Saturday, March 28, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 70

เช้าวันนั้น ถ้าไม่คิดว่านอกบ้านกำลังเกิดเรื่องวุ่นวายแล้ว ก็ต้องถือว่าวันนั้นเป็นวันที่ในบ้านคุณลุงคุณป้ามีบรรยากาศอันอบอุ่นคล้ายบ้านต่างจังหวัดของผมมาก คุณป้า เอ๊ด ไอ้นัย และผม นั่งล้อมวงกันกินอาหารเช้าอย่างเอร็ดอร่อย

“ดีนะเนี่ย ที่นัยไม่ทะเร่อทะร่าเข้าไปในเมือง” เอ๊ดคุยกับนัยอย่างคุ้นเคย

“นั่นดิพี่เอ๊ด เกือบไปเหมือนกัน ถ้าไปแล้วไม่รู้จะได้กลับมาหรือเปล่า” ไอ้นัยพูดพลางหัวเราะ

หลังจากกินอาหารเช้า ระหว่างที่ไอ้นัยนั่งรอคุณอามารับ เราก็นั่งดูโทรทัศน์กันเพื่อฆ่าเวลา

“เอ๊ะ มีจัดคอนเสิร์ตด้วยแฮะ แปลกดี” ผมอุทานเมื่อเห็นภาพในทีวีเป็นวงดนตรีคาราบาว ขวัญใจวัยรุ่นในยุคนั้น กำลังร้องเพลงและเล่นดนตรีกันอยู่

วงคาราบาวในยุคนั้นเป็นวงดนตรีที่โด่งดังมาก และคอนเสิร์ตของวงคาราบาวถือว่าเป็นคอนเสิร์ตอันตราย เพราะว่าจัดแสดงคอนเสิร์ตทุกครั้งก็ต้องมีวัยรุ่นตีกันทุกครั้ง บางครั้งก็ถึงขั้นตะลุมบอนกันก็มี

วงคาราบาวเล่นเพลงไปเรื่อยๆสลับกับการอ่านประกาศของคณะผู้ก่อการ เราเพลิดเพลินกับการแสดงดนตรีได้ไม่นาน คุณอาก็มารับไอ้นัยกลับบ้านไป

ตอนสายๆ คุณลุงโทรมาบอกว่ามีการยิงปืนจากรถถังที่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า พร้อมทั้งเตือนให้พวกเราอยู่แต่ในบ้าน เพราะฝ่ายผู้ก่อการกับฝ่ายรัฐบาลอาจปะทะกันอย่างรุนแรง

ตกเย็น สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย ฝ่ายรัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ กลุ่มผู้ก่อการรัฐประหารเมื่อพ่ายแพ้ก็กลายสภาพเป็นกลุ่มกบฏไป

หลังจากที่เหตุการณ์กบฏ ๙ กันยา ผ่านพ้นไป พวกเราก็กลับไปเรียนตามปกติ และเนื่องจากช่วงนั้นเป็นช่วงที่ใกล้สอบปลายภาคแล้ว ดังนั้นทางโรงเรียนจึงให้หยุดกิจกรรมนักเรียนต่างๆเอาไว้ก่อน ซึ่งก็หมายความว่าสหกรณ์ของพวกเราต้องหยุดทำการชั่วคราวเพื่อให้นักเรียนดูหนังสือเตรียมสอบ

ทางด้านพี่เต้นั้น เมื่อห้องสหกรณ์ปิดทำการชั่วคราว พี่เต้ก็ไม่มีเหตุที่จะมาพบไอ้นัย ส่วนจะไปหาไอ้นัยที่ห้องเรียนหรือเปล่านั้นผมก็ไม่ทราบ แต่ผมไม่เคยเห็นพี่เต้แถวๆห้องเรียนชั้น ม.ต้นเลย คาดว่าช่วงนั้นพี่เต้เองก็คงวุ่นวายกับการเตรียมตัวสอบเช่นกัน อาจไม่ค่อยได้แวะเวียนมาหาไอ้นัยก็เป็นได้

ไอ้นัยกับผมก็กลับมาพูดคุยกันเหมือนเดิม เราไปและกลับด้วยกันทุกวันเหมือนเมื่อก่อน แต่ประการหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นก็คือ ไอ้นัยเงียบขรึมไป แม้ปกติไอ้นัยไม่ใช่คนพูดมาก แต่ก็ไม่ถึงกับเงียบขรึม อีกทั้งมันยังมีสีหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ แต่มาในระยะหลัง ไอ้นัยพูดน้อย อีกทั้งสีหน้าก็ไม่ยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนเช่นเดิม ผมเข้าใจเอาเองว่าไอ้นัยอาจจะคร่ำเครียดกับการดูหนังสือสอบ เพราะว่าผมเองก็คร่ำเครียดและเงียบขรึมไปบ้างเหมือนกัน

ผลการเรียนที่ดีมากของไอ้นัยเป็นกำลังใจทำให้ผมอยากพัฒนาตนเองขึ้นมา ผมพยายามขยันขึ้นเพื่อจะได้ทำเกรดได้ดีๆใกล้เคียงกับไอ้นัยบ้าง ไม่ต้องถึงกับเสมอกับมันหรอก เพียงแค่ห่างจากมันน้อยกว่านี้ผมก็พอใจแล้ว

ผมรู้สึกว่าไอ้นัยนับวันจะมีอิทธิพลต่อชีวิตของผมมากขึ้น และมากขึ้น ไอ้นัยเป็นทั้งกำลังใจอันยิ่งใหญ่ และก็เป็นผู้บั่นทอนกำลังใจของผมจนหมดอาลัยตายอยากได้อีกด้วย...

- - -

ในช่วงการสอบ ห้องเรียนของเราจะจัดโต๊ะใหม่ จากเดิมที่นั่งติดกันเป็นคู่ กลายเป็นแถวเดี่ยวหมด ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้นักเรียนลอกข้อสอบกันนั่นเอง รวมทั้งยังมีการสลับที่นั่งกันใหม่อีกด้วยเพื่อป้องกันเพื่อนสนิทนั่งอยู่ใกล้กัน พอดีผมได้นั่งสอบข้างหลังไอ้จิยอดนักสืบ

ผมเห็นตี๋นั่งทำข้อสอบอย่างตั้งใจ เทอมนี้ตี๋มีปัญหามาตลอด สภาพจิตใจของมันก็ไม่ค่อยดีนัก คะแนนกลุ่มของมันก็ไม่ค่อยดี ผมได้แต่เอาใจช่วยให้มันผ่านการสอบไปได้ด้วยดี

เมื่อการสอบวันแรกเริ่มขึ้น ผมก็สังเกตเห็นเพื่อนส่งฝิ่นให้ไอ้จิ ฝิ่นก็หมายถึงกระดาษที่จดคำตอบของข้อสอบเอาไว้ ฝิ่นหลายใบเวียนมาถึงไอ้จิ จากนั้นมันก็ส่งต่อไป จนผมแปลกใจว่าทำไมจึงมีผู้ปรารถนาดีกับไอ้จิหลายคน เพราะว่าพกฝิ่นและส่งฝิ่นเป็นเรื่องอันตราย นักเรียนดีๆทั่วไปไม่มีใครทำกัน เพราะหากถูกจับได้จะต้องถูกลงโทษ นอกจากสอบตกแล้วยังอาจถูกพักการเรียนอีกด้วย

“ทำไมคนส่งฝิ่นให้ไอ้จิหลายคนวะ” ผมถามอ๊อดในช่วงพักเที่ยงของวันสอบ

“ก็เพราะหนังสือโป๊ของมันนั่นแหละ” อ๊อดตอบ

“ยังไงเหรอ” ผมถามเพราะยังไม่เข้าใจ

“ก็มึงไม่ค่อยอยู่ที่ห้อง เลยไม่รู้น่ะสิ ไอ้จิมันขายหนังสือโป๊แล้วก็ใช้หนังสือโป๊นั่นแหละผูกไมตรีกับเพื่อนๆ ได้ทั้งเงิน ได้ทั้งเกรด แม่งโคตรฉลาดเลย” อ๊อดพูดด้วยน้ำเสียงแกมอิจฉา

“ตกลงมันขายหนังสือโป๊เป็นล่ำเป็นสันเลยเรอะ” ผมอุทาน

“มันก็เอามาขายเรื่อยนั่นแหละ” อ๊อดตอบ “อาจจะไม่ถึงกับเป็นล่ำเป็นสัน แต่ถ้าเรียกว่างานอดิเรกละก็ได้แน่”

ผมได้แต่สะท้อนใจ ตี๋ขโมยเงินเพื่อนและถูกเพื่อนๆตราหน้าจนไม่มีใครอยากคบด้วย ในขณะที่จิขายหนังสือโป๊ ทุจริตในการสอบ แต่เพื่อนๆก็ยังคบมันอยู่ แถมยังอุดหนุนหนังสือโป๊ของมันเสียอีก... ผมหวนนึกถึงเรื่องพระเยซูกับหญิงคนชั่วอีกครั้ง... ผมเริ่มเรียนรู้ถึงความอยุติธรรมในสังคม รวมทั้งเริ่มแยกแยะว่าเพื่อนนั้นก็มีความจริงใจหลายระดับ

- - -

หลังจากสอบปลายภาคเสร็จ พวกเราก็จะมีเวลาหยุดเทอมเกือบๆหนึ่งเดือนเช่นเคย ช่วงปิดเทอมกลางปี ผมไม่ค่อยได้กลับบ้านนัก เพราะว่าต้องการใช้เวลาซ้อมเปียโนที่โรงเรียนดนตรี และเรื่องเรียนดนตรีนี้ก็เช่นกัน ถ้าไม่มีไอ้นัย ป่านนี้ผมคงเลิกเรียนเปียโนไปแล้ว อย่าว่าแต่จะมาหาเวลาซ้อมเลย

ปิดเทอมครั้งนี้ ผมกับไอ้นัยมีเวลาอยู่ด้วยกันน้อยลงกว่าก่อน คุณอาของไอ้นัยมีงานคอมพิวเตอร์หลายอย่างให้ไอ้นัยช่วย ส่วนใหญ่เป็นพวกงานพิมพ์เอกสาร ดังนั้นในบางวันไอ้นัยก็ไม่ได้ออกจากบ้าน ผมจึงต้องเดินทางไปซ้อมเปียโนคนเดียว

เมื่อปิดเทอมไปได้สักระยะหนึ่ง ผมเริ่มสังเกตว่าแม้จะสอบปลายภาคเสร็จและปิดเทอมแล้วก็ตาม แต่ไอ้นัยก็ยังเงียบขรึมอยู่เช่นเดิม อีกทั้งสีหน้าก็ไม่แจ่มใส ถ้าเคร่งเครียดเรื่องสอบ เมื่อสอบเสร็จก็น่าจะหาย หรือว่าไอ้นัยไม่ได้เคร่งเครียดเกี่ยวกับเรื่องการสอบ และถ้าไม่ใช่เรื่องการสอบแล้วไอ้นัยจะเคร่งเครียดเกี่ยวกับเรื่องอะไร...

หรือว่าเป็นเพราะว่าไม่ค่อยได้เจอพี่เต้? ผมคิด


<กบฏทหารนอกราชการ หรือ กบฏ 9 กันยา เป็นการก่อกบฏเมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2528 ของนายทหารนอกประจำการคณะหนึ่ง ประกอบด้วย พันเอกมนูญ รูปขจร พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ พลเอกเสริม ณ นคร พลเอกยศ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ร่วมด้วยทหารประจำการอีกส่วนหนึ่ง และพลเรือนบางส่วนซึ่งเป็นผู้นำแรงงาน โดยได้ความสนับสนุนทางการเงินจากนักธุรกิจคนหนึ่ง การรัฐประหารครั้งนี้พยายามจะยึดอำนาจการปกครองที่นำโดยนายกรัฐมนตรี พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ โดยพยายามก่อการขึ้นในช่วงที่นายกรัฐมนตรีเดินทางไปราชการที่ประเทศอินโดนีเซีย ส่วนพลเอกอาทิตย์ กำลังเอก ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น อยู่ระหว่างปฏิบัติภารกิจในทวีปยุโรป

กลุ่มผู้ก่อการเรียกตนเองว่า “คณะปฏิวัติ” การก่อการเริ่มต้นเมื่อเวลา 3.00 น. โดยรถถังจำนวน 22 คัน จากกองพันทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์ (ม.พัน.4 รอ.) พร้อมด้วยกำลังทหารกว่า 400 นาย จากกองกำลังทหารอากาศโยธิน เข้าควบคุมกองบัญชาการทหารสูงสุด สนามเสือป่า กรมประชาสัมพันธ์ และองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย และอ่านแถลงการณ์ของคณะปฏิวัติ ระบุนาม พลเอกเสริม ณ นคร เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ

ต่อมาทหารฝ่ายรัฐบาล ซึ่งนำโดยพลเอกเทียนชัย สิริสัมพันธ์ รองผบ.ทบ. รักษาการตำแหน่ง ผบ.ทบ. ประสานกับฝ่ายรัฐบาลซึ่งพลเอกประจวบ สุนทรางกูร รองนายกรัฐมนตรี อยู่ในตำแหน่งรักษาการนายกรัฐมนตรี ได้ตั้งกองอำนวยการฝ่ายต่อต้านขึ้นที่ กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) บางเขน และนำกองกำลังจาก พัน.1 ร.2 รอ. เข้าต่อต้าน และออกแถลงการณ์ตอบโต้ กองกำลังหลักของฝ่ายรัฐบาลคุมกำลังโดยกลุ่มนายทหาร จปร. 5

เมื่อเวลาประมาณ 9.50 น. รถถังของฝ่ายก่อการ ที่ตั้งอยู่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า เริ่มระดมยิงเสาอากาศวิทยุ และอาคารของสถานีวิทยุกระจายเสียงกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ และยิงปืนกลเข้าไปในบริเวณวังปารุสกวัน ซึ่งเป็นที่ตั้งของกรมประมวลข่าวกลาง ทำให้ผู้สื่อข่าวต่างประเทศเสียชีวิตสองคน คือ นายนีล เดวิส ชาวออสเตรเลีย และนายบิล แรตช์ ชาวอเมริกัน

ทั้งสองฝ่ายปะทะกันรุนแรงขึ้น และมีการเจรจาเมื่อเวลา 15.00 น. โดยพลโทพิจิตร กุลละวณิชย์ เป็นตัวแทนฝ่ายรัฐบาล และพลเอกยศ เทพหัสดิน ณ อยุธยา เป็นตัวแทนฝ่ายกลุ่มผู้ก่อการ และทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้ และถอนกำลังกลับที่ตั้งเมื่อเวลา 17.30 น. ส่วนพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เดินทางกลับประเทศไทยเมื่อคืนวันที่ 9 กันยายน แล้วเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จังหวัดนราธิวาสในคืนนั้น

เมื่อการก่อรัฐประหารล้มเหลว กลุ่มผู้ก่อการก็กลายสถานภาพเป็นกบฏ กลุ่มผู้ก่อการ คือ พันเอกมนูญ รูปขจร และนาวาอากาศโทมนัส รูปขจร ได้ลี้ภัยไปสิงคโปร์และเดินทางไปอยู่ในประเทศเยอรมนีตะวันตก ส่วนคณะที่เหลือให้การว่าถูกบังคับจากคณะผู้ก่อการกบฏ มีผู้ถูกดำเนินคดี 39 คน หลบหนี 10 คน

มีข่าวลือเกี่ยวกับการยึดอำนาจครั้งนี้ว่า พันเอกมนูญ รูปขจร ทำหน้าที่เพียงเป็นหัวหอกออกมายึด เพื่อคอยกำลังเสริมของผู้มีอำนาจที่จะนำกำลังออกมาสมทบในภายหลัง และการกบฏครั้งนี้ล้มเหลวเนื่องจาก “นัดแล้วไม่มา”>



<ในขณะนั้น คาราบาว วงดนตรีเพื่อชีวิตกำลังมีชื่อเสียงและได้รับความนิยมอย่างสูง คาราบาวได้การติดต่อแกมบังคับตั้งแต่เวลา 03.00 น. ให้ไปตั้งวงแสดงดนตรีที่สวนอัมพร ซึ่งตามแผนจะมีการถ่ายสดการแสดงคอนเสิร์ตของคาราบาวทางโทรทัศน์ สลับกับการอ่านประกาศของคณะปฏิวัติ เพื่อปลุกใจให้คนหันมาเป็นแนวร่วม แต่ทว่าเกิดการผิดพลาดขึ้น รถถังของกลุ่มผู้ก่อการได้ยิงปืนประจำรถถังใส่เวทีคอนเสิร์ต ดังนั้น ในอัลบั้มชุดที่ 6 ของคาราบาว “อเมริโกย” จึงมีอยู่เพลงหนึ่งชื่อ มะโหนก มีเนื้อหาเกี่ยวกับชีวิตทหาร ในท้ายเพลงมีบันทึกเสียงปืนจากรถถังที่ ยิงใส่เวทีคอนเสิร์ตในวันเกิดเหตุด้วย พร้อมกับเสียงผู้คนโหวกเหวก และเป็นที่มาของหน้าปกอัลบั้มชุดนี้ที่เป็นลายพรางทหาร และคำว่า “vol.6” ในปกเทปเมื่ออ่านกลับหัวจะกลายเป็นคำ “9 กย.”>


ฟังเพลง มะโหนก ของคาราบาว สังเกตเสียงปืนและเสียงเอะเอะตอนท้ายเพลงเป็นเสียงที่บันทึกจากเหตุการณ์จริงในวันที่ ๙ กันยายน

Tuesday, March 24, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 69

การเดินทางไปและกลับจากโรงเรียนด้วยกันโดยไม่พูดคุยกันเป็นเรื่องน่าอึดอัดอยู่แล้ว การเดินเที่ยวสยามสแควร์โดยไม่พูดคุยกันยิ่งเป็นเรื่องที่ทั้งประหลาดและทั้งน่าอึดอัด

ทุกวันเสาร์เป็นวันที่ผมและไอ้นัยต้องไปเรียนดนตรีด้วยกัน จากนั้นก็มักแวะกินอาหารและเดินเล่นที่สยามสแควร์ วันเสาร์นี้ก็เช่นกัน เราเจอกันที่ป้ายรถเมล์ปากซอยภาวนาเช่นเคย จากนั้นก็นั่งรถ ปอ.๒ ไปลงที่สยามสแควร์ จากนั้นก็เดินต่ออีกเล็กน้อยเพื่อไปยังโรงเรียนดนตรี

ตลอดทางขาไป เราไม่ได้คุยกันเลย จนเมื่อเรียนเสร็จ ผมเห็นไอ้นัยยืนรอผมอยู่ ผมลังเลใจ อยากอยู่กับไอ้นัยก็อยาก แต่จะไปเดินเที่ยวกันยังไงทั้งๆที่ไม่พูดจากัน

ไอ้นัย มึงง้อกูหน่อยไม่ได้หรือไงวะ กูไม่ได้โกรธมึงหรอกนะ แต่อยากให้มึงง้อกูหน่อยเท่านั้นแหละ... ผมคิดในใจ

ไอ้นัยไม่พูดจาอะไร ผมก็ไม่พูดอะไร เราสองคนเดินออกจากโรงเรียนดนตรี และมุ่งไปยังสยามสแควร์โดยไม่ได้ตกลงกันเอาไว้ก่อน ทุกอย่างเป็นไปตามความเคยชิน

ร้านแรกที่เราแวะก็คือร้านโดนัท เมื่อไปถึง เราก็เอาข้าวของไปวางบนโต๊ะก่อน ไอ้นัยตั้งท่าจะไปซื้อโดนัทที่เคาน์เตอร์

“เดี๋ยวกูเอง” ผมพูดสั้นๆ ช่วงหลังผมคอยบริการไอ้นัยตลอด เวลาอยู่ในร้านโดนัทมันแค่นั่งกระดิกเท้ารอกินอย่างเดียว แม้ในวันที่เราขัดเคืองกัน ผมก็ยังไม่อยากให้เปลี่ยนเป็นอื่น

ไอ้นัยนั่งซึมกระทือรออยู่ที่โต๊ะ ไม่กระดิกเท้าอย่างอารมณ์ดีเหมือนเช่นเคย ผมเริ่มใจแป้วเมื่อเห็นเพื่อนรักตั้งแต่ในวัยเด็กนั่งเศร้าสร้อย อยากเข้าไปคุยกับมัน แต่อีกใจหนึ่งก็มีทิษฐิ อยากให้ไอ้นัยง้อผมบ้าง แม้สักนิดเดียวก็พอใจแล้ว

ในที่สุด ผมก็ซื้อโดนัทและน้ำอัดลมไปนั่งกินกับมัน ต่างคนต่างก็นั่งกินเงียบๆ กินเสร็จก็นั่งแช่อยู่ในร้านจนผมรู้สึกอึดอัด

เมื่อผมลุกจากที่นั่ง ไอ้นัยก็ลุกตาม เราสองคนเดินออกจากร้านโดนัทและเดินไปอย่างไม่มีจุดหมาย เดินอยู่เป็นเวลานานพอสมควร และแล้ว ในที่สุด การเดินของเราก็มาสิ้นสุดที่ป้ายรถเมล์...

เราสองนั่งรถ ปอ.๒ กลับด้วยกันโดยไม่ได้คุยกันเลยตลอดทาง วันเสาร์นั้นช่างเป็นวันที่น่าอึดอัดจริงๆ

“อู เป็นไรน่ะ ทำไมดูเซียวๆ” คุณป้าทักทายหลังจากที่ผมมาถึงบ้านและเข้าไปสวัสดี

“ผมน่ะหรือครับคุณป้า” ผมถามด้วยความแปลกใจ ผมว่าตนเองเก็บงำความรู้สึกเอาไว้อย่างมิดชิด แต่ทำไมคุณป้ามองปราดเดียวก็สังเกตออก

“ก็ใช่น่ะสิ ดูซึมเชียว ไม่สบายหรือเปล่า” คุณป้าถามด้วยความเป็นห่วง

“เปล่าครับ คุณป้า อูสบายดีครับ” ผมตอบ จากนั้นก็เดินเลี่ยงและขึ้นห้องไป

ไม่ใช่แต่คุณป้าเท่านั้น แม้แต่คุณลุงและเอ๊ดต่างก็เห็นความผิดปกติเช่นกัน

“อู ช่วงนี้เป็นอะไรไปน่ะ” เอ๊ดถาม

“เปล่านี่” ผมปฏิเสธ

“ดูอูเงียบไป มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า” เอ๊ดถามจี้ใจดำ

“เปล่านี่” ผมยืนยันคำเดิม

“เอา ปากแข็งเข้าไป” เอ๊ดถอนหายใจ “อูเป็นแบบนี้ทีไร แสดงว่าต้องมีเรื่องทุกที ไม่บอกก็ตามใจ อย่าให้เดือดร้อนก็แล้วกัน”

พี่น้องกันก็ย่อมเข้าใจกันลึกซึ้งกว่า เอ๊ดดูออกว่าผมมีเรื่องอยู่ในใจ ผมไม่กล้าคุยกับเอ๊ดต่อ รีบหนีไปที่อื่น เพราะเกิดความกลัวลึกๆอยู่ในใจ... กลัวว่าถ้าขืนคุยกันต่อ เอ๊ดอาจจะจับเค้าเงื่อนบางอย่างของความสัมพันธ์ที่พิเศษระหว่างผมกับไอ้นัยได้

สุดสัปดาห์นั้นผมเต็มไปด้วยความรู้สึกที่อึดอัดและเศร้าสร้อย... ไอ้นัย มึงจะง้อกูสักนิดก็ไม่ได้เชียวหรือ ผมคิดแต่คำพูดประโยคนี้วนไปวนมาอยู่ตลอดเวลา

- - -

เช้าวันจันทร์

เมื่อผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้ามืด ก่อนตีห้า เมื่อเดินงัวเงียลงมาข้างล่าง ผมก็พบว่าคุณลุงและคุณป้าอยู่ในห้องนั่งเล่นและกำลังฟังวิทยุอยู่ด้ยสีหน้าเคร่งเครียด ส่วนเอ๊ดนั้นยังไม่ตื่น

บรรยากาศในบ้านวันนั้นรู้สึกผิดปกติ คุณลุงกับคุณป้าไม่เคยนั่งเฝ้าวิทยุตั้งแต่เช้ามืดเช่นนี้มาก่อน เสียงเพลงที่ดังออกมาจากวิทยุนั้นเป็นเพลงมาร์ชปลุกใจ

“อู วันนี้ไม่ต้องไปโรงเรียนแล้ว ข้างนอกมีการรัฐประหาร” คุณลุงพูดขึ้นทันทีเมื่อเห็นผม

เมื่อได้ยินว่าไม่ต้องไปโรงเรียน ผมหายงัวเงียทันที

“มีอะไรนะครับ คุณลุง” ผมถามซ้ำ

“ข้างนอกมีรัฐประหาร มีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังพยายามยึดอำนาจรัฐ มีการเอารถถังเข้ายึดสถานที่สำคัญด้วย ลุงกำลังติดตามข่าวอยู่” คุณลุงพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

ปฏิวัติ รัฐประหาร รถถัง ควันปืน รอยเลือด และคราบน้ำตา เป็นสิ่งที่ผมได้ยินมาตั้งแต่เด็ก ผมผ่านเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม และ ๖ ตุลาคม ในวัยที่ยังไร้เดียงสา ไม่รู้ความ จวบจนเมื่อเติบใหญ่ขึ้น ก็ได้รับรู้เรื่องราวในอดีตจากการเล่าขานและในหนังสือ ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่ผมได้ร่วมอยู่ในหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์การเมืองไทยด้วยตนเอง...

มีการประกาศคำสั่งของคณะทหารผู้ก่อการยึดอำนาจรัฐที่เรียกตนเองว่า คณะปฏิวัติ ออกมาหลายต่อหลายฉบับ ผมนั่งฟังอยู่กับคุณลุงและคุณป้าอย่างสนใจ

“แล้วนี่จะนองเลือดไหมครับ” ผมถาม พลางหวนนึกไปถึงเหตุการณ์รุนแรงในอดีตตามที่เคยได้ยินมา

“ไม่รู้สิ” คุณลุงพูดอย่างครุ่นคิด “พวกนี้อาศัยจังหวะที่นายกฯไปราชการที่อินโดนีเซีย และ ผบ.ทบ. ไปราชการที่ยุโรปก่อการรัฐประหาร ฝ่ายรัฐบาลคงไม่ยอมให้ยึดอำนาจง่ายๆอยู่แล้ว ยังไงคงต้องมีการปะทะกัน ส่วนจะสูญเสียขนาดไหนคงตอบยาก”

“เดี๋ยวลุงต้องรีบไปแล้วละ วันนี้อูกับเอ๊ดไม่ต้องไปโรงเรียน ยังไงคงเรียนไม่ได้อยู่แล้ว และห้ามออกไปไหนด้วย ข้างนอกอาจมีอันตราย รู้ไหม” คุณลุงสั่งด้วยเสียงเอาจริงเอาจัง

“ครับ” ผมรับคำ

คนแรกที่ผมคิดถึงก็คือไอ้นัย ผมเหลือบมองไปที่นาฬิกา ตอนนั้นก็เกือบจะตีห้าครึ่งอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าไอ้นัยจะรู้ข่าวหรือไม่ จะโทรศัพท์ไปที่บ้านไอ้นัยตอนนี้ก็ไม่กล้า เพราะว่าคุณลุงกับคุณป้านั่งอยู่

คุณลุงรีบไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปทำงาน คุณลุงบอกว่าเนื่องจากเป็นข้าราชการ ดังนั้นแม้มีเหตุการณ์แบบนี้ก็ต้องเข้าไปทำงานก่อน หลังจากนั้นจะอย่างไรค่อยว่ากันอีกที

นี่ถ้าไอ้นัยมันไม่รู้ข่าวและออกจากบ้าน อีกสักครู่มันก็คงมายืนรอผมที่ป้ายรถเมล์ สถานการณ์ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ แต่ฟังดูคงจะแย่ เพราะมีรถถังออกแล่นเพ่นพ่านด้วย ไอ้นัยจะมีอันตรายไหม…

อาศัยโอกาสที่คุณลุงขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อเตรียมออกไปทำงาน และคุณป้ากำลังสนใจกับประกาศของคณะผู้ก่อการรัฐประหาร ผมรีบขึ้นไปเปลี่ยนจากชุดนอนเป็นเสื้อยืดกางเกงขาสั้น จากนั้นอาศัยความมืดก่อนรุ่งอรุณเล็ดลอดออกจากบ้านไปอย่างเงียบๆ

ผมรีบวิ่งไปทางปากซอยเพื่อไปเตือนไอ้นัย ระหว่างที่ผมวิ่งไปได้ครึ่งทางนั้นเอง ผมก็เห็นเงาร่างตะคุ่มๆของใครคนหนึ่ง ในมือถือกระเป๋านักเรียน เดินอย่างเร่งร้อนเข้ามา

“นัย” ผมร้องเรียกอย่างดีใจเมื่อเห็นเงาร่างนั้นชัดตา ไอ้นัยนั่นเอง

ผมปราดเข้าไปคว้ามือไอ้นัยมากุมอย่างยินดี ความห่วงใยกังวลคลายไปสิ้นเมื่อเห็นไอ้นัยปลอดภัย

“ข้างนอกมีเรื่อง ไม่รู้จะยิงกันหรือเปล่า มึงรีบเข้ามาหลบก่อน” ผมรีบพูดต่อ

ผมไม่เปิดโอกาสให้ไอ้นัยพูดอะไร ลากมันกึ่งเดินกึ่งวิ่งจนมาถึงหน้าบ้าน

“ทำไมถึงได้หน้าตาตื่นขนาดนี้วะ” ไอ้นัยทำหน้างงๆเมื่อผมลากมันเข้ามาในบ้านเรียบร้อยแล้ว เรายืนคุยกันอยู่ที่หน้าโรงรถของคุณลุง

“มึงยังไม่รู้อะไร ข้างนอกมีการรัฐประหารกัน มีทหารเอารถถังออกมายึดสถานที่บางแห่งแล้วด้วย อาจจะมีการยิงกันก็ได้” ผมอธิบายไปก็หอบไป

“โธ่ ไอ้อู นั่นมันอยู่ในเมือง ที่นี่มันชานเมือง รถถังไม่มาแถวนี้หรอก” ไอ้นัยหัวเราะขำ

“อ้อ มึงรู้เรื่องแล้ว” ผมถามด้วยความงุนงง “แล้วมึงยังมานี่อีกทำไมวะ ทำไมไม่รีบกลับบ้าน”

“กูเพิ่งรู้ตอนอยู่บนรถเมล์ วันนี้คนโล่งฉิบหายเลย กระเป๋ามาบอกว่าเมื่อตอนเช้ามืดมีรัฐประหาร วันนี้โรงเรียนปิด ไม่ต้องไปโรงเรียนแล้ว” ไอ้นัยเล่า

“แล้วไง” ผมถามต่อ

“กูก็ว่าจะแวะลงจากรถโทรศัพท์ไปหามึง แต่กูกลัวว่าถ้าไม่ใช่มึงรับสาย กูจะโดนด่าว่าโทรมาแต่เช้ามืด ก็เลยไม่กล้าโทร เลยคิดว่าไหนๆขึ้นรถมาแล้ว กูแวะมาดูมึงเลยดีกว่า” ไอ้นัยอธิบาย “ว่าแต่ทำไมมึงแต่งชุดนี้วิ่งออกไปปากซอยวะ” ไอ้นัยถามต่อ

“คุณลุงกูรู้เรื่องแต่เช้ามืดแล้ว และสั่งไม่ให้กูออกไปไหน แต่กูเป็นห่วงมึง กลัวว่ามึงจะเข้าเมืองไป เลยจะออกไปบอกมึงนี่แหละ” ผมเล่า

ขณะนั้นเอง คุณลุงออกมาจากในบ้านพอดี พอคุณลุงเห็นผมและไอ้นัยก็ชะงัก ไอ้นัยยกมือไหว้คุณลุง

“นี่อูออกไปไหนมา” คุณลุงถาม ขณะเดียวกัน คุณป้าก็เดินออกมาสมทบ

“ผมออกไปหาเพื่อนครับ คือเรานั่งรถไปเรียนด้วยกันทุกวัน ผมห่วงมัน กลัวมันอยู่ข้างนอกจะไม่ปลอดภัย เลยไปพามันเข้ามาก่อนครับ” ผมอธิบาย

คุณลุงไม่พูดอะไร รีบเปิดประตูบ้านและขับรถออกจากบ้านไปอย่างเร่งรีบ คงรีบจนไม่มีเวลาซักไซร้ต่อ

“ก็ลุงเค้าสั่งไว้แล้วว่าไม่ให้ออกไปไหน” คุณป้าพูดกับผมเป็นเชิงตำหนิ

“คุณป้าครับ” ผมทำเสียงอ้อน หนึ่งปีกว่าที่ผมมาอยู่ที่บ้านนี้ ผมเรียนรู้ที่จะปรับตัว ผมสังเกตออกว่าคุณลุงและคุณป้าแม้จะเป็นคนเจ้าระเบียบ รักสันโดษ แต่ก็เป็นคนที่มีเมตตา ถ้าทำอะไรผิดแล้วยังเถียงมีแต่จะพัง ต้องอ้อนสถานเดียว

“ขอโทษครับ แต่เพื่อนทั้งคน จะไม่ให้เป็นห่วงได้ยังไงครับ” ผมใช้ลูกอ้อน “แต่ต่อไปอูจะไม่ขัดคำสั่งอีกแล้วครับ”

คุณป้าคลายสีหน้าลงเมื่อเจอไม้นี้เข้า

“พูดแล้วระวังจมูกยาวนะ” คุณป้าพูดยิ้มๆ ผมงง ส่วนไอ้นัยถึงกับปล่อยหัวเราะกิ๊ก

“หมายความว่าไงครับ” ผมถาม

ไอ้นัยยกศอกกระทุ้งสีข้างของผม “ก็พิน็อกคิโอไง ยิ่งโกหก จมูกก็ยิ่งยาว” ไอ้นัยอธิบายพลางหัวเราะ

คุณป้ายิ้มอย่างพึงพอใจ “เออ พ่อหนุ่มคนนี้หัวไวดีนะ เก่งจริง”

หลังจากนั้น คุณป้าก็บอกกับไอ้นัยว่าไม่ควรกลับบ้านเอง ควรให้ผู้ใหญ่มารับ เพราะข้างนอกอาจไม่ปลอดภัย พลางบอกให้ไอ้นัยเข้าไปใช้โทรศัพท์ข้างในบ้าน อีกทั้งยังชวนไอ้นัยให้กินอาหารเช้าด้วยกันก่อนอีกด้วย

เมื่อคุณป้าเดินเข้าไปในบ้านเพื่อเข้าครัว เหลือแต่ผมกับไอ้นัยอยู่ที่โรงรถ ตอนนั้นฟ้าสางแล้ว ผมมองดูไอ้นัย ใบหน้าที่ผมคุ้นเคยมาตั้งแต่วัยเยาว์ จากเดิมที่เกลี้ยงเกลา จนกลายมาเป็นมีสิวเล็กน้อยพร้อมกับไรหนวดสีเขียวเหนือริมฝีปาก ใบหน้าที่ชอบตีหน้าตายอยู่เสมอ...

“คิดไรอะ” ไอ้นัยถาม ผมสะท้านตื่นจากภวังค์

“เปล่า ไม่มีอะไร” ผมตอบปฏิเสธ

ไอ้นัยเอื้อมมือมาจับมือของผมไว้ แล้วบีบเบาๆ “ขอบใจนะอู... ขอบใจ...ที่มึงเป็นห่วงกู” ไอ้นัยพูดเบาๆ


<การรัฐประหารในครั้งนั้นเริ่มต้นขึ้นเมื่อเวลาประมาณ ๓.๐๐ น. ทหารกลุ่มหนึ่งเข้ายึดอำนาจรัฐ โดยมีกองกำลังทหารราว ๔๐๐ นาย และรถถังจำนวน ๒๒ คันบุกเข้าควบคุมสถานที่สำคัญต่างๆ อาทิ กองบัญชาการทหารสูงสุด สนามเสือป่า กรมประชาสัมพันธ์ และองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย ในภาพ รถถังคันหนึ่งกำลังยิงอาวุธหน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม>

Saturday, March 21, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 68

“เอ้า นักเรียนจับกลุ่มกัน กลุ่มละห้าคน แล้วส่งตัวแทนมาจับฉลากหัวข้อที่จะอภิปราย แล้วคราวหน้าเรามาคุยกัน ให้เวลาพูดกลุ่มละ ๑๐ นาที” อาจารย์วิชาสังคมศึกษาจัดให้มีกิจกรรมอภิปรายกลุ่มย่อยเรื่องปัญหาสังคมขึ้นในชั่วโมงเรียน และสั่งให้นักเรียนจับกลุ่มกัน

อ๊อดคล้องแขนผมเอาไว้ “กูจองตัวมึงนะ”

“มึงไม่คิดจับกลุ่มกับคนอื่นบ้างเหรอ” ผมถาม

“โฮ้ย จะไปทำยังงั้นทำไม” อ๊อดหัวเราะ “จับกลุ่มกับมึงสบายจะตายห่า คนอื่นมันจะยอมให้กูกินแรงแบบมึงเรอะ”

“โห เล่นเว้ากันซื่อๆเลยนะมึง หน้าด้านฉิบหาย” ผมด่ายิ้มๆ

งานกลุ่มต่างๆไม่ว่ากลุ่มใหญ่หรือกลุ่มเล็ก อ๊อดมักเข้ากลุ่มร่วมกับผมเสมอ หลายๆครั้งที่อ๊อดขี้เกียจ มักโยนงานให้ผมทำแทน แต่ความสนิทสนมทำให้ผมไม่เคยถือสา

หลังจากที่เหตุการณ์จับขโมย ตี๋เปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากเดิมที่เคยกวนประสาทเพื่อนๆ ชอบต่อล้อต่อเถียง กลายเป็นเด็กที่เงียบขรึม ไม่พูดจา เวลาเรียนก็ไม่พูดคุยกับใคร เวลาพักก็ไม่สุงสิงกับใคร กินข้าวเสร็จแล้วก็ไปนั่งอ่านหนังสือในห้องสมุด

ตี๋ทำตัวแปลกแยก ที่จริงผมก็ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าตี๋ทำตัวแปลกแยก หรือว่าเพื่อนๆโดดเดี่ยวตี๋กันแน่ เพราะหลังจากเกิดเหตุการณ์ จิก็พยายามโน้มน้าวเพื่อนๆให้แอนตี้ตี๋ แต่ทุกคนในห้องก็ไม่ได้คล้อยตามจิไปเสียหมด หลังจากที่ผมเริ่มไปนั่งกินอาหารเที่ยงกับตี๋ เพื่อนๆบางคนก็ไปนั่งกินข้าวกับตี๋บ้าง บางทีอ๊อดกับผมก็ไปนั่งกินด้วยกันกับตี๋ แต่การที่ตี๋ไม่พูดจากับใคร ก็เหมือนกับตี๋ก่อกำแพงสร้างโลกขังตัวเองเอาไว้ภายใน แม้เพื่อนๆอยากจะเข้าถึงตี๋แต่ก็ไม่สามารถเข้าถึงได้ ในที่สุด ตี๋ก็อยู่ในสภาพโดดเดี่ยว

ความโดดเดี่ยวของตี๋ไม่ได้ทำให้เกิดผลดีเลย แทนที่ทุกอย่างจะค่อยๆดีขึ้น เพื่อนๆจะค่อยๆลืมเหตุการณ์ในอดีต สถานการณ์ของตี๋กลับยิ่งเลวร้ายลง เพราะเมื่อมีการจับกลุ่มทำกิจกรรม ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก ตี๋จะกลายเป็นตัวปัญหาเสมอ ไม่มีใครอยากจับกลุ่มกับตี๋เพราะตี๋ไม่พูด แม้ตี๋จะช่วยงานกลุ่ม ใครสั่งให้ทำอะไรก็ทำ ไม่มีอิดออด ไม่มีต่อรอง แต่การที่ตี๋ไม่พูดทำให้การสื่อสารในกลุ่มไม่ราบรื่น เพื่อนๆจึงเอือมระอาที่จะจับกลุ่มกับด้วย แม้แต่เหล่าอาจารย์เองก็หนักใจ เพราะว่าเมื่อจับกลุ่มกันทีไร ตี๋จะกลายเป็นส่วนเกินที่ไม่มีกลุ่มไหนเอาทันที ร้อนถึงอาจารย์ต้องช่วยจัดการยัดเยียดตี๋ให้แก่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเสมอ

“มึงไม่ต้องเอาไอ้ตี๋มาเข้ากลุ่มนะ” อ๊อดพูดดักคอ

“ทำไมล่ะ” ผมถาม ที่จริงก็รู้สาเหตุอยู่แล้ว

“เอาหุ่นยนต์หรือคนใบ้มาเข้ากลุ่มยังดีกว่า” อ๊อดตอบพลางพูดเตือนสติ “มึงเห็นใจไอ้ตี๋ แต่มึงก็ต้องเกรงใจคนอื่นด้วยนะไอ้ไก่อู”

ช่วงหลังผมกับอ๊อดพยายามให้ความเอื้อเฟื้อแก่ตี๋ โดยเมื่อมีการจับกลุ่มทำกิจกรรม ไม่ว่าจะกิจกรรมย่อยหรือใหญ่ ก็มักชวนมันเข้ากลุ่มด้วย แต่ต่อมาแม้แต่อ๊อดเองก็เอือมระอา ที่จริงผมเองก็เบื่อพฤติกรรมของไอ้ตี๋เหมือนกัน แต่ความสงสารมีมากกว่า จึงพยายามทนๆไป แต่อ๊อดพูดถูก ผมเองก็ต้องเกรงใจเพื่อนคนอื่นด้วย ดังนั้นบางครั้งผมก็ต้องตัดใจไม่ชวนตี๋เข้ากลุ่ม

ส่วนตี๋เองนั้นตอนแรกผมก็ไม่แน่ใจว่ามันจะรู้สึกเดือดร้อนหรือเปล่า เพราะแม้จับกลุ่มไม่ได้แต่ในที่สุดก็ต้องได้เข้ากลุ่มอยู่ดี เพราะอาจารย์จัดการให้ ความรู้สึกของตี๋เป็นเรื่องที่เกินความเข้าใจของผม เพราะว่าผมไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบนนี้มาก่อน

แต่เมื่อมาถึงตอนนี้ ผมเริ่มเข้าใจความรู้สึกของตี๋บ้างแล้ว เพราะสถานการณ์ของผมกับไอ้นัยก็ใกล้เคียงกัน...

หลังจากที่ผมโดยไอ้นัยตำหนิ จากเดิมที่ผมเคยยอมรับว่าไอ้นัยเหนือกว่าผมตลอดมาโดยไม่รู้สึกแตกต่างอะไร กลายเป็นเกิดความรู้สึกเปรียบเทียบและเกิดปมด้อยขึ้นมา ที่จริงผมก็ไม่ได้เปรียบเทียบตนเองกับไอ้นัยโดยตรง แต่เปรียบกับพี่เต้มากกว่า พี่เต้เหนือกว่าทั้งความรู้ ความคิด ความสามารถ วาทศิลป์ แม้แต่หน้าตา ฐานะ ชนิดที่ว่าไม่ว่ายกข้อไหนมาเปรียบกัน พี่เต้ก็เหนือกว่าทุกข้อ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ไอ้นัยชื่นชมพี่เต้ได้อย่างไร

ผลของความรู้สึกที่ด้อยกว่า ทำให้ผมเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ หลังจากเหตุการณ์ที่ไอ้นัยตำหนิผม ผมก็พูดคุยกับไอ้นัยน้อยลงมาก จะพูดก็เฉพาะที่จำเป็นต้องพูดกันตอนทำงานในสหกรณ์เท่านั้น แม้เราจะยังเดินทางไปโรงเรียนและกลับจากโรงเรียนด้วยกัน แต่ผมมักนั่งเฉยๆ ไม่ค่อยพูดอะไร ผมอยากให้ไอ้นัยชวนผมคุยบ้าง แต่ดูเหมือนไอ้นัยจะไม่เข้าใจ เมื่อผมเงียบ ไอ้นัยก็พลอยเงียบไปด้วย คนเราที่เคยสนิทกัน มีกิจกรรมต้องทำร่วมกัน แต่ไม่พูดจากัน ความอึดอัดที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ยากจะบรรยายความรู้สึกออกมาได้จริงๆ...

“เอ็งกับไอ้นัยเป็นอะไรไปวะ พี่เห็นนั่งใบ้แดกมาหลายวันแล้ว” พี่มั่วถามขึ้นในวันหนึ่ง วันนั้นเป็นเวรของผมกับพี่เอ้ รุ่นพี่ ม.๔ พี่มั่วมานั่งเล่น ส่วนไอ้นัยไม่อยู่ในห้องสหกรณ์ “โกรธกันใช่ไหม”

“นั่นดิ พี่ก็ว่ามันเงียบๆผิดปกติทั้งสองคน” พี่เอ้พูดขึ้นบ้าง

“มันโกรธกันอยู่แล้วล่ะ” พี่มั่วสรุปอย่างมั่นใจ “พี่ถามไอ้นัยมันก็ตอบแบบนี้ แสดงว่ามีอะไรชัวร์เลย”

“เฮ้ย ทะเลาะกันเรื่องอะไรวะ” พี่เอ้ถาม “พี่เห็นเอ็งสองคนสนิทกันจะตาย”

“ไม่มีอะไรจริงๆ เรื่องเด็กๆน่ะพี่” ผมตอบเลี่ยง

“อ้อ เอ็งบอกเรื่องของเด็กๆ แปลว่าพี่อย่าเสือกใช่ไหม” พี่มั่วตีรวน

“โห อย่าหาเรื่องผมดิพี่” ผมรีบปฏิเสธ “ไม่ได้หมายความยังงั้น”

“งั้นเล่ามา เร็วๆเข้า” พี่เอ้รุกคืบ กดดันให้ผมเล่าออกมา

“ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ” ผมอ้อมแอ้ม “แค่พูดผิดหู ก็เลยเคืองกัน โกรธกันไม่นาน เดี๋ยวก็หายแหละพี่”

หลังจากที่เค้นแล้วไม่ค่อยได้อะไรเท่าไร รุ่นพี่ทั้งสองคนก็เลยเลิกซัก คงรู้เพียงแต่ว่าเราสองคนเคืองกันเท่านั้น

ไอ้นัย มึงว่ากูเสียแรงเชียว กูเสียใจนะมึงรู้ไหม มึงจะไม่คุยกับกูหน่อยเหรอ มึงไม่คิดจะง้อกูบ้างเลยเหรอ... ผมคิดวนเวียนอยู่ในใจ แต่จนหลายวันผ่านไป ไอ้นัยก็ยังคงเฉยเมยอย่างเสมอต้นเสมอปลาย

- - -

กิจการของสหกรณ์คึกคักขึ้นตามลำดับ ทำให้มีเงินหมุนเวียนมากขึ้น แต่พอล่วงเข้าต้นเดือนกันยายน ธุรกิจก็เริ่มซบเซาลงไปบ้างเพราะนักเรียนใกล้สอบแล้ว ต่างก็เริ่มดูหนังสือสอบกัน รวมทั้งบรรดาอาจารย์ต่างก็คงเริ่มยุ่งกับการออกข้อสอบกัน นิตยสารรายปักษ์ฉบับล่าๆเริ่มได้รับผลกระทบ เพราะราคาค่าเช่าขึ้นกับความทันสมัยของนิตยสาร ตอนซื้อซื้อมาแพง แต่ปล่อยเช่าได้น้อย ทอดเวลาออกไปราคาค่าเช่าก็ตก ทำให้ไม่เหลือกำไร

แต่ลูกค้าน้อยงานก็น้อยลง ช่วงที่ผ่านมาพวกเราค่อนข้างเหน็ดเหนื่อยกับงานลงบัญชี เพราะว่าลงบัญชีลูกค้ากันไม่ค่อยจะทัน พอลูกค้าน้อยก็เลยไม่ต้องเหนื่อยมาก

เช้าวันหนึ่งในตอนต้นเดือนกันยายน ไอ้นัยกับผมมาเรียนด้วยกันตามปกติในแบบที่ไม่ค่อยปกติเท่าไรนัก กล่าวคือ เราสองคนยังไม่พูดกัน

เมื่อผมเดินไปถึงป้ายรถเมล์ก็พบไอ้นัยยืนรออยู่แล้วเช่นเคย ใบหน้าของมันเรียบเฉย สังเกตอารมณ์ไม่ออก

ผมเดินไปสมทบกับไอ้นัย จากนั้นเราก็ขึ้นไปนั่งบนรถเมล์ด้วยกัน นั่งที่นั่งติดกันเหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือเราไม่คุยกันเลยตลอดทางที่มาโรงเรียน

เมื่อไปถึงโรงเรียน เราเดินมาเงียบๆด้วยกันจนมาถึงหน้าตึกเรียน จากนั้นก็แยกย้ายกันเข้าห้องเรียนของตนเอง มันเป็นแบบนี้มาหลายวันแล้ว

วันนั้น หลังจากที่กินอาหารเที่ยงเรียบร้อย ผมก็เดินไปที่ห้องสหกรณ์ เดี๋ยวนี้ห้องสหกรณ์กลายเป็นที่สิงสถิตของผมไปแล้ว แม้บางวันไม่มีเวรก็ยังเข้าไปนั่งเล่น คล้ายกับเป็นห้องชมรมอะไรสักอย่างหนึ่ง พี่มั่วและคนอื่นๆก็เป็นเช่นเดียวกัน

เมื่อผมเดินเข้าไปในห้องสหกรณ์ ก็พบว่าไอ้นัยกำลังนั่งคุยกับพี่มั่วและพี่เอ้อยู่ที่โต๊ะ บนโต๊ะมีกระดาษต่อเนื่องแบบที่ใช้กับเครื่องพิมพ์กองอยู่ ตอนนั้นยังไม่มีสมาชิกเข้ามาใช้บริการ

“ไอ้นัย เอ็งนี่เจ๋งเลย” พี่มั่วชมเสียงดัง

“ฮื่อ มันร้ายโว้ย” พี่เอ้พูดขึ้นบ้าง

“มีอะไรกันเหรอ” ผมเดินเข้าไปร่วมวงสนทนาด้วย

“ดูนี่ดิ” พี่มั่วยกกระดาษต่อเนื่องขึ้นมาให้ผมดู

“ดูแล้ว แล้วไงอะครับ” ผมถาม เพราะดูแล้วก็ไม่เข้าใจ เห็นแต่บนกระดาษมีรายชื่อสมาชิกและจำนวนเงินเต็มไปหมด

“ไอ้นัยมันเอาโปรแกรมดีเบสมาช่วยทำบัญชีลูกค้า ต่อไปเพียงแค่ป้อนข้อมูลลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการเข้าไปทุกวัน พวกยอดสะสมต่างๆก็ไม่ต้องคำนวณแล้ว ให้โปรแกรมคำนวณได้เลย แถมจะออกรายงานยอดสะสมเมื่อไรก็ได้ ทุกวันยังได้เลย” พี่มั่วอธิบายอย่างตื่นเต้น

ตอนนั้นผมยังไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ก็พอรู้ว่าไอ้นัยมันคงไปศึกษาหาวิธีเอาโปรแกรมคอมพิวเตอร์มาช่วยทุ่นแรง และคงเป็นวิธีที่ได้ผลดี เพราะถึงกับทำให้พี่มั่วกับพี่เอ้ทึ่งได้

ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงรู้สึกดีใจและชื่นชมในความสามารถของไอ้นัย แต่สำหรับตอนนี้ไม่เลย ในใจผมเกิดคำถามมากมาย... ไอ้นัย มึงคิดจะเล่นอะไรทำไมไม่บอกกูมั่งวะ คงซุ่มทำมาพักใหญ่แล้วสิ แล้วมึงคิดอะไรสำเร็จ ทำไมเมื่อเช้ามึงไม่บอกกูสักคำ ทำไมไม่ให้กูรู้เป็นคนแรก ทำไมกูถึงได้รู้หลังพี่มั่วและพี่เอ้ ทั้งๆที่กูควรจะมีสิทธิ์ได้รู้ก่อน...

ครั้นถึงตอนบ่าย หลังเลิกเรียน เมื่อพี่เต้โผล่เข้ามาในห้อง พี่มั่วก็ยังเอ่ยชมไอ้นัยให้พี่เต้ฟังอีกด้วย เมื่อพี่เต้รู้รายละเอียด ถึงกับตบบ่าไอ้นัย

“เก่งจังนัย ยังงี้ต้องไปฉลองความสำเร็จกันหน่อยแล้ว” พี่เต้พูด

ขณะที่ทุกคนกำลังชื่นชมกับความสามารถของไอ้นัย ผมก็เริ่มเข้าใจความรู้สึกของการเป็นหมาหัวเน่าของตี๋ได้อย่างลึกซึ้งในตอนนี้เอง


<เมื่อผมเดินเข้าไปในห้องสหกรณ์ ก็พบว่าไอ้นัยกำลังนั่งคุยกับพี่มั่วและพี่เอ้อยู่ที่โต๊ะ บนโต๊ะมีกระดาษต่อเนื่องแบบที่ใช้กับเครื่องพิมพ์กองอยู่>

Wednesday, March 18, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 67

“อ้าว นัยไปไหนเสียล่ะ” เสียงพี่เต้ขาประจำดังขึ้นในตอนบ่ายหลังเลิกเรียนของวันหนึ่ง

วันนั้นที่จริงเป็นเวรทำงานของไอ้นัย แต่เนื่องจากพี่มั่วสั่งให้ไอ้นัยไปซื้อหนังสือการ์ตูนจากวังบูรพามาเพิ่ม ผมเลยรับหน้าที่บริการลูกค้าแทน ช่วงที่สหกรณ์เริ่มดำเนินการใหม่ๆ การ์ตูนญี่ปุ่นเป็นที่นิยมมาก โดยเฉพาะการ์ตูนแนวบู๊ดรากอนบอล นอกจากนั้นก็จะเป็นการ์ตูนญี่ปุ่นแนวคิกขุติงต๊อง เช่น ดร.สลัมป์และหนูน้อยอาราเร่ หรือไม่ก็แนวสร้างสรรค์เช่นโดเรมอน หุ่นยนต์แมวที่เล่นเป่ายิ้งฉุบแล้วต้องแพ้ทุกทีเพราะว่าออกได้แต่ค้อน เป็นต้น แหล่งของหนังสือการ์ตูนก็จะซื้อที่วังบูรพา ผ่านฟ้า สวนจตุจักร หรือไม่ก็ที่สยามสแควร์ร้านหมึกจีนหลังโรงหนังลิโด้ แล้วแต่ว่าการ์ตูนแนวไหน เมื่อการค้าดี เงินหมุนเวียนเพิ่มขึ้น จึงทำให้มีทุนไปซื้อหนังสือมาเพิ่ม

“ไปซื้อหนังสือการ์ตูนครับ” ผมตอบไม่เต็มเสียง เบื่อหน้าไอ้พี่เต้เหลือเกิน แต่ก็จำใจต้องให้บริการเพราะว่าเป็นหน้าที่

“แล้วจะกลับมาหรือเปล่า” พี่เต้ถาม

“มาดิครับ มันซื้อหนังสือการ์ตูนมาเยอะแยะ ยังไงก็ต้องเอามาเก็บ ไม่แบกกลับบ้านหรอกครับ” ผมตอบ

“เอ๊ะ ไอ้น้องนี่กวนดีโว้ย” พี่เต้หัวเราะอย่างอารมณ์ดี คงนึกว่าผมแหย่เล่น ที่จริงผมตั้งใจจะกวนตีนต่างหาก “ชื่ออูใช่ไหมน่ะเรา” พี่เต้ถามต่อ

“ใช่ครับ” ผมตอบ ดันรู้จักชื่อของผมเสียอีก นึกว่าสนใจแต่ไอ้นัยคนเดียว

หลังจากนั้น พี่มั่วก็ออกมายืนคุยกับพี่เต้สักครู่ จากนั้นพี่เต้ก็จากไป

“ทำไมเอ็งไปกวนตีนเค้ายังงั้นวะไอ้อู” พี่มั่วถามผม หลังจากที่พี่เต้กลับไปแล้ว

“พี่ได้ยินด้วยเหรอ” ผมถาม ทำหน้าใสซื่อบริสุทธิ์

“เอ็งไม่ต้องมาทำไก๋ ห้องแค่นี้เอง หูพี่ยังไม่หนวก ทำไมจะไม่ได้ยิน” พี่มั่วพูด

“เห็นพี่เค้ามาประจำ พอจะคุ้นกัน เลยแหย่เล่นน่ะพี่” ผมแก้ตัวน้ำขุ่นๆ “ว่าแต่พี่สองคนรู้จักกันเหรอ”

“ทำไมจะไม่รู้จักวะ ไอ้นี่มันเรียนอยู่ห้องติดกับพี่ เห็นมันทุกวันแหละ” พี่มั่วตอบ

- - -

วันศุกร์ปลายเดือน...

วันนั้นเป็นเวรของผมกับไอ้นัย ไอ้นัยอารมณ์ดีเป็นพิเศษ นั่งกระดิกเท้าผิวปากเล่นตลอดเวลาที่นั่งอยู่ในห้องสหกรณ์ในช่วงพักเที่ยง วันนั้นคนน้อย ผมกับไอ้นัยใช้เวลาไปกับการทำบัญชีสมาชิก ส่วนพี่มั่วไม่มีเวรในวันนั้น แต่เข้ามานั่งเล่นดูน้องๆทำงาน

“โอ๊ย หนวกหู” ผมเอะอะ

ไอ้นัยหยุดผิวปาก หัวเราะฮุฮุ “ผิวปากไม่ชอบ งั้นร้องเพลงให้ฟังเอาไหม”

“ไอ้เปรต” ผมด่าด้วยความหมั่นไส้สุดจะทน “เพลงก็ไม่ฟัง กูจะทำงาน”

พี่มั่วที่ยืนอยู่ใกล้ๆเอามือมาแตะหน้าผากของผม

“สงสัยไม่สบาย แดกยาแล้วลืมเขย่าขวดมั้ง” พี่มั่วแหย่ “เป็นไรไปวะอู”

พี่มั่วคงเริ่มรู้สึกผิดสังเกตแล้ว ผมฝืนยิ้ม แกล้งทำเป็นไม่มีอะไร

“พี่ถามมันดีกว่า ว่าไปกินอะไรมา ถึงได้อารมณ์ดี” ผมแกล้งทำเป็นพูดเล่น

“คนจะได้ไปเที่ยวก็ต้องอารมณ์ดีสิ อิจฉานัยละสิ” พี่มั่วแหย่อีก

“พี่รู้ด้วยเหรอว่าไอ้นัยจะไปเที่ยว” ผมถามด้วยความแปลกใจ ไอ้นัยมันไม่ช่างเล่าอยู่แล้ว พี่มั่วไปรู้มาได้ยังไง

“ก็ไอ้เต้มันบอกพี่เอง ทำไมจะไม่รู้ เขาใหญ่น่าเที่ยวจะตาย มันเสือกไม่ชวนพี่บ้าง” พี่มั่วพูดด้วยความอยากไป “นัย ถ้าไม่ไปก็บอกพี่นะ พี่ไปแทนให้เอง”

เย็นวันนั้น ขณะนั่งรถเมล์กลับบ้านด้วยกัน ไอ้นัยก็พูดเรื่องไปเที่ยวกับผม

“อู ถ้ามึงไม่อยากให้กูไป กูไม่ไปก็ได้นะ” ไอ้นัยพูด

“ไปเถอะ” ผมกัดฟันพูด “จู่ๆทำไมลังเลล่ะ”

“ก็กูเห็นมึงอารมณ์ไม่ดี คิดว่า เอ่อ... มึงอาจไม่ค่อยพอใจ” ไอ้นัยพูดด้วยความระมัดระวัง

“มึงจะว่ากูอิจฉาใช่มั้ย” ผมพูดอย่างรู้ทัน

ไอ้นัยตีหน้าตาย “มึงพูดเองนะ กูไม่ได้พูด” ว่าแล้วก็หัวเราะฮุฮุ จนผมอดหัวเราะไม่ได้

ไอ้นัยเป็นคนฉลาดและรู้ใจผม มันมักรู้เท่าทันความคิดของผมเสมอ แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่มันไม่เคยรู้ก็คือ ผมไม่เคยอิจฉามันเลย แม้ว่ามันจะฉลาดกว่าผม เรียนเก่งกว่าผม หรือได้รับโอกาสดีกว่าผมในหลายๆเรื่อง ผมก็ไม่เคยอิจฉาในความสำเร็จของมัน ความขุ่นข้องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เกิดจากความรู้สึกที่เข้าใจได้ยาก... มันคล้ายกับว่ามีใครกำลังมาแย่งของรักของผมไป... มันเป็นความหวงแหน ไม่ใช่ความอิจฉา

“เออ กูหงุดหงิดพี่เต้นิดหน่อย กลัวว่าเค้าจะหลอกใช้อะไรมึงอีกเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรหรอก มึงไปเที่ยวให้สบายใจเถอะ กูก็คิดมากไปเองแหละ” ผมแก้ตัวให้พี่เต้ พร้อมตำหนิตนเองเสร็จสรรพ เพื่อความสบายใจของไอ้นัย

- - -

วันหยุดสุดสัปดาห์ในครั้งนั้นเป็นวันที่น่าเบื่อหน่ายสำหรับผม ผมไปเรียนเปียโนคนเดียว ตอนบ่ายก็ไปนั่งกินโดนัทคนเดียว จากนั้นก็ไปเดินเล่นที่สยามสแควร์คนเดียว เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าเมื่อไม่มีไอ้นัยอยู่ด้วย

และแล้ว ในที่สุดก็ถึงวันจันทร์อีกครั้งหนึ่ง ไอ้นัยมายืนรอผมที่ป้ายรถเมล์ในตอนเช้าเช่นเคย ใบหน้าของไอ้นัยยิ้มแย้มแจ่มใส

“เป็นไง สนุกไหม” ผมทัก

ไอ้นัยยิ้มแฉ่ง “โคตรหนุกเลย กลางคืนไปส่องสัตว์กันด้วยล่ะ เห็นช้าง เก้ง กวาง เยอะแยะเลย ยีราฟก็มี”

“มียีราฟด่วยเหรอ” ผมถามด้วยความประหลาดใจ

“ไม่มีหรอก กูพูดไปยังงั้นเอง” ไอ้นัยหัวเราะ

ไอ้นัยเล่าเรื่องการไปเที่ยวเขาใหญ่ให้ผมฟังตลอดการเดินทางในเช้าวันนั้น ดูท่าไอ้นัยคงสนุกมากจริงๆ

หลังจากนั้น พี่เต้ก็แวะเวียนมาที่สหกรณ์ทุกวันที่ไอ้นัยอยู่ บางทีก็มายืมการ์ตูน บางทีก็มาคืน บางทีก็มานั่งเล่นสิงอยู่ในห้องสหกรณ์เฉยๆยังงั้นแหละ

“นัย มาดูอะไรนี่สิ” พี่เต้เดินเข้ามาในห้องสหกรณ์ในวันหนึ่ง ในมือถือถุงพลาสติกใบเขื่อง

“ดูอะไรพี่” ไอ้นัยถาม

“นัยลองทายดูสิ ว่าในนี้มีอะไร” พี่เต้พูด

สรรพนามที่รุ่นพี่ใช้กับรุ่นน้องนั้น ถ้าไม่สนิทกันและรุ่นพี่สุภาพหน่อย ก็จะเรียกตัวเองว่าพี่ แล้วเรียกน้องว่าน้อง แต่ถ้ารุ่นพี่เกๆหน่อย ก็มักจะข่มรุ่นน้อง ขึ้นกูมึงกันเลย

ส่วนถ้าสนิทกันแล้วพี่จะใช้กู-มึง หรือข้า-เอ็ง กับน้องก็ถือว่าปกติ อย่างพี่มั่วค่อนข้างสุภาพกับรุ่นน้อง ปกติไม่ใช้กูมึง จะใช้ว่าพี่-เอ็ง น้อยนักที่รุ่นพี่จะสุภาพกับรุ่นน้องถึงขนาดเรียกชื่อน้องเป็นสรรพนามบุรุษที่สองเช่นพี่เต้

“อะไรอะ” ไอ้นัยทายไม่ถูก

“นี่ นี่ นี่” พี่เต้พูดพร้อมกับหยิบของในถุงออกมา มันคืออัลบั้มรูปถ่าย มีอยู่หลายอัลบั้มทีเดียว “รูปถ่ายตอนไปเที่ยวไง”

ไอ้นัยรีบตะครุบอัลบั้มมาดูทันที ผมชะโงกเข้าไปดูบ้าง เห็นในอัลบั้มมีรูปครอบครัวของพี่เต้ น้องๆที่ช่วยหาเสียง แต่ที่เห็นเยอะมากคือรูปของไอ้นัย โดยเฉพาะไอ้นัยถ่ายร่วมกับพี่เต้

“โห ถ่ายรูปสวยจัง” ไอ้นัยอุทานอย่างชื่นชม “พี่เต้นี่เก่งหลายอย่างเลย ถ่ายรูปก็เก่ง”

เออ ไอ้พี่เต้เก่งหมด ดีหมด กูไม่มีอะไรดีสักอย่าง ผมคิดด้วยความน้อยใจ ไอ้นัยไม่เคยชมผมแบบนี้มาก่อนเลย ดูท่าผมคงไม่ค่อยมีความสามารถอะไรจริงๆ

ผมรู้สึกเหมือนกับตนเองเป็นส่วนเกินของวงสนทนา จึงค่อยๆปลีกตัวออกมา ปล่อยให้พี่เต้กับไอ้นัยชื่นชมกับภาพถ่ายกันไปสองคน

- - -

พี่เต้แวะมาที่สหกรณ์บ่อยๆจนเหมือนกับเป็นสตาฟทำงานคนหนึ่ง พี่เต้พยายามคุยและสนิทสนมกับทุกคนในห้อง แต่ถึงอย่างไรผมก็ดูออกว่าพี่เต้มาเพราะต้องการมาหาไอ้นัย

ไอ้นัยเองหลังจากที่ไปเที่ยวกลับมาดูเหมือนจะสนิทสนมกับพี่เต้ขึ้นอีกมาก แม้แต่เวลาลับหลังพี่เต้ก็มักพูดถึงพี่เต้ด้วยความชื่นชมอยู่เสมอ

“พี่ครับ ถ้าพี่ไม่ช่วยก็อย่าเกะกะได้ไหม” ผมพูดกับพี่เต้อย่างเหลืออดในวันหนึ่ง เนื่องจากพี่เต้ยืนเก้ๆกังๆขวางชั้นหนังสืออยู่ วันนั้นคนมาใช้บริการค่อนข้างเยอะ มีแต่ผมกับไอ้นัยสองคน ไอ้นัยเองก็ยุ่งจนไม่มีเวลาคุยกับพี่เต้

“เอ้อ โทษที” พี่เต้พูด “ยุ่งกันอยู่ งั้นพี่ไปก่อนละกัน”

ว่าแล้วพี่เต้ก็เดินออกไปจากห้องทันที

ที่จริงพี่เต้ก็เป็นคนดี พอรู้ว่าตัวเองผิดก็ขอโทษ ถ้าเป็นรุ่นพี่คนอื่น ผมอาจโดนเตะไปแล้วก็ได้

หลังจากที่คนซาลง ผมสังเกตว่าไอ้นัยสีหน้าไม่ค่อยดี แต่ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไร ไอ้นัยก็ชิงพูดขึ้นก่อน

“อู ทำไมมึงพูดกับพี่เต้เค้ายังงั้นวะ” ไอ้นัยพูดด้วยน้ำเสียงตำหนิ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ไอ้นัยตำหนิผมด้วยน้ำเสียงจริงจังขนาดนี้

ผมอึ้ง พูดไม่ออก ความรู้สึกหลายๆอย่างประดังกันขึ้นมาทั้งโมโห ทั้งเสียใจ ทั้งท้อแท้ ระคนกันจนผมเองก็แยกแยะไม่ออก

“พี่เต้ไปทำอะไรให้มึงวะ ถึงได้พูดกับเค้ายังงั้น” ไอ้นัยตำหนิซ้ำอีก

ผมนิ่งเงียบ อารมณ์ในตอนนั้นไม่คิดจะโวยวายเลย มันเหลือแต่ความท้อแท้ ไม่อยากต่อล้อต่อเถียง ถ้าไอ้นัยมันจะคิดว่าผมเลว ก็ปล่อยให้มันคิดไป


<หนังสือและนิตยสารที่ให้บริการแม้จะยังมีไม่มาก แต่ก็น่าสนใจพอสมควรในความเห็นของพวกเรา โดยพยายามหลีกเลี่ยงหนังสือที่มีอยู่แล้วในห้องสมุด จะได้ไม่แย่งลูกค้ากัน อีกทั้งพยายามหาหนังสือที่อยู่ในกระแสมาไว้บริการ>

Friday, March 13, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 66

“งั้นช่วยเรียกนัยออกมาหน่อยนะ” พี่เต้พูดกับผม

ที่จริงห้องสหกรณ์นั้นก็ไม่ได้กว้างใหญ่อะไร มีเพียงห้องเดียว ขนาดกะทัดรัด ที่ว่าไอ้นัยอยู่ข้างในนั้นก็มีเพียงตู้บังอยู่เพื่อกั้นส่วนหนึ่งให้เป็นที่ทำงานของสตาฟเท่านั้นเอง

ยังไม่ทันที่ผมจะเรียก ไอ้นัยคงได้ยินเสียงของพี่เต้ จึงเดินออกมาจากหลังตู้

“อ้าว นัย ได้ยินว่าอยู่ที่นี่ เลยมาเยี่ยม” พี่เต้ร้องทักเมื่อเห็นไอ้นัย สีหน้าของพี่เต้แจ่มใสอย่างเห็นได้ชัด น้ำเสียงก็ร่าเริง ไม่คล้ายคนที่เพิ่งพลาดหวังจากตำแหน่งประธานนักเรียนมา

“พี่เต้รู้ได้ไงอะ” ไอ้นัยร้องทักตอบ น้ำเสียงแสดงความยินดีไม่แพ้กัน

“มาคุยกันหน่อย มา” พี่เต้เรียกไอ้นัยออกไปคุยที่นอกห้อง

ไอ้นัยคุยกับพี่เต้ที่นอกห้องห่างออกไปจนไม่สามารถได้ยินเสียงสนทนา แต่สังเกตเห็นว่าทั้งคู่คุยกันอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส

สักครู่พี่เต้ก็จากไป และไอ้นัยก็เดินกลับเข้ามาในห้อง

“งานหาเสียงก็หมดไปแล้ว ทำไมยังมาหามึงอีกวะ” ผมยิงคำถามใส่ไอ้นัยทันที

“นั่นดิ พี่เต้บอกว่ามาเยี่ยมน้องๆ ทีแรกกูก็ยังงงๆ” ไอ้นัยตอบ รอยยิ้มจากการคุยกับพี่เต้ยังไม่หายไปจากใบหน้า

“จะมาหลอกใช้อะไรมึงอีกละสิ” ผมพูดดักคอด้วยน้ำเสียงที่แม้แต่ผมเองก็รู้สึกว่ามันห้วนกว่าปกติ

“ชอบมองโลกในแง่ร้ายเรื่อยเลยนะมึง” ไอ้นัยว่าผม

วันต่อมา ขณะที่เรานั่งทำงานกันอยู่ในห้องสหกรณ์ในช่วงพักเที่ยง พี่เต้ก็โผล่มาอีก คราวนี้ไม่ยืนรออยู่ที่หน้าประตูแล้ว แต่เดินอ้อมเข้าไปดูหลังตู้เลย

“นัย” พี่เต้เรียกไอ้นัยด้วยใบหน้ายิ้มแฉ่ง

หลังจากนั้น พี่แต้กับไอ้นัยก็พากันออกไปยืนคุยนอกห้องอีก คุยกันสักพัก พี่เต้ก็เดินจากไป

“มีอะไรคุยกันนักหนาวะ ถึงได้มาหาทุกวัน” ผมพูดด้วยความรู้สึกไม่พอใจ

“มาหาสองวันเอง ทุกวันที่ไหน” ไอ้นัยแก้ต่างให้พี่เต้ “ทีมึงกับกูเจอกันทุกวัน ก็ยังมีเรื่องคุยกันได้ทุกวัน”

“แล้วเค้ามาหามึงอีกทำไมวะ” ผมถามด้วยความอยากรู้

“เค้ามาชวนไปเที่ยวอะ” ไอ้นัยพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ไม่ได้สนใจกับสีหน้าและน้ำเสียงของผมเลย

“ชวนไปเที่ยว” คราวนี้ผมพูดเกือบเป็นเสียงตะโกน

“เบาๆก็ได้ มึงจะเอะอะไปทำไมวะอู ห้องเล็กแค่นี้เอง” ไอ้นัยดุผม แล้วพูดต่อ “พี่เต้บอกว่าปลายเดือนนี้พ่อแม่เค้าจะไปเที่ยวเขาใหญ่ พี่เต้เลยขอที่บ้านว่าจะชวนน้องๆที่ช่วยหาเสียงไปเที่ยวด้วยเพื่อขอบคุณที่ช่วยงาน”

ขนาดตอบแทนกันด้วยการพาไปเที่ยวเขาใหญ่ ที่บ้านไอ้พี่เต้นี่คงมีฐานะดีไม่น้อย อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงไม่เพียงแต่ในเมืองไทย แต่ยังโด่งดังไปทั่วโลก เพราะเป็นผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์และมีการจัดการด้านการท่องเที่ยวเป็นอย่างดี แม้แต่ผมเองก็ใฝ่ฝันที่จะได้ไปเยือนสักครั้งเช่นกัน ที่บ้านของพี่เต้จะไปเที่ยวกันในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ตอนปลายเดือน โดยค้างคืนหนึ่งคืน

“แล้วมึงว่าไง” ผมรีบถาม

“น่าสนจะตาย ถ้าคุณอาอนุญาตก็คงไปแหละ” ไอ้นัยตอบ

ผมรู้สึกว่าความโกรธพลุ่งขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมจะต้องโกรธที่ไอ้นัยได้ไปเที่ยว

“เราจะได้ไปเที่ยวด้วยกันไง มึงไม่อยากไปเหรอ” ไอ้นัยพูดต่อ

“มึงหมายความว่าไง” ผมงง

“เซ่ออีกแล้วมึงนี่” ไอ้นัยพูดยิ้มๆ “ก็กูบอกพี่เต้ว่าจะพาเพื่อนไปด้วยอีกคนนึง พี่เต้บอกว่าถ้ารถมีที่นั่งพอก็ไม่มีปัญหาอะไร ไปด้วยกันนะอู”

ความโกรธของผมที่พลุ่งขึ้นมาสงบลงไปบ้างเมื่อได้ยินไอ้นัยอธิบาย ไอ้นัยมันคงอยากให้ผมได้ไปเที่ยว แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ผมไม่ได้รู้สึกดีใจเลยที่จะได้ไปกับพี่เต้ ถึงอย่างไรก็ยังรู้สึกหงุดหงิดอยู่ดี

เสียงออดเข้าเรียนในภาคบ่ายดังขึ้น เราสองคนพูดกันจนลืมดูเวลา เราต้องพักการสนทนาเอาไว้ก่อน จากนั้นก็รีบวิ่งกลับเข้าห้องเรียน

- - -

เย็นวันนั้น ขณะที่นั่งรถเมล์กลับบ้าน

“อู” ไอ้นัยเริ่มการสนทนา “เรื่องเขาใหญ่อะ ตกลงว่าไง”

พอได้ยินเรื่องเขาใหญ่ ผมก็เคืองขึ้นมาอีกโดยไม่มีเหตุผล

“ไม่ไปหรอก ไม่รู้จักใครสักคน ไม่ได้ช่วยงานอะไรด้วย ไปฟรีๆเขินโว้ย” ผมปฏิเสธ “มึงเองก็ระวังเถอะ พี่เต้อาจจะคิดทำอะไรสักอย่างแล้วต้องการให้มึงมาช่วยอีก เลยต้องเอาเรื่องเที่ยวมาล่อ”

ผมพยายามบ่ายเบี่ยงด้วยเหตุผลต่างๆนานา ในที่สุดไอ้นัยก็หน้าจ๋อย

“ไม่เป็นไร ไม่ไปก็ไม่ไป” ไอ้นัยถอนใจ “กูรู้ว่ามึงไม่อยากไป”

“แล้วมึงล่ะ” ผมถาม ในส่วนลึกแล้วผมไม่อยากให้มันไปเลย

“มึงไม่ไป กูก็ไม่ไป” ไอ้นัยพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ แต่ผมรู้ว่าไอ้นัยคงผิดหวัง

คนเรานี่ก็แปลก ทีแรกเมื่อผมรู้ว่ามันอยากจะไป ผมยังรู้สึกโกรธ แต่พอมันบอกว่าไม่ไป ผมก็ไม่ได้รู้สึกดีใจเลย ตรงกันข้าม ผมกลับรู้สึกสงสารมัน ไม่อยากให้มันผิดหวัง

“เอ้อ...” ความรู้สึกที่ขัดแย้งกันทำให้ผมสับสน “เอางี้ดิ มึงก็ไปกับพี่เต้ก่อนสิ ถ้าสนุกก็เอามาเล่าให้กูฟังบ้าง แล้วอีกหน่อยเราค่อยหาโอกาสไปเที่ยวกัน”

พูดไปแล้วผมก็รู้สึกคุ้นๆว่าผมเพิ่งพูดไปทำนองนี้เมื่อไม่นานมานี้เอง

“ช่างมันเถอะ” ไอ้นัยพูด “อยากให้มึงไปด้วยกันมากกว่า”

“มึงไปเถอะ ไม่ต้องห่วงกูหรอก” ผมกลับเป็นฝ่ายอ้อนวอนให้มันไปเสียเอง “กูอยากให้มึงไป นะนะ ไปเถอะ จะได้เที่ยวเผื่อกูไง”

สีหน้าของไอ้นัยดูแช่มชื่น

“มึงแน่ใจนะ” ไอ้นัยถาม ผมพยักหน้าเป็นคำตอบ

“งั้นกูขอคุณอาดูละกัน ถ้าได้ก็ไป ถ้าไม่ได้ก็อยู่กับมึงนี่แหละ” ไอ้นัยสรุป

- - -

ล่วงเข้าปลายเดือนกรกฎาคม ในที่สุด สหกรณ์ส่งเสริมการอ่านก็ได้เวลาเปิดทำการ มีการจัดพิธีเปิดอย่างเป็นทางการโดยผู้อำนวยการโรงเรียนมาเป็นประธานในพิธี รวมทั้งยังมีการนิมนต์พระมาทำพิธีทางศาสนาอีกด้วย

หนังสือและนิตยสารที่ให้บริการแม้จะยังมีไม่มาก แต่ก็น่าสนใจพอสมควรในความเห็นของพวกเรา โดยพยายามหลีกเลี่ยงหนังสือที่มีอยู่แล้วในห้องสมุด จะได้ไม่แย่งลูกค้ากัน อีกทั้งพยายามหาหนังสือที่อยู่ในกระแสมาไว้บริการ

ในช่วงแรกที่เปิดใหม่ๆ ด้านนิตยสารจะมีพวกนิตยสารผู้หญิงและนิตยสารคอมพิวเตอร์เป็นหลัก นิตยสารผู้หญิงเอาไว้บริการอาจารย์ ส่วนนิตยสารคอมพิวเตอร์เอาไว้บริการพวกนักเรียนที่บ้าคอมพิวเตอร์ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย

ส่วนด้านหนังสือก็จะเน้นพวกนิยายกำลังภายในกับการ์ตูนญี่ปุ่นซึ่งเด็กผู้ชายชอบอ่าน ไม่เน้นนวนิยายเพราะมีในห้องสมุดพอสมควรแล้ว

กิจการของสหกรณ์ไปได้สวยทีเดียว แม้จะเพิ่งเปิดดำเนินการ แต่ก็มีอาจารย์และนักเรียนเข้ามาอุดหนุนอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง มีทั้งสมาชิกที่เอานิตยสารมาขาย และสมาชิกที่มาเช่าหนังสือหรือนิตยสารไปอ่าน

พวกสตาฟที่มาช่วยกันเป็นประจำมีกันอยู่ ๕-๖ คน พวกเราจะมีการแบ่งเวรกันมาให้บริการในตอนเที่ยงและหลังเลิกเรียน โดยหมุนเวียนกันไป งานที่ค่อนข้างเสียเวลาก็คืองานเอกสาร เพราะต้องมีการบันทึกรายละเอียดค่อนข้างมาก ไม่ว่าสมาชิกจะมาทำอะไรก็ต้องบันทึกเอาไว้ให้หมดเพื่อคำนวณเงินปันผลตอนปลายปี

สมาชิกขาประจำคนหนึ่งของสหกรณ์ก็คือไอ้พี่เต้นั่นเอง พี่เต้แวะเวียนมาเป็นประจำเกือบทุกวัน มาเช่าบ้าง มาคืนบ้าง และที่น่าแปลกซึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือว่าจงใจ นั่นก็คือ พี่เต้จะมาแต่เฉพาะเวลาที่ไอ้นัยอยู่...


<ส่วนหนึ่งของนิตยสารในยุคนั้น นิตยสารแพรวในยุคนั้นราคาฉบับละ ๒๕ บาท ฉบับขวามือ ชายในภาพคือผู้กำกับหนัง ยุทธนา มุกดาสนิท ส่วนหญิงในภาพคือจารุณี สุขสวัสดิ์>

Tuesday, March 10, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 65

ในที่สุด การเลือกตั้งประธานนักเรียนก็มาถึง ก่อนวันเลือกตั้งหนึ่งวัน ทางโรงเรียนจัดให้ผู้สมัครทุกคนปราศรัยโค้งสุดท้ายที่หอประชุมของโรงเรียน

“อู ไปฟังนะ” ไอ้นัยชวนผม

“ไม่อะ ขี้เกียจไป ไม่สนใจ”

“ไปฟังหน่อยน่า โดยเฉพาะตอนพี่เต้พูด ช่วยหน่อย นะนะนะ” ไอ้นัยทำสีหน้าประจบสุดขีด

“เค้าจ้างมึงมาหาหน้าม้าด้วยเงินเท่าไรวะ” ผมถาม “ตื๊อจริง”

ไอ้นัยยิ้มเขินๆเมื่อเห็นผมรู้ทันว่าไอ้พี่เต้ต้องการหน้าม้าเพื่อสร้างความคึกคักในตอนปราศรัย

“ไม่ได้จ้างว้อย แต่กูกลัวว่าคนจะน้อย มันไม่น่าดูอะ” ไอ้นัยแก้ตัว

ในที่สุดผมก็ต้องยอมไปนั่งฟังพี่เต้ปราศรัย ที่จริงผมแกล้งเล่นตัวไปอย่างนั้นเอง ใครจะขัดใจไอ้นัยได้ลงคอ

ตอนบ่าย หลังเลิกเรียน ผมอุตส่าห์เสี่ยงกับการกลับบ้านค่ำเพื่อรอฟังพี่เต้ปราศรัย พี่เต้ได้คิวปราศรัยเป็นคนที่สอง หลังจากที่คนแรกพูดน้ำไหลไฟดับ พูดมันแต่ไม่ค่อยมีสาระอะไร

พี่เต้ขึ้นเวทีด้วยมาดที่แสดงความเชื่อมั่นในตนเอง ไม่มีอาการประหม่า ผมเพิ่งเห็นหน้าพี่เต้ตัวจริงชัดๆวันนี้เอง เพราะว่าปกติไม่ได้สนใจ และยังไม่มีโอกาสได้เห็นตัวจริงมาก่อน

พี่เต้เป็นเด็กหนุ่มที่จัดว่าหน้าตาดีทีเดียว ผิวขาว เค้าหน้ามีความตี๋ประมาณครึ่งเดียว คือกึ่งตี๋กึ่งไม่ตี๋ ตาสองชั้น ดูเท่ไปอีกแบบ เมื่อเทียบกับชิวที่หน้าตาดีแบบตี๋ล้วนๆแล้ว พี่เต้ยังดูมีเสน่ห์กว่าเสียอีก

และที่ยิ่งไปกว่านั้น ลีลาการพูดของพี่เต้นั้นดีกว่าผู้สมัครคนแรกมาก พี่เต้พูดจานุ่มนวล มีวาทศิลป์ที่ดี ไม่ได้พูดเอาแต่มันหรือฮาแบบคนแรก แต่ถ้าจะพูดถึงความสามารถในการโน้มน้าว ผมว่าไอ้จิโน้มน้าวคนได้เก่งกว่า นี่ถ้าไอ้จิสมัครเป็นประธานนักเรียนได้ ผมว่าพี่เต้คงเหนื่อยแน่นอน

ไอ้นัยมานั่งฟังพี่เต้อยู่ข้างๆผม สายตาที่มันมองพี่เต้ดูชื่นชม จนผมรู้สึกหมั่นไส้ เมื่อฟังจบพี่เต้พูดจบ ผมก็ขอตัวกลับบ้าน โดยไม่ฟังคนที่เหลือพูด เพราะแค่นี้ก็กลับบ้านช้าแล้ว

ข้อที่น่ารักอย่างหนึ่งของไอ้นัยก็คือ มันไม่เคยมาลอบบี้ให้ผมลงคะแนนเสียงให้พี่เต้เลย ซึ่งมันทำให้ผมไม่ต้องลำบากใจ เพราะผมไม่เคยคิดจะเลือกไอ้พี่เต้เลยแม้แต่น้อย

วันรุ่งขึ้น มีการลงคะแนนเสียงเลือกประธานนักเรียน ทางโรงเรียนจัดคูหาเลือกตั้งให้ลงคะแนนกันได้จนถึงช่วงบ่าย หลังจากนั้น เมื่อเลิกเรียนแล้วจึงจะเริ่มการนับคะแนน

วันนั้น หลังจากเลิกเรียน ไอ้นัยต้องอยู่ดูการนับคะแนนจนเสร็จ ส่วนผมนั้นรีบกลับบ้านเพราะไม่อยากเจอไอ้นัย เนื่องจากกลัวมันจะถามว่าลงคะแนนให้ใคร

หลังวันลงคะแนนเสียง เช้าวันรุ่งขึ้น ผมเห็นไอ้นัยยืนหน้าจ๋อยๆรอผมอยู่ที่ป้ายรถเมล์

“เป็นไรไปวะ หน้าไม่ค่อยดีเลย” ผมถาม

“แย่อะ เหนื่อยฟรีเลย” ไอ้นัยบ่น “พี่เต้ไม่ได้เป็นประธานนักเรียน”

ผมรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย เรื่องที่พี่เต้ไม่ได้ตำแหน่งนั้นผมไม่ได้เศร้าด้วยเลย แต่ส่วนที่เศร้าก็คือเห็นไอ้นัยมุ่งมั่นและตั้งความหวังเอาไว้มาก แต่แล้วในที่สุดอะไรๆก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด

“จะว่าเหนื่อยฟรีก็ไม่ได้หรอก มันก็เหมือนนักกีฬา ทุกคนก็แข่งเต็มที่ คนแพ้ไม่ได้แปลว่าเหนื่อยฟรีสักหน่อย” ผมปลอบใจมัน

ไอ้นัยถอนใจ “มันก็ใช่ แต่ยังไงก็อดผิดหวังไม่ได้”

น้อยครั้งที่ไอ้นัยจะแสดงความรู้สึกทางอารมณ์ออกมาอย่างชัดเจน แต่วันนี้ดูเหมือนจะเป็นข้อยกเว้น แสดงให้เห็นว่ามันตั้งความหวังเอาไว้มาก ทั้งๆที่มันไม่ใช่ผู้สมัครเอง

“แล้วพี่เต้ล่ะ” ผมถาม “เป็นไงบ้าง”

“ก็จ๋อยไปอะ” ไอ้นัยตอบ “แต่ก็ยังคอยปลอบใจน้องๆ”

เช้าวันนั้นผมเรียนหนังสือด้วยความสบายใจ เพราะคิดว่าไอ้นัยคงจะหมดภาระเสียที ต่อไปคงไม่ต้องถูกใครหลอกกินแรงแรงอีก ส่วนเรื่องความผิดหวังนั้นสักพักก็น่าจะทำใจได้…

- - -

ในช่วงนั้นเอง ผมก็ยุ่งๆ เพราะไปทำกิจกรรมที่สหกรณ์ส่งเสริมการอ่านหรือว่าร้านหนังสือเช่ามาได้พักหนึ่งแล้ว งานที่นั่นยังไม่ค่อยลงตัวนัก โดยเฉพาะระบบเอกสาร อีกทั้งการจัดหาหนังสือมาปล่อยเช่าก็ยังไปไม่ได้ถึงไหน

“เราคงต้องเริ่มเปิดกิจการกันเสียที” พี่มั่วพูดกับน้องๆ “มันช้ากว่าแผนงานมามากแล้ว ถ้าจะรอให้พร้อมทุกอย่าง สงสัยชาติหน้าค่อยได้เปิด”

ในด้านหนังสือที่เอามาให้เช่านั้น เราก็เอาเงินที่ได้จากค่าสมาชิกมาจัดซื้อ ทุนเริ่มแรกมีไม่มาก เพราะร้านยังไม่เปิดทำการ จึงไม่ค่อยมีใครสนใจสมัครสมาชิกกันมากนัก ส่วนใหญ่เป็นพวกอาจารย์ นักเรียนก็พอมีบ้าง สมาชิกรุ่นบุกเบิกที่ได้มากส่วนใหญ่ได้มาจากการข่มขู่ ขอร้อง และบังคับเกือบทั้งนั้น พวกที่สมัครใจแทบจะไม่มีเลย

หนังสือที่เอามาให้บริการนั้น พี่มั่วไปซื้อต่อมาจากร้านหนังสือเช่า ทำให้ได้ราคาหนังสือใช้แล้วซึ่งถูกกว่าซื้อใหม่มาก หนังสือที่เน้นก็ได้แก่การ์ตูนญี่ปุ่น นอกจากนั้นก็มีนิตยสารผู้หญิงรายปักษ์ รายเดือน เอามาไว้บริการบรรดาอาจารย์ เพราะที่โรงเรียนนี้อาจารย์หญิงมากกว่าอาจารย์ชาย พวกนิตยสารนี้จะมีทั้งล่าสุดคือฉบับปักษ์ที่แล้วหรือเดือนที่แล้ว หรือไม่ก็เก่ากว่านั้น ส่วนฉบับปัจจุบันทันสมัยในตอนต้นยังไม่มี เพราะของใหม่ราคาแพง

นอกจากซื้อจากร้านหนังสือเช่าแล้ว สหกรณ์ยังรับซื้อนิตยสารจากสมาชิกด้วย คือสมาชิกคนใดจะเอาหนังสือการ์ตูนหรือนิตยสารมาขายให้แก่สหกรณ์ก็ได้ โดยวางกฎเกณฑ์การรับซื้อเอาไว้ เช่น นิตยสารของปักษ์ที่แล้วจะรับซื้อแพงหน่อย ถ้าเก่ากว่านั้นก็จะถูกลงไปตามส่วน

และที่สำคัญ สมาชิกไม่ว่าจะมาเช่าหนังสือ หรือเอาหนังสือมาขายให้สหกรณ์ก็ตาม จะถือว่ามีการอุดหนุนสหกรณ์ ดังนั้นยอดเงินดังกล่าวจะถูกบันทึกเอาไว้ เพื่อนำมาคำนวณเป็นโบนัสหรือว่าปันผลปลายปี ยิ่งเช่ามาก หรือเอามาขายให้มาก ก็ยิ่งได้โบนัสมาก แต่ถ้าอยู่เฉยๆไม่มีการอุดหนุนสหกรณ์เลยก็จะไม่ได้อะไร นอกจากเงินปันผลตามจำนวนหุ้นซึ่งน้อยมาก นี่เองคือกลยุทธ์ที่ใช้จูงใจให้สมาชิกมาอุดหนุนสหกรณ์กันมากๆ

การที่ต้องบันทึกธุรกรรมของสมาชิกอย่างละเอียดเพื่อเอาไปคำนวณเงินปันผลนี่เอง ทำให้ต้องใช้เวลาและแรงงานมากไปกับงานเอกสาร ต่างจากร้านหนังสือเช่าทั่วไปที่จ่ายเงินแล้วก็จบกัน

การมาช่วยงานของผมนั้นส่วนใหญ่จะใช้เวลาช่วงพักเที่ยง และหลังเลิกเรียนประมาณ ๓๐-๔๕ นาที อยู่นานกว่านั้นไม่ได้ หลังจากที่เตรียมงานมานานพอสมควร ในที่สุด ร้านหนังสือเช่าก็ใกล้ได้เวลาเปิดทำการเสียที

- - -

“มึงว่างแล้วมาช่วยงานกันที่สหกรณ์ไหมล่ะ งานเร่ง คนก็ไม่พอ” ผมเอ่ยปากชวนไอ้นัย เมื่อเห็นมันผิดหวังจากการช่วยหาเสียง ดังนั้นจึงอยากให้มันมีอะไรทำแก้เซ็ง อีกอย่าง พี่มั่วยังต้องการรุ่นน้องมาช่วยอยู่ เนื่องจากจะต้องเปิดดำเนินการในสัปดาห์หน้านี้แล้ว กำหนดนี้เลื่อนไม่ได้ เพราะว่าเชิญผู้อำนวยการโรงเรียนและนิมนต์พระมาเรียบร้อยแล้ว ถึงอย่างไรก็ต้องทำให้ทัน

“เอาดิ ดีเหมือนกัน” ไอ้นัยตอบรับอย่างง่ายดาย

ผมพาไอ้นัยไปพบพี่มั่ว ซึ่งตัวจริงบางทีก็มั่วๆสมชื่ออยู่เหมือนกัน หลังจากที่พี่มั่วรู้จุดประสงค์ของไอ้นัย ก็รับเป็นสมาชิกสหกรณ์และสอนงานให้ทันที

ไอ้นัยเข้าใจงานสหกรณ์ได้โดยไม่ยากนัก เพียงแค่สองสามวัน ไอ้นัยก็เป็นงานพอๆกับผม และอาจจะคล่องกว่าผมเสียอีก

“เอ้อ นัยอยู่ไหมน้อง” มีคนมายืนด้อมๆมองๆอยู่ที่หน้าห้องสหกรณ์ แต่ไม่ได้เดินเข้ามา เพียงชะโงกหน้ามาถามผม พอดีตอนนั้นผมอยู่ใกล้ประตู กำลังง่วนกับการจัดชั้นหนังสือ เสียงนั้นนุ่ม น่าฟัง แถมยังคุ้นๆ

“อยู่ครับพี่ อยู่ข้างใน” ผมตอบโดยไม่ได้ดูให้ชัดว่าใครมาถามหาไอ้นัย พอตอบเสร็จจึงเงยหน้าดู... พี่เต้นั่นเอง


<ตอนบ่าย หลังเลิกเรียน ผมอุตส่าห์เสี่ยงกับการกลับบ้านค่ำเพื่อรอฟังพี่เต้ปราศรัย พี่เต้ขึ้นเวทีด้วยมาดที่แสดงความเชื่อมั่นในตนเอง ไม่มีอาการประหม่า ผมเพิ่งเห็นหน้าพี่เต้ตัวจริงชัดๆวันนี้เอง เพราะว่าปกติไม่ได้สนใจ และยังไม่มีโอกาสได้เห็นตัวจริงมาก่อน>

Friday, March 6, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 64

“เมื่อพวกธรรมาจารย์พาหญิงคนชั่วมาหาพระเยซู แล้วทูลพระองค์ว่า ท่านอาจารย์ หญิงคนชั่วนี้ผิดลูกผิดผัว ในธรรมบัญญัติบอกว่าให้เอาหินขว้างคนเช่นนี้ให้ตาย แล้วท่านจะว่าอย่างไร” ไอ้นัยท่องข้อความออกมาเบาๆ “พระเยซูจึงตอบพวกเขาว่า ในพวกท่าน ใครที่ไม่มีบาป ให้เอาหินขว้างนางก่อนเป็นคนแรก”

ข้อความที่ไอ้นัยพูดออกมาเหมือนกางตำราท่อง ทำให้ผมนึกถึงตอนที่อยู่โรงเรียนเก่า ที่นั่น อาจารย์ใหญ่ของพวกเราเป็นชาวคาทอลิก ในช่วงให้โอวาทหน้าเสาธงตอนเช้า อาจารย์ใหญ่มักหยิบยกเรื่องที่มาจากคัมภีร์ไบเบิลมาใช้ในการอบรมพวกเราเสมอ เรื่องหญิงคนชั่วกับพระเยซูนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่อาจารย์ใหญ่ชอบเล่าบ่อยๆ พวกเราได้ฟังกันจนคุ้นเคยตั้งแต่เด็ก หญิงผู้นี้ผิดประเวณี และตามบทบัญญัติของศาสนายิวจะต้องได้รับโทษโดยถูกหินขว้างจนตาย

“เมื่อพวกเขาได้ยินเช่นนั้น จึงพากันเดินจากไปทีละคน จนไม่เหลือผู้ใด พระเยซูจึงถามหญิงนั้นว่าไม่มีใครเอาโทษเจ้าหรือ” ไอ้นัยหยุดหายใจนิดหนึ่ง แล้วท่องต่อ “หญิงนั้นตอบว่า ไม่มีเลยพระอาจารย์ พระเยซูจึงพูดว่า เราก็ไม่เอาเอาโทษเจ้าเช่นกัน จงไปเถิด และอย่าทำบาปอีกเลย” เมื่อพูดจบไอ้นัยก็หันมาถามผม “มึงจำเรื่องนี้ได้หรือเปล่า”

“จำได้ แล้วหมายความว่าไงล่ะ” ผมถาม “ชอบพูดเป็นปริศนาจริงนะมึง”

ไอ้นัยไม่ตอบ ผมค่อยๆใช้ความคิด เรื่องที่ไอ้นัยหยิบยกขึ้นมาคล้ายเกี่ยวและก็คล้ายไม่เกี่ยวกับเรื่องของตี๋

เช้าวันนั้น อาจารย์ประจำชั้นขอเวลาจากพวกนักเรียนเล็กน้อย ก่อนเริ่มคาบเรียนแรก เพื่อประกาศโทษของตี๋

“อันที่จริงครูก็ไม่อยากจะเอาเรื่องนี้มาประกาศหรอกนะ เพราะมันเหมือนกับเป็นการซ้ำเติมและทำร้ายจิตใจกัน แต่ครูก็จำเป็นต้องทำ เพราะต้องการให้เป็นอุทธาหรณ์แก่คนอื่นๆ จะได้ไม่ทำเช่นนี้อีก” อาจารย์เกริ่น

อาจารย์สรุปเหตุการณ์ขโมยของที่เกิดขึ้น และทางฝ่ายปกครองของโรงเรียนได้เชิญผู้ปกครองของทั้งสองฝ่ายมาพบ หลังจากการสอบสวน สรุปได้ว่า ตี๋สารภาพว่าได้ขโมยของจริง สาเหตุที่ทำส่วนหนึ่งเป็นเพราะความอิจฉาและต้องการกลั่นแกล้งเพื่อน เพราะเห็นเพื่อนชอบพกของมีค่ามาโรงเรียน อาจารย์ประจำชั้นและฝ่ายปกครองเห็นว่าการกระทำของตี๋น่าจะเกิดจากความอิจฉาส่วนหนึ่งจริง เพราะการขโมยแต่ละครั้งจะขโมยเงินเพียงครั้งละร้อยหรือร้อยกว่าบาท ไม่ได้ขโมยไปทั้งหมด ประกอบกับชิวชอบพกของมีค่ามาโรงเรียนเกินวิสัยนักเรียนทั่วไปจริง เมื่อพิจารณาจากความประพฤติเก่าก่อนไม่พบว่าเคยทำผิดทำนองนี้ อีกทั้งผู้ปกครองของชิวไม่ติดใจเอาเรื่อง จึงให้ลงโทษสถานเบาเพื่อให้ตี๋มีโอกาสกลับตัวและไม่เป็นการทำลายอนาคตตี๋ โดยให้ทำทัณฑ์บนไว้ และตัดคะแนนความประพฤติ ถ้าทำผิดอีกจะถูกคัดชื่อออกจากโรงเรียน นอกจากนี้ ยังได้เตือนนักเรียนเรื่องการนำของมีค่ามาโรงเรียนอีกด้วย

ตี๋ก้มหน้าตลอดเวลาที่อาจารย์ประจำชั้นพูด ผมนั่นอยู่หลังห้อง จึงไม่เห็นสีหน้าของตี๋ ผมไม่อาจเข้าใจความเจ็บปวดของตี๋ในตอนนี้ได้ เพราะมันเป็นเรื่องที่ผมไม่เคยประสบมาก่อน ตี๋ต้องเผชิญหน้ากับความจริงอย่างโหดร้ายท่ามกลางสายตาของเพื่อนๆทั้งห้อง เรื่องหญิงคนชั่วกับพระเยซูวูบเข้ามาในความคิดของผมอีกครั้ง...

นักเรียนในห้องเงียบกริบเมื่ออาจารย์ประกาศโทษของตี๋ แต่หลังจากที่อาจารย์จากไป ทั้งห้องก็ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันเซ็งแซ่ บ้างก็ว่าลงโทษเบาไป บ้างก็ว่าลงโทษหนักไป เพื่อนบางคนเดินไปตบหลังตี๋เพื่อให้กำลังใจ

ผมมาทราบเอาภายหลังจากชิว ว่าญาติที่เป็นผู้ปกครองของตี๋เจรจาผ่านทางอาจารย์ว่าจะขอชดใช้เงินที่ตี๋ได้ขโมยไป รวมทั้งยังจะให้ค่าทำขวัญชิวอีกด้วย ทางอาจารย์จึงเชิญผู้ปกครองของชิวมาเจรจา พ่อของชิวเป็นพ่อค้าซึ่งไม่ชอบการมีเรื่องราวหรือมีคดีความ ตามประสาพ่อค้าชาวจีนรุ่นเก่า ดังนั้นการเจรจาจึงเป็นไปโดยง่าย เมื่อได้ค่าทำขวัญพร้อมทั้งค่าชดใช้แล้วก็ไม่ติดใจแต่อย่างใด ชิวเองนั้นเดิมทีก็เจ็บแค้นตี๋ แต่เมื่อเห็นตี๋ถูกทางบ้านทำโทษอย่างรุนแรงก็เกิดความสงสาร และไม่ติดใจเช่นกัน เมื่อเจ้าทุกข์ไม่ติดใจ ทางฝ่ายปกครองก็กำหนดโทษให้สถานเบาเพราะตี๋ไม่มีประวัติเสียมาก่อน ยังมีโอกาสกลับตัวได้

ตลอดคาบเรียนในช่วงเช้า ตี๋นั่งก้มหน้าเรียนอย่างสงบราวกับไม่มีความรู้สึกอะไรเลย

“เฮ้ย มันเสียสติไปแล้วหรือเปล่าวะ” อ๊อดกระซิบถามผมในระหว่างที่อาจารย์กำลังสอนอยู่ “ทำไมมันนิ่งได้ขนาดนี้วะ”

“มึงจะให้มันแหกปากร้องไห้เหรอ” ผมย้อน แต่ในใจก็รู้สึกผิดปกติอยู่เหมือนกัน

“ระวังนะโว้ย กูกลัวมันจะเป็นบ้าเพราะถูกกดดัน” อ๊อดพูดขู่ “สงสารมันเหมือนกันนะเนี่ย”

“ยังดีที่ไม่ถูกไล่ออก” ผมกระซิบ

“ไล่อออกอาจจะดีกว่า ไม่รู้สิ มันอยู่เป็นแกะดำยังงี้ เป็นกูกูทนไม่ได้หรอก ขอไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า” อ๊อดพูด

จริงสินะ คิดๆไปอ๊อดก็อาจจะพูดถูก การทำทัณฑ์บนอาจจะทำให้มันต้องเจ็บปวดยิ่งกว่าการไล่มันออกก็ได้ เพราะมันต้องดำเนินชีวิตด้วยมลทินที่ไม่มีวันชะล้างออกไปได้ในสายตาของเพื่อนๆ...

ตอนพักเที่ยง ตี๋เดินไปกินข้าวเพียงคนเดียว เพื่อนๆหลายคนเดินเข้ามาตบไหล่เพื่อเป็นกำลังใจให้มัน แต่ก็ไม่มีสักคนเดียวที่ไปกินอาหารเที่ยงกับมัน แม้แต่ผมเองยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจเรื่องตี๋อยู่บ้างเหมือนกัน ผมมีเพื่อนเป็นหัวขโมย!!!

ผมตามตี๋ไปห่างๆ เห็นตี๋เดินไปซื้อข้าวแกงมาจานหนึ่ง ไม่ซื้อน้ำ แล้วมานั่งกินคนเดียวเงียบๆ จะว่าไปแล้วตี๋ไม่ค่อยกินอาหาร ใช้มือข้างเดียวของมันจับช้อนเขี่ยข้าวเล่นไปมาเสียมากกว่า ท่ามกลางโรงอาหารที่พลุกพล่าน แต่เงาร่างของตี๋นั้นดูเดียวดายเสียเหลือเกิน...

ผมเดินไปซื้อข้าวแกงมาจานหนึ่ง น้ำหวานสองแก้ว แล้วมานั่งตรงข้างๆตี๋

“กูนั่งกินด้วยคนนะ” ผมเริ่มการสนทนา “อะ นี่ กินน้ำหวานเสียหน่อย จะได้ชื่นใจ” ว่าแล้วก็หยิบน้ำหวานส่งให้แก้วหนึ่ง

ตี๋หันมามอง เมื่อเห็นว่าเป็นผมมันก็หันหน้าไปเขี่ยข้าวในจานเล่นตามเดิม

“มึงจะไม่พูดกับกูหน่อยเหรอ” ผมพูดอีก แต่ตี๋ไม่สนใจ

“กูยังเป็นเพื่อนของมึงนะ” ผมพูด

ตี๋หยุดเขี่ยข้าวในจาน หันมามองหน้าผมด้วยความแปลกใจ แต่แล้วก็ทำสีหน้าราบเรียบดังเดิม

“มึงไม่ต้องมายุ่งกับกู” ตี๋พูด

“ฮั่นแน่ พูดแล้ว ค่อยยังชั่วหน่อย” ผมพูดอย่างโล่งใจ

ตี๋พูดเพียงแค่นั้น แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก ผมจึงพูดต่อ

“นี่ ไอ้ตี๋ ที่โรงเรียนเก่าของกู อาจารย์ใหญ่ชอบเล่านิทานเรื่องหนึ่งให้พวกนักเรียนฟัง...” แล้วผมก็เล่าเรื่องหญิงคนชั่วกับพระเยซูให้ตี๋ฟัง

“ไม่มีใครไม่เคยทำผิดนะตี๋ ถึงยังไงกูก็ยังเป็นเพื่อนของมึง” ผมพูด ตี๋ทำสีหน้าแปลกๆยากที่จะบรรยาย

“อ้อ ที่จริงกูลืมเรื่องนี้ไปแล้วนะ แต่เพื่อนกูมันพูดขึ้นมา กูเลยนึกได้” ผมพูด

“เพื่อนคนไหนวะ” ตี๋อดถามไม่ได้

“ก็ไอ้คนนั้นนั่นแหละ” ผมแหย่มันด้วยมุขเก่าๆที่เคยหยอกกัน จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ไม่ใช่แต่กู ไอ้นัยมันก็เป็นเพื่อนของมึงด้วยเหมือนกัน เพราะถ้าไม่ได้มันเตือนสติ กูก็คงยังไม่ได้คิดเหมือนกัน”

ตี๋มองผมด้วยสายตาที่แปลกประหลาด จากนั้นก็เริ่มตักอาหารใส่ปาก… หลังจากนั้น ตี๋ก็กินอาหารจนหมดโดยไม่ได้พูดอะไรอีกเลย แต่เพียงแค่นี้ผมก็พอใจแล้ว


<ผมตามตี๋ไปห่างๆ เห็นตี๋เดินไปซื้อข้าวแกงมาจานหนึ่ง ไม่ซื้อน้ำ แล้วมานั่งกินคนเดียวเงียบๆ จะว่าไปแล้วตี๋ไม่ค่อยกินอาหาร ใช้มือข้างเดียวของมันจับช้อนเขี่ยข้าวเล่นไปมาเสียมากกว่า ท่ามกลางโรงอาหารที่พลุกพล่าน แต่เงาร่างของตี๋นั้นดูเดียวดายเสียเหลือเกิน...>

Monday, March 2, 2009

ภาคสอง ตอนที่ 63

“อ๊อดจับขโมยได้เหรอ” ผมรีบถาม “ใครเป็นขโมยล่ะ แล้วทำไมต้องชกกัน”

“มึงจะให้ตอบคำถามไหนก่อนวะเนี่ย ถามทีละหลายๆคำถามแบบนี้” นกแกล้งอ้อยอิ่ง ไม่ตอบคำถาม

“โธ่เอ๊ย ยิ่งร้อนใจอยู่ ยังมาแกล้งอีก เดี๋ยวไม่ทันได้โตหรอกมึง” ผมพูดอย่างร้อนรน

“อะ อะ บอกละ” นกพูด

นกเล่าให้ฟังว่าในช่วงพักเที่ยง หลังจากที่อ๊อดเข้ามานั่งในห้อง เจตซึ่งเป็นหนึ่งในแก๊งเด็กเกเรหลังห้องก็แซวทรงผมของอ๊อด แซวจนมันโมโหก็เลยชกกัน เพื่อนๆก็เข้าไปช่วยกันห้าม ขณะที่ชุลมันกันก็ปรากฏว่ามีคนแอบล้วงเป้ของชิวและถูกจับได้คาหนังคาเขา

“ตกลงว่าใครเป็นขโมย” ผมถามด้วยความร้อนใจ รู้สึกสังหรณ์วูบอยู่ในใจ ตอนนั้นผมละเรื่องอ๊อดชกกับเจตเอาไว้ชั่วคราว สนใจแต่เรื่องขโมย

“ก็คนที่ไอ้จิมันคิดเอาไว้นั่นแหละ” นกถอนใจ ไม่เอ่ยชื่อตรงๆ แต่แค่นั้นผมก็รู้แล้วว่าเป็นใคร

“แล้วมันไปไหนแล้วล่ะ” ผมรีบถามต่อ

“ถูกส่งไปห้องพักอาจารย์แล้ว” นกตอบ

อาศัยช่วงที่เหตุการณ์ชุลมุนนั้นเอง ตี๋เข้าไปล้วงเป้ของชิว และหลังจากนั้นก็ถูกจับได้ คนที่จับได้ก็คือไอ้จิ มันคงเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของตี๋อยู่ตลอด ไม่อย่างนั้นคงจับไม่ได้ เพราะในจังหวะที่มีคนชกกันชุลมุนแบบนั้น คงไม่มีใครมามัวสังเกตเรื่องอื่น

เมื่อรู้เรื่องจากนก ผมก็เดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะของผมเองซึ่งติดกับอ๊อด

“เพดานมีอะไรเหรอ เห็นมึงมองตั้งนานแล้ว” ผมถามอย่างสงสัย

“โธ่ ไอ้ไก่อู ทำไมโง่ยังงี้วะ กูเลือดกำเดาไหลโว้ย เลยแหงนหน้าเอาไว้” อ๊อดด่า

“มึงนั่นแหละโง่ แหงนหน้าแล้วเลือดมันจะหยุดได้ไง มันต้องเอาสำลีอุดรู้จมูกเอาไว้ ถ้าอุดสองข้างได้เลยยิ่งดี จะได้ขาดใจตายห่าไปเลย” ผมพูด

“มึงไม่สงสารเพื่อนเลยนะมึง เอาแต่คอยซ้ำเติม” อ๊อดต่อว่า “มีสำลีไหมล่ะ”

“ไม่มีโว้ย ไปที่ห้องพยาบาลดิ ดูไปแล้วมึงไม่เป็นไรมากนี่หว่า ยังไม่เห็นเลือดไหลออกมาเลย” ผมพูด แล้วก็ลดเสียงเบาลง “ไอ้ตี๋เป็นไงบ้างวะ”

“ไอ้จิมันแน่มาก ขนาดคนอื่นเผลอมันยังไม่เผลอ” อ๊อดพูดเบาๆทั้งที่ยังแหงนหน้าอยู่ “มือไอ้ตี๋ล้วงอยู่ในเป้ไอ้ชิว คาหนังคาเขาเลย แก้ตัวยังไงก็ฟังไม่ขึ้นอยู่แล้ว”

ผมถอนหายใจ จนถึงบัดนี้ผมก็ยังไม่อยากเชื่อว่าไอ้ตี๋เป็นขโมย

เมื่อคาบเรียนภาคบ่ายเริ่มไปประมาณสิบห้านาที ชิวกับจิก็กลับเข้ามาในห้อง แต่ตี๋ยังไม่ลงมา เพื่อนๆพยายามถามจิว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องพักอาจารย์ ชิวนั่งเงียบไม่ค่อยพูดอะไร ปล่อยให้จิยอดนักสืบเป็นคนพูดมากกว่า จิเล่าให้ฟังว่าอาจารย์ประจำชั้นได้สอบถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างละเอียด จากนั้นก็ให้จิกับชิวกลับลงมาก่อน

“เห็นไหม ไม่ใช่ความสามารถของคุณจิยอดนักสืบหรอกเหรอ ไม่น่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัวเลยเพื่อนเรา” จิคุยโว พร้อมทั้งพูดแบบเห็นใจ แต่น้ำเสียงที่พูดไม่ได้แสดงความเห็นใจเลยแม้แต่น้อย

ตี๋หายตัวไปหนึ่งคาบเต็มๆ เมื่อหมดคาบแรกไปแล้วจึงได้กลับเข้ามาในห้อง ตี๋ก้มหน้า สังเกตว่าใบหน้าขาวซีด แต่ก็เรียบเฉยจนอ่านความรู้สึกไม่ออก เพื่อนๆพากันรุมซักไซ้ไล่เรียงแต่ตี๋ไม่ยอมพูดกับใคร

ตี๋นั่งก้มหน้าไม่พูดกับใครอยู่จนเลิกเรียน จากนั้นก็รีบออกจากห้องไป ผมเองอยากจะเข้าไปคุยกับตี๋ แต่ก็ลำบากใจ วางตัวไม่ถูก ไม่รู้จะพูดกับมันอย่างไร จะปลอบใจก็ใช่ที่ จะซักถามรายละเอียดก็คงไม่เหมาะ สุดท้ายก็เลยไม่เข้าไปคุยดีกว่า

- - -

วันรุ่งขึ้น ในช่วงเช้าก่อนเข้าเรียน จินั่งคุยกับเพื่อนๆถึงวีรกรรมยอดนักสืบของมันอย่างออกรส

“เห็นไหม ที่ผมสันนิษฐานน่ะแม่นยำแค่ไหน ในที่สุดคนร้ายก็ต้องจนมุมเชอร์ล็อกจิ” จิโม้ “ถ้าจนแล้วนิสัยดีมันก็ยังน่าคบ นี่จนแล้วยังเลวอีก ไม่รู้จะคบได้ไง”

กระแสภายในห้องส่วนใหญ่จะเห็นว่าตี๋ทำผิดและสมควรถูกลงโทษ เพื่อนๆหลายคนที่ไม่ค่อยชอบตี๋อยู่แล้วแสดงอาการสมน้ำหน้า ดูเหมือนจะไม่มีใครเข้าข้างตี๋เลย

ชิวถูกอาจารย์ประจำชั้นเรียกไปพบแต่เช้า ส่วนตี๋นั้นผมไม่เห็นเลย ที่เก้าอี้ของตี๋ก็ไม่มีเป้วางอยู่ เข้าใจว่าคงจะไม่มา

หลังจากที่ชิวลงมา ชิวเล่าให้เพื่อนๆฟังว่าขณะที่ขึ้นไปนั้นพบว่าตี๋และผู้ปกครองกำลังคุยกับอาจารย์อยู่ หลังจากที่อาจารย์ซักถามรายละเอียดของเหตุการณ์เมื่อวานเพิ่มเติม ก็ให้ชิวกลับลงมาก่อน

“สงสัยจะแย่แน่ว่ะ ไม่น่าเล้ย” อ๊อดบ่น วันนี้ปากของอ๊อดเจ่อออกมาเพราะพิษหมัดของเจต “จะโดนไล่ออกไหมวะเนี่ย”

วันนั้นทั้งวันตี๋ไม่ได้เข้ามาในชั้นเรียนเลย เข้าใจว่าหลังจากพบอาจารย์ประจำชั้นแล้วก็คงกลับไป

วันรุ่งขึ้น ตี๋ก็ไม่มาโรงเรียนอีก ตี๋กลับมาเรียนอีกครั้งในตอนเช้าของอีกวันถัดมา ตี๋เดินเข้ามาในห้องในสภาพที่สะบักสะบอม โหนกแก้มบวมปูด ปากแตก ที่แขนและที่น่องเต็มไปด้วยริ้วรอยแตกเป็นแนว

ตี๋เดินเข้ามาในห้องแล้วก็นั่งลงที่ที่นั่งของตัวด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่ามกลางความตกตะลึงของเพื่อนๆ รวมทั้งผม

“เฮ้ย ตี๋ ใครทำมึงขนาดนี้วะ” เพื่อนๆถาม

ตี๋เงียบไม่ยอมตอบคำถาม เพื่อนๆเดากันว่าคงโดนพ่อซ้อม แต่ผมรู้ดีว่านี่ไม่ใช่ฝีมือพ่อของตี๋ เพราะพ่อตี๋อยู่ต่างจังหวัด ริ้วรอยและบาดแผลเหล่านี้น่าจะเป็นฝีมือของญาติผู้ใหญ่ที่ตี๋มาอาศัยอยู่ด้วย

ผมเดินเข้าไปทักทายตี๋ แต่ตี๋ก็ไม่ยอมพูดด้วย เอาแต่นั่งก้มหน้า หนักๆเข้าทุกคนก็เลิกสนใจกับมันเพราะว่าพูดแล้วมันไม่พูดด้วย

ไอ้นัยรู้เรื่องราวของตี๋เป็นอย่างดี เพราะว่าผมจะบ่นให้มันฟังทุกเช้าตอนนั่งรถเมล์ ช่วงหลังผมกับไอ้นัยไม่ค่อยกลับบ้านด้วยกัน เพราะว่ามันอยู่ช่วยไอ้พี่เต้เกือบทุกวันเนื่องจากวันเลือกตั้งใกล้เข้ามาแล้ว จะได้เจอกันก็แต่ในตอนเช้า

หลังจากที่ตี๋มาโรงเรียนในสภาพสะบักสะบอม หลังจากนั้นมันก็ไม่พูดกับใครเลยแม้กระทั่งผม เหตุการณ์ดำเนินไปเช่นนี้ได้สองสามวัน ผมอดห่วงตี๋ไม่ได้ แม้ผมจะห่วงมันแต่ก็อยู่ห่างๆมันเช่นเพื่อนคนอื่นๆเพราะว่าวางตัวไม่ถูก ในตอนนั้นกระแสสังคมตัดสินว่าตี๋ผิด ส่วนจิเองก็เป็นตัวตั้งตัวตี ใช้วาทศิลป์หว่านล้อมให้เพื่อนๆแอนตี้ตี๋ จิอ้างว่าสังคมต้องช่วยกันแอนตี้คนที่ไม่ดีด้วยการอย่าไปคบ เพื่อนๆส่วนใหญ่ก็เห็นดีเห็นงามด้วย ผมจะเข้าไปห่วงใยมันออกหน้าออกตานักก็เกรงจะสวนกระแสสังคม จึงได้แต่ทำตัวเฉยๆและอยู่ห่างๆไว้ก่อน

“เอาไงดีวะ” ผมเปรยกับไอ้นัยขณะนั่งรถเมล์เดินทางไปโรงเรียน

“ยังไงนี่คือยังไงอะ” ไอ้นัยย้อนถาม

“ก็สงสารมันหรอกนะ แต่ไม่รู้จะคุยยังไง หรือไม่รู้จะทำยังไงให้มันคุย” ผมพูด “อีกอย่าง ตอนนี้ไม่มีใครเอามันแล้วนะ กูอยากจะกินข้าวกับมันยังไม่กล้าทำเลย”

“มึงกลัวอะไรล่ะ” ไอ้นัยย้อนถาม

“กลัวอะไรเหรอ” ผมพูดอย่างใช้ความคิด จริงสินะ ผมกลัวอะไร มันเป็นคำถามที่ผมไม่เคยคิดมาก่อน “ไม่รู้สิ แต่ตอนนี้ใครๆก็ไม่คบกับมันแล้ว”

ลึกๆแล้วอาจเป็นเพราะแต่ละคนอาจกลัวว่าหากคบกับตี๋ต่อไปแล้วตนเองอาจจะมัวหมองไปด้วยก็ได้กระมัง คำพูดของจิโน้มน้าวเพื่อนๆได้มาก ดังนั้นถ้าใครยังคบกับตี๋ต่อไปก็อาจจะถูกเพื่อนๆแอนตี้ไปด้วยก็ได้ ผมเองก็กลัวเหมือนกัน

“แล้วกูควรทำไงดีวะ” ผมพึมพำ


<ผู้ปกครองของตี๋ถูกอาจารย์ประจำชั้นเชิญมาพบเพื่อปรึกษาปัญหาที่เกิดขึ้น>