Thursday, May 27, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 65

บอยลังเลอยู่ชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็ตกลงที่จะคุยกับผม เราเดินย้อนกลับไปที่โรงอาหารของโรงเรียน เลือกมุมที่ลับตาคนที่สุด

“เดี๋ยวพื่ซื้อขนมมาให้นาย” ผมพูด

บอยส่ายหน้า

“ไม่ต้องฮะพี่อู เดี๋ยวบอยก็ไปแล้ว บอยจะรีบไป” ปกติบอยไม่เคยปฏิเสธเรื่องกินเลย บอยจะมีความสุขมากที่ได้ล้มทับผม คำตอบนี้เองที่ทำให้ผมได้คิดว่าบอยเปลี่ยนแปลงไปมาก... มากกว่าที่ผมรับรู้และเข้าใจได้เสียอีก

“งั้นก็กินน้ำหน่อยละกัน แค่กินน้ำหวานไม่เสียเวลาหรอก” ผมตัดบทจากนั้นรีบเดินไปซื้อน้ำหวานมา แล้วเราก็นั่งคุยกัน

“บอย มันเกิดอะไรกันขึ้น” ผมถามเข้าประเด็น ไม่อ้อมค้อม “ทำไมนายดู เอ้อ... เหินห่างเหลือเกิน... เหมือนกับว่านายรังเกียจพี่”

ไม่รู้ว่าผมพูดตรงเกินไปหรือเปล่า บอยถึงกับหน้าเปลี่ยนสีและนิ่งอึ้งไป

“เปล่านี่พี่อู” บอยอ้อมแอ้ม

“บอย... ถ้านี่จะเป็นการคุยกัน... ครั้งสุดท้ายของเรา” ผมพูดประโยคที่ผมไม่อยากให้เกิดขึ้นมากที่สุดออกไป “นายควรจะบอกพี่ตรงๆว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมนายถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้ รู้ไหมว่าพี่เสียใจขนาดไหนที่นายทำกับพี่แบบนี้”

พูดจบผมเองก็ใจหายวูบ ความรู้สึกในส่วนลึกบอกผมว่านี่คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่เราจะได้คุยกันจริงๆ

บอยก้มหน้านิ่งเงียบ ไม่ยอมพูดอะไร

“นายโดนล้อใช่ไหม” ผมรุกถามอีก “นายโดนล้อเรื่อง... เอ้อ... เรื่องที่นายสนิทกับพี่ใช่ไหม”

บอยยังก้มหน้านิ่งเงียบอยู่ แต่อาการเช่นนี้ก็เท่ากับการยอมรับโดยดุษณี ผมรู้สึกปวดแปลบในหัวใจ มันเป็นความจริงที่น่าเจ็บปวด... บอยต้องได้รับความอับอายเหตุเพราะสนิทกับผม

“บอย นายพูดกับพี่หน่อยสิ” ผมพูดกับบอยด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม บอยคงกำลังสับสนอยู่ในใจ ส่วนผมเองนั้นก็สับสน ความรู้สึกหลายอย่างประดังเข้ามา ทั้งรู้สึกสงสารบอย ทั้งรู้สึกเจ็บปวดกับตนเอง และรู้สึกมืดมนกับอนาคตข้างหน้า…

“บอย พี่แคร์นายมากเลยนะ” ผมพูดต่อไปอีกเมื่อเห็นบอยยังไม่ยอมพูดอะไร “พี่รู้สึกว่าสนิทกับนายเป็นพิเศษ... สนิทกว่าเพื่อนๆของพี่เสียอีก และพี่ก็คิดว่านายคงคิดแบบเดียวกัน... ใช่ไหมบอย”

ผมพยายามเลือกใช้คำพูดด้วยความระมัดระวังอย่างที่สุด พร้อมกันนั้นความรู้สึกท้อแท้ก็เริ่มเข้ามาเกาะกุม ทำไมชีวิตแบบผมมันช่างลำบากเสียจริง แม้แต่ความรู้สึกในใจจะพูดออกมาตรงๆก็ไม่ได้ ต้องพยายามพูดอ้อมๆ

“พี่อู” ในที่สุดบอยก็เอ่ยปาก “บอยไม่ได้คิดอะไรกับพี่อูนะฮะ”

คำพูดของบอยทำให้ผมถึงกับอึ้งไป ผมคิดว่าในสภาวการณ์เช่นนี้บอยคงจะยอมบอกความในใจที่มีต่อผมเสียอีก

“บอย ที่ผ่านมานายสนิทกับพี่มาก แล้วพูดมาได้ยังไงว่าไม่ได้คิดอะไรกับพี่ พี่รู้ว่านายชอบพี่ แล้วทำไมยังไปคบกับ... เอ้อ... หรือว่าเพราะนายโดนล้อ” ผมโพล่งถามไปตรงๆ แต่สุดท้ายก็พูดไม่ออก

“บอยไม่ได้คิดอะไรกับพี่อูจริงๆ” บอยพูดอีก “เป็นผู้ชายด้วยกันแล้วจะ... ชอบกันแบบนั้นได้ยังไง... มันผิดนะพี่อู... บอยชอบส้มฮะ”

คำตอบของบอยทำให้ผมถึงกับหมดแรง บอยปฏิเสธโดยสิ้นเชิง ผมสะกิดใจกับประโยคท้ายของบอย อยากจะถามมันไปว่ามันผิดตรงไหน แต่ก็พูดอะไรไม่ออกแล้ว

“บอยต้องไปแล้วล่ะพี่อู” บอยมองซ้ายมองขวาแล้วพูดด้วยเสียงแผ่วเบา

ผมยังอยากคุยกับบอยต่ออีกสักนิด เพราะรู้ดีว่าครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่บอยจะมานั่งคุยกับผม... ด้วยความรู้สึกที่ยังมีเยื่อใยต่อกัน ต่อไปเมื่อเราพบหน้ากันเราคงพบกันด้วยความรู้สึกในแบบอื่น... แบบที่เหินห่างประดุจคนแปลกหน้าต่อกัน ผมอยากจะเหนี่ยวรั้งเวลาช่วงนี้เอาไว้ให้นานที่สุด... มันเหมือนกับความพยายามรักษาลมหายใจอึดสุดท้ายก่อนจะจมน้ำเอาไว้... แต่ขณะเดียวกันผมก็หมดแรงและท้อเกินกว่าที่จะพูดอะไรออกมาได้

และแล้ว... ในที่สุด ผมก็ยอมแพ้ ผมผ่อนลมหายใจเฮือกสุดท้ายออกมา และปล่อยให้ตนเองจมลง... ผมปล่อยให้หัวใจของผมจมลงในความพ่ายแพ้และความเจ็บปวด... ผมปล่อยให้บอยจากไป

“มันผิดตรงไหนหรือบอย” ผมพึมพำออกมา “มันผิดตรงไหน...”

- - -

การคุยกันในวันนั้นไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นเลย ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับบอย รวมทั้งไม่เข้าใจว่าบอยคิดอะไรอยู่ คงมีที่กระจ่างขึ้นเพียงเรื่องเดียวนั่นก็คือท่าทีของบอยที่มีต่อผม

คำพูดที่บอยพูดกับผมทำให้ผมคิดมาก หลังจากนั้นผมรู้สึกทำอะไรไม่ถูก ท้อแท้กับชีวิตไปหมด บางครั้งก็อยากพยายามตื๊อบอยต่อไป แต่อีกใจหนึ่งก็บอกตนเองว่าผมเดินหน้าต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว อีกอย่าง หากผมพยายามตามตื๊อบอยต่อไปบอยก็อาจถูกล้อเลียนอีก สุดท้ายผมก็เลยอยู่เฉยๆไม่ทำอะไร ความรู้สึกหดหู่กลับมาครอบงำชีวิตผมอีกครั้ง ผมเกลียดความรู้สึกนี้จริงๆ ไม่อยากอยู่กับมันเลย แต่ดูเหมือนว่ามันชอบที่จะอยู่กับผม

อันที่จริงที่ผมไม่ได้โทรไปหาบอยหรือว่าพยายามไปเจอบอยอีกส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะว่าผมเสียความมั่นใจในตัวเองไป คำพูดของบอยที่ว่ามันเป็นความผิดที่เราจะชอบกันมีอิทธิพลต่อความคิดของผมมาก มันทำให้ผมเริ่มทบทวนความคิดของตนเองเสียใหม่... หรือว่ามันจะผิดจริงๆ… หรือว่าตัวตนที่ผมเป็นอยู่นี้เป็นความผิดปกติที่สังคมไม่สามารถยอมรับได้? ความรู้สึกผิดทำให้ผมไม่กล้าติดต่อบอยอีกทั้งๆที่อีกใจหนึ่งก็ยังอยากคุยกับบอย

เมื่ออาการท้อแท้และคิดมากกลับมา ทำให้ผมอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง อ่านเท่าไรก็ไม่เข้าหัว มันเหมือนกับว่าผมกางหนังสือให้มันดูผมมากกว่าที่ผมจะดูมัน ในห้องเรียนก็นั่งเหม่อลอย มัวแต่คิดโน่นคิดนี่จนไม่มีสมาธิในการเรียน จนเพื่อนที่นั่งอยู่ใกล้ๆสังเกตได้

“เอาไมเคิลแจ็กสันคืนไป เอาพระนารายณ์คืนมา เอาไมเคิลแจ็กสันคืนไป เอาพระนารายณ์คืนมา...” เสียงไอ้เชาวน์ครวญเพลงออกใหม่ของคาราบาวดังลั่นในช่วงเปลี่ยนคาบเรียนในวันหนึ่ง

“เฮ้ย อย่าเห่า หนวกหู” นนได้ทีเป็นต้องกัด

“หนวกหูอะไร มึงดูไอ้อูมันนั่งเฉย ตั้งใจฟังกูร้อง แสดงว่ากูร้องเพลงเพราะต่างหาก มึงอย่ามาอิจฉากูหน่อยเลย” เชาวน์คุยโตพร้อมเอากับผมมาอ้าง “เอาไมเคิลแจ็กสันคืนไป เอาพระนารายณ์คืนมา”

“มันนั่งเฉยเพราะมันยังไม่ได้เปิดสวิทช์ต่างหาก” นนตอบ พลางเอามือตบหลังผม “อะ เปิดสวิทช์ให้แล้วไอ้หุ่นยนต์อู”

“เฮ้ย มันเป็นหุ่นยนต์ไปตั้งแต่เมื่อไรวะ” เชาวน์หัวเราะ

“มึงก็ดูมันสิ ตั้งแต่เปิดเทอมมานั่งซึมเป็นสากกระเบือทั้งวัน สงสัยแบตเตอรี่คงจะอ่อน” ไอ้นนตอบ

- - -

“ฮัลโหล ผมขอสายบอยครับ” ผมพูดลงไปในโทรศัพท์ในคืนวันหนึ่ง หลังจากที่ทนกับความรู้สึกที่อ้างว้างและคิดถึงบอยไม่ไหว

“บอยหลับไปแล้วจ้ะหนู” เสียงผู้ที่รับสายตอบ

ผมหน้าชา รู้สึกอับอาย เมื่อถูกปฏิเสธทีไรผมจะหน้าชาทุกครั้ง บอยคงไม่อยากมีพี่ชายที่วิปริตผิดปกติแบบผมจึงไม่อยากคุยด้วย

มาจนถึงตอนนี้แล้วผมคงต้องยอมรับความจริงว่าอนาคตของผมและบอยมืดมนจนมองอะไรแทบไม่เห็นแล้ว แต่แม้จะรู้ว่าความจริงเป็นเช่นนั้นก็ยากที่ผมจะยอมรับได้

เมื่อผมกลับขึ้นไปที่ห้อง เพิ่งจะไขกุญแจและก้าวเข้าไปในห้อง อินเตอร์คอมประจำชั้นสี่ก็ส่งเสียงเรียก

“อู ชั้นสี่ รับโทรศัพท์”

“คร้าบ ลงไปเดี๋ยวนี้” ผมตอบพลางรีบวิ่งลงไปด้วยความดีใจ คงเป็นบอยโทรมาแน่เลย ผมเริ่มคิดฟุ้งไปว่าบอยคงเริ่มเห็นใจอ่อนบ้างแล้วและอาจกำลังเปิดโอกาสให้ผมสานสัมพันธ์ต่อจึงโทรกลับมาหา

เมื่อวิ่งลงไปถึงข้างล่าง เห็นแป๋งนั่งหน้าหมองอยู่ที่โต๊ะ แป๋งดูซึมๆมานานเป็นเดือนแล้ว

“ฮัลโหล บอย” ผมรับสาย “โทรกลับมาเร็วจัง”

“อู นี่แม่เอง บอยเป็นใครกัน เพื่อนเหรอ” เสียงที่ตอบมาทำให้ผมแทบสะอึก แม่นั่นเอง

“เอ้อ หวัดดีแม่” ผมทักทายพลางอธิบายสั้นๆ “บอยเป็นเพื่อนอู เมื่อกี้โทรไปหามันแต่ยังไม่ได้คุยกัน เลยนึกว่าเป็นมันโทรกลับมา”

“อู แม่มีเรื่องจะบอก” แม่พูดด้วยเสียงที่เคร่งขรึม “แม่จะผ่าตัดวันเสาร์นี้นะ”

“หา ทำไมปุบปับนักล่ะแม่” ผมใจหายวูบ ตอนปิดทเอมที่ผมกลับไปบ้านและรู้เรื่องเนื้องอกของแม่ เห็นว่าแม่ลังเล ผมยังคิดว่าคงอีกนานกว่าแม่จะยอมผ่าตัดเสียอีก นี่จู่ๆก็จะผ่าในอีกไม่กี่วันนี้เลย

“วันนี้แม่ไปหาหมอมาอีก หมอบอกทิ้งเอาไว้นานก็ยิ่งมีความเสี่ยง” แม่พูด น้ำเสียงของแม่อ่อย “หมอบอกว่าหากต้องการรักษาเรื่องผ่าคงเลี่ยงไม่พ้น ก็เลยคิดว่าไหนๆก็ไหนๆ ผ่าเร็วคงดีกว่าผ่าช้า หมอผ่าตัดคนที่ฝีมือดีมีคิวผ่าให้ได้วันเสาร์นี้ หากไม่นัดก็คงต้องรออีกหลายสัปดาห์ แม่ก็เลยตกลงผ่าเสาร์นี้ เดี๋ยวอูคุยกับป๊าหน่อยนะ ป๊ามีเรื่องจะคุยด้วย”

หลังจากนั้นแม่ก็ให้ผมคุยกับพ่อ พ่อได้สรุปให้ผมฟังว่าแม่จะเข้าผ่าตัดที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งย่านสะพานควาย ซึ่งอาจต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาล ๓ ถึง ๗ วัน โดยเอ๊ดจะมาเยี่ยมแม่ได้เพียงสองสามวันหลังจากนั้นก็ต้องกลับไปเรียน ดังนั้นพ่อจึงสั่งให้ผมเตรียมตัวย้ายมานอนที่โรงพยาบาลเป็นเพื่อนแม่ในเวลากลางคืนหลังจากที่แม่ผ่าตัดเสร็จจนกว่าจะกลับบ้านได้

“อูต้องรับผิดชอบดูแลแม่เป็นหลักนะ เอ๊ดต้องกลับไปเรียน ป๊าเองก็ต้องอยู่ดูแลกิจการด้วย ต้องไปๆมาๆ คงอยู่เฝ้าแม่ไม่ได้ตลอด” พ่อกำชับ

ฟังเพลง ทับหลัง



<พระนารายณ์ในเพลงหมายถึงทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ หัวข้อที่หนึ่งที่พูดถึงกันมากในช่วงนั้นก็คือเรื่องทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ที่ปราสาทพนมรุ้งซึ่งถูกโจรกรรมและลักลอบนำออกไปจากประเทศไทยมานานหลายสิบปีแล้วและถูกนำไปแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะนครชิคาโกของประเทศสหรัฐอเมริกา จนมีคนไทยไปพบเข้าและนำไปสู่การขอทับหลังดังกล่าวคืนกลับมาสู่สถานที่ดั้งเดิม แต่ทางสถาบันศิลปะไม่ยินยอม ประเด็นการขอคืนศิลปะวัตถุจึงบานปลายออกไปกลายเป็นกระแสชาตินิยมและการต่อต้านอเมริกา จนถึงขนาดห้ามฝรั่งอเมริกันเข้าไปเที่ยวชมปราสาทพนมรุ้งเพื่อประท้วง วงดนตรีคาราบาวก็ออกอัลบัม ทับหลัง อันเป็นอัลบัมชุดที่ ๙ ท่ามกลางกระแสทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ด้วยเช่นกัน และหลังจากถูกกระแสกดดันหลายๆด้าน สถาบันศิลปะนครชิคาโกก็ตัดสินใจยอมคืนทับหลังนารายบรรทมสินธุ์ให้แก่ไทยในที่สุด ซึ่งกำหนดการทำพิธีส่งมอบมีขึ้นในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน พร้อมๆไปกับการวางตลาดอัลบัมใหม่ของวงคาราบาวในเวลาที่ใกล้เคียงกัน วงคาราบาวเป็นวงที่วัยรุ่นชื่นชอบกันมากในยุคนั้น และที่ขึ้นชื่อก็คือจัดคอนเสิร์ตทีไรเป็นต้องมีวัยรุ่นตีกันในงานแสดง>

Saturday, May 22, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 64

ผมเดินทางกลับบ้านอย่างค่อนข้างกะทันหัน หลังจากที่คุยกับแม่เมื่อคืนแล้วทำให้รู้สึกแปลกๆ จู่ๆก็คิดถึงบ้านและคิดถึงแม่ขึ้นมา

ผมนั่งรถทัวร์มาลงในเมืองและหลังจากนั้นต่อรถโดยสารท้องถิ่น ระหว่างทางผมเหม่อมองทิวทัศน์ชนบทยามปลายฤดูฝนสองข้างทางตลอดเวลา ต้นนนทรีตามรายทางในยามนี้มีแต่ใบเขียวขจี ไร้ดอกเหลืองบานสะพรั่งเช่นในฤดูร้อน น่าแปลกที่ตอนอยู่ที่หอปกติก็ไม่ได้คิดถึงบ้านเท่าไรนัก บางครั้งยังรู้สึกว่าไม่อยากกลับบ้านด้วยซ้ำ แต่ยิ่งเดินทางเข้าใกล้บ้านเพียงใดความรู้สึกโหยหาถิ่นกำเนิดก็ยิ่งมากขึ้นเพียงนั้น

หวนนึกถึงเมื่อก่อน เมื่อไรที่ต้องการกลับบ้าน พ่อจะเป็นคนขับรถมารับทุกครั้ง แต่พอตอนที่ผมอยู่ชั้น ม.๔ ผมก็เริ่มเดินทางไปและกลับบ้านเองเป็นครั้งแรก ตอนนั้นรู้สึกว่าตนเองเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาบ้างแล้ว ไม่ได้เป็นเด็กน้อยเหมือนเมื่อก่อนอีก และหลังจากนั้นมา ทุกครั้งที่ผมกลับบ้าน ผมมักรู้สึกว่าเส้นทางกลับบ้านของผมนั้นเปลี่ยนไป ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นเพราะภูมิประเทศและทิวทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไปอันเนื่องมาจากความเจริญขยายเข้าสู่ชนบทที่ทำให้ผมรู้สึกเช่นนั้น หรือเป็นเพราะว่าผมเริ่มเติบโตขึ้นทำให้ความคิดและการมองโลกของผมเปลี่ยนแปลงไปกันแน่

หวนคิดถึงการกลับมาบ้านครั้งที่แล้ว หลังจากที่เกิดเรื่องราวขึ้นมากมายในชั้น ม.๔ ทำให้ผมได้คิดและพยายามตั้งใจเรียนหนังสือ...

คิดถึงเอ๊ดที่หวุดหวิดจะต้องฝืนใจสอบเอนทรานซ์ใหม่ตามคำขอร้องของพ่อเพียงเพื่อที่จะดูแลผมได้...

คิดถึงหนังสือชั้น ม.ปลายและหนังสือติวเอนทรานซ์กองโตที่ตั้งอยู่บนโต๊ะในหอพัก...

คิดถึงชีวิตที่ท้อแท้และเสียศูนย์ไปหลายปี... แต่ในที่สุดผมก็เอาชนะตนเองจนกลับมามุเรียนหนังสือได้อีกครั้งหนึ่ง

ถ้าผมยอมแพ้ในตอนนี้ ความพยายามทั้งหมดก็ต้องสูญเปล่า!

เมื่อผมไปถึงบ้าน ตอนนั้นเป็นเวลาหลังเที่ยงแล้ว ส่วนที่ทำการค้าก็มีคนทำงานอยู่ แต่ส่วนที่เป็นบ้านกลับเงียบสงัด

“พี่ครับ ป๊ากับแม่ไปไหนกันหมดเลย” ผมถามลูกน้องคนหนึ่งของพ่อที่อยู่หน้าร้าน

“เข้ากรุงเทพฯกันหมด น้องเอ๊ดก็ไปด้วย นี่อูจะมาไม่ได้บอกใครไว้ก่อนเหรอถึงได้ไม่รู้เรื่อง” ลูกน้องของพ่อตอบ

“ไม่ได้บอกไว้ครับ ผมนึกจะมาก็มาเลย” ผมตอบ

“พี่ยังนึกว่าไปเยี่ยมอูกันเสียอีก เพราะปิดเทอมนี้ไม่เห็นอูกลับบ้าน” ลูกน้องของพ่อซึ่งเป็นคนเก่าแก่ เห็นเอ๊ดกับผมมาตั้งแต่ยังเด็กพูดเสริมขึ้น

หลังจากนั้นผมโทรไปที่หอพัก เผื่อว่าพ่อกับแม่และเอ๊ดจะไปหาผมจริงๆ แต่พี่พรที่ดูแลหอพักรับสายและบอกว่าไม่มีใครแวะมาหาผม ผมจึงได้แต่รออยู่ที่บ้านคนเดียว รู้สึกกระวนกระวายใจอยู่บ้างเพราะว่าเมื่อคืนแม่คุยด้วยท่าทีแปลกๆ ซ้ำวันนี้ก็ยังเข้ากรุงเทพฯกันไปทั้งบ้านเสียอีก เมื่อคืนแม่น่าจะบอกผมว่าวันนี้จะเข้ากรุงเทพฯแต่กลับไม่ได้บอก

กว่าที่ทั้งสามคนจะกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาเย็นแล้ว แต่ละคนสีหน้าดูไม่ดีนัก สงสัยว่าคงทะเลาะกันมาในรถ

“อู” แม่อุทานด้วยความดีใจเมื่อเห็นผม “มานานหรือยัง นึกว่าปิดเทอมนี้จะไม่มาเสียแล้ว”

“มานานแล้วละแม่ ตั้งแต่เที่ยงๆ แล้วป๊ากับแม่ไปไหนกันมาอะ” ผมอยากรู้

“อู วันนี้แม่ไปหาหมอมา” พ่อตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

“หาหมอ” ผมใจหายวูบ รู้สึกสังหรณ์ใจอย่างไรชอบกล “แม่ไม่สบายเหรอ”

“ก็ก้อนที่คอนี่น่ะสิ... ที่แม่เคยเล่าให้ฟังน่ะ... มันโตขึ้นทุกวัน ก็เลยไปหาหมอ” แม่เล่า

“หมอนัดให้ไปดูเป็นระยะเพื่อสังเกตขนาดของก้อนเนื้อ วันนี้ก็ไปตามนัด” พ่อเสริมขึ้นมา

“แล้วหมอว่าไงบ้างแม่” ผมถามอย่างร้อนรน

แม่ถอนหายใจ “หมอบอกว่าน่าจะเป็นเนื้องอก”

“แล้วต้องรักษายังไง” ผมรีบถามต่อ รู้สึกใจหายวูบ

แม่อึ้งไป เอ๊ดเลยอธิบายต่อให้ “หมอแนะนำให้ผ่าตัดเอาก้อนเนื้อออกน่ะ”

“หา กินยาไม่ได้เหรอ” คำว่าผ่าตัดช่างดูน่ากลัวเหลือเกินในความคิดของผม ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยถูกผ่าตัดเลย รวมทั้งยังไม่คิดจะถูกผ่าตัดด้วย แม่ก็คงคิดแบบนั้นเหมือนกัน

“แม่ก็ถามแบบนั้น หมอบอกว่ายาที่กินแล้วเนื้องอกยุบน่ะไม่มีหรอก ต้องผ่าตัดเอาออกอย่างเดียวเลย” เอ๊ดอธิบาย แม่ได้ยินแล้วถึงกับหน้าเสีย จนพ่อต้องสะกิดให้เอ๊ดหยุดพูด

“ไปๆๆ เข้าบ้านไปพักก่อน ขับรถมาเหนื่อยๆ มีอะไรเอาไว้ค่อยคุยกันทีหลัง” พ่อตัดบท

จากนั้นพวกเราก็แยกย้ายกัน พ่อกับแม่หายเข้าไปหลังบ้าน ส่วนผมกับเอ๊ดขึ้นห้องนอน เมื่อไปถึงห้องนอนเอ๊ดจึงได้เล่าเพิ่มเติมให้ผมฟังว่าหมอติดตามขนาดของก้อนเนื้อมาหลายเดือน พบว่ามันโตขึ้น จึงคิดว่าน่าจะเป็นเนื้องอกและควรผ่าตัดเอาออก แต่แม่ยังลังเลเพราะกลัวการผ่าตัด จึงอยากรอเพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงให้แน่ชัดอีกสักระยะหนึ่ง แต่พ่อไม่ค่อยเห็นด้วยเนื่องจากเห็นว่าแม่ประวิงเวลาเพราะว่ากลัวการผ่าตัด หากทิ้งไว้นานจะยิ่งเป็นผลเสีย ทั้งสองจึงถกเถียงกันอย่างเคร่งเครียดมาในรถตลอดทาง

“แล้วเนื้องอกนี่มัน...” ผมลังเลที่จะพูดออกมา “มันเนื้อดีหรือเนื้อร้าย ผ่าตัดแล้วจะหายขาดไหม”

“หมอบอกว่าหลังจากผ่าตัดแล้วก็จะเอาชิ้นเนื้อไปตรวจ ถ้าเป็นเนื้องอกธรรมดาก็คงจบ แต่ถ้าเป็น เอ้อ มะเร็ง ก็คงยังไม่จบ” เอ๊ดพูด

“ไม่จบยังไง” ผมใจหายวาบเมื่อคิดในแง่ร้ายขึ้นมา

“ก็ยังไม่รู้ เรื่องนี้หมอยังไม่ได้คุยอะไรมาก คุยเรื่องการผ่าตัดมากกว่า” เอ๊ดตอบ

คุยกันได้ถึงตอนนี้แม่ก็เดินเข้ามาในห้อง พวกเรารีบหยุดคุย สีหน้าของแม่บ่งบอกแววไม่สบายใจซึ่งผมพอจะเข้าใจความรู้สึกของแม่ คำว่าเนื้องอกกับผ่าตัดคงทำให้แม่กังวลใจไม่น้อยเลย

“แม่ แม่มีอะไรทำไมไม่เล่าให้อูฟังบ้าง” ผมอดต่อว่าแม่ไม่ได้เมื่อนึกถึงว่าผมตกข่าวเรื่องสำคัญในบ้านไป “แล้วเมื่อวานแม่จะเข้ากรุงเทพฯทำไมไม่บอกอูสักคำ เผื่อว่าอูจะได้ติดรถกลับมาบ้านด้วย”

“ก็เมื่อวานแม่ได้ยินว่าอูยังไม่คิดกลับบ้านในช่วงนี้ แม่ก็เลยไม่ได้พูดอะไร” แม่อธิบาย “เห็นอูมัวยุ่งกับเรื่องดูหนังสือสอบ ไหนจะสอบเทียบ ไหนจะเตรียมตัวสอบเอนทรานซ์ แม่ก็ไม่อยากให้อูมีเรื่องกังวลใจ เลยไม่ได้เล่าอะไรให้ฟัง อยากให้อูมีสมาธิดูหนังสือให้เต็มที่”

ผมอึ้งกับคำตอบของแม่ ถึงแม้ว่าแม่จะไม่สบายแต่แม่ก็ยังอดเป็นห่วงและคิดแทนผมไม่ได้ ดูท่าแม่คงห่วงผมยิ่งกว่าตัวเองเสียอีก

“แม่รู้เรื่องนี้แล้วเหรอ” ผมพูดพลางหันไปมองเอ๊ด

“เอ๊ดบอกเองแหละ อยากให้แม่สบายใจว่าอูอยู่กรุงเทพฯคนเดียวได้และยังตั้งใจเรียนด้วย” เอ๊ดพูด “แต่ยังไม่ได้บอกป๋านะ”

ปิดเทอมในปีนั้นที่บ้านของเราเหมือนปกคลุมไปด้วยเมฆดำที่หนาทึบ ทุกคนมีแต่ความหนักใจ แม่เองดูซึมลงไปถนัด คงคิดหนักถึงเรื่องคำแนะนำของแพทย์ พ่อนั้นเห็นด้วยกับการผ่าตัด ส่วนเอ๊ดและผมเนื่องจากไม่ค่อยมีความรู้นักจึงไม่อาจให้ความเห็นอะไรได้

ผมกลับบ้านได้ไม่กี่วันแล้วก็กลับมายังกรุงเทพฯอีกเนื่องจากใกล้เปิดเทอมแล้ว การดูหนังสือเตรียมตัวสอบเอนทรานซ์ของผมในช่วงนี้ไม่คืบหน้าเอาเลย มีแต่เรื่องรบกวนจิตใจจนไม่สามารถรวบรวมสมาธิได้ การกลับบ้านในครั้งนี้ทำให้ผมยิ่งรู้สึกวุ่นวายใจหนักยิ่งขึ้น แม้ความสนใจของผมจะหันเหออกไปจากบอยได้ชั่วคราวทำให้คลายความทุกข์จากเรื่องของบอยได้บ้าง แต่มันไม่ใช่การคลายทุกข์เพราะเกิดความสบายใจ ตรงกันข้าม มันเป็นการคลายทุกข์เนื่องจากไปทุกข์ในอีกเรื่องหนึ่งแทน อาการป่วยของแม่ทำให้ผมกังวลใจไม่น้อย ได้แต่ปลอบใจตนเองว่าเรื่องคงจบลงแค่เป็นเนื้องอกธรรมดา

- - -

เดือนพฤศจิกายน

ในที่สุดภาคสองของปีการศึกษาก็เริ่มขึ้นหลังจากที่ปิดเทอมมาระยะหนึ่ง ผลการสอบของผมอยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ ได้เกรดสองปลายๆ แม้การเรียนจะเสียไปบ้างในช่วงปลายภาคแรกแต่คะแนนเก็บตลอดทั้งเทอมก็พอช่วยได้ เกรดที่ได้เรียกได้ว่าเกินความคาดหมายของผมเสียด้วยซ้ำ นึกว่าจะแย่กว่านี้เสียอีก

เรื่องแรกที่ผมทำเมื่อไปถึงโรงเรียนในวันเปิดเรียนวันแรกก็คือ... ไปที่สหกรณ์

แม้ผมจะรู้ว่าช่วงหลังบอยไม่ค่อยได้ขึ้นมาทำงานที่สหกรณ์แล้ว แต่ผมก็อยากลองเสี่ยงมาดูเพราะหากเจอบอยที่นี่คงสะดวกในการพูดคุยมากกว่าไปหาบอยที่ห้องเรียน ปกติสหกรณ์จะเริ่มเปิดให้บริการเมื่อเปิดเทอมไปแล้วระยะหนึ่ง แต่ผมรู้ดีว่าจะต้องมีพวกขาประจำมานั่งสุมหัวกันอยู่

เมื่อผมไปถึงสหกรณ์ ประตูปิดอยู่ แต่ภายในมีเสียงคุยกันลอดออกมา ผมจึงเปิดประตูเข้าไป เห็นข้างในเป็นนักเรียนรุ่นน้องสามคนนั่งคุยกันอยู่ คนหนึ่งในนั้นคือไอ้ตัวแสบที่เคยจับบอยเอาเทปคาดปากและผมมีส่วนร่วมมือด้วยเมื่อตอนต้นเทอมที่แล้วนั่นเอง ในห้วงคำนึงผมเหมือนกับได้เห็นภาพบอยกำลังนอนดิ้นอยู่และถูกรุ่นพี่รุมแกล้งอยู่ในห้องสหกรณ์... เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน

“บอยมานี่บ้างหรือเปล่าน้อง” ผมถาม

“เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยขึ้นมาแล้วพี่” หนึ่งในสามคนตอบ

ผมปิดประตูกลับไปอย่างเก่า คำตอบของรุ่นน้องไม่ได้ผิดความคาดหมายของผมแต่อย่างใด ขณะกำลังยืนลังเลอยู่ที่หน้าห้องสหกรณ์ว่าจะหาทางคุยกับบอยอย่างไรดีนั้นเอง ผมก็ได้ยินเสียงคนในห้องคุยดังลอดช่องระบายอากาศที่อยู่เหนือประตูออกมา

“ไอ้พี่นี่มันมาหาไอ้ตุ๊ดหน้าหม้ออีกแล้วโว้ย ฮ่ะฮ่ะ”

ผมรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว จากนั้นก็รู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งตัว คำพูดที่ลอยลมมานั้นเสียดแทงใจผมยิ่งนัก ผมพยายามยืนฟังต่อแต่หลังจากนั้นก็เป็นเสียงที่คุยกันอย่างแผ่วเบาจนผมจับความไม่ได้

เมื่อได้ยินไม่ถนัด ผมจึงเดินจากห้องสหกรณ์มา เดินไปเรื่อยๆตามทางระเบียงอันยาวเหยียดจนมาถึงบันได ผมนั่งแอบอยู่ที่ม้านั่งยาวที่ระเบียงใกล้ช่องบันไดทางลงจากตึก จากนั้นก็นั่งรอและสังเกตนักเรียนที่เดินลงบันไดไป...

ผมรออยู่นานพอสมควร จนใกล้ได้เวลาเคารพธงชาติ จึงเห็นเป้าหมายที่ผมต้องการ ผมเดินตามมันลงบันไดไป และเมื่อลงมาถึงชั้นล่าง ในจังหวะที่มันเดินอยู่คนเดียว ผมก็เดินเข้าไปประกบทันที

“เฮ้ย น้อง มาทางนี้หน่อย พี่ขอคุยด้วย” ผมพูดเสียงห้วนกับมัน มันที่ว่านี้ก็คือไอ้ตัวแสบ ม.๔ ที่เคยจับบอยเอาเทปคาดปากนั่นเอง

“อะไรเหรอพี่” ไอ้ตัวแสบทำหน้าเหรอหรา แต่ก็เดินตามผมไปโดยดี

เราเดินไปจนถึงมุมที่ค่อนข้างลับตาและห่างจากกลุ่มผู้คนพอสมควร ผมก็ถามมันทันที

“เอ็งเรียกไอ้บอยว่าอะไรวะ” ผมถาม

“ไอ้บอย เอ้อ...” มันทวนคำอย่างอึกอัก “ก็เรียกไอ้บอยน่ะสิพี่”

“พี่ได้ยินเอ็งเรียกอย่างอื่นด้วยนี่” ผมคาดคั้นมัน “พูดมา”

ไอ้ตัวแสบหน้าเจื่อน

“พี่อูได้ยินเหรอ ก็เรียกกันเล่นๆน่ะพี่ แหะแหะ”

“พวกเอ็งเรียกไอ้บอยว่าอะไร” ผมถามย้ำอีก

“เรียกว่า...” ไอ้ตัวแสบหลบสายตาผม “ไอ้ตุ๊ดหน้าหม้อครับ”

ผมรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ความโกรธพลุ่งขึ้นมาในอารมณ์

“ทำไมมึงเรียกมันยังงั้นวะ” ความโกรธทำให้ผมเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้เรียกมันไป

“...”

“เฮ้ย กูถามมึงอยู่” ผมตะคอกมัน

“ก็...” ไอ้ตัวแสบอึกอัก ตอบด้วยเสียงแผ่วเบา “เดิมเราล้อมันเป็นไอ้ตุ๊ด แล้วมันก็ไปจีบผู้หญิง พวกเราก็เลยเปลี่ยนฉายาให้มันใหม่เป็น... เอ่อ... เป็นอย่างนั้นแหละพี่”

ไอ้ตัวแสบเดินหนีไปแล้ว เหลือแต่ผมที่ยืนงงอยู่ที่เดิม นักเรียนเดินผ่านขวักไขว่ไปมาเพื่อไปเข้าแถวเคารพธงชาติแต่ผมกลับรู้สึกเวิ้งว้างราวกับที่นี่เป็นโรงเรียนร้าง...

จู่ๆผมก็นึกถึงพี่เต้ขึ้นมา จากคำบอกเล่าของไอ้ตัวแสบทำให้ผมได้เค้าลางอะไรมาบางอย่างแล้ว เรื่องของบอยอาจเป็นกุญแจไขไปสู่คำตอบของปริศนาเรื่องการหายตัวไปอย่างลึกลับของพี่เต้ในครั้งนั้นก็เป็นได้ หรือในทางกลับกัน เรื่องของพี่เต้ก็คงเป็นกุญแจไขปริศนาเรื่องการหลบกน้าของบอยได้เช่นเดียวกัน

- - -

คำบอกเล่าของไอ้รุ่นน้องตัวแสบรบกวนจิตใจผมอย่างมาก รู้สึกเสียใจที่บอยต้องมาโดนอะไรแบบนี้ ผมอยากจะคุยกับบอยเหลือเกินแต่ก็ไม่กล้าไปหาบอยที่ห้องเรียน ตลอดทั้งวันผมเรียนหนังสือไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย คอยแต่เร่งเวลาเพื่อจะให้เลิกเรียนไวๆ

เมื่อถึงเวลาเลิกเรียน ผมไปดักซุ่มแถวๆหน้าตึกที่บอยเรียน ผมรู้ว่าช่วงเปิดเทอมใหม่ๆคอร์สกวดวิชามักยังไม่เริ่มกัน ดังนั้นหากบอยไม่ไปไหนกับเพื่อนๆก็น่าจะกลับบ้านหรือไม่ก็ไปหา...

สักครู่ก็เห็นบอยเดินลงจากตึกมากับเพื่อนๆ ผมเดินตามไปเรื่อยๆ เพื่อนๆในกลุ่มของบอยทยอยกันแยกย้ายไป จนเมื่อถึงหน้าประตูโรงเรียน เพื่อนๆของบอยก็แยกย้ายกันไปจนหมด เหลือแต่บอยเดินอยู่คนเดียวที่ริมถนน แม้รอบข้างจะมีนักเรียนโรงเรียนเดียวกันเดินอยู่แต่ก็เป็นลักษณะของต่างคนต่างเดิน

“บอย” ผมเดินปราดเข้าไปทักบอย บอยสะดุ้งเล็กน้อย

“พี่อู” บอยอุทาน

“บอย ไปหาที่คุยกับพี่หน่อยเถอะ” ผมพูดกับบอยด้วยเสียงที่อ่อนโยน ผมไม่ได้นึกโกรธเคืองบอยเลยที่พยายามหลบเลี่ยงผมมาโดยตลอด ตรงกันข้าม กลับรู้สึกเห็นใจบอยด้วยซ้ำไป

“บอยจะรีบไปฮะพี่อู” บอยอึกอัก มองซ้ายมองขวา

กิริยาของบอยทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับถูกตบหน้าไปฉาดใหญ่ ทำไมนะ การที่เราคุยกันมันน่าอับอายนักหรือไง

“บอย พี่เพิ่งรู้ว่านายเจออะไรมา ขอพี่คุยกับนายสักครั้งเถอะ จะได้เข้าใจกัน และถ้านายอยากให้นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะคุยกัน... มันก็จะเป็นครั้งสุดท้าย” ผมหลุดปากออกไป “แล้วพี่จะไม่มากวนนายอีก”

Monday, May 17, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 63

“วันนี้นายไปเที่ยวกับใครน่ะ” ผมถามไม่อ้อมค้อม

“...”

“บอย พี่เห็นนายนะ นายไม่ได้ไปติวสักหน่อย”

“บอยไปกับส้มฮะ” บอยอ้อมแอ้ม

“ก็ไหนว่า...” คราวนี้ถึงทีผมอึ้งบ้าง ก็บอยเลิกติดต่อกับส้มไปแล้วนี่

“ส้มกลับมาคืนดีกับบอยแล้ว ไอ้รุ่นพี่คนนั้นแค่จีบส้มเล่นๆ...” บอยอธิบายไม่ค่อยเต็มเสียงนัก

“...” คราวนี้ถึงทีผมพูดไม่ออกบ้าง นึกไม่ถึงว่าเรื่องของส้มจะมีการพลิกล็อกได้อีก

“พี่อู” ได้ยินเสียงบอยเรียกผมเบาๆจากปลายสายด้านโน้น “คำถามที่พี่อูเคยถามบอย แล้วบอยคิดว่าบอยตอบไม่ดีขอตอบใหม่น่ะ...”

ผมหวนนึกถึงวันที่บอยกำลังเซ็งกับชีวิตและผมนั่งปลอบใจมันอยู่ในโรงอาหาร วันนั้นผมถามบอยว่าระหว่างคนที่บอยชอบแต่เป็นการชอบอยู่ข้างเดียว กับคนที่แอบชอบบอยและทำดีกับบอยอยู่เสมอ บอยจะเลือกใคร แล้วบอยตอบว่าขอเลือกคนที่บอยชอบ จากนั้นบอยก็ขอตอบใหม่แต่ยังไม่ทันได้ตอบ

“บอยอยากตอบใหม่ว่า...” บอยพูดต่อ “บอยอยากเลือกทั้งสองคน คนหนึ่งเป็นแฟน... และเลือกอีกคนหนึ่งเป็นพี่... เอ้อ... เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของบอย บอยตอบแบบนี้เห็นแก่ตัวไปหรือเปล่าฮะ”

“พี่เป็นได้แค่นั้นเองหรือบอย...” ผมพูดด้วยเสียงอันแผ่วเบาราวกับกำลังรำพึงกับตนเอง

- - -

ดึกแล้ว

เสียงเปียโนในเพลง Variations on the Kanon by Johann Pachelbel จากชุด December ที่บอยให้ผมเป็นของขวัญชวนให้เหงาและเศร้าสร้อย ผมนั่งอยู่ในความมืดภายในห้องมานานเท่าไรแล้วก็ไม่รู้ รู้สึกเหงา... เหงาอย่างสุดหัวใจ ถ้าหัวใจของผมเป็นอาหารของความเหงาป่านนี้คงโดนมันกัดกินไปจนแทบจะหมดอยู่แล้ว ผมไม่เคยรู้สึกเหงาอย่างนี้มานานแล้วนับแต่ไอ้นัยจากไป...

ผมเคยคิดว่าบอยเป็นเด็กที่ใสซื่อ คิดอะไรก็พูดอย่างนั้น ความคิดของบอยนั้นอ่านง่ายเหมือนกับเปิดอ่านหนังสือ แต่มาในตอนนี้ผมกลับรู้สึกว่าบอยเป็นคนที่ผมแทบไม่เข้าใจอะไรเลย ผมพยายามคิดหาเหตุผลว่าทำไมบอยจึงคิดและทำแบบนี้แต่ก็คิดไม่ออก

บอย นายไปกินข้าวดูหนังกับพี่ทำไม
นายซื้อของขวัญให้พี่ทำไม
วันที่เราไปสวนลุมนายนอนหนุนไหล่พี่ทำไม
ตอนที่เราดูหนังกันนายซบหน้ากับหัวไหล่พี่ทำไม
ในวันที่พี่เหงานายเข้ามาในชีวิตของพี่ทำไม...
คำถามมากมายวนเวียนอยู่ในหัวของผมแต่มันล้วนไร้คำตอบ...

- - -

“ฮัลโหล สวัสดีครับ ผมขอสายบอยครับ”

“บอยนอนไปแล้วจ้ะหนู”

“บอยยังไม่กลับมาเลย”

“บอยไม่อยู่บ้านจ้ะ”

หลังจากที่การสอบปลายภาคที่โรงเรียนเสร็จสิ้นลง ในสัปดาห์ถัดไปก็จะเป็นช่วงเวลาการสอบของ กศน. เทอมนี้ผมลงทะเบียนไป ๔ วิชา เนื้อหาที่ต้องสอบครอบคลุมตั้งแต่ ม.๔ ถึง ม.๖ รวมสามปี ซึ่งผมเตรียมตัวทันถึงเพียง ม.๖ เทอมหนึ่งหรือว่า ๕ ภาคเรียนเท่านั้น ส่วนเนื้อหาของ ม.๖ เทอมปลายยังไม่ได้อ่านเลย เดิมทีคิดเอาไว้ว่าหลังจากสอบที่โรงเรียนเสร็จแล้วมีเวลาเหลืออีกนิดหน่อยจะเอาวิชา ม.๖ เทอมปลายมาอ่านดูแบบได้เท่าไรก็เอาเท่านั้น หรือไม่อย่างนั้นก็เอาเวลามาทวนเนื้อหาของ ๕ เทอมที่อ่านมาแล้ว

ที่ผมวางแผนไว้เช่นนี้ก็เพราะว่าในการสอบ กศน. นั้นมีทั้งคะแนนเก็บซึ่งเป็นคะแนนจากการพบกลุ่มและกิจกรรมอื่นๆ กับคะแนนสอบ อีกทั้งข้อสอบก็ไม่ยากนัก ซึ่งถ้าผมเตรียมตัวสอบมาดีพอ ความรู้เพียงแค่ ๕ ภาครวมกับคะแนนเก็บก็น่าจะเพียงพอที่จะทำให้สอบผ่านได้แล้ว ถึงไม่ดูเนื้อหาของ ม.๖ เทอมปลายเลยก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรเพราะแม้ว่าทำข้อสอบไม่ได้แต่หากกามั่วๆก็ยังมีโอกาสได้คะแนนอยู่ตามหลักของความน่าจะเป็น ดังนั้นก็จะเสียคะแนนไปเพียงส่วนเดียว แต่หากดูทันก็ดูเสียหน่อยถือเสียว่าเป็นของแถม นอกจากนี้ใบประกาศนียบัตรวิชาพิมพ์ดีดผมก็ได้มาแล้วด้วยความสามารถของตนเอง ไม่ต้องไปซื้อมาเหมือนไอ้เชาวน์

แต่หลังจากเหตุการณ์ที่ผมเห็นบอยโดยบังเอิญและได้คุยโทรศัพท์กับบอย หลังจากนั้นผมก็พยายามโทรไปหาบอยอีกหลายครั้งแต่ว่าไม่เคยได้คุยกับบอยเลย จนผมค่อนข้างแน่ใจว่าบอยพยายามเลี่ยงที่จะไม่รับสายของผม โรงเรียนก็ยังปิดเทอมอยู่ บ้านของบอยผมก็ไม่รู้จัก ดังนั้นผมจึงหมดทางที่จะคุยกับบอยได้

ความรู้สึกผิดหวังและเสียใจทำให้ผมหมดกำลังใจที่จะอ่านหนังสือหรือว่าทำอะไรไปจนหมด คนเรามีการแสดงออกตอบสนองต่อความผิดหวังต่างๆกัน บางคนทำใจได้เร็ว บางคนทำใจได้ช้า บางคนเข้มแข็งสามารถเดินหน้าต่อไปได้ แต่บางคนก็เสียหลักล้มลงไปเลย ขึ้นอยู่กับบุคลิกภาพของคนคนนั้น สำหรับผมแล้วเป็นอย่างหลัง

โดยปกติชีวิตวัยรุ่นเป็นช่วงชีวิตที่อารมณ์ไม่คงตัวอยู่แล้ว ดีใจง่าย เสียใจง่าย รักง่าย หน่ายง่าย คาดหวังสูง ผิดหวังง่าย ฯลฯ เป็นลักษณะของวัยรุ่นโดยทั่วไป วัยรุ่นเป็นวัยที่ติดเพื่อน เพื่อนจะมีบทบาทและอิทธิพลสูงต่อชีวิตวัยรุ่น ส่วนวัยรุ่นบางคนก็จะเริ่มเรียนรู้ความรักระหว่างเพศในช่วงนี้ ทำให้เรียนรู้ทั้งรักระหว่างเพื่อนและรักระหว่างเพศไปด้วยกัน สำหรับผมนั้นชีวิตที่ผ่านมามีเพื่อนค่อนข้างน้อย อีกทั้งแทนที่จะพัฒนาความรักระหว่างเพศก็กลับกลายเป็นพัฒนาความรักของเพศเดียวกันไปเสียอีก ดังนั้นความคิดของผมจึงสับสนอยู่พอสมควร ประกอบกับประสบการณ์ในอดีตจึงทำให้ผมกลายเป็นคนที่อ่อนไหวต่อเรื่องของความรักเป็นอย่างมาก ผมพยายามหาคำตอบว่าชีวิตคืออะไร ความรักคืออะไรกันแน่ และชีวิตที่ผิดหวังจะก้าวต่อไปทางไหน แต่ก็ไม่ได้คำตอบอะไร

ตลอดสัปดาห์ก่อนหน้าการสอบ กศน. ผมไม่ได้อ่านหนังสืออะไรเลย ที่จริงก็พยายามอ่านอยู่บ้างแต่ก็ไม่เข้าหัวเลยแม้แต่น้อย ในที่สุดก็เลยเลิกอ่าน ใจหนึ่งคิดจะเลิกสอบเพราะอยากกลับบ้านไปหาพ่อ แม่ และเอ๊ดมาก เพราะว่าตอนนั้นสูญเสียความหมายในชีวิตไปอีกแล้วจึงไม่รู้ว่าจะสอบไปทำไม แต่อีกใจหนึ่งก็อดเสียดายความพยายามที่ผ่านมาทั้งหมดไม่ได้... ไม่ว่าความพยายามในการเรียน การสอบ และความพยายามที่จะได้ความรักจากใครสักคน ผมไม่อยากพ่ายแพ้ในลักษณะนี้ อีกประการก็คือหากผมกลับบ้านไปในตอนนี้ที่บ้านก็คงสังเกตออกว่าผมมีปัญหาอีก ไม่อยากให้พ่อกับแม่รู้ว่าผมกำลังมีปัญหาเลย

ในที่สุดผมก็ตัดสินใจที่จะยังไม่กลับบ้าน และก็ไปสอบ กศน. แต่เป็นการสอบแบบขอไปที คือไม่ได้เตรียมตัวอะไรหลังจากนั้นอีกเลย กะว่าได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น และการสอบเป็นไปตามที่ได้รู้มาจริงๆ นั่นคือข้อสอบไม่ยากนัก แต่ถึงกระนั้นผมก็ไม่มั่นใจว่าจะสอบผ่านหรือไม่ แต่ถึงจะได้หรือตกก็คงไม่ต่างกันเพราะว่ามันไม่ได้มีความหมายอะไรต่อผมอีกต่อไปแล้ว

- - -

ช่วงเวลาปิดเทอมในตอนเป็นช่วงที่ผมเคว้งอย่างหนัก อยู่ในกรุงเทพฯก็ใช้ชีวิตแบบฆ่าเวลาไปวันๆ บางทีก็ไปนั่งเล่นที่ห้องสมุดบ้าง แต่ไปแล้วก็ไม่ได้อ่านหนังสืออะไร ไปเดินห้างบ้าง บางทีก็ไปเดินเล่นที่สวนลุม ที่พอจะคลายเหงาและทำให้ชีวิตพอมีสีสันอยู่บ้างก็คือการได้ไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ได้แก่ หมู กรณ์ และสิทธิ์ ส่วนเรื่องการเตรียมตัวสอบเอนทรานซ์นั้นผมหยุดไปเลยเพราะพยายามแล้วแต่ว่าฝืนใจดูหนังสือสอบไม่ไหว

ผมคิดถึงบอยอยู่ตลอดเวลา พยายามโทรศัพท์หาบอยหลายครั้งแต่บอยไม่มีโอกาสได้คุยกับบอยเลย จนในที่สุดผมรู้สึกอายทางบ้านของบอยที่คอยรับโทรศัพท์แทนจึงไม่ได้โทรไปหาบอยอีก

ความหวังที่ความสัมพันธ์ระหว่างผมและบอยจะลงเอยกันได้ยิ่งนานก็ยิ่งเลือนราง เหมือนตะวันยามใกล้สิ้นแสง รอเวลาที่จะเข้าสู่ยามค่ำคืน แน่นอน ผมรู้ดีว่าในที่สุดก็จะถึงรุ่งเช้าของอีกวันหนึ่ง แต่ผมไม่รู้ว่าวิกาลครั้งนี้จะยาวนานเพียงใด รวมทั้งไม่รู้ว่าจะผ่านเวลาอันมืดมิดไปจนกว่าจะถึงรุ่งเช้าได้อย่างไรอีกด้วย

ผมเคว้งหนักในกรุงเทพฯอยู่หลายวัน อยากกลับบ้านมากแต่ก็ไม่กล้ากลับ ผมกลัวที่จะต้องตอบคำถามของเอ๊ดว่าผมดูหนังสือไปได้ถึงไหนแล้ว ผมกลัวทางบ้านจะรู้ว่าในที่สุดครั้งนี้ผมก็คงล้มเหลวอีกเช่นเคย ความตั้งใจที่เคยบอกกับคนในบ้านในที่สุดแล้วก็กลายเป็นแค่คำคุยโตโอ้อวด พูดอะไรไป รับปากอะไรไป สุดท้ายก็ไม่เคยทำได้... ผมไม่รู้ว่าเมื่อกลับไปแล้วจะมองหน้าพ่อ แม่ และเอ๊ดได้อย่างไร

“อู รับโทรศัพท์” เสียงเรียกจากอินเตอร์คอมชั้น ๔ ดังขึ้นในคืนวันหนึ่ง มันเป็นเสียงของแป๋ง แต่น่าแปลกที่วันนี้แป๋งเรียกผมแตกต่างออกไปจากทุกครั้ง

“ลงไปเดี๋ยวนี้แหละ” ผมตะโกนตอบอินเตอร์คอม รู้สึกหัวใจแช่มชื่นขึ้นมาวูบหนึ่ง คนที่โทรมาอาจเป็นบอยก็ได้

เมื่อผมลงไปถึงข้างล่าง เห็นแป๋งนั่งอยู่ที่โต๊ะของพี่พร ผมไม่ได้เจอกับแป๋งมาพักใหญ่แล้ว เมื่อเห็นแป๋งในครั้งนี้ผมพบว่าแป๋งขรึมไปมาก สีหน้าของแป๋งไม่ยิ้มแย้มเหมือนเคย

“ฮัลโหล” ผมรับสายด้วยใจที่เต้นระทึก ขอให้เป็นบอยเถอะ

“อู ทำไมปิดเทอมแล้วไม่กลับบ้านเสียที” เสียงอันคุ้นเคยดังมาจากปลายสายด้านโน้น

“...”

“อู นี่แม่ถามได้ยินหรือเปล่า” เสียงแม่เรียกอีก วันนี้น้ำเสียงของแม่อ่อนโยน ไม่มีแววต่อว่าต่อขานเลยแม้แต่น้อย

ได้ยินแล้วแม่ แต่ยังนึกไม่ออกว่าจะตอบยังไงดี

“อูอยู่ต่อเที่ยวกับเพื่อนหน่อยน่ะแม่” ผมตอบ ซึ่งมันก็มีส่วนจริงอยู่บ้างเหมือนกัน “ช่วงนี้มีหนังน่าดูเข้าหลายเรื่อง”

“อยู่ต่อ?” แม่ทวนคำ “ต่อไปต่อมาพอดีเปิดเทอมไม่ต้องกลับบ้านกัน”

แม่หยุดไปนิดหนึ่งแล้วพูดต่อ

“อูมาอยู่บ้านหน่อยนะ แม่คิดถึง”

“แม่... แม่มีอะไรหรือเปล่า” ผมชักเอะใจ น้ำเสียงและถ้อยคำที่แม่พูดน่าผิดสังเกต

“ก็...ไม่มีอะไรหรอก ปิดเทอมไม่เห็นอูกลับบ้านแม่ก็เลยถามดู” แม่ตอบด้วยน้ำเสียงที่กลับเป็นปกติจนผมจับเค้าอะไรไม่ได้อีก

หลังจากคุยกันในเรื่องทั่วไปกันอีกชั่วครู่สัญญาณเตือนใกล้ครบห้านาทีของเครื่องโทรศัพท์ก็ดังเตือนขึ้น

“ว่างๆก็กลับบ้านบ้างนะอู” แม่ทิ้งท้ายก่อนวางสายไป

ผมวางหูโทรศัพท์ลงอย่างงงๆ วันนี้น้ำเสียงและถ้อยทีการพูดของแม่ดูแปลกๆไปแต่ผมนึกสาเหตุอย่างไรก็นึกไม่ออก จะว่าพ่อกับแม่ทะเลาะกันอีกก็ไม่น่าจะใช่ เพราะถ้าอย่างนั้นแม่จะพูดออกมาในเชิงบ่นมากกว่า

“มีอะไรหรือเปล่าอู” แป๋งทักทาย แป๋งคงได้ยินเสียงที่ผมคุยอยู่บ้าง

“แม่อยากให้กลับบ้านน่ะ” ผมตอบ

“เออ นั่นดิ ปิดเทอมแล้วทำไมนายไม่กลับบ้านล่ะ” แป๋งพลอยสงสัยไปด้วย

ผมมองดูแป๋ง สังเกตว่าไม่ได้เจอกันมาพักใหญ่ ก็เป็นเดือนอยู่เหมือนกัน แป๋งที่ปกติผอมอยู่แล้วยิ่งดูซูบลงไป เค้าหน้าเรียว แก้มตอบ และที่สำคัญคือแป๋งดูไม่ร่าเริงเหมือนเคย

“นายไม่สบายหรือเปล่าวะ ทำไมดูผอมลงไป จะเป็นไม้เสียบผีอยู่แล้ว” ผมเสเรื่อง

“ก็ไม่ได้เป็นไรหรอก” แป๋งตอบอย่างเนือยๆ

“ได้ยินว่าวุฒิย้ายออกไปแล้วเหรอ” ผมถามอีก

แป๋งพยักหน้าตอบแทนคำพูด

“แล้วยังติดต่อกันอยู่อีกไหม” ผมซัก

แป๋งส่ายหน้า

“นายเข้านอนได้แล้ว นอนไม่พอเดี๋ยวก็ไม่โตหรอก” แป๋งทำตลก

“เออๆ ไปแล้วๆ” ผมรับมุขของมัน รู้ว่าคงได้เวลายุติการสนทนาแล้ว

คืนนั้นผมนอนไม่หลับ ตีสองแล้วก็ยังขึ้นไปนั่งเล่นบนดาดฟ้า ท้องฟ้าในเดือนตุลาคมไร้ดาวเนื่องจากเมฆฝนที่ปกคลุมเหนือกรุงเทพฯ คงมีแต่แสงไฟจากถนนและตึกรามบางแห่ง สายลมแฝงกลิ่นไอฝนโชยมาปะทะหน้าของผมอย่างแผ่วเบา คืนฟ้าไร้ดาวนี้ช่างเงียบเหงาเสียจริงๆ

ผมนั่งอยู่บนดาดฟ้าเป็นเวลานาน ปล่อยหัวใจและความคิดให้ล่องลอยไป คิดถึงเรื่องบอย เรื่องการสอบ เรื่องที่บ้าน เรื่องเป้าหมายในชีวิต วนไปเวียนมา... สายลมพัดแรงขึ้น ท้องฟ้าแลบแปลบปลาบ แล้วจู่ๆฝนก็เทลงมาอย่างหนัก ความคิดของผมสับสนและแปรปรวนไม่ต่างจากท้องฟ้าในยามนี้เลย

ผมกลับลงมาที่ห้อง ฝนตกทำให้อากาศเย็นสบาย ผมผลอยหลับไปโดยไม่รู้ตัว กว่าจะตื่นขึ้นมาก็สายแล้ว ฝนหยุดไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เมื่อตื่นขึ้นมาผมก็รีบอาบน้ำแต่งตัวและจัดเสื้อผ้าใส่เป้

ผมกำลังจะเดินทาง และจุดหมายปลายทางของผมก็คือ...

บ้าน!

Tuesday, May 11, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 62

การสอบในวันแรกเป็นไปอย่างเรียบร้อยแต่ไม่ราบรื่นนัก ที่ว่าเรียบร้อยคือผมคิดว่าพอทำได้ ยังไงก็คงไม่ถึงกับสอบตก ซึ่งเป้าหมายของนักเรียนที่ต้องการสอบเทียบนั้นก็คงต้องการเพียงแค่นี้ เหตุที่ยังทิ้งการสอบในชั้นเรียนไปเลยไม่ได้เพราะว่าต้องกันเหนียวเอาไว้บ้าง หากเกิดเหตุผิดพลาดไม่คาดหมายจนสอบเทียบไม่จบก็ยังพออาศัยจบ ม.ปลายจากโรงเรียนสามัญได้ จะเรียกว่าจับปลาสองมือก็คงไม่ผิดนัก พวกกลุ่มเรียนเก่งทำข้อสอบด้วยความสบายใจเพราะว่าการทำให้แค่พอผ่านนั้นไม่ใช่เรื่องยากสำหรับนักเรียนเหล่านี้ แต่สำหรับผมแล้วเนื่องจากพื้นฐานไม่ดีเท่าเพื่อนกลุ่มนี้ ดังนั้นการทำข้อสอบของผมแม้จะให้แค่พอผ่านก็ไม่ง่ายนัก

ส่วนที่ว่าไม่ราบรื่นก็เป็นเพราะว่าผมต้องทำข้อสอบทั้งๆที่ท้องหิวเนื่องจากกินอาหารเช้าไม่ทัน เวลาหิวนี่คิดอะไรไม่ออกจริงๆอย่างที่พี่ธิตว่า

ที่นั่งสอบของผมในครั้งนี้อยู่ในแนวที่นั่งสอบของเวชและพวก ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมไม่ค่อยสบายใจนักเพราะว่าหากมีการลำเลียงฝิ่นกันขึ้นผมก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี หากไม่ช่วยพวกมันก็คงต้องมีเรื่องกันเหมือนเมื่อปีที่แล้วอีก แต่โชคดีที่ในการสอบครั้งนี้ไม่มีการส่งฝิ่นกันเลย

- - -

มหาลัย มหาหลอก
เด็กชายบ้านนอก เด็กหญิงบ้านนา
รํ่าเรียนรู้ในวิชา
แต่จบออกมายังไม่มีงานทํา
ไม่มีงานก็ไม่มีเงิน
ออกเดินเดินเดินยํ่าสมัครงาน
สอบเท่าใดยังสอบไม่ผ่าน
มันหัวปานกลาง เขาเอาแต่หัวดีๆ
มีความรู้สู้เขาไม่ได้
เส้นเล็กเส้นใหญ่เส้นก๋วยจั๊บไม่มี
นามสกุลไม่สง่าราศี
เป็นลูกตามีเป็นแค่หลานยายมา

การสอบปลายภาคผ่านไปสองวัน จนมาถึงวันสอบวันสุดท้าย ในตอนเช้าของวันสอบวันสุดท้ายนั้นผมเดินขึ้นตึกมาพร้อมกับไอ้นน เราเจอกันที่หน้าประตูโรงเรียนจึงเดินมาด้วยกัน

เมื่อเราเดินมาถึงห้องสอบในตอนเช้าก็ได้ยินเสียงเพลงแว่วออกมาจากในห้อง มันเป็นเพลงของวงคาราบาวจากชุดเมดอินไทยแลนด์อันโด่งดังที่ออกในปี พ.ศ. ๒๕๒๗ อันเป็นยุควิกฤตเศรษฐกิจของไทย มีการลดค่าเงินบาท ธุรกิจล้มละลาย คนตกงานเป็นจำนวนมาก บัณฑิตจบใหม่จากมหาวิทยาลัยเตะฝุ่นกันจนฝุ่นคลุ้งไปหมด เงินทองหายาก และสินค้ามีราคาแพง ฯลฯ จึงทำให้เกิดกระแสนิยมสินค้าไทยขึ้นมา เพลงนี้เป็นเพลงหนึ่งที่ได้รับความนิยมในหมู่วัยรุ่นในวัยที่กำลังเข้ามหาวิทยาลัยรวมทั้งถูกนำมาเปิดตามรายการวิทยุและร้องกันเล่นในช่วงฤดูกาลสอบเอนทรานซ์

นักร้องจำเป็นไม่ใช่ใครอื่น เชาวน์นั่นเอง มันเคาะโต๊ะแหกปากร้องเสียงดังท่ากลางเสียงรุมด่าของเพื่อนๆที่กำลังท่องหนังสือกันจนวินาทีสุดท้ายก่อนเข้าห้องสอบ

“ไอ้เฉามันจะร้องเพลงนี้ทำไมวะ มันน่ะตัวอยากได้ใบปริญญาเลย ไม่งั้นจะกวดวิชาสอบเทียบสอบเอนทรานซ์ให้เหนื่อยทำไม ไปทำนาเสียก็หมดเรื่อง” นนพูดพลางหัวเราะ

เมื่อถูกรุมด่าสักพักไอ้เฉาก็หายคะนองและเงียบเสียงลง ในขณะเดียวกันก็มีเด็กนักเรียนจากห้องอื่นเดินถือซองเอกสารสีน้ำตาลเอามายื่นให้มัน

“เฮ้ย ได้แล้ว” นักเรียนต่างห้องพูดแล้วก็รีบเดินจากไป

“เออๆ ขอบใจโว้ย” เชาวน์ร้องตะโกนไล่หลัง

“อะไรวะไอ้เฉา” นนถามด้วยความอยากรู้

เชาวน์แกะซองเอกสารออกและยื่นเอกสารที่อยู่ภายในให้นน ผมชะโงกหน้าดูด้วย เห็นในนั้นมีใบประกาศนียบัตรวิชาพิมพ์ดีดที่ระบุชื่อของมันอยู่ ปากก็ครวญเพลงไป

“อนาคตคงหมดความหมาย
ความหวังฝังใจกระดาษใบนี้

เอาแปะข้างฝา หาหลวงพ่อดีๆ
ธูปเทียนก็มีพร้อมดอกไม้บูชา”

“ไอ้บ้า” นนหัวเราะ “ทำไมใบประกาศของมึงถึงได้ไปอยู่กับไอ้คนนั้นวะ”

“ก็กูฝากมันหามาให้น่ะสิ” เชาวนตอบอย่างภูมิใจ

“อ้อ” นนอุทาน “มึงนี่แม่งชั่วจริงๆ แม้แต่ประกาศนียบัตรพิมพ์ดีดยังไปซื้อมา”

“แล้วมึงจะไปเรียนทำไมให้โง่วะ” ไอ้เชาวน์ย้อน “ใบขับขี่ยังซื้อได้ แค่ใบประกาศฯพิมพ์ดีดนี่เรื่องเล็ก”

ผมก็เพิ่งรู้ในวันนั้นเองว่าใบประกาศพิมพ์ดีดนั้นสามารถซื้อหากันได้ในยุคนั้น มีโรงเรียนพิมพ์ดีดบางแห่งอยากหาเงินแบบง่ายๆกับผู้เรียน กศน. จึงรับสมัครนักเรียนพิมพ์ดีดแต่ไม่ต้องมาฝึกพิมพ์และสอบจับความเร็วจริงๆ เพียงจ่ายเงินแล้วก็รับใบประกาศไป ซึ่งก็คือการขายใบประกาศฯนี่เอง ในยุคนั้นมีใบอะไรหลายอย่างให้ซื้อได้โดยไม่ต้องไปสอบจริงๆ รวมทั้งใบขับขี่ทั้งรถยนต์และใบขับขี่มอเตอร์ไซค์

“แล้วมึงจะไปสอบเอนทรานซ์ทำควายอะไร มึงก็ซื้อใบปริญญาเอาก็หมดเรื่อง” ไอ้นนย้อน

“เออ ถ้ามีปริญญาแพทย์ขายกูก็จะซื้อวะ แต่นี่ไม่มีนี่หว่า กูเลยต้องสอบ” เชาวน์ตอบพร้อมกับหัวเราะ

“ไอ้อู เสาร์นี้ไปดูหนังกัน ฉลองสอบเสร็จ” หมู เพื่อนในกลุ่มโต๊ะเรียนวิทยาศาสตร์ของผม เดินมาหาที่โต๊ะพลางเอ่ยปากชักชวน ในระยะหลังผมพยายามเข้ากลุ่มกับหมูและพวกในโต๊ะจนกลายเป็นขาดูหนังฟังเพลงไปกับพวกมันด้วย

“เอ้อ เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยบอกละกัน เผื่อวันเสาร์ติดน่ะ เลยยังไม่กล้ารับปาก” ผมสงวนท่าที “แล้วจะโทรไปบอก”

“สงสัยไอ้อูจะนัดสาวโว้ย ฮ่ะฮ่ะ” เสียงนนแซว

กูก็นัดหนุ่มเหมือนมึงว่ะ ผมตอบอยู่ในใจ

- - -

“ฮัลโหล บอย นี่พี่นะ” ผมพูดลงไปในหูโทรศัพท์

หลังจากสอบวันสุดท้ายเสร็จเรียบร้อย คืนนั้นผมก็โทรไปหาบอย ผมไม่ได้คุยกับบอยมาสักพักแล้ว ช่วงสอบไม่ค่อยกล้าโทรไปเพราะกลัวว่ามันจะรำคาญเอา

หลังจากทักทายกันเล็กน้อยแล้วผมก็เริ่มเข้าประเด็น

“บอย วันเสาร์นี้ไปดูหนังกัน” ผมชวนแกมขอร้อง

“วันเสาร์ เอ่อ... บอยมีนัดแล้วฮะพี่อู” เสียงบอยอึกอัก

“เราไม่ได้ไปกินข้าวดูหนังกันมานานแล้วนะ เดี๋ยวนายจะว่าพี่ไม่รู้จักหน้าที่อีก” ผมทำเป็นตลก แต่ที่จริงเริ่มรู้สึกกร่อยแล้ว

“คือบอยนัดติวกับเพื่อนน่ะพี่อู” บอยอึกอักอีก

“อะไรว้า” ผมบ่น “เพิ่งจะสอบเสร็จปิดเทอม ติวอะไรกันนักหนา อีกตั้งหลายเดือนกว่าจะสอบเข้าเตรียมฯ”

“ก็บอยนัดเพื่อนๆไว้แล้วน่ะพี่อู” บอยไม่ยอมให้ต่อรอง

ทีนายเบี้ยวนัดพี่ยังทำได้ ทำไมกับคนอื่นนายรักษาคำพูดนักวะ ผมอดคิดน้อยใจไม่ได้

หลังจากที่ลงทุนอ้อนบอยอยู่สักพักแต่บอยไม่ยอมใจอ่อน ในที่สุดผมก็ยอมแพ้ ไม่เป็นไร ความพ่ายแพ้กับผมเป็นของคู่กันอยู่แล้ว วันหลังค่อยตื๊อใหม่ แต่มาคิดอีกทีก็อดใจหายไม่ได้เพราะเวลาระหว่างเราสองคนดูเหมือนจะน้อยลงทุกทีแล้ว... ไม่แน่ว่าเทอมหน้าอาจเป็นเทอมสุดท้ายที่เราจะได้ใช้ชีวิตอยู่ในสถานศึกษาแห่งนี้ร่วมกัน

- - -

วันเสาร์

หลังจากสอบปลายภาคเรียบร้อย หอพักก็ตกอยู่ในความเงียบเหงาอีกวาระหนึ่ง นักเรียนและนักศึกษาต่างก็ทยอยกันกลับบ้านต่างจังหวัดในช่วงปิดเทอม คงเหลือแต่คนที่อยู่ในวัยทำงาน สำหรับผมนั้นคิดว่าปิดเทอมครั้งนี้จะกลับบ้านเพียงสองสามวันเพื่อไปเยี่ยมพ่อ แม่ และเอ๊ด หลังจากนั้นก็จะกลับมากรุงเทพฯเพื่ออ่านหนังสือเตรียมสอบต่อไป แต่ก่อนกลับผมคิดว่าจะไปดูหนังกับหมู สิทธิ์ และกรณ์สักเรื่องหนึ่ง

เรานัดเจอกันที่หน้าโรงหนังลิโด้ในตอนบ่ายของวันเสาร์ เพื่อนร่วมโต๊ะวิทยาศาสตร์มากันสี่คน ขาดเพียงไอ้จ่อยผู้ไม่สนใจดูหนังฟังเพลงและแม้แต่เรียนหนังสือ เอาดีแต่ด้านเล่นกีฬาเท่านั้น

วันนั้นเรานัดกันมาดูหนังในรอบบ่าย สำหรับอาหารมื้อเที่ยงนั้นหากมากับบอยผมจะพาบอยไปกินในสยามสแควร์ แต่มากับพวกเพื่อนกลุ่มนี้ก็ว่ากันไปอีกแบบ เรากินอาหารกันแบบประหยัดในโรงอาหารของคณะเภสัช จุฬาฯ ซึ่งปัจจุบันก็คือโรงอาหารที่ตั้งอยู่ชั้นล่างของอาคารศูนย์หนังสือนั่นเอง

“คนแน่นชิบเป๋งเลย” ผมบ่น บ่ายวันนั้นโรงอาหารคนแน่นมาก ปกติวัยรุ่นที่มาเรียนพิเศษหรือแม้แต่มาดูหนังที่สยามสแควร์หากต้องการประหยัดก็จะมากินอาหารที่โรงอาหารของคณะเภสัชศาสตร์หรือไม่ก็ที่คณะทันตแพทย์เพราะว่าอาหารราคาไม่แพง ร้านขายอาหารแต่ละร้านจึงมีคนยืนต่อคิวกันยาวเหยียด

“ไม่ต้องบ่นเลย ถูกกว่ากินในสยามสแควร์ตั้งเยอะ มันก็ต้องได้อย่างเสียอย่าง” หมูปลอบใจ

“มัวแต่ต่อคิวอยู่นี่แหละ เดี๋ยวดูหนังไม่ทันจะรู้สึก” กรณ์บ่นบ้าง

ผมไปยืนต่อคิวรอซื้ออาหารที่ร้านข้าวแกงร้านหนึ่ง ในใจไม่ค่อยสนุกกับการมาดูหนังในครั้งนี้เท่าไรนักเนื่องจากยังรู้สึกผิดหวังที่ไม่ได้มาดูกับบอย ขณะที่ยืนรอซื้ออาหารและนึกถึงบอยอยู่นั้นเอง ผมก็เหลือบไปเห็นร่างที่คุ้นตาของใครคนหนึ่งที่กำลังต่อคิวซื้ออาหารอยู่ในแถวที่อยู่ไกลออกไป

บอยนั่นเอง!

นึกถึงบอยก็ได้เจอบอยทันที ช่างบังเอิญ อะไรอย่างนี้ ขณะที่ผมจะเดินไปหาบอยนั่นเอง ผมก็สังเกตว่าบอยออกจากแถวเพื่อไปเข้าคิวซื้ออาหารในแถวอื่น และขณะที่บอยเดินเพื่อไปต่อแถวอื่นอยู่นั้นบอยได้คว้ามือเด็กหญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆแล้วเดินไปด้วยกัน!

ความรู้สึกหลังจากที่ได้เห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่างเป็นความรู้สึกที่ผมบรรยายไม่ถูก มันตื้อ มึนงงไปหมด คิดอะไรไม่ออก ทำอะไรก็ไม่ถูก จากนั้นความรู้สึกแรกที่ตามมาหลังจากหายตื้อแล้วก็คือความรู้สึกถูกหลอกและความรู้สึกเสียใจ ความรู้สึกของผมบอกว่าบอยมาเที่ยวหรือว่ามาดูหนังกับเด็กสาวคนนี้ ไม่ใช่มาติว

“น้องครับ ช่วยขยับตามคิวไปด้วยครับ” พี่คนหนึ่งที่ยืนรอคิวต่อจากผมส่งเสียงเรียก ปลุกให้ผมตื่นจากภวังค์

ผมควรจะทำอย่างไรดีนะ จะเข้าไปต่อว่าบอยดีไหม จะได้ฉีกหน้ากันให้มันรู้ไปเลยว่ามันหลอกผมว่ามีนัดติวกับเพื่อนแต่ที่แท้ก็มีนัดมาดูหนังกับเด็กสาว ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมเชื่ออยู่เสมอว่าบอยเป็นเด็กที่มีนิสัยดีและมีความซื่อสัตย์ ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่ผมสงสัยในคำพูดของบอย แต่ในวันนี้... ความจริงก็ได้ปรากฏให้เห็นแล้วว่าบอยหลอกผม... ผมรู้สึกว่าตนเองเป็นแค่รุ่นพี่โง่ๆคนหนึ่งเท่านั้น

ในที่สุดผมก็เดินออกจากแถวไป... เปล่า ผมไม่ได้เดินเข้าไปต่อว่าบอย แต่ว่าผมเดินหนีออกไปจากโรงอาหารเพื่อไม่ให้บอยเห็นผมต่างหาก ผมไม่กล้าเชิญหน้ากับบอย... ผมไม่กล้าเผชิญกับความจริงอันโหดร้าย ก่อนที่จะออกไปจากโรงอาหารผมแวะไปบอกหมูและพวก

“คนแน่น กินไม่ไหวแล้วล่ะ เดี๋ยวกูไปรอที่ร้านหนังสือดวงกมลนะ กินกันเสร็จแล้วก็ไปหากูที่นั่นละกัน” ผมพูดจากนั้นก็รีบเดินหลบออกมาจากโรงอาหารในทันที

ภาพยนตร์ที่เราไปดูกันในวันนั้นเป็นภาพยนตร์แนวสนุกสนาน ตลกขบขัน แต่ผมดูไม่รู้เรื่องเลย ตลอดเวลาที่หนังฉายผมย้ำคิดแต่ภาพของบอยและเด็กสาวอยู่ตลอดเวลา อยากจะขับไล่ภาพนั้นให้พ้นไปจากจิตใจแต่ก็ทำไม่สำเร็จ

“เฮ้ย ไอ้อู มึงมาดูหนังผิดโรงหรือเปล่าวะ” กรณ์ถามผมหลังจากที่เราดูหนังจบและเดินออกมาจากโรงหนัง

“ทำไมเหรอ” ผมงงกับคำถามแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยของมัน

“ก็นี่มันหนังตลก คนอื่นเค้าหัวเราะกันลั่นโรง แต่กูเห็นมึงนั่งทำหน้าเหมือนปวดขี้อยู่ตลอดเวลาเลย มึงเป็นอะไรหรือเปล่า ปวดขี้มากหรือไง” ไอ้กรณ์พูด มันนั่นติดกับผมตอนดูหนัง คงสังเกตเห็นความผิดปกติของผมได้

“ก็กูไม่ขำนี่หว่า” ผมไม่รู้จะตอบอะไรดีไปกว่านี้

“มึงมองหาใครอยู่เหรอวะ กูสังเกตมึงหลุกหลิกเหมือนมองหาใครตั้งแต่ออกมาจากโรงหนังแล้ว” หมูถามบ้าง “ไอ้อูมันแปลกๆโว้ยวันนี้”

ผมเริ่มระวังตัวเพราะรู้ตัวแล้วว่าวันนี้ออกอาการผิดปกติไปมาก ตอนที่ออกมาจากโรงหนังผมก็มองหาบอยเผื่อว่าจะเห็นมันบ้าง แต่ไม่นึกว่าเพื่อนๆจะสังเกตออก

- - -

“ฮัลโหล”

“บอย นี่พี่เอง” ผมพูด หลังจากที่แยกจากเพื่อนๆและกลับมาถึงหอพัก ผมทำอะไรไม่ถูกอยู่นาน ในที่สุดก็ตัดสินว่าจะโทรคุยกับบอยให้รู้เรื่อง เวลาแห่งการรอคอยผ่านไปอย่างเชื่องช้าและน่าทรมาน ผมรออยู่จนประมาณสามทุ่มจึงค่อยโทรไปหาบอยโดยใช้ตู้โทรศัพท์สาธารณะตู้ประจำ

“พรุ่งนี้นายออกมาเจอพี่หน่อยสิ” ผมตรงเข้าประเด็น

“มีอะไรเหรอพี่อู ทำไมวันนี้เสียงเครียดจัง” บอยทักผมด้วยเสียงที่บ่งบอกอารมณ์อันแจ่มใส

“พี่อยากคุยกับนายหน่อยน่ะ ไม่ได้ชวนเที่ยวนะ แค่มีเรื่องอยากจะคุย” ผมตอบ

“พี่อูจะคุยอะไรเหรอ” บอยเริ่มสังเกตถึงความผิดปกติในบรรยากาศการสนทนาได้ น้ำเสียงจึงเริ่มเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาบ้าง “ทำไมไม่คุยตอนนี้ล่ะ”

“คุยตอนนี้ไม่ค่อยสะดวก เอาไว้เจอกันแล้วค่อยคุยดีกว่า นะ ออกมาเจอกันหน่อย” ผมลงทุนอ้อนวอน

“เอ่อ... ช่วงนี้บอยไม่ว่างเลยอะพี่อู” บอยตะกุกตะกัก “มีอะไรคุยกันตอนนี้เลยไม่ได้เหรอฮะ”

“บอย ทำไมนายกลายเป็นแบบนี้ไปแล้วล่ะ” คำตอบของบอยทำให้อารมณ์ของผมพลุ่งขึ้นมาทันที “เมื่อก่อนนายคอยต่อว่าพี่ว่าพี่ไม่ดูแลนาย พอพี่พยายามจะดูแลนาย นายก็เอาแต่หลบหน้าพี่”

“พี่อู... ก็... บอยไม่ว่างน่ะ”

“ถึงพี่ไม่ฉลาด แต่พี่ก็ไม่แย่ขนาดที่ดูไม่ออกว่านายคอยหลบหน้าพี่หรอกนะ” ผมพูดตรงๆ “พี่อยากคุยกับนายว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

“ก็... ไม่มีอะไรหรอกพี่อู” บอยอึกอัก “บอยไม่ได้หลบพี่อูเสียหน่อย”

“แล้ววันนี้ทำไมนายไม่ไปดูหนังกับพี่ล่ะ” ผมถามรุก

“ก็บอยมีติวอะ บอยบอกพี่อูแล้วนี่” บอยตอบ

“นายไปติวหรือว่ามีนัดเที่ยวกับใครกันแน่” ผมรุกเข้าไปอีก

“พี่อูรู้ได้ไง...” บอยหลุดปากออกมาด้วยน้ำเสียงตกใจ

“บอย พรุ่งนี้ออกมาเจอกันหน่อยนะ พี่มีบางเรื่องที่อยากจะคุยกับนายให้รู้เรื่อง นะ พี่ขอร้องนายล่ะ” ผมพูด บอยอึ้งไปชั่วครู่

“บอยไม่ว่างจริงๆฮะพี่อู พี่อูบอกทางโทรศัพท์ก็แล้วกัน” บอยไม่ยอมรับนัดผม

ฟังเพลง มหาลัย จากชุดเมดอินไทยแลนด์



<จากอัลบั้มชุดชุดเมดอินไทยแลนด์อันโด่งดังที่ออกในปี พ.ศ. ๒๕๒๗ อันเป็นยุควิกฤตเศรษฐกิจของไทย ปัญหาราคาน้ำมันพุ่งสูง ตามมาด้วยปัญหาเงินเฟ้อและการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดทำให้มีการลดค่าเงินบาทลงร้อยละ ๙ ในปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ผลจากการลดค่าเงินบาททำให้ธุมีรกิจล้มละลายโดยเฉพาะสถาบันการเงิน ส่งผลต่อประชาชนผู้ออมเงินในวงกว้าง และตามด้วยการลดค่าเงินบาทซ้ำอีกร้อยละ ๑๗.๓ ในปี พ.ศ. ๒๕๒๗ ในช่วงนั้นมีคนตกงานเป็นจำนวนมาก บัณฑิตจบใหม่จากมหาวิทยาลัยเตะฝุ่นกันจนฝุ่นคลุ้งไปหมด เงินทองหายากและสินค้ามีราคาแพง ฯลฯ ทำให้เกิดกระแสนิยมสินค้าไทยขึ้นมา คาราบาวจึงออกเพลงชุดนี้มา เพลงมหาลัยนี้เป็นเพลงหนึ่งที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในหมู่วัยรุ่นในวัยที่กำลังเข้ามหาวิทยาลัย รวมทั้งถูกนำมาเปิดตามรายการวิทยุและร้องกันในช่วงฤดูกาลสอบเอนทรานซ์เนื่องจากมีเนื้อหาที่สะท้อนปัญหาสังคมในยุคนั้นได้อย่างโดนใจ

เนื้อเพลง : มหาลัย

มหาลัย มหาหลอก
เด็กชายบ้านนอก เด็กหญิงบ้านนา
รํ่าเรียนรู้ในวิชา
แต่จบออกมายังไม่มีงานทํา
ไม่มีงานก็ไม่มีเงิน
ออกเดินเดินเดินยํ่าสมัครงาน
สอบเท่าใดยังสอบไม่ผ่าน
มันหัวปานกลาง เขาเอาแต่หัวดีๆ
มีความรู้สู้เขาไม่ได้
เส้นเล็กเส้นใหญ่เส้นก๋วยจั๊บไม่มี
นามสกุลไม่สง่าราศี
เป็นลูกตามีเป็นแค่หลานยายมา
อนาคตคงหมดความหมาย
ความหวังฝังใจกระดาษใบนี้
เอาแปะข้างฝา หาหลวงพ่อดีๆ
ธูปเทียนก็มีพร้อมดอกไม้บูชา

มหาลัย มหาหลอก
เด็กชายบ้านนอก เด็กหญิงบ้านนา
รํ่าเรียนรู้ในวิชา
แต่จบออกมายังไม่มีงานทํา
ใครจะรู้อยู่ไปวันๆ
กลางคืนหลับฝัน กลางวันนั่งดูดยา
ธูปเทียนก็หมดดอกไม้แห้งคาตา
เก็บตําหรับตําราชั่งกิโลขาย
ให้แข่งกันเรียนแล้วแข่งกันรวย
บ้างไปได้สวย บ้างไปได้เสีย
ออกยํ่าเดินทางร่างกายอ่อนเพลีย
หัวใจละเหี่ยละโหยหางานทํา
ยํ่าจนเท้าเป็นตุ่มตาปลา
รองเท้าบาจายังหมดความทนทาน
ไม่เห็นเหมือนคนโบรํ่าโบราณ
จบแล้วได้งานเป็นเจ้าคนนายคน
ผลิตผลบนความใฝ่ฝัน
ความจริงเรานั่นหลงลืมกันไป
มัวแต่ปลูกฝังค่านิยมนิยาย
ปริญญางมงายมหาลัยงมเงา

มหาลัย มหาหลอก
เด็กชายบ้านนอก เด็กหญิงบ้านนา
รํ่าเรียนรู้ในวิชา
แต่จบออกมายังไม่มีงานทํา
มหาลัย มหาหลอก
เด็กชายบ้านนอก เด็กหญิงบ้านนา
รํ่าเรียนรู้ในวิชา
แต่จบออกมายังไม่มีงานทํา

Monday, May 3, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 61

ต๊อก... แต๊ก... ต๊อก... แต๊ก...

เสียงก้านพิมพ์ดีดตีกับกระดาษบนแคร่พิมพ์ดังต๊อกแต๊กๆระงมไปทั้งห้อง พิมพ์ดีดเป็นวิชาหนึ่งที่ผมต้องใช้ในการสอบ กศน. ประจำเทอมนี้

ผมนั่งอยู่หน้าแป้นพิมพ์ของเครื่องพิมพ์ดีด พยายามพิมพ์ตามต้นฉบับโดยไม่ต้องเหลือบไปดูแป้นพิมพ์ วิชาพิมพ์ดีดนี้จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก ที่ว่าง่ายก็เพราะว่าไม่มีอะไรซับซ้อน จำตำแหน่งของตัวอักษรบนแป้นได้ วางนิ้วถูกตำแหน่ง ก้าวนิ้วถูกตำแหน่ง ก็พิมพ์ได้แล้ว ที่ว่ายากก็เพราะการจะพิมพ์ดีดได้คล่องต้องอาศัยการฝึกฝน ไม่มีวิธีลัด ดังนั้นจึงเป็นวิชาที่กินเวลามากวิชาหนึ่ง บางคนก็เหมือนกับว่ามีพรสวรรค์ ฝึกเพียงไม่นานก็พิมพ์ได้คล่อง แต่สำหรับผมไม่ได้เป็นเช่นนั้น

“ทำไมคำผิดมันเยอะยังงี้ละอู” ครูสอนพิมพ์ดีดพูดขึ้นหลังจากที่มาด้อมๆมองๆแอบดูผมฝึกพิมพ์ตามแบบฝึกหัดอยู่ที่ด้านหลังของผมมาพักหนึ่ง “ยิ่งพิมพ์ทำไมยิ่งแย่ลง”

“ครับ เดี๋ยวจะลองใหม่อีกเที่ยวครับ” ผมไม่รู้จะตอบอะไรที่ดีไปกว่านี้

เฮ้อ ไม่น่าลงพิมพ์ดีดเทอมนี้เลย รู้งี้ลงเทอมหน้าดีกว่า ผมบ่นกับตัวเองไปเรื่อยเปื่อย ที่จริงถึงเก็บเอาไว้ลงเทอมหน้าก็ไม่แน่ว่าสถานการณ์จะดีกว่านี้

ผมมาสมัครเรียนพิมพ์ดีดที่โรงเรียนพิมพ์ดีดในย่านลาดพร้าว ผมฝึกพิมพ์ดีดด้วยความเบื่อหน่าย ใจลอยไปถึงไหนก็ไม่รู้ ผมพยายามนึกว่าแป้นพิมพ์ดีดเป็นคีย์เปียโน เวลาพิมพ์จะได้รู้สึกรื่นรมย์ขึ้นมาบ้าง แต่ก็ไม่สำเร็จ มันก็ยังน่าเบื่ออยู่ดี

เวลาสอบประจำภาคทั้งของโรงเรียนและของ กศน. ใกล้เข้ามาแล้ว ผมยังดูหนังสือไม่จบเลยสักวิชา จะว่าไปตั้งแต่วางแผนการดูหนังสือมาผมยังไม่เคยทำอะไรได้ตามแผนเลย ทุกอย่างพลาดเวลาไปหมด และแทนที่ผมจะเอาเวลามานั่งอ่านหนังสือแต่กลับต้องมานั่งทนฝึกพิมพ์ดีดเพื่อให้ได้ใบประกาศนียบัตร

ในยุคที่ผมเรียนอยู่ ม.ปลายนั้นน่าจะเป็นปลายของยุคเครื่องพิมพ์ดีดแล้ว ทั้งนี้ เนื่องจากคอมพิวเตอร์แบบพีซีตั้งโต๊ะมีราคาถูกลง ทำให้การใช้งานแพร่หลายมากขึ้น การพิมพ์งานเอกสารด้วยเวิร์ดโพรเซสเซอร์จึงเข้ามามีบทบาทมากขึ้น หลังจากนั้นเพียงไม่กี่ปีวัยรุ่นยุคใหม่ก็แทบไม่มีใครเคยสัมผัสกับแป้นของเครื่องพิมพ์ดีด ส่วนใหญ่สัมผัสกับแป้นพิมพ์ของเครื่องคอมพิวเตอร์กันทั้งนั้น การเรียนพิมพ์สัมผัสก็เรียนด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์แทน อีกทั้งยังมีโปรแกรมสอนและฝึกการพิมพ์สัมผัสหรือที่เรียกว่า typing tutor ให้ใช้อีกด้วย ทำให้ชีวิตง่ายขึ้นอีกมาก

พิมพ์ดีดที่ใช้กันในโรงเรียนสอนพิมพ์ดีดนั้นเป็นพิมพ์ดีดยุคเก่า ส่วนใหญ่เป็นพิมพ์ดีดแบบตั้งโต๊ะยี่ห้อโอลิมเปียหรือไม่ก็โอลิเวตตี้ ลักษณะของแคร่พิมพ์ดีดเป็นแบบแคร่ยาวที่สามารถพิมพ์งานในกระดาษแนวนอนได้ (ถ้าเป็นแคร่สั้นจะใส่กระดาษแนวนอนไม่ได้) เวลาพิมพ์ต้องอาศัยแรงกลคือแรงจากนิ้วของเรานั่นเองที่เคาะลงไปบนแป้นพิมพ์เพื่อทำให้ก้านพิมพ์ดีดตีลงไปบนแคร่พิมพ์

เครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้านั้นปกติไม่มีใครเอามาให้นักเรียนฝึกพิมพ์เนื่องจากมีราคาแพงอีกทั้งน่าจะเปลืองค่าไฟอีกด้วย แต่ว่าที่โรงเรียนที่ผมเรียนนั้นมีพิมพ์ดีดไฟฟ้ายี่ห้อไอบีเอ็มอยู่ด้วย เอาไว้รับจ้างพิมพ์งานตามแต่จะมีลูกค้ามาจ้างพิมพ์ พิมพ์ดีดไฟฟ้าไอบีเอ็มนั้นมีการออกแบบระบบหัวพิมพ์ที่แปลกประหลาด หัวพิมพ์จะเป็นทรงกลม หน้าตาเหมือนลูกกอล์ฟ มีตัวอักษรเรียงรายอยู่รอบหัวพิมพ์ลูกกอล์ฟนั้น เมื่อกดแป้นพิมพ์แต่ละครั้ง หัวกอล์ฟก็จะหมุนและหันตัวอักษรที่ต้องการเข้าหาหน้ากระดาษ จากนั้นหัวกอล์ฟนั้นก็จะโขกโป๊กลงไปบนกระดาษ เมื่อพิมพ์เร็วๆหัวพิมพ์จะโขกกระดาษเป็นเสียงรัวดังสนั่นหวั่นไหวต่อเนื่องกัน ดูแล้วตลกดี ทำให้นึกถึงคนที่เอาหัวโขกฝาผนัง

ผมไม่ค่อยชอบเรียนพิมพ์ดีดเท่าไรนักเนื่องจากขี้เกียจฝึก อีกทั้งแป้นพิมพ์ดีดต้องใช้แรงนิ้วค่อนข้างมาก พิมพ์แล้วเมื่อยนิ้ว แต่ไม่ฝึกก็ไม่ได้ สมัยนั้นที่โรงเรียนสอนพิมพ์ดีดจะมีข้อบังคับไว้เลยว่าต้องมาฝึกพิมพ์กี่ชั่วโมง และต้องสอบจับความเร็วการพิมพ์ทั้งภาษาไทยและอังกฤษด้วย เมื่อผ่านเกณฑ์จึงจะออกใบประกาศนียบัตรให้เพื่อไปใช้ยื่นกับทาง กศน.

วันนี้เป็นวันหยุด ผมมีนัดกับบอยในช่วงเย็นจึงมาฝึกพิมพ์ดีดเสียก่อน จากนั้นจึงจะเข้าไปพบบอยที่สยามสแควร์ ขณะที่พิมพ์ใจก็คิดถึงแต่บอย การพิมพ์จึงผิดๆถูกๆ เมื่อถูกครูผู้สอนทักและเอางานมาตรวจจึงได้รู้ว่าพิมพ์ผิดเละเทะไปหมด

ชีวิตในช่วงปลายเทอมหนึ่งของผมไม่ค่อยราบรื่นนัก ความกดดันจากการเรียนทำให้ผมรู้สึกเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลา เมื่อก่อนยามที่ผมดูหนังสือหามรุ่งหามค่ำผมจะปล่อยวางเรื่องบอยได้ บางทีหลายๆวันไม่ได้เจอกัน ไม่ได้คุยกันก็ยังไม่รู้สึกอะไร แต่มาในระยะหลังนี้ความโดดเดี่ยวทำให้ผมคิดถึงบอยอยู่ตลอดเวลา ประกอบกับบอยในช่วงหลังดูเปลี่ยนไป แม้ว่าบอยจะผิดหวังจากเรื่องน้องส้มก็ตาม แต่แทนที่บอยจะกลับมาสนิทสนมกับผมเหมือนเดิมบอยกลับดูระวังตัว ไม่ค่อยรับนัดผมง่ายๆเหมือนเมื่อก่อน ผมต้องตื๊อหรือว่าถูกปฏิเสธหลายๆครั้งเสียก่อนบอยจึงจะรับนัดกับผมเสียครั้งหนึ่ง จนความมั่นใจที่ว่าบอยมีใจให้ผมนั้นคลอนแคลนไปมาก

ผมเองก็พยายามระวังตัว ไม่อยากทำอะไรให้บอยเบื่อหน่ายในตัวผม ดังนั้นจึงพยายามระมัดระวังไม่โทรไปคุยหรือว่านัดบอยบ่อยจนเกินไปเพื่อไม่ให้บอยรู้สึกอึดอัดใจ การพยายามรักษาความสัมพันธ์แบบเลี้ยงไข้นี้แม้จะทำให้ผมยังไม่ต้องเสียบอยไป แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นเรื่องที่ทรมานใจมาก มันเหมือนกับจะตายก็ไม่ตาย จะรอดก็ไม่รอด ความสัมพันธ์อึมครึมไม่กระจ่างชัด ต้องคอยพะวงอยู่ทุกวันว่าวันรุ่งขึ้นจะเป็นอย่างไร แต่จะไม่ทนก็ไม่ได้ บางวันอยากคุยกับบอยมากแต่ก็ไม่กล้าโทรไปหา ต้องอดใจรอให้ทิ้งช่วงหลายๆวันเสียก่อน ซึ่งเวลาแห่งการรอคอยนั้นก็คงเป็นที่เข้าใจกันดีว่ามันทุกข์ทรมานใจเพียงใด แต่กับผมนั้นทุกวัน ทุกชั่วโมง เป็นเวลาแห่งการรอคอยทั้งสิ้น

- - -

ผมไปถึงหน้าโรงหนังสกาล่าในเวลาก่อนห้าโมงเย็นเล็กน้อย การนัดครั้งนี้กว่าบอยจะยอมรับนัดได้ก็แสนยาก บอยปัดผมมาสองสามครั้งแล้วแต่ในที่สุดก็ทนผมตื๊อไม่ได้ การที่ได้มายากจึงทำให้ผมตั้งใจรอคอยให้ถึงวันนี้เป็นพิเศษ

“พี่อู” เสียงบอยเรียกผม บอยมาอยู่ตรงหน้าผมโดยที่ผมไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย

“อ้าว มาได้ไงเนี่ย พี่ก็มองหานายอยู่แต่ไม่เห็นนายเดินมาเลย” ผมทักทายด้วยความแปลกใจกับการปรากกฎตัวของบอย

“ก็พี่อูยืนใจลอยแล้วจะเห็นบอยได้ไง” บอยตอบ “พี่อูคิดอะไรอยู่”

“ก็... คิดไปเรื่อยเปื่อยน่ะ คิดถึงแป้นพิมพ์ดีด เมื่อบ่ายไปหัดพิมพ์ดีดมา” ผมมั่วไป ที่จริงกำลังใจลอยคิดถึงมันอยู่นั่นแหละ

ผมมองหน้าบอยอย่างเต็มตา น่าแปลกที่ผมเห็นบอยที่โรงเรียนอยู่เสมอ แต่ครั้งนี้กลับเป็นครั้งแรกที่ผมสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของบอย บอยเปลี่ยนไปมากทีเดียว ไรหนวดเขียวเข้ม ใบหน้าแม้จะค่อนข้างเกลี้ยงเกลามีสิวน้อยแต่ก็ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เสียงที่เคยสดใสก็กลายเป็นแตกพร่า บุคลิกที่กวนๆ ช่างพูด อารมณ์ดี ก็กลายเป็นแฝงความขรึมเอาไว้ บอยในตอนนี้แตกต่างจากบอยที่ผมเห็นครั้งแรกที่สหกรณ์ราวฟ้ากับดิน

“พี่อูจ้องบอยทำไม ไม่เคยเห็นบอยเหรอ” บอยพูดพลางหัวเราะ

“นายโตขึ้นมากเลยนะ” ผมพูดตามตรง “พี่เพิ่งจะสังเกต”

“ม.๓ แล้วนะพี่อู” บอยหัวเราะอีกด้วยเสียงที่แตกพร่า “ปีหน้าก็ปักตราโรงเรียนที่หน้าอกเสื้อได้แล้ว”

เราไปกินอาหารด้วยกันก่อนตามปกติ แต่บอยดูไม่ค่อยจะปกติ ระหว่างกินค่อนข้างเงียบขรึม

“นายเป็นไรไปน่ะบอย” ผมถามระหว่างที่เรากินอาหารด้วยกันที่ร้านไฮไลท์

“ไม่ได้เป็นไรนี่” บอยปฏิเสธ

“ดูนายเงียบๆไปนะ วันนี้ไม่กวนเลย ปกตินายกวนโอ๊ยจะตาย” ผมแหย่มัน

“เหรอ ไม่รู้ดิ” บอยตอบแล้วก็เงียบๆไป

เมื่อกินอาหารเสร็จ เราก็ไปดูหนังกัน ปกติช่วงที่มีโฆษณาก่อนหนังฉายเป็นช่วงเวลาที่วิเศษสุดสำหรับผม เพราะบอยมักจะชวนคุยพร้อมกับแกล้งผมบ้าง ซบผมบ้าง เป็นอย่างนี้เสมอ แต่คราวนี้ บอยนั่งตัวตรง บางทีก็ขยับตัวไปมาบ้างเหมือนกับนั่งไม่สบาย

ขณะที่หนังฉาย ผมดึงมือของบอยมาจับไว้พร้อมทั้งสอดประสานนิ้วของผมเข้าไปในร่องนิ้วของบอย การประสานมือกับบอยเป็นเรื่องที่ผมชอบมาก ผมมักจะหาโอกาสแอบทำในตอนที่ไม่มีใครเห็นอย่างเช่นตอนอยู่ในโรงหนัง มันทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นทุกครั้ง มันเหมือนกับเป็นการถ่ายทอดความรู้สึกถึงกันในรูปแบบหนึ่ง

บอยประสานมือกับผมอยู่ชั่วครู่แล้วก็ดึงมือกลับไป ในความมืด ผมรู้สึกว่าตนเองหน้าชาไปหมด ผมสามารถรับรู้ถึงความเหินห่าง แม้เราจะนั่งที่นั่งติดกัน แต่ในความรู้สึกของผมมันเหมือนกับเรานั่งอยู่ห่างไกลกันเหลือเกิน...

เมื่อหนังฉายจบ เราออกมาจากโรง ผมชวนบอยคุย พยายามทำเป็นว่าหนังสนุกทั้งๆที่จริงดูไม่รู้เรื่องเลยสักนิด

“บอยจะกลับแล้วนะพี่อู” จู่ๆบอยก็พูดขึ้นมา

“อ้าว ไม่ไปกินโดนัทก่อนเหรอ” ผมพูด รู้สึกหน้าชาอีก คราวนี้แถมด้วยความรู้สึกใจหาย เคว้งๆอย่างไรก็ไม่รู้ ปกติหลังดูหนังบางทีบอยจะแวะกินขนมอีกรอบก่อนกลับบ้าน

“ไม่ละฮะ บอยกลับดีกว่า” บอยยืนกราน

“ได้ๆ” ผมโอนอ่อนผ่อนตาม “ช่วงปิดเทอมวันไหนเราไปนั่งเล่นที่สวนลุมกันอีกดีกว่า เล่นเรือ นอนใต้ต้นไม้ เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง”

“ขอบอย... เอ่อ... คิดดูก่อนนะพี่อู” บอยตอบด้วยน้ำเสียงอึกอัก

หลังจากนั้นบอยก็กลับไป การนัดในวันนั้นทำให้ผมรู้สึกเซ็งมาก แทนที่จะรู้สึกสดชื่นและมีความหวัง ตรงกันข้าม ผมกลับรู้สึกท้อแท้และหมดหวังหนักยิ่งขึ้นไปอีก

- - -

“เฮ้ย พวกมึงค่อยๆถามสิวะ แย่งกันถามแบบนี้จะให้กูตอบคำถามไหนก่อน” เสียงไอ้เฉาเอะอะในตอนเช้าวันหนึ่ง วันนั้นเมื่อไอ้เฉาและไอ้ทิดซึ่งอยู่ในโต๊ะวิทยาศาสตร์โต๊ะเดียวกันเดินเข้ามาในห้อง เพื่อนๆก็กรูกันเข้ามารุมล้อม ส่งเสียงไต่ถามกันเซ็งแซ่ว่าเป็นไงบ้าง ไปที่ไหน เสร็จกี่ที เสร็จกี่โมง ฯลฯ

“ไอ้ห่า มึงจะให้เสร็จกี่ทีกันล่ะ ถ้าเบิ้ลต้องจ่ายเพิ่มโว้ย”

“ไปที่วิสุทธิ์กษัตริย์ แม่ง ไปเดินหากับไอ้ทิดอยู่ตั้งนาน นึกว่าจะอดแดกซะแล้ว”

“ไอ้เหี้ยทิดแม่งล่มปากอ่าว ฮ่าๆๆ”

“เออ ได้ วันหลังกูจะไปแล้วจะบอกพวกมึงก่อน”

เสียงไอ้เฉาดังเอะอะ เชาวน์จะเป็นคนตอบคำถามของเพื่อนๆเสียเป็นส่วนใหญ่ ส่วนทิดไม่ค่อยพูดอะไร เอาแต่นั่งอมยิ้ม ส่วนจะเชื่อได้หรือเปล่านั้นก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน เพราะลีลาการพูดที่ติดคุยโวทำให้คิดว่าคงไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมด น่าจะจริงบ้างโม้บ้างผสมกันไป มีเพื่อนๆหลายคนที่ฟังแล้วสนใจอยากสร้างวีรกรรมเลียนแบบไอ้เฉาบ้าง

ผมรู้สึกสะดุดอยู่ในใจที่เห็นเพื่อนๆหลายคนอยากไปเที่ยวกันบ้าง มันทำให้ผมย้อนมาคิดถึงตนเอง สำหรับผมนั้นฟังแล้วก็คิดว่าน่าสนใจดี แต่ถ้าถามว่าอยากมีประสบการณ์แบบนั้นบ้างไหมก็ตอบยากอยู่เหมือนกัน ใจหนึ่งก็อยากลองแต่อีกใจหนึ่งก็เฉยๆ ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน

“ระวังเถอะมึง เดี๋ยวเอดส์แดกมึงจะไม่ได้สอบเอนทรานซ์” ไอ้กี้ปากเสีย

“เฮ่ย ปล่อยให้ไอ้พวกแดกถั่วดำเป็นก็แล้วกัน กูตีหม้อไม่เกี่ยวโว้ย” เชาวน์พูด ว่าแล้วก็หันไปมองทางจอมมารดำขาวที่นั่งฟังอยู่ที่โต๊ะใกล้ๆกัน เพื่อนๆในยุคนั้นแม้จะเรียนสุขศึกษามา รวมทั้งได้รับความรู้จากสื่อต่างๆ ว่าโรคเอดส์สามารถติดต่อกันได้ผ่านทางเพศสัมพันธ์แบบชายหญิง แต่ส่วนใหญ่ก็ยังเชื่อแบบฝังหัวว่าเอดส์เป็นโรคของเกย์ และนับเป็นโชคดีของเชาวน์และทิด รวมทั้งเพื่อนขาเที่ยวคนอื่นๆที่ไม่ได้จั่วเอกลับมา เพราะในปีนั้นเองอัตราการติดเชื้อเอชไอวีเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า รวมทั้งอัตราการติดเชื้อเอชไอวีในหญิงบริการก็พุ่งกระฉูด จากการสอบสวนทางระบาดวิทยาในภายหลังจึงทำให้ทราบว่าอัตราการติดเชื้อที่สูงขึ้นอย่างมากมายในปีนั้นเกิดขึ้นเนื่องจากในปีก่อนหน้ามีการปล่อยนักโทษคดียาเสพติดออกจากเรือนจำมากเป็นพิเศษนั่นเอง

“ถั่วดำแล้วมึงมองมาทางนี้ทำไม” นนลอยหน้าลอยตาถาม พลางเอามือลูบไล้หน้าอกของแมนท่ามกลางสายตาของเพื่อนๆ ส่วนแมนก็ยื่นหน้าไปชิดนน ทำท่าเหมือนกับจะหอมแก้มแต่ยังไม่ได้สัมผัสกัน เพื่อนๆเฮกันลั่น

“เปล่าครับพี่” เชาวน์พูดพลางหัวเราะ “ไม่มีอะไรครับ”

ผมอดทึ่งในความสามารถของไอ้คู่นี้ไม่ได้ มันทำตัวเป็นคู่เกย์แบบทีเล่นทีจริงจนเพื่อนๆเห็นเป็นเรื่องตลกมากกว่าที่จะคิดว่าเป็นเรื่องจริงจัง แต่บางครั้งการที่ถูกมองว่าเป็นเรื่องตลกก็ต้องแลกมาด้วยคำเสียดสีและเย้ยหยันจากเพื่อนๆ ซึ่งทั้งนนและแมนก็มักทำให้เรื่องเสียดสีกลายเป็นเรื่องขำขันไป แต่สำหรับผมนั้นยอมรับว่าไม่มีความสามารถแบบไอ้สองตัวนี้

คำพูดของเชาวน์แม้จะพูดกับนนแต่มันก็ทำให้ผมเจ็บปวด ผมไม่สามารถทนรับคำเสียดสีเย้ยหยันเช่นนั้นได้ เกย์คงเป็นเหมือนชนในวรรณะจัณฑาลที่ถูกเหยียดจนแทบไม่ใช่คนในสายตาของเพื่อนๆเหล่านี้ พร้อมกันนั้นมันทำให้ผมอดฉุกคิดถึงเรื่องของบอยไม่ได้ บอยเริ่มเติบใหญ่ มีเพื่อนและเรียนรู้โลกจากเพื่อนๆมากขึ้น หรือว่าบอยเริ่มรู้สึกรังเกียจผมขึ้นมา?

- - -

ในที่สุดการสอบปลายภาคก็มาถึง ผมดูหนังสือไม่ทันเลยสักวิชาเดียว ช่วงหลังที่มีปัญหาเรื่องบอยทำให้ผมเฉื่อยลงไปมาก กลางคืนชอบนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่คนเดียวในความมืดจนไม่เป็นอันดูหนังสือ ทำให้เวลาดูหนังสือที่มีไม่เพียงพออยู่แล้วก็ยิ่งไม่พอเข้าไปใหญ่ ดูหนังสือไม่ทันก็เครียด พอเครียดก็ยิ่งดูหนังสือไม่รู้เรื่อง ในช่วงใกล้สอบผมทั้งนอนไม่หลับ ถึงนอนหลับก็ฝันร้าย อาการอาเจียนและท้องเสียก็กลับมาอีก ช่วงนี้เรียกได้ว่าครบเครื่องเลยทีเดียว

“เฮ้ย อู เป็นไงบ้าง ออกแต่เช้าเชียว” เสียงพี่ธิตชั้นดาดฟ้าทักทายผมเมื่อเราพบกันที่ชั้นล่างของหอพัก

“ครับพี่ วันนี้มีสอบ กลัวติดฝนแล้วไปสอบไม่ทันครับ” ผมตอบอย่างเนือยๆ ช่วงนี้ฝนตกบ่อย รวมทั้งวันนี้มีเสียงฟ้าร้องครืนครันมาตั้งแต่เช้ามืด

“ทำไมอูหน้าซีดยังงี้ ไม่สบายหรือเปล่า” พี่ธิตมองหน้าผมแล้วทักขึ้นมา น้ำเสียงแสดงความเป็นห่วง

“สบายดีครับพี่ คงแค่นอนน้อยไปหน่อย” ผมมุสาเพราะไม่อยากต่อความยาว

“กินอาหารก่อนเข้าห้องสอบนะอู สอบตอนท้องว่างจะคิดอะไรไม่ค่อยออก พี่เคยมาแล้ว” พี่ธิตแนะนำเคล็ดลับให้

“ครับพี่ เดี๋ยวจะไปกินที่โรงเรียน” ผมรับคำ จากนั้นผมกับพี่ธิตก็เดินออกจากหอพักมาพร้อมๆกัน

“เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยขึ้นไปสังสรรค์เลยนะเรา” พี่ธิตชวนคุยอีก “สมาชิกร่อยหรอ วงกีตาร์เลยกร่อย”

“มัวแต่ดูหนังสือเตรียมสอบน่ะครับ” ผมแก้ตัว “ว่าแต่ผมหายไปคนเดียวคงไม่ถึงกับกร่อยมั้งพี่”

“ใครว่าเราหายไปคนเดียว หายไปตั้งหลายคน” พี่ธิตตอบ “วุฒิก็ย้ายออกไป แป๋งช่วงหลังก็ไม่ขึ้นมาเลย อูก็ไม่ขึ้นมา มีแต่น้องปั้นที่ยังซ่าอยู่”

“อ้าว วุฒิย้ายไปแล้วเหรอครับ” ผมงง “ไม่เห็นรู้เรื่องเลย”

“ไปสักเดือนแล้วมั้ง เห็นบอกว่าบ้านซ่อมเสร็จแล้วเลยย้ายกลับไป” พี่ธิตเล่า

ผมอดนึกถึงแป๋งไม่ได้ เพิ่งจะสังเกตว่าช่วงนี้ไม่ค่อยพบแป๋งที่ชั้นล่าง ไม่รู้จะเกี่ยวกับเรื่องวุฒิหรือเปล่า

“อูไปขึ้นรถที่ซอยโน้นเหรอ” เสียงพี่ธิตถามเมื่อเราเดินไปถึงปากซอย คนที่ค่อนข้างสนิทสนมกับผมในหอพักจะรู้กันดีกว่าผมไม่ขึ้นรถที่หน้าปากซอยหอพัก

“ครับพี่ ผมไปก่อนนะครับ” ผมลาพี่ธิต และแยกเดินไปคนเดียว

หลังจากที่ผมขึ้นรถได้ไม่นาน ฝนก็เทลงมาอย่างหนัก ทำให้รถติดเป็นเวลานาน ผมไปถึงโรงเรียนตอนเข้าแถวเคารพธรงชาติพอดีจึงไม่มีเวลาพอที่จะแวะกินอาหาร ดังนั้นผมจึงต้องเข้าสอบทั้งๆที่ท้องหิว...



<เครื่องพิมพ์ดีดแบบแคร่ยาวที่ใช้กันในโรงเรียนพิมพ์ดีดและตามหน่วยงานราชการในยุคนั้น ส่วนตามบริษัทห้างร้านเริ่มเปลี่ยนมาใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในการเตรียมเอกสารกันแล้ว>