Wednesday, December 31, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 48

การที่เอ๊ดกลับบ้านต่างจังหวัดพร้อมผมกับไอ้นัยในครั้งนี้ทำให้เราต้องระวังตัวเป็นพิเศษ ต้องไม่เผลอทำอะไรประเจิดประเจ้อ รวมทั้งตอนนอนก็ต้องนอนห่างๆกัน เพราะกลัวว่าจะเผลอนอนกอดหรือก่ายกัน เดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องไป

การกลับบ้านในปีนี้ครึกครื้นกว่าทุกปีที่ผ่านมา เพราะว่าไอ้นัยเอากีตาร์มาด้วย ตื่นเช้ามาก็แหกปากร้องเพลงกันแล้ว เอ๊ดก็มาร่วมวงด้วย โดยช่วยไอ้นัยต่อเพลงบางเพลงที่มันยังเล่นไม่ค่อยได้ ที่บ้านของเราจึงอบอวลไปด้วยเสียงเพลงทั้งกลางวันและกลางคืน แม้แต่พ่อและแม่ก็ยังชมว่าไอ้นัยเล่นกีตาร์ฝีมือใช้ได้ทีเดียว

นอกจากนี้ ในปีนี้ไอ้นัยยังมีโอกาสหัดขี่รถเครื่องหรือว่ารถมอเตอร์ไซค์อีกด้วย

บ้านต่างจังหวัดส่วนใหญ่ก็ต้องมีรถเครื่องกันอยู่แล้ว ที่บ้านผมก็เช่นกัน เราใช้รถเครื่องรุ่นของผู้หญิง แบบที่สาวยาคูลท์ใช้ ปกติแม่ใช้ไปจ่ายกับข้าวบ้าง หรือบางทีถ้าเอ๊ดอยู่เอ๊ดก็จะใช้ขี่ไปโน่นมานี่บ้าง สำหรับผมเองนั้นยังขี่รถเครื่องไม่เป็นเหมือนกัน เพราะเมื่อก่อนพ่อกับแม่เห็นว่ายังเด็กอยู่ เลยไม่ให้ขี่ ให้ขี่แต่จักรยาน แต่พอมาปีนี้ ไอ้นัยเห็นรถเครื่องแล้วก็อยากขี่ ประกอบกับพ่อและแม่คงเห็นว่าเรียน ม.๑ ก็โตพอสมควรแล้ว จึงอนุญาตให้ขี่ได้ โดยให้เอ๊ดเป็นคนหัดให้ ดังนั้นผมกับไอ้นัยก็เลยมีโอกาสได้หัดขี่รถเครื่องกัน

เราไปหัดขี่กันตรงถนนลาดยางในหมู่บ้านตรงช่วงที่ไม่ค่อยมีรถผ่าน ถ้าขี่จักรยานเป็นแล้วก็ไม่ยาก แต่ว่าต้องใช้ความระมัดระวังมากกว่า เพราะว่ารถเครื่องใช้ความเร็วสูงกว่าจักรยานมาก

เริ่มแรกเอ๊ดสอนไอ้นัยโดยการให้มันขี่แล้วเอ๊ดนั่งซ้อนท้ายคอยควบคุมไปด้วย พอหัดกันได้สักพัก เห็นว่าพอเป็นแล้ว เอ๊ดก็ปล่อยให้ไอ้นัยขี่เอง

ไอ้นัยขี่เล่นวนไปเวียนมาอยู่ในระยะสายตาของเอ๊ด แต่พอเผลอหน่อยเดียว ไอ้นัยก็ขี่รถหายลับสายตาไป

คอยอยู่สักพัก ในที่สุด ไอ้นัยก็ขี่รถกลับมาในสภาพเนื้อตัวมอมแมม แขนขามีแผลและรอยถลอก โดยเฉพาะที่หัวเข่าแดงเถือกไปหมด

“รถล้มมาล่ะสิ” เอ๊ดหันมาพูดกับผมยิ้มๆอย่างไม่ตกใจ คล้ายกับเป็นเรื่องธรรมดา

ไอ้นัยจอดรถ ก้าวลงมาจากอาน พร้อมกับยิ้มแหยๆ

“รถล้มอะ” ไอ้นัยพูด

“ทำไมขี่ไม่ระวังเลยนะมึง ดูซิ ได้แผลมาบานเลย เจ็บมากหรือเปล่า กระดูกหักไหม” ผมบ่นใส่ไอ้นัยเป็นชุดด้วยความเป็นห่วง “ไปๆๆ กลับบ้านไปล้างแผลทายาเร็วๆเข้า”

“หูย อูดุยังกับเป็นป๋ามันเลย” เอ๊ดพูดพลางหัวเราะ “แค่นี้ไม่เป็นไรมากหรอก เรื่องธรรมดา”

คำพูดของเอ๊ดทำให้ผมเริ่มระวังตัวทันที ผมคงแสดงความรู้สึกเป็นห่วงไอ้นัยจนออกนอกหน้าเกินไป แต่ทำไงได้ เพราะว่าตอนนั้นรู้สึกเป็นห่วงมันจริงๆ

เมื่อไอ้นัยกลับบ้าน พอแม่เห็นเข้าก็ตกอกตกใจยกใหญ่ ให้ไอ้นัยไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วรีบทำแผลให้ เอ๊ดพลอยโดนแม่บ่นไปด้วยว่าไม่ดูแลน้องให้ดี ดูแม่เป็นห่วงไอ้นัยไม่น้อย ทำให้ผมแอบปลื้มใจที่แม่เอ็นดูไอ้นัยขนาดนี้

“นี่ถ้าอาเค้าตำหนิมา ว่าดูแลหลานเค้าไม่ดี แล้วแม่จะทำยังไง ดูสิ ถลอกปอกเปิกไปหมด” แม่บ่น ส่วนไอ้นัยก็นั่งตีหน้าตาย ปล่อยให้แม่ทำแผลให้อย่างสบายใจ

หลังจากที่ไอ้นัยขี่รถเครื่องเป็นแล้ว ปรากฏว่ามันชอบมาก ขี่รถเครื่องเที่ยวเล่นทั้งวันทั้งๆที่มีผ้าก๊อซและพลาสเตอร์ติดตามตัวอยู่หลายจุด แต่หลังจากการล้มครั้งนั้นแล้ว ไอ้นัยก็ไม่ทำรถล้มอีกเลย

- - -

ผมกับไอ้นัยกลับบ้านมาได้สามวันแล้ว แต่เราก็ยังไม่มีโอกาสไปที่บึงน้ำซึ่งเป็นโลกส่วนตัวของเราเลย เพราะมัวแต่เล่นกีตาร์ หัดขี่รถเครื่อง และเตะฟุตบอลกับเพื่อนๆ เพื่อนๆที่ผมว่านี้ก็คือกลุ่มของไอ้ทิวนั่นเอง พวกนี้พอขึ้น ม.๑ ส่วนใหญ่ก็เข้าไปเรียนในตัวเมืองกันหมด แต่ละคนดูโตขึ้น โตทั้งตัว โตทั้งนิสัย เพราะว่าแต่ละคนดูเรียบร้อยขึ้น ไม่เหมือนเมื่อก่อน

ไอ้นัยก็ไม่เข็ด มาร่วมเตะฟุตบอลด้วย แต่ปีนี้แต่ละคนดูจะคุ้นเคยกับไอ้นัยแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีการรังแกไอ้นัยอีก

นอกจากนี้ สาเหตุที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่เรายังไม่มีโอกาสมาที่บึงน้ำเสียทีเพราะว่าเรายังหาโอกาสปลีกตัวจากเอ๊ดไม่ได้นั่นเอง

การกลับมาบ้านในครั้งนี้ เอ๊ดคลุกคลีกับเราอยู่เกือบตลอดเวลา ผมกับไอ้นัยไม่ปริปากบอกเรื่องบึงน้ำ เพราะกลัวเอ๊ดจะขอตามมาด้วย ที่โลกส่วนตัวนี้มีแต่ผม ไอ้นัย และไอ้ชัชเท่านั้นที่จะเข้ามาได้... แน่นอน... ไม่นับรวมเจ้าของที่ดินซึ่งเป็นเจ้าของบึงน้ำตัวจริง

หลายวันผ่านไป ในที่สุด ในตอนบ่ายวันหนึ่ง เอ๊ดก็ปลีกตัวไปเที่ยวหาเพื่อนฝูงของตนเองบ้าง

พอเอ๊ดออกไปเท่านั้นแหละ ผมกับไอ้นัยก็รีบบรรจุของกิน น้ำ หนังสือเพลง และพลาสติกรองนั่งผืนใหญ่ และข้าวของอื่นๆใส่เป้ แล้วแบกกีตาร์ขึ้นรถมอเตอร์ไซค์แล้วขี่ออกไปยังบึงน้ำทันที

ไอ้นัยขอเป็นคนขี่รถเอง ผมนั่งซ้อนท้ายมันไปก็เสียวไป เพราะกลัวว่ามันจะพาไปเทกระจาดข้างทาง มือหนึ่งโอบกีตาร์สุดหวงของไอ้นัยเอาไว้ อีกมือหนึ่งโอบเอวมัน

การใช้รถเครื่องทำให้สะดวกและรวดเร็วกว่าขี่จักรยานมาก พอขี่ไปได้สักพัก เมื่อเข้าบริเวณที่ปลอดคน ผมก็ซบหน้าลงที่ต้นคอไอ้นัย จมูกถูไถไปมาเบาๆ สูดกลิ่นกายอ่อนๆที่ผมคุ้นเคยอย่างหลงใหล

“หอมจัง” ผมพึมพำออกมา

ไอ้นัยหัวเราะกิ๊กด้วยความจั๊กจี๋ มือข้างที่โอบเอวของมันเอาไว้เลื่อนต่ำลงไปอยู่ที่เป้ากางเกง ที่นั่นเอง ผมพบว่ามีท่อนเนื้อแข็งตุงในกางเกงรออยู่แล้ว

ไอ้นัยปล่อยมือข้างหนึ่งจากแฮนด์ อ้อมมาคว้าหมับเข้าที่เป้ากางเกงของผมบ้าง

“เฮ้ย” ผมร้อง

“โครม”

พอไอ้นัยปล่อยมือข้างหนึ่ง รถก็เสียหลักพุ่งเข้าหาต้นมะม่วงใหญ่ที่ข้างทางทันที โชคดีที่ไอ้นัยใช้ความเร็วต่ำและพยายามเบรกเอาไว้ ดังนั้นรถจึงพุ่งชนต้นไม้เพียงเบาๆ และไม่มีใครเป็นอะไร

“ขี่ไม่แข็งแล้วยังอยากจะขี่มือเดียว เกือบเจ็บตัวอีกแล้วไหมล่ะ” ผมบ่น พลางตบกะโหลกมันเบาๆ

ไอ้นัยทำหน้าจ๋อย “ก็มึงแกล้งกูก่อนนี่หว่า”

เห็นไอ้นัยหน้าจ๋อยแล้วก็อดขำไม่ได้ ผมเลยหอมแก้มมันไปหนึ่งฟอด “นี่แน่ะ”

- - -

หนึ่งปีที่เราไม่ได้ย่างกรายมาที่บึงน้ำนี้ สภาพทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม น้ำในบึงยังสะอาดเป็นสีมรกตสดใส ต้นหญ้าริมบึงยังเขียวชอุ่ม สถานที่ยังไม่เปลี่ยน แต่คนแปรเปลี่ยนไปบ้าง ปีนี้ผมกับไอ้นัยโตขึ้นอีกหน่อย

หลังจากที่ดูจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ในละแวกใกล้เคียง เราจึงแก้ผ้าลงเล่นน้ำ ประสบการณ์ที่ผ่านมาในโรงเรียนสอนให้เราระมัดระวังตัว เด็กแก้ผ้าเล่นน้ำไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ถ้าวัยรุ่นขนาดขนขึ้นแล้วมาแก้ผ้าเล่นน้ำกันสองคนคงไม่ใช่เรื่องธรรมดา ถ้าใครรู้เข้าเราอาจมีปัญหาได้

หลังจากว่ายน้ำเล่นกันสักครู่ เราก็ปีนขึ้นมานอนเล่นที่ริมบึง อากาศยามบ่ายของต้นเดือนมีนาคมยังสบายอยู่อันเนื่องมาจากลมหนาวปลายฤดู ลมชายทุ่งพัดเย็นสบายชวนให้ง่วงนอน

ไอ้นัยซึ่งนอนอยู่เคียงกับผมเปลี่ยนจากท่านอนหงายมาเป็นนอนตะแคง เอาท่อนขาก่ายลำตัวของผม แขนก็โอบผมเอาไว้ พร้อมกันนั้นผมรู้สึกว่ามีแท่งแข็งๆมาดุนที่เอว

“หมอนข้างอันนี้นุ่ม น่ากอดจัง” ไอ้นัยพูดด้วยเสียงละเมอ พลางกอดผมแน่นยิ่งขึ้น แต่ผมรู้ว่ามันไม่ได้ละเมอ ท่อนขาของมันบดไปมาที่ท่อนเนื้อของผม ส่วนท่อนเนื้อของมันก็ถูไถอยู่ที่ตะโพกของผม

“มึงหาเรื่องกูก่อนนะ” ผมกระซิบที่ข้างหูมัน ว่าแล้วก็เอาจมูกซุกไซร้ที่ติ่งหูมัน พลางโอบกอดมันบ้าง

เรือนร่างของไอ้นัยสมส่วน ผิวกายราบลื่น กล้ามเนื้อตึง เปี่ยมไปด้วยพลังในแบบเด็กวัยรุ่น อย่างไม่รู้ตัว เราสองกลับกลายเป็นอยู่ในท่าหกสิบเก้า…

ผมใช้ริมฝีปากรูดหนังหุ้มปลายของมันลงจนสุด พร้อมทั้งใช้ลิ้นฉกส่วนหัวและคอหยัก จากนั้นเม้มริมฝีปาก รูดหนังหุ้มปลายของมันขึ้นลงเบาๆ ไอ้นัยถึงกับร้องครางเสียงกระเส่า

“พอก่อนอู” ไอ้นัยคราง “จะแตกแล้ว”

ผมหยุด ไอ้นัยเอื้อมมือเปะปะไปที่เป้ จากนั้นล้วงเอาเบเบี้ออยล์ออกมา

“วันนี้เอาก่อนเลยเหรอ” ผมถามมันอย่างแปลกใจ ไอ้นัยยิ้มอายๆ ไม่พูดอะไร แต่เทออยล์ชโลมท่อนเนื้อของมันแทนคำตอบ

ไอ้นัยให้ผมคุกเข่าอยู่ในท่าคลาน จากนั้นใช้ออยล์ชโลมนิ้ว แล้วควานนิ้วเข้ามาในก้นของผม นิ้วของไอ้นัยที่ล่วงล้ำผ่านถ้ำโพรงทำให้ผมรู้สึกเสียว

“เบาๆนะมึง” ผมกำชับเหมือนทุกครั้ง ไอ้นี่ไม่กำชับไม่ได้ เผลอทีไรเป็นลืมตัวกระแทกเข้ามาทุกที

ผมรู้สึกจุกที่ก้น ไม่ต้องมองก็รู้ว่าไอ้นัยเริ่มเปลี่ยนจากนิ้วมาเป็นท่อนเนื้อของมัน แม้มันจะค่อยๆทำแต่ก็สร้างความเจ็บปวดให้แก่ผม ทำไมพอใช้นิ้วแล้วมันเสียวสบาย พอเปลี่ยนเป็นของจริงๆแล้วเจ็บขนาดนี้ก็ไม่รู้

ผมครางด้วยความเจ็บปวด ไอ้นัยซอยท่อนเนื้อที่แข็งเต็มที่ของมันเข้าออกเฉพาะส่วนหัว หลังจากนั้นก็ค่อยๆล่วงล้ำลึกเข้ามาทีละนิด

“อูย เสียว” ไอ้นัยคราง “ได้ครึ่งลำแล้วนะ”

ไอ้นัยซอยเข้าออกทีละน้อยอีกชั่วครู่ จากนั้นก็กดท่อนเนื้อของมันพรวดเข้ามาทีเดียวมิดด้าม

“โอ๊ย” ผมร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด พลายกระถดตัวหนี “เอาออกไปก่อน”

“โทษที” ไอ้นัยปั้นสีหน้าสำนึกผิด พร้อมทั้งอ้อน “ต่อนะ ต่อนะ”

ไอ้นัยชโลมออยล์เพิ่มอีก จากนั้นมันขอให้ผมนอนหงาย พร้อมทั้งยกขาทั้งสองข้างขึ้น

ไอ้นัยนั่งลงกับพื้น ถ่างขาออก เอาท่อนเนื้อของมันจ่อมาที่ก้นของผมซึ่งนอนยกขาอยู่ จากนั้นขยับตัวเข้ามา พร้อมทั้งกดท่อนเนื้อเข้าไปในก้นของผม

จากนั้นไอ้นัยก็ขยับก้น ซอยท่อนเนื้อของมันเข้าออก โดยมันอยู่ในท่านั่งถ่างขาประกบก้นของผม มือข้างหนึ่งของมันยันพื้น ส่วนมืออีกข้างหนึ่งของมันก็จับท่อนเนื้อของผมชักขึ้นลง

“อูย” ผมครางบ้าง ความเสียวจากมือของไอ้นัยที่ชักขึ้นลงทำให้ผมคลายความเจ็บปวดลงได้บ้าง

เมื่อเบบี้ออยล์ออกฤทธิ์เต็มที่ ผมก็ไม่รู้สึกเจ็บก้นอีก มือของไอ้นัยที่ชักเข้าออกทำให้ผมเคลิ้มเสียวตามไปด้วย ผมรู้สึกว่าน้ำของผมกำลังจะแตก

“จะแตกแล้วนะ” ผมบอกมัน

“คอยกูก่อน” ไอ้นัยพูด พลางซอยก้นผมอย่างเอาเป็นเอาตาย

ผมพยายามฝืนเอาไว้ไม่ให้น้ำแตก ไอ้นัยซอยก้นผมอีกเพียงครู่เดียวมันก็ครางออกมา

“จะแตกแล้วอู”

ว่าแล้วไอ้นัยก็ถอนหายใจดังเฮือก ผมก็รู้สึกว่าท่อนเนื้อของมันที่อยู่ในก้นของผมกระตุก จากนั้นมีของเหลวอุ่นๆฉีดพุ่งอยู่ในก้น ขณะเดียวกัน ผมก็ปล่อยให้น้ำของผมก็แตกระเบิดออกมาพร้อมกัน

“ปรี๊ด” น้ำว่าวของผมพุ่งออกมาเป็นน้ำพุ ส่วนใหญ่ตกอยู่บนลำตัวของผม แต่มีบางส่วนพุ่งไปโดนหน้าไอ้นัย

ผมรู้สึกว่าก้นโล่งวูบ ไอ้นัยถอนท่อนเนื้อของมันออกมา ผมชะโงกหน้าไปดู เห็นท่อนเนื้อของไอ้นัยเป็นมันปลาบ ส่วนหัวบานใหญ่ สีแดงคล้ำ ที่ส่วนปลายยังมีน้ำว่าวหยดยืดเป็นสาย

“มึงไปเอาท่านี้มาจากไหนวะ” ผมถามด้วยความสงสัย

“กูคิดเอาเอง” ไอ้นัยตอบ ทำหน้าเจ้าเล่ห์ พลางโน้มหน้ามาหอมที่แก้มของผมเบาๆ “เข่ากูเป็นแผล เอ๊ย ไม่ใช่ อยากทำให้มึงแตกพร้อมกับกูน่ะ”


<จากนั้นไอ้นัยก็ขยับก้น ซอยท่อนเนื้อของมันเข้าออก โดยมันอยู่ในท่านั่งถ่างขาประกบก้นของผม มือข้างหนึ่งของมันยันพื้น ส่วนมืออีกข้างหนึ่งของมันก็จับท่อนเนื้อของผมชักขึ้นลง>

Thursday, December 25, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 47

อากาศในช่วงปลายเดือนธันวาคมในปีนั้นค่อนข้างหนาว ก่อนวันคริสต์มาส บรรยากาศในโรงเรียนยังคงเป็นไปตามปกติ ไม่มีบรรยากาศของเทศกาลคริสต์มาสเลยแม้แต่น้อย แตกต่างจากที่โรงเรียนเก่าซึ่งป่านนี้คงเปิดเพลงคริสต์มาส และเตรียมจัดงานรื่นเริงกันสนุกไปแล้ว

แต่ถึงแม้ว่าที่โรงเรียนไม่มีบรรยากาศของเทศกาลอันสำคัญของชาวคริสต์นี้ แต่ที่สยามสแควร์กลับเปี่ยมล้นไปด้วยสีสันและบรรยากาศแห่งเทศกาล ร้านรวงในสยามสแควร์หลายแห่งตกแต่งร้านด้วยต้นคริสต์มาส หรือไม่ก็แต่งกระจกหน้าร้านให้เป็นรูปต้นคริสต์มาสกับหิมะ หิมะนี้ที่จริงก็คือเม็ดโฟมนั่นเอง

ผมกับไอ้นัยเดินเล่นด้วยกันในสยามสแควร์ในช่วงบ่ายวันเสาร์ก่อนที่จะถึงวันคริสต์มาส ในสยามสแควร์อบอวลไปด้วยเสียงเพลงคริสต์มาสที่ผมคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก อย่างเช่น 12 Days of Christmas, First Noel, Jingle Bells, Santa Claus is Coming to Town แสงสีของสยามสแควร์ในช่วงเทศกาลสร้างความตื่นตาตื่นใจให้แก่ผมเป็นอย่างมาก

หลังจากเรื่องของไอ้โหนกผ่านพ้นไป ทำให้ความสัมพันธ์ของผมกับไอ้นัยต้องห่างเหินกันไปช่วงหนึ่งเพราะความไม่เข้าใจกัน แต่เมื่อกลับมาเข้าใจกันแล้ว ผมกลับรู้สึกว่าไอ้นัยมีความหมายและความสำคัญต่อผมมากยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ผมรู้สึกอยากดูแล เอาใจใส่ และอยากปกป้องมันมากขึ้นกว่าเดิม แน่นอน ที่จริงไอ้นัยมันเรียนเก่งกว่า ความสามารถก็มากกว่า ไม่จำเป็นต้องรับการดูแลหรือปกป้องจากผมเลย แต่ก็นั่นแหละ มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาเองอย่างห้ามไม่ได้ สิ่งที่ผมพอจะทำได้จึงเป็นเพียงการดูแลเอาใจใส่มันในเรื่องเล็กๆน้อยๆ

“น้ำหวานหมดแล้ว อยากกินน้ำเปล่าจัง” ไอ้นัยพูดเปรยๆหลังจากที่กินโดนัทและน้ำหวานเสร็จ มันนั่งไขว่ห้างกระดิกเท้าอย่างสบายอารมณ์ เต๊ะท่าราวกับคุณหนู ปกติแล้วเมื่อเรามาเดินเล่นที่สยามสแควร์ เรามักแวะกินโดนัทเสมอ

“ได้ ได้ เดี๋ยวเอาให้” ผมพูด ว่าแล้วก็รีบเดินไปที่เคาน์เตอร์เพื่อเอาน้ำเปล่ามาให้

“แก้วเล็กจัง” ไอ้นัยพูดหลังจากที่กินน้ำเปล่าในถ้วยกระดาษใบเล็กๆจนหมดถ้วย

“อะ เดี๋ยวเอามาให้อีก” ว่าแล้วผมก็ไปเอาน้ำมาให้อีกหนึ่งถ้วย ไอ้นัยก็ดื่มจนหมดอีก

“ยังไม่หายหิวเลย” คุณหนูนัยกระดิกเท้า พูดเปรยๆอีก

“โว้ย เดินหลายรอบแล้วนะ ยังไม่อิ่มอีกเหรอ” ผมเริ่มโวย

ไอ้นัยหัวเราะชอบใจ “กูอิ่มนานแล้วล่ะ แต่อยากจะรู้ว่ามึงเดินกี่รอบถึงจะโวย ฮุฮุ สองรอบก็โวยแล้ว ไม่มีความอดทนเลยมึงนี่”

“นี่แน่ะ กวนนัก ไอ้เปรต” ผมพูด ว่าแล้วก็เขกหัวมันไปหนึ่งที

บ่ายวันนี้ นอกจากเรามาเดินเล่นหลังเรียนดนตรีตามปกติแล้ว เรายังจะมาหาซื้อของขวัญไปจับฉลากในงานรื่นเริงปีใหม่อีกด้วย ที่โรงเรียนของเราจะปล่อยให้นักเรียนแต่ละห้องจัดงานรื่นเริงปีใหม่กันในวันศุกร์หน้า โดยให้จัดกันในช่วงบ่าย จะมีกิจกรรมอะไรก็แล้วแต่จะกำหนดกันขึ้นมา แต่ไม่ให้มีการกินอาหารในห้องเรียน เนื่องจากจะทำให้ห้องเลอะเทอะ ดังนั้นกิจกรรมหลักก็คือการจับฉลากของขวัญและการแสดงเล็กๆน้อยๆของนักเรียน และที่พิเศษก็คือ ไอ้นัยได้รับเชิญจากเพื่อนๆในห้องของมันให้มาแสดงฝีมือการเล่นกีตาร์อวดเพื่อนๆด้วย

“จะซื้ออะไรดีหว่า” ไอ้นัยบ่น “แพงเกินงบทั้งนั้นเลย”

“แน่ล่ะ ของในสยามสแควร์มันก็ต้องแพงอยู่แล้ว อยากประหยัดไปหาซื้อเอาที่ตลาดสะพานสองก็แล้วกัน” ผมเหน็บมัน

“อือ ยังงั้นซื้อปลาทูสามเข่งไปจับฉลากก็แล้วกัน” ไอ้นัยพูดหน้าตาย

แต่อย่างไรก็ดี ในที่สุดเราก็เลือกซื้อของขวัญจับฉลากสำเร็จจนได้ เป็นพวกกรอบรูปไม้สำหรับภาพขนาดโพสต์การ์ด ดูเท่ดี

ตลอดสัปดาห์ปลายเดือน ไอ้นัยใช้เวลาไปกับการเตรียมเพลง เป็นเพลงไทยที่วัยรุ่นกำลังนิยมทั้งสิ้น เมื่อถึงวันศุกร์อันเป็นวันที่จัดงานรื่นเริง มันหอบกีตาร์ขึ้นรถเมล์พร้อมสะพายเป้พะรุงพะรัง ไอ้นัยหวงกีตาร์ของมันมาก แม้จะมีกล่องใส่ แต่มันก็ไม่ยอมวางกับพื้นรถเมล์ โดยอ้างว่าเปื้อน เราเลยต้องเอากีตาร์วางพาดตัก ความยาวของกล่องกีตาร์นอกจากต้องพาดตักของเราทั้งสองคนแล้ว ยังล้นออกไปนอกเก้าอี้ให้เกะกะคนอื่นอีกด้วย

“ให้คุณอามาส่งเสียหน่อยก็ดีหรอก” ผมบ่น เพราะรู้สึกว่าทุลักทุเลเต็มที

“ไม่เอาหรอก อายเค้า แค่นี้ทำเองได้” ไอ้นัยบอก มันคงรับค่านิยมเรื่องการขึ้นรถเมล์มาอย่างเต็มที่

ผมไม่ได้ดูการแสดงของไอ้นัยในวันนั้น เพราะว่าแต่ละห้องก็จัดงานของตนเอง แต่มีโอกาสได้เจอมันตอนที่มันแอบไปซ้อมที่ข้างตึกก่อนเวลาแสดงเล็กน้อย ผมคิดว่าคงผ่านไปด้วยดี เพราะผมไปนั่งฟังมันเล่นที่บ้านบ่อยๆ รู้ดีว่าฝีมือเล่นเพลงไทยแนววัยรุ่นของมันใช้ได้ทีเดียว

หลังจากนั้นมา ไอ้นัยก็กลายเป็นคนป๊อบคนหนึ่งในหมู่เพื่อนฝูง เพราะทั้งเรียนเก่ง นิสัยดี แถมยังมีความสามารถทางดนตรีอีกด้วย

- - -

อย่างไรก็ตาม แม้ความสัมพันธ์ของเราจะกลับมาเป็นดังเดิม อีกทั้งยังอาจเข้าใจกันมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก แต่ผมกลับอดรู้สึกไม่ได้ว่า ระหว่างผมกับไอ้นัยนั้นมีม่านบางๆขวางกั้นอยู่... มันเป็นม่านแห่งค่านิยม ม่านแห่งจารีตของสังคม ซึ่งกางกั้นเราอยู่ไม่ให้เราใกล้ชิดกันเกินไป

ระยะหลังเราสองคนพยายามวางตัวให้แนบเนียนยิ่งขึ้น บางวันเราก็ไม่ได้กินข้าวหรือไปไหนต่อไหนด้วยกัน อันถือว่าเป็นการปรับตัวเพื่อการอยู่รอดในสังคมของเราทั้งสองคน แต่ส่วนอื่นๆก็ยังคงเดิม ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปกลับ หรือว่าการใช้ชีวิตในวันหยุด

เดือนมีนาคม

ในที่สุด การสอบปลายภาคก็เสร็จสิ้นลง นักเรียนที่นี่มีการแข่งขันกันสูงกว่าที่โรงเรียนเก่า ดังนั้นเราจึงต้องขยันขึ้น ความกดดันในด้านการเรียนมีสูงขึ้น ทางด้านผมนั้นเนื่องจากมีเรื่องรบกวนจิตใจในช่วงก่อน ทำให้การเรียนในช่วงนั้นไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าที่ควร แม้พยายามเต็มที่แต่ก็ไม่แน่ใจว่าผลจะเป็นอย่างไร แต่อย่างไรก็ดี พอพวกเราสอบเสร็จต่างก็รู้สึกโล่งไปมาก

หลังจากสอบปลายภาคเสร็จ ไอ้นัยก็ไปเที่ยวที่บ้านต่างจังหวัดของผมเช่นเคย ปีนี้โชคดีหน่อย เพราะไอ้นัยจะได้ไปอยู่ต่างจังหวัดถึงหนึ่งสัปดาห์เต็ม ซึ่งนานกว่าปีก่อนๆ ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าต้องรอให้พ่อมีวันว่างก่อนจึงจะไปส่งไอ้นัยที่กรุงเทพฯได้ ส่วนไอ้ชัชนั้นผมได้ชวนมันไปแล้ว แต่มันสมัครใจที่จะไปเที่ยวบ้านต่างจังหวัดของเพื่อนซี้คนใหม่ของมันมากกว่า จึงไม่ได้มากับพวกเรา

ผมขอให้ไอ้นัยเอากีตาร์ไปด้วย จะได้เอาไปร้องเพลงเล่นแก้เหงา ไอ้นัยจึงหอบเอากีตาร์พร้อมทั้งหนังสือรวมเพลงไปจนเต็มกระเป๋า ส่วนผมนั้นก็ไม่ต้องเตรียมอะไรมาก นอกจากเบบี้ออยล์ขวดขนาดกลางหนึ่งขวด เดิมทีเคยซื้อมาแต่ขวดขนาดเล็กแต่คิดๆไปแล้วอาจจะไม่พอ เลยซื้อขนาดกลางดีกว่า

ขณะเดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัด เรานั่งมากันในรถทั้งหมดสี่คน พ่อ เอ๊ด ไอ้นัย และผม ปีนี้เอ๊ดและผมปิดเทอมพร้อมกัน ดังนั้นจึงกลับมาพร้อมกัน ผมกับไอ้นัยนั่งอยู่เบาะหลัง

“นัย เล่นอะไรให้ฟังหน่อยสิ” เอ๊ดหันมาพูดกับไอ้นัย แม้ว่าเอ๊ดจะเจอกับไอ้นัยไม่บ่อยนัก แต่ก็เรียกว่าเห็นกันมาตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นจึงรู้สึกสนิทสนมและเป็นกันเองกับไอ้นัย

“เอาเพลงอะไรดีล่ะพี่เอ๊ด” ไอ้นัยถาม ว่าแล้วก็หยิบกีตาร์ขึ้นมาเตรียมจะเล่น

“แน่ะ ให้เลือกเพลงได้ด้วย” เอ๊ดทึ่ง “งั้นขอเพลง หากรัก ของคีรีบูนละกัน”

“ฮึ” ไอ้นัยสั่นหัว “เล่นไม่ได้อะ”

“งั้นเอาเพลง รอวันฉันรักเธอ ก็ได้” เอ๊ดเลือกเพลงใหม่ เป็นเพลงของคีรีบูนเช่นกัน กำลังดังในช่วงนั้นพอดี

“ฮึ” ไอ้นัยสั่นหัวอีก

ผมอดไม่ได้ต้องดุไอ้นัย “ขออะไรก็เล่นไม่ได้ แล้วมึงจะถามให้เค้าเลือกทำไม”

“นั่นดิ” เอ๊ดเห็นพ้องด้วย แม้แต่พ่อก็ยังอดหัวเราะขำไอ้นัยไม่ได้

“ถามไปยังงั้นแหละ” ไอ้นัยตอบหน้าตาย “งั้นเอาเพลงนี้ละกัน”

ว่าแล้วไอ้นัยก็กรีดนิ้วอันเรียวยาวลงบนสายกีตาร์ไนล่อน

รื่นเริง ทัศนาจร พักผ่อน เพื่อหย่อนใจ
พร้อมกันท่องเที่ยวไป
จิตแจ่มใสหัวใจเบิกบาน
ร่วมกัน ทัศนาจร พักผ่อน วันหยุดงาน
ทุกคน สุขสำราญ ชีวิตชื่นบาน ยืนยาว
...


ไอ้นัยร้องเพลง ทัศนาจร ได้อย่างไพเราะ แม้เสียงมันจะแตกๆบ้างแบบเสียงเด็กวัยรุ่น แต่ก็ยังน่าฟังอยู่ดี


<ไอ้นัยกำลังซ้อมเพลงอยู่ข้างตึกเพื่อแสดงในเพื่อนๆชมในงานวันปีใหม่>

ฟังเพลง ทัศนาจร
<เพลง ทัศนาจร เพลงนี้วงที่ร้องดั้งเดิมคือวง ดิ อิมพอสซิเบิ้ล น่าจะอยู่ในช่วงปี ๒๕๑๖ หลังจากนั้นวสันต์ โชติกุล สมัยที่ยังเล่นอยู่กับวงอิสซึ่น นำมาใส่ในอัลบั้มชุด ทัศนาจร ในปี ๒๕๑๘ บทเพลงนี้ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องมาตลอดแม้จนถึงปัจจุบัน

บทเพลงข้างบนนี้มาจากอัลบัม ทัศนาจร ของวงอิสซึ่น>

Monday, December 22, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 46

“โหนกเอาไปพูดในห้องครับ ทั้งห้องรู้กันหมด” ผมตอบ

“โธ่เอ๊ย” อาจารย์ประพิมพ์อุทาน “นายโหนกนี่ก็จริงๆเลย”

ว่าแล้วอาจารย์ก็อธิบายให้ฟังว่า พ่อของโหนกมาหาอาจารย์จริง แต่มาเพราะอยากรู้ข้อเท็จจริง เพราะพ่อโหนกคิดว่าโหนกถูกรังแก อาจารย์ประพิมพ์จึงหาข้อเท็จจริงให้ และได้คุยให้พ่อของโหนกฟังไปแล้ว ว่าเป็นเรื่องที่เด็กผิดใจกัน ก็เลยแกล้งกัน โดยโหนกแกล้งผมก่อนด้วยการใช้คำพูด ผมโมโหจึงชกเข้าให้ และจะจัดการลงโทษให้อย่างยุติธรรม

“พ่อของโหนกไม่ได้ต้องการให้ไล่ผมออกเหรอครับ” ผมถามย้ำเพื่อความแน่ใจ

“ไม่มีอะไร เชื่อครูสิอู แค่ชกกันเล็กน้อย โทษไม่ถึงกับไล่ออกอยู่แล้ว และเธอสองคนก็ไม่มีประวัติเกเรมาก่อน จะมาไล่ออกกันง่ายๆได้ยังไง” อาจารย์ประพิมพ์หัวเราะ “อีกอย่าง พ่อของโหนกเค้าก็ไม่ใช่คนที่ไม่มีเหตุผล ครูเคยสอนเค้ามา จนเดี๋ยวนี้เค้าก็ยังให้ความเคารพครูอยู่”

ครูในสมัยที่ผมเรียนมัธยมยังมีความเป็นครูรุ่นเก่าอยู่มาก นั่นคือ สอนนักเรียนด้วยจิตวิญญาณของความเป็นครู จึงทำให้นักเรียนเคารพ ถึงนักเรียนจะเกเรเพียงใด ก็ยังให้ความเคารพครู แตกต่างจากสมัยนี้ บางทีนักเรียนโดนครูดุก็จะชกหน้าครูเสียแล้ว

ผมรู้สึกโล่งไปหมด ที่มีคำเปรียบเปรยว่า เหมือนกับยกภูเขาออกจากอก คงมีความรู้สึกอย่างนี้นี่เอง ไอ้โหนกนี่มันตัวแสบจริงๆ ปล่อยข่าวแล้ว ปล่อยข่าวอีก มิหนำซ้ำยังได้ผลทุกครั้ง ทำเอาผมกินไม่ได้นอนไม่หลับไปหลายวัน

“ที่ครูทิ้งช่วงเอาไว้หลายวัน เพราะต้องการให้พวกเธอสองคนอารมณ์เย็นกันก่อน ให้ค่อยๆได้คิดถึงสิ่งที่ทำลงไป หลายวันที่ผ่านมานี้ พวกเธอคงคิดได้เอง ว่าสิ่งที่ทำมันผิดหรือถูก และส่งผลอย่างไร” อาจารย์ประพิมพ์พูดต่อ “พวกเธอมีส่วนผิดกันทั้งคู่ ครูอยากให้พวกเธอขอโทษกันและกัน และให้อภัยกันเสีย จะได้ไหม”

“ครับ” ผมรีบตอบโดยไม่ลังเล อาจารย์พูดถูก พอเวลาผ่านไปหลายวัน ความโกรธแค้นที่มีต่อไอ้โหนกก็ค่อยๆสลายคลายไป อีกอย่าง ไม่ถูกไล่ออกก็บุญแล้ว

อาจารย์ให้ผมลงไปตามโหนกที่ห้อง เมื่อโหนกขึ้นมา อาจารย์ก็อบรมสั่งสอนโหนกเล็กน้อย จากนั้นก็ให้ขอโทษกันและกัน โดยให้ผมขอโทษโหนกก่อน แต่โหนกไม่ยอม

“ผมไม่ผิดอะไรนี่ครับ จะต้องไปขอโทษอูทำไม” โหนกเถียงอาจารย์

“อูผิดที่ใช้กำลัง แต่เธอผิดที่ใช้คำพูด ทั้งกำลังและคำพูดมันก็สามารถทำร้ายคนอื่นได้พอๆกัน เข้าใจหรือยัง” อาจารย์อธิบายเหตุผล

ถึงอย่างไรโหนกก็ไม่ยอม มันคงคิดว่าพ่อของมันคงจะมีอิทธิพลพอที่จะบันดาลอะไรต่ออะไรให้มันได้ อาจารย์ประพิมพ์ถึงกับส่ายหัว

“เอาละ ถ้าเธอไม่ยอมรับวิธีของครู ครูก็ต้องส่งเรื่องไปที่ผู้อำนวยการ ให้ฝ่ายปกครองพิจารณาลงโทษ ถึงตอนนั้น ถ้าฝ่ายปกครองพิจารณาว่าเธอมีความผิดด้วย ก็จะต้องถูกลงโทษ และบันทึกลงในประวัติ ทางโรงเรียนต้องให้ความเป็นธรรมแก่นักเรียนทุกคน ถ้าไปถึงขั้นนั้น พ่อเธอก็ช่วยอะไรไม่ได้เหมือนกันนะ อยากลองเสี่ยงให้บันทึกประวัติดูก็เอา” อาจารย์เตือน

เมื่อโหนกได้ฟังก็นิ่งไป และในที่สุดก็ยอมตกลง อาจารย์ประพิมพ์นับเป็นครูที่เข้าใจนักเรียน และมีจิตวิทยาสูง สามารถเกลี้ยกล่อมโหนกจนได้ในที่สุด

อาจารย์ประพิมพ์ให้ผมขอโทษโหนกก่อน จากนั้นก็ให้โหนกขอโทษผม จากนั้นให้จับมือคืนดีกัน เป็นอันเสร็จพิธี แต่ก็เป็นที่เข้าใจกันว่าทั้งสองฝ่ายต่างยังคงขุ่นข้องหมองใจกันอยู่ เพียงแต่ไม่รุนแรงเหมือนตอนก่อนหน้านี้

“เอ้า เมื่อคืนดีกันแล้ว ต่อไปครูจะพิจารณาลงโทษละนะ” อาจารย์พูดต่อ

“ลงโทษ” ไอ้โหนกอุทาน

เนื่องจากการคืนดีกันเป็นเรื่องของการสมานน้ำใจ แต่การวิวาทชกต่อยกันเป็นความผิด ดังนั้นอาจารย์จึงต้องสั่งลงโทษเพื่อให้เกิดความสำนึกตน ผู้ที่ถูกลงโทษทั้งหมดมีสามคน นั่นคือ ผม โหนก และอีกคนก็คือไอ้อ้วน ทั้งสามคนถือว่ามีส่วนให้เกิดการวิวาท อาจารย์ลงโทษให้เราทำเวรกันด้วยกันเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ พร้อมทั้งเรียกไอ้อ้วนมาอบรมสั่งสอนเสียพักใหญ่ในเรื่องความปากเสียของมัน โหนกนั้นแม้ไม่เต็มใจ แต่ก็จำใจต้องรับโทษ

หลังจากเสร็จเรื่อง อาจารย์ประพิมพ์ได้ให้โหนกและอ้วนออกไปก่อน แล้วพูดกับผมเพียงลำพัง

“อู ครูอยากให้เธอคิดให้ดีเรื่องชีวิต และใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังนะ” อาจารย์ประพิมพ์พูด

ผมงง ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก เพราะจู่ๆอาจารย์ก็พูดขึ้นมา

“เธอเป็นเด็กผู้ชาย ยังไงต่อไปก็ควรต้องแต่งงานมีครอบครัว เธออย่าเลือกเดินทางผิดนะ หากถลำไปแล้วมันจะถอยได้ยาก อีกหน่อยเธออาจเป็นคนมีชื่อเสียง มีหน้ามีตาในสังคมก็ได้ เธอต้องประพฤติตัวให้สังคมยอมรับได้ คิดเสียตั้งแต่ยังไม่สายเกินแก้” อาจารย์พูดต่อ “เธอเข้าใจที่ครูพูดไหม” อาจารย์สำทับ

“ครับ” ผมตอบเบาๆ เริ่มเข้าใจลางๆว่าอาจารย์หมายถึงอะไร

ผมออกมาจากห้องพักครูด้วยจิตใจที่อธิบายได้ยาก ส่วนหนึ่งรู้สึกปลอดโปร่ง ปัญหาเรื่องไอ้โหนกตัวแสบคงจบลงได้เสียที แต่ คำพูดที่อาจารย์ทิ้งท้ายก็ได้ก่อตัวเป็นเมฆทะมึนในใจของผม

ผมยังเด็ก จึงยังไม่เคยคิดถึงเรื่องไกลตัวขนาดมีครอบครัวมาก่อน คำพูดของอาจารย์ก่อให้เกิดคำถามตามมามากมาย ความรักของชายหญิงนั้นเป็นอย่างไรผมไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้ผมรู้แต่ว่าอยากใช้ชีวิตร่วมกับไอ้นัยมากกว่า แล้วต่อไปเมื่อผมมีเมียแล้วผมจะอยู่กับไอ้นัยอย่างไร แล้วถ้าผมไม่มีเมียจะได้ไหม ถ้าผมเป็นแบบนี้แล้วจะมีหน้ามีตา เป็นที่นับถือในสังคมไม่ได้เพราะสังคมไม่ยอมรับใช่ไหม ฯลฯ

ช่างมันโว้ย คิดไม่ออกก็อย่าไปคิดมันดีกว่า เอาไว้โตเป็นผู้ใหญ่แล้วค่อยคิดก็น่าจะได้ ... ผมโยนปัญหาไปซุกไว้ใต้พรมเอาดื้อๆ

- - -

หลังจากเลิกเรียน ไอ้นัยกับผมก็กลับบ้านด้วยกันตามปกติ หมู่นี้เราสองคนแทบไม่ได้คุยกันเลยแม้จะอยู่ด้วยกันก็ตาม ช่วงก่อนหน้านี้ ผมเองก็อยู่ในสภาพที่ท้อแท้ หมดกำลังใจ ดังนั้นจึงทำไม่อยากทำอะไร ได้แต่คิดว่าอะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดไป แต่ตอนนี้ เมื่อผมกลับมามีกำลังใจขึ้นมาอีกครั้ง ความคิดของผมก็เปลี่ยนไป ... กำลังใจนี่เป็นเรื่องสำคัญจริงๆ เมื่อไม่มีกำลังใจ ชีวิตก็แทบจะก้าวไปข้างหน้าไม่ได้เอาเลย

เส้นทางจากโรงเรียนไปสู่ท่ารถเมล์ใต้สะพานพุทธฯแม้จะคลำคล่ำไปด้วยนักเรียน แต่ก็ไม่มีใครสนใจใคร ต่างคนต่างเดิน ดังนั้นจึงเป็นโอกาสเหมาะที่ผมจะคุยกับไอ้นัย

“นัย หมู่นี้มึงเป็นไรไป ทำไมเอาแต่เงียบ” ผมถาม

“...” ไอ้นัยยังคงก้มหน้าก้มตาเดิน

“นัย มึงเป็นไรไปน่ะ มึงเปลี่ยนไปเยอะเลยนะหมู่นี้” ผมพูดอีก

ไอ้นัยก้มหน้าเดินเงียบๆอีกชั่วครู่ แล้วก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา พูดว่า “มึงต่างหากล่ะที่เปลี่ยนไป”

“กูเปลี่ยนตรงไหนเหรอ” ผมถามด้วยความสงสัย ผมไม่คิดว่าผมเปลี่ยนไป แม้อะไรจะเกิดขึ้น แต่ผมก็ยังคิดว่ามันเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด และเป็นห่วงเป็นไยมันเสมอ มันต่างหากล่ะที่เปลี่ยนไป

“...”

“ไหน มึงว่ามาสิ กูเปลี่ยนไปตรงไหน ต้องมีหลักฐานดิ” ผมคาดคั้นมัน วันนี้ผมจะไม่ยอมให้มันเงียบ ยังไงก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง

“เดี๋ยวนี้มึงเอาแต่เงียบ ไม่พูด มีอะไรก็ไม่เล่า แล้วยัง...” ไอ้นัยพูด แต่คำพูดท้ายๆยิ่งพูดยิ่งเบา

“แล้วยังอะไร” ผมรุกเร้า

“เอ้อ...” ไอ้นัยอึกอัก “... มึงคงอึดอัดที่กินข้าวหรือไปไหนกับกู…”

“เฮ้ย มึงเอาอะไรมาพูดวะ” ผมตกใจ ผมไม่เคยมีความคิดแบบนี้มาก่อนเลย มันไปเอามาจากไหน “ไอ้ห่าโหนกอีกละสิ โคตรแม่งอีกแล้ว” ผมเดาว่าต้องเป็นไอ้โหนกไปปล่อยข่าวอะไรอีกแน่ๆ คิดแล้วน่าโมโห

“ไม่เกี่ยวกับมันหรอก” ไอ้นัยพูด “กูสังเกตจากเดี๋ยวนี้มึงไม่ค่อยอยากพูดกับกู แล้วก็... แล้วก็... เดี๋ยวนี้มึงก็ไม่อยากกินข้าวกับกู”

ผมต้องรีบอธิบายให้มันฟังเรื่องถึงที่ไอ้โหนกปล่อยข่าวว่าพ่อของมันจะให้เอาผมออกจากโรงเรียน ผมเกรงว่ามันจะไม่สบายใจ จึงไม่อยากเล่า และตอนนั้นผมเองก็กำลังเซ็งชีวิต เลยทำให้เงียบขรึมไปบ้าง

“แล้วเรื่องกินข้าวเที่ยงน่ะ มึงเป็นคนพูดเองนี่หว่า จะมาว่ากูไม่อยากกินกับมึงได้ยังไง” เรื่องกินข้าวนี่ยังไงผมก็ไม่ยอมรับ เพราะเป็นความคิดของไอ้นัยเองแท้ๆ

“...”

“เฮ้ย” ผมเรียกมัน “ทำไมไม่พูดล่ะ”

“...”

และแล้ว ผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ผมคิดว่าผมรู้สาเหตุแล้ว

“นี่มึงงอนกูเหรอ” ผมสรุปพร้อมตั้งคำถามไปในตัว

ไอ้นัยเดินก้มหน้างุดราวกับพระเดินจงกรม ไม่ยอมตอบ ผมอ้อมไปข้างหน้ามัน ขวางมันเอาไว้ไม่ให้เดินต่อ แล้วดันไหล่มันขึ้นเพื่อให้มันเงยหน้าขึ้นมา เห็นใบหน้าสีน้ำผึ้งของมันเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม

“ไม่ได้งอนโว้ย แค่น้อยใจ” ไอ้นัยตอบ พลางหลบสายตาของผม

“ฮุ้ย หน้าแดงด้วย ฮ่ะๆ” ผมมองหน้ามันแล้วหัวเราะ คนที่รู้จักแต่ตามใจคนอื่นอย่างไอ้นัยก็งอนเป็นด้วย นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมเห็นมันงอน ยังงี้ต้องได้ลงข่าวหน้าหนึ่งไทยรัฐแน่

การที่ไอ้นัยงอนผมนั้นมีความหมายต่อผมมากเสียยิ่งกว่าการที่มันเอาใจผมเสียอีก ผมรู้สึกว่ามีความอบอุ่นแผ่ซ่านขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ อากาศของปลายเดือนธันวาคมแม้จะเย็นเยือก แต่ในใจของผมกลับอบอุ่น ... อบอุ่นจากไฟกองหนึ่งซึ่งคุโชนอยู่ในใจของผม ซึ่งตอนนั้นผมเองก็ยังไม่เข้าใจดีนักว่ามันคืออะไร...

“นั่นแหละ งอนล่ะ” ผมพูด

“บอกว่าไม่ได้งอน” ไอ้นัยยังปากแข็ง แต่หน้าแดงเข้มยิ่งขึ้น “แค่น้อยใจ”

“อะ อะ อะ น้อยใจก็น้อยใจ” ผมยอมตามมัน


<ไอ้นัยเดินก้มหน้างุดราวกับพระเดินจงกรม ไม่ยอมตอบ ผมอ้อมไปข้างหน้ามัน ขวางมันเอาไว้ไม่ให้เดินต่อ>

Friday, December 19, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 45

มันเป็นเรื่องที่ผมนึกไม่ถึงมาก่อน โดนอาจารย์ประจำชั้นเรียกตัวไป ไม่รู้ว่าถูกทำโทษอย่างไรบ้าง แค่นี้ก็แย่แล้ว นี่ผู้ปกครองยังจะมาเอาเรื่องอีก อะไรมันจะซวยขนาดนี้

หลังจากหมดคาบ เมื่ออาจารย์ออกจากห้องไปแล้ว เพื่อนๆที่สนิทกันก็มารุมล้อม

“แย่โว้ย ไอ้อู” ใหญ่เข้ามาทัก “เจอเส้นใหญ่เข้าแล้ว มึงจะทำยังไงวะเนี่ย สงสัยอาจารย์ต้องเรียกผู้ปกครองมึงมาพบแน่เลย”

“นี่มันจะมาปลอบใจหรือจะมาซ้ำเติมกันวะ” วีกิจดุ “ชกกันแค่นี้ไม่ถึงกับถูกไล่ออกหรอก ขนาดพวกนักเรียนเกๆชกกันหน้าแหก ยังไม่ไล่ออกเลย อย่างมากก็เฆี่ยนหน้าเสาธง อุ๊บ...” วีกิจอุทาน แล้วเอามือปิดปากตนเอง

พักเที่ยงวันวันผมกินอาหารอย่างเงียบขรึม จนไอ้นัยเป็นห่วง พยายามถามผมหลายครั้ง แต่ผมก็บอกว่าไม่มีอะไร ผมคิดว่าจะไม่บอกไอ้นัยเกี่ยวกับเรื่องที่พ่อของไอ้โหนกจะเล่นงานผม เพราะมันรู้ไปก็จะกังวลไปเสียเปล่าๆ สู้ปล่อยให้ไม่รู้มันคงจะสบายใจกว่า

แต่หารู้ไม่ว่าการตัดสินใจของผมนั้นเป็นอีกหนึ่งในหลายๆครั้งจนนับไม่ถ้วนที่ผมตัดสินใจผิดพลาดไป…

“อู ถ้ามึงไม่สบายใจ ต่อไปตอนพักเที่ยงมึงจะอยู่กับเพื่อนๆมึงก็ได้นะ” ไอ้นัยพูดขึ้นมาระหว่างที่เรานั่งรถกลับบ้านในวันนั้น

ตอนนั้นผมกำลังสับสนอยู่ สับสนทั้งอารมณ์และความคิด ผมเข้าใจเอาว่าไอ้นัยพูดเพราะอึดอัดใจ การที่เราติดกันแจเกินไปทำให้มันถูกล้อเลียนและเกิดความอับอาย คำพูดของมันทำให้ผมชาไปหมด... ชาไปจนถึงหัวใจ

“ถ้ามึงไม่สบายใจก็แล้วแต่มึงก็แล้วกัน” ผมตอบแบบเรียบๆ รู้สึกท้อแท้จนไม่อยากพูดอะไรมาก ใครอยากทำอะไรก็ทำไป

“ไม่ใช่กูไม่สบายใจ กูกลัวว่ามึงจะไม่สบายใจน่ะ” ไอ้นัยพยายามอธิบาย แต่ตอนนั้นผมท้อใจจนไม่อยากฟังและคิดอะไรแล้ว

“มันก็เหมือนกันนั่นแหละ...” ผมตอบ

- - -

วันรุ่งขึ้น ความเงียบยังคงปกคลุมเราสองคนตลอดการนั่งรถมาโรงเรียน ผมรู้สึกว่าไอ้นัยแปลกออกไปจากเดิม ทั้งเงียบ ทั้งเหินห่าง แม้เราจะนั่งอยู่ติดกันบนรถ แต่ผมรู้สึกว่าระยะทางระหว่างผมกับไอ้นัยที่เคยใกล้ชิดกันกลับกลายเป็นทอดห่างออกไป

“วันนี้จะกินข้าวด้วยกันหรือเปล่า” ไอ้นัยถามก่อนที่เราจะแยกกันขึ้นตึกเรียน

“ไม่ต้องก็ได้” ผมตอบเนือยๆ ในเมื่อไอ้นัยไม่สบายใจที่จะกินกับผม ก็ปล่อยมันไปก็แล้วกัน

การเรียนในช่วงเช้าผมเรียนไม่รู้เรื่องเลย เพราะมัวแต่คิดเรื่องพ่อของไอ้โหนก ผมกังวลไปสารพัด ในหัวมีแต่คำถาม นี่ถ้าต้องเชิญผู้ปกครองมา ทั้งพ่อ แม่ เอ๊ด คุณลุง คุณป้า ทุกคนต้องรับรู้เกี่ยวกับข่าวปล่อยของไอ้โหนก แล้วทุกคนจะมองผมยังไง เรื่องชกกันยังไม่เท่าไร แต่เนื้อเรื่องของข่าวปล่อยนี่สิที่น่ากลัว ผมจะถูกขุดคุ้ยไหม แล้วทุกคนจะรู้ความจริงไหม ถ้ารู้ความจริงแล้วจะเป็นอย่างไร

นี่ถ้าผมถูกไล่ออกจริงๆ คุณลุงกับคุณป้าก็คงเห็นว่าผมเป็นตัวเจ้าปัญหา รวมทั้งอาจรังเกียจและไม่ให้ผมพักอยู่ต่อไป จะกลับไปเรียนที่โรงเรียนเก่าก็คงพอได้อยู่ ดีเหมือนกัน จะได้เจอไอ้ชัชอีก แต่มาคิดอีกที ผมจะทนอับอายเพื่อนๆได้อย่างไร ที่ถูกไล่ออกและหมดทางไปจนต้องกลับมาเรียนที่เดิม ไหนจะเรื่องไอ้นัยอีก ...

เที่ยงวันนั้นผมนั่งกินข้าวคนเดียวอย่างเงียบเหงา กินไปก็สอดส่ายสายตามองไป อยากรู้ว่าไอ้นัยลงมากินหรือยังและมันกินกับใคร แต่มองเท่าไรก็หาไม่พบ

เมื่อเข้าเรียนในภาคบ่าย หัวหน้าดิษฐ์เดินเข้าห้องเรียนมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดี

ดิษฐ์ถูกอาจารย์เรียกไปสอบถามเรื่องของผม เนื่องจากผมไม่ยอมตอบอะไร จึงต้องถามเอาจากหัวหน้าชั้น ผมไม่รู้ว่าดิษฐ์ว่าตอบอะไรไปบ้าง เพราะตัวผมเองไม่ได้เข้าไปคุยกับดิษฐ์ เพียงแต่นั่งฟังเพื่อนๆคุยกันเท่านั้น เพราะตอนนั้นผมไม่อยากยุ่งหรืออยากคุยกับใคร อยากอยู่เฉยๆคนเดียวมากกว่า แต่ก็คิดว่าเพื่อนทั้งชั้นคงรู้กันหมดแล้วว่าผมชกไอ้โหนกเพราะสาเหตุอะไร และดิษฐ์คงรายงานอาจารย์ไปแล้ว

หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ผมรู้สึกว่าไอ้นัยทำตัวเหินห่างออกไป แม้เราจะเดินทางไปและกลับจากโรงเรียนด้วยกันเหมือนเดิม แตกต่างกันเพียงแค่ไม่ได้กินอาหารเที่ยงด้วยกันเท่านั้น ซึ่งที่จริงการไม่ได้กินอาหารด้วยกันแทบไม่มีความหมายอะไร เพราะว่าโรงอาหารก็แน่นขนัด ในแต่ละวันใช้เวลาอยู่ในโรงอาหารเพียงแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น ผมรู้สึกว่าเราสองคนเหมือนกับมึนตึงต่อกันอย่างไม่รู้สาเหตุ ทั้งๆที่เราก็ไม่ได้ทะเลาะกันหรือขัดใจกันเลย ... หรือมันจะเริ่มรังเกียจผมแล้ว?

หลายวันผ่านไป มันเป็นเวลาแห่งความทุกข์จริงๆ ผมทั้งวิตกกังวล ท้อแท้ และฟุ้งซ่าน ทางด้านอาจารย์ประพิมพ์เองก็เงียบเชียบ หลังจากวันนั้นอาจารย์ไม่เคยเรียกผมไปพบอีกเลย ทุกอย่างอยู่ในความอึมครึม จะมีก็แต่โหนกที่ไม่อึมครึม มันยิ้มแย้มแจ่มใส คุยสนุกสนาน และมองผมด้วยสายตาของผู้ชนะอยู่บ่อยๆ มันคงรอดูวันที่ผมจะถูกลงโทษ เพราะมันมักบอกกับเพื่อนๆว่าพ่อมันเป็นศิษย์เก่า อีกทั้งเคยบริจาคเงินให้โรงเรียนก็มาก แม้แต่ผู้อำนวยการก็ต้องเกรงใจพ่อมัน นึกไม่ถึงเลยว่าคนที่ผมเคยถือว่าเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่งจะทำกันได้ถึงขนาดนี้

ทางด้านไอ้นัยเองก็เงียบขรึม เรื่องนี้ทำให้ผมคิดมาก เพราะตั้งแต่เด็ก ตลอดเวลาที่เราเรียนหนังสือและโตมาด้วยกัน ผมกับไอ้นัยไม่เคยมึนตึงหรือทะเลาะกันเลย ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรก ผมเริ่มกลัวอนาคตข้างหน้าเสียแล้ว...

เรืิ่องดีที่พอจะมีอยู่บ้างก็คือ หลังจากนั้นมาไอ้อ้วนไม่ได้แซวผมอีก ไม่รู้ว่าเพราะสงสารผม หรือว่าเห็นผมไม่ตอบโต้อะไร จึงหมดสนุกไปเอง

- - -

ผมถูกอาจารย์ประพิมพ์เรียกเข้าไปพบในตอนเที่ยงของวันหนึ่ง ผมเข้าไปนั่งที่หน้าโต๊ะของอาจารย์ด้วยใจระทึก ระคนกับความอับอาย อาจารย์จะนึกยังไงหนอหลังจากรู้ข่าวปล่อยของไอ้โหนก จะเชื่อมันหรือเปล่า …

“เป็นยังไงบ้าง นายอู” อาจารย์ทักทาย

“แย่ครับ” ผมตอบ ก้มหน้าหลบ ไม่กล้าสู้หน้าอาจารย์

“ทำไมถึงแย่ละ ยังไม่หายโกรธกับโหนกอยู่อีกเหรอ” อาจารย์ประพิมพ์ถาม

ผมจะบอกว่าตอนนี้เกลียดขี้หน้ามันจะแย่แล้ว แต่ก็ไม่กล้าบอก

“เอ้อ ... ผมจะโดนไล่ออกหรือเปล่าครับ” ผมตัดสินใจถามไปตรงๆ

“นี่เธอไปรู้มาจากไหนกัน” อาจารย์ถามอย่างแปลกใจ


<ผมถูกอาจารย์ประพิมพ์เรียกเข้าไปพบในตอนเที่ยงของวันหนึ่ง ผมเข้าไปนั่งที่หน้าโต๊ะของอาจารย์ด้วยใจระทึก>

Tuesday, December 16, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 44

เพื่อนๆต่างก็พากันงง ว่าอยู่ดีๆเหตุใดผมจึงเล่นงานโหนก แต่ผมคิดว่าในที่สุดก็คงมีบางคนที่รู้ข้อเท็จจริงว่าโหนกทำอะไรกับผมเอาไว้ เพราะว่าการข่าวในหมู่เพื่อนนักเรียนนั้นรวดเร็วไม่น้อย

หลังจากที่ผมสงบอารมณ์ลงได้ และโหนกหยุดร้องไห้แล้ว ก็ได้เวลาเคารพธงชาติพอดี ผมเดินออกไปเข้าแถวด้วยเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่ แถมกระดุมหลุดจนเห็นหน้าอก คอและแขนก็มีแต่รูและรอยเล็บข่วน พวกเพื่อนๆพากันหัวเราะขำในสภาพของผม ส่วนโหนกนั้นแค่ปากเจ่อ แต่ไม่ถึงกับแตก รวมทั้งเสื้อยับนิดหน่อย แต่ไม่มีอะไรขาด สภาพการณ์ของโหนกนั้นดีกว่าผมมาก

ก่อนเข้าแถวเคารพธงชาติ ผมแวะไปล้างแผลที่ก๊อกน้ำ ตอนนี้เองที่ผมได้รับรู้พิษสงจากกรงเล็บของโหนก เพราะแผลเหล่านี้พอโดนน้ำเข้าก็ยิ่งรู้สึกแสบมากขึ้น

วิชาในช่วงเช้าวันนั้นไม่ได้เข้าไปในหัวของผมแม้แต่น้อย แม้ผมจะพยายามทำตัวให้ดูเหมือนเป็นปกติ แต่ที่จริงแล้วผมเรียนไม่รู้เรื่องเลย เพราะอารมณ์ขุ่นมัวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้า

ผมพยายามหาเข็มกลัดมากลัดเสื้อตรงบริเวณหน้าอก จะได้ไม่ดูประเจิดประเจ้อเกินไป แต่หาทั้งห้องก็ไม่มีเข็มกลัดสักตัว ในที่สุด ผมจึงตัดสินใจเอาที่เย็บกระดาษมาหนีบเข้าที่เสื้อ เมื่อไม่มีเข็มกลัด ลวดเย็บกระดาษก็พอแก้ขัดไปได้

ตอนพักเที่ยง ผมเดินไปหาไอ้นัยที่ห้อง พอไอ้นัยเห็นผมก็อ้าปากหวอ

“มึงไปชกกับใครมาวะเนี่ย” ไอ้นัยถาม น้ำเสียงสีหน้าปรากฏแววห่วงใย

ผมรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ ได้เห็นแค่นี้ก็หายเจ็บแล้ว

“ก็ไม่เชิงชกกัน กูชกมัน แต่ว่ามันใช้เล็กจิกข่วนกู” ผมพยายามทำให้เป็นเรื่องตลก

“ใครทำวะ” ไอ้นัยถามอีก ดูเหมือนว่ามันจะไม่ค่อยตลกเท่าไร

“ก็ไอ้โหนกนั่นแหละ” ผมตอบ ว่าแล้วก็เล่าเรื่องราวให้มันฟัง

ไอ้นัยฟังแล้วนิ่งเงียบไป

“ไปกินข้าวกันก่อนเถอะ” ไอ้นัยเปลี่ยนเรื่อง

บรรยากาศการกินอาหารในวันนั้นเงียบขรึม แม้ตอนเวลากลับบ้าน เนื่องจากเราสองคนต่างก็มีความในใจ จึงไม่ค่อยได้คุยกันนัก ผมไม่รู้ว่าไอ้นัยคิดถึงเรื่องอะไรบ้าง แต่สำหรับผมนั้น ผมกำลังคิดว่าจะแก้ตัวกับคุณลุงคุณป้าอย่างไรดี

เมื่อกลับถึงบ้าน เรื่องแรกที่ผมต้องทำจนเป็นกิจวัตรก็คือไปไหว้คุณลุงคุณป้าเสียก่อน ดังนั้นเรื่องที่ผมจะหลบหน้าจึงไม่อาจเป็นไปได้

“ตายแล้ว นี่เกิดอะไรขึ้นอู ไปโดนอะไรมา” คุณป้าถามด้วยน้ำเสียงตกใจ ที่เห็นเสื้อนักเรียนเย็บด้วยลวดเย็บกระดาษแทนกระดุม และรอยแผลตามคอและแขน

ผมคิดมาตลอดทางว่าจะแก้ตัวว่าอย่างไรดี แต่ก็คิดไม่ออก ครั้นจะโกหกก็คงถูกจับได้ เพราะทั้งไอ้นัยและตี๋ต่างก็ลงความเห็นว่าผมโกหกไม่แนบเนียน ดังนั้นผมจึงบอกความจริงออกไป

“ชกกับเพื่อนมาครับ” ผมก้มหน้าหลบสายตาคุณลุงคุณป้า พลางตอบอย่างอ้อมแอ้ม

“ตายแล้ว” คุณป้าอุทานอีก และพยายามซักไซร้ “แล้วเรื่องมันไปยังไงมายังไงกัน”

“ก็...” ผมอึกอัก “ก็หยอกกันน่ะครับ แต่ว่ามันแรงไปหน่อย เลยชกกันจริงๆ” ผมพูดความจริงเพียงครึ่งเดียว คงไม่ถือว่าโกหก ไม่รู้ว่าคราวนี้จะถูกจับได้อีกหรือเปล่า

“ตายแล้ว” คุณป้าอุทานอีกเป็นครั้งที่สาม ผมนึกหนาวๆร้อนๆอยู่ในใจ ไม่เคยเห็นคุณป้าตกใจขนาดนี้มาก่อน ผมคิดเลยเถิดไปถึงว่าอาจผมจะถูกไล่ออกจากบ้านก็ได้ “ทำไมเล่นกันแรงขนาดนี้ แล้วทางโน้นเค้าเจ็บมากไหม”

“แค่ปากเจ่อครับ อย่างอื่นไม่เป็นไร” ผมตอบ

เป็นเรื่องที่น่าแปลก แทนที่คุณลุงจะตกใจเช่นเดียวกับคุณป้า แต่คุณลุงกลับเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย

“เด็กวัยรุ่นมันก็ต้องมีชกต่อยกันบ้าง จะให้มันเรียบร้อยเหมือนเด็กผู้หญิงได้ยังไง” คุณลุงช่วยแก้ตัวให้ผมเสียอีก เมื่อมีคุณลุงช่วย ผมค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย

“อ้าว แล้วทำไมตาเอ๊ดถึงไม่เห็นมีเรื่องมีราวกับใครบ้างล่ะ” ป้าแย้ง หัวใจของผมกลับวูบลงไปอีกครั้ง

เย็นวันนั้น ผมโดนเทศนาเสียพอประมาณ คุณป้าบ่นมากหน่อย แต่คุณลุงกลับเฉยๆ ดูจะไม่ค่อยติดใจนัก คุณป้านั้นหลังจากเทศนาผมเสร็จ ก็เอายาใส่แผลมาใส่ให้ผม

“ยาใส่แผลสมัยนี้ดีนะ” คุณป้าพูดพลางใส่ยาให้ผมไปพลาง “ใส่แล้วไม่แสบแผล ถ้าเป็นสมัยก่อนต้องใช้ทิงเจอร์ไอโอดีน ทาแผลเข้าไปทีร้องกันลั่นบ้าน”

นี่แหละที่โบราณว่ายามยากจึงจะเห็นน้ำใจกัน แม้คุณป้าจะดูเข้มงวด แต่ในส่วนลึกของจิตใจแล้วก็ให้ความเมตตาปรานีแก่ผม ถึงตอนนี้ คุณป้าดูแลผมไม่ต่างจากแม่ของผม ผมลืมตัวโอบคุณป้าด้วยความคิดถึงแม่

“ขอบคุณครับคุณป้า” ผมพูดเบาๆ

หลังจากนั้น เมื่อเอ๊ดรู้เรื่อง ผมก็โดนเอ๊ดเทศน์อีกรอบหนึ่ง

“ตกลงมันชกกันเพราะสาเหตุอะไรกันแน่” เอ๊ดคาดคั้น ดูท่าเอ๊ดไม่ค่อยเชื่อว่าหยอกกันแรงไปหน่อย แต่ผมใช้มุขของไอ้นัยมารับมือ นั่นคือ เงียบอย่างเดียว เมื่อเอ๊ดคาดคั้นไม่ได้ความก็เลิกราไปเอง

- - -

วันรุ่งขึ้น ผมมาเรียนพร้อมด้วยรอยแผลที่แขนและลำคอ แผลกำลังตกสะเก็ดยิ่งทำสีเข้มเห็นได้เด่นชัด เพื่อนๆพากันหัวเราะใสภาพอันทุลักทุเลของผม

ในตอนสายวันนั้น ขณะที่อาจารย์กำลังสอนอยู่หน้าชั้น ก็มีนักเรียนคนหนึ่งเดินเข้ามาพบ หลังจากคุยกันสักครู่ อาจารย์ก็แจ้งว่าให้โหนกไปพบอาจารย์ประพิมพ์ ครูประจำชั้นของพวกเรา

“เอาละวุ้ย” เพื่อนๆซุบซิบกัน “ไอ้โหนกโดนแล้ว อาจารย์ประพิมพ์คงรู้เรื่องแล้วแน่เลย”

โหนกหายตัวไปพักใหญ่ ในที่สุดก็กลับลงมาเข้าเรียนต่อ ใบหน้าไม่ได้ส่อแววทุกข์ร้อนแต่อย่างใด ไม่คล้ายคนที่ถูกอาจารย์ดุมา

ครั้นพอหมดคาบ อาจารย์ที่สอนออกไปแล้ว ก็มีนักเรียนห้องอื่นเดินเข้ามาในชั้นอีก พร้อมทั้งบอกว่าอาจารย์ประพิมพ์เรียกให้ผมไปพบในทันที

ห้องพักครูอยู่คนละตึกกัน แต่ไม่ไกลนัก ห้องพักครูหนึ่งๆมีอาจารย์อยู่รวมกันหลายคน แต่ละคนก็จะมีโต๊ะทำงานของตนเอง โต๊ะทำงานของอาจารย์นี้จะอยู่ใกล้ๆกัน ปกติห้องพักครูจะมีทั้งอาจารย์และนักเรียนเข้าออกอยู่เสมอ ดังนั้นถ้าคุยอะไรกันคนที่อยู่ใกล้ๆก็จะได้ยินด้วย

“เป็นไงนายอู ไปมีเรื่องมาเหรอ” อาจารย์ประพิมพ์ทักทายอย่างเป็นกันเอง ปกติอาจารย์มักจะคุ้นกับการเรียกนักเรียนด้วยชื่อจริงมากกว่า แต่ว่าอาจารย์บางคนก็พยายามสร้างความเป็นกันเองกับนักเรียนโดยการเรียกชื่อเล่น

“ครับ” ผมรับคำ ก้มหน้านิ่ง

“ไหน เรื่องมันเป็นมายังไง” อาจารย์เริ่มซัก ที่จริงอาจารย์คงถามโหนกมาแล้วรอบหนึ่ง แต่คงอยากฟังจากปากคำของผมด้วย

“...” ผมนิ่ง จะให้ผมเริ่มเล่าอย่างไร เล่าว่าไอ้โหนกไปนินทาว่าผมเป็นแฟนกับไอ้นัย แล้วผมก็เลยชกมันน่ะหรือ

“ทำไมไม่เล่าให้ครูฟังล่ะอู มีเรื่องอะไรคับใจเหรอ ถ้าเธอไม่เล่า ครูจะช่วยเธอได้ยังไง” อาจารย์ค่อยๆตะล่อม น้ำเสียงที่อ่อนโยน ทำให้ผมคลายความกดดันลงได้บ้าง

“...”

“เอายังงี้ ใครเริ่มก่อน” อาจารย์เปลี่ยนคำถามใหม่

คำถามนี้ก็ตอบได้ยากอีก มันเริ่มด้วยการปล่อยข่าว แต่ผมเริ่มชกมันก่อน

“โหนกหาเรื่องผมก่อนครับ แต่ว่าผมชกมันก่อน” ผมตอบไปตามตรง

อาจารย์ประพิมพ์ถอนหายใจอย่างหนักใจ เพราะผมตอบคำถามอาจารย์แบบถามคำตอบคำ แต่ส่วนใหญ่จะไม่ตอบเสียมากกว่า ก้มหน้าเงียบอย่างเดียว ผมรู้สึกคับใจอย่างมาก จนน้ำตามันซึมออกมาเอง ต้องพยายามเอามือปาดเพื่อไม่ให้อาจารย์เห็น เพราะในความคิดของผม การหลั่งน้ำตาให้คนอื่นเห็นเป็นเรื่องที่เสียศักดิ์ศรี

เมื่ออาจารย์สอบสวนผมไม่ค่อยได้ความนัก จึงปล่อยให้ผมกลับห้องเรียนไป แต่ก็นับว่าอาจารย์อดทนและเมตตากับผมมาก เพราะไม่ได้แสดงอาการดุหรืออารมณ์เสียกับผมเลย แม้ว่าผมจะไม่ยอมตอบคำถามส่วนใหญ่ก็ตาม

“บอกให้หัวหน้ามาหาครูตอนเที่ยงครึ่งหน่อยนะ” อาจารย์สั่งผมทิ้งท้าย

เมื่อผมกลับถึงห้องเรียน ตอนนั้นวิชาต่อไปเริ่มเรียนกันไปแล้ว ผมจึงเดินเข้าไปนั่งที่อย่างเงียบงัน แต่ก็ยังเห็นว่าไอ้โหนกหันมามองผมด้วยแววตาที่เยาะเย้ย...

“ไปเจอพ่อมันมาเหรอ” วีกิจที่นั่งติดกันกระซิบถามเบาๆเมื่อผมกลับมานั่งที่แล้ว

ผมทำหน้างง “พ่อใครเหรอ”

“ก็พ่อไอ้โหนกน่ะดิ” วีกิจตอบ “เมื่อกี้ตอนที่มึงขึ้นไป ไอ้โหนกมันบอกกับทั้งห้องว่าพ่อมันมาพบอาจารย์ และจะเล่นงานมึง จะให้ไล่มึงออก”


<ผมตอบคำถามอาจารย์แบบถามคำตอบคำ แต่ส่วนใหญ่จะไม่ตอบเสียมากกว่า ก้มหน้าเงียบอย่างเดียว ผมรู้สึกคับใจอย่างมาก จนน้ำตามันซึมออกมาเอง ต้องพยายามเอามือปาดเพื่อไม่ให้อาจารย์เห็น>

Friday, December 12, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 43

เที่ยงวันนั้น ผมนั่งกินข้าวกับไอ้นัยสองคนด้วยความไม่สบายใจกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น ผมไม่อยากบอกเรื่องนี้กับมัน เพราะไม่ต้องการให้มันเสียใจ

“วันนี้มึงเป็นไรไปวะอู ทำหน้ายังกับตูด” ไอ้นัยพูดอย่างยิ้มแย้ม

เมื่อเห็นไอ้นัยอารมณ์ดีขนาดนี้ก็ยิ่งเล่าไม่ลง

“ไม่มีอะไรหรอก เอ้อ หนักใจเรื่องรายงานน่ะ” ผมตอบ

“โกหกไม่แนบเนียนเลยนะมึง” ไอ้นัยว่า พร้อมกับสีหน้าที่เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม มันคงเดาได้ว่าอาจเกิดอะไรขึ้นกับผม แต่ก็ไม่เซ้าซี้ถามต่อ

ผมลังเล ว่าจะเล่าดีหรือไม่ แล้วในที่สุดก็ตัดสินใจเล่าความจริงออกไป

ไอ้นัยนิ่งอึ้งไป สีหน้าดูไม่ดีเท่าไรนัก ผมเริ่มนึกเสียใจที่เล่าเรื่องนี้ให้มันฟัง

“มึงอย่าไปใส่ใจมันเลย มันปากเสียกับทุกคนนั่นแหละ” ผมพยายามปลอบใจ

ไอ้นัยนั่งกินอาหารต่อด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เหมือนกับมันกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่

“มึงคิดอะไรอยู่” ผมถาม

ไอ้นัยสั่นหัว “ไม่รู้สิ”

“หัวมึงเอง คิดอะไรยังไม่รู้ ยังงั้นก็บ้าแล้ว” ผมพยายามตลก

“ความคิดมันมั่วไปหมด บอกไม่ถูกเหมือนกัน” ไอ้นัยตอบ

อย่าว่าแต่มันเลย ผมเองก็สับสนกับเรื่องที่เกิดขึ้นเหมือนกัน มันทำให้ผมครุ่นคิดถึงรสนิยมทางเพศของตนเอง ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับไอ้นัย ความถูกผิด อนาคตของเรา ฯลฯ ความคิดมันมั่วไปหมดจริงๆ

ในช่วงบ่ายวันนั้น หลังจากที่ผมเข้าห้องเรียน ไอ้อ้วนก็เริ่มปากเสียอีก

“มึงรู้มั้ย ที่โรงอาหาร ขนมหวานอะไรขายดีที่สุดในวันนี้” ไอ้อ้วนถามเพื่อนในแก๊ง

“กูจะไปรู้ได้ไง” อีกคนรับลูก “อะไรล่ะ”

“ถั่วดำว่ะ” ไอ้อ้วนตอบ “แม่ง... มีคนมาเหมาไปหมดเลย แดกถั่วดำกันจนตูดโบ๋”

เพื่อนหลายคนหัวเราะกันขำ ผมรู้สึกหน้าชา มือเท้าเย็นไปหมด ทั้งอับอาย ทั้งโกรธแค้น ระคนกัน อยากจะเข้าไปชกหน้าไอ้อ้วนเต็มที แต่อีกใจหนึ่งก็รั้งเอาไว้ เพราะถ้าผมไปชกมันเข้า เรื่องคงบานปลาย อีกอย่าง มันพูดลอยๆ ไม่ได้มองหน้าผมด้วยซ้ำ มันก็อ้างได้ว่าไม่ได้พูดว่าผม

ผมพยายามระงับอารมณ์อย่างสุดความสามารถ และเดินไปนั่งที่โต๊ะเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ท่าทีของผมจะเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงหรือเปล่านั้นผมเองก็ไม่อาจทราบได้

บ่ายวันนั้นผมเรียนไม่รู้เรื่องสักวิชา ความคิดวนเวียนอยู่แต่เรื่องที่ไอ้อ้วนมันเอามาล้อเลียน คิดไปร้อยแปด เป็นครั้งแรกที่ผมเริ่มสงสัยว่าตนเองไม่ปกติเหมือนเด็กคนอื่นๆ รวมทั้งคิดไปถึงไอ้นัยด้วย ครั้นพอเลิกเรียน ขณะนั่งรถกลับบ้านกับไอ้นัย ไอ้นัยก็นั่งเงียบขรึมเสียอีก สุดท้ายเราสองคนก็ไม่ได้คุยกันเลยจนตลอดทาง

- - -

วันรุ่งขึ้น ขณะมาโรงเรียน ไอ้นัยยังคงเงียบขรึมเช่นเดิม จนผมรู้สึกกังวล ตอนนั้นผมกังวลกับความรู้สึกของไอ้นัยมากกว่าความรู้สึกของตนเองเสียอีก เพราะไอ้นัยมันเจอเรื่องร้ายๆมาเยอะตั้งแต่ปีที่แล้ว ... จริงสินะ ปีที่แล้วที่ไอ้นัยมีเรื่อง ก็ช่วงนี้พอดีเหมือนกัน

เราสองคนจมอยู่กับความเงียบมาตลอดทาง จนเมื่อเข้าประตูโรงเรียน และไอ้นัยจะแยกขึ้นตึก

“ถ้ามึงไม่สบายใจ วันนี้ตอนเที่ยงกูแวะไปหามึงเอง มึงรอในห้องนั่นแหละ” ผมเสนอ

ไอ้นัยพยักหน้ารับ แล้วก็เดินแยกไป

หลังจากที่ไอ้นัยแยกขึ้นตึกไป และผมกำลังจะเดินไปทางตึกเรียนของผม เท้าของผมก็สะดุดอะไรบางอย่างจนเสียหลักหัวทิ่ม

“อุ๊บ... ฮ่ะ ฮ่ะ” เสียงใครคนหนึ่งร้องผสมหัวเราะดังขึ้นที่ด้านหลังของผม ผมหันหลังกลับไปดู...

ตี๋นั่นเอง และสิ่งที่ผมสะดุดก็คือเท้าของมัน

“ไอ้หอก เสือกมาขัดขา” ผมด่ามัน “มึงตามกูมาตั้งแต่เมื่อไรวะเนี่ย”

“สักพักแล้ว” ตี๋บอก ว่าแล้วก็เอียงหน้ามากระซิบถามผมเบาๆ น้ำเสียงจริงจัง “มันเป็นแฟนมึงจริงเหรอ”

ผมอึ้งไป สำหรับกับตี๋ เราไม่เคยล้อเลียนปมด้อยหรือกลั่นแกล้งกัน สีหน้าของมันก็บ่งบอกว่าไม่ได้ถามเพื่อกวนประสาท

“เอ้อ... เอ้อ... เปล่านี่” ผมตะกุกตะกัก

“โกหกไม่เก่งเลยนะมึง” ตี๋ถอนใจ “มึงรู้ไหมว่าในห้องมันลือกันเรื่องของมึงสองคนมาสองสามวันแล้ว”

นั่นเป็นสิ่งที่ผมอยากรู้อย่างที่สุด แต่ไม่กล้าถามใคร เพราะเกรงว่าการถามของผมจะสร้างพิรุธ เลยแกล้งทำเป็นทองไม่รู้ร้อนมาโดยตลอด

“ลือกันว่าไงอะ” ผมถาม

“ก็มันลือกันว่ามึงกับเพื่อนมึงคนนั้นเป็นแฟนกันน่ะสิ” ตี๋พูด

“ใครเอามาลือวะ” ผมถามอีก

“ไม่รู้สิ ก็เห็นพูดต่อๆกันไป บอกว่ามึงกับเพื่อนมึงหวานกันถึงขนาดไปดูหนังกันสองคนที่สยามสแควร์ด้วย” ตี๋พูด

แม้ตี๋จะไม่รู้ แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าต้นตอของข่าวลือมาจากใคร
ตี๋มองหน้าผม แล้วพูดอย่างจริงจัง

“อู มึงเฉยๆไว้น่ะดีแล้ว พวกห่านั่นมันล้อมึง ถ้ามึงทำเฉย อีกสักพักมันก็หยุดไปเอง แต่ถ้ามึงตอบโต้ พวกมันจะยิ่งเอาใหญ่ มึงดูอย่างไอ้หัวหน้าดิษฐ์สิ ล้อกันได้ไม่กี่วันก็เบื่อ” ตี๋หมายถึงกรณีดิษฐ์กับพงษ์ปากกว้าง

ตี๋หยุดเล็กน้อย เหลือบมองมือดูข้างที่พิการของมันแว่บหนึ่ง แล้วพูดต่อ “มึงเชื่อกูสิ กูโดนล้อมาตั้งแต่เด็ก กูรู้ดี”

น้ำสียงของตี๋ทำให้ผมสะท้อนใจ น้ำเสียงนั้นทั้งเห็นใจ ทั้งเยาะหยัน ... เห็นใจผม และเยาะหยันให้แก่ชีวิตของตนเอง

ผมตบไหล่ตี๋เบาๆแทนการขอบคุณ จากนั้นรีบสาวเท้าเดินมุ่งไปที่ห้องเรียนอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ตี๋เดินตามหลัง

เมื่อไปถึงห้องเรียน ผมเห็นโหนกกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะ อารมณ์ของผมในตอนนั้นพลุ่งพล่านสุดจะบรรยายออกมาได้ ผมเดินตรงไปหาโหนก แม้ไอ้อ้วนจะล้อผมอยู่หลายวัน ผมก็ยังพยายามระงับอารมณ์อยู่ได้ แต่เมื่อผมเห็นโหนก ผมกลับระงับอารมณ์ไม่อยู่

“มึงมันโคตรเหี้ยเลยนะไอ้โหนก” ผมด่ามัน ว่าแล้วก็หยิบหนังสือแบบเรียนที่วางอยู่บนโต๊ะของโหนก ยกขึ้นฟาดหัวมันเต็มแรง

“พัวะ” แม้มันจะเป็นหนังสือแบบเรียนเล่มไม่หนานัก แต่เมื่อฟาดอย่างสุดแรง ก็คงทำให้เจ็บได้ไม่เบา

โหนกร้องลั่น แล้วยกมือขึ้นขย้ำคอผม ทั้งยังเอาเล็บจิกเข้าไปในผิวเนื้อ เมื่อผมเจ็บ ความโกรธของผมก็ยิ่งทวีขึ้น คราวนี้เราก็ซัดกันอุตลุด

“เฮ้ย ไอ้อูมันบ้าแล้ว ช่วยกันแยกเร็ว” เสียงใครก็ไม่รู้ร้องขึ้น

หลังจากนั้น ผมกับไอ้โหนกก็ถูกแยกออกจากกัน เพื่อนๆช่วยกันยึดเอาไว้ไม่ให้ฟัดกันอีก

ผมดิ้นรนชั่วครู่ ในทีสุดก็ได้สติ และเลิกดิ้น แต่ไอ้โหนกยังไม่หยุด มันดิ้นและร้องไห้จ้าราวกับมันกำลังถูกจับเชือด

ผมถูกเพื่อนๆลากกลับไปสงบสติอารมณ์ที่โต๊ะของตนเอง ตอนนั้นเอง ผมเริ่มรู้สึกแสบตามแขนและคอ จึงก้มลงสำรวจสภาพตัวเอง พบว่ากระดุมเสื้อหลุดหายไปบางบางเม็ด นอกจากนี้ ทั้งลำคอและแขนยังเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นรูๆ และรอยแผลเป็นริ้วยาวหลายต่อหลายเส้น เลือดออกซิบๆ รอยแผลนี้เกิดจากกรงเล็บของไอ้โหนกนั่นเอง ผมชกมัน แต่มันกลับสู้กับผมด้วยการใช้กรงเล็บจิกและข่วน

“อยู่ดีๆเกิดบ้าอะไรขึ้นมาวะไอ้อู” เพื่อนๆพากันรุมถาม

“...” ผมไม่ตอบ เอาแต่นั่งนิ่ง เพราะไม่รู้ว่าจะตอบว่าอย่างไรดี


<ผมถูกเพื่อนๆลากกลับไปสงบสติอารมณ์ที่โต๊ะของตนเอง ตอนนั้นเอง ผมเริ่มรู้สึกแสบตามแขนและคอ จึงก้มลงสำรวจสภาพตัวเอง พบว่ากระดุมเสื้อหลุดหายไปบางบางเม็ด นอกจากนี้ ทั้งลำคอและแขนยังเต็มไปด้วยรอยแผล>

Tuesday, December 9, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 42

ที่ผ่านมา แม้เพื่อนที่สนิทสนมกับโหนกบางคนจะรู้ว่าที่บ้านโหนกมีฐานะดี แต่เพื่อนส่วนใหญ่ในห้องจะไม่รู้กัน เพราะว่าโหนกไม่ได้ทำตัวเด่นอะไร แต่การที่โหนกเอาดิสก์แมนราคาแพงมาอวด ทำให้โหนกกลายเป็นจุดสนใจของเพื่อนๆในทันที

เช้าวันรุ่งขึ้น ผมมาถึงโรงเรียนเช้าตามปกติ เมื่อมาแล้วก็นั่งเล่นอยู่ในห้องเรียน เพื่อนๆก็ทยอยกันมา

เมื่อเพื่อนมากันเยอะขึ้น เรื่องที่คุยกันก็เริ่มหลากหลาย บางคนก็อดพูดถึงดิสก์แมนและฐานะความเป็นอยู่ของโหนกไม่ได้

“บ้านแม่งรวยฉิบหาย มันนั่งรถเบนซ์มาโรงเรียน ที่คนขับรถมารับส่งทุกวัน” เพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้น

“มึงรู้ได้ไงว่าเป็นคนขับรถ ไม่ใช่พ่อมันขับ” อีกคนหนึ่งถาม

“ก็บางวันพ่อมันก็นั่งมาด้วยข้างหลังน่ะสิ” เพื่อนคนแรกเฉลย

“โห แม่งโคตรคุณหนูเลย” ไอ้อ้วนวิจารณ์

วันนั้นกลุ่มของไอ้อ้วนก็นั่งคุยเรื่องนี้ด้วย วงที่คุยกันนี้ก็นั่งอยู่ข้างหน้าผมไม่กี่โต๊ะเอง ส่วนผมนั่งทำการบ้านที่ยังค้างอยู่ ไม่ได้เข้าไปร่วมวง สาเหตุก็เพราะไม่ค่อยชอบคุยกับกลุ่มไอ้อ้วนเท่าไร มีแต่เรื่องปากเสียทั้งนั้น แต่ถึงกระนั้นก็ได้ยินเรื่องที่พวกเพื่อนๆคุยกัน

พอใกล้เวลาแปดโมง โหนกก็เดินเข้ามาในห้อง ไอ้อ้วนก็เริ่มตั้งกองแซวทันที

“อ๊ะๆ คุณหนูมาแล้ว” อ้วนพูดเสียงดัง

โหนกไม่สนใจ คงนึกว่าไม่เกี่ยวอะไรกับตนเอง

“เฮอะๆ คุณหนูทำเป็นไม่ได้ยินวุ้ย ต่อไปต้องเรียกคุณหนูโหนกแล้วล่ะ เรียกโหนกเฉยๆไม่ได้ ฮิฮิ” อ้วนแซวอย่างสนุกสนาน พวกเพื่อนๆในแก๊งก็ส่งเสียงเฮฮารับมุข

“มึงว่าใครคุณหนูวะ” โหนกหันมาพูดกับอ้วนด้วยสีหน้าไม่พอใจ

“ก็ใครล่ะ ที่ทำตัวเป็นคุณหนู มีคนรถขับรถเบนซ์มารับมาส่งทุกวัน” อ้วนพูดลอยหน้าลอยตา

“ใครบอกมึงวะ” โหนกถาม

“แล้วมันจริงหรือเปล่าล่ะ คุณหนู...” ไอ้อ้วนลากหางเสียงยาวแบบล้อเลียน “นี่คุณหนูเคยนั่งรถเมล์บ้างไหมครับเนี่ย”

“ไอ้ห่า กูจะนั่งอะไรมาไม่ต้องมาเสือก” โหนกสวนกลับด้วยความโกรธ

หลังจากนั้นก็เป็นการต่อปากต่อคำระหว่างกลุ่มไอ้อ้วนกับโหนก แต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ พวกไอ้อ้วนปากเยอะกว่า ในที่สุด โหนกก็ต่อปากต่อคำสู้ไม่ได้ และเงียบไปเอง กลุ่มไอ้อ้วนเมื่อแซวจนสนุกหนำใจแล้วก็หยุดแซว

พักเที่ยงวันนั้น เมื่อผมเลิกเรียน ไอ้นัยยังไม่ลงมา ผมจึงเดินขึ้นตึกเพื่อไปรอมันที่หน้าห้อง ในขณะที่เพื่อนคนอื่นๆเดินไปทางโรงอาหาร

“เดี๋ยวก่อน ไอ้อู” มีเสียงเรียก พร้อมทั้งมีมือมาจับหัวไหล่ของผมเอาไว้

โหนกนั่นเอง

“มึงทำยังงี้หมายความว่าไง” โหนกถามด้วยสีหน้าบูดบึ้ง

“ทำยังไงวะ” ผมงง

“เรื่องที่ไอ้อ้วนมันล้อกูเมื่อเช้า มึงเป็นคนเอาไปพูดใช่ไหม” โหนกพูดเกือบเป็นเสียงตะคอก

“อะไรกันวะ ทำไมมาหาเรื่องกันแบบนี้” ผมงงกับข้อกล่าวหาแบบกะทันหันของโหนกจนตั้งตัวไม่ถูก “กูไม่เกี่ยว”

“มึงไม่เกี่ยวแล้วหมาตัวไหนเอาไปพูด มีแต่มึงที่รู้ว่ากูมีคนขับรถมารับส่ง” โหนกไม่ยอมเชื่อ พยายามคาดคั้นอีก

วันก่อนมันเพิ่งบอกผมว่าที่บ้านมันมีคนขับรถ นี่ถ้าผมไม่พูดแล้วใครจะพูด ถึงมีปากก็ยากจะแก้ตัวจริงๆ

“เอ้อ... กูจะไปรู้ได้ไง ที่บ้านมึงมารับส่งมึงที่โรงเรียน มันจะไม่มีคนอื่นเห็นเลยหรือยังไงวะ” ผมพยายามแก้ข้อกล่าวหาเท่าที่จะนึกหาเหตุผลได้

“มึงไม่ต้องมาแก้ตัว ไม่ใช่ลูกผู้ชายนี่หว่า ทำแล้วไม่กล้ารับ”

“กูบอกว่ากูไม่ได้พูด ถ้ามึงไม่เชื่อก็ตามใจ” ผมพูดตัดบท ว่าแล้วก็รีบเดินหนีไป เพราะว่าตรงที่เรายืนคุยกันอยู่นั้นเป็นบันได มีนักเรียนเดินผ่านไปมามากมาย ทะเลาะกันตรงนั้นมันน่าอาย ผมทั้งโมโห ทั้งอายคนอื่น ไม่รู้จะทำยังไงดีจึงต้องรีบเดินหนี

โหนกเมื่อเห็นผมเดินหนี มันก็ไม่ตามมา ผมนึกโล่งใจ อย่างน้อยก็หนีปัญหามาได้ชั่วขณะ ซวยจริงๆเลย

ผมเล่าเรื่องนี้ให้ไอ้นัยฟังตอนที่เรากินอาหารเที่ยงกัน ไอ้นัยฟังแล้วก็ได้แต่นิ่งเงียบ

“เอาไงดีวะ” ผมพูดเปรยๆ พร้อมถอนหายใจ

“นั่นน่ะดิ” ไอ้นัยถอนหายใจออกมาเช่นกัน

“ซวยฉิบหายเลยกู” ผมบ่น

“นั่นน่ะดิ” ไอ้นัยเห็นด้วย

“นี่มึงพูดเป็นแค่นี้เองเหรอ” ผมดุมัน

“นั่นน่ะดิ เอ๊ย ก็กูคิดไม่ออกนี่หว่า” ไอ้นัยตีหน้าตาย

ผมอดหัวเราะไม่ได้ ในเวลาที่ไม่สบายใจ การได้อยู่กับไอ้นัยช่วยให้ผมอารมณ์ดีขึ้นได้

หลังจากวันนั้นมา โหนกก็ไม่ได้นั่งกินอาหารเที่ยงร่วมกับผมและไอ้นัยอีก รวมทั้งมันยังไม่พูดกับผมอีกด้วย ผมถือว่าผมไม่ผิด ดังนั้นเมื่อมันไม่พูดด้วย ผมก็จึงไม่พูดกับมัน รวมทั้งไม่ไปง้อด้วย ใจหนึ่งก็รู้สึกหนักใจ ที่ต้องเป็นแพะรับบาปกับความผิดที่ผมไม่ได้ก่อขึ้น แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกดี เพราะคิดว่าสามารถตัดไอ้โหนกออกไปจากชีวิตได้

- - -

หลังจากที่ผมทะเลาะกับโหนกครั้งล่าสุด ตอนนั้นเป็นตอนปลายสัปดาห์ หลังจากหยุดเสาร์อาทิตย์ไปสองวัน ผมก็ลืมความขุ่นข้องต่างๆไปจนหมด

วันจันทร์ถัดมา เมื่อถึงเวลาพักเที่ยง ไอ้นัยก็มารอผมที่หน้าห้องเรียนตามปกติ ที่จริงมันก็ไม่ได้มารอที่หน้าห้องพอดีหรอก แต่มันจะหลบไปรอห่างจากห้องออกไปหน่อย พอมันเดินผ่านหน้าห้องผมก็จะรู้ว่ามันมารอแล้ว

“ตุ๊ดตู่ อยู่ในรูไม้ไผ่...” เสียงไอ้อ้วนพูดลอยลมเมื่อผมเดินผ่าน แต่ผมไม่ได้สนใจ

ใกล้บ่ายโมง หลังจากที่ผมกลับเข้ามาในห้องเรียนอีกครั้งเพื่อรอเรียนวิชาในตอนบ่าย เมื่อผมเดินผ่านไอ้อ้วน ก็ได้ยินเสียงมันร้องเป็นเพลงลอยๆอีก

“ตุ๊ดตู่เอย อยู่ในรูไม้ไผ่ เห็นคนเดินไป เรียกให้กินหมาก ตุ๊ดตู่เพื่อนยาก กินหมากด้วยกัน เป็นคนอยู่ดีๆ อยากกินขี้เป็นตุ๊ดตู่ ตุ๊ดๆๆๆๆๆตู่”

ถ้อยคำหลังๆของมันฟังเสียงแล้วกำกวม ไม่รู้ว่ามันพูดว่าตุ๊ดตู่หรือตุ๊ดอูกันแน่ เพื่อนๆที่นั่งอยู่ใกล้ๆกันหัวเราะกันกิ๊กกั๊ก

ผมชักเอะใจ ตอนนั้นรู้สึกใจระทึก มือเย็นไปหมด มีความรู้สึกเหมือนกับว่าทำผิดและกำลังจะถูกจับได้ ยังไงยังงั้นเลย ไอ้อ้วนมันพูดถึงใครกัน?

วันถัดมา เมื่อถึงตอนก่อนเที่ยง ผมเหลือบตาไปที่ประตูก็เห็นไอ้นัยเดินผ่านหน้าห้องมาพอดี

“พระเชษฐา คู่ตุนาหงันมารอแล้ว” วีกิจพูดพลางอมยิ้ม

ผมรู้สึกหน้าชา นี่มันเป็นอะไรของมันวะเนี่ย ความโกรธคุกรุ่นอยู่ในใจ แต่เนื่องจากผมยังไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผมจึงนิ่งเอาไว้ก่อน


<ในอดีต อาคารที่อยู่ระหว่างสยามเซ็นเตอร์กับวัดปทุมวนารามก็คือโรงแรมสยามอินเตอร์คอนติเนนตัล (Siam Intercontinental Hotel) โรงแรมหรูอันเก่าแก่แห่งนี้ถูกรื้อไปและกลายมาเป็นห้างสรรพสินค้าสยามพารากอนในปัจจุบันแทน

ภาพบนสุด โรงแรมสยามอินเตอร์คอนติเนนตัลในยุคที่ยังเปิดทำการ
ภาพที่สองจากบน โรงแรมแห่งนี้ถูกรื้อไปในราวปี พ.ศ. ๒๕๔๕
ภาพที่สาม จากบน พื้นที่โรมแรมเดิมได้กลายมาเป็นห้างสรรพสินค้าสยามพารากอนในปัจจุบัน
ภาพที่สี่ จากบน สยามพารากอนในปัจจุบัน สวนที่เห็นอยู่ด้านหน้าในภาพนี้ คือส่วนหนึ่งของวัดปทุมวนาราม>

Sunday, December 7, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 41

ต้นเดือนธันวาคม อากาศในฤดูหนาวเย็นสบาย บางวันก็ถึงกับหนาวเลยทีเดียว อากาศอันเย็นสบายในฤดูหนาวทำให้ผมขี้เกียจตื่น เอ๊ดต้องคอยปลุกผมซ้ำเป็นประจำ ไอ้นัยก็คงเป็นเช่นกัน เพราะบางวันมันก็ไม่ได้มารอผมที่ป้ายรถเมล์ แต่กลายเป็นว่าผมมารอมันแทน การตื่นตั้งแต่ตี ๕ และต้องเดินทางฝ่าอากาศอันหนาวเย็นทำให้ผมอดนึกเปรียบเทียบกับตอนที่อยู่หอประจำของโรงเรียนเก่าไม่ได้ ป่านนี้ไอ้ชัชคงยังนอนหลับอุตุอยู่ กว่าจะตื่นก็ ๗ โมง

ในการเรียนช่วงเช้าของวันหนึ่ง เมื่อถึงเวลาเปลี่ยนคาบ ผมได้ยินเสียงฮือฮาแสดงความตื่นเต้น และเห็นคนไปมุงแถวโต๊ะของโหนก

“เกิดอะไรกันขึ้นละเนี่ย” วีกิจพูดเสียงยานคางแบบลิเกถามผม

“ก็นั่งอยู่ด้วยกัน จะไปรู้ได้ไง” ผมตอบ ว่าแล้วก็เดินไปดูที่โต๊ะโหนก

สิ่งที่นักเรียนในห้องกำลังมุงดูและส่งเสียงฮือฮากันอยู่ก็คือเครื่องเสียงที่อยู่ในมือโหนก ตอนแรกผมก็ไม่รู้ว่ามันสำคัญอย่างไร ถามเพื่อนที่มุงกันอยู่ จึงได้ความว่ามันเป็นเครื่องเสียงตระกูลใหม่ล่าสุดของโซนี่ นั่นคือ ดิสก์แมน (Discman)

ในตอนนั้นเป็นยุคของเครื่องเสียงตระกูลวอล์กแมน (Walkman) ใช้เล่นกับเทปคาสเซ็ตต์ แต่นี่เป็นเครื่องเสียงแบบพกพารุ่นใหม่ที่ใช้เล่นกับแผ่นซีดี ในปีนั้นเป็นปีที่โซนี่วางตลาดดิสก์แมนที่พกพาไปไหนมาไหนได้เป็นปีแรก

“เนี่ย เมืองไทยยังไม่มีขายเลยนะ เครื่องนี้พ่อกูซื้อมาจากญี่ปุ่น ที่ญี่ปุ่นก็เพิ่งวางขายไม่กี่วันนี้เอง” โหนกพูดด้วยความภูมิใจ เพื่อนๆฮือฮากันใหญ่ ต่างทึ่งในความร่ำรวยของที่บ้านโหนก

“เท่าไรวะ” เสียงบางคนถาม

“แพงมาก เท่าไรก็ไม่รู้เหมือนกัน” โหนกตอบ

จากนั้นโหนกก็เอาแผ่นซีดีเพลงฝรั่งมาเปิดให้เพื่อนๆทดลองฟังเสียง การฟังก็ต้องฟังจากหูฟัง ดังนั้นจึงต้องเวียนกันฟังทีละคน แต่ละคนก็อยากทดลองฟังเสียงของแพงกันทั้งนั้น จึงทำให้นักเรียนเกือบทั้งห้องมารุมต่อคิวกันที่โต๊ะโหนก

เฮอะ แม่งเอาของมาอวดรวยอีก ผมนึกด่ามันในใจ ว่าแล้วก็เดินกลับไปที่โต๊ะ ไม่สนใจเครื่องเสียงแสนแพงนั้น

“อู ลองฟังดูหน่อยไหม กูให้มึงลองฟังก่อน” โหนกร้องเรียกผม เมื่อเห็นผมกำลังเดินกลับไป ที่โต๊ะ

ผมส่ายหน้า “ไม่ล่ะ”

หลังจากนั้น เมื่อถึงตอนพักเที่ยง โหนกหิ้วถุงผ้าใบหนึ่งไปกินข้าวด้วย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าในถุงผ้านั้นคือเครื่องดิสก์แมนนั่นเอง

“อู ลองฟังเสียงดูหน่อยไหม เมื่อเช้าคนมุงเยอะ มึงยังไม่ได้ฟังเลย” โหนกพูดขึ้นระหว่างกินอาหาร พลางหยิบเอาดิสก์แมนออกมาจากถุง นักเรียนที่กินข้าวอยู่ข้างๆมองกันใหญ่ด้วยความสนใจ ไอ้นัยเองก็ทำตาโต เพราะมันชอบฟังเพลงและชอบพวกเครื่องเสียงอยู่แล้ว

ในช่วงหลัง โหนกยังกินอาหารมื้อเที่ยงกับไอ้นัยและผมเหมือนเช่นเดิม แต่ทว่าสัมพันธภาพกลับไม่เหมือนเดิม ไอ้นัยดูเหมือนจะพยายามระวังตัว ดังนั้นเวลากินอาหารเที่ยงจึงนั่งกินเงียบๆ ส่วนผมเองก็คุยบ้างนิดหน่อย พอไม่ให้บรรยากาศอึดอัดเกินไป แต่ก็รีบกินให้เสร็จๆ จะได้รีบแยกย้ายกันไป แต่วันนี้ไอ้นัยพอเห็นดิสก์แมนก็เผลอตัว

“ลองฟังหน่อยดิ” ไอ้นัยพูดกับโหนก

โหนกทำเป็นไม่ได้ยิน

“เอาสิอู ลองฟังดูหน่อย” แล้วคะยั้นคะยอให้ผมลองฟังเสียง ส่วนไอ้นัยหน้าจ๋อย

และแล้ว ความอดทนของผมก็หมดลง ถึงของของมันจะวิเศษอย่างไร ผมก็ไม่อยากฟัง

“ไม่ฟังโว้ย มึงเอาไว้ฟังเองเถอะ” ผมกระชากเสียง “กูจะกินข้าว อย่ามาเซ้าซี้ได้มั้ย”

ว่าแล้วผมก็ก้มหน้าก้มตากินอาหารด้วยความโมโห โหนกเงียบไปชั่วขณะ

“มึงจำเอาไว้ละกัน ไอ้อู” โหนกพูด ว่าแล้วก็เก็บดิสก์แมนลงไปในถุงผ้าตามเดิม จากนั้นรีบกินอาหารจนเสร็จ แล้วก็ลุกหนีไป

“มึงไปขอมันฟังทำไมวะ” ผมต่อว่าไอ้นัยเมื่อโหนกลุกไปแล้ว

“มันเผลอไปอะ” ไอ้นัยนิ้มแห้งๆ เห็นหน้าจ๋อยของมันแล้วสงสารมันจับใจ

ไม่มีใครอาจรู้ได้ว่า การมีปากเสียงเล็กน้อยระหว่างผมกับโหนกในวันนั้น ได้บานปลายออกไป และกลายเป็นจุดหักเหในชีวิตของผมและไอ้นัยในเวลาต่อมา...


<เครื่องเล่นซีดีรุ่น D-50 ของโซนี่ อันเป็นต้นตระกูลของดิสก์แมน เครื่องเล่นซีดีแบบพกพา>

Friday, December 5, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 40

ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณบ่ายสามโมงแล้ว ในใจค่อนข้างหงุดหงิด อยากไปนั่งคุยกับไอ้นัย แต่ถ้าผมจะไปหาไอ้นัยที่บ้านก็คงจะกลับบ้านค่ำ

ไปหาไอ้ชัชดีกว่า ผมคิด ไม่ได้ไปหามันนานแล้วด้วย เทอมที่แล้วไปหาแค่หนเดียว แถมโทรไปคุยก็ไม่กี่ครั้ง ไปเยี่ยมมันเสียหน่อยแล้วค่อยกลับบ้าน เวลากำลังพอดี

เมื่อตกลงใจได้แล้ว ผมก็เดินไปที่ร้านโดนัทเพื่อซื้อโดนัทเพื่อไปฝากไอ้ชัช เด็กๆส่วนใหญ่ชอบขนมหวานกันทั้งนั้น ไอ้ชัชก็เช่นกัน

เมื่อไปถึงหอ ผมตรงไปที่ห้องดูโทรทัศน์ซึ่งอยู่ใต้ตึก ตอนนั้นมีเด็กหอนั่งดูทีวีกันอยู่หลายคน เป็นเด็กหน้าใหม่ที่ผมไม่รู้จักเสียประมาณครึ่งหนึ่ง

ไอ้ชัชไม่ได้อยู่ในนั้น แต่ก็ยังดีที่เจอไอ้พงษ์ที่ชอบชักว่าวโชว์เพื่อนๆ ซึ่งเคยเรียน ป.๖ ห้องเดียวกัน

“มันอยู่บนตึก เดี๋ยวกูตามให้” ไอ้พงษ์พูด ว่าแล้วก็เดินไปที่อินเตอร์คอมเพื่อตามตัวไอ้ชัช จากนั้นก็กลับมานั่งคุยกับผม

“เดี๋ยวนี้มันได้เพื่อนซี้คนใหม่แล้ว” ไอ้พงษ์พูด

“ใครวะ” ผมถามด้วยความอยากรู้

“มึงไม่รู้จักหรอก เป็นเด็กใหม่ เข้า ม.๑ ปีนี้เอง” พงษ์ตอบ ว่าแล้วก็บุ้ยใบ้ให้มองไปทางบันได “นั่นไง มันเดินตามไอ้ชัชลงมาด้วย”

ผมมองตามสายตาของไอ้พงษ์ เห็นไอ้ชัชเดินมากับใครคนหนึ่ง ขาวๆ ตี๋ๆ ตัวสูงกว่าไอ้ชัชเล็กน้อย

“กูว่ามันคล้ายๆมึงอยู่เหมือนกันนะ” จู่ๆไอ้พงษ์พูดขึ้นมา

“คล้ายตรงไหนวะ แล้วคล้ายกูแล้วมันเป็นยังไง” ผมสงสัย

“ก็ไม่เป็นยังไง กูแค่บอกว่ามันคล้ายมึงเท่านั้นเอง ก็ดูดิ หรือว่าไม่จริง” ไอ้พงษ์ตอบ

ซี้คนใหม่ของไอ้ชัช ดูๆไปมันก็คล้ายผมนิดหน่อยจริงๆ รูปร่างคล้ายๆกัน ตี๋ๆคล้ายกัน แต่หน้าตาไม่เหมือนกันหรอก

“ไอ้เปรต” เสียงด่าของไอ้ชัชมาก่อน “มึงมาหากูแค่เทอมละหน โคตรไม่มีน้ำใจเลย” ถึงมันจะด่า แต่ท่าทีของมันไม่ได้แสดงความโกรธเคืองแต่อย่างใด

“ก็ดีกว่ามาหามึงปีละหนก็แล้วกัน อีกอย่าง มาหาบ่อยๆให้เกะกะมึงทำไม” ผมทำหน้าทะเล้นล้อมัน ไอ้ชัชถึงกับหน้าแดงวูบ

“ไอ้นัยเป็นไงบ้าง ทำไมไม่มาด้วยล่ะ” ไอ้ชัชเปลี่ยนเรื่อง

แค่นี้ผมก็รู้แล้วว่าไอ้ชัชอยู่สุขสบายดี ความเหงา ความเดียวดาย คงไม่เกิดขึ้นกับมันหลังจากที่ผมไปแล้ว เพราะมันได้เพื่อนซี้คนใหม่มาช่วยปลอบประโลมใจ

ผมส่งโดนัทให้มัน ไอ้ชัชยิ้มแป้น เพราะได้ของกินถูกใจ ไอ้พงษ์ขอมีส่วนร่วมด้วย ส่วนเพื่อนหน้าตี๋ของไอ้ชัชได้แต่นั่งยิ้มๆ ไม่พูดอะไร ผมยังไม่รู้เลยว่าไอ้หมอนี่ชื่ออะไร ไอ้ชัชไม่แนะนำ ผมก็เลยไม่ได้ถาม ทุกคนร่วมวงกันกินโดนัท ได้กินกันคนละนิดละหน่อย

“เฮ้ย ไอ้อู โดนัทอีกถุงจะเก็บเอาไว้ทำไม เอามาแบ่งกันดิ” ไอ้พงษ์พูดอย่างไม่เกรงใจ เมื่อเห็นผมถือถุงโดนัทอีกถุงหนึ่งเอาไว้ไม่ยอมแบ่ง

“เฮ้ย ไม่ได้ นี่จะเอาไปฝากพี่กู” ผมบอกมัน

คุยกันสักพักผมก็กลับ โดยไม่ได้เล่าเรื่องของไอ้โหนกแต่อย่างใด เพราะอยู่กันหลายคน โอกาสไม่อำนวย เมื่อเห็นไอ้ชัชมีความสุขดี ผมก็สบายใจ ความรู้สึกผิดที่มีต่อมันก็ค่อยลดทอนลง

- - -

เช้าวันจันทร์ถัดมา ผมกับไอ้นัยก็เจอกันที่ป้ายรถเมล์เพื่อไปโรงเรียนด้วยกันตามปกติ

“อะ เอามาฝากมึง” เมื่อเราขึ้นรถเมล์และเลือกที่นั่งได้เรียบร้อย ผมก็ล้วงเอาถุงโดนัทออกมาจากกระเป๋าสะพาย ตอนเทอมปลายผมเปลี่ยนจากรองเท้าหนังมาเป็นรองเท้าผ้าใบ รวมทั้งกระเป๋านักเรียนที่เคยใช้ก็เปลี่ยนมาเป็นกระเป๋าแบบสะพายตามสมัยนิยม ที่จริงกระเป๋าสะพายที่ว่าหน้าตามันก็ไม่เหมือนกระเป๋าหรอก รูปทรงเป็นถุงเหมือนกระสอบทรายมากกว่า

ไอ้นัยมองดูถุงโดนัทด้วยความแปลกใจ ตอนที่ผมซื้อโดนัทฝากไอ้ชัช ผมซื้อมาเผื่อเอ๊ดกับไอ้นัยด้วย โดนัทของไอ้นัยชิ้นนี้เป็นกลุ่มที่ราคาแพงที่สุดในร้าน ดูเหมือนจะชิ้นละเกือบ 20 บาท ซึ่งถือว่าแพงในตอนนั้น ตั้งใจจะเอามาปลอบใจมันที่โดนไอ้โหนกแกล้ง ส่วนโดนัทที่ฝากไอ้ชัชกับเอ๊ดนั้นเป็นโดนัททั่วไปที่ผมกินเป็นประจำ

“ซื้อมาตั้งแต่วันที่ดูหนังนั่นแหละ แล้วก็เอาแช่ตู้เย็นเอาไว้ เกือบโดนแย่งกินแน่ะ แต่ก็เก็บเอาไว้ให้มึงจนได้” ผมพูด “คงไม่อร่อยเหมือนซื้อใหม่หรอกนะ อย่าว่ากัน”

ไอ้นัยมองถุงโดนัท แล้วก็มองหน้าผม

“กินด้วยกันนะอู” ไอ้นัยพูด

“มึงกินเถอะ วันก่อนกูกินไปแล้ว มึงยังไม่ได้กินเลย” ผมปฏิเสธ

“กินด้วยกัน กินคนเดียวไม่อร่อยอะ” ไอ้นัยยืนกราน

“เอ้า กินก็กินวะ” ผมยอมตามไอ้นัย แต่เนื่องจากโดนัทชิ้นนี้มันมีถั่วเป็นเกล็ดเล็กๆเคลือบอยู่ ถ้าหักแบ่งโดนัทเป็นสองส่วน แล้วแบ่งกันกิน เกล็ดถั่วจะร่วง เสียดายของ “อย่าหักแบ่งเลย มึงกินก่อนละกัน”

ไอ้นัยหยิบถุงโดนัทไปถือไว้ แล้วกัดโดนัท เคี้ยวตุ้ยๆอย่างเอร็ดอร่อย เมื่อกินไปได้ประมาณครึ่งอันก็ส่งมาให้ผม “อะ”

ผมรับโดนัทที่เหลือมา แล้วกินต่อ ตอนนั้นคนในรถยังน้อยอยู่ ไม่ค่อยมีใครสนใจเราอยู่แล้ว แต่ถึงจะมีใครสังเกต ผมก็ไม่สนใจ

โดนัทครึ่งอันนั้นอร่อยเป็นพิเศษในความรู้สึกของผม แม้ตัวโดนัทจะเย็นเล็กน้อย เพราะว่าเพิ่งเอาออกมาจากตู้เย็นเมื่อเช้า แต่ทว่าผมกลับรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ

“อร่อยจัง” ผมพูด

“อร่อยเพราะน้ำลายกูแน่เลย” ไอ้นัยพูดพลางทำหน้าทะเล้น

- - -

หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา สัมพันธภาพระหว่างผมกับโหนกก็เปลี่ยนแปลงไป ผมเริ่มรู้สึกรำคาญมัน ไม่อยากคุยกับมัน เวลาจะไปกินอาหารเที่ยง ผมก็ไม่เรียกมัน แต่โหนกไม่สนใจ กลับพยายามทำตัวเป็นปกติ

การกินอาหารเที่ยงกลายเป็นความอึดอัดใจ เมื่อโหนกแกล้งทำเป็นไม่สนใจไอ้นัย เอาแต่คุยกับผม เหมือนกับไอ้นัยไม่มีตัวตนอยู่ ตอนนี้ผมแน่ใจแล้วว่าเรื่องที่ผมกลัวอยู่นั้นเป็นความจริงขึ้นมาแล้ว

จะสลัดก็ไม่หลุด จะกินอาหารเที่ยงกันแบบนี้ต่อไปก็อึดอัด ผมกับไอ้นัยก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดีเหมือนกัน

“ทำไงดีวะไอ้นัย มันเหมือนเรื่องไอ้ชัชเปี๊ยบเลยว่ะ ซวยสองปีซ้อนเลยกู” ผมบ่นกับไอ้นัยขณะนั่งรถเมล์กลับบ้านในวันหนึ่ง

“แสดงว่ามึงเนื้อหอม ก็จีบเลยดิ” ไอ้นัยพูด

“ไอ้เปรต อย่าพูดเล่นสิ กูกำลังหนักใจ” ผมด่ามัน

“มึงไม่สนมันบ้างเลยเหรอ” ไอ้นัยถาม

“ทำไมมึงถามแบบนี้วะ กูจะไปสนมันได้ไง” ผมตอบ ตอนนั้นผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคำว่า สน ของไอ้นัยกับของผม มีความหมายว่าอย่างไร เหมือนกันหรือว่าแตกต่างกันหรือไม่

สำหรับผมแล้ว ความรู้สึกรักหรือว่าแฟนยังไม่เกิดขึ้นกับผมในช่วงนั้น ไม่ว่าจะเป็นแบบชายหญิงหรือว่าชายกับชาย แม้กระทั่งกับไอ้นัยเองก็ตาม ผมก็ยังอธิบายความรู้สึกของตนเองที่มีต่อไอ้นัยไม่ออกว่าเป็นอย่างไร ผมรู้แต่ว่ามันเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด และเป็นคนที่มีความหมายมากที่สุดสำหรับผม แต่ก็ไม่เคยคิดว่ามันเป็นแฟนหรืออะไรแบบนั้นเลย

“ทำไมมึงถามอะไรแบบนี้วะ กูไม่เข้าใจ” ผมถามย้ำอีก

ไอ้นัยเงียบไปชั่วครู่ “ไม่รู้ดิ ก็ถามไปยังงั้นเองแหละ” ไอ้นัยตอบแบบเฉไฉ

ตอนนั้นผมกำลังคิดหนักเรื่องไอ้โหนก เลยไม่ได้ไปซักไซ้ไล่เรียงไอ้นัยต่อ คิดยังไงก็ไม่ได้หนทางที่เหมาะสม ในที่สุดก็ต้องเลิกคิด อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดไป


<ภาพบน สยามสแควร์ในอดีต ภาพนี้ถ่ายจากในสยามสแควร์ จะเห็นว่าในซอยของสยามสแควร์นั้นด้านขวามือเป็นห้องอาหารมูฮัมมัด ในยุคนั้นห้องอาหารโดยเฉพาะห้องอาหารจีนในสยามสแควร์มีอยู่หลายร้าน จากจุดนี้สามารถมองเห็นสยามเซ็นเตอร์ได้ในระยะไกล ที่เห็นเป็นตึกสีเขียวๆ ตอนนั้นยังไม่มีรถไฟฟ้า และสยามเซ็นเตอร์ก็ยังไม่ได้ปรับปรุงใหม่

ภาพล่าง ที่เดียวกันในปัจจุบัน>

Tuesday, December 2, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 39

หลังจากการดูหนังในวันเสาร์ที่ผ่านมา วันจันทร์เราก็ยังเอามาเป็นหัวข้อสนทนาตอนกินอาหารเที่ยงกันอีก เราสองคนต่างก็บ่นเสียดายเงิน และเสียดายที่หนังสนุกแต่ดูไม่ค่อยรู้เรื่อง

“ไปเที่ยวไหนกันมาล่ะ” โหนกถาม เพราะฟังแล้วยังปะติดปะต่อเรื่องไม่ถูก ผมเลยเล่ารายละเอียดให้โหนกฟังอย่างสนุกสนาน

ดูเหมือนว่าโหนกจะไม่สนุกด้วย เพราะเห็นทำสีหน้าไม่พอใจ

“ไปไหนกันไม่ชวนมั่งเลยนะ” โหนกต่อว่าด้วยความน้อยใจ

“จะไปชวนได้ไง ก็มึงไม่ได้ไปเรียนดนตรีด้วยกันนี่หว่า” ผมพูดเพื่อปลอบใจโหนก

“ถ้าชวนล่วงหน้ากูก็ไปได้ วันเสาร์กูก็ไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว” โหนกยังไม่ค่อยพอใจกับคำตอบของผมนัก

“คือ... ตอนนั้นไอ้นัยมันอยากดู นึกได้ก็ซื้อตั๋วตอนนั้นเลย ไม่รู้จะชวนล่วงหน้าได้ยังไง” ผมพยายามอธิบาย

แต่ดูเหมือนว่าคำอธิบายของผมนอกจากจะไม่ช่วยอะไรแล้ว ยังเพิ่มความไม่พอใจให้แก่โหนกมากยิ่งขึ้น เพราะโหนกขึ้นเสียงดังทันที

“อะไรกันวะ กูชวนมึงไปไหนก็ไม่ไป พออีกคนพูดคำเดียว มึงก็ตกลงเลย แบบนี้หมายความว่าไง”

ระยะหลังนี้ผมสะสมความไม่พอใจในตัวโหนกเอาไว้ไม่น้อยเหมือนกัน สาเหตุก็เพราะมันทำเย็นชา ปั้นปึ่งกับไอ้นัย ไอ้นัยก็พอดูออก แต่ไม่รู้จะทำยังไง เวลากินข้าวก็ได้แต่นั่งเงียบๆ ผมเองก็อึดอัดใจ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงเช่นกัน

แต่วันนี้ เมื่อโหนกขึ้นเสียงใส่ผม ผมก็ชักจะเหลืออด

“ก็ไม่ได้หมายความว่าไง แต่มันขึ้นอยู่กับความพอใจ” ผมสวนคำเสียงดังบ้าง จนนักเรียนที่กินอาหารอยู่ใกล้ๆหันมามอง

“ใจเย็นๆ อู” ไอ้นัยพูด พร้อมเอามือวางที่ขาผมเป็นทีห้ามปราม แล้วก็หันไปพูดกับโหนก “เสาร์หน้าไปดูหนังกันมั้ยล่ะ ไปดูคนเหล็กกันอีกก็ได้ ดีมั้ย”

“ไม่ดูมันแล้วโว้ย” โหนกกระชากเสียง ว่าแล้วก็ลุกจากที่ไปทั้งๆที่ยังกินไม่เสร็จ

“อู ไปง้อมันหน่อยดิ” ไอ้นัยพูด

“ง้อมันทำไม กูไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย” ผมยังไม่หายโมโหโหนก

“มึงจำเรื่องไอ้ชัชไม่ได้เหรอ ไปง้อมันหน่อยนะ สงสารมัน กูขอละกัน” ไอ้นัยพูด

ผมอึ้งเมื่อได้ยินคำพูดของไอ้นัย นี่มันก็ดูออกเหมือนกันหรือนี่ ผมเองเคยคิดว่ากิริยาของโหนกที่แสดงออก มันช่างเหมือนกับกรณีของไอ้ชัช แต่ผมก็ไม่เคยเล่าข้อสังเกตนี้ให้ไอ้นัยฟัง

เมื่อไอ้นัยถึงกับขอร้องผม ถึงผมไม่เห็นแก่โหนก ก็ต้องเห็นแก่ไอ้นัย ผมถอนใจ ลุกขึ้นเดินตามโหนกไป พร้อมกับนึกในใจว่าปีที่แล้วพอเข้าเทอมปลาย เรื่องร้ายต่างๆก็ประดังกันเข้ามา ดูซิว่าปีนี้จะเจออะไรบ้าง

ผมตามไปขอโทษขอโพย พูดดีด้วยต่างๆนานา จนโหนกใจอ่อน แต่โหนกคงไม่รู้หรอกว่าที่ผมอ่อนข้อให้โหนกขนาดนี้เพราะเห็นแก่ไอ้นัย ผมพยายามอดทนทั้งๆที่ไม่ใช่นิสัยของผมในตอนนั้น ประสบการณ์ในอดีตให้บทเรียนแก่ผมว่า ถ้าผมไม่อดทน คนที่ต้องรับผลร้ายอาจเป็นไอ้นัย ไม่ใช่ผม

เด็กๆมักโกรธง่ายหายเร็ว หลังจากที่ผมง้อโหนกจนใจอ่อน พร้อมกับสัญญากับโหนกว่าบ่ายวันเสาร์หน้าเราจะไปดูหนังด้วยกัน หลังจากนั้นเหตุการณ์ก็กลับมาเป็นปกติ ทุกคนดูเหมือนจะลืมเรื่องราวที่ขัดเคืองใจกัน เพราะไม่มีใครรื้อฟื้นเรื่องนั้นขึ้นมาอีก แต่ผมคิดว่าคงไม่มีใครลืมได้เร็วขนาดนั้น

- - -

วันเสาร์ถัดมา เราสามคนก็ไปดูหนังกันตามที่ผมสัญญาไว้กับโหนก โดยตอนเช้า ผมกับไอ้นัยไปเรียนดนตรีกันก่อน หลังจากนั้น ประมาณเที่ยง เรานัดเจอกันในร้านโดนัท หนังที่จะดูกันก็คือหนังคนเหล็กเรื่องเดิมนั่นเอง

“ก็ดี คราวนี้เผื่อจะดูรู้เรื่องกับเขาบ้าง” ไอ้นัยพูดติดตลก

เมื่อถึงเวลาเที่ยง เราก็ไปที่ร้านโดนัทตามที่นัดเอาไว้ ที่นั่น ผมเห็นโหนกนั่งกินโดนัทกับน้ำอัดบมรออยู่ก่อนแล้ว

“มานานยัง” ไอ้นัยทักทายโหนกด้วยเสียงแจ่มใส “มารถสายอะไรอะ”

“สักพักแล้ว” โหนกตอบ “คนขับรถมาส่งน่ะ”

ผมเพิ่งจะรู้เหมือนกันว่าที่บ้านโหนกมีคนขับรถด้วย ปกติโหนกไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ ผมรู้ว่าโหนกมีคนมารับส่งตอนไปโรงเรียน แต่นึกว่าเป็นพ่อหรือแม่ที่ขับรถมารับส่ง แสดงว่าที่บ้านคงมีฐานะดีทีเดียว

“ไม่นึกว่ามึงจะมาด้วย” โหนกพูดกับไอ้นัย “เห็นอูว่าคนดูเยอะ กูมาก่อนเลยไปซื้อตั๋วเอาไว้ให้ ซื้อมาสองใบเอง”

สีหน้าของไอ้นัยจ๋อยไปสนิท ผมรู้สึกฉุนกึกเหมือนกินวาซาบิเข้าไปก้อนใหญ่

“มึงก็รู้ว่ากูกับไอ้นัยมาเรียนดนตรีด้วยกัน แล้วจะมาดูหนังคนเดียวได้ไง” ผมพูดด้วยความเคือง

“ก็ไม่รู้จริงๆนี่หว่า วันก่อนมึงก็ไม่ได้บอกให้ชัด กูเห็นไอ้นัยมันดูไปแล้ว เลยนึกว่าคงไม่ดูอีก” โหนกพูดแก้ตัวด้วยสีหน้าเรียบเฉย เป็นครั้งแรกตั้งแต่รู้จักกับโหนกมา ที่ผมรู้สึกว่ามันน่าเตะเหลือเกิน

“ไปซื้อเพิ่มให้ไอ้นัยอีกใบก็ได้ ไม่เห็นต้องโมโห” โหนกพูด “แต่ที่นั่งคงไม่ติดกัน”

แค่นี้ผมก็รู้แล้วว่าไอ้โหนกจงใจจะแกล้งไอ้นัย มันแกล้งผม ผมยังไม่เจ็บใจเท่ากับมันแกล้งไอ้นัย

“ถ้างั้นไม่ดูโว้ย” ผมพูดสั้นๆ ว่าแล้วก็ตั้งท่าจะเดินออกจากร้านไป

“ไม่ดูไม่ได้นะ” โหนกส่งเสียงแหวขึ้นมา “สัญญากันแล้ว คิดจะผิดสัญญาเหรอ”

“ผิดก็ผิดสิวะ” ผมตอบ ว่าแล้วก็เดินออกไป

ไอ้นัยตามผมออกไป และฉุดแขนเสื้อผมเอาไว้ที่หน้าร้าน

“อู ดูหนังกับโหนกมันหน่อยเถอะ” ไอ้นัยพูด

“มึงเป็นอะไรไปวะไอ้นัย ทำไมต้องยอมคนอยู่ตลอด มันจะแกล้งมึงมึงก็รู้ แล้วจะไปดูกับมันทำห่าอะไร” ผมโวยกับไอ้นัยเอาบ้าง

“ดูกับมันหน่อยเถอะนะอู” ไอ้นัยพูด โดยไม่ตอบคำถามของผม

“ถ้ามึงไม่บอกเหตุผลมา กูไม่ดูหรอก” คราวนี้ผมไม่ยอมแล้ว

“ไม่รู้สิ กูก็ไม่มีเหตุผลอะไรหรอก แต่ไม่อยากให้มึงสองคนต้องโกรธกันเพราะกู” ไอ้นัยพูด “มึงไปดูหนังนะอู เดี๋ยวกูกลับบ้านไปก่อน”

น้ำเสียงของไอ้นัยบ่งบอกถึงการวิงวอน ตั้งแต่เด็กมา มีแต่ไอ้นัยคนเดียวที่ห้ามแล้วผมฟัง ผมย้อนคิดถึงอดีตขึ้นมาอีก ใบหน้าของไอ้ทิว ไอ้ชัช ไอ้ชิด ลอยขึ้นมาในห้วงความนึกคิด ผมเคยทำเรื่องเดือดร้อนให้ไอ้นัยมามากแล้ว ถ้าผมไม่ดูหนังกับโหนก ความบาดหมางระหว่างโหนกกับไอ้นัยคงรุนแรงยิ่งขึ้น บางทีไอ้นัยอาจพูดถูกก็ได้

พอได้คิด ก็พยายามข่มใจ ระงับความโกรธลงอย่างยากเย็น

ในที่สุด ผมก็ต้องกลับไปง้อไอ้โหนกอีก แม้จะรู้สึกฝืนใจอย่างยิ่งก็ตาม

หนังในวันนั้นแม้จะเป็นที่นั่งราคา 60 บาท แต่ก็ไม่สนุกเลยแม้แต่น้อย สู้ดูไปเวียนหัวไปกับไอ้นัยก็ไม่ได้ การทำอะไรที่ต้องฝืนใจอย่างมากนั้นทำให้ผมรู้สึกอึดอัด ความรู้สึกดีๆที่เคยมีกับโหนกนั้นหายไปจนหมด ความเบื่อหน่ายรำคาญเริ่มเข้ามาแทนที่

เมื่อหนังฉายจบ พอออกจากโรงหนังได้ผมแยกจากโหนกทันที แม้โหนกจะบอกให้อยู่เป็นเพื่อนมันเพื่อรอให้คนขับรถมารับก่อนก็ตาม

เมื่อผมสลัดหลุดจากโหนกมาได้ ผมรีบหาตู้โทรศัพท์และโทรหาไอ้นัยทันที ผมเป็นห่วงความรู้สึกของมันมาก มันคงเสียใจที่โดนเพื่อนแกล้งให้เสียหน้าขนาดนั้น

“โหล” เสียงด็กวัยรุ่นรับสาย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใคร

“นัย เป็นไงบ้าง” ผมเรียกมันโดยไม่มี ไอ้ นำหน้า “เนี่ย เพิ่งดูหนังเสร็จ ดูจบแล้วก็โทรมาหามึงก่อนเลย”

“ไม่เป็นไงนี่” ไอ้นัยตอบด้วยเสียงราบเรียบ สังเกตความรู้สึกจากน้ำเสียงไม่ออก

“มึงอย่าคิดมากนะ ไอ้โหนกจะแกล้งมึงก็ช่าง ยังไงกูก็ไม่เคยแกล้งมึง” ในเวลานั้น ผมนึกคำพูดปลอบใจที่ดีกว่านี้ไม่ออก

“มึงนั่นแหละ ตัวชอบแกล้งกู” ไอ้นัยอดหัวเราะไม่ได้

“อ้าว งั้นหรอกเหรอ” ผมทำตลกไปด้วย ไอ้นัยหัวเราะได้ แสดงว่าคงไม่เป็นอะไรมาก



<ภาพบน โปสเตอร์หน้าโรงของภาพยนตร์คนเหล็ก
ภาพล่าง ตั๋วชมภาพยนตร์ในยุคนั้น ราคาต่ำสุด 20 บาท หางตั๋วสามารถตรวจรางวัลได้ด้วย หางตั๋วใบใดที่มีเลขท้ายตรงกับเลขท้ายสี่ตัวของสลากกินแบ่งรัฐบาลรางวัลที่หนึ่งในงวดนั้น สามารถนำไปขึ้นเงินรางวัลได้>