Saturday, November 28, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 33

บ่ายสี่โมงวันนั้น ผมและบอยพบกันที่โรงอาหารของโรงเรียน

บอยสั่งขนมมาเยอะแยะตามเคย ส่วนผมเองสั่งมาแค่อย่างเดียว เมื่อแม่ค้าคิดเงินผมก็ล้วงเงินออกมา

“มานี่ บอยจ่ายเอง” บอยพูด

ผมมองหน้าบอยอย่างแปลกใจ ปกติมันชอบกินฟรีเป็นที่สุด วันนี้กลับอยากจ่ายเงินเอง ผมเอามือแตะที่หน้าผากบอย

“พี่อูทำอะไรอะ” บอยสงสัย

“จะดูว่าเอ็งไม่สบายหรือเปล่า อยู่ดีๆเกิดอยากออกเงินเองขึ้นมา” ผมพูด แม่ค้าที่รอรับเงินอยู่อมยิ้ม

บอยอดหัวเราะไปด้วยไม่ได้ “ไม่ได้แค่จะออกเงินเอง ครั้งนี้บอยเลี้ยงพี่อูด้วย”

“เกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย สงสัยกินยาลืมเขย่าขวด” ผมยังไม่หายสงสัย

“ก็กินฟรีมาหลายทีแล้ว ไม่อยากเอาเปรียบพี่อู คราวนี้เลยเลี้ยงพี่อูมั่งไง” บอยเฉลย

จู่ๆผมก็รู้สึกอบอุ่นวูบขึ้นมาในหัวใจ ผมไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มานานแล้ว นับตั้งแต่... ไม่เอา ไม่คิด ไม่คิด

“พี่ไม่เอาหรอก” ผมตอบ

“อ้าว ทำไมล่ะ” บอยถาม

“ก็เดี๋ยวเอ็งจะเอาไปว่าได้ว่าพี่ไม่รู้จักหน้าที่ เอ็งยิ่งชอบว่าพี่อยู่เรื่อย” ผมเหน็บ “คนอื่นรู้จะคิดว่ารุ่นพี่ไม่เอาไหนไถน้องกิน”

“ไม่ว่าหรอก เรารู้กันแค่สองคน” บอยหัวเราะ

“ตกลงว่าใครจะจ่ายกันจ๊า ป้ารอจนเมื่อยแล้ว” เสียงแม่ค้าขายขนมแทรกขึ้นมา

“อ้าว เลยโดนป้าแซวเลย” บอยหัวเราะ ป้าก็พลอยหัวเราะไปด้วย “ให้บอยเลี้ยงพี่อูนะ นะ”

จากนั้นบอยก็หยิบเงินออกมาจ่าย ผมเห็นว่าบอยมีความตั้งใจก็เลยไม่อยากให้เสียน้ำใจ อีกอย่าง ขนมถ้วยเดียวก็ไม่ใช่เงินมากมายอะไร คงไม่ถึงกับเบียดเบียนน้องจนเดือดร้อน

“พี่อูไปนั่งรอก่อน เดี๋ยวบอยยกไปให้เอง” บอยสั่งผม

ผมอยากรู้ว่าวันนี้ไอ้บอยจะมาไม้ไหน จึงเดินไปนั่งที่โต๊ะอาหารแต่โดยดี ผมเห็นบอยขอถาดจากแม่ค้า จากนั้นเอาขนมทั้งหมดใส่ถาดมา จากนั้นยกมาวางที่โต๊ะ จากนั้นก็เดินไปซื้อน้ำหวานมาสองแก้ว แก้วหนึ่งเป็นน้ำกระเจี๊ยบ

บอยนั่งลงที่โต๊ะ จากหยิบถ้วยขนมออกจากถาดมาตั้งเรียงรายตรงหน้า พร้อมทั้งหยิบแก้วน้ำกระเจี๊ยบวางลงที่ด้านของผม “อะ เรียบร้อย ลงมือกินได้”

“เฮ้ย นี่เกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย” ผมงงกับพฤติการณ์ของไอ้น้องบอย

“ก็วันก่อนพี่อูเลี้ยงบอย บอยก็อยากตอบแทนพี่อูบ้างดิ” บอยพูด มันหมายถึงวันที่ผมพามันไปเลี้ยงหนังและอาหารที่สยามสแควร์

ผมเหม่อมองแก้วน้ำกระเจี๊ยบด้วยความตื้นตันใจ บอยมันสังเกตจนรู้ว่าผมชอบกินน้ำกระเจี๊ยบ แต่ผมสิ แม้จะเลี้ยงมันหลายหน แต่กลับไม่เคยสังเกตเลยว่ามันชอบกินอะไรบ้าง...

“ขอบใจนายมากนะ” ผมพูดเบาๆ แม้แต่สรรพนามที่ใช้เรียกมันก็พลอยเปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว

- - -

ในที่สุดปริศนามือลึกลับที่เอากาวไปหยอดรถยนต์ของอาจารย์พิกุลก็คลี่คลาย การกระทำของเวชแพร่สะพัดไปในระดับชั้น ม.๔ อย่างรวดเร็ว และเป็นประเด็นร้อนให้วิพากษ์วิจารณ์กันทั้งในเรื่องแรงจูงใจที่ทำให้เวชลงมือ รวมทั้งแรงจูงใจที่ทำให้เวชสารภาพความจริงออกมา

เมื่อพวกนักเรียนรู้กันหมด มีหรือที่อาจารย์วารีจะไม่รู้ ดังนั้น ในวันรุ่งขึ้น หัวหน้าชั้นจึงถูกอาจารย์วารีเรียกไปพบ จากนั้นก็ตามด้วยเวช โดยเวชขึ้นไปพบอาจารย์วารีในช่วงพักเที่ยง

“สงสัยไอ้เวชตายแน่คราวนี้” นักเรียนในกลุ่มเด็กเกคนหนึ่งเปรยขึ้นมา

“ไม่เป็นไร ถ้าไอ้เวชตาย เดี๋ยวกูปกครองพวกมึงต่อเอง เหมือนในหนังเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ไง” เกรียงพูด ไม่รู้ว่ามันพูดเล่นหรือว่าคิดอย่างนั้นจริงๆ

ในที่สุด เวชก็กลับลงมาพร้อมกับใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส

“เฮ้ย อารมณ์ดีมาเชียว อาจารย์ว่าไงบ้าง” เกรียงถาม

“ก็จะมีอาไร้” เวชลากเสียง แล้วพูดอย่างไม่สะทกสะท้าน “ก็เชิญผู้ปกครองมาอีกนั่นแหละ”

“สองหนแล้วนะมึง” เพื่อนอีกคนหนึ่งพูด

“โอ๊ย เรื่องเล็ก” เวชหัวเราะ “บางปีโรงเรียนเชิญผู้ปกครองกูมาตั้งสามสี่หน แค่สองหนยังเล็กน้อย”

ดูเหมือนกับว่าเวชจะไม่สะทกสะท้านกับผลที่ตามมาเลยแม้แต่น้อย ทีแรกผมนึกว่ามันคงเสียใจในสิ่งที่ทำลงไป จึงได้สารภาพออกมา แต่ท่าทีที่ไม่อนาทรร้อนใจของมันทำให้ผมชักไม่ค่อยแน่ใจ

“เฮ้ย ไอ้อู” เสียงไอ้กี้เรียกพร้อมกับศอกของมันกระแทกที่สีข้างของผมเบาๆ “อาจารย์เริ่มสอนแล้ว มึงมัวใจลอยอะไรอยู่”

ศอกของไอ้กี้ได้ปลุกผมให้ตื่นขึ้นมาจากภวังค์ วันนี้ตั้งแต่เช้ามา ผมมัวแต่ครุ่นคิดถึงเรื่องที่โรงอาหารเมื่อวาน ไอ้บอยเป็นเหมือนเปลวไฟดวงเล็กๆที่ช่วยให้จิตใจที่อ้างว้างของผมเริ่มมีความอบอุ่นขึ้นมา ไอ้บอยทำให้วันเวลาของผมสดชื่นและสว่างไสวขึ้นอย่างน่าประหลาด

- - -

หลังเลิกเรียน

ท้องฟ้ายามบ่ายของต้นเดือนพฤศจิกายนครึ้มไปด้วยเมฆสีเทา ฝนช่วงเปลี่ยนฤดูโปรยปรายลงมา บรรยากาศเยือกเย็นและหม่นทึม ชวนให้รู้สึกเงียบเหงาหดหู่

ความเหงาเข้าจู่โจมผมอย่างไม่ทันตั้งตัว จู่ๆก็คิดถึงไอ้นัยขึ้นมาอีก ภาพเหตุการณ์ที่บึงน้ำยามฝนตกวาบเข้ามาในห้วงความคิด... ป่านนี้ไอ้นัยเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้

พร้อมกับความคิดถึงไอ้นัย ผมรู้สึกเจ็บปวดวูบขึ้นมา ผมพยายามขับไล่เงาร่างของไอ้นัยออกไปจากความคิดอย่างยากเย็น การพยายามลืมใครสักคนมันไม่ง่ายเลย โดยเฉพาะคนที่เราฝังใจด้วยมานานปี...

ผมเก็บหนังสือและสมุดใส่ลงในเป้เพื่อเตรียมตัวกลับ พลางเหลือบมองเวชที่นั่งข้างๆ พลางคิดว่าผมกับเวชเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือ... สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น

“เฮ้อ วันนี้เซ็งฉิบหาย ฝนตกยังงี้ไปตีนุ้กดีกว่า” เวชพูดขึ้นมาลอยๆ เกรียงและเพื่อนในแก๊งของเวชส่งเสียงสนับสนุนทันที

เวชและพวกลุกขึ้นจากโต๊ะและเดินออกไปนอกห้อง ผมรีบคว้าเป้เดินตามออกไปบ้าง

“ไปด้วยคนดิ” ผมพูดกับเวชด้วยประโยคเดิมขณะที่เดินไปตามระเบียง เห็นละอองฝนโปรยปรายอยู่นอกชายคาตึก

เวชหันมามองผมนิดหนึ่ง แล้วจู่ๆเวชก็ถามผมด้วยคำถามที่แปลกประหลาด “มึงเหงาเหรอ”

“เอ้อ ไปด้วยอีกได้ไหมล่ะ” ผมถามอีก ไม่อยากตอบคำถามนั้นของเวชเลย

เวชไม่พูดอะไร ผมก็เหมาเอาว่าเวชไม่ขัดข้องเช่นเดียวกับครั้งก่อน จึงเดินตามกลุ่มพวกมันไป...

- - -

ที่โต๊ะสนุ้กเกอร์ เหตุการณ์ก็เป็นเช่นเดียวกับวันก่อน นั่นคือ ผมนั่งทำตัวเป็นอากาศอันว่างเปล่า ดูเวชและเพื่อนเล่นสนุ้กเกอร์กันโดยไม่มีสิทธิ์เข้าไปร่วมวงด้วยเพราะว่าเล่นไม่เป็นอีกทั้งไม่มีใครยอมสอนให้ ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจผมเลย แต่ผมคิดว่านั่งอยู่ที่นี่ถึงอย่างไรก็ดีกว่ากลับหอพัก ความเหงาทำให้ผมไม่อยากอยู่คนเดียว

“โอย กูเห็นไอ้อูแล้วแทงพลาดหมดเลย” ไอ้เกรียงบ่นเสียงดัง

“อะไรวะ ก็นั่งอยู่เฉยๆ” ผมนึกว่ามันมองไม่เห็นผมเสียอีก ที่แท้ก็ยังเห็นอยู่

“เห็นมึงนั่งเรียบร้อยแล้วกูนึกว่ายังอยู่ในห้องเรียน แทงพลาดหมดเลย” เกรียงพูด เหตุผลโคตรไร้สาระทำให้ผมอดนึกถึงนิทานเรื่องหมาป่ากับลูกแกะไม่ได้

เกรียงเดินมาที่ผม จากนั้นยื่นบุหรี่ให้ “เอ้า ดูดซะ อย่ามาทำเป็นเด็กเรียนแถวนี้ ทำตัวให้เหมือนพวกเราหน่อย”

ทีแรกผมจะปฏิเสธ แต่คำพูดที่บอกว่าให้ทำตัวเหมือนพวกมันทำให้ผมฉุกคิด ถ้าผมทำตัวไม่กลมกลืนกับมัน อีกหน่อยมันคงไม่ยอมให้ผมมาด้วยเป็นแน่

ผมยื่นมือรับบุหรี่ที่ดูดแล้วจากเกรียงอย่างว่าง่าย จากนั้นก็ใส่ปากดูดและพ่นควันออกมา ที่จริงมันก็ไม่ยากอะไร แค่ดูดแล้วพ่น

“ไอ้ห่า” เกรียงด่าผม “ดูดยังงี้เสียของหมด กลืนควันลงปอดสิวะ”

“กลืนยังไงวะ” ผมพยายามไม่เข้าใจที่มันพูด สายตาเหลือมมองไปที่เวช ถ้าเวชปรามเกรียงไว้ มันคงไม่บังคับผม แต่ทว่าเวชมองผมด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“ดูดเข้าไป แล้วหายใจควันเข้าไปในปอด ไอ้เซ่อ” เกรียงพูดอีก

เอาก็เอาวะ ในเมื่อเลี่ยงไม่ได้ ผมจึงลองสูบใหม่และกลืนควันลงปอดดู เมื่อควันบุหรี่ผ่านลำคอลงไปในปอดเป็นครั้งแรก ผมก็สำลักควันออกมาทันที ผมไอจนตัวโยน

“เออ นั่นแหละ ถูกต้อง” เกรียงพูดอย่างพอใจ “เอ้า ลองใหม่ อ่อนหัดนักนะมึง”

คำพูดสบประมาทของไอ้เกรียงที่ทำให้ผมเกิดทิษฐิขึ้นมา มึงสูบได้กูก็ต้องสูบได้

เมื่อหยุดไอ ผมลองสูบอีกคำหนึ่ง คราวนี้ค่อยๆปล่อยให้ควันบุหรี่ล่วงล้ำเข้าไปในปอดทีละน้อย กลืนควันไปได้หน่อยนึงก็สำลักควันและไอออกมาอีก แต่คราวนี้ไม่รุนแรงนัก

ผมพักนิดหนึ่ง จากนั้นลองดูดต่อ ดูดอีกสี่ห้าคำจนในที่สุดปอดของผมก็เริ่มคุ้นกับควันบุหรี่ ในที่สุดผมก็สามารถกลืนควันเข้าไปได้ทั้งคำ

“ดีมาก” เกรียงพูดอย่างพึงพอใจ “สูบให้หมดเลย มวนนี้กูยกให้มึง”

ไอ้ห่าเอ๊ย ผมด่ามันในใจ บุหรี่เปื้อนน้ำลายมึง ใช่ว่ากูจะอยากสูบ ใจหนึ่งคิดด่า แต่อีกใจหนึ่งก็อิ่มเอมอยู่ไม่น้อยที่ผมทำให้มันยอมรับได้

ผมส่งบุหรี่เข้าปากอีก บุหรี่ยังไม่หมดมวน คงดูดได้อีกหลายคำ

“เฮ้ย พอแล้ว อย่าแกล้งมันอีกเลย” เวชพูดขึ้นมา จากนั้นก็หันหน้ามาพูดกับผม “ไอ้อู เลิกดูดได้แล้ว”

“กูดูดเป็นแล้ว ดูดให้หมดก็ได้” ผมพูด ไม่อยากให้เกิดปัญหากับไอ้เกรียง ไม่รู้เหมือนกันว่ามันแกล้งผมตรงไหน

เวชแย่งบุหรี่ที่มือผมไป “เดี๋ยวก็ตายห่าหรอกไอ้อู มึงนั่งเฉยๆเดี๋ยวก็รู้”

ไอ้เกรียงหัวเราะ หลังจากนั้นพวกมันก็เล่นสนุ้กกันต่อ ปล่อยผมนั่งอยู่โดยไม่สนใจ

ผมนั่งได้ครู่เดียวก็รู้สึกมึนหัว แรกๆก็มึนนิดหน่อย จากนั้นอาการก็รุนแรงขึ้น ผมรู้สึกเวียนหัวอย่างมาก เหมือนกับนั่งถ้วยหมุนในสนามเด็กเล่นแล้วหมุนไปสักร้อยรอบ ผมรู้สึกคลื่นไส้อย่างรุนแรง

ตอนนี้เริ่มเข้าใจแล้วว่าที่เวชพูดหมายถึงอะไร ไอ้เกรียงคงตั้งใจจะแกล้งผม ผมพยายามเก็บงำอาการเมาบุหรี่เอาไว้ ถ้าแสดงความอ่อนแอออกมาพวกมันคงดูถูกผมแย่

ผมพยายามสะกดความคลื่นไส้เอาไว้ มันเป็นความรู้สึกที่ทรมานมาก แต่ในที่สุดก็เอาไม่อยู่ ผมพยายามยืนขึ้นเพื่อจะเดินไปหาที่อ้วก แต่พอยืนขึ้นผมก็รู้สึกว่าแผ่นดินหมุนไปหมดจนยืนไม่ไหว ผมทรุดตัวลงนั่งคุกเข่ากับพื้น จากนั้นก็อ้วกออกมา อ้วก อ้วก และอ้วก... อ้วกจนไม่มีอะไรออกมานอกจากน้ำย่อยเหนียวๆรสชาติขมขื่น

Monday, November 23, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 32

โต๊ะสนุ้กเกอร์ที่เวชและพวกไปเล่นกันโดยมีผมติดตามไปด้วยซ่อนตัวอยู่ที่ชั้นบนของห้องแถวสภาพเก่าแก่ในย่านปากคลองตลาด ที่จริงตึกแถวในย่านนั้นก็มีแต่ตึกแถวเก่าทั้งนั้น จะเก่ามากหรือเก่าน้อยเท่านั้นเอง นอกจากเก่าแล้วยังไม่ค่อยปรับปรุงรักษาสภาพเอาเสียเลย จึงแลดูทรุดโทรม

ห้องเล่นสนุ้กมีสภาพอับทึบ หน้าต่างที่เปิดอยู่บานเล็กนิดเดียว ภายในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นบุหรี่ ตรงกลางห้องตั้งโต๊ะสนุ้กเกอร์ ผนังห้องด้านหนึ่งตั้งชุดรับแขกอันประกอบด้วยโซฟาเก่าๆสี่ห้าตัวพร้อมด้วยโต๊ะเตี้ยๆ ส่วนอีกด้านหนึ่งก็วางข้าวของเอาไว้ระเกะระกะ

เมื่อเวชและพวกขึ้นถึงชั้นบน เรื่องแรกที่ทำก็คือเอาชายเสื้อออกมานอกกางเกง จากนั้นก็เวชก็ควักบุหรี่ออกมาจากกระเป๋านักเรียน แบ่งกันสูบคนละมวน

“เอ้า ดูดเป็นหรือเปล่า” เวชยื่นซองบุหรี่มาให้ผม

ผมสั่นหัว “ไม่อะ ขอบใจ นั่งดูก็พอ”

หลังจากเล่นไปได้สักพัก เวชก็ซื้อเบียร์กระป๋องมาดื่ม ตอนนั้นเครื่องดื่มกระป๋องอลูมิเนียมไม่ว่าจะเป็นน้ำอัดลมกระป๋องหรือเบียร์กระป๋องกำลังเริ่มเป็นที่นิยม วัยรุ่นชอบซื้อมาดื่มเพราะว่าเท่ดี ในตอนนั้นยังไม่มีโรงงานผลิตกระป๋องอลูมิเนียมในไทย ต้องนำเข้ากระป๋องเปล่าจากสิงคโปร์

ตอนนั้นเพิ่งฟื้นจากไข้ ผมจึงไม่อยากดื่มของแช่เย็น ก็เลยไม่ได้ซื้อเครื่องดื่มอะไร ที่จริงเมื่อก่อนไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้เลย เมื่อไม่สบายอยากกินอะไรก็จะกิน พ่อแม่ห้ามก็ไม่ฟัง แต่พอจำเป็นต้องดูแลตัวเอง อะไรที่พ่อแม่เคยสอนเอาไว้ผมเอามาใช้หมด เพราะไม่อยากมีปัญหาและต้องกลับไปเรียนที่บ้านอีก

ผมนั่งดมควันบุหรี่อยู่ในห้องนั้นจนค่ำ นั่งดูเวชและเพื่อนๆเล่นสนุ้กเกอร์ ดูไปก็ไม่รู้ว่าเล่นยังไงเพราะไม่มีใครสอน จึงไม่รู้ว่าสนุกตรงไหน แต่ก็ยังดีที่ได้ฆ่าเวลา

ประมาณหนึ่งทุ่ม พวกเราทั้งหมดก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ผมก็นั่งรถเมล์กลับหอ กว่าจะถึงหอพักก็ราวสองทุ่ม แวะกินอาหารร้านประจำ จากนั้นก็เดินเข้าหอพักไป

ที่ร้านชั้นล่างตอนนั้นไม่พลุกพล่าน มีคนในหอยืนโทรศัพท์อยู่เพียงคนเดียว ส่วนอีกคนก็คือแป๋งซึ่งคอยเฝ้าร้านแทนพี่พร วันนั้นแป๋งใส่ชุดนักเรียน เพิ่งเคยเห็นแป๋งอยู่ในชุดนักเรียนก็วันนี้เอง ดูไปก็น่ารักดี

“เฮ้ย อู กลับดึกจัง” แป๋งทักทายด้วยสีหน้ายิ้มระรื่น “นี่นายเรียนภาคค่ำเหรอ”

“เปล่า ภาคค่ำมีที่ไหน” ผมตอบ รู้ดีว่าถูกแซว “แวะไถลหน่อยน่ะ”

ว่าแล้วผมก็เดินผ่านแป๋งเพื่อนจะขึ้นตึกไป แต่แป๋งดึงแขนเสื้อของผมเอาไว้ โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้แล้วทำจมูกฟุดฟิด

“เฮ้ย นี่นายดูดบุหรี่เหรอ” แป๋งกระซิบถาม

“เปล่าดูด” ผมตอบ รู้สึกแปลกใจที่จู่ๆแป๋งก็ถามเรื่องนี้ขึ้นมา

“ไม่ต้องมาโกหก” แป๋งทำสีหน้าจริงจัง “กลิ่นติดเสื้อแบบนี้ต้องไปดูดบุหรี่ในห้องส้วมหลังเลิกเรียนแน่นอน นี่ต้องระดับสิงห์อมควันเสียด้วย”

แป๋งพูดอย่างจริงจังจนผมอดหัวเราะไม่ได้ ดูท่าทางมันแน่ใจเอามากว่าผมดูดบุหรี่ แถมยังระบุได้ละเอียดว่าดูดในส้วมเสียอีกด้วย

“ทำไมนายคิดยังงั้นล่ะ” ผมถาม

“ยังจะทำไก๋อีก” แป๋งทำเสียงดุ “ก็กลิ่นบุหรี่ที่ติดเสื้อนี่ไง ถ้านายสูบในที่กว้าง กลิ่นจะไม่ค่อยติดเสื้อ ต้องสูบในห้องแคบๆอย่างเช่นห้องส้วม กลิ่นจึงจะติด และถ้ากลิ่นแรงขนาดนี้แสดงว่าต้องดูดไปหลายตัว โห ไอ้อูนี่ร้ายโว้ย”

“นายเคยดูดบุหรี่ในส้วมเหรอ ถึงได้รู้ดีขนาดนี้” ผมถามแป๋งบ้าง รู้สึกทึ่งกับการคาดการณ์ของมัน ถึงแม้ว่าจะไม่ถูกก็ตาม

“ก็เออดิ” แป๋งพยักหน้า แล้วทำหน้าทะเล้น “ต้องระวังตัว เพราะถ้ากลิ่นติดเสื้อมาแม่เราจะจับได้”

“เราไม่ได้สูบ แค่ไปดูเพื่อนมันเล่นสนุ้กกัน พวกมันสูบบุหรี่กัน กลิ่นเลยติดมา” ผมอธิบาย

แป๋งทำสีหน้าเหมือนไม่ค่อยอยากจะเชื่อ แต่จะเชื่อหรือไม่เชื่อผมก็ไม่ได้สนใจ เพราะว่าคงไม่มีผลอะไรเนื่องจากไม่มีใครมาคอยควบคุมความประพฤติของผม

- - -

การใช้เวลายามเย็นจนถึงค่ำกับเวชและพวกดูเหมือนจะเป็นการฆ่าเวลาที่ไม่เลว เพราะมันทำให้ผมรู้สึกว่าชีวิตมีสีสันที่แปลกใหม่เพิ่มเติ่มขึ้นมา อีกทั้งทำให้ความรู้สึกเงียบเหงาของผมลดทอนลงไปได้บ้าง

วันถัดมา ผมไปถึงโรงเรียนแต่เช้าเพื่อไปลอกการบ้าน เวชรักษาคำพูดโดยหาต้นฉบับมาให้ผมลอกได้จริงๆ งานที่ดูเหมือนจะใช้เวลากลับกลายเป็นของง่าย ที่จริงก่อนหน้านี้ผมก็เคยลอกการบ้านเพื่อนอยู่เป็นประจำ แต่ในครั้งนี้ผมรู้สึกชื่นชมมันเป็นพิเศษ

วันนั้นเป็นวันที่สหกรณ์เริ่มเปิดทำการเป็นวันแรกของเทอมปลาย พอถึงตอนพักเที่ยง ผมรีบเดินไปที่สหกรณ์โดยที่ยังไม่ได้กินอาหาร เพราะว่าน้อง ม.ต้น จะเข้าเรียนภาคบ่ายตอนเที่ยงครึ่ง หากผมมัวแต่กินอาหารอาจจะไม่ทันเที่ยงครึ่งก็ได้

ที่สหกรณ์ เนื่องจากเป็นเวลาหลังเที่ยงไม่นาน จึงยังไม่มีนักเรียน ม.ปลาย คนใดอยู่ในห้อง มีแต่ ม.ต้นทั้งนั้น เมื่อผมเดินเข้าไปก็ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยทักผมทันที

“อ้าว พี่อู วันนี้มาไวจัง” เจ้าของเสียงยืนยิ้มแฉ่งเห็นฟันขาว บอยนั่นเอง

หมู่นี้ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ผมนึกถึงไอ้บอยบ่อยๆ บางทีอยู่ดีๆก็นึกถึงมันขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ รู้สึกอยากเจอ อยากคุยกับมัน แต่ก็ไม่กล้าไปหามันที่ห้อง ต้องอาศัยเจอมันที่สหกรณ์

“ฮื่อ มาดูหนังสือน่ะ ว่าจะเอาไปอ่านสักหน่อย” ผมพยายามวางมาด

“พี่อูจะเช่าเธอกับฉันหรือว่าวัยหวานดีล่ะ” ไอ้น้องบอยถามพลางทำสีหน้ากวน

ผมสะดุ้ง เพราะว่าในนั้นมีแต่น้อง ม.ต้น อีกทั้งเสียงไอ้บอยก็ไม่เบา ถ้าพวกรุ่นน้องคิดว่าผมมาเช่าวัยหวานจริงๆผมคงเสียหน้ามาก

“เดี๋ยวโดนเตะแน่ไอ้บอย” ผมกระซิบ

บอยหัวเราะ ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่ผมว่าบอยรู้สึกดีใจที่ได้เจอผม

“อะอะ ไม่แกล้งพี่อูแล้ว” บอยพูด “พี่จะเช่าอะไรล่ะ”

“เย็นนี้มีเวรหรือเปล่า” ผมไม่ได้ตอบคำถามของบอย

บอยทำตาโต “มีกินฟรีเหรอ ว่างครับ”

“ไอ้เปรต ยังไม่ได้บอกเสียหน่อยว่ากินฟรี” ผมพูด

“เฮอะ ไม่รู้จักหน้าที่อีกแล้ว” บอยย้อน แกล้งทำสีหน้าไม่พอใจ ผมเห็นหน้ามันแล้วอดนึกถึงใครบางคนไม่ได้ ถึงใบหน้าของทั้งสองคนนี้จะไม่ได้ละม้ายคล้ายคลึงกัน แต่ความรู้สึกของผมมักเชื่อมโยงบอยไปถึงคนผู้นั้นเสมอ...

ไม่เอา ไม่คิด ผมรีบสลัดความคิดคำนึงออกไป ผมต้องพยายามลืม... ต้องลืมให้ได้...

“บ่ายสี่เจอกันที่โรงอาหารนะ” ผมพูดกับบอยเบาๆ จากนั้นก็เดินออกจากสหกรณ์โดยไม่ได้เช่าอะไรเลย ที่จริงผมก็ไม่ได้ตั้งใจมาเช่าหนังสืออยู่แล้ว

ผมเดินไปตามระเบียงอันยาวเหยียด จากนั้นก็มาหยุดอยู่ที่หน้าห้องธุรการ และเดินเข้าไป

ไม่มีจดหมายมาถึงผม ไม่ว่าจะเป็นจดหมายใหม่ๆหรือว่าจดหมายที่ผมเขียนและถูกส่งกลับคืนมา หลายเดือนมานี้ผมรอจดหมายจนสิ้นหวังแล้ว...

- - -

“โอ๊ย กูรำคาญไอ้เหี้ยสองตัวนี่จริงๆ” ไอ้กี้บ่นระหว่างคาบ ขณะที่พวกนักเรียนกำลังรออาจารย์ ไอ้เหี้ยสองตัวที่ไอ้กี้พูดถึงก็คือนนและแมน จอมมารดำขาวที่นั่งติดกับมันนั่นเอง

ขณะที่ผมกำลังหวนคิดถึงประสบการณ์ที่ได้พบกับบอยเมื่อวาน ยิ่งนานวันดูเหมือนบอยจะยิ่งน่ารักขึ้น ขณะที่ผมกำลังรู้สึกอบอุ่นและอิ่มเอมกับความรู้สึกดีๆที่เริ่มก่อตัวขึ้นกับบอย พลันเสียงด่าของได้กี้ก็กระชากให้ผมตื่นจากภวังค์

ผมชะโงกหน้าไปดู เห็นแมนและนนกำลังนั่งหัวเราะกิ๊กกั๊ก และเมื่อมองต่ำลงไปก็พบว่ามือของคนทั้งสองกำลังขยำเป้ากางเกงของกันและกันอยู่โดยไม่สนใจกับสายตาของเพื่อนฝูง

“แม่ง โคตรอุบาทว์เลย” ไอ้กี้บ่นให้ผมได้ยิน ว่าแล้วก็หันไปทางจอมมารดำขาว “ทำไมพวกมึงไม่อัดถั่วดำกันเสียเลยวะ”

“เดี๋ยวดิ รอให้เลิกเรียนก่อน” นน จอมมารดำตอบอย่างอารมณ์ดี ส่วนแมนก็หัวเราะขำ

“กูยอมแพ้มัน โคตรหน้าด้านเลย” ไอ้กี้พูดไปหัวเราะไป

ผมฟังไอ้กี้พูดด้วยความรู้สึกแปลกๆ ไอ้กี้ดูเหมือนจะรังเกียจพฤติกรรมแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้พูดจารุนแรงกับนนและแมน แต่เมื่อพูดกับผม แม้เป็นเรื่องผิดพลาดเล็กน้อยของผม มันก็มักด่าด้วยเสียงอันดัง เหตุผลที่พอจะอธิบายได้และเท่าที่ผมจะนึกออกก็คือไอ้สองคนนี้มันเรียนเก่ง โดยเฉพาะแมนเรียนเก่งเป็นอันดับต้นๆของห้อง ใครที่เรียนเก่งเพื่อนๆก็มักให้ความนับถือและเกรงใจ

ผมอดทึ่งในความใจกล้าของไอ้สองคนนี้ไม่ได้ แม้เมื่อตอนเป็นเด็กผมจะทำอะไรที่โลดโผนในกลุ่มเพื่อนเช่นกัน แต่นั่นมันก็นานมาแล้ว พอเรียนมัธยมแล้วผมก็ไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นอีก ประสบการณ์ตั้งแต่มัธยมต้นได้สอนให้ผมต้องปกปิดความรู้สึกภายในเอาไว้ ไม่สามารถบอกให้ใครรับรู้ได้ เพราะมันเป็นความผิดปกติที่สังคมไม่ยอมรับ แต่กับนนและแมน ดูเหมือนว่ามันจะหลุดพ้นจากข้อจำกัดนั้น...

เสียงด่าและท่าทีของไอ้กี้ที่มีต่อนนและแมนทำให้ผมไม่กล้าคิดต่อไปว่าความสัมพันธ์ของผมและบอยจะพัฒนาต่อไปอย่างไร และจะมีจุดปลายเป็นเช่นไร...

- - -

คาบถัดมาเป็นวิชาคณิตศาสตร์ของอาจารย์พิกุล วันนี้อาจารย์พิกุลดูใจลอย ไม่ค่อยมีสมาธิในการสอน

“อาจารย์ไม่สบายหรือเปล่าครับ” นักเรียนที่นั่งอยู่แถวหน้าถามอาจารย์ เพราะเห็นอาจารย์สอนแล้วหลงไปหลงมา

“เปล่าหรอกจ้ะ” อาจารย์พิกุลตอบ

“อาจารย์ แล้วรถอาจารย์เป็นไงบ้างครับ” นักเรียนถาม ไม่รู้ว่าพยายามชวนคุยหรือว่าเพราะอยากรู้

“เฮ้อ อย่าไปพูดถึงมันเลย” อาจารย์พุกุลถอนหายใจ “ตอนนี้ล็อกรถไม่ได้ เลยไม่กล้าจอดแวะที่ไหน กลัวหาย ได้แต่จอดที่บ้านกับที่โรงเรียนนี่แหละ”

“อาจารย์ทำไมไม่ซ่อมเสียทีละครับ” นักเรียนอีกคนถามบ้าง

“ก็เนี่ย” อาจารย์พุกุลทำเสียงเศร้า “เงินเดือนครูใช่ว่าจะมากมาย ค่าซ่อมมันก็หลายเงินอยู่ ครูก็พยายามจะเปียแชร์มาจะได้ซ่อม แต่ก็เปียไม่ได้ ตอนนี้คงยังซ่อมไม่ได้หรอก ต้องรอเปียแชร์ได้ก่อน แต่ถ้าไม่ซ่อม ครูก็กลัวว่าล็อกรถไม่ได้แล้วมันจะหาย”

“อาจารย์แจ้งตำรวจหรือเปล่าครับ เผื่อตำรวจจะหาคนทำได้” เสียงเวชตะโกนมาจากหลังห้อง

“จะไปแจ้งอะไร้” อาจารย์พิกุลตอบด้วยเสียงอ่อนๆ ไม่เข้มเหมือนทุกครั้งที่พูดกับเวช บางทีอาจารย์อาจลืมไปก็ได้ว่ากำลังพูดกับใครอยู่ “มองไปทางไหนก็ลูกศิษย์ทั้งนั้น ครูทำไม่ลงหรอก”

อาจารย์นิ่งไปอึดใจหนึ่ง แล้วจึงพูดต่อ “ครูเป็นครูมาหลายสิบปีแล้วนะ ที่เลือกเรียนครูเพราะว่ารักที่จะเป็นครู อยากสอนลูกศิษย์ พอจบมาก็เป็นครูโดยไม่เคยคิดเปลี่ยนไปทำอาชีพอื่นเลย แต่ไม่นึกเลยว่าลูกศิษย์จะทำกับครูขนาดนี้...”

ตอนท้ายเสียงอาจารย์พิกุลกลับกลายเป็นเสียงเครือ น้ำตาไหลอาบร่องแก้ม นักเรียนทั้งห้องเงียบสนิท

“อาจารย์แจ้งตำรวจไปเถอะครับ จะได้เอามันให้เข็ด” เวชพูดทำลายความเงียบขึ้น วันนี้ดูมันพูดแปลกๆชอบกล

“ช่างเถอะ ถึงยังไงก็ลูกศิษย์ ครูอโหสิให้...” อาจารย์พิกุลส่ายหน้า หยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา แล้วพูดตัดบท “มา... เรามาเรียนกันต่อดีกว่า”

“อาจารย์ครับ ผมเป็นคนทำเอง” ได้ยินเสียงเวชพูด


<ห้องเล่นสนุ้กมีสภาพอับทึบ หน้าต่างที่เปิดอยู่บานเล็กนิดเดียว ภายในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นบุหรี่ ตรงกลางห้องตั้งโต๊ะสนุ้กเกอร์ ผนังห้องด้านหนึ่งตั้งชุดรับแขกอันประกอบด้วยโซฟาเก่าๆสี่ห้าตัวพร้อมด้วยโต๊ะเตี้ยๆ ส่วนอีกด้านหนึ่งก็วางข้าวของเอาไว้ระเกะระกะ>

Wednesday, November 18, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 31

ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตนเองนอนอยู่คนเดียวในห้องของพี่ธิต เมื่อดูนาฬิกาจึงทราบว่าเป็นเวลาเก้าโมงกว่าแล้ว พี่ธิตออกไปทำงานนานแล้วโดยทิ้งยาลดไข้เอาไว้ให้ ๒ เม็ด และเขียนข้อความสั่งเอาไว้ว่าเมื่อออกจากห้องให้ผมล็อกห้องให้ด้วย และให้ผมไปซื้อยาที่ร้านขายยามาอีก เผื่อจำเป็นต้องใช้ เนื่องจากที่ห้องของพี่ธิตมียาเหลืออยู่เพียงเท่านี้

เก้าโมงกว่า ป่านนี้โรงเรียนเข้าไปนานแล้ว แม้อาการปวดหัวจะบรรเทาลง แต่ก็ยังรู้สึกอ่อนเพลียอยู่ ผมจึงตัดสินใจหยุดเรียนหนึ่งวัน

ผมล็อกห้องของพี่ธิต จากนั้นลงไปที่ห้องของตนเอง กินยาที่พี่ธิตทิ้งไว้ให้ จากนั้นก็นอนต่อ กว่าจะตื่นมาอีกทีก็เป็นเวลาเที่ยงกว่าแล้ว

ผมเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อยืดกางเกงขาสั้น แค่เปลี่ยนชุดเท่านั้น ไม่กล้าอาบน้ำ กลัวกลับเป็นไข้อีก จากนั้นจึงเดินลงไปชั้นล่าง แวะซื้อยาลดไข้ที่ชั้นล่าง แต่วันนั้นยาลดไข้หมด ผมจึงแวะกินอาหารก่อน จากนั้นก็เดินออกไปยังปากซอยเพื่อไปยังร้านขายยา

ที่ปากซอยภาวนามีร้านขายยาอยู่หลายร้าน ปกติผมไม่ได้เข้าร้านขายยาเลยเพราะไม่ค่อยป่วย พอมาป่วยในครั้งนี้จึงคิดจะเดินไปซื้อยาที่ร้าน แต่คิดไปคิดมาก็ไม่กล้าเดินไปที่ซอยภาวนาเพราะเกรงว่าอาจเจอคุณป้าได้ ถ้าเป็นตอนเช้าตรู่คุณป้าจะยังอยู่ที่บ้าน ผมจึงกล้าเดินไปขึ้นรถเมล์เพื่อไปโรงเรียนได้อย่างสบายใจ แต่ถ้าเป็นตอนกลางวันแล้วผมก็ไม่กล้าเดินผ่านเพราะเกรงว่าจะเจอคุณป้า เจอกันแล้วก็ทำตัวไม่ถูก รู้สึกไม่กล้าสู้หน้า

ผมจึงเดินไปซื้อยาทางด้านซอยลาดพร้าว ๒๓ จำได้ว่าแถวนั้นก็มีร้านขายยาอยู่หลายร้านเหมือนกัน แม้จะไม่มากเท่าที่ปากซอยภาวนา แต่แค่ซื้อยาลดไข้ที่ร้านไหนก็คงมี

ร้านขายยาที่ซอยลาดพร้าว ๒๓ หรือซอยวิทยาลัยครูจันทรเกษม ทุกร้านอยู่ในสภาพที่เงียบเหงา ผมเลือกเดินเข้าไปในร้านหนึ่ง

“เอาอะไร” คนขายหญิงวัยใกล้ห้าสิบที่นั่งทำหน้าเบื่อหน่ายอยู่หลังเคาน์เตอร์กระจกที่วางโชว์ยาต่างๆเอ่ยถามด้วยเสียงห้วนๆ ดูจากบุคลิกแล้วน่าจะเป็นเจ้าของร้าน

“เอาดีคอลเจน ๒ แผงครับ” ผมตอบ

“เป็นหวัดเหรอ เอายาชุดดีกว่า กินสักสองสามวันก็หายแล้ว” เจ้าของร้านพูดพลางหยิบยาที่บรรจุอยู่ในซองพลาสติกมาอวดให้ผมดู ในนั้นมียาเป็นแคปซูลสีสันสดใสอยู่หลายเม็ด พลางสำทับด้วยสรรพคุณอันยอดเยี่ยม “กินครั้งละซอง วันละสองสามครั้ง กินแล้วทำให้ไข้หาย น้ำมูกหาย เจ็บคอก็หาย กินข้าวได้ กินไม่กี่วันก็หายหวัด ดีกว่าดีคอลเจนอีก”

ในยุคนั้นเป็นยุคที่ยาชุดเฟื่องฟู แม้ว่าตามกฎหมายแล้วร้านขายยาทุกร้านจะต้องมีเภสัชกรประจำเพื่อคอยให้คำแนะนำในการใช้ยา แต่ในทางปฏิบัติ ร้านขายยาส่วนใหญ่ไม่มีเภสัชกรประจำ จะมีก็เพียงแค่ป้ายชื่อแขวนเอาไว้เท่านั้น และในเมื่อตัวเภสัชกรไม่อยู่ ผู้ที่คอยให้คำแนะนำในการใช้ยาก็คือคนขายหรือว่าเจ้าของร้านนั่นเอง ซึ่งเรามักเรียกกันว่า หมอตี๋ หมอตี๋นี้หมายถึงคนขายยาที่ให้คำแนะนำการใช้ยาโดยไม่มีความรู้ เพราะไม่ได้ศึกษามา เน้นขายเอาเงินเป็นหลัก จะเรียนจบอะไรมาหรืออาจไม่ได้เรียนอะไรมาเลยลูกค้าก็ไม่อาจรู้ได้ แต่ลูกค้าส่วนใหญ่ก็มักให้ความเชื่อถือ เพราะคิดว่าอย่างน้อยก็ขายยามานาน น่าจะมีประสบการณ์และความรู้เกี่ยวกับยาพอสมควร

หมอตี๋มักคู่กับยาชุด ยาชุดที่ว่าก็คือยาที่ทางร้านจัดใส่ซองเอาไว้เป็นชุดๆสำเร็จรูป ใช้สำหรับรักษาโรคหรืออาการต่างๆ ยาชุดตามร้านขายยาเหล่านี้เป็นที่นิยมมาก เพราะคนส่วนใหญ่เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยเล็กน้อยก็พึ่งร้านขายยา ไม่พึ่งหมอ เพราะการไปหาหมอแต่ละครั้งเสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย และนอกจากนี้ ยาชุดเหล่านี้มักมีประสิทธิผลอันรุนแรง กินไม่นานก็รู้สึกว่าเห็นผลทันใจ จึงเป็นที่นิยม

ยาชุดที่ได้รับความนิยมมักเป็นยาชุดแก้หวัด มักมีส่วนประกอบของยาปฏิชีวนะ ยาต้านอักเสบ สเตียรอยด์ นอกจากนี้ก็มียาชุดแนวบำรุงพวกยาประดง ยาชุดอ้วน ซึ่งก็มีส่วนผสมของยากลุ่มเสตียรอยด์และยาอันตรายอื่นๆ กินแล้วแลดูอ้วนขึ้นจริง แต่เกิดจากอาการบวมน้ำ ไม่ใช่อ้วนตามธรรมชาติ อีกทั้งผลที่ตามมาก็คือกระดูกผุ กระเพาะทะลุ ภูมิคุ้มกันเสื่อม ไขกระดูกฝ่อ ซึ่งอาจถึงตายได้ ในยุคนั้นยังไม่ค่อยได้ยินยาชุดลดความอ้วน ได้ยินแต่ยาชุดทำให้อ้วน อีกหลายปีต่อมาจึงมาถึงยุคที่นิยมยาชุดลดความอ้วนกัน ซึ่งยาชุดลดความอ้วนนี้ถ้าทราบสูตรแล้วจะต้องหนาว เพราะไม่น่าเชื่อว่าใครกินเข้าไปแล้วจะรอดชีวิตมาได้

“ไม่ละครับ” แค่เห็นสีสันก็ไม่กล้าซื้อแล้ว ผมส่ายหัว ผลักซองยาชุดซึ่งภายในบรรจุแคปซูลหลากสีสวยสดคืนหมอตี๋เจ้าของร้านหญิงวัยห้าสิบ ซึ่งไม่ใช่ทั้งหมอ อีกทั้งไม่ตี๋ “เอาดีคอลเจนก็พอครับ”

เจ้าของร้านทำปากจิ๊กจั๊ก บ่นพึมพำเพราะไม่พอใจที่ผมไม่อุดหนุนยาชุดของแก เนื่องจากยาชุดมีราคาค่อนข้างแพง และขายได้กำไรดีกว่ามาก แต่ก็หยิบดีคอลเจนให้ เมื่อผมได้ยาแล้วก็รีบกลับมาที่ห้องพัก กินยาและนอนต่อ

ผมนอนซมจากพิษไข้ หลับๆตื่นๆ พอหลับก็ฝันร้าย พอตื่นก็เหมือนกับว่าตื่นไม่เต็มที่ มึนๆ คิดโน่นคิดนี่ฟุ้งซ่าน โดยเฉพาะคิดถึงเรื่องเก่าๆเกี่ยวกับไอ้นัย ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิดและตำหนิตนเอง แม้อยากจะหยุดคิดแต่ก็หยุดไม่ได้

ดูเหมือนว่านาฬิกาในวันนั้นจะเดินเชื่องช้าเป็นพิเศษ ผมนอนอยู่ในห้องหนึ่งวันราวกับนอนอยู่หนึ่งสัปดาห์ กว่าจะผ่านพ้นวันนั้นมาได้ แม้ว่าอาการป่วยของผมจะทุเลาขึ้น แต่สภาพจิตใจกลับบอบช้ำ รอยแผลในอดีตที่ผมพยายามรักษาด้วยกาลเวลากลับถูกคุ้ยเขี่ยขึ้นมาอีก…

- - -

ผมนอนพักได้เพียงวันเดียววันรุ่งขึ้นก็พยายามไปโรงเรียน ที่ไม่ยอมนอนพักต่อเพราะว่าไม่กล้านอน กลัวว่าจะต้องเผชิญกับฝันร้ายและความคิดอันฟุ้งซ่านอีก ผมไปโรงเรียนด้วยอาการอ่อนเพลียพร้อมทั้งอาการคัดจมูกน้ำจมูกไหลเล็กน้อย

เมื่อไปถึงโรงเรียน สิ่งแรกที่ผมเห็นก็คือ ที่ถนนหลังตึกเรียนซึ่งเป็นที่จอดรถของพวกอาจารย์มีคนมุงกันอยู่กลุ่มใหญ่

ผมเดินเข้าไปดูบ้างด้วยความสนใจใคร่รู้ ก็พบว่ามีคนกำลังมุงรถเก๋งเก่าคร่ำคร่าคันหนึ่งอยู่ อาจารย์พิกุลยืนอยู่ข้างรถ และมีอาจารย์ชายคนหนึ่งกำลังนั่งยองๆดูรูกุญแจที่ประตูรถอยู่

“คงเป็นกาวซีเมนต์ครับ แคะก็ไม่ออก ละลายก็ไม่ได้” อาจารย์ชายผู้นั้นยืนขึ้นและพูดกับอาจารย์พิกุล “ไม่รู้จะทำไงเหมือนกัน คงต้องเปลี่ยนมือจับทั้งชุดสี่ข้างเลย”

อาจารย์พิกุลหน้าเสีย ทำหน้าเหมือนกับจะร้องไห้ เมื่อผมสอบถามจากเพื่อนนักเรียนที่ยืนดูอยู่ก็ได้ความว่ารถเก๋งคร่ำคร่าคันนี้เป็นรถยนต์ของอาจารย์พิกุล และถูกคนแกล้งโดยเอากาวซีเมนต์หรือว่ากาวตราช้างหยอดใส่รูกุญแจประตูรถทั้งสี่ข้าง

ปกติรถของอาจารย์ในโรงเรียนที่มีปัญหาถูกแกล้งจะมีอยู่บ้าง ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นกับรถยนต์ของอาจารย์ฝ่ายปกครอง ผู้ที่แกล้งก็มักไม่ใช่ใครอื่น ก็คือนักเรียนในโรงเรียนนั่นเอง คือเป็นการแก้เผ็ดอาจารย์ การแกล้งก็มักจะเป็นการปล่อยลมยาง เอาหมากฝรั่งหรือดินน้ำมันไปอุดที่รูกุญแจประตูรถ แต่อาจารย์พิกุลไม่ใช่อาจารย์ฝ่ายปกครองจึงไม่มีใครคิดว่ารถของอาจารย์จะโดนแกล้ง อีกทั้งการกระทำก็ค่อนข้างรุนแรง โดยการใช้กาวซีเมนต์อุดรูกุญแจซึ่งเมื่อแห้งแล้วจะแข็งตัวจนเอาออกไม่ได้

ผมยืนดูสักพักก็ปลีกตัวมาด้วยความรู้สึกที่เศร้าใจ ทำไมต้องแกล้งกันแรงขนาดนี้ด้วย นึกไม่ถึงจริงๆ

- - -

“ไอ้เหี้ยอูมึงหายไปไหนมาวะ” ไอ้กี้เพื่อนที่นั่งติดกันทักด้วยเสียงหัวเราะเมื่อเห็นผมเดินเข้ามาวางเป้ที่โต๊ะ ดูมันครึกครื้นอยู่เสมอ

“ไม่สบาย” ผมตอบสั้นๆ

“เมื่อวานมีการบ้านฟิสิกส์กับคณิตศาสตร์นะโว้ย ส่งพรุ่งนี้” กี้บอก

ผมฟังแล้วก็เฉยๆ ไม่ได้สนใจมันอีก แต่ไปสนใจฟังเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่งที่กำลังจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องรถของอาจารย์พิกุล จากนั้นผมก็ถามเวชเรื่องการบ้านซึ่งเวชก็บอกว่ายังไม่มีต้นฉบับ แต่พรุ่งนี้เช้าจะเอามาให้ลอก เวลาคุยเรื่องการบ้านกับกลุ่มเวชนี่ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการทำ เพราะว่าไม่ค่อยทำ หาต้นฉบับมาลอกเสียเป็นส่วนใหญ่

เช้าวันนั้นผมเรียนรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างเพราะมีอาการง่วงซึมจากฤทธิ์ยาที่กินมาในตอนเช้า แต่พอตกบ่าย ฤทธิ์ยาก็ค่อยๆคลายตัวลง แต่กว่าที่ผมจะรู้สึกกระฉับกระเฉงขึ้นมาบ้างก็เป็นคาบสุดท้ายของวันแล้ว...

เมื่อคิดถึงว่าอีกสักครู่ผมก็จะต้องกลับไปอยู่ในห้องที่คับแคบอุดอู้อีก จมอยู่กับความรู้สึกผิดและเจ็บปวดกับการลงโทษจากมโนธรรมของตนเอง ผมก็รู้สึกกลัวขึ้นมา

เป็นเวลากว่าหนึ่งปีแล้วที่ไอ้นัยจากไป และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผมก็ต้องจมอยู่กับความรู้สึกผิด มโนธรรมคอยตอกย้ำความผิดของผมอยู่เสมอจนทำให้ผมคิดมากและฟุ้งซ่าน จิตใจถูกกัดกร่อนด้วยอดีตและความรู้สึกที่เจ็บปวด จนมาในช่วงหลังผมจึงค่อยเริ่มรู้สึกทำใจขึ้นมาได้บ้าง แต่อาการป่วยในครั้งนี้กลับทำให้ผมกลับไปคิดมากและฟุ้งซ่านอีก

ผมรู้สึกกลัว กลัวที่จะต้องกลับไปจมอยู่กับความเจ็บปวดอีก... กลัวเสียงจากมโนธรรมที่คอยตำหนิผมอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน... และท้ายที่สุด ความฝันเกี่ยวกับไอ้นัยเมื่อวันก่อนทำให้ผมกลัวว่าไอ้นัยจะเป็นอะไรไป... เมื่อก่อนเมื่อผมคิดถึงไอ้นัย ผมจะรู้สึกเจ็บปวดและรู้สึกผิด แต่นานไปความรู้สึกเจ็บปวดกลับถูกผสมด้วยความหวาดกลัว... จนกลายเป็นว่าผมกลัวที่จะคิดถึงมัน...

ไม่ไหวแล้ว... ผมทนอยู่กับอดีตที่คอยกัดกร่อนชีวิตและจิตใจของผมต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว ถ้าผมทนเผชิญกับมโนธรรมไม่ได้ ผมก็จะต้อง...

หนี!

จำได้ว่าเมื่อตอนปิดเทอม ตอนที่ผมเข้ามาหาที่อยู่ในกรุงเทพฯ ผมกระตือรือร้นขึ้นมามาก ปัญหาที่ผมเผชิญทำให้ผมลืมอดีตไปได้ ถ้าอย่างนั้นผมคงก็ควรจะต้องหาอะไรทำให้ยุ่งๆเข้าไว้ จะได้ไม่มัวไปคิดถึงแต่เรื่องเก่าๆ

นัย กูไม่ไหวแล้วจริงๆ กูเหมือนติดอยู่ในวังวนของความเจ็บปวด ชีวิตไม่รู้จะเดินไปทางไหน กูทนมันต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว กูต้องพยายามลืมมึง... ขอโทษด้วยนะเพื่อน...

- - -

เสียงออดเลิกเรียนดังขึ้น นักเรียนทุกคนเก็บของเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน แต่ผมก็ยังคิดไม่ออกว่าผมควรจะหาอะไรทำดีเพื่อให้ยุ่งเข้าไว้

“เฮ้ย ไอ้เวช ไปตีสนุ้กกัน” เสียงเกรียงเอะอะ

“เออ ดี ไป ไป” เสียงเพื่อนๆสนับสนุน

“ไปดิ กำลังเซ็งๆเหมือนกัน” เวชพูด

ตีสนุ้กที่ว่าก็คือการเล่นสนุ้กเกอร์นั่นเอง สมัยนั้นและยุคก่อนหน้านั้น สนุ้กเกอร์เป็นเกมฮิตอย่างหนึ่งของนักเรียนมัธยมปลาย แต่อาจารย์ฝ่ายปกครองมักไม่ค่อยชอบใจเพราะคิดว่าเป็นการมั่วสุม นักเรียนมัธยมปลายที่เกเรหน่อยมักหนีโรงเรียนหรือใช้เวลาหลังเลิกเรียนที่โต๊ะสนุ้กเกอร์ เล่นสนุ้ก สูบบุหรี่ กินเบียร์ โต๊ะสนุ้กก็หาได้ทั่วไป โดยเฉพาะแถวย่านปากคลองตลาด แต่มักจะหลบอยู่ชั้นบนคือชั้นสองหรือชั้นสาม ไม่ตั้งประเจิดประเจ้ออยู่ชั้นล่างริมถนน

“เอ้อ เวช” ผมพูดกับเวชอย่างอึกอัก “ตีสนุ้กเหรอ ไปด้วยคนได้ไหม”

เวชมองหน้าผมด้วยสีหน้าแสดงความประหลาดใจ เหมือนกับไม่เคยรู้จักผมมาก่อน

“มึงจะไปเล่นสนุ้กเหรอ ตีเป็นด้วยเหรอวะ” เวชถาม

“เปล่า ไม่เป็นหรอก แต่ว่าอยากลองหัดดูน่ะ” ผมพูด

“พวกกูไม่ได้รับสอนโว้ย ตีไม่เป็นมึงไปหัดที่อื่น เสียเวลาเล่นของพวกกู” เกรียงพูดแทรกเสียงดัง

“เออ ถ้ามาหัดให้มึงมันเสียเวลาว่ะ” เวชพูดปฏิเสธด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตรกว่าไอ้เกรียงมาก “แต่ถ้ามึงจะไปนั่งดูละก็ไม่ขัดข้อง”

เป็นอันว่าในที่สุดผมก็มีสถานที่สำหรับฆ่าเวลาหลังเลิกเรียน อย่างน้อยก็ในวันนี้...


<ยาชุดคือยาหลายๆ ชนิดที่จ่ายไปเป็นชุด มักมีการตั้งชื่อหรือโฆษณาสรรพคุณเลอเลิศเกินเลยความจริงหรือถึงขั้นหลอกลวง สมัยก่อนมีขายทั่วไปทั้งในเมืองและในชนบท ยาชุดเหล่านี้ประกอบด้วยยารูปร่างและสีต่างๆ กันชุดละ 3 เม็ดบ้าง บางทีก็มากกว่านั้นไปจนุงชุดละ 9 เม็ด โดยไม่บอกว่าประกอบด้วยยาอะไรบ้าง แต่การศึกษาพบว่ายาเหล่านี้มียาอันตรายหลายอย่าง เช่น ยาพวกสเตียรอยด์ คลอแรมเฟนิคอล เฟนาซิติน คาเฟอีน ยากล่อมประสาท เฟนีย์ลบูตาโซน ไดไพโรน ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่เป็นยาอันตรายและมีผลข้างเคียงทั้งสิ้น เช่น ยาพวกสเตียรอยด์ ทำให้บวม ความดันโลหิตสูง เป็นแผลในกระเพาะอาหาร เป็นเบาหวาน กระดูกผุ กดภูมิต้านทาน ทำให้เป็นโรคติดเชื้อได้ง่ายและรุนแรง คลอแรมแฟนิคอล อาจทำให้ไขกระดูกฝ่อ ไดไพโรน ทำให้เม็ดเลือดขาวต่ำ เม็ดเลือดแตก ไขกระดูกฝ่อ เป็นต้น โดยเฉพาะยาชุดลดน้ำหนักที่มาโด่งดังในยุคหลัง สาวโรงงานนิยมกันมาก ประกอบด้วยยาลดความอยากอาหาร (เป็นยากดการทำงานของสมอง ทำให้ไม่หิว) รักษาไทรอยด์ (เร่งการเผาผลาญในร่างกาย) ยารักษาความดันโลหิตสูง (ใช้ลดอาการใจสั่น) ยาระบาย ยาขับปัสสาวะ (รีดมวลอาหารและน้ำออกจากร่างกาย) ยานอนหลับ (ใช้ลดอาการนอนไม่หลับ) ยาลดการหลั่งของกรดในกระเพาะอาหาร เพียงเห็นตำรับยาก็สยองแล้ว>


<ยาทัมใจ นิยมกันในหมู่ผู้ใช้แรงงานและเกษตรกร ส่วนประกอบหลักในยุคนั้นคือแอสไพริน ฟีนาเซติน และกาเฟอีน หรือที่เรียกว่าสูตรเอพีซี (A.P.C.) ผู้ใช้แรงงานนิยมและเกษตรกรมักกินร่วมกับลิโพวิตัน-ดีเพื่อช่วยให้คลายปวดเมื่อยจากการทำงานหนัก>

Saturday, November 14, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 30

“ทำอะไรอยู่วะ” แป๋งถาม พลางเดินเข้ามาในห้อง

“อ่านหนังสือ” ผมตอบ

“โป๊หรือเปล่า ฮิฮิ” แป๋งถามพลางหัวเราะหน้าทะเล้น

“เปล่าโว้ย” ผมตอบ

หลังจากนั้นเราก็คุยกันอยู่ชั่วครู่ เนื่องจากที่นี่เป็นห้อง ไม่ใช่เป็นบ้าน ดังนั้นจึงไม่มีห้องรับแขก เราสองคนจึงนั่งคุยกันบนเตียง

“จะมาเอาหนังสือคืนน่ะ” แป๋งพูด

ผมหยิบเอาหนังสือโป๊ที่ซุกอยู่ในกองหนังสือมาคืนแป๋ง

“เปื้อนหรือเปล่าวะ” แป๋งพลิกดูหนังสือเหมือนกับจะสำรวจ พลางลดเสียงให้เบาลง “วันนี้ชักว่าวหรือยัง”

ผมส่ายหัวเป็นคำตอบ แป๋งมองมาที่เป้ากางเกงของผม ส่วนผมก็มองไปที่เป้ากางเกงของแป๋ง เห็นมันโป่งพองอย่างอย่างรวดเร็ว

เมื่อผมเห็นเป้ากางเกงที่โป่งพองของแป๋ง ร่างกายของผมก็เกิดอาการเช่นกัน

“แข็งแล้ว” แป๋งพูดพลางเอื้อมมือมาจับท่อนเนื้อที่กำลังแข็งตัวของผม พลางรูดขึ้นลงเบาๆ ผมปล่อยให้แป๋งทำแต่โดยดี

มือของแป๋งเบาและนุ่ม เวลาชักให้ผมทำให้ผมรู้สึกเสียวสบาย แต่ในขณะเดียวกันผมก็รู้สึกว่าหัวหนักๆ ใจหนึ่งรู้สึกไม่อยากทำ อีกใจหนึ่งก็อยากให้ทำ...

ในที่สุดผมก็รูดกางเกงลง ปล่อยให้แป๋งรูดท่อนเนื้อของผมอย่างถนัดมือ ส่วนแป๋งเองก็ถอดกางเกงแล้วเอามือของผมไปจับท่อนเนื้อของมัน เราสองคนช่วยกันรูดอยู่สักพัก

แป๋งโน้มหัวผมลงไปที่ท้องน้อยของมัน ผมพยายามขืน

“อมให้หน่อย นะ” แป๋งพูดพลางทำหน้าอ้อน “อยากลองดูว่ะ”

ผมส่ายหัว “ไม่เอาอะ”

แป๋งไม่ว่าอะไร แต่โน้มหน้าลงมาที่ท่อนเนื้อของผม พลางอ้าปากจะครอบลงไป

ผมรู้ดีว่าแป๋งจะทำอะไร ใจหนึ่งก็รู้สึกอยากให้มันทำให้ เพราะผมไม่ได้เสียวแบบนี้มานานแล้ว แต่ขณะที่แป๋งกำลังจะครอบปากลงไป ก่อนที่สำนึกสายใยสุดท้ายของผมจะขาดลง จู่ๆผมก็รู้สึกผิดกับการกระทำของตนเอง

ผมกระถดตัวหนีจากปากของแป๋ง พลางเอามือดันหัวแป๋งออกไป

“ลองอมให้ไม่เอาเหรอ” แป๋งเงยหน้าขึ้นมาพลางถาม “เสียวนะโว้ย”

ผมส่ายหัว รู้สึกอารมณ์ปั่นป่วนสับสนอย่างบอกไม่ถูก “ชักก็พอแล้วแป๋ง” ผมพูด

เราสองคนไม่พูดอะไรอีก ต่างช่วยกันชักให้กันจนแตกทั้งคู่ กลิ่นคาวคลุ้งเต็มห้อง

หลังจากทำความสะอาดเสร็จ แป๋งก็ใส่กางเกง แล้วทำหน้าทะเล้น

“อะ ฝากน้ำว่าวให้เป็นที่ระลึก” แป๋งพูดพลางเอาทิชชู่เปื้อนน้ำว่าวของมันยัดใส่มือ ผมรีบเอาโยนลงถังขยะ

“เออ เออ เดี๋ยวเอาไปทิ้งให้” ผมพูด

“ไปละ วันหลังมาใหม่” แป๋งหยิบหนังสือโป๊และกล่าวลาด้วยสีหน้าระรื่นก่อนออกจากห้องไป

- - -

หลังจากแป๋งจากไป ผมรู้สึกว่ายังไม่อยากนอนจึงนั่งปล่อยความคิดอยู่ในความมืด นั่งอยู่ต่อไปประมาณชั่วโมง ผมรู้สึกตะครั่นตะครอ หนักหัว เบ้าตาร้อน จิตใจฟุ้งซ่านสับสน

นอนดีกว่า ผมคิด แล้วก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง แต่ทว่านอนไม่หลับ ผมนอนพลิกไปพลิกมา ยิ่งนานยิ่งรู้สึกว่าร่างกายไม่สบาย หนาวสะท้าน คอแห้งผาก ไม่มีแรง และปวดหัว

ตอนนั้นผมรู้ตัวแล้วว่าไม่สบาย แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ได้แต่พยายามข่มตาให้หลับเพราะคิดว่าถ้าพักผ่อนมากๆอาการน่าจะดีขึ้นบ้าง

ผมรู้สึกปวดร้าวไปทั้งหัว ขณะเดียวกันก็หนาวจนตัวสั่นเทิ้ม จะลุกก็ลุกไม่ไหว มีอาการเหมือนถูกผีอำคือรู้สึกว่ามีอะไรมากดทับจนลุกหรือดิ้นไม่ได้ ผมเริ่มรู้สึกหวาดกลัว และคิดว่าคราวนี้ผมจะตายหรือไม่ เพราะรู้สึกว่าอาการของตนเองหนักหนามาก

จู่ๆผมก็คิดถึงไอ้นัยขึ้นมา ท่ามกลางอาการไข้ที่ทำให้ร่างกายหนาวสั่น ผมกลับรู้สึกอบอุ่นวูบขึ้นมาในหัวใจ...

อยากจะนอนให้หลับจัง ผมคิด พลางนึกถึงภาพในอดีต... จำได้ว่าในวันเสาร์ช่วงบ่าย บางทีเรากลับจากเรียนดนตรีเร็วก็จะขลุกกันอยู่ที่ห้องนอนของไอ้นัย บางครั้งผมก็จะนอนหนุนอยู่บนขาอ่อนของมันขณะที่มันนั่งพิงเตียงและเล่นกีตาร์

“สบายจัง” ผมพูด

“หัวมึงนี่หนักฉิบหาย สงสัยขี้เลื่อยเยอะ” ไอ้นัยบ่น

“อยากหลับสักงีบ เล่นเพลงกล่อมหน่อยดิ” ผมอ้อน

“มึงนอนทับขาเกะกะ เล่นไม่ถนัดอะ” ไอ้นัยบ่นอีก

“น่า เล่นให้ฟังหน่อย นะนะ อยากหลับบนขามึงนี่แหละ” ผมอ้อนอีก

ไอ้นัยไม่พูดอะไรอีก แต่กรีดนิ้วลงบนสายกีตาร์ จากนั้นเล่นเพลง ลัลลาบาย ของโยฮันเนส บรามส์ อันเป็นเพลงกล่อมเด็กซึ่งผู้ที่เรียนดนตรีต่างก็รู้จักดี

“หลับเสียนะอู กูอยู่กับมึงนี่แหละ” ไอ้นัยพูดกับผมเบาๆด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนประโลมใจ

ในห้วงคำนึง ผมรู้สึกเหมือนกับได้นอนหนุนตักและฟังไอ้นัยเล่นเพลงนี้อยู่จริงๆ ท่วงทำนองเพลงอันอ่อนหวานก้องอยู่ในหู เสียงกีตาร์อ่อนโยนประดุจสายใยที่ถักทอจากดวงใจอันอบอุ่นของไอ้นัยมาสู่ดวงใจที่เดียวดายของผม ผมเริ่มรู้สึกตัวเบาหวิว

“คิดถึงมึงเหลือเกินไอ้นัย เราไม่ได้เจอกันนานแล้วนะ คิดถึงมึงที่สุดเลยรู้ไหม” ผมพึมพำกับไอ้นัย

...

ที่สนามบินดอนเมือง

ผมวิ่งเข้ามาในตัวอาคารผู้โดยสารขาออก พลางหันรีหันขวาง ไม่รู้ว่าจะไปหาไอ้นัยที่ไหน ผมจึงวิ่งไปที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์

“พี่ครับ ผมจะมาส่งเพื่อน เที่ยวบินหกโมงห้าสิบไปอเมริกา ต้องไปที่ไหนครับ” ผมละล่ำละลักถามพนักงานด้วยความร้อนใจ

พนักงานก้มหน้าก้มตาทำงานเหมือนทองไม่รู้ร้อน ไม่ได้ชายมามองผมแม้สักนิดเดียว

เมื่อสอบถามจากประชาสัมพันธ์ไม่ได้ความใดๆ ผมจึงไม่อยากเสียเวลาถามอีก ผมรีบวิ่งอย่างสะเปะสะปะไปทั่วเพื่อจะหาไอ้นัย

ผมรู้สึกแปลกใจที่สนามบินดินเมืองในวันนั้นตกแต่งอาคารด้วยสีสันอันฉูดฉาดบาดตา มันทำให้ผมรู้สึกอ่อนเพลีย เวียนหัว และคลื่นไส้ไปหมด

ทันใดนั้นผมก็เห็นเงาหลังของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง ยืนหันหลังให้ผมอยู่ห่างออกไปหลายสิบเมตร เงาหลังนั้นช่างคล้ายไอ้นัยเหลือเกิน โดยไม่รอช้า ผมรีบไปวิ่งไปที่ร่างนั้นทันที

วิ่งเท่าไรก็วิ่งไม่ทัน เพราะเหมือนกับว่าผมซอยเท้าอยู่กับที่ ไม่เคลื่อนที่ไปไหนเลย ผมจึงหยุดวิ่ง และทันใดนั้นเอง ร่างของผมก็เหมือนกับลอยเข้าหาไอ้นัยเอง

เมื่อไปถึงร่างของไอ้นัย ผมรีบคว้าไหล่ของมันไว้ และเมื่อไอ้นัยหันมา ผมก็เห็นหน้าของไอ้นัยผอมซูบ ฟันเขยิน มีหนอนไต่ยั้วเยี้ยทั่วใบหน้า เป็นใบหน้าที่น่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด...

- - -

ผมทะลึ่งพรวดขึ้นจากเตียง เหงื่อไหลโซมกาย ตัวสั่นเทิ้ม รู้สึกหวาดกลัวจับใจ ทั้งหนาว ทั้งตกใจ และทั้งกลัว รู้สึกว่าหมดเรี่ยวแรง จะลุกก็ลุกไม่ไหว ผมไม่แน่ใจว่าภาพเมื่อครู่เป็นความจริงหรือว่าความฝัน เพราะว่ามันช่างเหมือนจริงเหลือเกิน หรือว่าเกิดเหตุร้ายขึ้นกับไอ้นัย

นี่ผมจะตายไหมนี่ ผมเริ่มคิดถึงบ้าน คิดพ่อ คิดถึงแม่ คิดถึงเอ๊ด... และคิดถึงไอ้นัย ผมรู้สึกเป็นห่วงมันมาก

ผมคิดถึงคนที่ผมรักและร้องไห้ออกมา ความรู้สึกในยามเจ็บป่วยอย่างเดียวดายนี่มันทารุณจิตใจหลือเกิน ผมฟุบหน้าลงกับหมอนแล้วร้องไห้อยู่พักใหญ่...

ผมหยุดร้องไห้ เริ่มมีสติขึ้นมาบ้าง ผมพยายามลุกจากเตียงและโซซัดโซเซออกไปนอกห้อง

- - -

“ใครน่ะ” เสียงในห้องพูดอย่างงัวเงีย

“ผมอูครับพี่ธิต ผมไม่สบาย พี่พอมียาไหมครับ” ผมพูด

เพียงครู่เดียวประตูห้องก็เปิดออก เมื่อพี่ธิตเห็นผม สีหน้างัวเงียก็หายไป

ผมตัดสินใจมาหาพี่ธิตที่ชั้น ๕ เพราะเห็นว่าพี่ธิตอาวุโสที่สุดและทำงานแล้ว น่าจะพอมีประสบการณ์และอาจจะพอมียาอยู่ในห้องบ้าง

“โห หน้าแดงก่ำเชียวอู” พี่ธิตพูดอย่างตกใจ พลางเอามือแตะหน้าผากของผม “ตัวร้อนเชียว ไปทำอะไรมานี่”

“คงเป็นเพราะวันนี้ตากฝนมาน่ะครับ” ผมพูดสั้นๆเพราะไม่มีแรง

โชคดีที่พี่ธิตมียาลดไข้อยู่ หลังจากที่กินยาลดไข้ไปสองเม็ด พี่ธิตก็ให้ผมนอนบนเตียงของแกในห้อง เมื่อมีคนอยู่ด้วย ผมรู้สึกอุ่นใจขึ้น ในหูยังแว่วเสียงกีตาร์เพลงลัลลาบายอยู่ เพียงครู่เดียวยาก็ออกฤทธิ์และผมก็ผลอยหลับไป…

<ลัลลาบาย (lullaby) เป็นเพลงประเภทหวานๆ สำหรับใช้กล่อมเด็ก บทเพลงลัลลาบายที่เป็นที่มีชื่อเสียงและคุ้นหูมากที่สุดได้แก่เพลงลัลลาบายของโยฮันเนส บรามส์ (Johannes Brahms) นักประพันธ์เพลงและนักเปียโนชาวเยอรมนี ซึ่งมีตีพิมพ์บทเพลงนี้เป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. ๑๘๖๘>

ฟังเพลง Lullaby ต้นฉบับ
ฟังเพลง Lullaby บรรเลงด้วยกีตาร์
ฟังเพลง Lullaby บรรเลงด้วยเชลโลและเปียโน
ฟังเพลง Lullaby บรรเลงด้วยแซกโซโฟน ผลงานของ Kenny G

Saturday, November 7, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 29

การที่ผมได้กลับมาเรียนที่โรงเรียนเดิมอย่างไม่คาดฝันทำให้วันเปิดเรียนวันแรกของผมดูมีความหมายเป็นพิเศษ ผมมองดูโลกรอบๆตัวผมด้วยสายตาที่แตกต่างไปจากเดิม... ทุกคนและทุกสิ่งมีความหมายต่อผมอย่างที่ผมไม่เคยนึกถึงมาก่อน

ผมรู้สึกยินดีที่ได้พบกับเพื่อนๆอีกครั้ง แม้กระทั่งคนที่ผมไม่ค่อยชอบหน้านักอย่างไอ้กี้ผมก็ยังรู้สึกว่าดีใจที่ได้พบมัน เช้าวันนั้นผมพูดคุยกับเพื่อนๆมากเป็นพิเศษ

“วันนี้ไอ้เหี้ยอูมันเป็นอะไรของมันวะ” ไอ้กี้พูดขึ้นมาด้วยเสียงหัวเราะขณะที่เรานั่งจับกลุ่มคุยกันอยู่ที่โต๊ะหลังห้อง “เกรดมันก็ได้นิดเดียว เสือกหัวเราะร่วนเชียว สงสัยจะประสาทแดก”

ผลสอบเทอมต้นของผมไม่ดีนัก ได้เกรดเพียงแค่สองกว่าๆ ใจหนึ่งก็ผิดหวังอยู่เหมือนกัน เพราะว่ายิ่งเรียนก็ยิ่งตกต่ำ แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกโล่งอก เพราะอย่างน้อยผมก็สอบผ่านทุกวิชา ไม่มีวิชาใดสอบตก ถึงแม้ว่าจะเอาตัวรอดได้ก็ตาม แต่เกรดเพียงแค่นี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าภูมิใจแต่อย่างใด ไอ้กี้ดันเอามาพูดเสียงดังลั่นห้อง

ไม่มีใครสนใจเรื่องเกรดของผมนัก เพราะว่าเช้าวันนั้นหัวข้อการสนทนามุ่งความสนใจไปที่ข่าวดังเมื่อตอนช่วงปิดเทอม นั่นคือข่าวลือที่ว่า สปัน นางแบบสาวติดเชื้อเอดส์

สปันเป็นชื่อของนาวแบบสาวชื่อดังในยุคนั้น ในตอนช่วงปิดเทอมมีข่าวลือออกมาว่าเธอได้ไปตรวจเลือดที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง และผลการตรวจเลือดพบว่าเธอติดเชื้อเอดส์ หลังจากนั้นหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับก็พยายามขุดคุ้ยเพื่อหาข้อเท็จจริง จนกลายเป็นข่าวดังในช่วงปิดเทอม แต่ผมตกข่าวนี้เพราะไม่ได้สนใจเนื่องจากตอนนั้นกำลังวุ่นวายกับเรื่องการหาที่พักในกรุงเทพฯอยู่ เมื่อตอนอยู่ที่หอก็ไม่ค่อยได้เจอใคร เพิ่งจะมารับรู้ข่าวก็จากเพื่อนๆนี่เอง

แต่ถึงแม้ทางโรงพยาบาลจะออกมาแถลงแล้วว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงข่าวลือ แท้ที่จริงแล้วผลตรวจเลือดของนางแบบสาวไม่พบเชื้อเอดส์ แต่ว่าเรื่องนี้ก็ยังเป็นหัวข้อสนทนาได้อย่างสนุกปาก ทั้งนี้ เนื่องจากเดิมทีคนทั่วไปเชื่อกันว่าผู้ที่เป็นโรคเอดส์มีแต่เกย์และผู้เสพยา แต่ในปีนี้เริ่มมีการตรวจพบหญิงที่ติดเชื้อเอดส์ ทั้งในแม่บ้านและหญิงขายบริการ ดังนั้นการที่มีหญิงคนดังสักคนถูกลือว่าติดเชื้อเอดส์จึงเป็นหัวข้อสนทนาได้เป็นอย่างดีว่าเธอไปจั่วได้โรคนี้มาได้อย่างไร แม้ต่อมาจะมีการนำเสนอข่าวที่ถูกต้องในภายหลัง แต่ชีวิตทั้งด้านการงานและส่วนตัวของเธอต้องเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเพราะอำนาจของข่าวลือที่เกี่ยวกับโรคร้าย

เสียงออดเข้าแถวดังขึ้น พวกเราจึงสลายตัวและออกจากห้องเพื่อไปตั้งแถวเคารพธงชาติที่สนามหญ้า ระหว่างที่เดินไปยังสนามนี่เอง ผมก็ได้พบกับตี๋ ตี๋ทำสีหน้างุนงงเมื่อเห็นผม

“ไหนบอกว่าจะกลับบ้านไง ทำไมเสือกกลับมาเรียนได้อีก” ตี๋รี่เข้ามาทักทาย

“ไม่ได้เสือกกลับมาเรียนโว้ย แต่ว่ากลับมาเรียนเฉยๆ” ผมพูดยียวนมัน รู้สึกดีใจที่ได้เห็นเพื่อนสนิทตั้งแต่ชั้น ม.ต้นอีกครั้งหนึ่ง “ก็หาที่พักที่กรุงเทพฯได้น่ะ เลยไม่ต้องเรียนที่บ้าน”

ผมอธิบายแต่เพียงสั้นๆ ปกติตี๋ไม่ใช่คนช่างสอดรู้สอดเห็น อธิบายเพียงแค่นี้มันก็หายข้องใจแล้ว

“แล้วตอนนี้พักที่ไหนล่ะ” ตี๋ถาม

“ก็หอพักแถวๆบ้านเดิมที่กูอยู่นั่นแหละ” ผมตอบ “เรื่องหอพักนี่ก็ได้ความคิดไปจากมึง ที่จริงต้องขอบใจมึงนะ ถ้ามึงไม่พูด กูคงไม่ได้คิด”

เมื่อคุยกับตี๋แล้วจึงเพิ่งนึกได้ว่าผมยังไม่ได้ขอบใจมันเลยสำหรับคำแนะนำ ผมรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณมันไม่น้อย

“เฮ้ย ไม่เป็นไร” ตี๋พูด “ว่าแต่... ในเมื่อมึงกลับมาแล้ว กูจะทยอยเอาหนังสือมาคืนมึง มึงจะได้เอาไว้อ่าน”

หนังสือที่ตี๋พูดหมายถึงหนังสือกวดวิชา ม.ปลาย ของเอ๊ด ที่ผมเคยยกให้มัน ตี๋คงเกรงใจ

“ไม่ต้องหรอก” ผมตอบ “มึงเอาไปอ่านนั่นแหละ กูยังไม่ได้คิดจะใช้มัน เอาไว้เมื่อไรจะใช้แล้วจะบอก”

- - -

แม้อากาศในวันเปิดเรียนวันแรกจะครึ้มฟ้าครึ้มฝนเนื่องจากอยู่ในช่วงปลายฤดูฝน แต่อารมณ์ของผมกลับแจ่มใสเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม มีบางคนที่ไม่รู้สึกแจ่มใสเอาเสียเลย คนผู้นั้นก็คืออาจารย์พิกุล

บ่ายวันนั้นมีชั่วโมงคณิตศาสตร์ของอาจารย์พิกุล อาจารย์เดินเข้าห้องมาอย่างยิ้มแย้ม

“เป็นไงบ้างนักเรียน ปิดเทอมไปไหนกันมาบ้าง” อาจารย์พิกุลทักนักเรียน

“แล้วอาจารย์ไปไหนมาหรือเปล่าครับ” เวชตะโกนถามเสียงดัง

“โฮ้ย ครูจะไปไหนได้ ก็นั่งตรวจข้อสอบทำคะแนนของพวกเธอนั่นแหละ” อาจารย์พิกุลตอบอย่างอารมณ์ดี

“เหรอครับ นึกว่าจะไปลดความอ้วน” เวชพูด

อาจารย์พิกุลหน้าเปลี่ยนสีไปในทันที จากเดิมที่ยิ้มแย้มกลายเป็นถมึงทึง พริบตานั้นทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเวชจึงได้เป็นไม้เบื่อไม้เมากับอาจารย์พิกุลได้ถึงขนาดนี้

หลังจากนั้นก็คงไม่ต้องบอก เพราะอาจารย์พิกุลก็เริ่มอารมณ์เสียและเทศนาเวชกัณฑ์ยาวเหยียด บรรยากาศที่แจ่มใสของการเรียนในวันแรกถูกทำลายลงไปอย่างสิ้นเชิง

“นี่อยู่ที่บ้านเธอต้องกวนประสาทผู้ปกครองเธอแบบนี้หรือเปล่า แล้วผู้ปกครองเธอไม่อกแตกแย่เลยเหรอ ถ้าครูมีลูกชายแบบนี้ครูบ้าตายแน่” อาจารย์พิกุลพูดอย่างเหลืออด

เวชหน้าเปลี่ยนสี ดูเหมือนการพูดถึงพ่อแม่เวชกระจี้ถูกใจดำของมัน

“ถ้าผมมีแม่อย่างอาจารย์ผมคงบ้าตายเหมือนกันแหละครับ” เวชสวนกลับ

คำตอบของเวชราวกับสาดน้ำมันลงไปในกองเพลิง ไฟโทสะที่กำลังสงบลงกลับคุโชนขึ้นมาอีก คราวนี้กลับแผดเผารุนแรงยิ่งกว่าเก่า

ชั่วโมงคณิตศาสตร์ในวันนั้นจึงกลายเป็นชั่วโมงที่เคร่งเครียดและกดดันของทุกคน เพื่อนๆในห้องคงไม่มีใครพอใจกับการกระทำของเวชแต่ก็ไม่มีใครกล้ายุ่งด้วย ผมเองก็นั่งเขี่ยปากกาเล่นด้วยความเซ็ง

- - -

หลังเลิกเรียน

เมื่อการเรียนวันแรกหมดสิ้นลง นักเรียนทยอยออกจากห้องเรียนไป จู่ๆอารมณ์ของผมก็เปลี่ยนไปในทันที ความสดชื่นรื่นเริงหายไปสิ้น ห้องเรียนที่ร้างคนทำให้ผมรู้สึกเหงาขึ้นมาจับใจ โรงเรียนเลิกแล้ว อีกสักครู่ผมก็คงต้องกลับไปอยู่ในห้องแคบๆและผ่านวันคืนอันเงียบเหงากว่าจะถึงวันพรุ่งนี้

เมื่อก่อน ตอนเย็นผมมักต้องรีบกลับบ้าน ดังนั้นจึงไม่ค่อยได้ไปไหน พอมาถึงตอนนี้ซึ่งผมมีอิสระเต็มที่ ผมก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าควรจะไปที่ไหน แถววังบูรพาก็ไม่ค่อยมีอะไร เดินจนเบื่อแล้ว ตอนนั้นยังไม่มีดิโอลด์สยาม วังบูรพายังไม่คึกคักเหมือนกับในปัจจุบัน จะไปสยามสแควร์ก็เบื่ออีก เดินคนเดียวไม่มีความหมายอะไร ในเมื่อไม่รู้ว่าจะไปไหนดี ผมจึงได้แต่กลับห้องพัก

เมื่อกลับห้องมาก็ไม่มีอะไรทำอีก ทีวีก็ไม่มี มีแต่วิทยุเทปวอล์กแมนเครื่องเล็กๆ ฟังไปฟังมาก็เบื่อ ขึ้นไปร่วมสังสรรค์กับชาวหอด้วยกันที่ชั้นดาดฟ้าก็สนุกดี แต่ก็ไม่ได้มีจัดกันทุกวัน หนักเข้าก็ได้แต่รีบๆเข้านอนเพื่อจะได้ผ่านเวลากลางคืนไปและจะได้รีบถึงเช้าวันใหม่ เพียงเปิดเรียนได้สองสามวัน ผมก็รู้สึกเหงาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

- - -

ชีวิตห้องเช่าหรือว่าชีวิตชาวหอที่นี่นั้น ยามเปิดเทอมต่างจากปิดเทอมค่อนข้างมาก เพราะว่าที่นี่มีนักเรียนนักศึกษาอยู่หลายห้อง และจำเพาะมารวมกันอยู่ที่ชั้น ๓ และชั้น ๔ ทำให้การใช้ห้องน้ำและการซักผ้าต้องต่อคิวกัน เมื่อผมมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆเมื่อตอนปิดเทอมก็ยังรู้สึกว่าต้องปรับตัวพอสมควร พอมาถึงช่วงเปิดเทอมก็ยิ่งต้องปรับตัวมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการใช้เวลา

เมื่อเปิดเทอมไปได้สองสามวัน ในที่สุดผมก็ทนต่อคิวใช้ห้องน้ำยามเช้าในเวลาตีห้าครึ่งไม่ไหว ผมจึงตื่นให้เร็วขึ้นอีกโดยมาเข้าห้องน้ำตอนตีสี่สี่สิบห้านาที ที่ผมต้องตื่นเช้าขนาดนี้เพื่อมาเข้าห้องน้ำเพราะว่าผมชอบเข้าส้วมอย่างสบายๆไม่มีใครมาเร่ง เรื่องอาบน้ำไม่ค่อยเท่าไร เพราะว่าผมอาบน้ำเร็ว

พอตื่นเช้ามากๆก็ไม่ต้องคอยคิว จึงทำให้เสร็จเร็ว ยังไม่ทันหกโมงเช้าผมก็อาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยและพร้อมที่จะออกไปเรียน

อากาศในตอนเช้าวันนั้นขมุกขมัว ท้องฟ้าหม่นครึ้มคล้ายฝนจะตก จู่ๆความเหงาก็จู่โจมผมอย่างไม่ทันตั้งตัว ผมรู้สึกเหงาขึ้นมาจับใจ ผมไม่ชอบบรรยากาศเช่นนี้เลย

ขณะที่ผมออกจากหอและเดินอยู่ในซอย ผมก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อผมอยู่ข้างหลัง

“เฮ้ อู” เสียงนั้นทัก เมื่อผมหันไปดู แป๋งนั่นเอง

แป๋งอยู่ในชุดเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น ดูไม่เหมือนกับกำลังจะไปโรงเรียน

“ทำไมออกเช้านักวะ” แป๋งสาวเท้าตามผมมาจนทัน “ตั้งแต่เปิดเรียนยังไม่เห็นนายเลย”

“สองสามวันนี้ออกสาย ไปโรงเรียนเกือบไม่ทัน วันนี้เลยเปลี่ยนเวลามาออกเช้าขึ้น” ผมอธิบาย “ก็ไม่ได้ไปไหนนี่ กลับมาแล้วก็อยู่ในห้อง ว่าแต่นายไม่ไปโรงเรียนเหรอ”

“ไปดิ” แป๋งหัวเราะ “โรงเรียนเราอยู่ไม่ไกล นั่งรถเดี๋ยวเดียว ไม่ต้องรีบไปแบบนายหรอก ออกเจ็ดโมงก็ทันถมเถ”

“แล้วนี่กำลังจะไปไหน” ผมถาม

“ไปซื้อปาท่องโก๋” แป๋งตอบ

ในตอนนั้นที่ปากซอยลาดพร้าว ๒๓ หรือว่าซอยวิทยาลัยครูจันทรเกษมจะมีปาท่องโก๋ขาย ออกมาทอดขายตั้งแต่เช้ามืด คนเข้าแถวกันยาวทุกวัน

“อ้าว นายจะไปไหน” แป๋งถามผมเมื่อเราเดินถึงปากซอยและเห็นผมเดินเลี้ยวซ้าย

“จะไปขึ้นรถที่ซอยภาวนาน่ะ” ผมตอบ

“เดินตั้งไกล ไม่รอขึ้นฝั่งตรงข้ามล่ะ” แป๋งยังสงสัยไม่เลิก

“เดินไปขึ้นต้นสายจะได้มีที่นั่ง ไปก่อนนะ” ผมตอบแต่เพียงสั้นๆแล้วก็กล่าวคำอำลา

“เออ หวัดดีโว้ย” แป๋งตอบ “เฮ้ย อู คืนนี้เราขึ้นไปหานายที่ห้องนะ” แป๋งพูดจบแล้วก็เลี้ยวขวาเดินไปเลยโดยไม่รอคำตอบจากผม

จากปากซอยหอพักไปถึงซอยภาวนาเป็นระยะ ๓ ป้ายรถเมล์ ใช้เวลาเดินราวสิบนาที...

เมื่อถึงท่ารถสาย ๘ ผู้คนยังคงพลุกพล่านเหมือนเช่นเดิม ผมยังไม่ขึ้นรถในทันที ผมอดชะเง้อคอรออยู่ที่ทางเท้าไม่ได้ ผมยังมีความหวังเหลืออยู่สายใยหนึ่งเสมอ... เผื่อว่าสักวันผมจะได้พบกับไอ้นัยอีก

ผมกับไอ้นัยขาดการติดต่อกัน รวมทั้งผมไม่ได้พักอยู่ที่เดิมอีกต่อไป แต่ผมแน่ใจว่าสักวันหนึ่ง... เมื่อไอ้นัยกลับมา ถ้ามันต้องการพบผม มันรู้ว่าจะหาผมพบได้จากที่ใด... และนี่เองคือสาเหตุที่ผมต้องการพักอยู่ในละแวกเดิม เพราะว่าผมจะได้มาขึ้นรถที่นี่ได้ทุกวัน

ผมยืนอยู่ที่ท่ารถประมาณ ๕ นาที เหม่อมองดูนักเรียนคนแล้วคนเล่าที่เดินมาที่ท่าและขึ้นรถไป ความเหงาคุกคามผมอย่างรุนแรง ในที่สุด ผมก็ขึ้นรถเมล์ไป…

- - -

บ่ายหลังเลิกเรียนในวันนั้นฟ้ามืดครึ้มและมีฝนท้ายฤดูโปรยปราย ผมไม่ได้ติดร่มมาด้วยเพราะคาดไม่ถึง แต่ถึงไม่มีร่มผมก็ไม่เดือดร้อนอะไร เพราะผมชอบสายฝนอยู่แล้ว

ผมรู้สึกหดหู่มาตลอดทั้งวัน ตั้งแต่ที่ผมย้ายมาอยู่ที่หอนี้ อาการเครียดจนท้องเสียและอาเจียนก็หายไป แต่ความรู้สึกเซ็งและเหงาเข้ามาแทนที่ ผมพยายามไม่คิดถึงมันและทำใจให้ร่าเริง แต่วันนี้มันไม่ไหวจริงๆ การหมกตัวอยู่คนเดียวในห้องพักทำให้ผมรู้สึกเหงา หนักเข้าก็รู้สึกคิดถึงบ้าน คิดถึงพ่อแม่ ทั้งๆที่ผมอยู่โรงเรียนประจำมาตั้งแต่เด็ก ไม่ควรที่จะมีความรู้สึกเช่นนี้เกิดขึ้นได้ แต่มันก็เกิดขึ้นไปแล้ว และที่สำคัญก็คือ... ผมคิดถึงไอ้นัย

หมู่นี้ภาพของบอยแว่บเข้ามาในความคิดของผมบ่อยๆ ตั้งแต่เปิดเทอมมาผมยังไม่ได้เจอไอ้บอยเลย สหกรณ์ยังไม่เปิดทำการ ครั้นจะไปหาไอ้บอยถึงที่ห้องเรียนอีก ผมก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจ เพราะไม่รู้จะหาข้ออ้างอะไรที่จะไปหามันถึงที่ห้อง ตอนพักเที่ยงก็ยากที่จะเจอกันเพราะว่า ม.ต้น กับ ม.ปลายเหลื่อมเวลาพักกันอยู่

กลับห้องดีกว่า ผมได้ข้อสรุป...

ฝนตกเพียงแค่ปรอยๆ แต่ลมพัดแรงและอากาศเย็นเยือก ผมไม่รีบวิ่ง คงเดินทอดน่องไปเรื่อยๆมุ่งตรงไปยังสะพานพุทธ สายฝนเย็นที่โปรยปรายลงมาบนตัวผมทำให้ผมรู้สึกสดชื่นขึ้นบ้าง

เมื่อกลับถึงหอ ผมกินอาหารที่ร้านเดิม หลังจากนั้นก็ขึ้นไปที่ห้องและอาบน้ำ หลังจากอาบน้ำเสร็จ ผมรู้สึกว่าหัวหนักๆอย่างไรชอบกล

ผมหยิบหนังสือที่ยืมมาจากห้องสมุดมาเปิดอ่านเพื่อฆ่าเวลา แต่ขณะที่อ่านผมเกิดความรู้สึก อึดอัด ไม่ค่อยสบายตัว อีกทั้งไม่มีสมาธิ อ่านอยู่ตั้งนานก็ยังไม่รู้เรื่อง

ก๊อกๆ เสียงเคาะประตูดังเบาๆ

ผมละสายตาจากหนังสือและเดินไปเปิดประตู คนที่เคาะไม่ใช่ใครอื่น แป๋งนั่นเอง...


<เมื่อถึงท่ารถสาย ๘ ผู้คนยังคงพลุกพล่านเหมือนเช่นเดิม ผมยังไม่ขึ้นรถในทันที ผมอดชะเง้อคอรออยู่ที่ทางเท้าไม่ได้ ผมยังมีความหวังเหลืออยู่สายใยหนึ่งเสมอ... เผื่อว่าสักวันผมจะได้พบกับไอ้นัยอีก ภาพท่ารถตรงข้ามซอยภาวนา สมัยนั้นเสาป้ายรถเมล์เป็นเสาลายขาวดำ ข้างบนเป็นแป้นกลมๆ ต่างจากในปัจจุบัน>

Sunday, November 1, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 28

พูดยังไม่ทันขาดคำ แป๋งก็ทะลักทลายของเหลวขุ่นข้นออกมา มันฉีดพุ่งเป็นระลอกหลายครั้ง จากนั้นก็กลายเป็นค่อยๆรินหลั่งออกจากปลายท่อ หน้าท้องและท้องน้อยของแป๋งเปรอะเป็นหย่อมๆ ภาพที่เห็นทำให้อารมณ์ของผมพลุ่งพล่าน ผมรู้สึกเสียวเกร็งที่ท้องน้อย จากนั้น ทำนบของผมแตกทะลักทลายออกมา

เมื่อพายุตัณหาผ่านพ้นไป อารมณ์ของผมค่อยๆสงบลง ผมหลับตาพริ้มอย่างอ่อนแรง จมูกได้กลิ่นคาวคลุ้ง ความสุขที่เพิ่งผ่านพ้นไปทำให้ผมหวนระลึกถึงเรื่องเก่าๆ... ในวันผมยังมีไอ้นัยอยู่

สองปีแล้วที่ผมไม่ได้มีอะไรกับใคร จำได้ว่าเมื่อเด็กๆผมมักมีอะไรกับไอ้นัยเสมอ จนถึงชั้น ม.๒ ที่เรามักมีเรื่องระหองระแหงกัน ผมกับไอ้นัยมีอะไรกันน้อยมาก และมาจนถึงชั้น ม.๓... ก่อนที่ไอ้นัยจะจากผมไป... ผมไม่ได้มีอะไรกับไอ้นัยเลย

ความคิดคำนึงถึงไอ้นัยที่วูบเข้ามาทำให้ผมได้สติ ผมลืมตาขึ้นและต้องรู้สึกแปลกใจตนเอง นี่ผมได้ทำอะไรลงไป คนที่จะนอนข้างๆผมควรเป็นไอ้นัย แต่นี่ผมเอาใครก็ไม่รู้มานอนด้วย

กลิ่นคาวยังไม่จางหายไป ผมเริ่มรู้สึกผิด อะไรนะที่ดลใจให้ผมทำเรื่องเมื่อครู่ลงไป... ไอ้นัยไปตกระกำลำบากที่ไหนก็ไม่รู้ ส่วนผมกำลังมีความสุขกับเพื่อนคนใหม่ของผม...

ผมเอื้อมไปหยิบทิชชู่จากกล่องทิชชู่รูปหมาอันเดิมที่ผมคุ้นเคย พลันที่ผมแตะกล่องทิชชู่นี้ ผมก็คิดถึงไอ้ชัชผู้เป็นเจ้าของ จากนั้นก็คิดถึงไอ้นัยเมื่อวัยเด็ก ทันใดนั้นเอง ผมรู้สึกรังเกียจพฤติกรรมของตนเองอย่างรุนแรง...

ผมดึงทิชชู่ออกมาและส่งกล่องทิชชู่ต่อไปให้แป๋ง จากนั้นเราทั้งสองก็เช็ดคราบบนหน้าท้องของตนเองอย่างเงียบงัน จากนั้นผมก็รีบใส่กางเกง

“หมดแรงเลยเหรอ เงียบเชียว” แป๋งกระซิบยิ้มๆ

ผมส่ายหน้า รู้สึกไม่อยากพูดอะไร เพียงอยากให้แป๋งออกไปจากห้องโดยเร็ว

“นายหลอกเรานี่หว่า” แป๋งพูดต่อ

“หลอกอะไรเหรอ” ผมถาม

“ก็ที่บอกว่านายชักว่าวไม่เป็นน่ะสิ ฝีมือนายชักให้เรานี่สุดยอดเลย ยังงี้ชักไม่เป็นได้ไงวะ” แป๋งพูด พลางจ้องหน้าผมเพื่อเค้นหาความจริง

“อือ เราอำนายว่ะ เห็นนายอยากรู้ก็เลยแกล้งอำเล่น” ผมสารภาพ

“เฮ้ย นายเป็นเกย์รึเปล่า” แป๋งถามโพล่งขึ้นมา

ผมถึงกับสะอึกกับคำถามกะทันหันเช่นนี้

“เฮ่ย เปล่า นายเป็นเหรอถึงได้อยากรู้” ผมถามกลับ วิธีที่ดีที่สุดที่จะให้แป๋งหยุดถามเรื่องพวกนี้ก็คือโบ้ยใส่มันกลับไป

“เปล่าโว้ย” แป๋งรีบปฏิเสธ “ดูหนังสือโป๊แล้วมีอารมณ์ ก็เลยลองเล่นสนุกๆ ผู้ชายด้วยกัน ชักว่าวกันไม่เห็นจะแปลก ไม่เห็นจะต้องเป็นเกย์เลย”

อ้าว ไม่แปลกแล้วถามทำไมวะ แต่ก็ช่างเถอะ ผมไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะคุยกับมันแล้ว ผมอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ

แป๋งไปแล้ว กลิ่นคาวในห้องก็จางลง ผมนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในความมืดอย่างที่ชอบทำ พร้อมทั้งครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้วยใจที่รู้สึกผิด

- - -

วันเสาร์

สัปดาห์นั้นเป็นสัปดาห์สุดท้ายก่อนเปิดเรียนของพวกนักเรียน ส่วนของมหาวิทยาลัยกว่าจะเปิดก็ต้นเดือนพฤศจิกายน ผู้คนเริ่มทยอยกลับมา หอพักที่เมื่อสองสามวันก่อนอยู่ในสภาพเงียบเหงากลับกลายเป็นคึกคักขึ้นมา

ผมออกจากหอไปในตอนสายๆเพื่อไปโรงเรียนดนตรีเหมือนเช่นที่เคยปฏิบัติมา เดิมทีผมคิดจะเลิกเรียนเปียโนเพราะว่าเมื่ออยู่หอคงมีค่าใช้จ่ายมากกว่าอยู่บ้านคุณลุง ผมไม่อยากให้ทางบ้านต้องมีภาระค่าใช้จ่ายเพราะผมเพิ่มมากขึ้น จึงคิดจะหยุดเรียน แต่เมื่อมาอยู่หอได้สองสามวัน ผมมีเวลาว่างมากจนเซ็ง การเรียนและซ้อมเปียโนคงช่วยคลายเหงาและทำให้ผมหายเซ็งไปได้บ้าง ในที่สุดจึงตัดสินใจเรียนตามเดิมไปก่อน

หลังจากที่เลิกเรียน ผมได้เวลาซ้อมเปียโนมาสองชั่วโมง จึงนั่งเล่นเปียโนฆ่าเวลาอยู่ในโรงเรียนต่อไป จนเวลาบ่าย เมื่อซ้อมเปียโนเสร็จ ผมจึงเดินข้ามฝั่งไปยังสยามสแควร์ ผมเดินเล่นคนเดียวอย่างเหงาๆ จนในที่สุดก็มาหยุดที่หน้าร้านโดนัท

ผมซื้อโดนัทมานั่งกินคนเดียว ขณะที่กิน ใบหน้าของไอ้นัยก็วูบเข้ามาในความคิดคำนึงของผม ไอ้นัยกับผมมีความหลังที่ร้านโดนัทแห่งนี้มากมาย

ทุกครั้งที่ผมคิดถึงไอ้นัย ผมจะรู้สึกเจ็บปวดไปกับความรู้สึกผิด มโนธรรมคอยติเตียนผมอยู่ตลอดเวลา ผมไม่อาจแกล้งทำลืมไปได้ว่าใครเป็นคนที่ทำให้ไอ้นัยต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้

ฉับพลันนั้น ภาพของบอยก็วูบเข้ามาในห้วงความคิด จากนั้นก็เป็นภาพของเหตุการณ์เมื่อคืนระหว่างผมกับแป๋ง การที่เมื่อคืนผมได้มีอะไรกับแป๋งยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิดต่อไอ้นัยมากยิ่งขึ้น

ผมพยายามสลัดความคิดอันฟุ้งซ่านออกไป กินโดนัทจนหมด จากนั้นก็รีบกลับหอ การเดินเล่นในสยามสแควร์ไม่ได้ช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้น มิหนำซ้ำมันกลับทำให้ผมรู้สึกแย่ลง

กว่าจะกลับถึงหอก็เย็นแล้ว ผมแวะกินอาหารเย็นที่ร้านอาหารตามสั่ง จากนั้นก็กลับขึ้นไปที่ห้อง

ซักผ้าเสียหน่อยดีกว่า เพราะว่ามาอยู่หลายวันแล้ว เสื้อผ้ายังไม่ได้ซักเลยสักชิ้น

สถานที่ซักผ้าสำหรับผู้เช่าในตึกนี้มีอยู่สองที่ ที่หนึ่งคือลานซักล่างที่อยู่หลังตึก ชั้นล่าง กับอีกที่หนึ่งคือชั้นดาดฟ้าของตึก

ผมเลือกซักที่ชั้นดาดฟ้าเพราะว่าผมอยู่ชั้นสี่ เดินขึ้นไปชั้นเดียวก็ซักได้แล้ว ที่ชั้นดาดฟ้ามีห้องพักอยู่ ๓ ห้อง ลักษณะเป็นห้องที่มีการสร้างต่อเติมขึ้นมาภายหลัง ผมยังงงว่าผู้เช่าทั้งสามห้องนี้อยู่กันได้อย่างไร เพราะขนาดผมอยู่ชั้น ๔ ตอนกลางวันยังร้อนแทบแย่ แต่ชั้นดาดฟ้านี่ห้องพักต้องรับแดดโดยตรง แถมพื้นคอนกรีตบนดาดฟ้าก็ร้อนระอุ คิดแล้วอดนึกถึงไก่ในตู้อบไม่ได้

ที่ชั้นดาดฟ้ายังมีชุดโต๊ะและม้านั่งหิน ๒ ชุด สำหรับเอาไว้นั่งพักผ่อน ซึ่งตั้งแต่มาผมก็ยังไม่ได้ขึ้นมานั่งเล่นเสียที นอกจากนี้ยังมีแทงก์น้ำขนาดใหญ่สำหรับเป็นที่เก็บกักน้ำเพื่อจ่ายลงไปยังชั้นต่างๆ ข้างๆแทงก์น้ำเป็นพื้นที่ซักล้าง มีกะละมังหลายใบวางกองอยู่เป็นสมบัติส่วนกลาง ที่ใกล้ๆกันยังมีราวตากผ้าหลายราวเรียงรายติดกัน รวมความแล้วชั้นดาดฟ้านี้เป็นชั้นอเนกประสงค์ เพราะสามารถใช้ทำอะไรได้หลายอย่าง

ผมนั่งซักผ้าอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก ม้านั่งตัวนี้ขาสั้นมาก นั่งไม่สะดวก เพราะว่าผมขายาว นั่งแล้วต้องระวังหงายท้อง ตอนที่ผมขึ้นมาเป็นตอนหัวค่ำ บนชั้นดาดฟ้ายังไม่มีใคร แม้เต่ผู้เช่าทั้งสามห้องก็ยังไม่ขึ้นมา แต่พอซักไปได้สักครู่ก็มีเสียงจ้อกแจ้กดังลอยมาจากชั้น ๔ จากนั้นก็มีเสียงคนหลายคนเดินขึ้นบันไดมา

ผมเห็นชายกลุ่มหนึ่งเดินขึ้นมาบนดาดฟ้า แต่ละคนหอบข้าวของติดมือมาด้วย คนหนึ่งเป็นผู้ใหญ่ในวัยทำงาน เดินนำหน้า ที่เหลือเป็นหน้าใสๆวัยเรียนทั้งนั้น ถือขวดเบียร์ กระติกน้ำแข็ง แก้วน้ำ และของกิน เดินตามหลังขึ้นมา

เมื่อขึ้นมาถึง พี่คนที่ผู้ใหญ่สุดไขกุญแจเปิดห้องและหยิบกีตาร์ออกมา จากนั้นทั้งหมดก็ตรงไปที่ม้าหิน ดูก็รู้ว่าพวกนี้ขึ้นมาเพื่อตั้งวงก๊งในยามค่ำ

“อ้าว นั่นใครน่ะ ไม่คุ้นหน้าเลย” พี่คนที่โตที่สุดในกลุ่มซึ่งอยู่ในวัยทำงานตะโกนถามมาทางผม

“เพิ่งมาอยู่ครับ” ผมตะโกนตอบ

“อ้าว เหรอ กินเบียร์เป็นหรือเปล่า มากินด้วยกันสิน้อง” พี่คนนั้นชวน

ผมตอบปฏิเสธเพราะไม่เคยดื่มเบียร์ เคยแค่ลองจิบดูแล้วก็ไม่ได้ดื่มเพราะว่ารสขม อีกอย่างหนึ่งก็รู้สึกไม่คุ้นเคยกับคนกลุ่มนี้ด้วย จะเข้าไปร่วมวงก็กระไรอยู่

“น้ำอัดลมก็มี” เสียงคนในกลุ่มพูดขึ้นบ้าง

หลังจากนั้นทั้งกลุ่มก็ช่วยกันคะยั้นคะยอ ในผมไม่อาจปฏิเสธได้ จึงบอกว่าขอซักผ้าให้เสร็จก่อนแล้วจะไปร่วมสังสรรค์ด้วย

หลังจากที่ซักผ้าและตากผ้าจนเรียบร้อย ผมก็เข้าไปร่วมวงด้วย จึงได้ทราบว่าพี่คนที่ทำงานชื่อพี่ธิต เป็นคนเชียงราย พักอยู่ชั้นดาดฟ้านั่นเอง ส่วนที่เหลือก็เป็นพวกนักเรียนนักศึกษาที่คุณน้าเจ้าของหอเคยพูดถึงว่าหอนี้มีเด็กเยอะนั่นเอง คนหนึ่งชื่อปั้น เป็นเด็กน่าน เรียน ม.๓ คนนี้อยู่กับพี่สาวซึ่งเรียน ม.๖ ปั้นคนนี้ก็คือปั้นชั้น ๓ ที่วันก่อนมีคนโทรมาหานั่นเอง

อีกคนหนึ่งชื่อแว่น อยู่ ปวส.๑ ห้องนี้อยู่กันสามคน เป็นชายทั้งหมด ค่ำนี้มากับคนน้องที่อยู่ ม.๒ ชื่อพจน์ ส่วนอีกคนซึ่งเป็นคนกลางไม่ได้ขึ้นมา สามคนนี้เป็นคนลพบุรี อยู่ชั้น ๔ ชั้นเดียวกับผม แต่ยังไม่เคยเจอกัน

อีกสองคนเป็นพี่น้องกันผู้ชายทั้งคู่ คนพี่ชื่อแป๊ะ อยู่ ม.๖ คำว่าแป๊ะแปลว่าขาว แต่ตัวเจ้าของชื่อกลับเป็นตรงกันข้าม กลายเป็นผิวดำแดง ส่วนคนน้องชื่อโอ้ว อยู่ ม.๓ ไม่รู้ว่าแปลว่าอะไรเหมือนกัน แต่ว่าตัวขาวกว่าพี่ชายหน่อย คู่นี้พักอยู่บนชั้นดาดฟ้า ติดกับห้องพี่ธิต

เมื่อเข้าร่วมวง ผมจึงได้รู้ว่าทั้งหมดนี้สนิทสนมกันเพราะอยู่ที่นี่มานาน โดยมีพี่ธิตเป็นพี่ใหญ่ พอตอนค่ำไม่มีอะไรทำก็มาตั้งวงคุยกัน เล่นกีตาร์ หรือถ้าจะเป็นวันหยุดหรือวันเงินเดือนออกก็อาจมีเหล้า เบียร์เสริมด้วย อย่างเช่นวันนี้ซึ่งเป็นวันที่ทั้งหมดต่างก็เพิ่งกลับมาจากบ้านต่างจังหวัดและได้มาพบกัน จึงต้องมีการฉลองกันนิดหน่อย กลุ่มนี้ที่จริงมีสมาชิกมากกว่านี้ เพราะในหอนี้ยังมีนักเรียนนักศึกษาอีกหลายคน แต่ยังมากันไม่หมด

พี่ธิตเป็นคนร่างเล็ก ผิวขาว หน้าตาก็แบบคนเหนือ ส่วนแป๊ะกับโอ้วนั้นหน้าตาก็งั้นๆ คนที่ดูดีหน่อยในสายตาของผมก็คือปั้น ปั้นเป็นเด็กผิวเหลือง รูปร่างอวบหน่อยๆ หน้าตาดูซื่อๆ มีจุดเด่นอยู่ที่แก้มยุ้ยน่าหยิกดี กับอีกคนหนึ่งก็คือพจน์ พจน์เป็นเด็กผิวขาว สูง หน้าตาดี เวลายิ้มดูมีเสน่ห์

ผมเริ่มสังเกตตัวเองว่าบ่อยครั้งที่ผมมักให้ความสนใจสังเกตและพึงใจกับชายที่หน้าตาดี ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่ เพื่อน หรือว่ารุ่นน้อง แม้แต่ในทีวีรายการต่างๆผมก็มักสนใจชายที่หน้าตาดูดีในความคิดของผม แต่กลับไม่ค่อยให้ความสนใจหญิงสาวที่หน้าตาดีเท่าใดนัก และความรู้สึกที่ว่านี้ยิ่งนานก็ยิ่งแจ่มชัดขึ้นทุกที...

พวกน้องๆช่วยกันเลือกเพลงให้พี่ธิตเล่น เมื่อพี่ธิตกรีดนิ้วลงบนสายกีตาร์ น้องๆก็ช่วยกันร้องคลอ พี่ธิตเล่นกีตาร์ได้ดีทีเดียว แต่เป็นการเล่นแนวเพลงป๊อบทั่วไปซึ่งใช้การตีคอร์ด เกา และพิกกิง แตกต่างจากไอ้นัยที่มีพื้นฐานมาจากการเล่นกีตาร์คลาสสิก

ความคิดเกี่ยวกับกีตาร์เชื่อมโยงความคิดของผมไปที่ไอ้นัย พลันเงาร่างของไอ้นัยก็วูบเข้ามาในห้วงความคิดของผมอีก ไอ้นัยเคยบอกมาในจดหมายว่ามันมีแต่กีตาร์เป็นเพื่อน ผมรู้สึกเจ็บแปลบอยู่ลึกๆ มโนธรรมเริ่มติเตียนผมอีก

ผมรีบสลัดความคิดเรื่องไอ้นัยออกไป วงสังสรรค์ในคืนนั้นสนุกสนานดีทีเดียว ผมลองจิบเบียร์ไปนิดหน่อย ก็ยังรู้สึกขมเหมือนเดิม วงนี้ดีตรงที่ไม่มอมเหล้าหรือบังคับให้น้องดื่มเหล้า ใครอยากดื่มก็ดื่ม ไม่อยากดื่มก็ดื่มน้ำอัดลมแทน

กว่าการสังสรรค์จะยุติลงก็เป็นเวลาประมาณห้าทุ่ม เวลาในค่ำคืนวันนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็วเพราะผมเริ่มมีเพื่อน ไม่รู้สึกเซ็งเหมือนเมื่อมาสองสามวันแรก กว่าที่วงจะเลิก ผมก็ได้ลองจิบเบียร์ไปหลายจิบจนรู้สึกมึนอยู่เหมือนกัน ครั้งนี้ดูเหมือนจะเป็นครั้งที่ผมดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปมากที่สุด เพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยมึนมาก่อน แต่อย่างไรก็ดี อาการมึนนิดหน่อยกลับทำให้ผมรู้สึกดี เพราะในช่วงนั้นผมไม่ได้คิดถึงไอ้นัยอีก

- - -

วันจันทร์

วันนี้เป็นวันเปิดเรียนของภาคปลาย ผมตื่นตีห้าครึ่ง ตื่นสายกว่าตอนที่อยู่บ้านคุณลุงหน่อยเพราะว่าตอนอยู่บ้านคุณลุงผมกินอาหารเช้าที่บ้าน แต่เมื่ออยู่หอ ตอนเช้าไม่มีอะไรให้กิน ต้องไปกินที่โรงเรียน ผมจึงคิดว่าตื่นสายได้อีกหน่อย

เมื่อตื่นขึ้นมา ผมก็ผลัดผ้า หยิบขัน และเดินออกจากห้องเพื่อจะไปห้องน้ำ

“เฮ้ย” ผมอุทาน เพราะภาพที่เห็นคือคนรอคิวอยู่หน้าห้องน้ำสามสี่ราย ล้วนแต่เป็นคนที่พักอยู่ชั้น ๔ ทั้งสิ้น พจน์เด็กหน้าตาดีก็ยืนนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวอยู่ในคิวด้วย

สถานการณ์ในช่วงเปิดเทอมต่างจากเมื่อสัปดาห์ที่แล้วชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ แต่ทำไงได้ เมื่อออกมาช้าก็ต้องต่อคิวและรอ

กว่าผมจะอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็เป็นเวลาหกโมงครึ่ง ซึ่งค่อนข้างสายแล้ว ผมรีบคว้าเป้ ล็อกห้อง และรีบวิ่งออกไปปากซอยทันที

ผมไปรอขึ้นรถเมล์ที่ป้ายซอยแม้นศรีหรือว่าซอยลาดพร้าว ๓๔ ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับซอยลาดพร้าว ๒๕ รถเมล์วันนั้นแน่นมาก รถก็ติด เพราะว่าเป็นวันเปิดเทอมวันแรก กว่าผมจะไปถึงโรงเรียนก็เกือบได้เวลาเคารพธงชาติแล้ว

เมื่อผมย่างเท้าเข้ามาในโรงเรียน ความรู้สึกแรกที่ผมค้นพบในตนเองก็คือความดีใจ ตั้งแต่ไอ้นัยไม่อยู่ ชีวิตผมก็เหมือนหายไปครึ่งหนึ่ง พอถูกส่งกลับไปเรียนที่ต่างจังหวัด ชีวิตผมก็หายไปอีกเสี้ยวหนึ่ง จนเหมือนกับชีวิตของผมเหลืออยู่เพียงเศษเสี้ยวเดียว การที่ได้มาเรียนในวันนี้เหมือนกับว่าผมเก็บชีวิตที่ทำหายไปคืนมาได้เสี้ยวหนึ่ง... แม้มันจะไม่ครบทั้งหมด แต่มันก็ยังดีกว่าตอนที่เหลือชีวิตอยู่เพียงเสี้ยวเดียว...

คิดไปแล้วก็น่าขำ ผมถูกส่งให้ไปเรียนที่บ้านเพราะอาการไม่สบายทางกายอันเป็นผลมาจากปัญหาทางจิตใจ แต่ท้ายที่สุดผมก็ได้กลับมาเรียนที่กรุงเทพฯอีกครั้งก็เพราะอาการเดียวกันนี้นี่เอง


<ซอยลาดพร้าว ๒๕ แม้วันเวลาจะผ่านไปหลายปี แต่ซอยนี้ก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปเท่าไรนัก ปากซอยทั้งสองข้างยังเป็นร้านค้าไม้กับธนาคารกสิกรไทยเหมือนเมื่อก่อน>