Thursday, January 17, 2008

ตอนที่ 83 (อวสาน)

หลังจากที่พ่อกลับไป ผมก็เดินมาจากตึกอำนวยการเพื่อกลับมาเข้าห้องเรียน ระหว่างนั้น แทนที่ผมจะรู้สึกดีใจ ผมกลับรู้สึกใจหาย คนเรานี่ก็แปลก เมื่อไม่ได้ไปก็ดิ้นรนอยากจะไป พอได้ไปจริงๆแล้วกลับใจหายไม่อยากไป คนที่สร้างความผูกพันและทำให้ผมรู้สึกไม่อยากจากไปก็ไม่ใช่ใครอื่น ก็คือไอ้ชัชนั่นเอง

ผมเดินกลับห้องเรียนด้วยความรู้สึกอ้างว้าง ความรู้สึกในตอนนั้นคือรู้สึกเศร้าขึ้นมาอย่างฉับพลัน ไม่ได้ตื่นเต้นยินดีแม้แต่น้อย คิดแต่ว่าจะบอกไอ้ชัชอย่างไรดี มันคงเสียใจมาก ที่มันบอกว่ามันทำใจได้ก็ไม่รู้ว่าจะทำได้จริงหรือเปล่า

เมื่อถึงห้องเรียน ผมเล่าเรื่องที่พ่อมาหาให้ไอ้ชัชกับไอ้นัยฟัง ไอ้นัยทำหน้าเฉยๆ ดูไม่ออกเหมือนกันว่ามันดีใจหรือเสียใจที่ผมไม่ได้ไปพักอยู่บ้านเดียวกับมัน ส่วนไอ้ชัชนั้นก็หน้าจ๋อยไป แต่ก็พยายามเก็บอาการเอาไว้

หลังจากวันนั้น ไอ้ชัชก็ทำตัวเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผม ไม่เคยแสดงอาการโกรธเคือง งอน หรือเซ้าซี้ให้ผมเปลี่ยนใจอีกเลย ตรงกันข้าม มันกลับพยายามทำตัวให้ร่าเริงสนุกสนาน บอกไม่ถูกเหมือนกันครับว่าไอ้ชัชรู้สึกอย่างไร คล้ายกับว่ามันพยายามใช้เวลาที่เหลืออยู่ของเราสองคนให้ดีที่สุดอะไรทำนองนั้น

เรื่องรายงานตัวของผมผ่านไปด้วยความเรียบร้อย แต่ก็หวุดหวิด หลังจากนั้นก็เป็นขั้นตอนทางเอกสารเท่านั้น แล้วก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว รอใกล้ๆเปิดเทอมในปีการศึกษาใหม่ ค่อยมาทำการมอบตัวและอื่นๆ ซึ่งเรื่องยังอยู่อีกไกล

ในช่วงปลายเทอม การสอบใกล้เข้ามาเรื่อยๆ พวกเราทุกคนต่างก็วุ่นวายอยู่กับการเตรียมตัวสอบ และการแลกเปลี่ยนกันเซ็นสมุดเฟรนด์ชิป ในวันสุดท้ายของการเรียน ก่อนที่การสอบปลายภาคจะเริ่มขึ้น พวกเราก็นัดร่ำลากันหลังเลิกเรียน วันนั้นถือเป็นวันสุดท้ายที่จะได้เจอกันและร่ำลากัน เพราะว่าวันรุ่งขึ้นจะเป็นการสอบปลายภาค ซึ่งช่วงการสอบนั้นใครสอบเสร็จก็กลับก่อน อีกทั้งทุกคนก็มัวยุ่งกับการสอบ ดังนั้นจึงอาจร่ำลากันไม่ได้ทั่วถึง ก็เลยมาร่ำลากันอย่างเป็นทางการในวันเรียนวันสุดท้ายของภาค

บ่ายวันนั้น เราไม่ค่อยได้เรียนอะไร ส่วนใหญ่ก็วุ่นกับการร่ำลา ครูประจำชั้นเองก็เข้าใจเด็กๆ จึงปล่อยให้เด็กคุยกันตามสบาย บางคนก็เอาเสื้อนักเรียนมาให้เพื่อนๆเซ็นชื่อลงไปบนเสื้อ บางคนก็พิมพ์นามบัตรเอามาแจกเพื่อนๆ บางคนก็เอากล้องมาถ่ายรูปเพื่อนๆ เพื่อนหลายคู่ที่สนิทกันมากก็กอดคอกันน้ำตาซึม บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่นซึ้งใจ มันเป็นบรรยากาศที่ผมไม่เคยประสบมาก่อน

ไอ้ชัช ไอ้นัย กับผม ตกลงกันไว้ว่าเราจะร่ำลากันในวันสอบวันสุดท้ายแทน เพราะว่ามันค่อยมีความหมายหน่อย และหลังจากการสอบปลายภาคเสร็จ ผมชวนไอ้ชัชกับไอ้นัยไปเที่ยวที่บ้านต่างจังหวัดเหมือนเมื่อปีที่แล้ว ไอ้นัยถามคุณอาแล้วไม่ขัดข้อง ส่วนไอ้ชัชนั้นไปด้วยไม่ได้ บอกว่าเมื่อสอบเสร็จวันรุ่งขึ้นพ่อจะมารับกลับบ้านทันที เพราะว่าพ่อมีธุระ แต่ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก ความรู้สึกลึกๆของผมบอกผมว่าไอ้ชัชพยายามเลี่ยงที่จะไปกับผมและไอ้นัยมากกว่า ซึ่งในตอนนั้นก็ไม่เข้าใจว่าทำไมมันจึงไม่อยากไปเที่ยวด้วยกัน ทั้งๆที่เป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้ใช้ชีวิตร่วมกันในแบบเดิมๆ ต่อไปคงไม่มีโอกาสแบบนี้อีกแล้ว แต่เมื่อโตขึ้นมาอีกหน่อย เมื่อมองย้อนกลับไปก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของมันได้

ปลายเดือนกุมภาพันธ์

หลังจากที่สอบวิชาสุดท้ายเสร็จเรียบร้อย ผมก็เดินลงมาที่ใต้ตึก ที่นั่น ผมเห็นไอ้นัยนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ไอ้นัยสอบเสร็จก่อนผมได้พักใหญ่ และหลังจากที่ผมลงมาไม่นาน ไอ้ชัชก็เดินตามลงมา

เราสามคนตกลงว่าจะร่ำลากันในวันนี้ ที่จริงผมยังคงอยู่ที่หอกับไอ้ชัชอีกคืนหนึ่ง ยังได้เจอกันอีกจนเช้าวันรุ่งขึ้น ส่วนไอ้นัยก็ยังได้เจอกันอีก ดังนั้นที่ว่าร่ำลาจริงๆแล้วเป็นการร่ำลาของไอ้ชัชกับไอ้นัยมากกว่า เพราะสำหรับไอ้นัยแล้ว วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่จะได้เจอกัน

“กูไปละนะ ชัช” ไอ้นัยพูด พร้อมกับเอามือไอ้ชัชมากุมไว้

ไอ้ชัชทำตาแดงๆ บีบมือไอ้นัยเสียจนแน่น

“โชคดีนะไอ้นัย มึงคงไม่โกรธกูนะ” ไอ้ชัชพูด

“โกรธเรื่องไรอะ” ไอ้นัยถาม

“ก็...ก็ที่กูทำไม่ดีกับมึงไง” ไอ้ชัชตอบเสียงอ้อมแอ้ม คงจะเขิน

“ฮื่อ ไม่เป็นไรหรอก” ไอ้นัยตอบ

“ว่างๆก็มาเยี่ยมกูบ้างนะ” ไอ้ชัชพูดเสียงเครือ ส่วนไอ้นัยเองก็เริ่มตาแดงๆเหมือนกัน

“มึงพูดยังกับที่นี่เป็นสวนสัตว์ อือม์ แล้วกูจะมายี่ยมมึง จะเอากล้วยมาฝากด้วย” ไอ้นัยพูดแล้วก็หัวเราะกิ๊กทั้งที่ตายังแดงๆอยู่ ผมกับไ อ้ชัชเองก็อดขำไม่ได้ ในบรรยากาศซึ้งๆไอ้นัยยังปล่อยมุขออกมา

ไอ้ชัชเขกหัวไอ้นัยดังป๊อก

“โอ๊ย บอกกี่หนแล้วว่าอย่าเขกหัว เดี๋ยวเยี่ยวรดที่นอน” ไอ้นัยเอะอะ

“กูถามมึงจริงๆเถอะ ตั้งแต่มึงโดนเขกหัวมานี่มึงเคยเยี่ยวรดที่นอนบ้างไหม” ไอ้ชัชถาม

ไอ้นัยทำหน้านิ่งคิด “ไม่เคยอ่ะ”

ไอ้ชัชเขกหัวไอ้นัยอีกหนึ่งป๊อก “ถ้ายังงั้นป่านนี้มึงไม่เยี่ยวรดที่นอนแล้วล่ะ เพราะว่ามึงคงมีภูมิคุ้มกันแล้ว เอาไปอีกป๊อกก็แล้วกัน”

เราคุยร่ำลากันอีกสักพัก หลังจากนั้น เมื่อคุณอามารับไอ้นัยกลับ ผมกับไอ้ชัชก็เดินกลับเข้าหอไปด้วยกัน

ตอนกลางคืน

คืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายที่ผมได้พักอยู่ในพอนักเรียนประจำแห่งนี้ ผมรู้สึกอาลัยอาวรณ์ขึ้นมา ทั้งเพื่อน ทั้งครู ทั้งสิ่งของเครื่องใช้ ที่คุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก มาถึงวันนี้ ผมจะต้องจากทั้งผู้คนและสิ่งที่ผมคุ้นเคยไป สำหรับผม ด้านหนึ่งมันคือการผจญภัยอันน่าตื่นเต้น แต่อีกด้านหนึ่ง มันคือการพรากจาก ผมรู้สึกสับสน ไม่รู้ว่าควรจะตื่นเต้น หรือควรจะเศร้าสร้อยดี

คืนนั้น บรรยากาศในหอค่อนข้างเงียบ เพราะเด็กหอหลายคนกลับไปตั้งแต่สอบเสร็จตอนบ่ายแล้ว มีบางส่วนเท่านั้นที่ต้องพักที่นี่อีกคืนหนึ่งเพื่อรอกลับบ้านในวันรุ่งขึ้น เรื่องการร่ำลาของชาวเด็กหอนั้นทำเสร็จไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันก่อนสอบ

ผมนั่งเล่นอยู่กับไอ้ชัชที่หน้าตึก วันนี้เราจะเข้านอนกี่โมงก็ได้ เพราะถือว่าเป็นวันสุดท้าย ไม่ต้องมีกฎเกณฑ์อะไรให้วุ่นวาย ผมเลยนั่งเล่นกับไอ้ชัชจนดึก ส่วนใหญ่จะนั่งเฉยๆ ใช้การสื่อสารทางความรู้สึกมากกว่า คุยกันไม่ค่อยมาก

“ปิดเทอมนี้กูจะเขียนจดหมายถึงมึงนะ แล้วเปิดเทอมแล้วจะมาหาด้วย” ผมบอก

“พูดแล้วอย่าคืนคำล่ะ” ไอ้ชัชพูดคาดคั้นเอาคำสัญญาจากผม

“ฮื่อ ไม่คืนคำหรอก มึงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของกู กูจะลืมมึงได้ไง” ผมพูด เอาตัวแนบเข้าไปชิดกับมัน

“อยากจะรู้เหมือนกันว่าเมื่อเราเจอกันตอนโตแล้วจะเป็นยังไง เรายังจะสนิทกับแบบนี้ไหม” ไอ้ชัชตั้งคำถามขึ้นมา มันเป็นคำถามที่น่าคิดเหมือนกัน

“นั่นสินะ มึงอย่าอ้วนก็แล้วกัน ผอมเป็นลิงแบบนี้ โตขึ้นกูจะได้จำได้ ถ้าอ้วนกูกลัวจำมึงไม่ได้” ผมพูดให้ตลก

“กูจะรอมึงนะ เผื่อมัธยมปลาย เราอาจได้เรียนด้วยกันอีก หรือไม่อย่างนั้นก็มหาวิทยาลัย” ไอ้ชัชพูด นัยน์ตาลอยเหมือนกำลังอยู่ในฝันอันแสนสุข

“ปีหน้า คงมีนักเรียนเข้ามาใหม่เยอะ มึงคงมีเพื่อนใหม่ ขอให้มึงได้เพื่อนที่ดีกว่ากูนะ” ผมพูดจากใจจริง “มึงเป็นเพื่อนที่ดีของกูเสมอ แต่กูเป็นเพื่อนที่เลวของมึง”

ไอ้ชัชเงียบ คงไม่รู้ว่าจะตอบว่ายังไงดี ผมนิ่งไปสักครู่ แล้วก็บอกไอ้ชัชให้คอยเดี๋ยว แล้วผมก็วิ่งขึ้นไปที่ห้องนอน

เมื่อกลับลงไป ผมยื่นของสองสิ่งให้ไอ้ชัช

“อ่ะ ของขวัญจากกู เอาไว้เป็นที่ระลึก แล้วนึกถึงกูนะ” ผมพูด หนึ่งในของสองสิ่งนั้นเป็นของขวัญที่อยู่ในกล่อง ผูกโบว์สีสวย แล้วใส่อยู่ในถุงกระดาษสีน้ำตาลอีกที เพื่อพรางตา มันเป็นของขวัญชิ้นแรกที่ผมให้ไอ้ชัช หลังจากที่มันให้ของขวัญผมอยู่หลายปี

ไอ้ชัชแกะกระดาษห่อของขวัญออกอย่างระมัดระวัง

“ฉีกออกมาเลยก็ได้” ผมพูด “จะได้ดูข้างใน”

“ไม่อะ” ไอ้ชัชบอก “กูอยากเก็บกระดาษกับกล่องเอาไว้ด้วย... เอาไว้นึกถึงมึง”

เมื่อไอ้ชัชเปิดดูกล่องของขวัญ ข้างในเป็นกรอบรูปขนาดโปสการ์ด ในกรอบมีภาพของเราสามคน คือ ไอ้ชัช ไอ้นัย และผม ถ่ายอยู่ด้วยกันในชุดนักเรียน ภาพนี้เป็นภาพที่มีเพื่อนในห้องถ่ายเอาไว้เมื่องานวันปีใหม่ที่ผ่านมา ผมแอบไปฝากมันอัดโดยไม่ให้ไอ้ชัชรู้ แล้วก็เดินไปซื้อกรอบรูปสวยๆมาจากห้างเซ็นทรัลลาดพร้าว

ไอ้ชัชดูกรอบรูปอันนั้น แล้วสะอื้นออกมาเบาๆ

“ไม่ถูกใจเหรอชัช” ผมถาม

ไอ้ชัชไม่ตอบ เอาแต่สะอื้น

ผมหยิบของสิ่งที่สองขึ้นมาให้ไอ้ชัช “เอ้า ช่วยเขียนให้กูหน่อย มึงยังไม่ได้เขียนให้กูเลย”

ของสิ่งที่สองนี้ก็คือสมุดเฟรนด์ชิปของผมนั่นเอง ไอ้ชัชยังไม่เขียนให้ผมสักที ยังไงวันนี้ผมต้องให้มันเขียนให้ได้

ไอ้ชัชยังสะอื้นไม่หยุด “กูก็ยังไม่ได้ให้มึงเขียน ขึ้นไปเขียนในห้องละกัน” ไอ้ชัชพูดไปสะอื้นไป

เราสองคนเดินขึ้นไปที่ห้องนอน จากนั้นแลกสมุดเฟรนด์ชิปกันเขียน ไอ้ชัชเขียนให้ผมว่าผมเป็นเพื่อนที่มันรักมากที่สุด ผมยังเก็บสมุดเล่มนั้นต่อมาอีกหลายปี ต่อมาเมื่อมาดูอีกที กลับพบว่าโดนปลวกกินไปจนเกือบหมด ของที่เก็บไว้สมัยเป็นเด็กเสียหายหมด ไม่ว่าจะเป็นจดหมายที่เขียนติดต่อกัน รวมทั้งสมุดเฟรนด์ชิปด้วย

หลังจากที่แลกกันเขียนสมุดเสร็จ ผมก็พูดกับไอ้ชัช “กูขออะไรมึงอย่างนึงดิ”

“อะไรเหรอ” ไอ้ชัชถาม ทำหน้าสงสัย

“กล่องทิชชู่รูปหมาอันนั้นน่ะ กูขอได้ไหม อยากได้ จะได้เอาไว้นึกถึงมึง” ผมบอก

ผมพยายามใจแข็ง ที่ผ่านมาตั้งแต่ตอนบ่าย ผมไม่ยอมร้องไห้เลย แต่ในที่สุด ผมก็กลั้นไว้ไม่อยู่ ต่อมน้ำตามาแตกเอาตอนที่ขอกล่องทิชชู่นั่นเอง ความรู้สึกในตอนนั้นมันเหมือนกับว่า ต่อไปจะไม่ได้เจอกับไอ้ชัชอีกแล้ว และอยากได้ของจากมันเอาไว้ดูต่างหน้า ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมมีความรู้สึกแบบนั้น

ไอ้ชัชเดินไปหยิบกล่องทิชชู่ออกมาจากล็อกเกอร์ของมัน แล้วยื่นให้ผม

“กะจะคืนให้ตั้งนานแล้วล่ะ” ไอ้ชัชพูด มันไม่ได้พูดแก้ตัวหรอกครับ ผมเชื่อว่ามันไม่ได้คิดทวงกล่องทิชชู่คืนไปจริงๆ

ผมเห็นว่าตอนนั้นในห้องนอนไม่มีใคร จึงคว้าตัวไอ้ชัชมากอดเอาไว้จนแน่น น้ำตาไหลพรู อยากจะบอกให้มันรู้เหมือนกันว่าผมรักมันมากขนาดไหน ... แต่ผมก็ไม่เคยได้พูดออกจากปาก … ได้แต่ถ่ายทอดความในใจของผมด้วยการกอด...

กล่องทิชชู่รูปหมากล่องนั้นผมใช้ต่อมาอีกหลายปี เป็นของที่ผมรักมาก ตั้งเอาไว้ที่โต๊ะทำงานในห้องนอน ใครจะว่ามันเก่าอย่างไรผมก็ไม่เปลี่ยน จนเมื่อเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว จึงได้เอามันเก็บไว้ในลัง เก็บไว้ที่กรุงเทพฯนี่เอง และต่อมาก็ถูกน้ำท่วมเสียหายไป

คืนนั้น หลังจากที่เราเข้านอนไปแล้ว ผมได้ยินไอ้ชัชร้องไห้สะอื้นเบาๆอีกเป็นเวลานาน มันคงยังทำใจไม่ได้ ผมก็เหมือนกัน แต่ผมพยายามเข้มแข็งเอาไว้ ไม่ร้องไห้ออกมา

- - -

วันรุ่งขึ้น

วันนี้เป็นวันที่เราต้องลาจากกันแล้วจริงๆ พ่อไอ้ชัชมารับตั้งแต่แปดโมงเช้า ผมยังจำภาพที่ไอ้ชัชเดินขึ้นรถได้ติดตา มันมองผมตลอด เดินช้าๆ เหมือนไม่อยากไป แต่แล้วในที่สุดมันก็ต้องจากไป ... ผมรู้สึกใจหายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ... ลาก่อนนะ ไอ้เพื่อนรัก…

สิบโมงเช้า พ่อของผมมารับผมพร้อมกับไอ้นัย พ่อแวะไปรับไอ้นัยที่บ้านก่อน จากนั้นจึงมาหาผม

เราใช้เวลาเดินทางหลายชั่วโมง ผมนั่งซึมไปตลอดทาง คิดถึงแต่เรื่องไอ้ชัช ความรู้สึกของการพรากจากนั้นมันยากจะบรรยายออกมาได้จริงๆ

ไอ้นัยเองก็นั่งเงียบ คิดว่ามันคงเข้าใจความรู้สึกของผม มีแต่พ่อเท่านั้น ที่ชวนคุยนั่นคุยนี่ เพื่อไม่ให้พวกเราเหงา

เมื่อมาถึงบ้านต่างจังหวัดของผม ตอนนั้นเป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว หลังจากพักผ่อนสักครู่ ผมก็ชวนไอ้นัยขี่จักรยานไปที่บึงน้ำโลกส่วนตัวของผม การจากไปของไอ้ชัช ทำให้ผมคิดถึงโลกส่วนตัวแห่งนั้นเหลือเกิน คิดถึงเวลาที่เราสามคนเคยใช้ชีวิตในวัยเด็กด้วยกัน...

ที่นั่น ต้นเม่ายังคงยืนต้นอยู่อย่างเดิม ทัศนียภาพรอบบริเวณก็ยังเป็นอย่างเดิม อากาศยามบ่ายแก่ในตอนปลายเดือนกุมภาพันธ์เย็นสบาย เพราะยังเป็นฤดูหนาวอยู่ แต่ในความเย็นนั้นแฝงไว้ด้วยความเหงาเดียวดาย

ที่นั่น ผมนั่งอยู่ที่ริมบึงน้ำกับไอ้นัย เราสองคนทอดสายตามองไปในบึง สายลมเย็นก่อระลอกเล็กๆพลิ้วประกายอยู่ในบึง ต้นหญ้าริมบึงไหวไปตามแรงลม

“ปีที่แล้วมากันสามคน” ผมพูด “ปีนี้มากันสองคน แล้วปีหน้า...”

“อย่าพูดเป็นลางดิ...” ไอ้นัยห้าม

ช่วงปีที่ผ่านมา ผมได้เรียนรู้ชีวิตอีกมาก จากชีวิตที่เรียบง่าย มีทุกอย่างพร้อม กลายเป็นชีวิตที่หันเห ต้องดิ้นรน ถ้าเลือกได้ ผมอยากกลับไปเป็นอย่างเก่ามากกว่า แต่ผมรู้ดีว่าผมทำแบบนั้นไม่ได้ ชีวิตต้องเดินไปข้างหน้า ไม่ว่ามันจะดีหรือร้าย

“แปลว่ามึงจะไม่หนีกูไปไหนใช่ไหม” ผมถาม

ไอ้นัยเงียบ

“ว่าไง” ผมถามซ้ำ พลางอ้อมแขนไปโอบไอ้นัยเอาไว้ แล้วรั้งตัวมันเข้ามา

“ถ้ามึงยอมให้กูมา กูก็มาแหละ” ไอ้นัยตอบยิ้มๆ ไอ้นัยไม่ค่อยชอบแสดงความรู้สึกอะไรออกมา แต่เพียงคำตอบนี้ ผมก็พอใจแล้ว

“ถือเป็นสัญญานะ” ผมสรุป

ผมรั้งไอ้นัยให้เข้ามาใกล้อีก ไอ้นัยไม่ขืนตัวเลย ใบหน้ารูปไข่ที่ชอบตีหน้าตายเสมออยู่ใกล้กับใบหน้าของผม ไรหนวดเขียวๆที่ผมคุ้นเคย ภาพในอดีตไหลเข้ามาในสมองของผมเป็นฉากๆ ผมล้มตัวลง วงแขนของผมรั้งไอ้นัยให้ล้มลงไปนอนกับพื้นดินด้วย

“จะทำไรอะ” ไอ้นัยถาม

ผมไม่ตอบ แต่พลิกตัวขึ้น ใบหน้าของผมแทบจะติดกับใบหน้าของไอ้นัย ริมฝีปากสีชมพูใต้ไรหนวดเขียวนั้นยิ้มเล็กน้อย แล้วผมก็ประทับริมฝีปากของผมลงบนริมฝีปากสีชมพูนั้น…



ฟังเพลง

จบภาคหนึ่ง


ตอนที่ 82

วันรุ่งขึ้น ไอ้นัยมาโรงเรียนสายผิดปกติ มันมาตอนที่พวกนักเรียนกำลังเคารพธงชาติกันอยู่ จึงถูกกักตัวไว้ที่หน้าประตูโรงเรียน หลังจากถูกจดชื่อเพื่อตัดคะแนน มันก็ถูกปล่อยกลับมาเพื่อเข้าห้องเรียน ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรอบปี เพราะปีนี้ทั้งปีไอ้นัยไม่เคยมาสายเลย

“เฮ้ย นัย ทำไมมาสายวะ ตื่นสายเหรอ” ผมถามมันเมื่อมันเข้ามานั่งประจำที่ที่โต๊ะแล้ว

ไอ้นัยทำหน้ายู่ยี่ “ไม่ได้ตื่นสาย มัวแต่เตรียมอาหารใส่บาตรน่ะ”

“ใส่บาตร” ไอ้ชัชซึ่งได้ยินเราคุยกัน ชะโงกหน้าเข้ามาสนทนาบ้าง “นี่ใจมึงใฝ่ดีขนาดนี้แล้วเหรอ ถึงขนาดทำบุญใส่บาตร”

ไอ้นัยทำปากหมุบหมิบ คิดว่าคงด่าไอ้ชัชอยู่ในใจ

“ไม่ใช่ว้อย กูจะรอถามเรื่องอยู่วัดให้ไอ้นัยไง กูโดนอาบ่นด้วย” ไอ้นัยบ่นอุบ

“ทำไมใส่บาตรต้องโดนบ่นด้วยวะ” ผมถาม

“ก็เมื่อคืนกูไม่ได้พูดอะไร แล้วตอนเช้าตื่นมาก็จะมาใส่บาตร อากูก็เลยต้องเตรียมของใส่บาตรตอนเช้านั้นเอง มึงว่าวุ่นไหมล่ะ” ไอ้นัยอธิบาย “ตอนแรกอากูบอกให้ใส่บาตรวันอื่น จะได้ไม่วุ่นวาย แต่กูบอกว่ามันจำเป็น ก็เลยต้องเล่าความจริงให้อาฟัง ว่ามึงอยากได้รู้ช่องทางไปอยู่วัด อาก็เลยยอมช่วย เนี่ย กว่าจะเสร็จ จนมาสายเลย เห็นไหม เพราะมึงแท้ๆเลยไอ้อู”

“นี่มึงเล่าเรื่องของกูให้อาฟังเหรอ” ผมอุทาน “แล้วคุณอาว่าไงบ้าง”

“เค้าว่ามึงเพี้ยนน่ะสิ” ไอ้นัยว่า

“ไอ้เรื่องนี้กูรู้มานานแล้วล่ะว่ะ” ไอ้ชัชพูดแทรกเข้ามา

“แล้วได้ความว่าไง” ผมถามด้วยความอยากรู้

ไอ้นัยทำหน้าเบ้ “มันไม่ง่ายเลยว่ะ เด็กวัดที่มาจากต่างจังหวัดพวกนี้ต้องรู้จักกับพระที่นี่ หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องให้พระที่วัดทางบ้านฝากมาให้อยู่ สรุปก็คือต้องมีพระฝากมา ไม่งั้นอยู่ไม่ได้”

จะเป็นเด็กวัดยังต้องมีคนฝาก แม้แต่วัดก็ต้องใช้เส้นสายเหมือนกัน ผมนึกในใจ ผมไม่รู้จักพระที่ไหนที่จะให้ฝากได้ วัดแถวบ้านก็แทบจะไม่เคยเหยียบย่างเข้าไปเลย ดูแล้วไม่เห็นช่องทางที่จะเข้าไปเป็นเด็กวัดได้เลย

“ช่างเถอะนัย” ผมบอกอย่างท้อแท้ “วิธีนี้คงไม่ได้ผล”

วันนั้นทั้งวันผมรู้สึกท้อ ระคนกับความน้อยใจทางบ้าน เลยตั้งใจเอาไว้ว่า ถ้าไม่ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนใหม่ ผมจะนอนอยู่กับบ้านที่ต่างจังหวัดเฉยๆ ไม่เรียนหนังสือ หรือไม่อย่างนั้นก็หนีออกจากบ้านไปตายเอาดาบหน้า ตอนนั้นคิดเอาไว้อย่างนั้นจริงๆ แต่ไม่ได้บอกใครให้ไอ้ชัชกับไอ้นัยรู้ เพราะกลัวมันหาว่าบ้า

ตอนบ่าย หลังเลิกเรียน ผมไปนั่งเป็นเพื่อนกับไอ้นัยที่หน้าตึกอำนวยการ เพื่อรอคุณอามารับตามปกติ แต่วันนั้นแปลกตรงที่คุณอาผู้ชายลงจากรถมาคุยกับผม การที่ไอ้นัยทำวุ่นเมื่อเช้า ทำให้คุณอารู้เรื่องของผมโดยตลอด

“ตกลงหาทางไปอยู่วัดได้ไหม” คุณอาถามยิ้มๆ

ผมส่ายหน้า “ไม่ได้ครับ อยู่วัดยังต้องใช้เส้นเลย”

“ถ้าอูยังไม่มีที่พัก มาพักอยู่กับอาเอาไหม ที่จริงก็ดีเหมือนกัน นัยอยู่บ้านนี้ก็ค่อนข้างเหงา มีเพื่อนสนิทมาพักอยู่ด้วยคงหายเหงาไปได้เยอะ อีกอย่าง อีกหน่อยนัยคงต้องนั่งรถเมล์ไปโรงเรียนเอง ซึ่งไกลมาก ถ้ามีอูเป็นเพื่อน เวลานั่งรถนานๆจะได้ไม่เบื่อ” คุณอาพูด

ผมมองหน้าคุณอาผู้ชายด้วยความแปลกใจ นึกไม่ถึงกับความช่วยเหลือที่คุณอาหยิบยื่นให้ในครั้งนี้ มันเป็นทางออกที่ผมไม่เคยนึกถึงเลย มันเหมือนฝนตกกลางทะเลทรายอันแห้งแล้ง ทำให้หัวใจของผมเริ่มมีความหวังอีกครั้ง และยิ่งได้มีโอกาสอยู่กับไอ้นัยด้วย ถ้าเป็นจริงได้มันก็เกินฝันเสียอีก

ผมมารู้จากไอ้นัยในภายหลังว่าคุณอาผู้ชายตัดสินใจชวนผมมาอยู่ด้วยหลังจากที่ได้ปรึกษากับอาผู้หญิงแล้ว เพราะเห็นผมตั้งใจเข้าโรงเรียนนี้มาก ในฐานะที่เป็นศิษย์เก่า มีเลือดสถาบันอยู่เข้มข้น ก็เลยอยากสนับสนุน

คืนวันนั้น ผมโทรไปคุยกับพ่อ เล่าเรื่องคุณอาผู้ชายให้ฟัง พร้อมทั้งทวงสัญญาว่าถ้าหาที่พักได้จะให้เรียน พร้อมทั้งบอกไปด้วยว่า ถ้ายังไม่ยอมให้ผมเรียนอีก ผมก็จะไม่เรียนหนังสือ ขออยู่ที่บ้านเกาะพ่อกับแม่ดีกว่า หลังจากนั้นก็โทรไปบอกเอ๊ด เพื่อบอกให้ช่วยพูดให้อีกแรงหนึ่ง เพราะพ่อค่อนข้างจะฟังเอ๊ด

วันถัดมา ไม่มีข่าวจากทางบ้านเลย พ่อและเอ๊ดต่างก็เงียบ ไม่ติดต่อมาเลย เวลาใกล้หมดลงทุกที ถ้าสิ้นสัปดาห์นี้ไม่ไปรายงานตัว ทุกอย่างก็เป็นอันหมดหวัง

- - -

วันศุกร์

วันสุดท้ายของการรายงานตัว วันนั้นตอนคาบเรียนช่วงเช้า ประมาณ ๑๐ โมง ห้องอำนวยการส่งเสียงตามสายมาว่ามีผู้ปกครองมาพบ ให้ไปที่ห้องอำนวยการ เพื่อนๆรวมทั้งผมเองต่างก็แปลกใจว่าใครกันที่มาหาผม

เมื่อผมไปที่ห้องอำนวยการ พบว่าผู้ที่มาหาผมไม่ใช่ใครอื่น พ่อนั่นเอง

“ป๋ามาทำไมอ่ะ” ผมยังงงๆ

“ก็มาเรื่องมอบตัวของเอ็งนั่นแหละ ยุ่งจริงเลยไอ้ลูกคนนี้” พ่อตอบ พร้อมกับบ่น

หัวใจของผมพองโตด้วยความดีใจ มันเหมือนปาฏิหาริย์จริงๆ

“แต่ป๋าจะให้เอ็งพักกับเอ๊ดนะ ป๋าคุยกับคุณลุงไว้แล้ว นี่ป๋าต้องบากหน้าไปขอร้องเขาเลยนะ” พ่อพูดต่อด้วยน้ำเสียงบ่น คุณลุงที่ว่าหมายถึงเพื่อนของพ่อที่เอ๊ดไปพักอยู่ด้วย

“อ้าว ไหงงั้นล่ะป๋า ทำไมไม่พักบ้านคุณอาไอ้นัยล่ะ” ผมแย้ง หัวใจหล่นลงมาวูบหนึ่ง

“ไม่เอา เกรงใจเค้า เค้าไม่ได้สนิทกับป๋า กลัวเอ็งไปทำเค้าเดือดร้อนวุ่นวาย” พ่อบอก

พ่อผมเป็นคนขี้เกรงใจคนมาก ขนาดเพื่อนสนิทก็ยังเกรงใจ ฝากลูกก็ฝากแค่คนเดียว จึงไม่แปลกอะไรที่ไม่กล้าให้ผมพักที่บ้านคุณอาไอ้นัย ตอนนั้นผมคิดดูแล้ว ยังไงก็ขอให้ได้เรียนเอาไว้ก่อน เรื่องที่พักคงต้องปล่อยให้เป็นไปตามที่พ่อจัดการ ขืนโลภมากเดี๋ยวลาภจะหายไปหมด

หลังจากที่พ่อมาหาผม พ่อก็รีบเดินทางไปเพื่อจัดการเรื่องเอกสารและการรายงานตัว เป็นอันว่าผมได้เรียนที่ใหม่ค่อนข้างแน่แล้ว

Tuesday, January 8, 2008

ตอนที่ 81

ผมงง รู้สึกไม่ค่อยเชื่อหูตนเอง

“ว่าไงนะ” ผมยังไม่แน่ใจ

“กูบอกว่ามึงไปเถอะ กูดูแลตัวเองได้” ไอ้ชัชพูดย้ำ

“ทำไมมึงเปลี่ยนความคิดแล้วล่ะ” ผมถาม

“เห็นมึงเศร้าแล้วสงสารว่ะ ถ้ามึงอยู่ที่นี่แล้วต้องเป็นแบบนี้ กูว่ามึงไปดีกว่า” ไอ้ชัชพูดเรียบๆ สีหน้าก็เรียบๆ ดูหน้ามันไม่ออกว่ามันรู้สึกอย่างไร

ผมเงียบ ภาพความหลังของเราสองคนตั้งแต่เด็กจนโตผุดขึ้นมาในสมองเป็นฉากๆ ไอ้ชัชเป็นเด็กที่ร่าเริง ขี้เล่น ชอบแหย่เพื่อน ชอบต่อปากต่อคำ และใจน้อย ในเวลาที่มันรู้สึกว่าต้องการผม ผมไม่ยอมอยู่กับมัน แต่เมื่อถึงเวลาที่ผมจำต้องอยู่กับมัน มันกลับเลือกที่จะปล่อยให้ผมไป มันรักเพื่อนจนถึงกับยอมสละความต้องการส่วนตัวของมันได้ คำพูดที่มันพูดกับผมแม้เรียบง่าย แต่ผมกลับรู้สึกกินใจ ถึงตอนนี้ ผมผมรู้สึกว่าไอ้ชัชเปลี่ยนไปมาก น้ำใจของมันยิ่งใหญ่กว่าที่ผมคิด

“มึงเปลี่ยนไปเยอะเลยนะไอ้ชัช” ผมพูด แล้วจ้องหน้ามัน มันเป็นใบหน้าที่ผมคุ้นเคยมาแต่เด็ก

“กูหล่อขึ้นหรือไง” มันพยายามพูดติดตลก ท่าทีของมันดูเขินๆอย่างไรชอบกล

ผมจับมือของมันมากุมไว้ อยากจะกอดมัน แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะว่ากลัวคนเห็น

“มึงไม่น่าคบกับกูเลยรู้ไหม” ผมพูด

“ทำไมเหรอ” ไอ้ชัชงง

“มึงเป็นเพื่อนที่ดีของกู แต่กูเป็นเพื่อนที่เลวของมึง คบกับกูมีแต่เสียเปรียบ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ทำไงได้ กูหลวมตัวมาแล้วนี่” ไอ้ชัชตอบ

“ขอบใจมากนะเพื่อน” ผมพูดด้วยความตื้นตันใจ “แต่โอกาสมันแทบไม่เหลือแล้ว ใกล้หมดเขตรายงานตัว ที่อยู่ก็ไม่มี จนปัญญาแล้วว่ะ”

“ลูกบ้าของมึงเยอะจะตาย กูว่ามึงไม่จนปัญญาง่ายๆหรอก” ไอ้ชัชว่า ดูสิครับ มันยังอุตส่าห์มีศรัทธาในตัวผมถึงขนาดนี้

ตอนค่ำวันนั้น เรานั่งชื่นชมกับอากาศในฤดูหนาวที่หน้าตึกอย่างเงียบๆ มิตรภาพของเรากลับคืนมาอีกครั้ง ช่องว่างที่เคยมีอยู่ก็กลับแคบลง ตอนนั้นผมไม่ค่อยคิดมากแล้วละครับ เพราะว่ารู้สึกหมดหนทาง ก็เลยไม่อยากคิดอะไรต่อ เอาเวลามานั่งกินบรรยากาศกับไอ้ชัชดีกว่า

วันรุ่งขึ้น ตอนพักเที่ยงไอ้ชัชก็กลับมากินอาหารกับพวกเราเหมือนเดิม ไอ้นัยดีใจที่ไอ้ชัชไม่เศร้าโศกน้อยใจแล้ว แต่คนที่ยังเศร้าไม่เลิกกลับกลายเป็นผมแทน ดังนั้นบรรยากาศโดยรวมก็ดีขึ้นบ้าง แต่ก็ยังมีความกดดันแฝงอยู่

“ฮื่อ ปีนี้ทำไมมันมีแต่เรื่องวะ” ไอ้นัยพึมพำ ปกติไอ้นัยที่ไม่ค่อยบ่นอะไร ก็ยังอดไม่ได้ต้องพูดออกมา

“ทำใจแล้วล่ะว่ะ ขี้เกียจคิดแล้ว” ผมพูด

“ปากมึงบอกว่าทำใจ แต่หน้ามึงไม่ได้บอกเลยนะว่ามึงทำใจได้” ไอ้นัยว่า

“นั่นดิ ทำหน้าเหมือนตูดเลย” ไอ้ชัชเสริม

“เอางี้ มึงนอนที่ป้ายรถเมล์ดิ กูเคยเห็นคนนอน” ไอ้นัยพูดหน้าตาเฉย

ผมอดหัวเราะไม่ได้ จำได้ว่ามันเคยพูดประโยคนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง มันทำให้ผมนึกถึงช่วงเวลาที่เราสามคนเคยมีความสุขด้วยกัน ผมรู้ว่ามันแกล้งแซวเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศ

“มึงจะให้มันนอนที่ป้ายรถเมล์จนจบ ม.ปลายเลยเหรอ แล้วมันจะเอาที่ที่ไหนทำการบ้านวะ” ไอ้ชัชแซวบ้าง

พูดถึงป้ายรถเมล์ ไอ้นัยทำหน้าเหมือนคิดอะไรได้

“เออ นี่” ไอ้นัยพูด “นึกอะไรขึ้นมาได้อย่าง”

“ก็เล่ามาดิ” ผมพูด

“บางวันอากูก็ออกไปใส่บาตรที่หน้าบ้านตอนเช้า” ไอ้นัยพูด แล้วชะงักเอาไว้

“แล้วไงล่ะ” ไอ้ชัชถาม “มึงรีบเล่ามาเลย ไม่ต้องยึกยัก”

“ก็เห็นหลวงอาหลวงลุงมีเด็กวัดถือถังใส่อาหารที่บิณฑบาตรเดินตามมาน่ะสิ” ไอ้นัยเล่า “พวกนี้ก็อายุราวๆพวกเรานี่แหละ กูได้ยินพวกเค้าคุยกันว่า ต้องรีบกลับวัด เดี๋ยวไปโรงเรียนไม่ทัน”

“แล้วมึงจะเล่าทำไมวะ เรื่องพระบิณฑบาตรเนี่ย” ผมงง เพราะอยู่ดีๆไอ้นัยก็เล่าอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยขึ้นมา

“ฟังต่อดิ อย่าเพิ่งขัดคอ” ไอ้นัยดุ “กูสงสัย ก็เลยถามเด็กพวกนี้ว่าเรียนหนังสือด้วยเหรอ พวกเค้าก็บอกว่าเรียนดิ เรียนที่โรงเรียนประถมแถววัดนั่นเอง เค้าว่าที่บ้านอยู่ต่างจังหวัด จน ไม่มีเงิน มาอยู่วัดก็เพราะว่าหวังจะได้เรียนหนังสือนี่แหละ”

“ถ้างั้น...” ไอ้ชัชพูด “มึงจะให้ไอ้อูไปอยู่วัดใช่ไหม”

“มันน่าจะดีกว่าป้ายรถเมล์นะ” ไอ้นัยพูด แล้วทำหน้าทะเล้น

ไอ้ชัชเขกหัวมันไปป๊อกหนึ่งด้วยความหมั่นไส้ “ไอ้เปรต จะตลกก็ไม่บอก กูหลงฟังอยู่ตั้งนาน

“โอ๊ย” ไอ้นัยร้องลั่น “บอกแล้วว่าอย่าเขกหัว เดี๋ยวเยี่ยวรดที่นอน”

ผมได้ความคิดขึ้นมาทันที เรื่องเด็กวัดนี้แม้จะฟังดูแย่ๆ แต่แผนแย่ๆก็ยังดีกว่าไม่มีแผนอะไร ผมเริ่มรู้สึกมีความหวังและกลับมามีกำลังใจอีกครั้ง

สำหรับคนที่อยู่ในกรุงเทพฯในยุคนี้อาจจะเห็นภาพพระเดินบิณฑบาตกับเด็กวัดได้ไม่ง่ายนัก โดยเฉพาะคนที่อยู่คอนโดหรือคนที่นอนตื่นสาย แต่ตอนที่ผมเรียนอยู่ก็ยังหาดูได้ โดยเฉพาะย่านชานเมือง พระสงฆ์ที่ออกบิณฑบาตจะมีเด็กวัดมีอายุอยู่ในช่วงวัยรุ่นเดินตาม ในมือของเด็กเหล่านี้ก็จะหิ้วถังพลาสติก เมื่อพระสงฆ์รับการใส่บาตรจากญาติโยมแล้ว อาหารที่เกินกว่าบาตรจะรับได้ก็จะเอาใส่ไว้ในถังพลาสติกเหล่านี้ พูดง่ายๆเด็กวัดเหล่านี้ก็คือคนที่ช่วยถือของให้พระนั่นเอง

เด็กวัดเหล่านี้ส่วนใหญ่มีฐานะยากจน บางคนก็มาจากต่างจังหวัด ก็ได้อาศัยวัดและข้าวจากบาตรพระนี่แหละครับ ที่ช่วยให้ตนเองมีที่อยู่ ที่กิน และมีการศึกษา อันนี้มารู้ตอนที่โตขึ้นมาอีกหน่อย ตอนนั้นยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้เท่าไร

“ไอ้นัย งั้นมึงช่วยถามเด็กวัดให้กูหน่อยสิ ว่าทำยังไงถึงจะไปอยู่เป็นเด็กวัดได้”

ไอ้นัย ไอ้ชัช อ้าปากหวอ

“ไอ้อู มึงเอาจริงเหรอ กูเล่าให้มึงฟังสนุกๆเท่านั้น เห็นมึงเครียดๆ” ไอ้นัยพูด

“เออ มึงพูดเล่น แต่กูเอาจริง มึงไปถามรายละเอียดมาให้กูอีกหน่อยเถอะ” ผมพูด

“เห็นมั้ย กูว่ามึงลูกบ้าเยอะ แล้วกูพูดผิดที่ไหน” ไอ้ชัชพูด ไอ้ชัชนี่มันเข้าใจผมจริงๆ

Saturday, January 5, 2008

ตอนที่ 80

และแล้ว ห้องนอนก็กลายเป็นสนามวิวาทะ เราโต้เถียงกันด้วยเสียงอันดัง จนเพื่อนๆที่นอนไปแล้วยังต้องตื่นขึ้นมา

ผมหันรีหันขวาง มองไปรอบๆ กำลังมองหาของที่ไอ้ชัชให้ผม ว่ามีอะไรอีกบ้าง จะได้คืนไปเสียให้หมดๆ มันจะได้ไม่ต้องมาทวงอีก แต่เมื่อไอ้ชัชเห็นอาการของผมแล้วก็เข้าใจผิดไป

“อ้อ มึงกำลังมองหาของ คิดว่าจะเอาอะไรคืนจากกูบ้างใช่ไหม ไม่ต้องหาหรอก มันไม่มี เพราะมึงไม่เคยให้อะไรกูมาก่อน” ไอ้ชัชพูด

คำพูดของไอ้ชัชทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกน้ำเย็นๆราดหัว มันเหมือนกับถ่านไม้ที่ร้อนแดงถูกโยนลงไปในน้ำ ความโกรธของผมหายไปหมดในทันที จริงสินะ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไอ้ชัชให้ของผมตั้งหลายอย่าง ทั้งของขวัญวันเกิด วันปีใหม่ แต่ผมกลับไม่เคยให้ของขวัญอะไรมันเลย มันเองก็ไม่เคยทวงหรือบ่นอะไรสักคำ พอถึงเทศกาลหน้า มันก็เอามาให้อีก

ถึงตอนนั้น ผมไม่มีกะใจจะไปทะเลาะกับมันแล้ว รู้สึกหมดแรง สำนึกผิด และท้อไปหมด ระยะนี้อะไรหลายๆอย่างเกิดขึ้นพร้อมๆกัน จนผมตั้งตัวไม่ติด ตอนนั้น ผมเริ่มตั้งข้อสังเกตขึ้นมาบ้างแล้วว่า ใครที่สนิทกับผมล้วนแต่มีเรื่องให้เดือดร้อนวุ่นวาย สงสัยผมคงเป็นตัวนำโชคร้ายให้เพื่อนๆ

“ไม่อยากทะเลาะกับมึงแล้วล่ะ” ผมพูดได้แต่เพียงเท่านี้ แล้วก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง เอาผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง ไม่สนใจใครอีก

ไอ้ชัชคงงุนงงกับท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของผม แต่ผมคลุมโปงอยู่ เลยไม่รู้ว่าสภาพในห้องเป็นอย่างไร ผมได้ยินเสียงกุกกัก และเสียงคุยกันของเพื่อนในห้องอีกพักใหญ่ ต่อมา ผมก็ได้ยินเสียงปิดไฟ แล้วทุกอย่างก็ค่อยๆสงบเงียบลง

ผมคงเผลอหลับไปช่วงหนึ่ง มารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกทีก็เพราะว่าปวดฉี่ มัวแต่ทะเลาะกับไอ้ชัชจนลืมฉี่ก่อนนอน ผมมองดูนาฬิกาที่หัวเตียง ตอนนั้นตีหนึ่งแล้ว

ผมลุกขึ้นจากเตียงเพื่อจะไปห้องน้ำ เหลือบมองไปทางเตียงของไอ้ชัช ในความมืด เห็นมันนอนตะแคงหันหลังให้ผม นี่มันเกลียดผมถึงขนาดแม้ตอนนอนก็ยังหันหลังให้หรือนี่ ผมคิดไปเรื่อยเปื่อย คำพูดเมื่อตอนหัวค่ำของไอ้ชัช มันทำให้ผมได้คิดอะไรขึ้นมาหลายๆอย่าง ผมไม่ได้โกรธมันแล้ว มีแต่รู้สึกเสียใจต่อมัน

ผมเห็นมันนอนนิ่ง คงจะหลับสนิท เลยย่องไปหอมแก้มมันเบาๆทีหนึ่ง

“ขอโทษนะ ไอ้เพื่อนรัก กูมันไม่ดีเอง” ผมพูดกับมันในใจ แต่ไม่ได้ออกเสียง เพราะยังไงก็ยังรู้สึกเขินที่จะรับผิดกับมัน อีกอย่าง ตอนนั้นมันเงียบมาก ผมกลัวว่าใครจะได้ยินเข้า

หลังจากไปเข้าห้องน้ำกลับมา ผมก็นอนไม่หลับอีกแล้ว ช่วงนั้นเป็นช่วงที่นอนไม่หลับค่อนข้างบ่อย แต่เป็นการนอนไม่หลับแบบเด็กๆครับ คือหลับช้าหน่อย และหลับไม่ค่อยสนิท ฝันโน่นฝันนี่ ไม่เหมือนผู้ใหญ่นอนไม่หลับที่ลืมตาโพลงจนสว่าง

ผมคิดกลับไปกลับมา ตอนนั้นรู้สึกว่าจะฟุ้งซ่านค่อนข้างมากทีเดียว ชักจะเริ่มท้อและอยากยอมแพ้ เรียนต่อกับไอ้ชัชจนจบ ม.ปลาย ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป

วันรุ่งขึ้น ผมนอนตื่นสายโด่ง เนื่องจากเป็นวันอาทิตย์ อีกทั้งเมื่อคืนนอนหลับไม่ค่อยสนิท หลังจากที่กินอาหารเช้าแล้ว ผมก็ขึ้นไปที่ห้องนอนอีก เก็บของบางอย่างใส่ไว้ในล็อกเกอร์ของผม แล้วเขียนข้อความใส่กระดาษชิ้นเล็กๆ นำไปใส่ไว้ในล็อกเกอร์ของไอ้ชัช ผมพยาพยามนึกอยู่นาน แต่ก็เขียนอะไรไม่ออก ได้แต่เพียงข้อความสั้นๆ

“ของที่มึงเคยให้ กูวางไว้ในล็อกเกอร์ของกู ขอโทษด้วยที่กูเป็นได้แค่เพื่อนเลวๆของมึง ขอโทษจริงๆเพื่อน”

ผมหนีไปนั่งเล่นชิงช้า ใช้ความคิดคนเดียวเงียบๆที่แผนกอนุบาล ซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของโรงเรียน วันนั้นเป็นวันที่ผมรู้สึกท้อมาก รู้สึกว่าไม่อยากดิ้นรน ไม่อยากคิด ไม่อยากปรึกษาใคร ไม่อยากทำอะไรอีกแล้ว ผมนั่งเฉยๆทั้งวัน ตกเย็นก็ไปกินข้าว จากนั้นก็รีบอาบน้ำ แล้วก็คลุมโปงนอนตั้งแต่หัวค่ำ ไม่คุยกับใคร ตอนนั้นหน้าหนาวยังเป็นหน้าหนาวอยู่ อากาศปลายเดือนมกราคมเย็นตลอดทั้งวัน และค่อนข้างหนาวในตอนกลางคืน ตอนนอนต้องห่มผ้าห่มด้วย

- - -

วันรุ่งขึ้น

บรรยากาศการเรียนในเช้าวันจันทร์นั้นค่อนข้างอึมครึม ผมกับไอ้ชัชนั่งเรียนเงียบๆ ไม่พูดคุยกัน ไอ้ชัชเองก็ไม่คุยกับไอ้นัย ไอ้นัยถามคำก็ตอบคำ ไม่พูดมาก ไม่พูดต่อความยาวสาวความยืดเหมือนเก่า จนไอ้นัยแปลกใจ มิหนำซ้ำ ในตอนเที่ยง ไอ้ชัชยังแยกไปกินคนเดียวอีกด้วย

“อาการของไอ้ชัชน่าเป็นห่วงนะ” ไอ้นัยพูดเปรยๆ มองไอ้ชัชที่นั่งกินอยู่ที่โต๊ะไกลออกไป

“ฮื่อ” ผมตอบ

“อู เที่ยงนี้กูไปนั่งกินกับมันนะ ไม่อยากให้มันน้อยใจ” ไอ้นัยพูด มันคงอึดอัดใจเหมือนกัน ที่ต้องเป็นคนที่อยู่ระหว่างกลาง เพราะวางตัวลำบาก

“ฮื่อ” ผมตอบ

“เอ... กูว่ามึงก็น่าเป็นห่วงไม่น้อยกว่ามันเลยนะ” ไอ้นัยพูด มองด้วยสีหน้าที่แปลกใจ “มึงเป็นไรไปวะ”

“เปล่า” ผมตอบ “มึงไปกินกับมันเถอะไป”

สัปดาห์นั้นทั้งสัปดาห์ ผมเงียบไปมาก ที่เงียบเพราะมีความในใจ คิดยังไงก็คิดไม่ตก วันหนึ่งอยากไป อีกวันอยากอยู่ บางวันก็คิดมาก บางวันก็ไม่อยากคิดอะไร ที่บ้านของผมก็เงียบ เอ๊ดก็เงียบ เวลานั่งเรียน ครูสอนก็เหมือนลมที่โชยผ่านหู ผมไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย จนครูเองก็เริ่มเป็นห่วงผม ไอ้นัยเองก็พยายามรักษาน้ำใจทั้งไอ้ชัชและผม บางวันก็ไปกินกับไอ้ชัช บางวันก็มานั่งกินกับผม

วันศุกร์ของสัปดาห์นั้น ผมตัดสินใจบอกกับไอ้นัย

“นัย กูคงไม่ได้ไปเรียนกับมึงแล้วนะ” ผมพูด

ไอ้นัยทำหน้าแปลกใจ เพราะมันคิดอยู่เสมอมาว่ายังไงเสียผมก็ต้องหาทางไปให้ได้ เพราะผมเคยบอกมันไว้เช่นนั้นเสมอ

“...” ไอ้นัยเงียบ ไม่พูดอะไร

ผมเลยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้มันฟัง

“ไม่อยากดิ้นรนอะไรแล้วว่ะ อยู่นี่ก็ดีเหมือนกัน อยู่เป็นเพื่อนไอ้ชัชมัน อีกอย่าง ถึงอยากไปก็ไม่รู้จะทำไง”

ไอ้นัยนั่งฟังเรื่องของผมเงียบๆ ไม่พูดไม่จา ผมเองอยากจะถามมันเหมือนกัน ว่ามันอยากให้ผมไปเรียนกับมันหรือไม่ แต่แล้วก็ไม่ได้ถาม

- - -

ต้นเดือนกุมภาพันธ์

ใกล้สอบไล่เข้ามาทุกทีแล้ว ตอนนั้นสอบไล่ประมาณวันที่ ๒๐ กว่าๆ สอบประมาณ ๓ วัน สอบเสร็จก็สิ้นเดือนกุมภาพันธ์พอดี

เวลาล่วงเลยไปเรื่อยๆ สำหรับผมกับไอ้นัย แม้จะสอบเข้าโรงเรียนใหม่ได้แล้วก็จริง แต่ยังมีขั้นตอนเกี่ยวกับการรายงานตัว และขั้นตอนเอกสารที่ยังต้องดำเนินการต่อไปอีก ผมจำได้ว่าต้องไปรายงานตัวภายใน ๒ สัปดาห์หลังประกาศผลอย่างเป็นทางการ การเพิกเฉยไม่ทำอะไร ก็เท่ากับเป็นการสละสิทธิ์ ทางโรงเรียนจะคัดเลือกตัวสำรองมาเข้าเรียนแทน โอกาสของผมเหลือน้อยลงเรื่อยๆ ส่วนกำลังใจนั้น ไม่ต้องพูดถึง มันหมดไปแล้ว

บรรยากาศเดือนกุมภาพันธ์ของนักเรียนชั้น ป.๖ ค่อนข้างคึกคัก เพราะสำหรับหลายๆคนที่จะไปเรียนต่อ ม.๑ ที่อื่น เดือนนั้นก็จะเป็นเดือนสุดท้ายที่จะได้เรียนด้วยกัน ดังนั้นเดือนนี้จึงเป็นเดือนแห่งการเซ็นสมุดเฟรนด์ชิป ในห้องของผมนักเรียนที่จะย้ายไปเรียนที่อื่นมีถึงเกือบครึ่งห้อง แต่สำหรับโรงเรียนที่ผมสอบได้นั้น ในห้องมีเพียงไอ้นัยกับผมสองคนเท่านั้น

นักเรียนทุกคนจะมีสมุดเฟรนด์ชิป บางคนก็เล่มใหญ่ บางคนก็เล่มเล็ก สมุดเฟรนด์ชิปในสมัยนั้นส่วนใหญ่จะทำปกอย่างสวยงาม ข้างในจะเป็นกระดาษสี พิมพ์รูปจางๆเอาไว้ เวลาเขียนจะได้ไม่รบกวนสายตา ภาพที่พิมพ์ในเล่มก็มักจะเกี่ยวกับมิตรภาพ บางเล่มก็จะมีโคลงกลอน หรือข้อความที่เกี่ยวกับมิตรภาพ ประกอบไว้ด้วย บางเล่มก็เป็นภาษาไทย บางเล่มก็เป็นภาษาอังกฤษ

การแลกกันเขียนสมุดเฟรนด์ชิปเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใช้เวลา เพราะนอกจากแลกกันเขียนแล้ว ยังต้องแลกกันอ่าน เพราะแต่ละคนยังชอบดูสมุดเฟรนด์ชิปของคนอื่นด้วย ดังนั้น ตลอดทั้งเดือนกุมภาพันธ์ จึงเป็นเดือนที่วุ่นวาย แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความประทับใจ บรรยากาศแม้จะอบอวลไปด้วยมิตรภาพ แต่ขณะเดียวกันก็แฝงไว้ด้วยความอาลัยอาวรณ์ของการพรากจาก

“เฮ้ย ไอ้อู ตกลงมึงจะเรียนที่ไหนกันแน่วะ” เพื่อน ๆ หลายคนที่จะเรียนต่อที่เดิมพากันถามเมื่อได้อ่านสมุดเฟรนด์ชิปที่ผมเขียนให้ เพราะในนั้นมีข้อความบอกเป็นนัยๆว่าเราจะได้อยู่ด้วยกันต่อไปอีก เพราะว่าก่อนหน้านั้นผมไม่ได้บอกใครเลย มีไอ้นัยคนเดียวเท่านั้นที่รู้ ส่วนไอ้ชัชจะรู้หรือเปล่าผมไม่แน่ใจ ถ้าจะรู้ก็คงรู้จากไอ้นัย แต่ถึงไอ้นัยจะนั่งกินข้าวกับไอ้ชัชบ้าง พยายามเอาใจมันบ้าง แต่ก็ไม่เห็นไอ้ชัชจะพูดกับไอ้นัยสักเท่าไร ผมคิดว่าไอ้ชัชมันคงโกรธผม ก็เลยพลอยโกรธไอ้นัยไปด้วย

“ก็คงแถวๆนี้แหละ” ผมตอบอย่างไว้เชิง เพราะการที่สอบได้แล้วไม่มีปัญญาไป เป็นเรื่องที่เสียหน้ามาก และไม่ค่อยจะปรากฏ สู้สอบไม่ได้เสียยังน่าอับอายน้อยกว่า

“มึงโง่หรือมึงบ้าวะเนี่ย สอบได้แล้วไม่เอา” ไอ้เชียรถามตรง

“ที่บ้านไม่ให้ไปโว้ย” ผมพยายามอธิบาย นึกว่าเหตุผลเข้าท่าแล้วเชียว

“โห งั้นต้องถามใหม่ ว่าที่บ้านมึงโง่หรือบ้าวะเนี่ย ลูกสอบได้แล้วไม่ให้ไป” ไอ้เชียรพูดอีก

หลังจากนั้น เพื่อนทั้งห้องก็เป็นอันรู้กันว่าผมจะไม่ไปไหน เหตุผลก็คือ ที่บ้านไม่สนับสนุน ทุกคนต่างวิพากษ์วิจารณ์กันสนุกปาก ส่วนใหญ่ก็ว่าผมน่าสงสารและเสียดายโอกาสแทนผม หลายคนก็บอกว่าที่บ้านผมนี่คิดแปลกๆ สงสัยจะอยู่หลังเขา ก็วิจารณ์กันแบบเด็กละครับ คิดอะไรก็พูดตรงๆ ไม่ได้คิดถึงเรื่องรักษาน้ำใจกันเท่าไรนัก

- - -

วันตอนบ่ายวันเดียวกันนั้น ผมยื่นสมุดเฟรนด์ชิปให้ไอ้ชัช

“ชัช เขียนให้หน่อยนะ” ผมพูด ผมเห็นมันชะงักไป ก็กลัวว่ามันจะไม่ยอมเขียนให้ “กูรู้ว่ามึงเกลียดกู แต่อย่างน้อยเราก็เคยเป็นเพื่อนสนิทกัน เขียนให้กูหน่อยละกัน”

ถ้ามันเขียนสมุดเฟรนด์ชิปให้ผม ก็แสดงว่ามันคงยอมให้อภัยผมบ้าง ผมคงจะรู้สึกสบายใจขึ้น

ไอ้ชัชรับสมุดมาแล้วก็พยักหน้า แล้วเก็บเอาไว้ ผมรู้สึกดีใจ คิดว่ามันคงเอาไว้เขียนตอนกลางคืน

คืนวันนั้น ขณะที่ผมนั่งอยู่คนเดียวที่หน้าตึก ผมมานั่งดูหนังสืออยู่นอกห้องดูทีวี เพราะอยากอยู่เงียบๆคนเดียว ช่วงนั้นยังหนาวอยู่ ยุงจึงมีน้อยมาก ทำให้นั่งได้สบายๆ

ไอ้ชัชเดินมาหาผม พร้อมกับเอาสมุดเฟรนด์ชิปมาคืนให้

“ไหน เขียนว่าไงบ้าง” ผมรับสมุดคืนมา พร้อมทั้งพลิกหาดูหน้าที่ไอ้ชัชเขียน

“ไม่มีนี่หว่า” ผมบอกมัน หลังจากพลิกสมุดทุกหน้าก็ยังไม่พบลายมือของมัน ผมเข้าใจแล้ว ไอ้ชัชไม่อยากเขียนให้ผม แต่มันคงอยากอ่านข้อความที่คนอื่นเขียนให้ผม ในนั้นมีข้อความของบางคนที่เขียนเรื่องผมไม่ได้ไปเรียนต่อด้วย แต่เขียนแบบกัดๆ ฮาๆ ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายความรู้สึกของผม

“ไม่รู้จะเขียนอะไรอ่ะ” ไอ้ชัชพูด เสียงมันเนือยๆ ไม่ค่อยแฝงความกระตือรือร้นเหมือนแต่ก่อน

“แปลว่ามึงยังโกรธกู” ผมสรุป

“ถามอะไรหน่อยดิ” ไอ้ชัชพูด ว่าแล้วก็นั่งลงที่ข้างๆตัวผม “มึงไม่ไปเพราะอะไรกันแน่”

“ก็ป๋าไม่เห็นด้วยนี่” ผมพูด

“แค่นั้นจริงๆเหรอ” ไอ้ชัชถามซ้ำอีก พลางมองหน้าผม เหมือนกับจะค้นหาเอาความจริง

“มันก็ไม่เชิง มันท้อด้วย อะไรด้วย หลายๆอย่าง” ผมตอบ

“ไอ้โกหก” ไอ้ชัชพูด “เวลามึงโกหก เด็กมันยังดูออกเลย กูรู้ว่ายังมีอีก”

มันก็เป็นเรื่องแปลก ที่ไอ้นัยกับไอ้ชัชมักจะอ่านความในใจของผมออกเสมอ แต่ผมเองกลับอ่านความในใจของมันสองคนไม่ค่อยออก ในที่สุด ผมก็บอกความจริงที่ไม่ต้องการบอกกับมัน ที่ไม่อยากบอกก็เพราะว่าเขินครับ

“กูคิดจะอยู่เป็นเพื่อนมึงด้วยอ่ะ คือ... กูคงทำไม่ดีกับมึงไว้เยอะ กูอยากชดเชยให้มึงบ้างน่ะ”

ไอ้ชัชเงียบไป ผมก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เรานั่งกันเงียบๆอยู่นาน รู้สึกได้ว่าบรรยากาศไม่ค่อยตึงเครียด มันไม่เหมือนคนที่โกรธกัน แต่คล้ายกับเมื่อก่อนตอนที่เราสนิทกัน แล้วมานั่งคุยกันสองคน ชื่นชมบรรยากาศในฤดูหนาวกันมากกว่า ในความเงียบ ผมคิดย้อนไปถึงวันเวลาที่เราผ่านมาด้วยกัน ผมอยากกลับไปอยู่ในวันเก่าๆเหล่านั้นอีก

ในที่สุด ไอ้ชัชก็ทำลายความเงียบขึ้น

“ถ้ามึงจะอยู่เพราะกู ก็ไม่ต้องหรอกนะ มึงไปเถอะ กูดูแลตัวเองได้”

Thursday, January 3, 2008

ตอนที่ 79

บ่ายวันนั้น ผมรีบโทรศัพท์ไปหาไอ้นัย ผมรอด้วยความกระวนกระวายอยากรู้ผลการสอบมาตั้งแต่เช้าแล้ว แต่ที่ยังไม่โทรไปเพราะกะประมาณเวลาเอาว่าให้ไอ้นัยกลับมาถึงบ้านเสียก่อน แม้จะรู้ว่าโอกาสได้มีสูง แต่ตราบใดที่ยังไม่รู้ผลที่เป็นทางการ อย่างไรก็อดกังวลใจไม่ได้

“โหล” เสียงไอ้นัยรับสาย เสียงของมันแจ่มใสมาก แค่ได้ยินมันพูดโหลคำเดียวผมก็รู้แล้วว่ามันสอบได้

“กูได้ป่าว” ผมรีบถาม

“แล้วมึงไม่ถามกูเหรอว่าได้ป่าว” ไอ้นัยพูดเสียงร่างเริง

“เสียงของมึงดีใจซะขนาดนั้น กูไม่ถามหรอก รู้อยู่แล้วว่ามึงได้” ผมตอบ

“โห... ฟังเสียงแค่นี้รู้เลยเหรอ” แล้วไอ้นัยก็หัวเราะฮุฮุ

“นี่ ไม่ต้องมัวโยกโย้ บอกมาเร็วๆ”

“เดี๋ยวก่อน หิวข้าวอะ ขอไปกินข้าวก่อนนะ” เสียงไอ้นัยพูดไปหัวเราะไป วันนี้มันดีใจจนออกนอกหน้าเลย ผมเองก็พลอยดีใจไปด้วย ไม่ได้ยินเสียงแจ่มใสของไอ้นัยมานานแล้ว เพราะว่าช่วงหลังมันมีแต่ความกดดัน

“เดี๋ยวๆ ไม่ต้องเล่นมุขเลย บอกกูมาก่อน” ผมอดหัวเราะในความขี้เล่นของมันไม่ได้

“เสียใจด้วยนะอู...” ไอ้นัยพูดเสียงเศร้า ผมใจหายวูบ

“มึงได้แต่กูไม่ได้ ยังงั้นใช่มั้ย” ผมถอนใจ พยายามข่มความเสียใจเอาไว้ไม่ให้แสดงออก

“เสียใจด้วยที่มึงต้องจากโรงเรียนนี้ไป ฮ่าๆๆ” ไอ้นัยหัวเราะร่วน

“ไอ้เปรต” ผมด่ามัน แต่ใจจริงแล้วรู้สึกดีใจที่รู้ว่ามันมีความสุข มันจะได้ไปพ้นๆจากสภาพที่เลวร้ายเสียที รวมทั้งรู้สึกดีใจด้วยที่ในที่สุดตนเองก็สอบได้ มันเป็นสิ่งที่มีความหมายมากทั้งกับไอ้นัยและผม

หลังจากวางสายจากไอ้นัย ผมก็รีบต่อไปหาเอ๊ดทันที

“เอ๊ด ๆ อูสอบได้แล้วนะ ผลออกมาแล้ว” ผมรีบพูดเมื่อเอ๊ดรับสาย

เอ๊ดเงียบไป

“เอ๊ด ฟังอยู่หรือเปล่า” ผมถาม ไม่แน่ใจว่าสายหลุดหรือเปล่า เพราะเอ๊ดเงียบเหลือเกิน

“ฮื่อ ฟังอยู่” เอ๊ดบอก

“แล้วเรื่องป๋า คุยแล้วว่าไง” ผมถาม

เอ๊ดเงียบไปสักพัก

“ป๋าไม่ยอมนะ ยังไงก็ไม่ให้ย้ายโรงเรียน อูต้องเห็นใจป๋าบ้างนะ ป๋าไม่รู้จะให้อูพักที่ไหน ถ้ามีที่พัก ป๋าก็ไม่ขัดอยู่แล้ว” เอ๊ดพูดอย่างระมัดระวังมาก

“กะอยู่แล้ว ต้องเป็นแบบนี้” ผมพูดด้วยความผิดหวัง ระคนกับความน้อยใจ “แต่ไหนแต่ไร เอ๊ดต้องได้ของที่ดีกว่าอยู่แล้ว อูได้ของเหลือใช้จากเอ๊ดทุกที”

ตอนเด็กๆมันเป็นอย่างนั้นจริงๆครับ หนังสือเรียนก็ใช้ของที่เอ๊ดเรียนไปแล้ว แต่ไม่ได้ใช้ของเอ๊ดทั้งหมด คงใช้ได้เพียงบางส่วนเท่านั้น เสื้อผ้าก็ใช้ของเอ๊ด เพราะพ่อกับแม่บอกว่าเราโตเร็วทั้งสองคน ถ้าซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้ทั้งสองคนจะสิ้นเปลืองมาก ดังนั้นผมจึงต้องคอยรับช่วงสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆจากพี่ชายอยู่เสมอ ปกติก็ไม่ค่อยได้น้อยใจอะไรมากนัก เพราะว่าอยู่หอ บางทีมันก็ไม่ค่อยได้คิด ถ้าอยู่ที่บ้านก็คงคิดมากหน่อย แต่มาคราวนี้ผมน้อยใจจริงๆ

“อย่าคิดแบบนั้นดิ” เอ๊ดห้าม แต่ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุให้คิด

“หรือว่ามันไม่จริงล่ะ เอ๊ดตอบมาสิ” ผมย้อนถาม

เอ๊ดเงียบไปอีก

“ตกลงที่บอกว่าถ้ามีที่พัก ป๋าจะไม่ขัด นี่ใครพูด เอ๊ดพูดเองหรือว่าป๋าพูด” ผมถาม

“ป๋าพูด” เอ๊ดตอบ

“แน่ใจนะว่าป๋าพูด ไม่ใช่เอ๊ดพูดปลอบใจ” ผมถามย้ำ

“ฮื่อ” เอ๊ดยืนยัน

“ยังงั้นอูจะหาที่อยู่ของอูเอง ถ้าหาได้ อย่าผิดคำพูดล่ะ” ผมพูดเพื่อผูกมัด ที่จริงก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะผูกมัดใคร ผูกมัดเอ๊ดไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเอ๊ดเองก็จัดการอะไรไม่ได้

วันนั้นเป็นวันที่ผมว้าวุ่นใจมาก ไหนจะเรื่องไอ้ชัช แล้วยังมาเรื่องของตนเองอีก ผมนั่งคิดมาตั้งแต่บ่าย แต่ก็ยังคิดหาวิธีที่จะทำให้ได้ไปเรียนไม่ได้ คิดดูแล้วโอกาสได้ไปเรียนที่ใหม่แทบจะไม่มี เด็กที่ไม่มีบ้านอยู่ในกรุงเทพฯ แล้วจะไปเรียนโรงเรียนไปกลับได้ยังไง

ผมนั่งคิดหาหนทางในเรื่องนี้ตั้งแต่บ่าย โดยไม่ได้ปรึกษาอะไรกับไอ้ชัชเลย เพราะรู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แสลงใจมัน อีกทั้งเพิ่งประกาศตัดสัมพันธ์กันมาหมาดๆ แต่ตอนนั้นอยากมีใครที่สนิทสนมมาคุยด้วยจริงๆ

ผมนั่งจมอยู่กับความคิดคนเดียว ไม่ได้สนใจไอ้ชัชเลย วันนั้นทั้งวันไม่ได้สังเกตเลยว่ามันอยู่ที่ไหน หรือว่าทำอะไร จนตกกลางคืน เมื่อถึงเวลาเข้านอน หลังจากที่ผมเปลี่ยนชุดนอน ก็มานั่งที่เตียงของตนเอง ตอนนั้นไฟในห้องนอนยังไม่ดับ ไอ้ชัชนอนอยู่บนเตียงแล้ว แต่ผมเห็นมันกลิ้งไปกลิ้งมา คงยังไม่หลับ

ผมสังเกตว่าที่หัวเตียงของผมมันมีอะไรหายไปสักอย่าง คิดไปคิดมา ... กล่องใส่กระดาษทิชชู่รูปหมานั่นเองที่หายไป

“เอ... กล่องใส่ทิชชู่หายไปไหนหว่า” ผมถามเพื่อนที่อยู่เตียงติดกับผม ซึ่งเป็นอีกด้านหนึ่ง ไม่ใช่ไอ้ชัช ไอ้นี่ก็ยังไม่หลับเหมือนกัน

มันทำบุ้ยใบ้ไปที่เตียงของไอ้ชัช เป็นความหมายว่าไอ้ชัชเอาไป

เท่านั้นเอง ผมก็โมโหขึ้นมา หันไปพูดกับไอ้ชัชทันที

“มึงเอากล่องทิชชู่ของกูไปเหรอ” ผมถาม

“นั่นมันของกูโว้ย” มันตอบสั้นๆ แต่ได้ใจความ

“ให้แล้วเอาคืน มีอย่างที่ไหนวะ” ผมกระชากเสียงใส่มัน “ใครทำก็หมาแล้ว”

“เออ กูเอาไปให้หมาใช้ ยังดีกว่าเอามาให้มึงใช้ เพราะมึงมันเลว เข้าใจไหม” ไอ้ชัชด่าผมบ้างอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้

Tuesday, January 1, 2008

ตอนที่ 78

ผลก็คือข้าวราดแกงซึ่งอยู่ในจานทั้งหมดกองอยู่บนอกเสื้อไอ้นัย จากนั้นก็ไหลลงมากองบนกางเกง ส่วนจานสังกะสีนั้นหลังจากกระแทกหน้าอกไอ้นัยแล้วก็หล่นลงบนพื้นโรงอาหาร ไอ้นัยพยายามปัดอาหารที่กองอยู่บนตัวมันออก แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก เสื้อและกางเกงของไอ้นัยเลอะไปด้วยน้ำแกง

ผมไม่รู้ว่าไอ้ชัชจงใจหรือเปล่า แต่ว่าตอนนั้นผมรู้สึกว่าหมดความอดทนกับมันแล้ว

“มึงไปแกล้งมันทำไมวะ มึงไม่พอใจกูก็แกล้งกูสิ ไอ้นัยมันไปทำอะไรให้มึง มึงนี่แม่งเลวชิบหายเลย” ผมตะคอกใส่มัน

“เออ มึงว่ากูเลว แล้วมึงล่ะ ดีตายห่าแล้วนี่ ทั้งปีก่อแต่เรื่อง ที่ไอ้นัยเดือดร้อนก็เพราะมึงนั่นแหละ รู้เอาไว้” ไอ้ชัชย้อนเสียงดัง ไม่ยอมเสียเปรียบผมแม้แต่น้อย

“ชัช อู พอเถอะ กูไม่ได้เป็นอะไรมาก กินข้าวต่อเถอะ” ไอ้นัยพยายามพูดเพื่อให้ผมและไอ้ชัชสงบลง แต่ไม่ได้ผล ไม่มีใครฟังไอ้นัยเลย

“เออ ถ้ากูเลวมึงก็อย่ามาคบกับกูสิวะ มึงจะไปไหนก็ไปเลย ห่าเอ๊ย” ไอ้ชัชพูดจี้ใจดำผม ทำให้ผมรู้สึกโกรธมาก ผมท้าทายมัน ไม่ยอมลดราวาศอกเช่นกัน

“ได้ มึงท้ากูนะไอ้อู ถ้ายังงั้นมึงกับกูเลิกคบกัน” ไอ้ชัชพูด ถึงมันจะพูดด้วยอารมณ์โกรธ แต่ผมสังเกตว่าตอนมันพูดนั้นเสียงของมันสั่นเครือ และตาแดงๆ

วูบหนึ่งของสำนึก ผมรู้สึกสงสารไอ้ชัชขึ้นมาจับใจ คบกันมาตั้งห้าหกปี ทั้งทุกข์ทั้งสุขมาด้วยกัน บทจะเลิกคบกัน ทำไมมันช่างง่ายดายเสียเหลือเกิน แต่ตอนนั้นทิษฐิมันบังตา ถ้าเพียงไอ้ชัชไม่พูดจี้ใจดำของผม แต่ในเมื่อมันพูดไปแล้ว ถ้าผมยอมไอ้มัน ผมก็รู้สึกว่าทำไม่ได้

“เลิกก็เลิกวะ นึกว่ากูกลัวเหรอ” ผมประกาศตัดสัมพันธ์บ้าง

เพียงเท่านี้ ไอ้ชัชก็ลุกจากที่นั่งและเดินออกไปจากโรงอาหาร ทั้งที่ยังกินอาหารไม่เสร็จ ไอ้นัยนั่งทำหน้าเอ๋อ เพราะเหตุการณ์มันเกิดขึ้นรวดเร็วมาก จนมันวางตัวไม่ถูก

“อู ทำเกินไปแล้วนะ” ไอ้นัยเตือนสติผม “ไอ้ชัชมันคงไม่ได้ตั้งใจหรอก”

“ไม่ได้ตั้งใจยังไงวะ ข้าวบนเสื้อมึงนี่มันลอยมาเองหรือไง” ผมยังไม่หายโมโห

“หมายถึงว่ามันคงไม่ได้ตั้งใจสาดข้าวใส่กูน่ะ” ไอ้นัยพยายามไกล่เกลี่ยอีก

“ช่างมันเถอะวะ มันอยากไปไหนก็ช่างมัน กินข้าวเถอะ” ผมพูดตัดบท ไม่อยากพูดหรือคิดถึงเรื่องไอ้ชัชอีก

- - -

บ่ายวันนั้น ในชั่วโมงเรียน ผมกับไอ้ชัชไม่ได้พูดกันเลย เสื้อผ้าของไอ้นัยเลอะเทอะ แม้จะเช็ดมาแล้ว แต่ก็ยังมีกลิ่นแกงติดเสื้ออยู่

เมื่อเลิกเรียน ผมก็พยายามลากไอ้นัยไปรอที่หน้าตึกอำนวยการเช่นเดิม

“ไม่ต้องหรอกอู อยู่นี่แหละ” ไอ้นัยพูด

“ใครอยู่นี่” ผมถาม ยังงงกับคำพูดของมัน

“มึงไม่ต้องไปไหนหรอก อยู่ที่นี่แหละ” ไอ้นัยพูดซ้ำ

“แล้วมึงล่ะ จะไปไหนเหรอ” ผมยังไม่เข้าใจ

“โธ่ว้อย หมายความว่าวันนี้เรารออยู่ที่นี่แหละ” ไอ้นัยอธิบาย

“ทำไมอยู่ดีๆคิดจะรอที่นี่วะ มันอันตราย ไม่ได้หรอก ไปรอที่เดิมนั่นแหละ” ผมยืนกรานความคิดเดิม

“มึงไปคุยกับไอ้ชัชหน่อยไป ดูสิ มันนั่งเศร้าทั้งบ่ายเลย” ไอ้นัยพูด สาเหตุที่มันไม่อยากไปรอที่หน้าตึกอำนวยการกับผมคงเป็นเพราะลำบากใจนั่นเอง แต่ตอนนั้นผมไม่ทันได้คิด

“ไม่อ่ะ ขี้เกียจคุย มันเลิกคบกับกูแล้วนี่” ผมปฏิเสธ แต่ผมก็สังเกตเห็นเหมือนกันว่าไอ้ชัชนั่งเงียบทั้งบ่าย มีท่าทีเศร้าสร้อย ผมเองก็รู้สึกสงสารมันเหมือนกัน แต่ตอนนั้นยังมีทิษฐิอยู่

ไอ้ชัชเองหลังจากเลิกเรียนแล้วก็ไม่ได้ไปไหน คงนั่งเล่นอยู่ในห้องนั่งเอง ถ้ามันกลับหอไปเสียก็คงหมดปัญหา แต่นี่มันกลับนั่งอยู่ในห้องเรียนไม่ยอมไปไหน

สุดท้ายผมก็ลากไปนัยไปรอที่หน้าห้องอำนวยการจนได้ โดยทิ้งไอ้ชัชไว้ในห้องเรียน เรื่องไอ้ชัชก็เรื่องหนึ่ง แต่เรื่องไอ้นัยก็อีกเรื่องหนึ่ง ไอ้ชิดยังมีโอกาสที่จะมารังแกไอ้นัยได้อีกทุกเมื่อ ผมไม่อยากทำผิดซ้ำอีก ดังนั้นผมจึงไม่ยอมให้ไอ้นัยรออยู่ในห้องเรียน

หลังจากที่ส่งไอ้นัยกลับบ้านเรียบร้อย ผมก็เดินกลับเข้าหอ เห็นไอ้ชัชนั่งดูทีวีอยู่ แต่ก็ไม่ได้เข้าไปทักทายมัน คืนนั้นทั้งคืนผมไม่ได้พูดกับมันหรือแสดงอาการสนอกสนใจมันเลย ไอ้ชัชเองก็แสดงท่าทีไม่สนใจผมเช่นกัน

- - -

วันรุ่งขึ้น

วันนั้นเป็นวันเสาร์ และเป็นวันเสาร์สำคัญ เนื่องจากจะมีการประกาศผลการสอบเข้าเรียนต่อ ผมตัดสินใจไม่ไปดูผลเอง แต่ฝากไอ้นัยไปดูให้แทน

ผมกับไอ้ชัชก็เดินสวนกันไปสวนกันมาอยู่อย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้พูดกันสักคำ แรกๆเพื่อนฝูงในหอก็ไม่ได้สังเกต แต่ต่อมาก็เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้น

“ทะเลาะกันนิดหน่อย” เป็นคำตอบของผม เมื่อถูกเพื่อนๆถาม

“โห เนี่ยนะ นิดหน่อย หน้าตาเหมือนโกรธกันมาสักร้อยปี มึงยังบอกว่านิดหน่อย แล้วมันเกิดอะไรขึ้นวะ” เพื่อนๆยังซักไม่เลิก เพราะไม่มีใครเชื่อว่าผมทะเลาะกับไอ้ชัชเพียงนิดหน่อยตามที่ผมบอก

“มึงไปถามไอ้ชัชเอาเองก็แล้วกัน กูขี้เกียจเล่า” พอถูกซักหนักๆเข้าผมก็เลยใช้วิธีโยนเผือกร้อนให้พ้นมือตัวเอง

ไอ้ชัชก็พอกัน ใครไปถามมัน มันก็บอกว่าให้มาถามผมว่าเกิดอะไรขึ้น สรุปแล้วเพื่อนในหอก็เพียงรู้แค่ว่าเราทะเลาะกัน แต่ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร แต่ไม่มีใครรู้ข้อเท็จจริง แต่อย่างไรก็ตาม ความลับย่อมไม่มีในโลก เหตุการณ์ตอนที่ไอ้ชัชสาดข้าวแกงใส่ไอ้นัย แล้วเป็นเหตุให้เราทะเลาะกันนั้นมีคนเห็นอยู่หลายคน ในที่สุดเพื่อนๆก็รู้จนได้ว่าเราโกรธกันเพราะอะไร