู้อื่นบ้าง’

ผมเงยหน้าขึ้นมามองผู้ที่เอาป้ายมาวางที่โต๊ะ เห็นเป็นเจ้าหน้าที่ห้องสมุดนั่นเอง ใบหน้าของเธอยู่ยี่บ่งบอกความหงุดหงิดใจ

“อูย ขอโทษครับ” ผมพูดเบาๆ “ไม่คุยแล้วครับ”

เจ้าหน้าที่หยิบป้ายกระดาษขึ้นจากโต๊ะพร้อมกับเดินกลับไป ตลอดเหตุการณ์เธอไม่เปล่งเสียงพูดออกมาเลยสักคำ สมกับเป็นผู้มีหน้าที่รักษาความสงบในห้องสมุดจริงๆ

“เฮ้ย พี่คนนี้เค้าเป็นใบ้โว้ย” ไอ้ชาญกระซิบแล้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ทำงานแบบนี้ก็เหมาะดีเหมือนกัน”

“เฮ้ย” ผมกระซิบตอบ “เดี๋ยวก็โดนไล่ออกจากห้องสมุดหรอก ขายหน้าเค้าตายเลย นั่งเงียบๆสักเดี๋ยวละกัน เรายังอยากอยู่ในนี้ว่ะ ขอผึ่งแอร์ให้หายร้อนหน่อย”

หลังจากนั้นผมก็ลุกขึ้นจากโต๊ะเพื่อไปหาหนังสือมาอ่านฆ่าเวลาระหว่างรอไปเลี้ยงส่งไอ้เป้า ดูๆไปก็ไม่รู้จะอ่านอะไร ที่เห็นพอจะน่าสนใจอยู่บ้างก็คือหนังสือพิมพ์และพวกวารสารทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผมจึงเลือกหยิบวารสารแนววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีภาษาไทยจากชั้นมาหลายเล่มละนำมาอ่านที่โต๊ะ

ผมพลิกวารสารไปเรื่อยๆอย่างไม่ค่อยสนใจนัก พลันสายตาก็ไปสะดุดกับพาดหัวของคอลัมน์หนึ่งเข้า

‘คุยกับนักจิตวิทยา โฮโมเซ็กชวลรักษาได้’

ในยุคนั้นคำว่าเกย์ยังไม่ค่อยแพร่หลายเท่ากับคำว่าโฮโมเซ็กชวลหรือเรียกสั้นๆว่าโฮโม โฮโมเซ็กชวลหรือรักร่วมเพศนั้นเป็นคำกลางๆสำหรับเรียกพวกที่รักเพศเดียวกัน ที่จริงตามรูปศัพท์ใช้ได้ทั้งกับชายรักร่วมเพศและหญิงรักร่วมเพศ แต่ปกติมักหมายถึงชายรักร่วมเพศ ไม่มีความหมายในเชิงเหยียด ในปัจจุบันคำว่าโฮโมแทบไม่มีใครเรียกกันแล้ว กลายเป็นเกย์ เก้ง กวางแทน

อ่านชื่อบทความแล้วก็สะดุดใจอยู่เหมือนกัน จึงอ่านรายละเอียดดู เนื้อหาในบทความเป็นการคุยกับนักจิตวิทยาผู้ซึ่งมีทัศนะว่าการเป็นเกย์นั้นเกิดจากปัจจัยสภาพแวดล้อมหรือว่าการเลี้ยงดูเป็นสำคัญ และสามารถบำบัดรักษาให้หายได้แม้จะค่อนข้างยากก็ตาม ตลอดเรื่องไม่มีการระบุว่าการรักษาทำอย่างไร รักษาที่ไหน หรือว่าค่าใช้จ่ายเท่าไร

ในเรื่องนั้นบอกว่าบางทีวัยรุ่นที่กลายเป็นรักร่วมเพศเกิดจากความฝังใจในประสบการณ์ทางเพศครั้งแรก หากมีประสบการณ์ทางเพศครั้งแรกกับเพศเดียวกันก็อาจฝังใจและกลายเป็นรักร่วมเพศไปในที่สุด คิดไปคิดมามันก็อาจคล้ายๆกับกรณีชีวิตของผมอยู่เหมือนกัน

“เฮ้ย อ่านอะไรอยู่วะอู หน้าตาจริงจังเชียว” ชาญทักพลางชะโงกหน้าข้ามโต๊ะมา

ผมรีบพลิกวารสารไปหน้าอื่นแทน

“ก็อ่านฆ่าเวลาไปเรื่อยๆนั่นแหละ อย่าคุยมากเลย เดี๋ยวโดนไล่” ผมบอกชาญ ว่าแล้วก็ก้มหน้าอ่านเรื่องอื่นๆต่อไป แม้สายตาของผมจะจับจ้องอยู่ที่บทความเรื่องอื่นแต่ในหัวของผมกลับวนเวียนคิดถึงแต่เรื่องที่เพิ่งอ่านผ่านมา

มันรักษาได้จริงหรือเปล่านะ ไม่น่าเป็นไปได้... ผมรำพึงกับตนเองในใจ

- - -

เย็นวันนั้นพวกเราไปกินอาหารเย็นกันที่ร้านหมงไข่ระเบิดที่สามย่าน ร้านอาหารในสามย่านฝั่งคณะบัญชีรั้วสีชมพูในเย็นวันศุกร์แน่นขนัดเกือบทุกร้าน ลูกค้าส่วนใหญ่ก็เป็นนิสิตนักศึกษาที่เรียนในย่านนั้นนั่นเอง

ผู้ที่มาเลี้ยงส่งเป้ามีราวสิบคน เกือบทั้งหมดเป็นปีหนึ่งก็คือพวกเราในกลุ่ม ๕ คนและเพื่อนคนอื่นๆในกลุ่มสามกับรุ่นพี่กลุ่มสามอีกสองคนที่เป้าสนิทสนมด้วย รุ่นพี่นั้นคือพี่แต้มกับพี่ต่อ สองคนนี้เป็นคู่หูกันและมักถูกเรียกว่าแต้มต่อเพื่อให้ฟังดูคล้องจองกัน

“ไอ้ไข่นี่มันระเบิดตรงไหนหว่า” ชาญก้มหน้าลงไปมองไข่ระเบิด อาหารเมนูเด็ดของร้านหมงที่เพิ่งนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะ มันเป็นไข่ดาวหลายฟองที่ทอดรวมกันให้ติดกันเป็นแพโดยทอดแค่กึ่งสุก ไข่แดงยังเหลวอยู่ ด้านบนราดด้วยหมูผัดกะเพรา

“สงสัยมากนักเอาหน้าทิ่มลงไปในจานเลยสิ เดี๋ยวก็รู้” พี่ต่อพูดพลางเอามือกดหัวชาญจนหน้าเกือบทิ่มลงไปในจานจริงๆ

“ไม่สงสัยก็ได้พี่” ชาญพูด “แล้วไอ้ต้มยำนี่ทำไมน้ำมันขุ่นคลั่กยังงี้ล่ะ เอาน้ำอะไรมาทำวะเนี่ย”

“หยุดสงสัยได้แล้วไอ้ชาญ เฮ้อ ไม่เห็นนายรู้อะไรสักอย่าง” เป้าพูด แม้เป้าจะไม่เจอกับร้อยแปดคำถามของชาญมากเท่ากับผมแต่มันก็คงเจอมาไม่น้อยอยู่เหมือนกัน

เมนูเด็ดอีกอย่างหนึ่งของร้านนี้ก็คือต้มยำนมสด เป็นต้มยำใส่นมสด เคี่ยวจนน้ำข้นและแตกมันเหมือนใส่กระทิ อร่อยทีเดียว ใครมากินที่ร้านหมงมักหนีไม่พ้นต้องสั่งอาหารสองจานนี้

พวกเรานั่งกินและคุยกันจนค่ำ จนได้เวลาประมาณเกือบสองทุ่มงานเลี้ยงก็เลิกราเนื่องจากบรรยากาศในร้านเอะอะหนวกหูมากอีกทั้งพวกเราก็กินกันจนอิ่มแล้ว

“ยังไม่อยากกลับเลย ไปเที่ยวต่ออีกหน่อยเถอะ ส่งท้าย ต่อไปคงไม่ได้แบบนี้เที่ยวอีกนานเพราะคงไม่ได้กลับเมืองไทยบ่อยๆ” เป้าพูดกับพวกเราขณะที่กำลังรอคิดเงินอยู่

“งั้นไปฟังเพลงกันไหม ที่หน้ามหาวิทยาลัยนี่เอง” พี่ต่อแนะนำ

พี่ต่อกับพี่แต้มเป็นคู่หูที่ค่อนข้างแปลก พี่แต้มดูเป็นคนเรียบร้อย ส่วนพี่ต่อนั้นแค่เห็นการแต่งตัวก็รู้แล้วว่าเป็นขาเที่ยว ยิ่งถ้าได้คุยด้วยก็ยิ่งแน่ใจเพราะพี่ต่อรู้เรื่องบันเทิงดีมาก โดยเฉพาะสถานที่เที่ยวหลังเลิกเรียน ไม่ว่าเรื่องห้าง โรงหนัง โรงโบวลิง ร้านอาหาร ร้านเสื้อผ้าและราคาเสื้อผ้า รู้ไปหมด แปลกใจอยู่เหมือนกันว่าสองคนนี้เป็นคู่หูกันได้ยังไง

“แมนดารินาเหรอ เออ ดีเหมือนกัน น้องๆไปกันโว้ย” พี่แต้มเห็นด้วย เมื่อได้ยินคำพูดของพี่แต้ม ความคิดที่ว่าพี่แต้มเป็นคนเรียบร้อยนั้นก็เริ่มคลอนคลาย

แมนดารินา (Mandarina) นั้นเป็นชื่อของคอกเทลเลานจ์ที่อยู่ในโรงแรมแมนดาริน ใกล้กับมหาวิทยาลัยนั่นเอง สมัยนั้นเป็นยุคที่นิยมไปนั่งฟังเพลงกันในสถานบันเทิงประเภทที่เรียกว่าคอกเทลเลานจ์ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่าบาร์กับคอกเทลเลานจ์นั้นแตกต่างกันอย่างไรทั้งนี้เพราะไม่เคยเข้าทั้งสองประเภท แม้แต่ดิสโก้เธคกับลานสเก็ตที่นิยมกันในหมู่วัยรุ่นผมก็ยังไม่เคยเข้า

แมวกับจิ๊บซึ่งเป็นหญิงเพียงสองคนในกลุ่มขอตัวกลับก่อนเนื่องจากไม่อยากกลับบ้านดึก ส่วนที่เหลือไม่มีปัญหาเรื่องกลับบ้านดึกจึงตกลงใจที่จะไปฟังเพลงกัน

พวกเราข้ามถนนจากฝั่งคณะบัญชีมายังฝั่งมหาวิทยาลัยของเรา โรงแรมแมนดารินแม้จะอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยแต่ผมก็ยังไม่เคยเข้ามาก่อน ได้แต่เดินผ่าน ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสเข้าไป

เราเดินผ่านทางเดินของโรงแรม ผ่านห้องอาหารเข้าไปทางด้านใน ภายในโรงแรมนอกจากจะมีคอกเทลเลานจ์แล้วยังมีดิสโก้เธคอีกด้วย ชื่อเดอะไนล์ (The Nile) ในยุคนั้นไม่ถือว่าดังเท่าไรนัก ที่ดังๆจะเป็นพวกฟลามิงโก ส่วนแมนดารินานั้นเป็นคอกเทลเลานจ์ที่มีชื่อเสียงอยู่พอสมควร

เมื่อผมย่างเท้าเข้าไปในคอกเทลเลานจ์ บรรยากาศก็เปลี่ยนเป็นมืดสลัวลงในทันที ภายในเป็นห้องขนาดใหญ่ ที่เวทีสำหรับเล่นดนตรีและที่บาร์เหล้าเท่านั้นที่พอจะมีแสงสว่าง ส่วนพื้นที่โดยรอบนั้นมืดสลัว จัดตั้งโซฟาเป็นชุดมีทั้งชุดเล็กและชุดใหญ่สำหรับให้ลูกค้ามานั่งฟังเพลง ควันบุรี่ลอยอบอวลอยู่ในห้องเนื่องจากในยุคนั้นยังไม่มีกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในสถานที่สาธารณะรวมทั้งห้องอาหารและโรงหนังดังเช่นในปัจจุบัน ดังนั้นลูกค้าจึงสามารถสูบบุหรี่ได้ตามสบาย แม้ใครที่ไม่อยากสูบก็ต้องทนดมควันบุหรี่ไปด้วย

พนักงานสาวพาพวกเราไปนั่งที่โซฟาโดยมีพี่แต้มพี่ต่อเดินนำหน้า เมื่อนั่งลงเรียบร้อยแล้วพนักงานก็นั่งย่อตัวในท่าคุกเข่าข้างเดียว ส่งเมนูให้ แต่ละคนเปิดเมนูดู ภายใต้แสงอันมืดสลัว ผมมองรายการแทบไม่เห็น แต่ก็พอรู้ว่าเป็นรายการอาหาร เครื่องดื่ม และของว่าง รายการอาหารยังพอคุ้นชื่อส่วนเครื่องดื่มแต่ละรายการล้วนแต่ชื่อประหลาดทั้งนั้น

“นี่มันเครื่องดื่มอะไรวะอู ไม่เห็นรู้จักชื่อสักอย่าง” ชาญถามเสียงดัง

“เฮ้ย เบาๆ” ผมดุมันด้วยเสียงแผ่วเบา “ไม่รู้ก็อยู่เฉยๆ ขายหน้าเค้าว่ะ”

“ก็สั่งไม่ถูกนี่หว่า แล้วนายรู้จักเหรอ” มันย้อนถาม

“ก็ไม่รู้น่ะสิ ถึงได้พูดเบาๆนี่ไง” ผมตอบ

เป้าสั่งเครื่องดื่มอย่างคล่องแคล่ว ดูท่าคงเคยเข้าสถานบันเทิงพวกนี้มา ส่วนพี่ต่อพี่แต้มนั้นไม่ต้องพูดถึง ส่วนผมกับชาญและคนอื่นๆเพิ่งเข้ามาเป็นครั้งแรก ยังสั่งไม่ถูก

“สั่งอะไรดีวะไอ้เป้า” ผมหันไปถามเป้าที่นั่งติดกัน ผมนั่งอยู่ระหว่างชาญกับเป้า

“เราก็ไม่ค่อยรู้จัก สั่งแต่แบบเดิมที่เคยสั่ง นายให้พนักงานลองแนะนำดูสิ” เป้าตอบ

“พี่ช่วยแนะนำหน่อยครับ” ผมหันไปพูดกับพนักงานที่นั่งย่อตัวอยู่กับพื้น การนั่งย่อตัวเช่นนี้ราวกับคนรับใช้กำลังรอรับคำสั่งจากเจ้านายในละครทีวี ผมถูกสอนมาให้นับถืออาวุโส ไม่เคยได้รับการปฏิบัติอย่างหรูเช่นนี้มาก่อนจึงอดรู้สึกขัดเขินไม่ได้ ขณะเดียวกันก็สะท้อนใจ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐฐานะดูเหมือนจะฉุดศักดิ์ศรีของมนุษย์ให้ต้อยต่ำลงไปด้วย

“เอาแบบมีแอลกอฮอล์หรือไม่มีแอลกอฮอล์คะ” พนักงานสาวถาม

“ไม่เอาแอลกอฮอล์ ผมเอานมสดก็แล้วกัน” ชาญพูดพลางหัวเราะ

“ไอ้บ้า” ผมด่ามัน จู่ๆมันก็เกิดอยากเกรียนขึ้นมา ไม่รู้ว่าคำว่านมสดของมันหมายถึงอะไรกันแน่

“เอาแอลกอฮอล์ครับ” ผมตอบ

พนักงานสาวหยิบเมนูของผม เปิดให้ผมดูรายการในหน้าเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ ในหน้านั้นมีรายชื่อเครื่องดื่มแปลกๆพร้อมราคา แก้วหนึ่งดูเหมือนจะราคาประมาณ ๑๓๐-๑๕๐ บาท ชาญยื่นหน้ามาอ่านเมนูในมือของผมบ้าง

“อะไรนี่ ไหมไทย ชื่อเพราะดี เอาไอ้นี่ละกัน” ชาญบอก

เมื่อชาญสั่งไหมไทยไปแล้วผมก็ไม่อยากสั่งซ้ำ จึงเลือกหาชื่อแปลกๆที่ดูน่าสนใจ

“เอานี่ละกันครับพี่ ตอร์ปิโด” ในที่สุดผมก็เลือกได้ ชื่อนี้ฟังแล้วเก๋ดี

“เฮ้ย แก้วนี้แรงนะโว้ยไอ้อู เคยกินเหล้าหรือเปล่า” พี่ต่อหันมาถามผมทันทีเมื่อได้ยินรายชื่อเครื่องดื่มที่ผมสั่ง

“เคยดิพี่” ผมตอบ นึกถึงตอนกินเบียร์กับแก๊งของเวชในห้องสนุ้กเมื่อตอน ม.๔ แก๊งของพี่ธิตที่หอพักก็มักตั้งวงกินเหล้ากันบ่อยๆ ผมเองก็ไปร่วมบ้าง ดังนั้นจึงเคยกินเหล้ากินเบียร์มาบ้าง แต่ที่จริงล้วนแต่เป็นประสบการณ์เล็กๆน้อยๆทั้งนั้น

เมื่อสั่งเครื่องดื่มเสร็จ ระหว่างที่รอผมจึงมีโอกาสสังเกตสภาพภายในคอกเทลเลานจ์โดยละเอียด ภายในห้องมีการตกแต่งไม่มากนัก อาศัยความมืดทำให้ประหยัดการตกแต่งไปได้มาก จุดที่เน้นก็เน้นด้วยการเล่นแสง ไม่ได้เน้นด้วยการประดับประดา ตอนนั้นลูกค้ายังมีไม่มากนักเนื่องจากยังหัวค่ำอยู่ บนเวทีมีแต่เครื่องดนตรีตั้งอยู่ วงยังไม่เล่น ภายในห้องมีเสียงดนตรีคลอจากการเปิดแผ่น

หลังจากที่เครื่องดื่มและของว่างมาแล้ว พวกเรานั่งฟังเพลงจากแผ่นรออีกสักครู่วงดนตรีก็เริ่มแสดง ในตอนนั้นวงดนตรีที่ถือว่าเป็นวงชูโรงและเรียกลูกค้าให้แก่แมนดารินาก็คือวงสุเทพแอนด์เดอะแซกส์ แปลว่าอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่าหัวหน้าวงคือพี่สุเทพ ประยูรพิทักษ์

เพลงหากินของพี่สุเทพในยุคนั้นก็คือเพลงป่าลั่น รวมทั้งเพลงหิ่งห้อยที่เวลาร้องริบๆๆๆหรี่ต้องเต้นส่ายก้นแบบเป็ดไปด้วย ลีลาการร้อง เต้น และความเป็นกันเองกับแขกที่มาฟังเพลงทำให้บรรยากาศสนุกมาก

เล่นได้สักพักวงก็หยุดเล่นเนื่องจากวงนี้ต้องเดินสายไปแสดงที่อื่นอีก จากนั้นก็เป็นนักร้องคนอื่นขึ้นเวทีมาร้องเพลงขับกล่อมต่อ พวกเราก็ฟังเพลงกันไป ขอเพลงกันไป ไอ้ชาญสนุกกับการขอเพลงมาก

ตอร์ปิโดรสชาติหวานจนกลบรสและความแรงของแอลกอฮอล์ จิบแล้วจิบเล่าที่ผ่านลำคอของผมจนหมดแก้ว เมื่อถึงตอนสี่ทุ่ม พี่ต่อพี่แต้มก็เรียกให้พวกเรากลับ ตอนนั้นผมรู้สึกร้อนวูบวาบและคันไปหมดทั้งตัว หัวก็รู้สึกหนักๆ

“เฮ้ย ไอ้อู หน้าแดงแจ๋เลย ไหวหรือเปล่า” เป้าถามผม ผมหันไปมองหน้าเป้า เห็นหน้ามันแดงเล็กน้อย ส่วนชาญนั้นหน้าแดงก่ำ ไม่รู้ว่าหน้าของผมและชาญ หน้าใครจะแดงกว่ากัน

“ไหวๆ” ผมตอบ พลางลุกขึ้นยืนตามเพื่อนๆเพื่อจะกลับ

โครม

“เฮ้ย ไอ้อูเมาแล้ว” ใครก็ไม่รู้พูดขึ้นขณะที่ผมรู้สึกวูบไปชั่วขณะ

เมื่อลุกขึ้นยืนและเดินผมจึงได้พบว่าผมมึนจนควบคุมการเดินของตนเองไม่ได้ แทนที่จะเดินไปตามทางเดินผมกลับเซไปชนโต๊ะข้างๆ จนเพื่อนๆต้องช่วยกันหามออกมาถึงหน้าโรงแรม ตอนนั้นแม้จะมึนแต่ยังไม่ถึงกับอ้วกไม่และยังไม่ปวดหัวมากนัก ไม่เหมือนเมื่อตอนที่ผมเมาบุหรี่

เมื่อได้รับอากาศจากภายนอกผมก็รู้สึกดีขึ้น ตอร์ปิโดลูกนั้นรุนแรงกว่าที่ผมคิดไว้มาก ในกลุ่มดูเหมือนจะมีผมอยู่เพียงคนเดียวที่ครองสติแทบไม่อยู่ คนอื่นดูเหมือนว่าจะไม่เป็นอะไรเลย เพื่อนๆและพี่ๆคุยปรึกษาหารืออะไรกันอยู่ครู่หนึ่ง ผมได้ยินแต่ฟังไม่รู้เรื่อง จับได้แต่คำว่าเพชรเทวีกับอะไรครูๆ

“เฮ้ย ไอ้อู ไปต่อไหวไหม” เป้าถาม

ผมพยักหน้า

“งั้นไปเที่ยวกันต่อนะ” พี่ต่อถามบ้าง “เคยเที่ยวหรือเปล่า”

ผมพยักหน้าอีก

“ไปพี่ ไป” ผมตอบ

“เฮ้ย งั้นเรากลับก่อนนะ จะไปกินนมนอนแล้ว” ได้ยินชาญพูด จากนั้นอีกสักครู้ชาญก็เดินแยกตัวจากไป ส่วนพวกเราที่เหลือก็เรียกแท็กซี่สองคัน แท็กซี่ทั้งสองพาพวกเราเคลื่อนห่างจากโรงแรมแมนดารินเลี้ยวเข้าไปทางถนนบรรทัดทอง

รถแท็กซี่พาผมไปที่ไหนก็ไม่รู้เพราะว่าเมื่อผมขึ้นรถก็หลับไปเลย ผมตื่นขึ้นมาอีกทีก็เมื่อรถแท็กซี่มาถึงที่หมายและเป้าเขย่าตัวปลุกผม

ผมเดินตามเป้าและเพื่อนๆพี่ๆเข้าไปในสถานที่แห่งหนึ่ง เมื่อย่างเข้าประตูไปผมก็รู้สึกว่าบรรยากาศกลับมืดสลัวลงอีกครั้งหนึ่ง พี่ต่อคุยกับคนเฝ้าประตูสองสามคำจากนั้นก็พาพวกเราเดินเข้าไปยังห้องชั้นในอีกห้องหนึ่ง

เมื่อเข้าไปถึงห้องด้านใน เห็นภายในเป็นห้องที่กั้นซอยด้วยแผ่นกระจก ผมเห็นผู้หญิงหลายคนนั่งอยู่หลังแผ่นกระจกนั้น แต่ละคนกำลังมองมาที่กลุ่มของพวกเรา

“เฮ้ย ไอ้เป้า นี่มันซ่องนี่หว่า” ผมรั้งเป้าเอาไว้จนเราสองคนอยู่รั้งท้าย พลางถามอย่าร้อนรน ถึงผมไม่เคยเข้ามาแต่ก็พอเดาได้ ถ้าเป็นไอ้ชาญอาจจะยังเดาไม่ออก

“ก็ใช่น่ะสิ” เป้าตอบ

ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ภาพที่เห็นข้างหน้าทำให้ผมสร่างเมาไปมาก ผมไม่ได้นึกอยากจะมาเที่ยวสถานที่แบบนี้เลยสักนิด

“ทำไมไม่ถามกันก่อนวะ” ผมพูดเป็นเชิงต่อว่า

“ก็ถามนายแล้วนี่หว่า นายก็บอกว่าเคยเที่ยว นี่พี่ต่อพี่แต้มเลี้ยงนะ ของฟรีไม่เอาก็บ้าแล้ว” เป้าพูด “ไอ้ชาญนี่แม่งก็โง่ ได้ขึ้นครูฟรีๆยังเสือกไม่มา”

ผมงงว่าไปตอบรับมันตอนไหน แต่ก็จำได้ว่าชาญปลีกตัวจากไปโดยไม่มาด้วย

“เฮ้ย ไม่เคยโว้ย” ผมหลุดปากบอกออกไป

“อ้าว ไอ้อูไม่เคยเที่ยวเหรอ แล้วเมื่อกี้เสือกบอกว่าเคยแล้ว” พี่ต่อเข้ามาได้ยินพอดีและดุผม “ก็ดี ขึ้นครูเสียเลย พี่เลี้ยงเอง เมื่อตอนรับน้องคณะ ชี่คณะอื่นมันขึ้นครูกันไปหมดแล้ว พวกเอ็งก็อย่าน้อยหน้า”



<เมื่อผมย่างเท้าเข้าไปในคอกเทลเลานจ์ บรรยากาศก็เปลี่ยนเป็นมืดสลัวลงในทันที ภายในเป็นห้องขนาดใหญ่ ที่เวทีสำหรับเล่นดนตรีและที่บาร์เหล้าเท่านั้นที่พอจะมีแสงสว่าง ส่วนพื้นที่โดยรอบนั้นมืดสลัว จัดตั้งโซฟาเป็นชุดมีทั้งชุดเล็กและชุดใหญ่สำหรับให้ลูกค้ามานั่งฟังเพลง ควันบุรี่ลอยอบอวลอยู่ในห้องเนื่องจากในยุคนั้นยังไม่มีกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในสถานที่สาธารณะรวมทั้งห้องอาหารและโรงหนังดังเช่นในปัจจุบัน>

ฟังเพลง ป่าลั่น ร้องโดยสุเทพ ประยูรพิทักษ์
<เพลงนี้ดั้งเดิมร้องโดยคุณสุเทพ วงศ์กำแหง ต่อมาพี่สุเทพ ประยูรพิทักษ์ รวมทั้งอีกหลายๆคนนำมาร้องบ้าง แต่ดูเหมือนว่าฉบับของพี่สุเทพจะได้รับความนิยมเพราะเป็นเพลงหากินที่ร้องประกอบลีลาท่าเต้นไปด้วย โดยเฉพาะเพลงหิ่งห้อยที่เต้นได้ฮามาก>

Tuesday, November 2, 2010

ภาคสี่ ตอนที่ 11

ช่วงหลังผมก็เริ่มสังเกตเหมือนกันว่าเจตกับเพ็ญสนิทกันมาก มักไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ ที่จริงเพื่อนกันไปไหนด้วยกันก็ไม่น่าแปลกอะไร แต่ส่วนใหญ่กลุ่มเพื่อนมักมีมากกว่าสองคน ปีหนึ่งที่ไปไหนมาไหนเป็นคู่มีไม่มากนัก เจตกับเพ็ญมักเรียนและไปไหนด้วยกันสองคนเสมอ เมื่อผมสังเกตออก คนอื่นก็คงสังเกตได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นเรื่องแซวคะนองปากจึงเกิดขึ้น ถ้าเป็นผู้หญิงแซวกันคงออกมาในลักษณะซุบซิบนินทา แต่เนื่องจากกลุ่มเพื่อนที่แซวเป็นกลุ่มนักศึกษาชายที่มีนิสัยห่าม การแซวจึงค่อนข้างโจ่งแจ้ง เรื่องที่ไม่น่าจะเป็นเรื่องจึงกลายเป็นเรื่องขึ้นมา

บ่ายวันหนึ่ง

วันนั้นเป็นวันที่มีแล็บเคมี ผมกับชาญซึ่งเป็นคู่แล็บกันทำแล็บเสร็จช้ากว่าเพื่อนๆกลุ่มอื่นเนื่องจากผมเตรียมสารเคมีผิดจึงต้องทำใหม่ทั้งหมด

“เฮ้อ ไอ้อูเอ๊ย ไม่เอาไหนเลย เสียเวลาจริงๆ” ชาญพูดเยาะเย้ยผม สีหน้าที่ยิ้มแย้มอารมณ์ดีของมันทำให้ผมรู้ว่ามันบ่นเล่นๆมากกว่าที่จะหงุดหงิดผมจริงๆ

“ใจเย็นดิ คนเราก็มีผิดพลาดกันได้” ผมพูด

เราเสร็จงานเป็นกลุ่มสุดท้าย คู่อื่นๆทำแล็บเสร็จและออกจากห้องไปกันจนหมดแล้ว

“กลับบ้านตอนนี้รถติดแย่” ชาญบ่นขณะที่เรากำลังเดินออกจากห้องแล็บ พลางจับมือผมแกว่งไปมา “ไปไหนต่อดีวะ”

“ไปนั่งเล่นที่กลุ่มสามก่อนก็แล้วกัน” ผมตอบพลางค่อยๆดึงมือออกให้หลุดจากการเกาะกุมของชาญ

ตั้งแต่ชาญถูกดึงตัวให้ไปเล่นวอลเลย์บอลมันก็มักกลับบ้านในช่วงเย็นหรือค่ำเนื่องจากติดซ้อม วันไหนที่ชาญมีซ้อมมันก็มักชวนผมไปนั่งดูที่ขอบสนามเป็นเพื่อนมันเสมอซึ่งผมก็ไปบ้างไม่ไปบ้างตามแต่โอกาส วันไหนที่ไม่ได้ไปดูชาญซ้อมก็มักมานั่งเล่นที่กลุ่ม ผมพยายามใช้เวลาอยู่ในมหาวิทยาลัยให้มากหน่อยเนื่องจากอยู่ที่มหาวิทยาลัยแล้วไม่เหงา เมื่อกลับไปหออยู่คนเดียวก็อดเหงาไม่ได้ ไปๆมาๆกลุ่มสามจึงเป็นสถานที่พักพิงในยามเย็นของผมไปโดยปริยาย

ที่โต๊ะกลุ่มปกติไม่เคยเงียบเหงาเลยตลอดทั้งวันเนื่องจากมีนักศึกษาทุกชั้นปีแวะเวียนมานั่งพักผ่อนอยู่ตลอด มีกีตาร์เก่าๆอยู่ตัวหนึ่ง ใครว่างก็มาจับกลุ่มเล่นกีตาร์และร้องเพลง หนังสือพิมพ์ก็มีให้อ่านแต่ว่าไม่แน่นอนและอาจไม่ใช่ของใหม่เนื่องจากเป็นหนังสือพิมพ์ที่รุ่นพี่อ่านแล้วและทิ้งเอาไว้ หรือไม่อย่างนั้นจะเล่นหมากรุกก็ได้ ที่นี่นิยมเล่นหมากรุกจีน หมากฮอส กับเลี๊ยบตุ่ย ส่วนหมากรุกไทยกับหมากรุกฝรั่งไม่เป็นที่นิยม ส่วนเรื่องเล่นไพ่นั้นไม่ต้องพูดถึง ของตายอยู่แล้ว

บ่ายวันนั้นที่กลุ่มค่อนข้างคึกคัก มีนักศึกษาเฮฮากันอยู่ที่กลุ่มไม่น้อยเลยทีเดียว ส่วนใหญ่เป็นพวกปีหนึ่ง ผมมองหาแมว จิ๊บ และไอ้เป้า เพื่อนร่วมกลุ่มที่มักไปไหนมาไหนด้วยกัน แต่ก็ไม่พบใครสักคน คิดว่าคงกลับกันไปแล้ว ผมกับชาญจึงหาที่นั่งใกล้กับเพื่อนๆที่กำลังก้มหน้าก้มตาลอกสมุดจดงานอยู่ ผมและชาญก็มีสมุดเลกเชอร์ของแมวที่ต้องลอกให้เสร็จภายในวันนี้อยู่เหมือนกันจึงเข้าไปนั่งรวมกลุ่มกับพวกที่กำลังจดงาน และที่ใกล้ๆกันนั้นเองก็มีรุ่นพี่กับปีหนึ่งกำลังจับกลุ่มอ่านหนังสือพิมพ์และคุยเรื่องกีฬากันอยู่

ขณะที่ผมกับชาญกำลังลอกสมุดจดอยู่ ข้างหูก็ได้ยินเสียงคุยเอ็ดตะโรของพวกที่จับกลุ่มอ่านหนังสือพิมพ์ ขณะที่กำลังรู้สึกรำคาญกับเสียงรบกวนก็ได้ยินรุ่นพี่คนที่กำลังถือหนังสือพิมพ์อยู่พูดขึ้น

“เฮ้อ แย่โว้ย ประเทศไทยขายหน้าอีกแล้ว” รุ่นพี่พูดแล้วหยุดนิดหนึ่ง เงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือพิมพ์ “อาจารย์เพิ่งบอกพี่ว่าเราโดนต่างชาติยื่นหนังสือประท้วง”

“ประท้วงเรื่องอะไรพี่” ชี่คนหนึ่งซัก

“ก็... เนี่ย สมาคมอะไรวะ... ของฝรั่งน่ะ ชื่ออะไรก็จำไม่ได้แล้ว... มันประท้วงว่าคนไทยทารุณสัตว์” รุ่นพี่พูดต่อ

“ทารุณยังไงเหรอ” ไอ้คนเดิมถามต่อ ผมเองก็ชักสนใจจึงเงยหน้าขึ้นมาฟังด้วย

“มันประท้วงว่าคนไทยทารุณสัตว์... เอานกเขาไปอมทั้งเป็น” รุ่นพี่ตอบพลางชี้ให้ดูข่าวชิ้นหนึ่งที่อยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ซึ่งผมมองไม่เห็นว่าเนื้อข่าวเป็นอย่างไรเนื่องจากอยู่ไกลเกินไป

พวกชี่ที่อยู่ใกล้รุ่นพี่เอาหนังสือพิมพ์ไปอ่านแล้วก็ฮากันลั่นโต๊ะ บางคนเอามือเคาะโต๊ะด้วยเพื่อเพิ่มบรรยากาศเฮฮา

“ไอ้เรื่องหนังสือประท้วงนี้เรื่องจริงหรือเปล่าพี่” มีเสียงถามขึ้นมา

“ไม่รู้โว้ย คงจริงมั้ง พี่ก็ฟังเขาเล่ามาอีกทีน่ะ” รุ่นพี่ตอบ

ผมอดรนทนไม่ได้ ลุกขึ้นไปมุงดูข่าวในหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นบ้าง เป็นเป็นพาดหัวกรอบเล็กอยู่ในหน้าหนึ่ง มีเนื้อความว่า

‘แพทยสภาตัดสินโทษหมอนกเขา พักใช้ใบประกอบวิชาชีพ’

ใต้โปรยข่าวเป็นเนื้อข่าว ขณะที่ผมกำลังอ่านเนื้อข่าวอยู่นั้นเองผมก็รู้สึกว่ามีใครมาเบียดอยู่ที่ข้างหลังของผม ร่างของคนคนนั้นแนบติดกับลำตัวของผมพลางชะโงกหน้ามาร่วมอ่านหนังสือพิมพ์ด้วย ใบหน้าที่ชะโงกเข้ามานั้นก็แทบสัมผัสกับแก้มของผม ร่างนั้นแนบร่างผมเพียงวูบเดียวก็ผละออกไป

“เฮ้ย หมอนกเขานี่ใครอะ มันเรื่องอะไรกัน ไม่เห็นรู้เรื่องเลย” ได้ยินเสียงชาญถามผมอยู่ด้านหลัง ผมหันกลับไป เห็นชาญกะพริบตาทำหน้างงๆ

“โอ๊ย ตายห่า ที่หน้าบ้านนายมีภูเขาหรือเปล่าเนี่ย” ผมถามมัน

“ไม่มีโว้ย” ชาญตอบพลางหัวเราะ “ก็ไม่รู้จริงๆนี่หว่า”

“เป็นคนกรุงเทพฯได้ไงวะ อะไรก็ไม่เห็นรู้เรื่องสักอย่าง” ผมอดสงสัยไม่ได้

ชาญหัวเราะอีก ใบหน้าหลังเลนส์สีฟ้ารูปหยดน้ำยิ้มอย่างอารมณ์ดี

“เราเป็นคนฝั่งธนฯ ไม่ใช่คนกรุงเทพฯ” ชาญแก้ตัวแบบน้ำขุ่นๆ

ผมจึงอธิบายเรื่องหมอนกเขาให้ชาญฟัง ตอนต้นปีของปีนั้นมีข่าวอื้อฉาวอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นคือ มีนายแพทย์คนหนึ่งไปทำออรัลเซ็กซ์ให้คนไข้ชาย รายละเอียดจะเป็นอย่างไรไม่อาจทราบได้แต่สุดท้ายแพทย์คนนี้ถูกคนไข้ร้องเรียนว่าล่วงละเมิดทางเพศกับคนไข้และเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์โดยหนังสือพิมพ์ใช้ศัพท์ว่า อมนกเขา และตั้งฉายาให้หมอผู้นี้ว่าหมอนกเขา หลังจากนั้นคงมีฝรั่งบางคนเข้าใจว่าสแลงอมนกเขานี้หมายถึงอมนกเขาที่เป็นนกจริงๆ จึงกลายเป็นเรื่องทารุณสัตว์ไป

“แล้วทำไมฝรั่งมันถึงได้ประท้วงวะ งงจัง” ชาญกะพริบตาทำหน้างงๆอีก

“เฮ้อ ไม่รู้โว้ย” ผมอดทึ่งในความใสซื่อไม่รู้เรื่องของชาญไม่ได้ “ไปถามคนอื่นดูมั่งไป๊”

“ไม่เอา เดี๋ยวมันหาว่าโง่ ถามนายดีกว่า” ชาญตอบพลางหัวเราะ

“เป็นตุ๊ดนี่เสียเปรียบนะ อมนกเขาก็โดนประท้วง สู้เป็นทอมไม่ได้ ตีฉิ่งไม่มีใครประท้วง” เสียงคนในกลุ่มพูดขึ้น

เท่านั้นเองคนในวงก็ฮากันวงแทบแตก เพราะเป็นที่รู้กันว่าคำพูดประโยคนั้นหมายถึงใคร เมื่อผมได้ยินคำพูดนั้นก็อดอึ้งไปชั่วขณะไม่ได้

ผมกับชาญกลับไปลอกสมุดจดงานตามเดิม ชาญดูจะเงียบๆไป ไม่ซักถามอะไรอีก ทันใดนั้นเอง เจตก็บุกมาที่โต๊ะอ่านหนังสือพิมพ์

“เมื่อกี้ว่าใครวะ” เจตท้าวเอวถามเสียงแข็ง

“อะไร้ อะไร ไม่ได้ว่าใครสักหน่อย” เสียงชี่คนหนึ่งในกลุ่มตอบยียวน “ใครร้อนตัวอยากรับก็รับไปดิ”

“เออ ให้มันรู้ไป” เจตพูดเสียงดังลั่น “สงสัยไอ้คนพูดก็คงเป็นตุ๊ด ชอบทำแอบ พูดแล้วไม่กล้ารับ มาท้าชกกันดีกว่า อย่ามาลอบกัด ไอ้ห่าเอ๊ย”

เรื่องมีทีท่าว่าจะบานปลาย เมื่อเจตของขึ้น กลุ่มผู้ชายปากเปราะก็แรง จนในที่สุดรุ่นพี่ในกลุ่มก็เข้ามาห้ามปรามและกันเจตออกไปก่อนที่เหตุการณ์จะลุกลาม เรื่องจึงได้สงบลง ผมกวาดตาดูโดยรอบแต่ไม่เห็นเพ็ญอยู่ในเหตุการณ์ในวันนั้นเลย

- - -

เดือนมิถุนายนเป็นเดือนที่ค่อนข้างเหน็ดเหนื่อยสำหรับนักศึกษาใหม่ ที่ว่าเหนื่อยนี้ไม่ได้เหน็ดเหนื่อยเรื่องการเรียนแต่อย่างใด แต่เป็นความเหน็ดเหนื่อยจากกิจกรรมต่างๆ เรียกได้ว่าเล่นเป็นหลัก เวลาพักค่อยไปเรียนหนังสือ

ในตอนปลายเดือนมีกิจกรรมใหญ่สำหรับนักศึกษาใหม่อยู่อีก ๒ งาน นั่นคืองานรับน้องรวมกับงานรับน้องคณะ งานรับน้องรวมนี่เป็นลักษณะค่ายรับน้อง นั่นคือ เป็นงานรับน้องที่จัดขึ้นในต่างจังหวัดซึ่งต้องเดินทางและค้างแรมหนึ่งคืน

ส่วนงานรับน้องคณะจัดขึ้นในวันเสาร์ซึ่งเป็นวันหยุด กิจกรรมการรับน้องคณะก็คล้ายๆกับการรับน้องในโรงเรียน นั่นคือ มีการตั้งซุ้มวิบากต่างๆ ส่วนใหญ่จะเน้นที่การมุด ลอด และทำให้เปรอะเปื้อนเลอะเทอะ ที่ต่างออกไปจากการรับน้องที่โรงเรียนเก่าของผมก็คือการปีนต้นไม้ที่เพิ่มเข้ามาเพราะว่าที่นี่มีต้นไม้เยอะ ส่วนเกมนั้นก็เป็นแนวพิสดารคล้ายกับงานรับน้องทั่วไป เช่น เกมจับไข่ ฟังชื่อแล้วดูเสียวไส้แต่ที่จริงก็คือให้นักศึกษาหญิงปิดตาจับไข่ไก่ที่นักศึกษาชายห้อยไว้ แต่ถ้าหากจะจงใจจับให้ผิดไข่ก็ฮาได้เหมือนกัน

เรื่องที่ขาดไม่ได้ในงานรับน้องก็คือการผูกข้อมือและรับพี่รหัส พี่รหัสนี่ก็ใช้วิธีจับฉลากวัดดวงเอา ไม่ต้องให้รหัสตรงกันแต่อย่างใด พี่รหัสของผมเป็นนักศึกษาสาวในสาขาสถิติประยุกต์

จากงานรับน้องคณะก็มางานรับน้องรวม งานรับน้องรวมนี้เป็นงานรับน้องที่ทางมหาวิทยาลัยจัดขึ้นโดยมีแนวคิดที่ต้องการให้นักศึกษาในคณะต่างๆมีโอกาสได้รู้จักกัน การมีเพื่อนต่างคณะและต่างสาขาจะช่วยให้สังคมของแต่ละคนกว้างขวางขึ้น ไม่ใช่รู้จักจำกัดอยู่แต่เพียงเพื่อนร่วมคณะหรือร่วมสาขาเท่านั้น และสาเหตุที่ต้องไปจัดในต่างจังหวัดก็เพื่อให้นักศึกษาต่างคณะมีเวลาและโอกาสที่จะรู้จักและสนิทสนมกันมากยิ่งขึ้นนั่นเอง

สถานที่จัดงานรับน้องของมหาวิทยาลัยในปีนั้นเป็นที่สวนสนประดิพัทธิ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สวนสนนี้อยู่ห่างจากหัวหินไม่ไกลนัก ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯประมาณสามชั่วโมงกว่าๆก็ถึง งานรับน้องรวมนี้เป็นงานที่ใหญ่มาก ทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้องรวมแล้วนับพันคน ใช้รถบัสไม่รู้ว่ากี่สิบคัน จำได้ว่าผมตื่นเต้นกับงานรับน้องนี้มากเนื่องจากตั้งแต่เด็กมาไม่ค่อยมีโอกาสได้ไปเที่ยวทะเล ตอนล่องใต้เมื่อไม่กี่เดือนก่อนนี้เมื่อได้ไปเที่ยวชายทะเลก็รู้สึกชอบและอยากไปอีก

งานรับน้องนี้สต๊าฟจัดงานจะเป็นรุ่นพี่จากทุกคณะ พวกรุ่นพี่จะพยายามไม่ให้พวกปีหนึ่งคณะเดียวกันจับกลุ่มอยู่ด้วยกัน เริ่มตั้งแต่ขึ้นรถบัสก็ถูกจับคละให้นั่งรวมไปกับนักศึกษาคณะต่างๆ ซึ่งก็ได้ผลในแง่การผูกสัมพันธ์ดีทีเดียวเนื่องจากพอขึ้นรถแล้วก็ไม่มีอะไรทำก็ต้องพูดคุยเฮฮากัน ที่เดิมแปลกหน้ากันเมื่อถึงที่หมายลงจากรถก็เลยกลายเป็นคุ้นเคยกัน

สำหรับที่พักนั้นเป็นเต๊นท์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ในป่าสนริมทะเล เต๊นท์แต่ละหลังขนาดใหญ่มาก น่าจะจุได้สักร้อยคน ราวกับศาลาเลยทีเดียว ส่วนกิจกรรมสันทนาการนั้นก็ไปเล่นกันที่หาดทราย ทั้งตอนเล่นและตอนนอนนักศึกษาจะถูกจับคละกันเพื่อให้มีโอกาสรู้จักเพื่อนใหม่ให้ได้มากที่สุด

ในการรับน้องนี้มีกิจกรรมสำคัญอยู่อย่างหนึ่งซึ่งถือว่าเป็นหัวใจของงานรับน้องก็ว่าได้ นั่นคือการผูกข้อมือ และเกมหาพี่รหัสกับเพื่อนรหัส ซึ่งพี่รหัสและเพื่อนรหัสนั้นต้องเป็นนักศึกษาคณะอื่น ห้ามอยู่คณะเดียวกัน พี่รหัสนั้นจะเป็นชั้นปีอะไรก็ได้ พี่รหัสต่างคณะนี้ไม่มีธรรมเนียมยกมรดกให้แก่รุ่นน้องเนื่องจากอยู่ต่างคณะกัน สมบัติส่วนใหญ่ใช้กันไม่ค่อยได้ พี่รหัสต่างคณะของผมเป็นสาวศิลปกรรมปีสาม ชื่อพี่เหล่ง ส่วนเพื่อนรหัสนั้นเป็นเด็กคณะเทคนิคการแพทย์ชื่อปุ๊ก

หลังจากที่กลับมาจากงานรับน้อง ข้อมือของผมทั้งสองข้างก็เต็มไปด้วยด้ายผูกข้อมือ ด้ายผูกข้อมือที่ผูกไว้เดิมนั้นผมก็ยังไม่ได้เอาออก ใส่ข้อมือมาตลอด เมื่อรวมกับด้ายผูกข้อมือรุ่นใหม่ที่พี่ๆผูกให้ในงานรับน้องรวมซึ่งเป็นด้ายหลากสีทำให้ข้อมือของผมเต็มไปด้วยด้ายสีต่างๆลายพร้อย ดูไปคล้ายกับพวกจอมขมังเวทย์อยู่บ้างเหมือนกัน

- - -

เดือนกรกฎาคม

“เอ... มันเป็นอะไรของมันหว่า” ผมพึมพำกับตนเองขณะที่รดน้ำต้นกุหลาบในตอนเช้าวันหนึ่ง กุหลาบมอญตอนนี้มีแต่ใบ ไม่มีดอกติดต้นเลย มิหนำซ้ำใบกุหลาบยังมีสภาพที่ผิดปกติ กล่าวคือ ใบหงิกเกือบทั้งต้น ส่วนยอดอ่อนนั้นก็กลายเป็นสีดำและแห้งไป ไม่สามารถผลิเป็นใบอ่อนได้ มียอดบางส่วนที่สามารถผลิเป็นใบอ่อนได้แต่ทว่าสภาพของใบอ่อนนั้นม้วนหงิกงอและเป็นสีน้ำตาลไหม้

“อูดูอะไรเหรอ เห็นจ้องต้นกุหลาบอยู่ตั้งนาน” เสียงพี่ธิตทักขึ้น พี่ธิตมาข้างหลังผมตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

“มันดูแปลกๆครับพี่ ใบหงิกงอและไหม้ไปหมด” ผมพูด

“เออ นั่นสิ” พี่ธิตเริ่มสังเกตต้นกุหลาบบ้าง “พี่ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องต้นไม้เสียด้วย ที่ผ่านมาก็ไม่เคยสังเกต”

เมื่อไม่รู้ว่าเป็นอะไรจึงไม่รู้ว่าควรทำยังไงต่อ ได้แต่รอดูอาการไปก่อน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหยอดปุ๋ยลงไปเล็กน้อย เผื่อว่ากุหลาบอาจจะขาดอาหาร หลังจากที่ผมรดน้ำกุหลาบเรียบร้อยแล้วจึงออกไปเรียน...

- - -

เมื่อไปถึงมหาวิทยาลัย ตอนนั้นยังเช้าอยู่ ผมจึงแวะไปที่กลุ่มก่อน เมื่อไปถึงก็พบเป้า แมว และจิ๊บ กำลังนั่งคุยกันอยู่

“มากันแต่เช้าเชียว” ผมทักทายเพื่อนๆ

“นี่ นายอู ไอ้เป้ามันจะไม่อยู่แล้วนะ” แมวพูดกับผม

“เฮ้ย มันจะตายแล้วเหรอ หน้าตาก็ดูสดใสดีนี่” ผมทำเป็นตกใจ

“บ้า เค้าจะไม่เรียนที่นี่แล้วต่างหาก” แมวพูด

“อ้าว” คราวนี้ถึงทีผมงงบ้าง “ไม่เรียนที่นี่แล้วจะไปเรียนที่ไหน”

“เป้ามันจะไปเรียนเมืองนอกแล้ว” แมวพูดอีก

เรื่องของเรื่องก็คือไอ้เป้ามันสอบเอนทรานซ์ได้ ในขณะเดียวกันทางบ้านก็ติดต่อสมัครเรียนกับมหาวิทยาลัยที่สหรัฐอเมริกาเอาไว้ด้วย ยุคนั้นกระแสเรียนเมืองนอกในระดับปริญญาตรีเริ่มได้รับความนิยมสูงขึ้น แต่เดิมการเรียนเมืองนอกส่วนใหญ่มักไปเรียนที่สหรัฐอเมริกาซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงประกอบกับมีการลดค่าเงินบาท ค่าใช้จ่ายจึงยิ่งสูงขึ้นไปอีก จึงทำให้การส่งลูกหลานไปเรียนเมืองนอกลดน้อยลงไป ต่อมาในระยะไม่กี่ปีมานี้ประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์พยายามทำตลาดด้านการศึกษาต่างชาติ โดยมีค่าใช้จ่ายถูกกว่าเรียนที่อเมริกา แถมยังเข้าเรียนได้ง่ายกว่า ภาษาที่ใช้ก็เป็นภาษาอังกฤษ แม้ว่าจะเป็นคนละสำเนียงก็ตามแต่ถึงอย่างไรก็ได้ชื่อว่าไปเรียนเมืองนอกเหมือนกัน การไปเรียนเมืองนอกในระดับปริญญาตรีจึงถูกปลุกกระแสขึ้นมาอีก นักเรียนไทยที่ไปเรียนต่อในระดับปริญญาตรีที่ออสเตรเลียจึงมีอยู่ไม่น้อย แต่ถ้าหากใครได้ไปเรียนต่อที่อเมริกาก็ต้องถือว่าที่บ้านมีฐานะพอควรทีเดียว เมื่อไอ้เป้าได้ทั้งมหาวิทยาลัยในเมืองไทยและที่อเมริกามันจึงเลือกที่จะไปเรียนต่อเมืองนอก

“เดือนหน้าเราก็ไม่อยู่แล้วนะโว้ย” เป้าพูด “คงคิดถึงพวกเพื่อนๆแย่เลย”

“รู้ว่าจะไปเรียนนอกแล้วมึงจะสอบเอนทรานซ์ให้มันเสียที่นั่งคนอื่นทำไมวะ” ผมอดถามไอ้เป้าในใจไม่ได้แต่ก็ไม่ได้พูดออกไปเพราะถึงอย่างไรมันก็เป็นเพื่อน ไม่อยากพูดทำลายน้ำใจมัน ใจหนึ่งก็รู้สึกเสียใจที่เพื่อนที่เพิ่งสนิทสนมคุ้นเคยกันจะต้องจากไป แต่อีกใจหนึ่งก็อดเขม่นเล็กน้อยไม่ได้เพราะว่าในยุคนั้นที่นั่งในมหาวิทยาลัยถือเป็นเรื่องความเป็นความตายสำหรับบางคนเลยทีเดียว



<งานรับน้องคณะจัดขึ้นในวันเสาร์ซึ่งเป็นวันหยุด กิจกรรมก็คล้ายๆกับการรับน้องในโรงเรียน นั่นคือ มีการตั้งซุ้มวิบากต่างๆ ส่วนใหญ่จะเน้นที่การมุด ลอด และทำให้เปรอะเปื้อนเลอะเทอะ ที่ต่างออกไปจากการรับน้องที่โรงเรียนเก่าของผมก็คือการปีนต้นไม้ที่เพิ่มเข้ามาเพราะว่าที่นี่มีต้นไม้เยอะ ส่วนเกมนั้นก็เป็นแนวพิสดารคล้ายกับงานรับน้องทั่วไป เช่น เกมจับไข่>



<หลังจากการรับน้องผ่านไป พวกชี่ก็ไปนั่งพักผ่อนอยู่ที่กลุ่มสาม สภาพของกลุ่มก็เป็นดังที่เห็น อาศัยพื้นที่มุมตึกและลานหน้าตึกส่วนหนึ่ง มีโต๊ะและเก้าอี้ เพียงแค่นี้ก็เป็นแหล่งพักผ่อนและสังสรรค์ของพวกนักศึกษาได้แล้ว>