Sunday, August 30, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 17

“ไม่เอา อูไม่ไปไหนทั้งนั้น อูจะเรียนที่เดิม” ผมโพล่งสวนขึ้นมาบ้าง ไม่เข้าใจความคิดของพ่อเหมือนกันว่าคิดอะไรได้ประหลาดขนาดนั้น

“เอ๊ะ ไอ้นี่” พ่อแสดงอาการฉุนเฉียวออกมา

นิสัยใจร้อนของผมนั้นที่จริงก็ไม่ได้มาจากใครที่ไหน คงได้รับมาจากทั้งพ่อและแม่นั่นเอง ปกติพ่อจะไม่ชอบทำอะไรชักช้า อืดอาด หรือยืดยาด ก็น่าจะถือได้ว่าเป็นคนใจร้อน ส่วนแม่นั้นเป็นคนใจร้อนแบบไม่ชอบผัดวันประกันพรุ่ง ตัวแม่เองเมื่อคิดอะไรก็มักจะทำในทันที หรือถ้าสั่งงานไปแล้วก็อยากให้เริ่มทำเร็วๆ อย่างผมกับเอ๊ดนี่จะเจอประจำ คือถ้าแม่เรียกใช้อะไรแล้วพวกเราชักช้า แม่ก็มักจะทำเสียเองโดยไม่รอให้เราทำ ที่จริงคนที่นิสัยค่อนข้างแตกต่างจากพ่อแม่น่าจะเป็นเอ๊ดมากกว่าผม เพราะเอ๊ดนั้นเป็นคนใจเย็น ไม่รู้ว่ารับเอาส่วนไหนของพ่อและแม่มา ส่วนผมนั้นแม้ได้รับความใจร้อนมา แต่มักเป็นความใจร้อนแบบผลีผลาม ขาดการไตร่ตรอง

ปกติพ่อจะมีความอดทนกับลูกๆพอสมควร แต่วันนี้กลับไม่ใช่ พ่ออารมณ์เสียจนผมตกใจ ส่วนแม่นั้นขยิบตาส่งสัญญาณให้ผมสงบปากคำเอาไว้

“อ้าว แม่ก็ช่วยพูดบ้างสิ” พ่อหันมาพูดกับแม่

“เรื่องนี้เอาไว้คุยกันทีหลังดีกว่าป๊า” แม่พยายามปรามพ่อ

ผมรู้สึกเอะใจชอบกล เพราะคล้ายกับว่าพ่อและแม่มีการตกลงอะไรมากันไว้ก่อนแล้ว แต่แม่ไม่ยอมพูดต่อ พ่อดูอารมณ์เสียจนผมเข้าหน้าไม่ติด บ่นผมอยากหนัก และพยายามจะพูดเรื่องย้ายโรงเรียน ส่วนแม่ก็พยายามขัดพ่อเอาไว้ไม่ให้พูดเรื่องนี้ การคุยในวันนั้นที่เสริมมิตรจึงไม่ค่อยได้เรื่องอะไรนัก ส่วนมากก็จะเป็นการเถียงกันเสียมากกว่า

คืนนั้นพ่อกับแม่พักที่บ้านคุณลุงโดยนอนในห้องของผมนั่นเอง เพราะว่าพ่อไม่อยากขับรถกลับบ้านในเวลากลางคืน ปกติถ้าพ่อกับแม่ต้องการค้างคืนในกรุงเทพฯก็มักจะไปพักที่โรงแรมเพราะเกรงใจคุณลุงคุณป้า แต่ครั้งนี้กลับผิดไปจากปกติ

สำหรับผมนั้นวันนี้เป็นวันที่เกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย ตั้งแต่ตาลตาย ฝังศพตาล โดนไอ้กี้ด่า แล้วก็ยังมาถูกชำระโทษจากพวกผู้ใหญ่ กลางคืนยังต้องมานั่งเถียงกันระหว่างพ่อแม่ลูกอีก ช่างเป็นวันที่วุ่นวาย ดังนั้นเมื่อหัวถึงหมอน ผมก็หลับทันที ในสำนึกวูบสุดท้ายก่อนที่ผมจะหลับไป ผมนึกถึงตาล นึกถึงเหตุการณ์เมื่อเช้ามืด ตอนที่ขุดหลุม วางร่างตาลลงในหลุม และกลบดิน... ผมต้องส่งเพื่อนให้จากไปชั่วนิรันดร์ด้วยมือของผมเอง...

- - -

ที่สนามบินดอนเมือง เวลา ๖.๔๕ น.

ผมวิ่งเข้ามาในตัวอาคารผู้โดยสารขาออก พลางหันรีหันขวาง ไม่รู้ว่าจะไปหาไอ้นัยที่ไหน ผมวิ่งอย่างสะเปะสะปะไปทั่วเพื่อจะหาไอ้นัย

ทันใดนั้นผมก็เห็นเงาหลังของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งในชุดนักเรียน ยืนหันหลังให้ผมอยู่ห่างออกไปหลายสิบเมตร เงาหลังนั้นช่างคล้ายไอ้นัยเหลือเกิน โดยไม่รอช้า ผมรีบไปวิ่งไปที่ร่างนั้นทันที

เมื่อเข้าใกล้ ร่างนั้นกลับหายไปในฝูงคน ผมพยายามมองหาอีกครั้ง ก็เห็นร่างนั้นอยู่ไกลออกไปหลายสิบเมตรและกำลังเดินห่างออกไป

ผมรีบวิ่งตาม เมื่อเข้าไปใกล้จึงแน่ใจว่าเงาหลังที่ผมเห็นนั้นคือไอ้นัยนั่นเอง

“นัย” ผมตะโกนลั่น “รอก่อน”

ไอ้นัยไม่หันกลับมา แต่กลับเดินหน้าต่อไปอย่างเร่งรีบ ผมรีบวิ่งตามไป แต่วิ่งเท่าไรก็ไม่ทันไอ้นัยเสียที ผมรู้สึกว่าผมกำลังซอยเท้าอยู่กับที่ ไม่สามารถเคลื่อนไปข้างหน้าได้...

“นัย รอด้วย” ผมตะโกนสุดเสียง

ผมเห็นนัยหายเข้าไปในลิฟต์ ผมพยายามวิ่งตามเต็มที่ ปากก็ตะโกนเรียกไอ้นัย แต่กว่าจะคืบหน้าไปได้แต่ละเมตรมันช่างเชื่องช้าและกินแรงเสียเหลือเกิน

ในที่สุดผมก็วิ่งมาถึงหน้าลิฟต์ และกดปุ่มเพื่อเรียกลิฟต์ ผมรู้สึกเหนื่อยมากจนต้องหอบออกมา

เมื่อลิฟต์เปิดออก ผมรีบก้าวเข้าไปในลิฟต์ทันที

ภายในลิฟต์ ผมพบไอ้นัยในชุดนักเรียนนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนพื้น ใบหน้าของไอ้นัยที่เคยสดชื่นแจ่มใสกลับดูเศร้าหมอง ผิวหน้าสีน้ำผึ้งกลับกลายเป็นสีเขียวอมม่วง สีหน้าของไอ้นัยดูน่ากลัวมาก

ไอ้นัยตายแล้ว!

“นัย” ผมแผดร้องสุดเสียง

- - -

ผมสะดุ้งสุดตัว เมื่อได้สติอีกครั้งผมก็รู้สึกว่าตนเองกำลังอยู่ในความมืด ผมตกใจกลัวจนตัวสั่น

“อู เป็นอะไรไปน่ะ” ผมได้ยินเสียงแม่ ผมค่อยๆจำความได้ว่าตอนนี้ผมกำลังนอนอยู่ภายในบ้านคุณลุงนั่นเอง

แสงไฟสว่างจ้าขึ้น ผมเห็นพ่อยืนอยู่ข้างสวิทช์ไฟ ส่วนแม่นั้นนั่งอยู่ข้างๆผมบนเตียง

“อู เป็นอะไรไป ร้องเอะอะใหญ่เลย” แม่ถามอีก สีหน้าบ่งบอกแวววิตกกังวล

ผมรู้สึกหนาวสะท้าน แม้ตอนนี้ผมจะได้สติแล้ว แต่ก็ยังไม่คลายความหวาดกลัวจากเหตุการณ์ในความฝันเมื่อครู่ ผมรู้สึกตกใจ กลัว และเหนื่อยมาก

“เอ้อ ฝันร้ายน่ะแม่ ไม่มีอะไรหรอก” ผมตอบ

พ่อกับแม่สบตากัน “เธอดูเอาก็แล้วกัน” พ่อพูด

“อูฝันเรื่องอะไรน่ะ” แม่พยายามซัก

“จำไม่ได้แล้วแม่” ผมส่ายหน้า “อูร้องดังมากเลยเหรอ”

แม่พยักหน้า “ลั่นบ้านเลยล่ะ”

ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณตีสาม หลังจากที่วุ่นวายกันเล็กน้อย ทุกคนก็เข้านอนต่อ

รุ่งเช้าวันนั้น เมื่อผมตื่นนอนเพื่อจะไปโรงเรียน พ่อกับแม่ก็ตื่นด้วย ที่จริงไม่ได้ตื่นด้วย แต่พ่อกับแม่บอกว่าตั้งแต่ตอนตีสามก็ไม่ได้หลับอีก

“อู ยังไงกลับไปเรียนที่บ้านเราดีกว่านะ พ่อกลับไปแล้วจะติดต่อหาโรงเรียนดู” พ่อพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

โอ๊ย จะพูดเรื่องนี้ทำไมกันแต่เช้า เช้าวันนั้นแทนที่ผมจะรู้สึกสดชื่น ผมกลับรู้สึกหดหู่ รวมทั้งรู้สึกเหนื่อยล้าราวกับอดนอนมา เมื่อตื่นขึ้นมาก็ได้ยินเรื่องที่ผมไม่อยากฟังเสียอีก

“ป๊า อย่าเพิ่งคุยเรื่องนี้เลย” แม่ปรามพ่อ “ให้อูไปโรงเรียนก่อนเถอะ”

“เธอก็ห้ามอยู่เรื่อย แล้วเมื่อไรจะได้คุยเสียที” พ่อบ่น พ่อกับแม่เริ่มขัดแย้งกันอีกแล้ว

ดูเหมือนว่าพ่อกับแม่จะมีเรื่องที่ปิดบังผมอยู่ และคงไม่ใช่เรื่องดีสำหรับผม แต่ผมไม่กล้าถาม ผมกลัวที่จะต้องรับรู้เรื่องอะไรแย่ๆอีก ตอนนี้ผมก็แย่พออยู่แล้ว

ผมลุกขึ้นจากเตียงเพื่ออาบน้ำแต่งตัวและเตรียมตัวไปโรงเรียน ส่วนพ่อกับแม่รอให้ผมใช้ห้องน้ำให้เสร็จเสียก่อนจึงเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวบ้าง ขณะที่พ่อเข้าไปอาบน้ำ แม่คุยกับผมเบาๆ

“อู คืนนี้สักเที่ยงคืนโทรหาแม่นะ รอให้ป๊าเค้าหลับไปก่อน โทรสะดวกหรือเปล่า” แม่ถาม

“มีเรื่องอะไรเหรอแม่” ผมถาม รู้สึกไม่ชอบมาพากล

“เอาน่ะ แล้วค่อยคุยกันทีหลัง อย่าให้ป๊ารู้นะ” แม่กำชับ

Tuesday, August 25, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 16

เมื่อผมเดินมาใกล้ถึงหน้าบ้าน ผมก็รู้สึกถึงความผิดปกติ ตอนนั้นเป็นเวลาโพล้เพล้แล้ว ในบ้านเปิดไฟสว่างผิดปกติ

เมื่อผมเดินมาถึงหน้าประตูบ้าน ผมก็เห็นว่าในบ้านมีรถจอดเพิ่มอีกคันหนึ่ง... รถของพ่อผมนั่นเอง!

ผมรู้สึกดีใจ เพราะว่าอย่างน้อยผมก็ไม่ต้องเผชิญการชำระโทษในครั้งนี้อย่างโดดเดี่ยว

เมื่อผมเดินเข้าไปในบ้าน ผมก็รู้สึกผิดคาด เพราะแทนที่จะเห็นแต่พ่อ กลับเห็นทั้งพ่อและแม่ พ่อและแม่มาด้วยกันและกำลังคุยกับคุณลุงและคุณป้าด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดในห้องรับแขก

ผมรู้สึกใจหายเมื่อเห็นสีหน้าของผู้ใหญ่ทั้งสี่ ความรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่นใจหายไปจนหมดสิ้น... ความรู้สึกบอกผมว่าพ่อไม่ได้มาเพื่อช่วยผม แต่มาเพื่อร่วมชำระโทษผมมากกว่า!

ผมยืนละล้าละลังอยู่นอกตัวบ้าน ทำอะไรไม่ถูก จะเข้าไปก็กลัว จะหนีออกไปอีกก็ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน

“อ้าว อู มาแล้วเหรอ เข้ามานี่เลย เรามีเรื่องต้องชำระกัน” พ่อพูดเสียงดังลอยออกมาจากในบ้าน

ผมรู้สึกหนาววูบ ใจแป้วทันที รู้สึกว่าตนเองโดดเดี่ยวเดียวดายขึ้นมา... ผมค่อยๆก้าวเดินเข้าไปในห้องรับแขก

“ยังจะยืนเฉยอีก ทำไมไม่ขอโทษคุณลุงคุณป้าล่ะ” เสียงพ่อดุจนเกือบเป็นเสียงตวาด น้อยครั้งนักที่จะเห็นพ่ออารมณ์เสียขนาดนี้ ส่วนแม่นั่งนิ่งเฉยแต่สีหน้าเคร่งเครียด ส่วนคุณลุงคุณป้านั้นไม่ต้องพูดถึง ใบหน้าเคร่งขรึมผิดปกติ

วันนี้ผมคิดถึงเรื่องต่างๆตลอดทั้งวัน ผมคิดถึงเรื่องคุณป้าถ้ามองจากเรื่องไม่ยอมช่วยตาลก็ถือว่าใจร้าย ถ้ามองจากเรื่องที่ดูแลผมซึ่งไม่ใช่ญาติมาตลอดหลายปีก็ต้องถือว่าใจดี สรุปแล้วคุณป้าใจดีหรือใจร้ายกันแน่ หรือว่าคนเราจะใจดีและใจร้ายในคนคนเดียวกันได้ ผมพยายามคิดหาคำตอบแต่ก็คิดไม่ออก แต่อย่างน้อยที่สุด ที่ผมรู้แน่ๆก็คือไม่มีใครคิดว่าการกระทำของผมถูกต้องเลยสักคน

ผมเดินเข้าไปนั่งคุกเข่าและกราบคุณป้าที่ตัก รู้สึกเสียใจที่พูดไม่ดีกับคุณป้า แต่ก็รู้สึกเสียใจที่คุณป้าไม่ยอมช่วยตาลเช่นกัน

“คุณป้าครับ อูขอโทษครับ” ผมพูดเบาๆ แล้วก็ก้มหน้านิ่งเงียบ พูดอะไรต่อไม่ออก ส่วนคุณป้าก็นิ่งเฉยไม่พูดอะไร บรรยากาศในบ้านเต็มไปด้วยความอึดอัด

“มันน่านักไอ้ลูกคนนี้ ยิ่งโตยิ่งนิสัยใช้ไม่ได้” พ่อบ่น

“เอาน่า แล้วกันไปเถอะ ยังไงอูเค้าก็สำนึกแล้ว เธอก็ให้อภัยเด็กมันสักครั้งก็แล้วกัน” คุณลุงช่วยพูด ส่วนคุณป้ายังนั่งนิ่งเฉย ไม่แสดงกิริยาอาการใดๆ จนผมรู้สึกหวั่นใจอย่างไรชอบกล เพราะปกติคุณป้าไม่เคยนิ่งเงียบแบบนี้ เมื่อเงยหน้าขึ้นดูก็พบว่าคุณป้านั่งน้ำตาไหลพราก

“คุณป้า คุณลุงครับ อูเสียใจ อูผิดเองครับ” ผมพูดเสียงแผ่วเบา ในใจรู้สึกเจ็บปวด ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าผมเจ็บปวดเนื่องจากอะไร

“เอ้า ไหนว่าสามคนพ่อแม่ลูกมีเรื่องจะคุยกันไม่ใช่หรือ ไปคุยกันก่อนเถอะ ตามสบาย เดี๋ยวจะดึกเกินไป” คุณลุงพูดขึ้นมา

“เฮ้อ” พ่อถอนใจ “งั้นเดี๋ยวขอเวลาไปชำระความเรื่องไอ้อูมันก่อน ต้องขอโทษด้วยจริงๆที่เอาเรื่องเดือดร้อนมาให้” คุณพ่อพูดด้วยด้วยสีหน้าที่ไม่สบายใจ

- - -

พ่อขับรถพาแม่กับผมออกมาจากบ้านคุณลุง ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพ่อจะพาไปไหน ตอนนั้นรู้สึกกลัวมาก ไม่รู้ว่าพ่อจะเล่นงานผมอย่างไร จึงนั่งเงียบไม่พูดอะไรทั้งๆที่อยากจะถามเหลือเกินว่าพ่อจะพาผมไปไหน

“ป๊า จะไปไหนดีล่ะ” แม่ถามพ่อ

“ไปเสริมมิตรละกัน ดีไหม” พ่อตอบ พลางย้อนถาม แม่พยักหน้าเห็นด้วย

เสริมมิตรที่ว่าคือภัตตาคารเสริมมิตร ต้นตำรับไก่อบภูเขาไฟอันลือลั่นในยุคนั้น ภัตตาคารนี้อยู่เยื้องๆไปรษณีย์ลาดพร้าว เมื่อก่อนตอนที่เอ๊ดยังเรียนอยู่ที่กรุงเทพฯ พ่อเคยพาพวกเรามากินอาหารที่นี่นานๆครั้ง โดยเฉพาะวันเสาร์มักจะมีการแสดงมายากลให้ลูกค้าชม ส่วนวันอื่นๆก็จะมีนักร้องมาร้องเพลงขับกล่อม หรือไม่ก็เป็นการเปิดแผ่นให้ลูกค้าฟัง

บรรยากาศขณะอยู่ในรถเต็มไปด้วยความอึดอัด พ่อพยายามจะบ่นผมอยู่หลายครั้ง แต่แม่ห้ามเอาไว้ บอกว่ารอให้ถึงภัตตาคารก่อนค่อยคุยกัน เพราะเกรงจะทะเลาะกันในรถเสียก่อน

เมื่อเราไปถึงเสริมมิตร ภายในภัตตาคารเป็นห้องโถงใหญ่ จุโต๊ะอาหารได้หลายสิบโต๊ะ ด้านหน้าเป็นเวทีสำหรับการแสดงต่างๆ ในวันนั้นมีผู้มากินอาหารไม่มากนัก นั่งกระจัดกระจายกันไป พ่อพาเราไปเลือกโต๊ะที่ค่อนข้างห่างไกลผู้คน

หลังจากที่สั่งอาหารกับพนักงานเสร็จ พ่อก็เริ่มเล่นงานผมทันที

“อู นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมถึงได้ทำตัวเนรคุณขนาดนี้” พ่อพรั่งพรูคำพูดออกมาหลังจากที่ข่มกลั้นเอาไว้ไม่พูดในรถ วันนี้พ่อมีสีหน้าเคร่งเครียด ดูน่ากลัวมาก

คำก็เนรคุณ สองคำก็เนรคุณ พ่อถามผมว่ามันเรื่องอะไรกัน แต่จากคำพูดแสดงว่าพ่อสรุปเรื่องเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว

“ก็ป๊ารู้ว่าอูเนรคุณ แล้วยังมาถามอูอีกทำไมล่ะ” ผมย้อนด้วยความน้อยใจ

“เอ๊ะ ไอ้ลูกคนนี้ ยังจะมาย้อนอีก” พ่อตวาดใส่ผมด้วยความโกรธ “เป็นเด็กไปขึ้นเสียงตวาดใส่ผู้ใหญ่ แทนที่จะสำนึกและขอโทษป้าเค้าตั้งแต่เมื่อตอนเช้า ยังวิ่งหนีออกจากบ้านไปเสียอีก มันน่านัก...”

“ป๊า ใจเย็นๆก่อนสิ ฟังอูเล่าก่อน” แม่พูดด้วยเสียงนุ่มนวล พยายามประนีประนอมอย่างที่สุด

“ยังจะเข้าข้างมันอีก เพราะแม่ให้ท้ายมันอย่างนี้แหละ ถึงได้เสียเด็ก” พ่อใส่อารมณ์อีก

“อ้าว เลยมาโทษแม่เลย” แม่อุทาน

สถานการณ์เริ่มวุ่นวาย พ่อกับแม่กลับมาเถียงกันเพราะเรื่องให้ท้ายผมแทน

“โอ๊ย ไม่อยากยุ่งแล้ว พูดไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย” แม่ชักเสียงแข็งขึ้นมาบ้าง

สุดท้ายก็ไม่มีใครฟังใคร ผมชักเริ่มหวั่นใจ ผู้ใหญ่สี่คนต้องมาทะเลาะกันเพราะผมเป็นต้นเหตุแท้ๆ และสถานการณ์ดูท่าจะบานปลายออกไป ผมนึกไม่ถึงเลยว่าตนเองจะก่อเรื่องวุ่นวายได้มากขนาดนี้

หลังจากที่พนักงานยกอาหารมาเสิร์ฟ สถานการณ์ดูผ่อนคลายลงไปบ้าง ผมจึงมีโอกาสได้เล่าเรื่องของตาลให้พ่อกับแม่ฟัง

“โอย เรื่องหมาแค่นี้” พ่ออุทาน “อูทำมันบานปลายจนทุกคนต้องเดือดร้อนไปหมด”

“มันไม่ใช่หมาแค่นี้นะป๊า” ผมเถียง อยู่ต่อหน้าคุณลุงคุณป้าผมไม่ค่อยกล้าเถียงอะไรมาก แต่กับพ่อแม่ก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง “มันเป็นเพื่อนอู มันไม่มีใคร มีแต่อูคนเดียวที่มันไว้ใจ แต่อูก็ปล่อยให้มันตาย”

พูดจบผมก็อดคิดถึงไอ้นัยไม่ได้ ตาลไม่ได้เป็นเพียงหมาตัวหนึ่ง แต่มันเป็นสัญลักษณ์ที่เชื่อมโยงใจของผมไปถึงไอ้นัย

พ่อมองผมด้วยสีหน้าที่แปลกประหลาด อธิบายไม่ถูก

“นี่อูเพ้ออะไรออกมานี่ เสียสติไปแล้วหรือเปล่า” พ่ออุทานด้วยความตกใจ แม่เองก็มีสีหน้ากังวลใจ

เราสามคนคุยกันไป เถียงกันมา บางทีพ่อกับแม่ก็เถียงกันเอง จนชุลมุนวุ่นวายไปหมด

“อูอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้วนะ” พ่อสรุป หลังจากที่เถียงกันอยู่เป็นนาน

“ป๊าว่าไงนะ” ผมงง ตั้งตัวไม่ติด

“อูทำตัวแบบนี้คงอยู่บ้านนี้ต่อไปไม่ได้แล้วละ เห็นไหมว่าผู้ใหญ่ชอบพอกันก็มองหน้ากันไม่ติดเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องของเรานี่แหละ ลูกคนนี้สร้างแต่ปัญหา ต้องเอามาอยู่ใกล้ๆตัวเสียแล้วล่ะ ป๊ากับแม่จะได้ดูแลได้” พ่อบ่นยาวเหยียด

“แล้วจะให้อูไปอยู่ที่ไหนล่ะ” ผมถาม เริ่มรู้สึกแปลกๆกับคำพูดของพ่อ

“ก็มาอยู่โรงเรียนมัธยมใกล้ๆบ้านเรานั่นแหละ เป็นนักเรียนไปกลับ อยู่ใกล้หูใกล้ตาจะได้ดูแลได้” พ่อโพล่งขึ้นมา

ผมตกใจจนพูดไม่ออก เด็กต่างจังหวัดทั่วไป ตอนเด็กก็เรียนในหมู่บ้าน พอโตขึ้นมาพ่อแม่ก็พยายามส่งให้ไปเรียนในตำบล จากนั้นก็ไปเรียนในตัวอำเภอ แล้วก็ในตัวจังหวัด ถ้ามีโอกาสก็จะส่งเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ แต่นี่พ่อของผมมีลูกเรียนอยู่ในกรุงเทพฯแต่จะให้ย้ายไปเรียนในอำเภอ!


<เสริมมิตรที่ว่าคือภัตตาคารเสริมมิตร ต้นตำรับไก่อบภูเขาไฟอันลือลั่นในยุคนั้น ภัตตาคารนี้อยู่เยื้องๆไปรษณีย์ลาดพร้าว ไก่อบภูเขาไฟที่ว่าก็คือไก่ย่าง เวลานำมาเสิร์ฟจะนำเหล้ามาราดบนตัวไก่ จากนั้นจุดไฟใส่ตัวไก่ ไก่ก็จะติดไฟลุกพรึ่บต่อหน้าแขก ดูตื่นเต้นดี สักครู่ไฟก็จะดับไปเอง ในยุคนั้นบนถนนลาดพร้าวมีภัตตาคารที่มีชื่อเสียงอยู่สามแห่ง คือ ภัตตาคารเสริมมิตรที่มีจุดขายคือไก่อบภูเขาไฟ ภัตตาคารอภิชาติที่อยู่ใกล้ๆไปรษณีย์ลาดพร้าว จุดขายคือเครื่องบิน C-46 ที่เอามาทำเป็นห้องอาหาร และศิริชัยไก่ย่าง ซอยลาดพร้าว 40 แถวๆซอยภาวนานั่นเอง ซึ่งมีจุดขายคือไก่อบสมุนไพร ต่อมาเมื่อถึงยุคที่สวนอาหารบนถนนเลียบทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์เฟื่องฟู ภัตตาคารรุ่นเก่าเหล่านี้ก็เสื่อมความนิยมไป เสริมมิตรและอภิชาติตรงลาดพร้าวเลิกกิจการไป ส่วนศิริชัยไก่ย่างยังอยู่มาจนถึงปัจจุบัน>

Friday, August 21, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 15

“อะไรกันน่ะตาอู เป็นอะไรขึ้นมา” คุณป้ายังงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ แต่น้ำเสียงบ่งบอกความไม่พอใจกับกิริยาของผม

“หมาตายแล้วครับ คุณป้าใจร้าย” ผมร้องตะโกนใส่หน้าคุณป้าอีก

คราวนี้ดูเหมือนว่าคุณป้าจะตั้งสติได้แล้ว คุณป้าเดินเข้ามาตบปากผมดังเพียะ

“อย่ามาขึ้นเสียงกับผู้ใหญ่นะ” คุณป้าเอ็ดตะโร “หมาตายไปตัวนึงแล้วทำไม ทุกวันมันก็มีคนตายหมาตาย เรานี่เนรคุณจริงๆ ป้าเลี้ยงเรามากี่ปีแล้ว แค่เรื่องหมาตายมาขึ้นเสียงใส่ป้า เด็กอะไรทำไมมันร้ายยังงี้นะ”

ว่าแล้วคุณป้าก็เอ็ดตะโรผมเสียงลั่น ผมเองเมื่อถูกเอ็ด สติก็กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง

ผมยืนนิ่ง ปล่อยให้คุณป้าเอ็ดตะโร ตอนนั้นทำอะไรไม่ถูก ใจหนึ่งก็กลัว อีกใจหนึ่งก็อยากจะเถียงกลับไปบ้าง มันไม่ใช่แค่หมาตายตัวหนึ่ง แต่มันหมายถึงเพื่อนของผม เพื่อนที่ผมทุ่มเทหัวใจรักให้...

เพียงครู่เดียวคุณลุงก็ลงมาจากข้างบนและมาสมทบ เมื่อคุณลุงรู้เรื่องราวจากคุณป้า คุณลุงก็ดุผมและไล่ผมให้ขึ้นไปข้างบนทันที

เมื่อผมเข้าห้องได้ก็ปิดประตูลงกลอน ยืนตัวสั่น... รู้สึกเหมือนกับจะขาดสติไปอีก ทำอะไรไม่ถูก ในหัวใจเต็มไปด้วยความรู้สึกหลายๆอย่างประดังกันจนแยกไม่ออก ทั้งโกรธ ทั้งเกลียด และทั้งกลัว... ผมอดคิดถึงตาลไม่ได้ ตาลก่อนตายตัวของมันก็สั่นเทา มันคงกลัวความตายที่อยู่รออยู่เบื้องหน้า พร้อมทั้งเกลียดโลกอันโหดร้ายใบนี้...

ไม่ไหว ถ้าขืนอยู่ต่อไปคงบ้าตายแน่ ผมคิดในใจ จู่ๆผมก็รู้สึกกลัวบ้านนี้ขึ้นมา อีกสักครู่คุณลุงกับคุณป้าคงต้องตามมาเอาโทษผมที่ทำตัวก้าวร้าวผู้ใหญ่ แค่คิดผมก็สยองแล้ว

หนี! ผมตัดสินใจที่จะหนีไปให้พ้นจากปัญหาเฉพาะหน้านี้ไปก่อน ว่าแล้วผมก็เปลี่ยนจากชุดอยู่บ้านเป็นชุดนักเรียน จากนั้นสะพายเป้แล้ววิ่งลงไปข้างล่างทันที

“อู จะไปไหน” เสียงคุณลุงร้องเรียก ขณะที่ผมลงมาจากชั้นสองและวิ่งออกไปหน้าบ้าน คุณลุงกับคุณป้ายังอยู่ในห้องนั่งเล่น

“ไอ้เด็กเนรคุณ” เสียงคุณป้าดังลั่นไล่หลัง “หมาตายไปตัวนึงว่าป้าใจร้าย แล้วที่เลี้ยงดูเรากับพี่ชายมาหลายปีน่ะ ทำไมไม่คิดบ้าง” คุณป้าคงจะโกรธผมมาก ผมไม่เคยเห็นคุณป้าเกรี้ยวกราดขนาดนี้มาก่อนเลย

ผมรีบไขกุญแจประตูเล็ก ก่อนออกไปผมฉวยพลั่วทำสวนอันเล็กที่วางอยู่ข้างประตูหน้าบ้านไปด้วย เมื่อปิดประตูแล้วก็รีบวิ่งจากไปทันที

เมื่อออกพ้นเขตรั้วบ้านมาได้ ผมก็รู้สึกโล่งใจขึ้นเป็นกอง ตัวก็หยุดสั่น ทำไมบ้านที่เคยอบอุ่นจึงกลับกลายเป็นน่ากลัวขนาดนี้ไปได้ก็ไม่รู้

ผมยังเหลืองานที่ต้องทำอีกอย่างหนึ่ง ผมรีบตรงไปที่พงหญ้าทันที

ที่นั่น ตาลยังนอนตัวแข็งอยู่ที่เดิม ผมเอาพลั่วทำสวนเล็กๆที่ติดมาด้วยขุดดินตรงพงหญ้า ดินตรงนั้นเป็นดินที่ถมมานานปี จึงค่อนข้างแน่น พลั่วก็เล็ก การขุดจึงกินแรงมาก กว่าจะขุดเป็นหลุมขนาดพอประมาณได้ก็เล่นเอาเหงื่อโซมกาย

ผมวางร่างตาลลงในหลุม จากนั้นก็เอาดินกลบให้แน่น

“หลับให้สบายนะตาล” ผมอธิษฐานด้วยใจอันหดหู่ ไม่มีพิธีรีตองใดๆ... นี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกที่ผมต้องส่งเพื่อนผู้เป็นที่รักไปบนเส้นทางที่เราไม่อาจได้พบกันอีกชั่วชีวิต...

กว่าจะฝังตาลเสร็จ เสื้อนักเรียนสีขาวของผมก็เปื้อนดินโคลนเปรอะไปหมด สองมือก็เต็มไปด้วยดินโคลน ผมทิ้งพลั่วเอาไว้ที่หลุมของตาล กะว่าเย็นนี้ค่อยมาเอากลับไป จากนั้นก็เดินเนื้อตัวเลอะเทอะอย่างนั้นไปยังปากซอยเนื่องจากไม่กล้ากลับเข้าบ้าน

ผมอาศัยห้องน้ำในปั๊มน้ำมันตรงข้ามซอยภาวนาเพื่อล้างมือและแขนที่เลอะเทอะ แต่ดินโคลนที่เปื้อนเสื้อนั้นยิ่งเอาน้ำเช็ดก็ยิ่งเลอะ จนต้องเลิกเช็ด จากนั้นบ้วนปากเล็กน้อย วันนั้นผมไปโรงเรียนทั้งๆที่ยังไม่ได้อาบน้ำและแปรงฟัน ร้านรวงแถวนั้นก็ยังไม่เปิด ได้แต่เอาน้ำบ้วนปาก

ระหว่างที่นั่งอยู่ในรถเมล์ ผมนั่งคิดไปตลอดทาง สมองสับสนไปหมด...

เมื่อคิดถึงเรื่องที่บ้าน แม้ตอนนี้ผมจะยังปลอดภัยอยู่ แต่ตอนเย็นเมื่อกลับไปผมจะเจอกับอะไรบ้าง ไม่กล้าคิดเลยจริงๆ

เมื่อคิดถึงเรื่องตาล หมาน้อยอายุสั้น ผมก็อดหดหู่ใจไม่ได้ ตาลตายทั้งๆที่ไม่ควรจะต้องตาย ทำไมคนเราคนเราถึงได้ใจร้ายขนาดนี้นะ แม้แต่ชีวิตเล็กๆ กินเนื้อที่เพียงนิดหน่อย ก็ไม่ยอมเมตตา...

ผมหวนคิดถึงตอนที่ส่งตาลจากไป ผมเริ่มคิดถึงเรื่องการจากกันชั่วนิรันดร ตั้งแต่เด็กมา ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย ไม่ว่าเพื่อน หรือญาติ หรือใครๆก็ตามที่ผ่านมาในชีวิตผม ผมไม่เคยคิดเลยว่าสักวันหนึ่งเราอาจจะต้องจากกันไปชั่วนิรันดร...

ผมอดคิดถึงไอ้นัยไม่ได้ รู้สึกวูบในหัวใจ ผมเคยมั่นใจว่าวาสนาของเรายังไม่สิ้นสุด และเราจะได้พบกันอีก แต่หลังจากเหตุการณ์เมื่อเช้า ความมั่นใจของผมเริ่มคลอนแคลน ผมเริ่มมองชีวิตในอีกด้านหนึ่ง... ชีวิตที่ต้องพรากจากกันชั่วกาลนาน...

- - -

เช้าวันนั้น ผมไปถึงโรงเรียนในสภาพที่มอมแมมไปหมด แม้เหตุการณ์เมื่อเช้าจะกินเวลา แต่เนื่องจากผมตื่นนอนตั้งแต่เช้าตรู่ ดังนั้นผมจึงไม่ถึงกับมาโรงเรียนสาย เพื่อนๆพากันทักและขบขันที่เห็นผมในสภาพเช่นนี้ คงนึกว่าผมไปหกล้มหรือตกท่อที่ไหนมา

ตายละวา วันนี้ต้องส่งการบ้านฟิสิกส์ ผมเพิ่งนึกขึ้นมาได้

“เฮ้ ยูร ขอดูการบ้านฟิสิกส์หน่อยดิ” ผมพูดกับยูร เพื่อนที่นั่งข้างหน้าผม

ยูรหันมามองผมแล้วบุ้ยใบ้ไปทางเวช เป็นความหมายว่าสมุดการบ้านอยู่กับเวช

ระยะหลังผมเริ่มกลับมาเกียจคร้านอีกครั้งหนึ่ง ผมไม่ค่อยสนใจการเรียน ไม่ค่อยอยากทำการบ้าน กลางคืนก็เอาแต่นั่งเฉยจมอยู่ในความมืด ไม่อยากทำอะไรเลย มันเบื่อหน่ายไปหมด แต่ประสบการณ์ได้สอนให้ผมขี้เกียจอย่างแนบเนียน คือไม่เพื่อนลอกการบ้านดื้อๆ แต่ใช้วิธีหลายๆอย่างผสมกัน เป็นต้นว่าทำมาบางส่วน แล้วเว้นตัวเลขหรือข้อความที่เป็นคำตอบเอาไว้ แล้วมาลอกจากของเพื่อนๆ ทำบ้างเว้นบ้าง แล้วเอาของเพื่อนมาลอกเป็นบางท่อนเอามาผสม และที่หนักที่สุดก็คือไม่ทำมาเลย แล้วมาแอบลอกทั้งหมดในห้องเรียนตอนเคารพธงชาติ ผมต้องใช้หลายวิธีเพื่อไม่ให้เพื่อนๆจับได้ว่าผมกำลังกินแรงเพื่อนอยู่ ซึ่งต่างจากเวชและกลุ่มของมัน กลุ่มนั้นใช้อิทธิพลของนักเรียนนักเลงขอเพื่อนลอกเอาดื้อๆเลย

แต่สำหรับการบ้านครั้งนี้ อาจารย์ได้สั่งมาหลายวันแล้ว และเนื่องจากช่วงหลังผมกลับบ้านเร็วเพื่อมาดูตาล ผมจึงมีเวลาค่อนข้างมากในตอนกลางคืน จึงทำการบ้านมาบ้างบางส่วน เหลือส่วนที่ทำไม่ได้เอาไว้ ตั้งใจว่าจะมาทำหรือลอกเอาในตอนเช้า

เมื่อไม่ได้จากยูร ผมจึงหันมาขอยืมจากไอ้กี้ ที่จริงก็ไม่ค่อยอยากขอยืมมันนัก แต่ครั้งนี้ผมทำมาแล้วค่อนข้างมาก และเวลาจวนตัว แค่ต้องการลอกนิดหน่อยเท่านั้น จึงไม่คิดว่าไอ้กี้จะรู้

“ไอ้กี้ ขอยืมการบ้านฟิสิกส์ดูหน่อยดิ” ผมพูด

ไอ้กี้หยิบสมุดการบ้านส่งให้ “อย่าลอกนะโว้ย” ไอ้กี้กำชับ จากนั้นมันก็เดินไปคุยเล่นกับเพื่อนที่โต๊ะใกล้ๆกัน

ผมเอาสมุดของไอ้กี้มากาง ดูเทียบกับส่วนที่ผมทำไปบ้างแล้ว แล้วก็แอบลอกบางท่อนที่ผมทำไม่ได้ใส่ลงไปในสมุดการบ้านของผมเอง

“ไอ้เหี้ยอู บอกแล้วว่าอย่าลอก” เสียงไอ้กี้เอะอะ พร้อมทั้งสมุดของไอ้กี้ที่กางอยู่ข้างหน้าผมถูกดึงออกไป “คิดเองสิวะ ไอ้ห่า สมองมึงไม่มีหรือไงวะ” ว่าแล้วไอ้กี้ก็ยึดสมุดการบ้านคืนไป

ปกติเสียงไอ้กี้ก็ไม่เบาอยู่แล้ว เมื่อมันเอะอะจึงยิ่งดังเข้าไปใหญ่ เพื่อนๆหันมามองว่าเกิดอะไรขึ้น ไอ้กี้มักเอะเอะโวยวายใส่ผมบ่อยๆ ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง จนผมชินชาเสียแล้ว บางทีก็ไม่ได้คิดอะไร แถมยังแกล้งหัวเราะขำๆ แต่ในวันนี้กลับแตกต่างออกไป

ผมรู้สึกหูอื้อ หน้าชา อับอายเพื่อนเหลือที่จะกล่าว มันเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ผมรู้สึกว่าทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรหรือทำอะไรดี จึงนั่งตะลึงอยู่อย่างนั้น

เมื่อตั้งสติได้ ผมก็ยังทำอะไรไม่ถูกอยู่ดี นึกไม่ออกว่าจะพาตัวให้หลุดพ้นจากสภาพอันน่าอับอายนี้ไปได้อย่างไร จะวิ่งหนีออกไปนอกห้องก็ใช่ที่ จะนั่งอยู่เฉยๆเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ดูจะหน้าด้านจนเกินไป

ขณะที่คิดอะไรไม่ออกอยู่นั้นเอง ก็มีสมุดเล่มหนึ่งถูกวางลงตรงหน้าของผม

“เอ้า ดูนี่ดีกว่า อย่าไปดูของแม่งเลย ไอ้ขี้งก” เสียงดังอยู่ข้างซ้ายของผม เสียงของเวชนั่นเอง

สมุดที่วางอยู่ข้างหน้าของผมคือสมุดการบ้านฟิสิกส์ของเวช

“ของกูใช้ได้ เพราะต้นฉบับคือไอ้ยูร” เวชพูดพลางหัวเราะ บรรยากาศดูผ่อนคลายลงนิดหน่อยเมื่อเวชหัวเราะ “แต่ก่อนมึงช่วยกู ให้การบ้านกูลอก วันนี้ให้กูตอบแทนมึงบ้าง ไอ้เพื่อนเหี้ยๆมึงไม่ต้องไปลอกแม่งหรอก”

ไอ้กี้เมื่อเห็นไอ้เวชออกหน้าก็ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงต่อไป เอาสมุดการบ้านไปส่งที่โต๊ะหน้าห้อง จากนั้นก็เดินออกจากห้องไป

ผมไม่รู้จะทำอย่างไรดี ก็เลยรีบลอกการบ้านจากไอ้เวช ลายมือของมันสวยและเป็นระเบียบเรียบร้อยไม่น้อยเลยทีเดียว ผมลอกผิดๆถูกๆแต่ก็ไม่สนใจให้มากความแล้ว อยากลอกให้เสร็จๆแล้วรีบหนีออกจากห้องไปเพื่อให้พ้นจากสภาพที่น่าอับอายนี้

- - -

วันนั้นเป็นวันที่ผมอยากให้กลางวันทอดออกไปนานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ไม่ใช่เพราะว่าผมขยันเรียน ที่จริงอยู่ในห้องเรียนก็อับอายเพื่อน แต่เป็นเพราะว่าผมกลัวที่จะต้องกลับบ้านนั่นเอง

แต่วันเวลาก็ให้ความยุติธรรมแก่ทุกคน ดังนั้นในที่สุด เมื่อถึงเวลาเลิกเรียน ผมก็จำใจต้องกลับบ้าน

ผมใจระทึกไปตลอดทางที่นั่งรถกลับบ้าน เพราะไม่รู้ว่าผมจะเจออะไรบ้าง อาจจะโดนด่า หรืออาจจะโดนตบปากอีกก็ได้ คิดแล้วก็เจ็บใจ พ่อกับแม่แม้จะเคยตีผม แต่ก็ไม่เคยตบปากผมเลย คุณป้าเป็นใคร ถึงกับมาตบปากผม

แต่มาคิดอีกที แล้วผมเป็นใครล่ะ ก็แค่ไปอาศัยเขาอยู่ ทำตัวดีเขาก็รัก ทำตัวไม่ดีเขาก็เกลียด ที่จริงคุณป้าก็พูดถูก ถ้าคุณป้าใจร้ายจริงคงไม่เลี้ยงดูผมกับเอ๊ดมาตั้งหลายปี ผมผิดเองที่ไปอาศัยเขาอยู่ ก็เลยช่วยอะไรตาลไม่ได้... ผมผิดเองที่ใจร้อน เอาแต่เอะอะ ไอ้นัยก็ยังเตือนมาในจดหมายแต่ผมก็ยังไม่ฟัง แล้วก็มีเรื่องจนได้

ผมคิดถึงไอ้นัย... ชีวิตของมันก็คงเป็นแบบนี้ คนที่ต้องอาศัยใบบุญของผู้อื่น ใครจะแกล้งอย่างไรก็ต้องทน ผมเริ่มเข้าใจความรู้สึกของเพื่อนรักคนนี้มากขึ้น ยิ่งเข้าใจมันมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งรู้สึกว่ามันไม่ผิด คนที่ผิดก็คือผมนั่นเอง... เพราะถ้าผมไม่บีบคั้นมัน ผมก็ยังคงเป็นเพื่อนที่ให้มันพึ่งพิงทางใจได้บ้าง แต่นี่ผมกลับ... เสียงของมโนธรรมเริ่มติเตียนผมอีก

ผมนั่งฟุ้งซ่านมาตลอดทางด้วยความรู้สึกผิด ผมผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ทำผิดต่อไอ้นัยยังไม่พอ ยังมาทำผิดต่อคุณป้าอีก... ในชีวิตผมทำอะไรที่ถูกต้องน้อยครั้งมาก มันน้อยจนนับไม่ถูก... คิดไปเรื่อย จนในที่สุด รถเมล์ก็ถึงจุดหมาย...

อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เพราะถึงอย่างไรผมก็คงหนีผลแห่งการกระทำของตนเองไปไม่ได้

ผมเดินเข้าซอยด้วยจิตใจที่หวาดหวั่น ผมอดนึกถึงไอ้นัยอีกไม่ได้ ในวันที่คุณอามารับไอ้นัยกลับบ้าน ไอ้นัยก็คงกลัวแทบตายเหมือนกัน ในเมื่อมันผ่านเหตุการณ์นั้นไปได้ ผมก็ต้องผ่านไปให้ได้เหมือนกัน

ผมเดินผ่านหลุมที่ฝังตาล หยิบพลั่วเล็กที่ซ่อนเอาไว้ออกมา คืนนี้ผมคงโดนหนักแน่ๆ ไม่แน่ว่าว่าผมอาจจะต้องตามไปสมทบกับตาลก็ได้...


<บ้านของคุณลุงและคุณป้าที่ผมอาศัยอยู่เป็นเวลาหลายปี เป็นบ้านรุ่นเก่า มีโรงรถอยู่ข้างตัวบ้าน ด้านหน้ามีสนามหญ้าซึ่งปลูกต้นไม้ไว้หลายสิบต้น>

Tuesday, August 18, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 14

นับตั้งแต่วันที่ผมได้อ่านจดหมายจากไอ้นัย ชีวิตของผมก็เริ่มเปลี่ยนไปอีกครั้งหนึ่ง จวบจนวันที่ผมได้คุยกับคุณอาผู้หญิง มันได้ทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

เดือนสิงหาคมในปีนี้ฝนตกชุก ในคืนวันหนึ่ง เวลาเกือบห้าทุ่มแล้ว ฝนกำลังตกพรำๆ อากาศเย็นสบาย ผมปิดไฟในห้องและนั่งสงบอยู่ที่โต๊ะหนังสือ เปิดเพลงเบาๆจากวิทยุ หมู่นี้ผมชอบปิดไฟและนั่งปล่อยความคิดอยู่ในความมืดเสมอๆ

ผมวางจดหมายฉบับสุดท้ายของไอ้นัยอยู่บนโต๊ะทำงานข้างๆกล่องทิชชู่รูปหมา ชีวิตของไอ้ชัชคงราบรื่นดีไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ตอนอยู่ชั้นประถม ไอ้ชัชเป็นเด็กที่ดูแววอะไรไม่ออกเลยสักอย่าง เรียนก็ปานกลาง กีฬาก็งั้นๆ แต่มันกลับผ่านชีวิตวัยรุ่นที่สุขสงบได้ ตรงข้ามกับไอ้นัยที่ฉายแววของเด็กเก่งมาตั้งแต่ชั้นประถมปลาย แต่แล้วในที่สุดชีวิตกลับต้องพลิกผันอย่างไม่น่าเชื่อ

ผมมองจดหมายของไอ้นัยในความมืด ผมอ่านจดหมายฉบับสุดท้ายของไอ้นัยไม่รู้ว่ากี่รอบแล้ว ทุกครั้งที่อ่านผมจะรู้สึกเจ็บปวด ทุกประโยคที่ไอ้นัยระบายออกมามันทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับถูกกล่าวโทษ แต่ผมก็ยังอยากอ่าน... ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับว่าได้ชดเชยอะไรให้แก่ไอ้นัยได้บ้าง...

ไอ้นัย ถ้าเราไม่รู้จักกัน ชีวิตมึงคงดีกว่านี้เยอะ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้กูขอไม่รู้จักมึงดีกว่า...

“สำหรับเพลงสุดท้ายของคืนวันนี้ เป็นเพลงที่คุณผู้ฟังขอมา เนื่องจากเป็นเพลงอำลา เราจึงนำมาเปิดในตอนปิดท้ายรายการ เพลงนี้มีชื่อว่า Aloha Oe และเราขอกล่าวราตรีสวัสดิ์กับท่านผู้ฟังไปก่อน... จนกว่าจะพบกันอีกในวันพรุ่งนี้” เสียงผู้ดำเนินรายการเพลงแว่วออกมาจากวิทยุ

ผมเร่งเสียงวิทยุให้ดังขึ้นอีกเล็กน้อย เพลงนี้ผมเป็นผู้ขอไปเอง ผมโทรศัพท์หว่านไปตามรายการเพลงฝรั่งที่จัดในช่วงสี่ทุ่มและห้าทุ่มสี่ห้ารายการ เพื่อขอให้ทางรายการเปิดเพลงนี้ให้ จากนั้นก็คอยฟังตอนท้ายรายการของทุกวัน ผมเชื่อว่าคงมีบางรายการที่สามารถเปิดเพลงนี้ให้แก่ผมได้

หลังจากที่ผมได้เทปชุดที่มีเพลง Longer มา ผมก็เปิดฟังแล้วฟังอีก ส่วนเพลง Aloha Oe กับเพลง Just When I Needed You Most นั้นผมไม่มี จึงใช้ขอเอาจากรายการเพลง

เสียงเพลง Aloha Oe ถูกขับขานด้วยท่วงทำนองอันอ่อนหวานปนเศร้า คลอไปกับเสียงยูคัลลิลี ส่งให้ความคิดของผมล่องลอยไปไกลแสนไกล... เสียงเพลงอันอ่อนหวานและเศร้าสร้อย มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับไอ้นัยกำลังตัดพ้อผมอยู่

เมื่อเพลงนี้จบลง ผมจึงปิดวิทยุและนั่งอยู่เงียบๆในความมืด ผมรู้สึกท้อแท้ ไม่อยากทำอะไรเลย อยากนั่งเฉยๆและปล่อยความคิดไปเรื่อยๆ ความคิดของผมล่องลอยไปแสนไกล แต่จิตวิญญาณของผมกลับจมอยู่ในวังวนของความเจ็บปวดวันแล้ววันเล่าอย่างไม่อาจช่วยตัวเองได้

ผมคิดถึงใบหน้าที่เคยสดใส ไรหนวดเขียวๆ กลิ่นกายอ่อนๆที่ผมเคยหลงใหล ผมนึกถึงตอนที่ไอ้นัยขี่รถล้มจนถลอกปอกเปิกไปหมด นึกถึงตอนที่มันเล่นกีตาร์ให้ผมฟัง ทันใดนั้น ผมก็นึกถึงตอนที่ไอ้นัยถูก รปภ คุมตัว ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและตกใจ...

ตอนอยู่ชั้น ม.๒ และ ม.๓ ผมก็เคยเจ็บปวด แต่นั่นเป็นความเจ็บปวดเพราะผมคิดว่าผมรักไอ้นัย แต่ไอ้นัยกลับเย็นชาและหมางเมินต่อผม แต่สำหรับตอนนี้ ผมไม่ได้เจ็บปวดแบบนั้นอีก ผมเจ็บปวดเพราะเสียงจากมโนธรรมที่คอยติเตียนผมอยู่ทุกวันคืน ไอ้นัยต้องกลายเป็นเกย์ก็เพราะผม และที่มันต้องมีมลทินในชีวิตที่ล้างไม่ออกเช่นนี้ก็เพราะผมอีก

ผมปล่อยให้ความเจ็บปวดกัดกร่อนจิตใจของผม มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับโดนลงโทษแต่ผมก็เต็มใจที่จะรับโทษทัณฑ์นี้ ผมรู้สึกว่าความเจ็บปวดที่ผมได้รับยังน้อยไปด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับสิ่งที่ผมทำแก่ไอ้นัย

- - -

บ่ายวันหนึ่งในเดือนสิงหาคม

วันนั้นเมฆตั้งเค้าทะมึนตั้งแต่ตอนเลิกเรียน ผมรีบวิ่งไปที่ห้องธุรการเพื่อดูจดหมายตามปกติ เมื่อพบว่าไม่มีจดหมายจากไอ้นัย ผมก็เดินออกมา

ที่ใต้สะพานพุทธ ขณะรอรถเมล์กลับบ้าน ตอนนั้นท้องฟ้าดำทะมึน ลมพัดแรง ผมยืนเหม่อมองสายน้ำเจ้าพระยา ระลอกลูกแล้วลูกเล่าม้วนตัวผ่านหน้าผมไป ผมนึกถึงวันที่ผมมายืนดูระลอกในแม่น้ำเจ้าพระยาบนโป๊ะเก่าๆ ในวันนั้นไอ้นัยแอบมายืนข้างหลังผม และมาอ้อนขอโทษที่เข้าใจผมผิดไป... ภาพในอดีตช่างแจ่มชัดเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน แต่วันนี้กลับไม่มีไอ้นัยเสียแล้ว...

หลังจากที่ผมได้คุยกับคุณอา ผมก็ไม่ได้หวังอะไรมาก ทำใจเอาไว้แล้วว่าไอ้นัยคงไม่ได้รับจดหมายของผม รวมทั้งคุณอาก็คงไม่ได้ฝากคำพูดของผมไปให้ไอ้นัยด้วย ผมรู้สึกเสียใจมากที่ไม่ได้เชื่อคำพูดของนนตั้งแต่ต้น นี่ถ้าผมเฉลียวใจและมาดูที่ห้องธุรการตั้งแต่วันที่นนบอกผมเรื่องจดหมายครั้งแรก ไอ้นัยก็คงได้อ่านจดหมายของผม และเราคงได้ติดต่อกัน ความประมาทต่อเรื่องเล็กน้อยของผมทำให้ชีวิตของเราต้องถูกตัดขาดจากกัน ไม่รู้ว่าเมื่อไรเราจะได้พบกันอีก...

ฝนเริ่มตกตั้งแต่รถเมล์ผ่านมาถึงอนุสาวรียชัยฯ จากนั้นก็ตกอย่างหนัก ทำให้รถติดมาก กว่าผมจะมาถึงซอยภาวนาได้ก็เกือบหกโมงย็นแล้ว

เมื่อถึงปากซอยภาวนา ฝนซาลงแล้วเหลือแต่เพียงปรอยๆ แต่ท้องฟ้ายังมืดครึ้ม ในซอยเฉอะแฉะไปด้วยน้ำ ท้องฟ้ายามโพล้เพล้ผสมครึ้มฟ้าครึ้มฝนก่อตัวเป็นบรรยากาศอันหดหู่ซึมเซา

ผมก้าวเท้าเดินช้าๆเข้าไปในซอย ไม่ได้กังวลว่าสายฝนจะทำให้เสื้อผ้าและรองเท้าผ้าใบเปียกเลยแม้แต่น้อย ผมไม่รู้ว่าจะรีบไปทำไม ชีวิตผมจะไปทางไหนต่อไปยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ เส้นทางชีวิตของผมช่างมืดมนและหดหู่เหมือนกับเส้นทางที่เบื้องหน้าเสียจริงๆ

เมื่อมาถึงประมาณครึ่งทางระหว่างปากซอยกับบ้าน ผมรู้สึกว่าที่พงหญ้าข้างทางสั่นไหวผิดปกติ แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร ยังคงเดินช้าๆต่อไปเรื่อยๆ

“อื๊ด อื๊ด” ผมได้ยินเสียงร้องเบาๆ ต้นเสียงมาจากในพงหญ้าที่สั่นไหวนั่นเอง

ผมยังคงเดินต่อไป ไม่ได้สนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

เพิ่งเดินผ่านไปได้เพียงไม่กี่เมตร ผมก็รู้สึกเหมือนกับมีอะไรมาดลใจ ผมจึงย้อนกลับไปดูที่พงหญ้านั้นอีกครั้ง ใครจะรู้ว่าเพียงเสี้ยววินาทีของการเปลี่ยนใจในครั้งนั้นได้ทำให้ชีวิตของผมต้องพลิกผันอีกครั้งหนึ่ง และส่งผลแก่ผมไปจนตลอดชีวิต

“อื๊ด อื๊ด” เสียงนั้นดังมาจากในพงหญ้าอีก พร้อมพงหญ้าที่สั่นไหวไปมา

ต้องมีตัวอะไรอยู่ในพงหญ้าสักอย่าง ผมคิดในใจ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเป็นตัวอะไร เพราะได้ยินเสียงไม่ชัด เมื่อผมลองแหวกหญ้าดูก็ได้ยินเสียงสวบสาบดังอยู่ในพงหญ้า ผมกระโดดโหยงเพราะเกรงว่าจะเป็นงู มันอาจเป็นเสียงงูที่กำลังกินหนูก็ได้

“อื๊ด อื๊ด” เสียงนั้นดังอีก

คราวนี้ผมแน่ใจแล้วว่าไม่ใช่เสียงงูหรือเสียงหนู ผมแหวกหญ้าให้ลึกขึ้น และที่นั่นเอง ผมเห็นลูกหมาตัวสีน้ำตาลกำลังหมอบตัวสั่นอยู่ ขนของมันเปียกชุ่มโชกจากฝนที่กำลังตกอยู่

โธ่เอ๊ย ลูกหมานี่เอง ผมนึกในใจ จากนั้นก็ปล่อยมือจากพงหญ้า ปล่อยให้กลับสู่สภาพเดิม จากนั้นก็เดินจากไป

ปกติผมเห็นหมาจรจัดที่อยู่ข้างถนนและในซอยจนชินตา แต่ในนาทีนั้น จู่ๆผมก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ ลูกหมาตัวนี้ยังเล็กนัก มันถูกทอดทิ้งให้อดอยาก หนาวเหน็บ และหิวโหย… ตัวของมันสั่นเทา...ไม่รู้ว่าเพราะความหนาวหรือเพราะความหวาดกลัวกันแน่ หรืออาจจะทั้งสองอย่าง

ผมคิดถึงไอ้นัยขึ้นมา ไม่รู้ว่าป่านนี้มันเป็นอย่างไรบ้าง ใครๆก็ทอดทิ้งมัน ปล่อยให้มันเผชิญชีวิตตามลำพังในโรงเรียนประจำ ไม่รู้ว่ามันจะอดอยาก หนาวเหน็บ และหิวโหยหรือไม่…

เจ้าหมาน้อยตัวนี้ก่อให้เกิดความรู้สึกลึกๆในใจของผมหลายอย่าง ยากที่จะอธิบายได้ ความเวทนาทำให้ผมอยากช่วยมัน แต่เนื่องจากผมไม่เคยเลี้ยงสัตว์มาก่อน ผมจึงละล้าละลังว่าจะทำอย่างไรดี

หาอะไรให้มันกินก่อนก็แล้วกัน ผมคิด ว่าแต่ลูกหมานี่มันกินอะไรล่ะ

แม้ผมไม่เคยเลี้ยงสัตว์มาก่อน แต่ก็เคยเห็นคนอื่นให้เศษอาหารที่เหลือจากมื้ออาหารแก่หมาแมว เนื่องจากตอนนี้ผมไม่มีเศษอาหาร ผมจึงคิดจะซื้ออาหารอะไรสักอย่างที่ขายอยู่หน้าปากซอยให้มันกิน

เอาข้าวเหนียวหมูปิ้งก็แล้วกัน ผมคิด ที่คิดเมนูข้าวเหนียวหมูปิ้งขึ้นมาก็เพราะเป็นของโปรดของผมนั่นเอง

ผมวิ่งไปซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งที่รถเข็นหน้าปากซอย เมื่อกลับมาที่พงหญ้า ผมก็ยังเห็นเจ้าหมาน้อยนอนหมอบตัวสั่นอย่างเดิม ผมรูดหมูปิ้งออกจากไม้ เอาข้าวเหนียวคลุกกับหมูปิ้งใส่ในถุงพลาสติก จากนั้นวางลงในพงหญ้าตรงหน้าของมัน

เจ้าหมาน้อยกระเถิบตัวหนีด้วยความหวาดกลัว ตัวของมันสั่นระริกยิ่งกว่าเก่า ผมรู้สึกสงสารและอยากลูบคลำมันเพื่อให้มันคลายความหวาดกลัว แต่ก็ไม่กล้าทำเพราะกลัวมันกัดเอา ตอนนั้นไม่มีความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงหมาเลยแม้แต่น้อย

เมื่อผมเห็นว่ามันหวาดระแวงผม ผมจึงถอยออกมาจากพงหญ้า ยืนอยู่ในระยะห่าง สักประมาณสองสามนาทีก็เข้าไปดูใหม่ มันก็ยังตัวสั่นเทาไม่ยอมกินอาหารอยู่ดี

สงสัยจะกลัวจัด ถ้าอย่างนั้นหลบไปก่อนจะดีกว่า ผมคิด จากนั้นก็เดินเข้าบ้านไปก่อน เผื่อว่าถ้าไม่มีผมอยู่ใกล้ๆ มันอาจจะหายกลัวและยอมกินอาหารก็ได้

- - -

ค่ำวันนั้น ผมนึกถึงแต่เจ้าหมาน้อยตลอดเวลา ผมรู้สึกเป็นห่วงมันอย่างประหลาด แม้ในเวลาที่ผมกินอาหารอยู่ ผมก็อดนึกไม่ได้ว่ามันกินข้าวเหนียวหมูปิ้งที่ผมให้ไปแล้วหรือยัง

หลังจากกินอาหารและเก็บโต๊ะ ล้างจาน จนเสร็จเรียบร้อย ผมก็หลบออกจากบ้านพร้อมกับไฟฉายเพื่อไปดูเจ้าหมาน้อยอีกครั้งหนึ่ง ที่พงหญ้า ผมเห็นมันนอนหมอบอยู่ที่เดิม ในถุงพลาสติกเหลือแต่ข้าวเหนียว ส่วนหมูปิ้งหายไป

ได้ผลแฮะ ผมคิด แต่นึกเคืองอยู่ในใจนิดหน่อยที่มันไม่ยอมกินข้าวเหนียว อุตส่าห์ซื้อมาตั้งสามบาท

ค่ำวันนั้นผมกลับบ้านด้วยความรู้สึกอิ่มเอมอยู่ในใจ รู้สึกดีใจที่ได้ช่วยสัตว์ที่น่าสงสาร พลางนึกอยู่ในใจว่าในเวลาที่ไอ้นัยลำบาก จะมีใครเมตตาแก่มันบ้างหรือไม่

เมื่อนึกถึงไอ้นัย ความหดหู่ก็เข้ามาครอบงำผมอีก ผมรีบสลัดความคิดเรื่องไอ้นัยออกไป ผมวนเวียนคิดโยงทุกอย่างไปที่ไอ้นัยหมด คิดวนไปเวียนมา ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนบางทีผมก็รู้สึกมึนหัวและต้องพยายามสลัดความคิดเรื่องไอ้นัยออกไปบ้าง

- - -

วันรุ่งขึ้น ก่อนไปโรงเรียน ผมแวะไปดูเจ้าหมาน้อยอีก คราวนี้ผมไม่เห็นมันอยู่ในพงหญ้าที่เก่า พยายามหารอบๆก็ไม่พบ แต่ผมคิดว่ามันคงยังไม่ไปไหน เพราะลูกหมาตัวแค่นี้ แถมยังหวาดกลัว คงไปไหนไม่ได้ไกล ผมจึงไปซื้อหมูปิ้งที่ปากซอยอีก คราวนี้ซื้อมาแต่หมูปิ้งไม่เอาข้าวเหนียว จากนั้นนำมาวางตรงตำแหน่งเดิม แล้วจึงค่อยไปโรงเรียน

วันนั้นทั้งวัน ใจของผมจดจ่ออยู่แต่เจ้าหมาน้อย พอเลิกเรียนก็รีบกลับบ้านทันที

เมื่อกลับไปถึงพงหญ้าตำแหน่งเดิม ผมไม่พบมัน แต่หมูปิ้งที่เอามาวางไว้เมื่อเช้าหายไปแล้ว

มันคงยังอยู่แถวนี้แหละ ผมคิด จากนั้นก็รีบไปซื้อหมูปิ้งมาอีก

เมื่อกลับมาครั้งนี้ ผมเห็นหัวเล็กๆสีน้ำตาลโผล่ออกมาจากพงหญ้า เจ้าหมาน้อยนั่นเอง คราวนี้มันถึงกับมารอผมเพื่อกินหมูปิ้ง!

ผมวางหมูปิ้งลงบนพื้นดิน เจ้าหมาตัวน้อยก็เดินเข้ามากิน คราวนี้มันเริ่มคลายความหวาดกลัวผมแล้ว

“กินให้อิ่มนะ” ผมพูดกับมัน พลางเอามือไปลูบลำตัวมันอย่างแผ่นเบา เจ้าหมาน้อยสะดุ้งเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้หนี คงก้มหน้าก้มตากินหมูปิ้งอย่างเอร็ดอร่อย “ชื่อตาลก็แล้วกันนะ” ผมตั้งชื่อให้มันอย่างง่ายๆตามสีขนของมัน

ภายในเวลาเพียงสองวัน เจ้าตาลหมาน้อยก็คลายความหวาดกลัวในตัวผมอย่างสิ้นเชิง มันยอมให้ผมลูบหัวลูบตัวมันเล่นแต่โดยดี แถมยังนอนหงายท้องเล่นกับผมอีกด้วย ในตอนเช้า มันเดินตามมาส่งผมไปโรงเรียนช่วงหนึ่ง สักประมาณสิบกว่าเมตรจากพงหญ้าที่มันอาศัยอยู่ จากนั้นก็ไม่ตามต่อ คงกลัวหมาตัวอื่นในแถบนั้น ส่วนตอนเย็น มันตามผมมาจนเกือบถึงหน้าบ้านเลยทีเดียว

ในช่วงไม่กี่วันนั้น ตาลกลายเป็นเพื่อนสนิทและเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผม ผมทุ่มเทความรักและความห่วงใยทั้งหมดให้แก่มัน และบ่อยครั้งนี้ผมมักนึกถึงไอ้นัย ผมคิดฟุ้งซ่านไปว่าเมื่อยามที่ไอ้นัยลำบาก คงจะมีใครบางคนเมตตาและให้ความช่วยเหลือมันบ้าง

- - -

ในระยะนั้นเป็นช่วงที่ฝนตกชุก ฝนเทลงมาแทบไม่เว้นแต่ละวัน ในเย็นวันหนึ่ง หลังจากที่ผมพบตาลได้สี่วัน วันนั้นฝนตกเช่นเคย เมื่อผมแหวกพงหญ้าตำแหน่งเก่าเพื่อหาเจ้าหมาน้อย ผมก็พบว่ามันนอนซมอยู่

ตาลนอนหายใจระรวย มันพยายามเงยหัวขึ้นมามองผม จากนั้นก็ลดหัวลงและนอนต่อไป หางของมันกระดิกเบาๆ

สงสัยจะป่วย ผมคิด ในความเป็นห่วง ผมยังรู้สึกตื้นตันไม่ได้ แม้ตาลจะป่วยแต่มันก็ยังพยายามทักทายผม

ผมลังเล ไม่รู้จะทำอย่างไรดี จะปล่อยให้มันนอนป่วยตากฝนอยู่อย่างนี้ก็ไม่ได้ จะเอามันเข้าบ้านก็ไม่ได้อีก เพราะคุณลุงกับคุณป้าไม่ชอบหมาและแมวเลยแม้แต่น้อย

ผมมองตาลที่นอนนอนหายใจระรวย ดวงตาหลับพริ้ม ในที่สุดผมก็ตัดสินใจ...

“สวัสดีครับคุณลุง คุณป้า” ผมเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นภายในบ้าน หลังจากที่อุ้มตาลมาแอบวางไว้ที่สนามหญ้า และกล่าวทักทายคุณลุง คุณป้า

“จ้ะ หมู่นี้อูกลับบ้านเร็วนะ” คุณลุงคุณป้ารับไหว้ พร้อมกับคุณป้ากล่าวทักทาย

“เอ้อ คุณลุง คุณป้าครับ อูมีเรื่องนิดหน่อยน่ะครับ” ผมเริ่มเข้าเรื่องทันทีด้วยความร้อนใจ

“ว่าไงล่ะ” คุณป้าถาม

“คือมันมีลูกหมาตัวหนึ่งนอนป่วยอยู่ในซอยน่ะครับ มันหลงมาจากไหนก็ไม่ทราบ อูเล่นกับมันมาหลายวันแล้ว มันน่ารักครับ วันนี้อูเห็นมันนอนป่วยอยู่ ช่วงนี้ฝนตกทุกวันเลย เลยอยากจะขออนุญาตคุณลุงคุณป้าเลี้ยงมันเอาไว้จนกว่ามันจะหาย... ได้ไหมครับ” ผมพูดอย่างยืดยาวรวดเดียวจบ

“หา หมาเหรอ ไม่เอา ไม่เอา ป้าไม่ชอบเลี้ยงหมา อึเลอะเทอะเต็มบ้าน แถมยังกัดโน่นแทะนี่อีก เรื่องหมานี่ป้าเข็ดจนตาย” คุณป้าปฏิเสธเสียงหลง

“อูขอเลี้ยงจนมันหายเท่านั้นแหละครับ แล้วตอนนี้มันป่วยอยู่ ได้แต่นอน มันแทะอะไรไม่ได้หรอกครับ” ผมพยายามอ้อนวอน

“ป่วยอยู่ยิ่งไม่ได้ มันเป็นโรคอะไรก็ไม่รู้ เดี่ยวเอามาติดคนจะยิ่งยุ่งไปอีก ไม่ได้เด็ดขาด” คุณป้าเสียงแข็งขึ้นมาเมื่อเห็นผมพยายามต่อรอง

“คุณลุงครับ ขอผมเลี้ยงชั่วคราวได้ไหมครับ สงสารมันน่ะครับ มันป่วยอยู่” ผมหันมาอ้อนวอนคุณลุงแทน

“เอ๊ะ ตาอูนี่ บอกว่าไม่ได้ก็ไม่ได้ หมาจรจัดมีเยอะแยะ เต็มบ้านเต็มเมือง ถ้าช่วยก็ต้องช่วยหมดทั้งโลกเลยสิ มันจะเป็นไปได้ยังไง หมาพวกนี้มันแข็งแรง เป็นอะไรก็หายเองแหละ” คุณป้าเปลี่ยนจากเสียงแข็งเป็นเสียงเอ็ดตะโร เมื่อเห็นว่าผมดื้ออย่างไม่ยอมลดละ

ผมเงียบ ไม่พูดอะไรต่อ แต่สายตามองไปที่คุณลุงอย่างวิงวอน คุณลุงหลบสายตาของผม

“ก็อย่างที่ป้าเขาว่านั่นแหละอู” คุณลุงพูดเพียงสั้นๆ

เป็นอันว่าความพยายามของผมไร้ผลโดยสิ้นเชิง ผมจำใจต้องเอาตาลกลับไปวางไว้ที่พงหญ้าที่เดิมที่พบมัน

คืนนั้นฝนตำพรำๆอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ผมนอนไม่หลับ กระสับกระส่ายอยู่ทั้งคืน ในใจรู้สึกห่วงตาลมาก ขนาดคนเมื่อตากฝนแล้วเป็นไข้ กินยาแล้วก็ยังรู้สึกแย่ นี่ลูกหมาแท้ๆ ยาก็ไม่ได้กิน แล้วมันจะทนได้อย่างไรกัน

รุ่งเช้า อย่างแรกที่ผมทำหลังจากตื่นนอนก็คือรีบออกไปดูตาล

ที่พงหญ้า ผมพบตาลนอนนิ่งสนิท ตัวเปียกโชก ลำตัวและขามันแข็งเกร็งไปหมด... ตาลตายแล้ว!

ตาลตายแล้ว ตายไปโดยที่ผมไม่อาจช่วยอะไรได้ ไม่ใช่สิ ตายโดยที่ผมไม่ได้ช่วยมันต่างหาก... ผมทอดทิ้งให้มันตายโดยที่ผมไม่ทำอะไรเลย...

ในวินาทีนั้นเอง ผมอดคิดไปถึงไอ้นัยไม่ได้ ผมเองก็เคยทอดทิ้งไอ้นัยแบบนี้เช่นกัน ผมปล่อยให้มันตายทั้งเป็นโดยที่ผมไม่ทำอะไรเลย...

ผมปล่อยศพตาลเอาไว้ที่พงหญ้าอย่างนั้น และวิ่งกลับไปที่บ้าน เมื่อเข้าไปในบ้าน ทันทีที่พบคุณป้า ผมก็ร้องตะโกนออกมาราวกับคนเสียสติ

“มันตายแล้ว ตาลตายแล้ว คุณป้าบังคับให้อูฆ่ามัน คุณป้าใจร้ายที่สุด”


<ภายในเวลาเพียงสองวัน เจ้าตาลหมาน้อยก็คลายความหวาดกลัวในตัวผมอย่างสิ้นเชิง มันยอมให้ผมลูบหัวลูบตัวมันเล่นแต่โดยดี แถมยังนอนหงายท้องเล่นกับผมอีกด้วย ในตอนเช้า มันเดินตามมาส่งผมไปโรงเรียนช่วงหนึ่ง สักประมาณสิบกว่าเมตรจากพงหญ้าที่มันอาศัยอยู่ จากนั้นก็ไม่ตามต่อ คงกลัวหมาตัวอื่นในแถบนั้น ส่วนตอนเย็น มันตามผมมาจนเกือบถึงหน้าบ้านเลยทีเดียว>

Thursday, August 13, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 13

หลังจากเรียนเปียโนเสร็จ ผมรีบไปที่ห้องสมุดเอยูเอทันที ห้องสมุดนี้อยู่บนถนนราชดำริ ตรงข้ามสนามม้า ส่วนหนึ่งเป็นโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษเอยูเอ อีกส่วนหนึ่งเป็นหอประชุมที่ในยุคหนึ่งมักใช้จัดแสดงคอนเสิร์ต การประชุม และการแสดงอื่นๆ และอีกส่วนหนึ่งเป็นห้องสมุด

ห้องสมุดที่นี่โอ่โถงกว่าห้องสมุดที่โรงเรียนของผมมาก ภายในปรับอากาศเย็นฉ่ำ หนังสือส่วนใหญ่เป็นหนังสือภาษาอังกฤษ นอกจากหนังสือแล้วยังมีโสตทัศนวัสดุอื่นๆ เช่น วีดิโอเทป เทปคาสเซ็ตต์ ให้ชมและฟังอีกด้วย

ห้องสมุดในยุคนั้นยังไม่ได้ใช้ระบบออนไลน์ ดังนั้นการค้นหาหนังสือจึงต้องใช้วิธีดั้งเดิม คือไปค้นบัตรรายการจากลิ้นชักบัตรรายการ ซึ่งก็เหมือนกับที่โรงเรียนของผมนั่นเอง ต่างจากสมัยปัจจุบันที่สามารถค้นหาหนังสือที่ต้องการได้จากคอมพิวเตอร์

ที่นี่มีหนังสือที่เกี่ยวกับฮาวายอยู่ไม่น้อย เพราะหมู่เกาะฮาวายเป็นรัฐหนึ่งของประเทศสหรัฐอเมริกา ผมใช้เวลาอยู่สักพักก็สามารถหาหนังสือที่มีเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับเพลง Aloha Oe ได้ เพราะเพลงนี้เป็นเพลงที่ชาวฮาวายคุ้นเคยกันดี ดังนั้นจึงมีหนังสือที่กล่าวถึงเพลงนี้อยู่เป็นจำนวนไม่น้อย

เพลงนี้เป็นเพลงที่ชาวฮาวายรู้จักกันดีทุกคน ชื่อเพลงเป็นภาษาฮาวาย อ่านว่า ‘อะโลฮา โอเอ’ เนื้อเพลงเป็นภาษาฮาวายปนภาษาอังกฤษ มีความหมายเกี่ยวกับการร่ำลาด้วยความรักอาลัย เพลงนี้แต่งโดยราชินีองค์สุดท้ายของฮาวายชื่อ ลิลีอูโอคาลานี (Lili’uokalani) ในปี ค.ศ. ๑๘๗๘ โดยได้แรงบันดาลใจจากการที่เห็นหนุ่มสาวคู่หนึ่งกอดอำลากันด้วยความรักอย่างสุดซึ้ง ต่อมาเพลงนี้ได้รับความนิยมจนเป็นที่รู้จักกันดีและใช้เป็นเพลงอำลา

เมื่อเข้าใจความหมายและที่มาของเพลง จึงทำให้ผมเข้าใจถึงสาเหตุที่จดหมายจากไอ้นัยจึงมีอยู่เพียง ๓ ฉบับ และหลังจากนั้นจึงไม่มีจดหมายมาอีกเลย ที่เป็นเช่นนี้น่าจะเป็นเพราะไอ้นัยเข้าใจว่าผมโกรธมันมากจึงไม่ยอมตอบจดหมายของมัน มันจึงกล่าวคำอำลาในจดหมายฉบับที่สามซึ่งหมายความว่าต่อไปมันจะไม่เขียนมาอีกแล้ว

ไอ้นัยคงยังรักผมอยู่ จึงได้เลือกเพลงนี้มาอำลาผม... ผมนึกไม่ออกจริงๆว่าไอ้นัยจะเศร้าเสียใจเพียงใดขณะที่เขียนจดหมายฉบับสุดท้ายนี้ มันคงเขียนด้วยน้ำตาเพราะเข้าใจผิดว่าผมโกรธมัน

ผมออกจากห้องสมุดเอยูเอด้วยหัวใจที่อ้างว้างและหดหู่ ตอนนั้นรู้สึกท้อแท้ไปหมด เกือบหนึ่งปีที่ผ่านมาที่ผมพยายามทำใจเกี่ยวกับเรื่องไอ้นัยจนกลับมาดีขึ้นและสามารถเรียนได้เป็นปกติอีกครั้งหนึ่ง แต่จดหมายของไอ้นัยทำให้ผมกลับมารู้สึกหดหู่อีก เพราะเมื่อก่อนผมยังไม่ทราบความจริงว่าต้นเหตุที่ทำลายชีวิตไอ้นัยจนกลายเป็นสภาพนี้ก็คือผมนั่นเอง

จากเอยูเอ ผมนั่งรถไปยังเซ็นทรัลลาดพร้าว ผมกลับไปที่แผนกขายภาพยนตร์และเพลงอีกครั้งเพื่อซื้อเพลง ตอนนั้นผมยังไม่มีเครื่องเล่นซีดี มีแต่เครื่องเล่นเทปคาสเซ็ตต์ ดังนั้นจึงให้พนักงานช่วยหาเพลงอัลบัมที่ผมฟังเมื่อวันก่อนแต่อยู่ในรูปเทปคาสเซ็ตต์ให้ ซึ่งปรากฏว่ามีแต่เพลงอัลบัมชุดฟีนิกซ์เท่านั้นที่มีเป็นเทป ส่วนเพลง Just when I needed you most นั้นมีแต่ซีดี ไม่มีเทป ผมจึงได้เพลงมาเพียงชุดเดียว

- - -

หลังจากที่ผมได้รับจดหมายจากไอ้นัยเป็นต้นมา อาการหดหู่และซึมเศร้าก็กลับเข้าครอบงำผมอีกครั้งหนึ่ง และครั้งนี้ดูเหมือนจะหนักยิ่งกว่าเดิม ผมกลับมามีอาการนอนหลับไม่ค่อยสนิท ใจลอย และเบื่อหน่ายการเรียน วันๆก็นั่งเรียนไปอย่างนั้นเอง แต่ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไร เพราะมัวแต่คิดเรื่องอื่นอยู่

ทางด้านที่บ้านนั้น ผมพยายามเก็บอาการไม่ให้คุณลุงกับคุณป้าสังเกตออก แต่ก็ไม่พ้นสายตาของผู้ใหญ่ทั้งสอง ก็ได้อาศัยข้ออ้างว่าช่วงนี้เรียนหนักจึงทำให้เคร่งเครียดไปบ้างก็พอเอาตัวรอดไปได้

ส่วนทางด้านที่โรงเรียนนั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่เพื่อนฝูงจะสังเกตความผิดปกติของผมไม่ออก เพราะว่าผมเงียบและแยกตัวออกจากเพื่อนฝูง ซึ่งคนที่เห็นชัดที่สุดน่าจะเป็นไอ้กี้ซึ่งนั่งติดกับผม แต่ไอ้กี้นั้นแตกต่างจากไอ้อ๊อดและไอ้แก่ เพื่อนที่นั่งโต๊ะติดกันเมื่อปีก่อนๆ เพราะไอ้กี้ไม่ค่อยสนใจใคร ไม่มีนิสัยห่วงใยเพื่อนเหมือนไอ้สองคนนั่น มันก็ได้แต่ถามนิดหน่อยแล้วก็ไม่สนใจผมอีก

คนที่ดูจะสนใจในความเปลี่ยนแปลงของผมอยู่บ้างกลับเป็นนน จอมมารดำ นักอำประจำห้อง

“เฮ้ย ไอ้อู มึงเป็นไรไปหรือเปล่าวะ ตั้งแต่มึงไปเอาจดหมายแล้วก็ซึมเป็นควายเศร้า” นนถามผมในวันหนึ่ง มันเป็นคนเดียวที่พอจะรู้รายละเอียดว่าอาการของผมเกิดจากการได้รับจดหมาย

“เปล่า ไม่มีอะไร” ผมตอบ แล้วถามต่อ “แล้วควายเศร้านี่มันเป็นยังไงวะ”

“มึงก็ลองไปถามมันดูดิ คุยกันรู้เรื่องแล้วมาบอกกูด้วย ฮ่าๆ” ไอ้นนหัวเราะร่า ในที่สุดผมก็เสียท่า โดนมันหลอกด่าอีกจนได้

หลังจากที่ผมเขียนจดหมายถึงไอ้นัยไปได้ประมาณหนึ่งสัปดาห์ ผมก็เริ่มไปดูตะกร้าจดหมายที่ห้องธุรการ

ยังไม่มาเลย ผมคิด ที่จริงผมก็รู้อยู่แล้วว่าจดหมายเพิ่งส่งไปเพียงหนึ่งสัปดาห์ อาจยังไม่ถึงมือไอ้นัยด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่จะให้มันตอบกลับมาถึงผมเลย แต่ทำอย่างไรได้ ในเมื่อผมร้อนใจจนไม่อาจทนอยู่เฉยๆได้ และหลังจากนั้นผมก็ต้องเดินไปดูที่ห้องธุรการทุกวัน วันละสองครั้ง คือตอนพักเที่ยงกับตอนหลังเลิกเรียน

“น้องมาทุกวันเลยนะ วันละสองเวลา” พี่ธุรการทักผมในตอนหลังเลิกเรียนวันหนึ่ง คงรู้สึกสงสัยเต็มที

“ครับ” ผมตอบ “รอจดหมายอยู่ครับ”

“ธนาณัติเหรอ” พี่ธุรการถามอีก คงคิดว่าผมกำลังร้อนเงินอยู่

“เอ้อ ครับ” ผมตอบส่งเดช

หลังจากที่ไม่พบอะไรในตะกร้าจดหมาย ผมก็เดินออกมาจากห้องธุรการด้วยความผิดหวัง ทุกวันนี้ผมต้องรู้สึกผิดหวังวันละสองเวลา การรอคอยนั้นมันช่างทรมานจริงๆ

เมื่อออกจากห้องธุรการ ผมเดินไปตามระเบียงของตึกซึ่งยาวเหยียด ขณะที่กำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่ ผมก็รู้สึกว่ามีใครมาตบหลังผมเบาๆ

“พี่” เสียงเด็กแจ๋วๆดังขึ้นที่ข้างหลัง เมื่อผมหันกลับไปดูก็เห็นไอ้น้องบอยยืนยิ้มแฉ่งอยู่

“อ้าว บอย” ผมทัก

“เดินใจลอยเชียวพี่อู ผมเรียกพี่ตั้งหลายทียังไม่รู้ตัว จนต้องลงไม้ลงมือ” บอยพูด ว่าแล้วก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี

“อ้อ พี่ไม่ได้ยินว่ะ แล้วเรียกพี่มีอะไรเหรอ” ผมถาม

“เรียกเฉยๆไม่ได้เหรอไง ต้องมีเรื่องอะไรด้วยเหรอครับ” ไอ้น้องบอยเริ่มกวน ไอ้นี่มันกวนได้ทุกสภาพดินฟ้าอากาศจริงๆ

“ได้ๆ ไม่ได้ว่าอะไร พี่กำลังจะกลับบ้านน่ะ” ผมไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะต่อล้อต่อเถียงกับมัน “แล้วเอ็งไม่อยู่ที่สหกรณ์ มาเดินทำอะไรแถวนี้”

“เมื่อกี้ว่าจะไปโรงอาหารอะ เห็นพี่อูเดินใจลอย เลยลองเดินตามมาเรื่อยๆ ตามตั้งนานพี่ยังไม่รู้ตัวเลย ยังงี้ใครมาอุ้มพี่อูไปขายสบายเลย” บอยกวนอีก หน้าใสๆของมันบ่งบอกแววอารมณ์ดีอยู่เสมอ ผมนึกถึงตนเองในวัยเด็กก็เป็นแบบนี้เช่นกัน โลกของผมในวัยเด็กมีแต่ความสวยงาม เป็นเด็กนี่ก็ดี ไม่ต้องทุกข์โศกกับชีวิต

“พี่อู บอยหิว” บอยเรียกผมอีก

“หิวก็ไปกินดิ” ผมตอบ

“หิวแต่ไม่มีตังค์อะ” บอยทำหน้าสลด

“อ้าว ไม่มีตังค์ก็กินน้ำเปล่ารองท้องไปก่อนละกัน” ผมตอบไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้สนใจกับคำพูดของมันมากนัก

คราวนี้ไอ้บอยอ้าปากหวอ ทำหน้าประหลาดใจสุดขีด

“โอ้โห พี่ ไม่ดูแลรุ่นน้องเลย นี่พี่เรียนมาจนถึง ม.๔ ได้ไงเนี่ย” บอยพูด ทำสีหน้าไม่พอใจ “น้องหิวบอกให้ไปกินน้ำเปล่า เฮอะ”

คำพูดของไอ้บอยทำให้ผมนึกถึงตอนที่พี่เอ้พาผมกับไอ้นัยไปดูหนัง ตอนที่เราจะหลอกกินบะหมี่จับกังฟรี ไอ้นัยกับผมก็ช่วยกันล่อพี่เอ้ให้ตกหลุมแบบนี้เช่นกัน ภาพอดีตของผมและไอ้นัยไหลเข้ามาในห้วงคำนึงเป็นฉากๆ... มันเป็นอดีตที่แสนงดงาม...

“อะ อะ พี่เลี้ยงเอ็งก็ได้ พูดมากจริง งั้นไปโรงอาหารกัน” ผมพูด

ไอ้น้องบอยยิ้มแฉ่งที่สามารถหาเจ้าภาพกินฟรีได้สำเร็จ ผมกับบอยเดินลงจากตึกและไปที่โรงอาหารด้วยกัน บอยสั่งน้ำหวานกับขนมกะทิสองสามอย่าง ส่วนผมสั่งแต่น้ำหวาน

“เฮ้ย ทำไมเยอะยังงี้” ผมร้อง “กินหมดเหรอวะ”

“หมดดิ กว่าจะล่อพี่อูให้เป็นเจ้ามือได้ ต้องเอาให้เข็ด” บอยตอบหน้าตาย

บอยนั่งกินอย่างเอร็ดอร่อย ผมนั่งดูมันกินยังพลอยรู้สึกอร่อยไปด้วย

“หมู่นี้พี่อูไม่ค่อยไปเช่าหนังสือเลย” บอยชวนคุย

“ฮื่อ” ผมตอบ “ยุ่งๆน่ะ”

“โห พูดยังกะนักธุรกิจ” บอยเหน็บ “แค่ ม.๔ ยุ่งอะไรนักหนา”

ผมหมั่นไส้มันเต็มที จึงตบหัวมันเบาๆ “นี่แน่ะ กวนนัก”

“โอ๊ย ตบหัวอีกแล้ว” ไอ้บอยทำคอย่นหลบมือผม แต่ก็หลบไม่พ้น ผมเองก็แค่ตบมันเบาๆเท่านั้น ไม่ได้ต้องการทำให้มันเจ็บ ท่าทางของไอ้บอยทำให้ผมนึกถึงใครบางคน...

“พี่อู” บอยตะโกน “เอ๊า นั่งคุยกันอยู่ยังใจลอยได้อีก”

ผมตื่นจากภวังค์ หมู่นี้ผมใจลอยบ่อยจริงๆด้วย

“ใจลอยคิดถึงแฟนเหรอพี่” ไอ้บอยถาม

ผมไม่ตอบ นั่งดูดน้ำหวานไปเรื่อยๆ เมื่อบอยเห็นผมไม่ตอบ มันก็พูดต่อ

“บอยอยากเรียน ม.ปลาย เร็วๆจัง จะได้มีแฟนเสียที”

“เรียน ม.ปลาย แล้วเกี่ยวอะไรกับมีแฟนวะ” ผมสงสัย

“อ้าว พอขึ้น ม.ปลายก็ต้องเตรียมสอบเอนทรานซ์ แล้วก็มีแฟน ไม่งั้นไม่เท่” บอยตอบ ไม่รู้ว่ามันไปเอาค่านิยมแบบนี้มาจากไหน เรื่องที่พอขึ้น ม.ปลาย แล้วก็เริ่มจีบสาวกันนี่มีจริงๆ แต่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าถึงกับเป็นค่านิยมว่ามีแฟนแล้วเท่

“แล้วพี่อูมีแฟนยัง” ไอ้บอยรุกถาม มันคงอยากรู้ว่าผมเท่ไหม

“...”

“พี่อู มีแฟนยัง” บอยถามอีก

คราวนี้ผมพยักหน้า

“โห พี่อูนี่เจ๋งเลย เห็นพี่กวนๆยังงี้ที่แท้มีแฟนแล้ว” บอยพูดด้วยความทึ่ง ไอ้นี่มันพูดยังไงของมัน “แฟนพี่ชั้นไหน อยู่โรงเรียนอะไรอะ” บอยถามต่อ

“แฟนพี่เค้าไปเรียนเมืองนอกแล้ว” ผมตอบ ในใจเกิดเป็นรสชาติแปลกๆที่อธิบายไม่ถูก ทั้งเศร้า และก็ทั้งอบอุ่นใจอยู่ลึกๆ ในที่สุดผมก็ยอมรับความสัมพันธ์ของผมกับไอ้นัยให้ใครบางคนได้รับรู้... แม้คำว่าแฟนของผมและบอยจะมีคำนิยามที่แตกต่างกันก็ตาม ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความรู้สึกอบอุ่นใจนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร

“ไปเรียนเมืองนอกด้วย” ไอ้น้องบอยทึ่งอีก “แต่พี่ก็คงเหงานะ แล้วเมื่อไรเค้ากลับล่ะ”

ผมส่ายหัว “จะได้เจอกันอีกหรือเปล่ายังไม่รู้เลย” ผมหลุดปากบอกความในใจออกไป

- - -

เดือนสิงหาคม

เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน มันเป็นเวลาหนึ่งเดือนแห่งการรอคอยที่ทุกข์ทรมาน ผมไปที่ห้องธุรการวันละสองครั้งทุกวันไม่เคยขาด พี่ธุรการจากเดิมที่แปลกใจก็กลายเป็นความเคยชิน แต่ผมก็ยังไม่ได้รับจดหมายตอบจากไอ้นัย

ผมรู้สึกเป็นห่วงไอ้นัย ไม่รู้ว่ามันจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร เพราะเท่าที่มันเล่าในจดหมายแสดงว่ามันคงได้รับความทุกข์ใจอย่างมาก

หนทางเดียวที่ผมจะรู้ข่าวคราวจากไอ้นัยได้ก็คือการโทรไปถามคุณอาของไอ้นัย แต่เพียงแค่นึกผมก็กลัวแล้ว ไอ้นัยบอกว่าคุณอาสงสัยผมมากที่สุด มันทำให้ผมเหมือนกับมีชนักติดหลัง ผมไม่กล้าโทรไปหาคุณอาตลอดมาเพราะกลัวว่าคุณอาจะซักไซร้ กลัวว่าคุณอาจะเอาเรื่องนี้ไปบอกพ่อกับแม่ของผม กลัวคุณอาจะรังเกียจผม ฯลฯ ผมกลัวไปสารพัด

แต่ในที่สุด ความเป็นห่วงไอ้นัยก็เอาชนะความรู้สึกหวาดกลัวลงไปได้ ผมตัดสินใจโทรไปหาคุณอาในตอนเย็นวันหนึ่ง หลังจากที่ผมเดินเข้าซอยที่บ้าน ผมก็แวะที่ตู้โทรศัพท์ก่อนที่จะเข้าบ้าน

“ฮัลโหล” เสียงคุณอาผู้หญิงรับสาย ที่จริงผมไม่ค่อยอยากคุยกับคุณอาผู้หญิงเท่าไร เพราะคุณอาจะพยายามกดดันผมมากกว่าคุณอาผู้ชาย แต่ในเมื่อโทรไปแล้วใครรับสายผมก็ต้องคุย

“สวัสดีครับคุณอา ผมอูครับ” ผมพูดอึกอัก รู้สึกกลัวอยู่เหมือนกัน ไม่รู้ว่าจะเจอกับคำพูดอะไรบ้าง ความรู้สึกที่สนิทสนม เป็นกันเองดั่งญาติสนิทหายไปจนหมดสิ้น

“...” ปลายสายทางด้านโน้นเงียบไปครู่หนึ่ง คงกำลังอึ้งอยู่ “อ้อ อูเหรอ มีธุระอะไรเหรอ” เสียงคุณอาพูด ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า ผมว่าเสียงของคุณอาแข็งกระด้างผิดปกติ

“คุณอาสบายดีใช่ไหมครับ” ผมทักทายตามมารยาท

“จะสบายได้ยังไงล่ะ ครอบครัวเราเป็นแบบนี้ นัยก็กลายเป็น... กลายเป็นกระเทย” คุณอาสวนกลับทันที

ผมใจหายวาบ ผมพูดผิดอีกแล้ว แค่เริ่มก็ผิดแล้ว มือของผมที่ถือหูโทรศัพท์เริ่มสั่นด้วยความกลัว แต่ถึงจะกลัวอย่างไรก็ต้องถามเรื่องไอ้นัยให้ได้

“คุณอาครับ ผมอยากรู้ว่านัยเป็นอย่างไรน่ะครับ ผมไม่ได้ต้องการขอที่อยู่หรอกครับ เพียงแค่อยากรู้ว่านัยเป็นยังไงบ้างเท่านั้น คุณอาบอกผมหน่อยนะครับ บอกแค่นี้ถึงยังไงผมก็ติดต่อไอ้นัยไม่ได้...” ผมรีบพูดรวดเดียวจนจบความ เพราะรู้สึกว่าเสียงของตนเองกำลังสั่นด้วยความกลัวผสมกับความตึงเครียด ถ้ารอช้าอาจสั่นจนพูดไม่ออกก็ได้

คุณอาเงียบเสียงไปครู่หนึ่ง สักพักก็มีเสียงถอนใจ

“นัยสบายดี แต่ตอนนี้ก็คงยุ่งๆและต้องปรับตัวหน่อย เพราะว่าเพิ่งย้ายโรงเรียน” คุณอาตอบ น้ำเสียงฟังดูอ่อนลงไปบ้าง

“นัยย้ายโรงเรียนเหรอครับ” ผมอุทาน

“นัยอยู่ที่โน่น มีสังคมเพื่อนใหม่ๆที่ดีกว่าเดิม ยังไงอาก็หวังให้นัยหายจาก...เอ้อ...ที่เป็นอยู่ ไม่อย่างนั้นนัยคงถูกทำลายไปทั้งชีวิต” เสียงคุณอากลับมากระด้างอีก และมีท่าทีต้องการจบการสนทนา “อูไม่มีอะไรอีกแล้วใช่ไหม”

ผมรู้สึกปวดแปลบในหัวใจขึ้นมา ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าคุณอารักหรือไม่รักไอ้นัยกันแน่ คำก็กระเทย สองคำก็กระเทย ผมอยากจะบอกคุณอาว่าไอ้นัยไม่ได้เป็นกระเทย มันก็แค่เด็กผู้ชายคนหนึ่งที่มีความรักกับเด็กผู้ชายอีกคนหนึ่งเท่านั้น...

ประโยคท้ายของคุณอายิ่งเชือดเฉือนหัวใจ ใช่สิ ไอ้นัยต้องถูกทำลายไปทั้งชีวิตเพราะผม... หรือบางทีถ้าคุณอาเปลี่ยนจากคำว่ากระเทยเป็นเกย์ คุณอาอาจจะพูดถูกก็ได้...

“คุณอาครับ อีกนิดหนึ่ง” ผมรีบพูด แล้วในที่สุดผมก็ตัดสินใจเด็ดขาด “ฝากคุณอาบอกนัยด้วยครับ ว่าผมไม่ได้โกรธนัยเลย ผมขอร้องคุณอาสักครั้งนะครับ ยังไงช่วยบอกนัยให้ได้”

คำพูดที่ฝากบอกนี้เสี่ยงเป็นอย่างมาก เพราะเท่ากับเปิดเผยความสัมพันธ์ของผมกับไอ้นัยอยู่กลายๆ แต่ผมไม่มีทางเลือก ในเมื่อไอ้นัยไม่ติดต่อมาอีก ผมก็ติดต่อมันไม่ได้เพราะมันเปลี่ยนที่อยู่ไปแล้ว หนทางเดียวที่ผมจะฝากข้อความถึงมันได้ก็โดยผ่านทางคุณอานี่เอง ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณอาจะบอกไอ้นัยหรือไม่ แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นความหวังใยสุดท้ายของผมที่ต้องลองเสี่ยงดู

ผมวางหูโทรศัพท์ลงบนเครื่องอย่างท้อแท้ ผมรู้สึกเจ็บปวดกับคำว่าไอ้นัยเป็นกระเทย ไอ้นัยเสียอนาคตเพราะผมแท้ๆ... บรรยากาศยามโพล้เพล้ยิ่งทำให้ผมรู้สึกหดหู่ ตะวันกำลังสิ้นแสง รัตติกาลค่อยๆครอบคลุม มันเปรียบเหมือนความหวังของผมที่กำลังหมดสิ้นไป ทิ้งชีวิตของผมให้ตกอยู่ในความมืดมน...

ฟังเพลง Aloha Oe เวอร์ชันนี้ลีลาคล้ายต้นฉบับดั้งเดิม
ฟังเพลง Aloha Oe เวอร์ชันบรรเลงด้วยยูคัลลีลี

<คำว่า อะโลฮา (aloha) นั้นเป็นคำที่แทบจะพูดกันมากที่สุดในภาษาฮาวาย เพราะใช้เป็นทั้งคำทักทายและคำกล่าวลา รากศัพท์ของคำนี้แปลว่าความรัก ซึ่งสามารถเทียบเคียงได้กับคำว่า สวัสดี ในภาษาไทยซึ่งใช้เป็นทั้งคำทักทายและคำกล่าวลาเช่นกัน ส่วนรากศัพท์ของคำว่าสวัสดีนั้นแปลว่าความเจริญ รุ่งเรือง คำว่า aloha สามารถใช้ประกอบกับคำอื่นๆเพื่อใช้เป็นคำทักทายหรือคำกล่าวในโอกาสต่างๆ>

<ยูคัลลีลี (ukulele) เป็นเครื่องดนตรีพื้นเมืองฮาวาย มีลักษณะคล้ายกีตาร์แต่มีขนาดเล็กกว่าและมีเพียงสี่สาย ยูคัลลีลีนี้พัฒนามาจากเครื่องดนตรีของโปรตุเกสอีกทีหนึ่ง>


<บรรยากาศภายในห้องสมุดเอยูเอ>

Sunday, August 9, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 12

ค่ำวันนั้น ผมไม่รู้ตัวเลยว่ากลับมาถึงบ้านได้อย่างไร ผมกลับบ้านโดยอาศัยความเคยชิน แต่ไม่ได้รับรู้กับสภาพแวดล้อมรอบข้างเลย โชคดีที่สามารถถึงบ้านได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ถูกรถชนเสียก่อน

วันนั้นผมกลับถึงบ้านช้ากว่าปกติเล็กน้อย คุณลุงและคุณป้าก็ไม่ได้คอยกินอาหาร เมื่อกลับไปถึง ทั้งสองคนกำลังอิ่มพอดี

“วันนี้เป็นอะไรมาช้า ตาอู” คุณป้าทักทายหลังจากที่ผมไหว้ทั้งสองคน

“มีติวกันตอนเย็นนิดหน่อยครับ” ผมอ้อมแอ้มตอบ เมื่อเรียนชั้นมัธยมปลายแล้ว เรื่องติวและเรียนพิเศษสามารถใช้เป็นข้ออ้างในการออกจากบ้านหรือว่ากลับบ้านช้าได้เป็นอย่างดี “เดี๋ยวอูทานต่อเลยครับ อูเก็บโต๊ะให้เอง”

“วันนี้อูดูหงอยไปนะ เป็นอะไรไปอีกล่ะ” คุณป้าทักต่อ ดูเหมือนผู้หญิงจะช่างสังเกตกว่า หรือไม่อย่างนั้นผมก็อาจเก็บอาการไม่ค่อยดีนัก

“ทะเลาะกับเพื่อนมานิดหน่อยครับคุณป้า” ผมตอบ หลายปีที่อยู่ที่นี่ ทำให้ผมพัฒนาคำตอบให้ดีขึ้นกว่าการพูดว่าไม่มีอะไรครับ ถ้ามีสาเหตุอธิบายเสียหน่อย คนฟังก็มักจะพอใจและไม่ซักต่อ

“เพื่อนกันก็ต้องมีทะเลาะเบาะแว้งกันบ้าง” ดูคุณป้าพอใจกับคำตอบและไม่ติดใจที่จะซักต่อ ส่วนคุณลุงนั้นนั่งฟังเงียบๆ ไม่แสดงความเห็นอะไร

เมื่อทั้งสองคนลุกจากโต๊ะไปแล้ว ผมก็ลงมือกินอาหารเพียงเล็กน้อย ที่จริงไม่หิวเลย แต่ไม่กินก็ไม่ได้เพราะจะผิดสังเกต จึงกินนิดหน่อยพอเป็นพิธี จากนั้นก็เก็บโต๊ะ ล้างจาก แล้วรีบขึ้นห้องนอน

“อูขอขึ้นไปดูหนังสือต่อก่อนนะครับ” ผมแวะไปบอกคุณลุงคุณป้าที่กำลังดูโทรทัศน์กันอยู่ “ช่วงนี้เรียนหนักครับ” ผมอ้างเรื่องเรียนอีก

หลังจากที่ผมทำงานบ้านเสร็จก็รีบขึ้นไปเก็บตัวในห้องนอน ผมหยิบจดหมายของไอ้นัยออกมาเพื่อจะอ่านอีก ผมถือจดหมายอยู่ในมืออยู่นานแต่แล้วก็ไม่กล้าอ่าน จู่ๆผมก็รู้สึกกลัว... กลัวที่จะยอมรับความจริงว่าผมได้ทำร้ายไอ้นัยอย่างไรบ้าง...

ผมปิดไฟที่โคมไฟตั้งโต๊ะ เมื่อดวงไฟดับลง ห้องทั้งห้องก็ตกอยู่ในความมืด มีเพียงแสงจากถนนซอยที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่าง ผมวางจดหมายของไอ้นัยลงและหยิบซองบทเพลงรัก... บทเพลงที่ไม่เคยได้มอบให้ไอ้นัย... ออกมาลูบคลำเล่น สายตาก็เพ่งมองกล่องใส่ทิชชู่รูปหมาที่วางอยู่บนโต๊ะ ความคิดของผมในตอนนั้นสับสนไปหมด

- - -

ที่สนามบินดอนเมือง เวลา ๖.๔๕ น.

ผมวิ่งเข้ามาในตัวอาคารผู้โดยสารขาออก พลางหันรีหันขวาง ไม่รู้ว่าจะไปหาไอ้นัยที่ไหน ผมจึงวิ่งไปที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์

“พี่ครับ ผมจะมาส่งเพื่อน เที่ยวบินหกโมงห้าสิบไปอเมริกา ต้องไปที่ไหนครับ” ผมละล่ำละลักถามพนักงานด้วยความร้อนใจ

พนักงานก้มหน้าก้มตาทำงานเหมือนทองไม่รู้ร้อน ไม่ได้ชายมามองผมแม้สักนิดเดียว

“พี่ครับ” ผมตะโกนลั่น “พี่”

ไม่ได้ผล พนักงานประชาสัมพันธ์ก็ยังไม่สนใจผมอยู่ดี

เมื่อสอบถามจากประชาสัมพันธ์ไม่ได้ความใดๆ ผมจึงไม่อยากเสียเวลาถามอีก ผมรีบวิ่งอย่างสะเปะสะปะไปทั่วเพื่อจะหาไอ้นัย

ทันใดนั้นผมก็เห็นเงาหลังของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง ยืนหันหลังให้ผมอยู่ห่างออกไปหลายสิบเมตร เงาหลังนั้นช่างคล้ายไอ้นัยเหลือเกิน โดยไม่รอช้า ผมรีบไปวิ่งไปที่ร่างนั้นทันที

เมื่อเข้าใกล้ ร่างนั้นกลับหายไปในฝูงคน ผมพยายามมองหาอีกครั้ง ก็เห็นร่างนั้นอยู่ไกลออกไปหลายสิบเมตรและกำลังเดินห่างออกไป

ผมรีบวิ่งตาม เมื่อเข้าไปใกล้จึงแน่ใจว่าเงาหลังที่ผมเห็นนั้นคือไอ้นัยนั่นเอง

“นัย” ผมตะโกนลั่นโดยไม่สนใจใคร “รอก่อน”

ไอ้นัยไม่หันกลับมา แต่กลับเดินหน้าต่อไปอย่างเร่งรีบ ผมรีบวิ่งตามไป แต่วิ่งเท่าไรก็ไม่ทันไอ้นัยเสียที ผมรู้สึกว่าผมกำลังก้าวเท้าซอยอยู่กับที่ ไม่สามารถเคลื่อนไปข้างหน้าได้...

“นัย รอด้วย” ผมตะโกนสุดเสียง

เงาร่างนั้นไม่หันมา แต่กลับเดินหายลับไป...

- - -

“อู อู เป็นอะไรไปน่ะ อู เปิดประตูเร็ว” เสียงใครก็ไม่รู้ตะโกนโหวกเหวก

ผมสะดุ้ง เมื่อผมรู้สึกตัวอีกครั้งผมกลับพบว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนเตียงภายในบ้านนั่นเอง เสื้อนอนของผมเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ภาพที่ผมเห็นเมื่อครู่ทำให้ผมรู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่นสะท้าน

“อู อู ได้ยินไหม เปิดประตูเร็วเข้า” เสียงโหวกเหวกนั้นยังคงดังอยู่ เป็นเสียงคุณลุงกับคุณป้านั่นเอง

ผมลุกขึ้นจากเตียง รีบไปปลดกลอนและเปิดประตูห้องนอน เมื่อเปิดประตูออกก็พบใบหน้าของคุณลุงและคุณป้าที่แสดงความตกใจ

“เกิดอะไรขึ้นตาอู ทำไมร้องเอะอะลั่นบ้าน” คุณป้ารีบถาม “เป็นอะไรไปหรือเปล่า”

ผมหวนนึกทบทวนถึงเรื่องที่เกิดขึ้น พยายามซ่อนอาการสั่นสะท้านเอาไว้ มันช่างน่ากลัวเหลือเกิน

“เอ้อ อูคงฝันร้ายน่ะครับ” ผมตอบ ที่จริงผมไม่อยากคิดว่ามันเป็นความฝัน เพราะมันโลดแล่นอย่างแจ่มชัดราวกับเกิดขึ้นจริงๆ

“ไม่สบายหรือเปล่าอู” คุณลุงพูดพลางเอามือมาแตะที่หน้าผากของผม เกรงว่าผมจะไม่สบายเหมือนครั้งก่อน “หน้าผากก็ไม่ร้อน คงไม่มีไข้”

หลังจากซักไซร้ไล่เรียงผมอยู่สักครู่ ทั้งสองก็สรุปว่าคงเป็นแค่ฝันร้ายธรรมดา ผมคงไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วยแต่อย่างใด แต่ก่อนที่จะกลับไปนอน คุณลุงก็ยังกำชับผมไม่ให้ใส่กลอนประตูห้องนอนอีก เผื่อว่ามีอะไรที่ไม่คาดฝันคุณลุงจะได้เข้ามาช่วยได้ทัน

- - -

ผมกลับเข้าไปในห้องนอน เปิดไฟจากโคมไฟที่โต๊ะ นาฬิกาบอกเวลาตีสี่ ผมเห็นจดหมายของไอ้นัยและซองบทเพลงยังคงวางอยู่ที่โต๊ะ ความทรงจำสุดท้ายของผมนั้นผมจำได้ว่ากำลังลูบคลำซองบทเพลงอยู่ จากนั้นก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย ผมไปนอนที่เตียงตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

ผมหวนนึกถึงความฝันเมื่อครู่แล้วก็อดสะท้านไม่ได้ เหตุการณ์ในฝันนั้นช่างน่ากลัวเหลือเกิน...

ผมนั่งละล้าละลังอยู่สักครู่ ไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี นอนก็นอนไม่กลับ จะนั่งอยู่อย่างนั้นก็รู้สึกกลัว

ในที่สุดผมก็นึกได้ว่าผมควรทำอะไร ผมหยิบแอโรแกรมออกมาจากเป้ จากนั้นเขียนจดหมายถึงไอ้นัยอีกหนึ่งฉบับ เนื้อความก็คล้ายๆฉบับก่อน ผมจะเขียนจดหมายถึงไอ้นัยอีกฉบับ เผื่อว่าฉบับที่ส่งไปเมื่อวานอาจตกหล่นหรือสูญหายกลางทาง

เอ... แล้วถ้าฉบับนี้เกิดสูญหายด้วยล่ะ ผมคิดขึ้นมาด้วยความกังวล

ถ้ายังงั้นเขียนสักสองฉบับน่าจะดีกว่า ผมเปลี่ยนความคิดอีก จากนั้นผมก็ลงมือเขียนจดหมายเพิ่มอีกฉบับโดยที่เนื้อความใกล้เคียงกัน

ในตอนเช้าวันนั้น ผมนำแอโรแกรมทั้งสองฉบับไปส่งที่ตู้ไปรษณีย์ ฉบับหนึ่งส่งที่ตู้หน้าปากซอยที่บ้าน ส่วนอีกฉบับผมส่งที่ตู้หน้า ปณ.วัดเลียบ เขียนสามฉบับแยกส่งสามที่ ถึงจะสูญหายอย่างไรก็คงต้องถึงมือไอ้นัยสักฉบับเป็นแน่

- - -

เช้าวันนั้นผมมาถึงโรงเรียนค่อนข้างเร็ว เพราะหลังจากที่ตกใจตื่นผมก็ไม่ได้นอนต่ออีก ทำให้ตื่นเร็วกว่าปกติ แต่อย่างไรก็ตาม ฝันร้ายเมื่อตอนใกล้รุ่งยังรบกวนจิตใจของผมตลอดทั้งเช้า

สถานที่แรกที่ผมแวะเมื่อถึงโรงเรียนไม่ใช่ห้องเรียน แต่เป็นห้องสมุด ผมตรงไปที่ห้องสมุดทันทีโดยไม่ยอมเสียเวลาเอาเป้ไปเก็บที่ห้องก่อน ปริศนาเพลงที่สามของไอ้นัยยังคาใจของผมอยู่ ผมแน่ใจว่ามันต้องการบอกอะไรบางอย่างในเพลงนั้นแน่ๆ

ผมเปิดพจนานุกรมอังกฤษเป็นไทย ฉบับตั้งโต๊ะ ของ สอ เสถบุตร ซึ่งเป็นพจนานุกรมที่นิยมใช้กันมากที่สุดในยุคนั้น เพื่อหาคำว่า aloha oe แต่ก็ไม่พบ คงมีแต่เพียงคำว่า aloha เฉยๆ โดยระบุคำแปลว่า ความรัก, ใช้เป็นคำทักทาย

ไม่เห็นจะเกี่ยวเท่าไรเลย ผมคิดในใจ แต่คำว่า aloha แปลว่าความรักก็ถือว่าพอได้เค้าลางอะไรมาบ้าง

เมื่อเปิดพจนานุกรมไม่ได้เรื่อง ผมจึงลองเปิดสารานุกรมดู ที่โรงเรียนมีสารานุกรมบริทานิกา ใส่ตู้เอาไว้ทั้งชุดมีหลายสิบเล่ม ผมเคยมาเปิดดูรูปเล่น แต่ก็ไม่เคยมาค้นหาอะไรจริงจัง ในยุคนั้นยังไม่มีฉบับซีดีรอมให้ใช้

ในสารานุกรมกล่าวถึงเพลง aloha oe นี้เพียงสั้นๆว่าแต่งโดยราชินีของฮาวาย แต่ก็ไม่มีรายละเอียดอื่นใด... ก็ยังไม่ได้เรื่องอีก

“อาจารย์ครับ ผมอยากหาข้อมูลเกี่ยวกับเพลงนี้ เป็นเพลงของฮาวาย จะหาที่ไหนดีครับ” เมื่อหาข้อมูลที่ต้องการไม่ได้ในห้องสมุดของโรงเรียน ผมจึงปรึกษาบรรณารักษ์ โดยยื่นกระดาษจดชื่อเพลงให้ เนื่องจากผมอ่านชื่อเพลงไม่ออก จึงใช้เขียนเอา เพราะเกรงออกเสียงผิดแล้วจะเข้าใจกันผิด

บรรณารักษ์ดูชื่อเพลงแล้วนิ่งคิดสักครู่

“เพลงฮาวายเหรอ” บรรณารักษ์เปรย แล้วก็ให้คำแนะนำ “ถ้าอย่างนั้นนักเรียนลองไปดูที่ห้องสมุดเอยูเอดีกว่า ที่นั่นมีเรื่องเกี่ยวกับอเมริกาอยู่เยอะ”

หลังจากนั้นผมก็สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับห้องสมุดเอยูเอและวิธีเดินทางไป ผมตั้งใจว่าจะคลี่คลายความลับในบทเพลงของไอ้นัยให้ได้

- - -

แม้ผมจะมาแต่เช้า แต่ไปเสียเวลาที่ห้องสมุดเสียนาน ดังนั้นกว่าจะมาถึงห้องเรียนก็เกือบได้เวลาเข้าแถวเคารพธงชาติแล้ว

“เฮ้ย ไอ้อู วันนี้มีส่งการบ้านคณิตศาสตร์นะโว้ย” ไอ้กี้พูดกับผม

“การบ้านอะไรวะ” ผมถามอย่างงุนงง

“ก็เมื่อวานตอนที่มึงโดดเรียนไป อาจารย์พิกุลขึ้นบทใหม่พอดี แล้วก็สั่งการบ้านด้วย ส่งวันนี้แหละ” ไอ้กี้อธิบาย

ซวยละสิ บทใหม่เป็นเรื่องอะไรผมยังไม่รู้เลย หนังสือเรียนก็ไม่ได้เอามาเพราะว่าวันนี้ไม่มีคณิตศาสตร์ แล้วจะทำการบ้านส่งได้อย่างไร ปกติอาจารย์มักไม่สั่งให้ส่งการบ้านในวันรุ่งขึ้น แต่ครั้งนี้กลับเร่งให้ส่งเร็ว แล้วก็พอดีเป็นวันที่ผมไม่ได้อยู่เรียนเสียด้วย แต่โชคยังดีอยู่หน่อยคือแม้ผมไม่ได้เอาหนังสือคณิตศาสตร์มา แต่สมุดการบ้านพอดียังติดอยู่ในเป้ ไม่ได้เอาออกไป

“งั้นขอลอกหน่อยดิ” ผมขอไอ้กี้ดื้อๆ

“เฮ้ย ไม่เอา ลอกไปมึงก็ไม่รู้เรื่อง ทำเองดีกว่า” ไอ้กี้ไม่ยอมให้ลอก “มึงไปบอกอาจารย์ว่าไม่สบาย ขอส่งพรุ่งนี้ เค้าก็ยอมอยู่แล้ว”

ผมจ๋อย รู้สึกเสียหน้าเหมือนกันที่ถูกปฏิเสธ ผมอดนึกถึงเพื่อนเก่าไม่ได้ นี่ถ้าเป็นไอ้อ๊อดหรือไอ้แก่ มันคงไม่มีทางปฏิเสธผมเป็นแน่

เมื่อถูกกี้ปฏิเสธ ผมก็ไม่กล้าขอยืมคนอื่นลอกอีก เพราะถ้าถูกปฏิเสธเป็นครั้งที่สองผมคงเสียหน้าและอับอายเพื่อนมาก ผมจึงออกไปนั่งเล่นที่ทางเดินหน้าห้องเพื่อใช้ความคิดว่าจะแก้ปัญหาอย่างไรดี

ผมนั่งที่ทางเดินหน้าห้องอยู่อย่างนั้นจนออดเข้าแถวเคารพธงชาติดังขึ้น พวกนักเรียนทยอยเดินออกจากห้องเพื่อลงไปตั้งแถวที่สนามใหญ่ ผมทำทีเป็นเดินตามเพื่อนๆไป โดยพยายามเดินช้าๆ จากนั้นผมก็แยกจากเพื่อนๆย้อนกลับเข้าไปในห้องเรียนอีกครั้ง

ตอนนั้นไม่มีนักเรียนอยู่ในห้องแล้ว เพื่อนๆส่วนใหญ่ก็เดินลงบันไดไปแล้ว ผมเดินมาที่ประตูห้องเรียนด้านหลังชั้น จากนั้นปิดบานประตูเข้ามา ประตูห้องเรียนมีสองประตู ถ้าปิดประตูที่อยู่ด้านหลังชั้นเสียเวลาคนเดินผ่านไปผ่านมาจะไม่เห็นหลังห้องเลย ทำให้ผมสามารถซ่อนตัวอยู่ในห้องได้อย่างสบาย ยกเว้นว่าจะมีใครเดินตรวจเข้ามาในห้องจึงจะพบเห็นผมได้

ผมรออีกสักครู่เพื่อให้แน่ใจว่านักเรียนลงไปหมดแล้วจริงๆ จากนั้นจึงเดินไปที่โต๊ะหน้าชั้นซึ่งเป็นที่วางสมุดการบ้าน

จะเอาใครเป็นต้นฉบับดีหว่า ผมคิดในใจ ไม่เอาของไอ้กี้เพราะลายมือมันไม่ค่อยดี อีกทั้งรู้สึกไม่อยากพึ่งมัน เอาของคนเรียนเก่งดีกว่า

ผมหยิบสมุดการบ้านของพัน พันแม้เรียนเก่งแต่ลายมือก็ไม่ค่อยดี เอาของมอนก็แล้วกัน มอนเป็นเด็กที่ลายมือสวยมาก เป็นระเบียบเรียบร้อย อ่านง่าย อีกทั้งหน้าตาก็น่ารัก ผมชอบนั่งมองมันบ่อยๆ

ผมเอาสมุดการบ้านของไอ้มอนมาลอกที่หลังห้องเรียนโดยไม่ลงไปเข้าแถว กว่าจะเข้าแถวเคารพธงชาติและสวดมนต์กันเสร็จสิ้น ผมก็ลอกการบ้านเสร็จพอดี เพราะการบ้านวันนั้นมีไม่มากนัก

เมื่อผมลอกการบ้านเสร็จก็เอาสมุดการบ้านไปวางในกอง จากนั้นเดินออกจากห้องไปซ่อนตัวอยู่ที่บันไดอีกด้านหนึ่งของตึก เพื่อว่าเพื่อนๆเมื่อเข้ามาจะได้ไม่เห็นว่าผมอยู่ในห้องอยู่แล้ว รอคนเข้าห้องไปแล้วสักครู่จึงเดินตามเข้าไปบ้าง

- - -

ตลอดทั้งสัปดาห์ผมใจจดใจจ่อรอให้ถึงวันเสาร์ เพื่อว่าผมจะได้ไปที่ห้องสมุดเอยูเอ ตั้งแต่ที่ผมได้รับจดหมายจากไอ้นัย หลังจากนั้นมาผมก็เริ่มกลับมามีอาการเรียนไม่รู้เรื่องอีกครั้งหลังจากที่อาการนี้หายไปนาน

ผมไปเรียนเปียโนตอนเช้าตามปกติ วันนั้นผมไม่ค่อยมีสมาธิเรียนนัก เพราะมัวแต่คิดถึงเรื่องเพลงของไอ้นัยและห้องสมุดเอยูเอ

“อู” ครูเปียโนของผมเรียก ปลุกให้ผมตื่นจากภวังค์

“ครับครู” ผมขานรับ

“เป็นอะไรไปน่ะ นั่งใจลอย ครูเรียกหลายทีแล้วเพิ่งจะตอบ” ครูเปียโนพูด

“พอดีคิดอะไรนิดหน่อยครับ” ผมตอบ ว่าแล้วก็นึกขึ้นได้ ไหนๆก็ไหนๆ ลองถามครูหน่อยดีกว่า เผื่อจะรู้

“ครูรู้จักเพลงนี้ไหมครับ” ผมเอากระดาษชิ้นเล็กๆที่เขียนชื่อเพลงส่งให้ครูดู

เมื่อครูเห็นชื่อเพลงก็พูดขึ้นทันที “อ๋อ รู้จัก เป็นเพลงอำลาน่ะ”

“ครูว่าอะไรนะครับ” ผมตกใจ รู้สึกสังหรณ์ใจวูบทันที

“เป็นเพลงอำลาจ้ะอู ใช้ตอนร่ำลาจากกัน” ครูตอบ

ฟังเพลง Aloha Oe
<เพลงนี้เป็นเพลงที่ชาวฮาวายรู้จักกันดีทุกคน ชื่อเพลงเป็นภาษาฮาวาย อ่านว่า ‘อะโลฮา โอเอ’ เนื้อเพลงเป็นก็ภาษาฮาวาย มีความหมายเกี่ยวกับการร่ำลาด้วยความรักอาลัย เพลงนี้แต่งโดยราชินีองค์สุดท้ายของฮาวายชื่อ ลิลีอูโอคาลานี (Lili’uokalani) ในปี ค.ศ. ๑๘๗๘ โดยได้แรงบันดาลใจจากการที่เห็นหนุ่มสาวคู่หนึ่งกอดกันด้วยความรักอย่างสุดซึ้งก่อนที่จะอำลาจากกัน>

Tuesday, August 4, 2009

ภาคสาม ตอนที่ 11

เมื่อกี้หยุดพักไปหน่อย คิดว่ายังมีเรื่องบอกมึงอีก แต่ก็คิดไม่ออก เลยแอบไปเล่นกีตาร์มาพักหนึ่ง เล่นเพลงอะไรรู้ไหม เพลง Just When I Needed You Most ของ Randy VanWarmer

กูซื้อเสื้อยืดเอาไว้สองตัว ตัวหนึ่ง คิดจะให้พี่เต้ อีกตัวจะให้มึง กูไม่เคยให้ของขวัญมึงสักอย่าง ชิ้นนี้จะเป็นชิ้นแรก แต่ในที่สุดก็ไม่ได้ให้ใครเลย ตัวของพี่เต้กูทิ้งไว้ที่เมืองไทย ส่วนของมึงกูเอามาใส่ด้วย ถึงกูจะไม่ได้ให้มึง แต่อย่างน้อยกูก็เคยตั้งใจจะให้ เวลาใส่แล้วพยายามคิดว่าเหมือนมีมึงอยู่ใกล้ๆ จะได้มีกำลังใจไง

ย่อหน้านี้กูคิดอยู่นานว่าจะเขียนดีหรือไม่ บอกมึงไปก็แล้วกัน คือ เรื่องเหี้ยๆที่กูไปทำไว้น่ะ กูคิดจะทำเพื่อความสะใจ แต่แล้วก็นึกถึงมึงทุกครั้ง สุดท้ายก็เลยแค่ใช้มือ ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น ช่วงหลังกูต้องหลบไปขึ้นรถเมล์ที่ป้ายอื่น ไม่กล้าขึ้นป้ายเดียวกับมึง เพราะว่ากูไม่กล้าสู้หน้ามึง กูสะใจที่ได้ทำ แต่ก็เสียใจที่ได้ทำลงไป ไม่รู้ว่ามึงจะเชื่อเด็กเลวขี้โกหกหรือเปล่า แต่ขอให้มึงเชื่อกูสักครั้งนะอู

ก่อนจบขอเล่นกีตาร์ให้มึงฟังอีกเพลง ชื่อเพลง Aloha Oe เป็นเพลงที่ชาวฮาวายรู้จักกันดี แต่งโดยราชีนีองค์สุดท้ายของชนเผ่าพื้นเมืองในฮาวายโดยมีแรงบันดาลใจบางอย่าง หวังว่าเวลาเปิดจดหมายมึงคงได้ยินเสียงเพลงที่กูเล่นให้มึงฟังลอดออกมาจากซองบ้าง

อู กูเขียนต่อไม่ไหวแล้ว มันตื้อไปหมด คิดอะไรไม่ออกแล้ว ขอโทษที่ทำร้ายจิตใจมึง ขอโทษที่กูทำตัวเหี้ย ทำให้มึงต้องผิดหวังและเสียใจ และขอโทษที่กูรักษาสัญญาดูแลมึงไม่ได้ ต่อไปมึงต้องดูแลตัวเองให้ดีล่ะ อย่าใจร้อน จะได้ไม่มีเรื่องกับใคร

คิดถึงมึงนะอู ดูแลตัวเองดีๆ
นัย


- - -

ผมอ่านจดหมายของไอ้นัยจนจบด้วยสมองที่ว่างเปล่า หัวใจที่ด้านชา และด้วยความรู้สึกที่เคว้งคว้าง ผมคิดอะไรไม่ออก ทำอะไรไม่ถูก ตอนเด็กๆผมเคยขี่จักรยานแล้วล้มอย่างแรง หัวและลำตัวกระแทกกับพื้นดินที่ข้างทาง ส่วนหัวเข่าครูดไปกับพื้นซีเมนต์ ตอนนั้นผมมึนงงไปชั่วขณะ เมื่อดูที่หัวเข่าเห็นเป็นแผลใหญ่ มีเลือดออก แต่กลับไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่น้อย จากนั้นเมื่อสติกลับมาอยู่กับตัว ผมจึงรู้สึกปวดแผล ตอนนี้ก็เช่นกัน ความรู้สึกช็อกทำให้ผมไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไร เพียงแค่รู้สึกมึนงงเท่านั้น

“เอ้า นักเรียน ได้เวลาไปเข้าห้องเรียนแล้วจ้ะ” เสียงบรรณารักษ์เรียกผม

ผมตื่นจากภวังค์ เห็นในห้องสมุดไม่มีนักเรียนอยู่เลย อาจารย์บรรณารักษ์มายืนเรียกผม ออดเข้าเรียนดังตั้งแต่เมื่อไรผมไม่ได้ยินเลย

ผมรีบออกมาจากห้องสมุดด้วยความคิดอันสับสน ตอนนั้นคิดออกอยู่อย่างเดียวก็คือต้องรีบตอบจดหมายไอ้นัยไปโดยเร็วที่สุดเพื่อให้มันรู้ว่าผมไม่ได้โกรธหรือเกลียดมันเลยแม้แต่น้อย

ในตอนนั้นระบบไปรษณีย์ยังไม่ทั่วถึงเหมือนในปัจจุบันที่มีไปรษณีย์ย่อยและไปรษณีย์เอกชนอยู่ทั่วไป การส่งจดหมายไปต่างประเทศต้องไปชั่งน้ำหนักและติดแสตมป์ที่ที่ทำการไปรษณีย์ หรือถ้าต้องการส่งเป็นแอโรแกรมที่ส่งได้ตามตู้จดหมายทั่วไปก็ต้องไปซื้อแอโรแกรมจากที่ทำการไปรษณีย์อยู่ดี ผมไม่เคยเห็นที่ทำการไปรษณีย์ในละแวกโรงเรียนเลย ที่นึกออกก็มีแต่ไปรษณีย์วัดเลียบตรงปากคลองตลาด ปณ.สามเสนในตรงสะพานควายที่ผมนั่งรถผ่านทุกวัน กับอีกที่หนึ่งก็คือปณ.ลาดพร้าวที่ผมต้องผ่านตอนไปบ้านไอ้นัย

รีบไปที่ ปณ.สามเสนในดีกว่า ผมคิดในใจ เพราะ ปณ.วัดเลียบคนเยอะ คิวยาวมาก และยังมีโอกาสเจออาจารย์ที่นั่นอีกด้วย ถ้าโดดเรียนได้รีบไปให้ไกลๆดีกว่า

ตอนนั้นเพิ่งบ่ายโมงกว่า อีกตั้งนานกว่าจะเลิกเรียน แต่ผมคงรอไม่ไหว ทำไงดี...

หนีโรงเรียน! ผมคิด แต่ว่าอยู่ดีๆจะเดินออกจากโรงเรียนคงเป็นไปไม่ได้แน่

ผมรีบไปที่ห้องพยาบาลทันที

“ว่าไงจ๊ะ” พยาบาลในวัยปลายสามสิบ ในชุดสีน้ำเงินอ่อน แต่ยังดูสาวและสวย ท่าทางใจดี กล่าวทักทายเมื่อเห็นผมเดินเข้าไปในห้องพยาบาล

“ผมไม่ค่อยสบาย อยากขอลากลับบ้านครับ” ผมตอบอ้อมแอ้ม

“อาการเป็นยังไงบ้างล่ะตอนนี้” พยาบาลยิ้มและคุยอย่างเป็นกันเอง

“ปวดศีรษะครับ...” ผมแจ้งอาการที่เพิ่งคิดออกอย่างกะทันหัน ตอนแรกคิดจะบอกปวดท้อง แต่เปลี่ยนใจเอาเป็นปวดหัวดีกว่า

หนทางหนึ่งที่จะออกจากโรงเรียนได้ก็คือการลาป่วย ถ้าอาจารย์ประจำชั้นหรือพยาบาลที่ห้องพยาบาลเซ็นใบอนุญาตให้ก็สามารถกลับบ้านได้ ผมยังไม่อยากโกหกอาจารย์วารี ขอเลือกโกหกพยาบาลดีกว่า

“เหรอจ๊ะ เดี๋ยวขอวัดไข้ดูก่อนนะ” พยาบาลพูดพลางเอาปรอทมาจิ้มใส่ปากผม

“ไม่มีไข้เลย” พยาบาลอ่านปรอท จากนั้นสะบัดปรอทสองสามครั้ง “อะ ไหนลองอีกที เพื่อความแน่ใจ”

หลังจากการวัดไข้ครั้งที่สอง ปรอทก็ไม่ขึ้นสูงเช่นเคย

“ไม่มีไข้เลยนะ” พยาบาลสาวพูด สีหน้ายิ้มๆ

“แต่ผม...เอ้อ ปวดศีรษะจริงๆครับ อยากขอกลับบ้านครับ” ผมก้มหน้าตอบ

“เอายังงี้ เอ้อ... นักเรียนชื่ออะไรจ๊ะ” พยาบาลถาม

“อูครับ” ผมตอบ

“ยังงั้นอูทานยาแก้ปวดหัวแล้วนอนพักสักครู่ก่อนดีกว่า อย่าเพิ่งกลับบ้านเลย ทานอาหารมาแล้วใช่ไหม” พยาบาลพูดด้วยท่าทางใจดี แต่ก็เหมือนแอบยิ้ม “มีนักเรียนเยอะแยะที่อยากหนีออกไปเที่ยวข้างนอกโดยอาศัยใบลาป่วย ถ้าอูไม่สบายละก็นอนพักที่นี่สักครู่ก่อนดีกว่า”

ซวยล่ะสิ สงสัยว่าพยาบาลจะรู้ทันแล้วดัดหลังผมโดยให้นอนในห้องพยาบาลแทน

“เอ้อ ก็ดีครับ” ผมถอนใจ ตอบด้วยความจนปัญญา นอนก็ดีเหมือนกัน กลับเข้าห้องเรียนก็คงเรียนอะไรไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวอาจารย์เกิดถามในห้องแล้วตอบไม่ได้จะโดนประจานเสียเปล่าๆ

ตอนนั้นผมรู้สึกท้อแท้และหมดอาลัยตายอยาก แม้แต่อุปสรรคเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้ผมสะดุดหกล้มจนลุกไม่ขึ้นได้อย่างง่ายดาย

ผมทานยา จากนั้นถอดรองเท้า ก้าวขึ้นไปนอนบนเตียงพยาบาล พยายามหลับตาแต่ก็หลับไม่ลง จึงนอนลืมตาโพลงมองพัดลมที่ส่ายไปมาบนเพดาน

ผมเอามือเอื้อมไปจับจดหมายทั้งสามฉบับที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อ จดหมายที่อยู่ในซองทั้งหนาและหนัก มันได้ถ่ายทอดความทุกข์ของไอ้นัยให้ผมได้รับรู้ แต่ผมเชื่อว่านั่นเป็นเพียงเศษเสี้ยวเดียวของความทุกข์ที่ไอ้นัยได้รับ เพราะว่ามันเป็นเด็กที่เข้มแข็ง ไม่ยอมปริปากบ่นอะไรง่ายๆ อะไรที่มันบ่นออกมาแสดงว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงต้องหนักหนากว่านั้นมากนัก

ผมเอามือขวาจับจดหมายในกระเป๋าเสื้ออยู่อย่างนั้น เหมือนกับจะพยายามรับรู้ความทุกข์ยากของไอ้นัยที่ถ่ายทอดมากับจดหมาย พลางนึกทบทวนถึงข้อความที่อยู่ข้างใน

ปกติไอ้นัยเป็นเด็กที่เก็บความรู้สึกเก่ง แต่ในจดหมายฉบับนี้ไอ้นัยได้แสดงความรู้สึกเกี่ยวกับผมออกมาอย่างชัดแจ้ง มันมีความรู้สึกที่ดีกับผมมาตลอด และคิดว่าผมเป็นคนที่สำคัญที่สุดของมัน ผมหวนนึกถึงอดีตที่เราเคยผ่านวันเวลาร่วมกันมา จำได้ว่าตอน ม.๑ แม้มันจะรู้ว่าเพื่อนๆของผมเฝ้ามองมันว่าเป็นคู่เกย์กับผม แต่มันก็ยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อนและกินข้าวกลางวันกับผมโดยไม่แคร์สายตาของใคร จนผมต้องเป็นคนบอกมันเองว่าต่อไปแยกกันกินอาหารเที่ยงบ้างก็ได้ ไอ้นัยจึงได้ไปกินกับเพื่อนๆของมัน

ผมนึกถึงตอนที่เรากินน้ำจากแก้วเดียวกัน กัดโดนัทอันเดียวกัน ภาพที่ไอ้นัยมายืนตีหน้าตายรอขึ้นรถเมล์กับผมด้วยกันทุกเช้า มันบ่งบอกชัดอยู่แล้วว่ามันให้ความสนิทสนมและความสำคัญแก่ผมมากกว่าเพื่อนคนอื่นเพียงใด... ในวันที่มันต้องเสียน้ำตาเพราะผมตะคอกมัน ถ้าไม่ใช่เพราะมันแคร์ผมอย่างที่สุดแล้วมันจะร้องไห้เพราะเรื่องแค่นี้ได้อย่างไร... แต่ผมก็ไม่เคยตระหนัก เอาแต่คิดน้อยใจและจับผิดมัน

เมื่อความชาด้านในหัวใจของผมค่อยๆคลายตัวลง ความเจ็บปวดก็ค่อยๆคืบคลานเข้ามาแทนที่ มันเจ็บปวดอยู่ลึกๆ น้ำตาร่วงเป็นสายออกทางหางตาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ในที่สุดผมก็ได้รู้ความจริงว่าคนที่ผลักไสให้ไอ้นัยไปตกนรกนั้นก็คือผมนั่นเอง... ในวันที่มันต้องการผมอย่างที่สุด ผมกลับทอดทิ้งมันไปอย่างไม่ไยดี ในขณะที่มันกำลังจะจมน้ำและยื่นมือมาขอความช่วยเหลือ ผมกลับเอาแต่โกรธเคืองมันและหาเรื่องทะเลาะกับมัน และดูมันจมน้ำลงไปกับตา ผมรู้สึกว่าตนเองช่างอำมหิตจริงๆ

‘กูดีใจที่ได้เล่นเพลง A Lover’s Concerto ให้มึงฟังนะอู’ ประโยคในจดหมายล่องลอยเข้ามาในความคิดของผม มันทำให้ผมหวนนึกถึงเนื้อเพลงของบทเพลงนี้

Now, I belong to you
From this day until forever,
Just love me tenderly
And I'll give to you every part of me.

Oh, don't ever make me cry
Through long lonely nights without love.
Be always true to me,
Keep this day in your heart eternally.

ไอ้นัยได้บอกผมอย่างชัดแจ้งในเนื้อเพลงแล้วว่ามันเป็นของผมตลอดไป ขอให้ผมรักมัน และอย่าทำให้มันต้องเสียน้ำตา…

ผมเพิ่งเข้าใจเดี่ยวนี้เองว่าไอ้นัยได้บอกรักผมมาตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว ตั้งแต่ตอนที่มันเล่นบทเพลงนี้ให้ผมฟังนั่นเอง เมื่อผมคิดจะมอบบทเพลงรักให้แก่มันได้ แล้วทำไมมันจะคิดเรื่องนี้ไม่ได้เหมือนกัน มันคิดและทำก่อนหน้าที่ผมจะได้คิดเสียอีก และเมื่อมันถามผมว่าเข้าใจเพลงนี้ไหม ผมกลับเข้าใจผิดคิดว่ามันลองภูมิภาษาอังกฤษของผม

ผมเพิ่งตระหนักในตอนนี้เองว่าไอ้นัยไม่ได้ผิด คนที่ผิดและเลวก็คือผมนั่นเอง สิ่งที่มันร้องขอนั้นผมไม่ได้ให้มันเลยสักอย่าง ผมฆ่าเพื่อนสนิทที่เรียกร้องหาความรักจากผมได้อย่างเลือดเย็นที่สุดด้วยการเย็นชาต่อมันและทอดทิ้งมันไป...

“อู เป็นอะไรน่ะ” พยาบาลเดินมายืนข้างเตียง มองผมด้วยสายตาที่เป็นห่วงเมื่อเห็นหยาดน้ำตาไหลเป็นทางออกจากหางตาของผม ผมจมอยู่ในภวังค์ ไม่รับรู้เวลาที่ผ่านไป ไม่รู้เหมือนกันว่านอนอยู่บนเตียงนี้นานเท่าไรแล้ว

“ไม่เป็นไรครับ” ผมลุกขึ้นนั่งบนเตียง พลางปาดน้ำตาออกไป

พยาบาลผู้มีใจอารีมองหน้าผมด้วยสีหน้าเห็นใจ “อูมีอะไรอยากจะระบายไหมจ๊ะ เล่าออกมาได้นะ”

ผมส่ายหน้า “ไม่มีครับ ให้ผมกลับบ้านได้ไหมครับ” ประโยคหลังผมรู้สึกว่าเสียงของตนเองเปลี่ยนเป็นสั่นเครือ

คราวนี้เธอพยักหน้า

“ถ้านักเรียนไม่สบายและไม่พร้อมที่จะเรียน ปกติครูก็อนุญาตให้กลับบ้านได้ การที่มีเรื่องไม่สบายใจก็ถือว่าไม่สบายได้เหมือนกัน กายไม่สบายก็ต้องพัก จิตใจไม่สบายก็ต้องพักเหมือนกัน ครูจะเซ็นใบให้นะอู แต่ครูอยากให้อูรีบกลับบ้าน อย่าไปไถลที่ไหน เพราะถ้าสารวัตรนักเรียนจับได้ ครูจะต้องรับผิดชอบ” ประโยคสุดท้ายเป็นเหมือนการกำชับผม

ผมรับคำ พลางยกมือไหว้ “ขอบคุณครับอาจารย์”

หลังจากที่ผมได้รับใบอนุญาตให้ออกนอกโรงเรียน ผมก็อาศัยช่วงเวลาเปลี่ยนคาบซึ่งไม่มีอาจารย์อยู่ในห้องเข้าไปเก็บข้าวของ เพื่อนๆรุมถามว่าผมจะไปไหน ผมได้แต่บอกว่าไม่สบาย ขอกลับบ้านไปก่อน

“เนี่ยนะไม่สบาย ท่าทางลุกลี้ลุกลน ไอ้เหี้ยอูต้องวางแผนโดดเรียนแน่ๆเลย” ไอ้กี้พูดเสียงลั่นห้องพลางหัวเราะ “มึงจะโดดเรียนไปไหนวะ”

“เปล่าโว้ย ไม่สบายจริงๆ” ผมยังปากแข็ง เมื่อเก็บของใส่เป้เสร็จผมก็รีบเดินออกมาทันที ขืนอยู่ช้า หากอาจารย์คาบถัดไปเข้ามา ผมคงถูกอาจารย์ซักเป็นแน่

- - -

เมื่อผมออกจากโรงเรียนก็รีบเดินไปขึ้นรถเมล์สาย ๘ เพื่อไปสะพานควาย ระหว่างทางผมรู้สึกหดหู่อยู่ตลอดเวลา นึกภาพไอ้นัยไม่ออกเลยว่ามันจะไปตกระกำลำบากเพียงใด สภาพจิตใจของมันจะบอบช้ำเพียงไหน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะฝีมือของผมทั้งสิ้น

ผมหวนนึกทบทวนข้อความในจดหมาย และนึกถึงเพลง A Lover’s Concerto เมื่อไอ้นัยใช้บทเพลงนี้สื่อสารถึงผม มันอาจต้องการจะสื่อสารอะไรบางอย่างถึงผมในบทเพลงอื่นๆด้วยก็ได้ เพราะสังเกตว่าในจดหมายทั้งสามฉบับล้วนแต่มีกล่าวถึงบทเพลงทั้งสิ้น

ผมลงรถเมล์ที่ป้ายหน้าวัดไผ่ตัน จากนั้นเดินอีกเล็กน้อยก็ถึงไปรษณีย์สามเสนใน ผมไปซื้อจดหมายอากาศทีเดียว ๕ ฉบับ เพราะจะได้ไม่ต้องมาซื้อบ่อยๆ จากนั้นก็ลงมือเขียนจดหมายฉบับแรกถึงไอ้นัยทันที

นัย

กูเพิ่งได้รับจดหมายของมึงทั้งสามฉบับ มันไปดองอยู่ที่ห้องธุรการของโรงเรียนตั้งปีโดยที่กูไม่รู้ เพิ่งจะได้อ่านจดหมายของมึงวันนี้นี่เอง

นัย กูไม่ได้โกรธมึงเลย มึงต่างหากที่ควรจะต้องโกรธกู ถ้ามึงได้อ่านจดหมายฉบับนี้ รีบตอบกูมาด่วนเลยนะ กูยังมีเรื่องจะคุยกับมึงอีกเยอะ

อยู่ที่โน่นรักษาตัวให้ดีนะนัย เรื่องปลูกบ้านกูยังไม่เปลี่ยนใจ ขอย้ำว่ากูยังไม่เปลี่ยนใจ

รักเสมอ
อู


ผมรีบเขียนจดหมายแต่เพียงสั้นๆ สาเหตุก็เพราะต้องการจะรีบส่งไปโดยเร็วที่สุดฉบับหนึ่งก่อน อีกประการ ผมต้องการให้แน่ใจด้วยว่าจดหมายจะถึงมือไอ้นัย ผมจึงจะเขียนเรื่องที่เป็นความลับของเราสองคนลงไป เพราะถ้าจดหมายส่งไม่ถึงและถูกส่งกลับคืนมา มันจะต้องไปติดที่ห้องธุรการอีก และถ้าใครหยิบไปอ่านเข้าอาจเป็นเรื่องอื้อฉาวได้

“พี่ครับ จดหมายนี่กี่วันถึงครับ” ผมถามเจ้าหน้าที่ที่ช่องจำหน่ายแสตมป์

“ไปอเมริกาเหรอ ราว ๗-๑๕ วันน้อง” พี่พนักงานตอบ

สมัยนั้นยังไม่มีอีเอ็มเอส จดหมายไปอเมริกาทางอากาศอย่างเร็วที่สุดก็ ห้าวันเจ็ดวัน ไม่อย่างนั้นก็ต้องโทรศัพท์หรือโทรเลขไป

- - -

เมื่อผมส่งจดหมายเสร็จ ผมก็ขึ้นรถต่อมายังเซ็นทรัลลาดพร้าว และตรงไปยังแผนกที่จำหน่ายภาพยนตร์และเพลง

“พี่ๆ ผมหาเพลงอยู่ ๓ เพลง ช่วยหาให้หน่อยได้ไหมครับ” ผมพูดกับพนักงานขายชายคนหนึ่ง พลางยื่นกระดาษชิ้นเล็กๆที่จดรายชื่อเพลง ๓ เพลงที่ไอ้นัยเขียนอยู่ในจดหมายให้แก่พนักงาน ทั้งสามเพลงนั้นได้แก่ Longer, Just When I needed You Most และ Aloha Oe

หลังจากที่พนักงานไปค้นมาสักครู่ก็หยิบแผ่นซีดีสองแผ่นมาให้ผม ได้มาแค่สองเพลง ส่วนเพลงสุดท้ายไม่มี ผมเห็นราคาแล้วก็ต้องตกใจ เพราะซีดีเพลงนำเข้าแผ่นหนึ่งราคาตั้งห้าร้อยบาท

“เอ้อ ผมขอลองฟังดูหน่อยได้ไหมครับ” ผมถาม พลางชี้ไปที่ชื่อเพลง Longer ในหน้าปก

พนักงานก็ดีใจหาย เปิดให้ผมทดลองฟังโดยไม่อิดออด ในแผนกหนังและเพลงนั้นไม่ได้มีห้องทดลองฟังแต่อย่างใด เครื่องที่ใช้เปิดทดลองฟังก็คือเครื่องเสียงชุดที่ใช้เปิดเพลงเพื่อเรียกลูกค้านั่นเอง

เสียงร้องนุ่มๆของ Dan Fogelberg ที่คลอด้วยเสียงกีตาร์และเสียงของไวโอลินฟังดูหวานปนเศร้า ดังกังวานไปทั่วห้อง

Longer than there've been fishes in the ocean
Higher than any bird ever flew
Longer than there've been stars up in the heavens
I've been in love with you.

Stronger than any mountain cathedral
Truer than any tree ever grew
Deeper than any forest primeval
I am in love with you.

I'll bring fire in the winters
You'll send showers in the springs
We'll fly through the falls and summers
With love on our wings.

Through the years as the fire starts to mellow
Burning lines in the book of our lives
Though the binding cracks and the pages start to yellow
I'll be in love with you.
I'll be in love with you.

Longer than there've been fishes in the ocean
Higher than any bird ever flew
Longer than there've been stars up in the heavens
I've been in love with you
I am in love with you..

มันเป็นเพลงรักอันอ่อนหวาน เนื้อเพลงบ่งบอกถึงความรักอย่างชัดแจ้ง ไอ้นัยคงกำลังบอกย้ำถึงความรักที่มันมอบให้แก่ผม ผมยืนฟังเพลง Longer ด้วยความรู้สึกที่อ้างว้างและหดหู่

“เอ้อ ขอฟังเพลงนี้ด้วยได้ไหมครับ” ผมยื่นแผ่นอีกแผ่นให้พนักงานหลังจากที่เพลง Longer จบลงไป และชี้ไปที่เพลง Just When I Needed You Most

พนักงานขายหยิบแผ่นซีดีใส่ลงไปในเครื่องเล่น หลังจากกดปุ่มเลือกเพลงแล้ว ผมก็ได้ยินเสียงร้องอันนุ่มนวลคลอด้วยเสียงกีตาร์ กอปรเป็นท่วงทำนองอ่อนหวานปนเศร้า

You packed in the morning and I
Stared out the window and I
Struggled for something to say
You left in the rain
Without closing the door
I didn't stand in your way

But I miss you more than I
Missed you before and now
Where I'll find comfort, God knows
'Cause you left me
Just when I needed you most

(Left me, just when I needed you most)

Now most every morning I
Stare out the window and I
Think about where you might be
I've written you letters
That I'd like to send
If you would just send one to me

'Cause I need you more than I
Needed before and now
Where I'll find comfort, God knows
'Cause you left me
Just when I needed you most

(Left me, just when I needed you most)

You packed in the morning I
Stared out the window and I
Struggled for something to say
You left in the rain
Without closing the door
I didn't stand in your way

Now I love you more than I
Loved you before and now
Where I'll find comfort, God knows
'Cause you left me
Just when It needed you most
Oh, yeah
You left me
Just when I needed you most

You left me
Just when I needed you most

มันเป็นเพลงรักที่แฝงการตัดพ้อ ประโยค You left me just when I needed you most ในเพลงถูกร้องวนซ้ำหลายครั้ง ในอุปาทานผมรู้สึกราวกับว่าได้ยินเสียงไอ้นัยกำลังตัดพ้อผมอย่างเศร้าสร้อยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมหวนนึกถึงตอนที่ผมตะคอกไอ้นัยจนมันร้องไห้ ใบหน้าที่ประดับด้วยคราบน้ำตาของไอ้นัยในวันนั้นก็ทอแววตัดพ้อผมเช่นกัน...

ผมขอบคุณพี่พนักงาน พร้อมทั้งบอกไปตามตรงว่าอยากได้แต่มีเงินไม่พอ

ผมเดินออกจากแผนกเพลงอย่างเลื่อนลอย ด้วยดวงใจที่หดหู่ ขาพาผมเดินไปไหนก็ไม่รู้ ผมเดินไปโดยไม่จำแนกทิศทาง เสียงจากมโนธรรมติเตียนผมอย่างรุนแรงจนกลบสรรพสำเนียงรอบข้างไปจนหมดสิ้น... ผมเป็นต้นเหตุทำร้ายคนที่ผมรักมากที่สุด... อย่างเลือดเย็น

ฟังเพลง Longer

<แดน โฟเกลเบิร์ก (Dan Fogelberg) เป็นชาวอเมริกัน เกิดในปี ค.ศ. ๑๙๕๑ เป็นทั้งนักร้อง นักดนตรี และนักแต่งเพลง เริ่มอาชีพทางดนตรีในยุค ๑๙๗๐ โดยออกอัลบัมเพลงในแนวป๊อปโฟล์กหลายอัลบัม เพลงของโฟเกลเบิร์กที่ได้รับความนิยมจนติดอันดับในชาร์ตต่างๆมีอยู่หลายเพลง โดยเพลง Longer นี้อยู่ในอัลบัมฟีนิกซ์ (Phoenix) อัลบัมนี้ติดอันดับที่ ๓ ของชาร์ตป๊อปอัลบัมในนิตยสารบิลบอร์ด (Billboard) ของสหรัฐอเมริกา ในปี ๑๙๘๐ โฟเกลเบิร์กเสียชีวิตในปี ๒๐๐๗ และเพลง Longer ยังได้รับความนิยมมาจนถึงทุกวันนี้>


ฟังเพลง Just when I Needed You Most


<แรนดี แวนวอร์เมอร์ (Randy VanWarmer) เป็นนักดนตรีและนักแต่งเพลงชาวอเมริกัน เกิดในปี ค.ศ. ๑๙๕๕ มีผลงานเพลงป๊อปหลายอัลบัม แต่เพลงที่ได้รับความนิยมสูงสุดในชีวิตการแต่งเพลงของแวนวอร์เมอร์ได้แก่เพลง Just when I Needed You Most ซึ่งติดอันดับ ๘ ของชาร์ต UK Sinlges ของสหราชอาณาจักร และติดอันดับ ๔ ของชาร์ต Billboard Hot 100 ของอเมริกา ในปี ๑๙๗๙ แวนวอร์เมอร์เสียชีวิตในปี ๒๐๐๔ และเพลง Just when I Needed You Most ยังได้รับความนิยมมาจนถึงทุกวันนี้>