Friday, June 18, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 69

“เนื้อร้าย...” ผมอุทาน “คุณหมอแน่ใจหรือครับ”

หมอพยักหน้า

“คือมะเร็งหรือว่าก้อนเนื้อร้ายนี่มันจะมีลักษณะเป็นเนื้องอกที่มีถุงห่อหุ้มอยู่ ถ้าถุงที่ห่อหุ้มนี้ยังไม่แตก เซลล์มะเร็งก็ยังไม่กระจายไปไหน ถือว่าเป็นในขั้นต้น ถ้าสามารถผ่าตัดเอาก้อนเนื้อนี้ออกก่อนที่ถุงหุ้มนี้แตกได้ก็เรียกได้ว่าหายขาด” หมอพยายามอธิบายด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย “แต่ถ้าถุงนี้แตกออกมาแล้วเซลล์มะเร็งก็สามารถกระจายไปยังอวัยวะอื่นๆได้”

“แล้วของแม่ละครับ อยู่ในขั้นไหน” ผมรีบถาม

“ถุงหุ้มมันแตกออกมาแล้วนะ” หมอตอบ

“แล้ว... ผลของมันจะเป็นยังไงครับ” ผมถาม รู้สึกใจหาย

“จากลักษณะที่เห็นก็ยังถือว่ายังอยู่ในขั้นต้นๆ เซลล์มะเร็งที่กระจายออกไปอาจมีจำนวนไม่มาก หมอว่าโอกาสหายขาดก็ยังมีอยู่สัก ๙๐ ถึง ๙๕ เปอร์เซ็นต์ทีเดียว” หมอตอบ ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าหมอพยายามมองโลกในแง่ดีเพื่อให้ผมสบายใจหรือเปล่าแต่ว่าเมื่อฟังแล้วก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง อะไรๆคงยังไม่เลวร้ายอย่างที่คิด

“แล้วต้องทำยังไงต่อละครับ” ผมซักต่อ “ต้องรักษายังไงต่อไป”

“การรักษาหลังจากนี้คงยังไม่มี แต่ต้องมาตรวจเป็นระยะเพื่อสังเกตความเปลี่ยนแปลง” หมอตอบ

หมอหยุดนิดหนึ่งแล้วพูดต่อ

“แต่เรื่องที่หมออยากปรึกษาในตอนนี้ก็คืออยากถามทางครอบครัวของคนไข้ดูว่าต้องการให้คนไข้รู้เรื่องนี้หรือไม่”

“จะไม่บอกแม่หรือครับ” ผมทวนคำถาม

“คือถ้าคนไข้เป็นหัวหน้าครอบครัวหมอก็คงต้องบอก เพราะจะได้วางแผนเรื่องการหาเลี้ยงครอบครัวในอนาคต แต่นี่คนไข้ไม่ได้เป็นหัวหน้าครอบครัว หมอว่าจะบอกหรือไม่บอกก็ได้” หมออธิบาย “บางทีคนไข้รู้แล้วใจเสีย บางคนอายุสั้นเพราะว่าตรอมใจก็มี หมอจึงอยากให้ครอบครัวเอาไปปรึกษากันดูว่าต้องการยังไง”

หมอคุยกับผมอีกสักครู่ หลังจากนั้นผมก็รีบโทรศัพท์กลับไปหาพ่อที่บ้านและเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังโดยละเอียด พ่อฟังแล้วถึงกับเงียบไป

“ป๊า” ผมเรียก พ่อเงียบไปจนผมไม่แน่ใจว่าสายหลุดไปแล้วหรือไม่

“อูอย่าเพิ่งพูดอะไรกับแม่ เดี๋ยวพรุ่งนี้พ่อไปถึงแล้วค่อยว่ากัน” พ่อสั่งผม

- - -

“หมอตามอูไปคุยอะไรเหรอ” แม่ถามเมื่อผมกลับเข้าห้องพักคนไข้

ผมมองดูใบหน้าของแม่ ไม่แน่ใจว่าเป็นอุปาทานหรือเปล่า แต่ผมเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าแม่ดูแก่ลงไปโขเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ใบหน้าของแม่ซีดเซียวและเริ่มมีร่องลึก แก้มของแม่ก็ดูตอบไปมาก

“หมอเรียกไปคุยเรื่องการดูแลหลังผ่าตัดเมื่อแม่กลับบ้านไปแล้วน่ะ” ผมตอบด้วยคำตอบที่เตรียมเอาไว้เพราะนึกอยู่แล้วว่าแม่คงต้องถาม

“ก็หมอบอกแม่แล้วนี่นา” แม่ยังไม่หายสงสัย

“หมอกลัวว่าแม่จะลืมหรือว่าไม่อยากทำไง เลยบอกคนที่บ้านให้ช่วนกำชับ โดยเฉพาะเรื่องมาตรวจตามนัด” ผมเฉไฉไป

“ก็หายแล้วยังต้องมาตรวจอะไรอีก” แม่บ่น ผมใจไม่ดี เกรงว่าแม่จะระแวง “เข้ากรุงเทพฯบ่อยๆก็เหนื่อย เสียเวลาด้วย”

“เห็นมั้ย พอหายก็เริ่มอิดออดไม่อยากมาตามนัดแล้ว นี่แหละหมอถึงได้เรียกไปกำชับ” ผมได้ที ไม่น่าเชื่อว่าผมจะลื่นได้ถึงขนาดนี้

- - -

ดึกแล้ว

ผมปิดไฟในห้อง ยืนพิงหน้าต่างมองดูท้องฟ้ายามราตรีของกรุงเทพฯ แม่หลับไปแล้ว วันนี้ดูแม่อารมณ์แจ่มใสเป็นพิเศษ น่าจะเป็นเพราะว่ากำลังจะได้กลับบ้าน ส่วนผมนั้นหลังจากที่ได้คุยกับหมอแล้วความรู้สึกที่เคยสบายใจกับอาการหลังผ่าตัดของแม่ได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ผมรู้สึกว่าในใจเหมือนมีเงาทะมึนครอบคลุมอยู่ พร้อมทั้งรู้สึกว่าต่อไปชีวิตครอบครัวของเราจะไม่เหมือนเดิมอีก

ผมอดนึกถึงใบหน้าที่ซีดเซียวของแม่ไม่ได้ การมีใครบางคนที่เรารักเป็นโรคมะเร็งไม่ใช่เรื่องที่จะทำใจกันได้ง่ายๆ ผมพยายามไม่คิดในเรื่องที่ไม่เป็นมงคล แต่ในบางวูบของความคิดผมก็อดคิดเลยเถิดไปไม่ได้ ผมใคร่ครวญคำถามหลายข้อที่เมื่อก่อนนี้ไม่เคยคิดมาก่อน เช่นว่า แม่จะอยู่ไปได้อีกนานเท่าใด แม่จะทรมานหรือไม่ หลังจากที่ครอบครัวเราขาดแม่ไปจะเป็นอย่างไร...

ผมพยายามสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปจากสมอง แต่มันก็ไม่จากไปไหนไกล ในที่สุดมันก็วนเวียนกลับเข้ามาในห้วงความคิดอีก นี่ขนาดคนรอบข้างรู้ยังคิดฟุ้งซ่านได้ขนาดนี้ ถ้าตัวแม่เองรู้ความจริงแล้วจะเป็นอย่างไร

- - -

วันรุ่งขึ้น ผมแต่งตัวเพื่อไปโรงเรียนแต่เช้า แต่เมื่ออกมาจากห้องคนไข้แล้วก็ยังไม่ได้ไปโรงเรียนในทันที แต่ออกมาเพื่อดักรอพ่อที่บริเวณโถงกลาง

พ่อมาแต่เช้า หลังจากที่เราได้พบกันเราก็พากันไปหาหมอผู้ที่ผ่าตัดแม่ที่ห้องพักแพทย์ หมอได้อธิบายถึงเรื่องก้อนเนื้อร้ายที่ผ่าพบ ความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ข้างหน้า และถามว่าต้องการบอกให้แม่รู้หรือไม่ พ่อนิ่งไปสักพัก พ่อเป็นคนตรงๆ ไม่ชอบปิดบังอะไร มีอะไรก็มักพูดออกมา ผมอ่านกิริยาของพ่อก็พอเดาออกว่าพ่อคงไม่คิดจะปกปิดแม่

“อย่าบอกเลยป๊า” ผมอดพูดไม่ได้ “บอกไปก็ไม่มีประโยชน์ ขนาดพวกเรารู้ยังกังวล ป๊าก็รู้ว่าแม่เป็นคนใจอ่อน ขี้กังวล ถ้าแม่ตรอมใจแล้วเสียสุขภาพจิตสู้ไม่รู้ดีกว่า”

“ถ้าคนไข้มีแนวโน้มจะคิดมากก็อาจจะไม่จำเป็นต้องบอกก็ได้” หมอพูดเสริมขึ้น

หลังจากลังแลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดพ่อก็เห็นพ้องด้วยที่จะไม่บอกความจริงกับแม่ หมอคุยกับพ่อเรื่องการพาแม่มาตรวจเป็นระยะ และหลังจากนั้นพ่อก็ไปที่แผนกการเงิน ส่วนผมไปช่วยแม่เก็บข้าวของภายในห้อง เมื่อช่วยแม่เก็บข้าวของเรียบร้อยเป็นส่วนใหญ่แล้วผมจึงค่อยไปโรงเรียน

กว่าที่ผมจะออกจากโรงพยาบาลก็แปดโมงกว่า เมื่อไปถึงโรงเรียนก็เป็นคาบที่สองพอดี เพื่อนๆรุมถามถึงสาเหตุที่มาสายแต่ผมไม่ได้เล่าอะไร

ขณะที่เรียนในช่วงเช้า ผมคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อย หวนนึกถึงภาพแม่ตอนที่ยังแข็งแรงและสดใสแล้วอดหดหู่ใจไม่ได้ มีคนที่ผมรักกี่คนแล้วนะที่ต้องพลักพรากจากผมไป ไอ้นัย ครูช่วย... แล้วยังมีบอยอีก... แล้วต่อไปล่ะ... ถึงแม้ไม่มีเรื่องโรคร้ายแต่ก็ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า การพลักพรากคงเกิดขึ้นไม่วันใดก็วันหนึ่งดังที่ครูช่วยพูด การป่วยของแม่ทำให้ผมเริ่มมองชีวิตจากอีกหลายๆด้านที่ผมไม่เคยมองมาก่อน จู่ๆผมก็รู้สึกกลัวอนาคตขึ้นมา...

เมื่อคิดถึงบอย ผมอดนึกถึงภาพวันเก่าๆไม่ได้ ผมเคยนั่งดูบอยกินขนมที่ผมซื้อให้อย่างเอร็ดอร่อยในโรงอาหาร คำพูดกวนๆ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส... ผมอยากย้อนกลับไปในวันเก่าๆที่แม่ยังแข็งแรง ผมอยากย้อนกลับไปในวันที่บอยยังสนิทสนมกับผมราวกับผมเป็นพี่ชายแท้ๆ... หรือว่ามากกว่าพี่ชาย...

วันนั้นเป็นวันที่ผมรู้สึกเหงาและอยากพบบอยมากเป็นพิเศษ พอถึงตอนเที่ยงผมจึงรีบเดินไปที่โรงอาหาร อยากจะแอบดูบอยให้หายคิดถึงสักหน่อย ผมเดินเลียบตามโต๊ะในโรงอาหารและพยายามมองหาแต่ก็ไม่พบบอย จนผมคิดว่าบอยคงออกจากโรงอาหารไปแล้วผมจึงเดินตรงไปที่ร้านอาหารเพื่อซื้ออาหารบ้าง

ขณะที่ผมละสายจากโต๊ะอาหารและมองไปข้างหน้า ทันใดนั้นเองผมก็ปะกับบอยเข้าอย่างจัง บอยกำลังเดินออกจากโรงอาหารกับเพื่อนๆ ผมชะงัก คิดจะส่งเสียงทักบอยแต่แล้วก็ไม่กล้าทักเพราะเห็นบอยกำลังอยู่กับเพื่อนๆ ส่วนบอยเองเมื่อเห็นผมก็ชะงักไปนิดหนึ่ง จากนั้นก็เดินผ่านผมไปโดยไม่ทักทายผมแต่อย่างใด…

- - -

“เฮ้ย อู ดึกป่านนี้แล้วยังไม่นอนอีกเหรอ” เสียงพี่ธิตดังอยู่ที่ข้างหลังผมขณะที่ผมกำลังยืนเหม่อมองท้องฟ้ายามราตรีอยู่ที่ดาดฟ้าของหอพัก “นี่มันตีสองแล้วนะ”

“นอนไม่ค่อยหลับครับพี่” ผมตอบตามตรง

“หลายวันนี้พี่ไม่เห็นอูเลย ที่ห้องก็เงียบๆปิดไฟตลอด” พี่ธิตตั้งข้อสังเกต

“ผมไปเฝ้าแม่ที่โรงพยาบาลเสียหลายวันครับพี่ ไม่ได้อยู่ที่หอ” ผมเล่าสั้นๆ

“คุณแม่คงไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม” พี่ธิตถาม

“ครับ ไม่ได้เป็นอะไรมาก ตอนนี้กลับบ้านไปแล้วครับ” ผมพยายามไม่เล่ารายละเอียด พี่ธิตเองก็ไม่ซักถามอะไรอีก “ผมดูหนังสือมึนๆเลยอยากมารับลมหน่อยน่ะครับ”

“เออๆ งั้นพี่ไปเข้าห้องน้ำแล้วนอนต่อละนะ อย่านอนดึกนักละอู” พี่ธิตพูดด้วยความเป็นห่วงจากนั้นก็ขอตัวจากไป

ผมหันกลับไปมองท้องฟ้ายามราตรีอีกครั้ง จันทร์เสี้ยวยามข้างขึ้นส่องแสงนวลข่มแสงดาวที่อยู่ใกล้เคียงจนเกือบหมดสิ้น เหลือให้เห็นเพียงดาวฤกษ์ที่สุกสว่างบางดวงเท่านั้น สายลมเย็นโชยแผ่วพลิ้วกอปรเป็นบรรยากาศอันอ้างว้าง ห้องพักของแม่ที่โรงพยาบาลอยู่บนตึกสูงดังนั้นจึงเห็นทิวทัศน์ได้ไกลกว่าทิวทัศน์ที่ดูจากดาดฟ้าของหอพัก แต่เนื่องจากอยู่ในห้องปรับอากาศจึงไม่อาจซึมซับบรรยากาศในยามราตรีต้นฤดูหนาวได้ดีเท่ากับเมื่ออยู่ที่นี่

ผมอดนึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวันไม่ได้ บอยทำเป็นไม่รู้จักผมขณะที่เราเดินสวนกัน ภาพในอดีตหลั่งไหลเข้ามาในห้วงคำนึงอีก ผมยังจำวันที่เดินหิ้วของพะรุงพะรังตามบอยต้อยๆที่สยามสแควร์ได้ ของที่ผมหิ้วเป็นของของมันทั้งนั้น

“นี่บอย” ผมเรียกมัน “นายคิดจะถือของบ้างมั้ยเนี่ย”

“ไม่คิดฮะ พี่อูหิ้วน่ะดีแล้ว” บอยสั่นหัว หัวเราะเสียงใสอย่างอารมณ์ดี “ว่าแต่จะพาบอยไปเที่ยวไหนล่ะ”

ยังมีวันที่เราเล่นเรือด้วยกันที่สวนลุม กินสุกี้เป็นครั้งแรกด้วยกันที่สยามสแควร์ มาวันนี้ผมกลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับบอยไปเสียแล้ว... ผมอดคิดไม่ได้ว่าหากผมเรียนต่อ ม.๖ ที่นี่ เหตุการณ์ระหว่างผมกับบอยจะเป็นอย่างไรต่อไป...

คนเรานั้นมาพบกันเพียงเพื่อการพลัดพราก ถึงแม้จะมีวาสนาต่อกันเพียงใด สุดท้ายก็ยังต้องพรากจากกัน... คำพูดของครูช่วยนี้หมายถึงใครกัน หมายถึงแม่ หมายถึงบอย หรือว่าหมายถึงใครอื่น และหากผมจะกำหนดวาสนาของตนเอง ผมจะกำหนดชะตาชีวิตของผมกับวันเวลาที่ยังเหลืออยู่เพื่อใคร...

- - -

“ไอ้เฉา ใบสมัครสอบพรีเอนทรานซ์ของมึงขายไปหรือยัง” ผมถามเชาวน์ทันทีเมื่อพบหน้าวันในตอนเช้าของวันถัดมา

“มึงจะเอาเหรอ จะเอาไปทำไม” เชาวน์ถามด้วยความสงสัย

“ขอซื้อต่อโว้ย อยากลองไปสอบดู” ผมตอบ

“มึงไม่ได้สอบเอนทรานซ์แล้วจะซื้อไปทำซากอะไร” เชาวน์ถามอีก

“ม.๕ ลองสอบดูก็ไม่เห็นแปลก ก็อยากลองหาประสบการณ์ดูน่ะ” ผมรวบรัด ไม่อธิบายมากความ “จะขายไหมล่ะ”

ในที่สุดเชาวน์ก็ขายต่อใบสมัครสอบให้ผม ที่จริงใบสมัครนี้ไม่ได้มีมูลค่าอะไรนักหนา ราคาเพียงชุดละ ๕ บาทหรือ ๑๐ บาทเท่านั้นเอง เพียงแต่ว่าหากใครไม่สอบซื้อไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร คนที่มีก็มีกันหมดแล้ว ดังนั้นเชาวน์เก็บเอาไว้หลายวันก็ยังไม่มีใครมาซื้อไป เพื่อนๆพากันแปลกใจกับการกระทำของผมแต่ผมก็ไม่อธิบายอะไร

หลังจากที่ผมได้ใบสมัครมา วันเสาร์นั้นเองผมก็ต้องไปสมัครสอบ การสมัครก็ไม่มีขั้นตอนอะไรมาก เพียงใช้รูปถ่ายกับใบสมัครและชำระค่าสมัครสอบก็เป็นอันเรียบร้อย ขั้นตอนต่อจากนี้ก็จะมีการประกาศที่สถานที่สอบและที่นังสอบ และเมื่อถึงวันสอบก็ไปสอบตามสถานที่ที่ระบุในประกาศ คล้ายคลึงกับการสอบเอนทรานซ์

- - -

หลังจากวันที่ผมได้พบกับบอยที่โรงอาหาร ผมก็พยายามกลับมาตั้งใจดูหนังสือเพื่อเตรียมสอบอีกครั้งหนึ่ง แต่มันก็ไม่ง่ายเลย ในระยะหลังที่จิตใจของผมว้าวุ่น ผมกลับไปใช้ชีวิตแบบเก่าๆเหมือนกับเมื่อตอนที่ชีวิตเสียศูนย์ไปหลังจากที่นัยไปต่างประเทศ ทำให้ผมเสียเวลาอ่านหนังสือไปมาก แต่อย่างไรก็ตาม ในเมื่อผมเคยเอาชนะตนเองจนได้มาครั้งหนึ่งแล้ว ผมก็เชื่อว่าในครั้งนี้ผมก็จะทำได้อีก

ปัญหาเรื่องทำได้หรือไม่ก็เรื่องหนึ่ง แต่ปัญหาเรื่องทำทันหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง ผมอ่านหนังสือจนดึกทุกคืน แม้จะอ่านไม่รู้ก็ทนนั่งอ่านมันอยู่อย่างนั้น แม้ผมจะกลับมาตั้งใจอ่านหนังสือได้อีกครั้งหนึ่งแต่เวลาที่เสียไปผมไม่สามารถเรียกคืนมาได้อีก เวลาที่เหลืออยู่ก็อาจไม่เพียงพอสำหรับการเตรียมตัว ดังนั้นผมจึงคิดใช้การสอบพรีเอนทรานซ์เป็นเครื่องช่วย ผมหวังว่าการสอบนี้จะให้แนวทางในการเตรียมตัวสอบเอนทรานซ์แก่ผมได้บ้าง

หากเวลากลับถอยหลัง
สักครั้งเราคงไม่พรากกัน
ไม่มีวันต้องแอบเจอกัน
เราคงเป็นของกันและกัน
แต่เวลาไม่ถอยหลัง
จึงพลั้งไปที่เราเจอกัน
จึงสายไปที่จะดึงดัน
ฉะนั้นฉันควรจะไป
ตัดใจและลืมฉันไปดีกว่า
กล่าวลาซึ่งกันและกัน
เธออยู่กับคนของเธอ
ฉันจะอยู่ของฉัน
จากกันด้วยความเข้าใจก็พอ
เช่นฉันต้องลืมรักเธอเช่นกัน
ผูกพันเหลือไว้แค่ฝัน
ยอมอดกดกลืนน้ำตาดีกว่าโหยหา
สิ่งที่เหมือนเราไม่ใช่เจ้าของ
จะแอบมอง เธอลืมเขาได้เมื่อไหร่
ก่อนใครโปรดนึกถึงฉัน
จะกลับมาเป็นของเธอไม่ห่างเหหัน
จะนานแสนนานเท่าไหร่
รู้ไว้ฉันจะคอย

เสียงเพลงความรู้สึกครั้งสุดท้ายจากอัลบั้มชุดเทวดาเดินดินของพี่แจ้ที่ผมซื้อมาเมื่อไม่กี่เดือนมานี้ดังอยู่ในหูฟังของเครื่องเล่นวอล์กแมน คืนนี้ผมฟังเพลงนี้มาหลายครั้งแล้ว ผมเคยฟังเทปม้วนนี้และฟังเพลงนี้หลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่เคยคิดอะไร มาวันนี้เมื่อได้ฟังเพลงนี้อีกผมกลับรู้สึกกินใจเป็นพิเศษ แม้เพลงนี้จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับการรักคนที่มีเจ้าของแล้ว แต่เนื้อเพลงบางท่อนช่างตรงกับความรู้สึกของผมในตอนนี้เหลือเกิน ผมต่อสู้กับความเหงาและก้มหน้าอ่านหนังสือด้วยความพยายามอย่างเต็มที่...

ฟังเพลง ความรู้สึกครั้งสุดท้าย ของแจ้ ดนุพล แก้วกาญจน์ จากอัลบั้มชุด เทวดาเดินดิน

Sunday, June 13, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 68

หลังจากที่แม่ผ่าตัดใหม่ๆผมมานอนที่โรงพยาบาลเป็นเพื่อนแม่ตลอด ที่จริงแม่จะนอนคนเดียวก็ได้เนื่องจากไม่ใช่การผ่าตัดขนาดใหญ่ รวมทั้งแผลผ่าตัดที่คอก็ไม่ได้กระทบกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย แต่ผมสมัครใจที่จะมานอนเฝ้าแม่เองเนื่องจากต้องการให้กำลังใจแม่ด้วย

ผมไปเฝ้าชะแง้แอบดูบอยอยู่หลายวันที่หน้าตึกกับที่โรงอาหารแต่ก็ไม่พบบอย ผมรู้สึกผิดจนไม่กล้าแม้แต่จะเดินเฉียดผ่านหน้าห้องเรียนของบอยเนื่องจากเกรงว่าบอยอาจไม่พอใจที่เห็นผม รวมทั้งบอยอาจถูกเพื่อนๆในห้องล้อก็ได้ แต่โชคก็เข้าข้างผมอยู่บ้าง ในที่สุดผมก็แอบเห็นบอยนั่งกินอาหารอยู่กับเพื่อนๆที่โรงอาหารในวันหนึ่ง

ผมเดินผ่านโต๊ะที่บอยกินอาหารไปและเหลือบไปเห็นบอยโดยบังเอิญ แต่มันก็เป็นเวลาเพียงช่วงสั้นๆเพราะว่าหลังจากนั้นไม่นานบอยและเพื่อนๆก็ลุกออกจากโต๊ะไป แต่เพียงแว่บเดียวที่ผมเห็นมันก็ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมา ใครที่เคยได้แต่เฝ้าแอบมองคนที่เราคิดถึงทุกวันโดยที่ไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปทักทายคงเข้าใจความรู้สึกนี้ได้ดี

“อู ทำไมวันนี้เงียบจัง” แม่พูดขึ้นในตอนดึกของวันนั้นขณะที่แม่กำลังเตรียมตัวเข้านอนและผมกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ ผมเปิดหนังสือค้างเอาไว้แต่ไม่ได้อ่าน กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ “อยู่โรงพยาบาลหลายวันแล้วเบื่อใช่ไหม กลับไปนอนที่หอบ้างก็ได้นะ หมอบอกว่าอีกวันสองวันจะให้กลับแล้ว ไม่ต้องมาเฝ้าแม่ทุกวันหรอก”

“ไม่เบื่อหรอกแม่ กำลังอ่านหนังสือก็เลยเงียบๆน่ะ” ผมตอบ “ไหนๆแม่จะกลับแล้วก็อยู่ให้มันตลอดดีกว่า”

“ทำไมหนังสือหน้าเดียวอ่านอยู่ตั้งนาน ไม่เห็นพลิกไปหน้าอื่นบ้างเลย” แม่ถาม คนที่เข้าใจลูกคงไม่มีใครเกินแม่ แม่คงสังเกตผมมาสักพักหนึ่งแล้ว “อูมีเรื่องอะไรอยู่ในใจหรือเปล่า ตั้งแต่ที่แม่เห็นอูครั้งนี้ดูอูซึมๆไป ยิ่งคืนนี้ยิ่งดูซึม”

“ไม่ได้เป็นอะไรหรอกแม่ ดูหนังสือแล้วล้านิดหน่อยอะ” ผมรีบปฏิเสธ “บางทีอ่านแล้วไม่เข้าใจก็เลยใช้เวลา”

พูดไปแล้วก็รู้สึกไม่ดีที่ต้องโกหกแม่ แต่ทำไงได้

“แม่นั่งๆนอนๆทั้งวัน เบื่อจะแย่แล้ว” แม่เปลี่ยนเรื่อง “เป็นห่วงที่บ้านอยู่เหมือนกัน ไม่รู้ป่านนี้เป็นไงบ้าง”

“ป๊าก็อยู่ แม่ไม่ต้องห่วงหรอก พักให้เต็มที่ดีกว่า” ผมพูด

“ป๊าเค้าก็ดูแลแต่เรื่องค้าขาย งานบ้านน่ะเคยดูเสียที่ไหน แม่ไม่อยู่บ้านต้องรกแน่เลย” แม่อดบ่นไม่ได้

ปกติแม่เป็นคนขยัน ทำโน่นทำนี่อยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะเรื่องงานทำความสะอาด แม่เป็นคนรักความสะอาดดังนั้นจึงปัดนั่นเช็ดนี่ไม่เคยว่าง น่าเห็นใจแม่ที่นั่งๆนอนๆอยู่ในโรงพยาบาลเสียหลายวันจนเริ่มรู้สึกอับเฉา

“แม่นอนก่อนล่ะ อย่านอนดึกนะลูก” แม่ยังอดเป็นห่วงผมไม่ได้ จากนั้นแม่ก็ปิดไปที่หัวเตียงคนไข้ ผมก็เดินไปปิดไฟดวงใหญ่ที่อยู่กลางห้อง เหลือแต่เพียงแสงไฟจากดวงไฟเหนือโต๊ะเล็กที่ผมนั่งดูหนังสืออยู่

ดึกแล้ว...

แม่หลับไปนานแล้ว ผมปิดหนังสือลงและเดินไปที่หน้าต่าง ดวงดาวในยามต้นฤดูหนาวระยิบพราวฟ้า ทิวทัศน์ยามราตรีสงัดแฝงไว้ด้วยอารมณ์เหงา แม้จะเหงาไปบ้างแต่ผมก็ชอบเวลาเช่นนี้เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่ผมรู้สึกสงบ ได้อยู่กับตัวเองและเป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง

หวนคิดถึงชีวิตที่ผ่านมา สุดท้ายแล้วได้อะไร ชีวิตของผมตอนนี้ยังคงว่างเปล่า ผมเหลียวกลับไปมองกองหนังสือบนโต๊ะ อดคิดไม่ได้ว่าที่ผมทุ่มเทพยายามอยู่นี้ผมกำลังทำไปเพื่ออะไร จุดหมายของผมอยู่ที่ไหน และสุดท้ายจะได้แต่ความว่างเปล่าเหมือนที่ผ่านมาอีกหรือไม่

คนเรานั้นมาพบกันเพียงเพื่อการพลัดพราก ถึงแม้จะมีวาสนาต่อกันเพียงใด สุดท้ายก็ยังต้องพรากจากกัน... ผมอดนึกถึงคำพูดของครูช่วยไม่ได้ ผมเคยเสียนัยไปแล้ว มาวันนี้ผมก็กำลังจะสูญเสียบอยไปอีกคนหนึ่ง หรือว่าบทลงเอยของความรักที่ผิดปกติเช่นผมคือความว่างเปล่า

ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าถ้าผมจะกำหนดวาสนาของตนเองบ้างจะได้หรือไม่ ถ้าผมเรียน ม.๖ ที่นี่ต่ออีกหนึ่งปีล่ะ อย่างน้อยผมก็มีโอกาสได้เห็นหน้าบอยบ้างไปอีกตลอดหนึ่งปี ไม่แน่ว่าเมื่อเวลาผ่านไป หากผมมีความพยายามมากพอ บอยอาจจะเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ก็ได้... คิดๆไปมันก็พอมีโอกาสเป็นไปได้

อีกหนึ่งปี... อีกหนึ่งปี... ที่จริงมันก็ไม่นานนัก ถึงแม้ผมจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ในปีหน้านี้ผมก็เรียนเร็วขึ้นอีกปีเดียว ทำงานเร็วขึ้นอีกปีมันคงไม่ได้ช่วยอะไรให้แก่ชีวิตมากนัก ถึงผมไม่เข้ามหาวิทยาลัยในปีหน้าก็ใช่ว่าผมจะเรียนช้ากว่าเพื่อนๆ ก็เพียงแค่เรียนตามเกณฑ์ปกติเท่านั้น

แต่... ถ้าหากว่าบอยเกิดสอบเข้าเตรียมอุดมได้ ความพยายามทั้งหมดของผมที่ทำเพื่อบอยก็คงสูญเปล่า ผมก็ไม่แน่ใจว่าความเสี่ยงมีมากเพียงใด และมันคุ้มค่าพอที่จะเสี่ยงหรือไม่

คิดไปคิดมาก็อดขำตนเองไม่ได้ ผมลืมความจริงไปข้อหนึ่ง นั่นคือ ผมทึกทักเอาราวกับว่าผมจะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แน่ๆในปีหน้านี้ ทั้งๆที่จริงแล้วผมก็ไม่ใช่คนเรียนเก่งอะไร ผมอาจสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้เลยไม่ว่าปีหน้าหรือปีไหน และต้องไปเรียนมหาวิทยาลัยเปิดก็ได้

สายตาของผมเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่าง เวิ้งฟ้าในห้วงรัตติกาลทำให้ผมอดนึกถึงใครคนหนึ่งไม่ได้ ผมจมอยู่ในภวังค์ไม่รู้ว่านานเพียงใด...

ผมคิดจะเรียนต่อที่โรงเรียนจนจบ ม.๖ ดีกว่า เพราะหลังจากไตร่ตรองแล้ว สภาพจิตใจของผมตอนนี้ไม่พร้อมที่จะเตรียมตัวสอบเอาเลย ถ้าอย่างนั้นผมจะรอเรียนจบตามรุ่นเพื่อจะได้มีเวลาเตรียมสอบมากขึ้น โอกาสที่จะได้คณะดีๆคงมีมากกว่า พร้อมกันนั้นก็คงมีโอกาสสานสัมพันธ์กับบอยต่อไปได้อีกด้วย อย่างน้อยที่สุด แค่ได้เห็นหน้ามันบ้างก็ยังดี ส่วนเรื่องที่บอยจะไปเรียนต่อเตรียมอุดมนั้นบอยอาจจะสอบได้หรือไม่ได้ก็ได้ ถือเสียว่าผมวัดดวงอนาคตอีกหนึ่งปีกับบอยก็แล้วกัน

ที่จริงการตัดสินใจในชีวิตช่วงนี้คงไม่ได้เป็นการตัดสินใจโดยใช้เหตุผลเท่าไรนัก แต่เป็นเพียงการหาเหตุผลมาเป็นข้ออ้างเพื่อให้เกิดความสบายใจมากกว่า

แผนการของผมก็คือยังคงทำทุกอย่างไปตามปกติ ไปเรียน กศน. สอบ กศน. และไปสอบเอนทรานซ์ เพียงแต่ว่าไม่ต้องไปเอาจริงกับมัน เหตุที่ต้องทำเช่นนี้เพราะว่าหากผมบอกทางบ้านว่าจะไม่สอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีนี้ พ่อ แม่ และเอ๊ดก็คงต้องรู้ว่าผมมีปัญหาในชีวิตอีก ไม่แน่ว่าพ่ออาจขอร้องให้เอ๊ดสอบเอนทรานซ์ใหม่เพื่อมาดูแลผมอีก ดังนั้นการตัดสินใจของผมนี้จะให้ใครรู้ไม่ได้ ผมจะต้องสอบไม่ติดอย่างเป็นธรรมชาติ...

เมื่อคิดตกแล้วก็สบายใจ ผมจึงเตรียมตัวเข้านอน อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ผมจะหลับ สำนึกสุดท้ายของผมอดเสียดายความพยายามทั้งหมดที่ผ่านมาไม่ได้...

- - -

เช้าวันต่อมา

ผมตื่นแต่เช้าและอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปโรงเรียนตามปกติ แม่เป็นคนตื่นไว เมื่อแม่ได้ยินเสียงกุกกักๆก็ตื่นแล้วแต่ว่ายังนอนเล่นอยู่บนเตียง ดูผมเตรียมตัวไปโรงเรียน

“สงสัยอูคงพักผ่อนน้อยนะ เลยเครียด” แม่ทักขึ้นขณะที่ผมกำลังจัดหนังสือเรียนใส่ลงในเป้

“ทำไมเหรอแม่” ผมงง จู่ๆแม่ก็พูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

“ก็เมื่อคืนดูอูซึมๆ เช้าวันนี้ตื่นขึ้นมาดูสดใส คงเป็นเพราะได้พักผ่อนไง” แม่พูด

“แม่คิดไปเองมั้ง” ผมตอบส่งเดช “อูไปเรียนก่อนละ”

ผมไม่อยากถูกแม่ซักไซร้ต่อ ดังนั้นเมื่อจัดเป้เสร็จเรียบร้อยผมก็รีบออกจากห้องคนไข้ทันที

วันนี้ผมไปเดินเตร่อยู่ที่โรงอาหารตอนพักเที่ยงอีก แม้ว่าวันนี้จะไม่เห็นบอยแต่ผมก็รู้สึกสบายใจขึ้นกว่าเดิมมาก ผมอดคิดเข้าข้างตนเองไม่ได้ว่าคงเป็นเพราะผมตัดสินใจได้ถูกต้องจึงรู้สึกสบายใจ แต่แท้ที่จริงแล้วความทุกข์อยู่ที่การตัดสินใจไม่ได้นี่เอง เมื่อใดที่ตัดสินใจได้ ไม่ว่าจะตัดสินใจไปในทางใดก็ตาม หลังจากนั้นก็จะรู้สึกสบายใจขึ้น

วันนี้ผมเรียนอย่างสบายใจ เมื่อคิดว่าปีนี้จะสอบเอนทรานซ์เพียงแค่พอเป็นพิธีเอาไว้หลอกที่บ้านเท่านั้น อีกทั้งยังมีวามหวังกับบอย ผมจึงเรียนอย่างไม่เคร่งเครียดนัก

“เฮ้ย ใบสมัครสอบพรีเอนทรานซ์โว้ย ขายต่อๆ มีชุดเดียว ใครเอาบ้าง” เสียงเชาวน์ตะโกนโหวกเหวกในตอนบ่ายระหว่างเปลี่ยนคาบ “สมัครเสาร์นี้แล้วนะโว้ย”

“เดี๋ยวนี้มึงขายของหาลำไพ่แล้วเหรอ” นนพูดพลางหัวเราะ “น่าสงสาร ทางบ้านยากจน”

“ไม่ได้ขายเอากำไรโว้ย ไอ้เวร เพื่อนมันฝากกูซื้อแต่แล้วมันก็ไปซื้อมาเอง เลยมีเหลือชุดนึง ไม่เหมือนมึงหรอกขายถั่วดำหาลำไพ่” เชาวน์ประคารม ไม่ยอมให้นนเหน็บฟรีๆ ช่วงหลังสองคนนี้เป็นคู่กัดที่มักลับฝีปากกันเสมอ มุขที่เชาวน์ชอบเอามาเล่นกับนนก็มักหนีไม่พ้นมุขถั่วดำหรือเรื่องที่คล้ายๆกัน

“มึงอยากแดกมั่งล่ะสิ ถั่วดำน่ะ” นนพูด “มึงให้ฟรีดิกูเอา”

“มึงไม่ต้องมายุ่งเลย เสือก” เชาวน์หัวเราะ

สอบพรีเอนทรานซ์ที่ว่าคือการสอบเพื่อเตรียมตัวสอบเอนทรานซ์ ในยุคที่การสอบเอนทรานซ์คือการชี้ชะตาชีวิตของนักเรียนสายสามัญ การมีโอกาสทดลองสอบอันเป็นเสมือนการซ้อมใหญ่ก่อนเข้าสนามสอบจริงจึงเท่ากับเป็นการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน การสอบพรีเอนทรานซ์นั้นมีขึ้นมาราวสิบปีแล้วเห็นจะได้ ในยุคนั้นเฟื่องมาก ผู้จัดก็มีหลายรายทั้งที่เป็นเอกชนจัดขึ้นซึ่งถือได้ว่าเป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับการศึกษาแบบหนึ่งเช่นเดียวกับการกวดวิชา กับผู้จัดที่เป็นชมรมวิชาการของมหาวิทยาลัยต่างๆอันถือเป็นการทำกิจกรรมทางวิชาการของนักศึกษา สูตรสำเร็จของนักเรียน ม.ปลายในยุคนั้นก็คือ กวดวิชา สอบเทียบ สอบพรีเอนทรานซ์ แล้วก็ไปสอบเอนทรานซ์

เรื่องการสอบพรีเอนทรานซ์นั้นเดิมทีผมก็คิดเอาไว้บ้างเหมือนกัน แต่เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาผมเกิดอาการท้อแท้อันเนื่องมาจากเรื่องของบอย ประกอบกับวุ่นวายเรื่องแม่เข้าโรงพยาบาล จึงทำให้ผมลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท แต่ว่ามานึกได้เอาตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรอีกต่อไปแล้วเนื่องจากแผนการชีวิตของผมเปลี่ยนไป ผมจึงไม่ได้คิดสมัครสอบพรีเอนทรานซ์แล้ว

- - -

“พรุ่งนี้หมอให้แม่กลับบ้านได้แล้วนะ” แม่พูดกับผมอย่างดีใจในตอนเย็นเมื่อผมกลับจากโรงเรียน “แม่โทรไปบอกป๊าแล้ว ป๊าจะมารับพรุ่งนี้ตอนสายๆ”

“ดีจังเลยแม่ แม่จะได้กลับบ้านเสียที อยู่นี่แม่คงเซ็งแย่” ผมรู้สึกดีใจเช่นกัน แม้การพักที่นี่จะสบายกว่าอยู่ที่หอพัก อย่างน้อยก็มีเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ แต่ถึงอย่างไรโรงพยาบาลก็คือโรงพยาบาล คงไม่มีใครอยากพักอยู่นานๆโดยไม่จำเป็น

“อยู่นี่ก็น่าเบื่อนิดหน่อย แต่ก็ดีตรงที่ได้เห็นอูทุกวัน” แม่พูด “อูไม่ค่อยกลับบ้านเลย นานๆแม่จะได้เห็นหน้าอูสักครั้ง”

ผมชะงักไป ในใจอดรู้สึกสำนึกผิดไม่ได้ จริงสินะ สองสามปีมานี้ผมอยู่บ้านค่อนข้างน้อย แม้จะกลับบ้านในช่วงปิดเทอมแต่ก็พักอยู่ที่บ้านเพียงช่วงเวลาสั้นๆจากนั้นก็กลับมาอยู่ที่กรุงเทพฯอีก

ก่อนที่เราจะคุยกันต่อ ประตูห้องพักก็เปิดออก หมอกับพยาบาลเดินเข้ามาในห้อง ตั้งแต่มาพักที่โรงพยาบาลผมเห็นหมอเจ้าของไข้ของแม่เพียงช่วงก่อนการผ่าตัดเท่านั้น หลังจากผ่าตัดไปแล้วยังไม่เคยเห็นหมออีกเลยเนื่องจากหมอมักมาเยี่ยมแม่ในตอนเช้าหลังจากที่ผมออกไปโรงเรียนแล้ว

“วันนี้คุณหมอมาเยี่ยมสองหนเลยนะ” แม่ทักทายหมอ

“ครับ พอดีวันนี้มีคนไข้ที่ต้องแวะมาดูตอนเย็น ไหนๆมาแล้วก็เลยแวะมาเยี่ยมอีกครั้ง” หมอตอบพลางหันหน้ามาทางผม “นี่คนเล็กใช่ไหม วันก่อนก็เห็นมาเฝ้าแม่”

“ใช่ค่ะ นี่คนเล็ก” แม่ตอบ “คนโตเข้ามหาวิทยาลัยไปแล้ว อยู่ต่างจังหวัด”

“แล้วคนเล็กนี่เมื่อไรเข้ามหาวิทยาลัยล่ะครับ” หมอถาม

“ปีหน้านี้แหละค่ะ ตอนนี้อยู่ ม.๕ แต่เค้าจะสอบเทียบ เตรียมเข้ามหาวิทยาลัยปีหน้านี้” แม่ตอบ

“อือม์ ขยันนะ” หมอหันมาชมผม

ผมก็ได้แต่ครับๆ แต่ในใจแอบตอบหมอไปว่าปีหน้านี้จะไม่สอบแล้ว

หมอคุยกับแม่ชั่วครูจากนั้นก็ขอตัวจากไป หลังจากที่หมอไปได้ไม่นาน พยาบาลก็เข้ามาในห้องอีก แต่คราวนี้มาคนเดียว

“คุณหมอเชิญลูกชายไปคุยด้วยหน่อยค่ะ” พยาบาลสาวพูดกับแม่และผม

“มีอะไรเหรอจ๊ะ” แม่ถาม

“ยังไม่ทราบเหมือนกันค่ะ” พยาบาลตอบ

“เดี๋ยวอูมาแม่” ผมพูดกับแม่ พลางเดินออกจากห้องไปพร้อมกับพยาบาล ในใจอดสงสัยไม่ได้ว่าหมอเรียกผมไปทำไม แม่ก็คงสงสัยเช่นกัน

พยาบาลพาผมไปพบหมอที่รออยู่ตรงชุดรับแขกซึ่งอยู่ใกล้ๆกับลิฟต์ ตรงนั้นเป็นที่สำหรับญาติคนไข้มานั่งพักหรือว่านั่งรอ แต่ว่าตอนนั้นไม่มีคนอื่น คงมีแต่เพียงหมอนั่งอยู่

“พรุ่งนี้พ่อจะมากี่โมง” หมอถามเป็นคำถามแรกหลังจากที่ผมนั่งลงที่ชุดรับแขก “หลายวันมานี้หมอยังไม่เคยทักทายคุณพ่อเลย”

“แม่บอกว่าสายๆจะมารับครับ” ผมตอบ

“บอกให้พ่อมาเร็วหน่อย มาพบหมอสักตอนแปดโมงเช้าได้ไหม” หมอถามอีก “หมอมีเรื่องจะคุยด้วย”

ผมรู้สึกเอะใจ ทำไมหมอไม่ฝากบอกไปกับแม่ มาบอกผมทำไม

“ไม่ทราบว่ามีอะไรหรือเปล่าครับ” ผมถามด้วยความสงสัย

“ที่หมออยากจะคุยกับคุณพ่อเพราะว่าก้อนเนื้องอกที่ผ่าออกมานั้นมันดูไม่ค่อยดี” หมอตอบ “แม้ผลตรวจชิ้นเนื้อทางห้องแล็บจะยังไม่ออกมา แต่จากประสบการณ์ของหมอหมอคิดว่ามันเป็นเนื้อร้าย”

Monday, June 7, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 67

“...” ผมอึ้งไป ขณะนั้นอายุยังน้อย ไม่เคยวางแผนชีวิตแบบจริงจังไปไกลถึงขนาดนั้น จึงไม่ได้รู้สึกอึดอัดใจกับคำพูดของแม่เรื่องแต่งงานมีครอบครัว แต่อย่างไรก็ตามก็ยังอดสะกิดใจอยู่เล็กน้อยไม่ได้

“แล้วอูอยากเรียนคณะอะไรล่ะ” แม่ถามอีก

“หมอมั้งแม่” ผมตอบ ในตอนนั้นคำถามเรื่องการแต่งงานมีครอบครัวยังไม่น่าอึดอัดใจเท่ากับคำถามเรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเนื่องจากช่วงนั้นกำลังเคว้งหนัก ความมุ่งมั่นที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ในปีหน้านี้เหลือน้อยเต็มทีแล้ว

“แม่ไม่อยากให้อูเรียนหมอเลย” แม่พูดขึ้นมา

“อูไม่ค่อยอยากเรียนวิศวฯน่ะแม่ ก็เลยคิดว่าจะสอบเข้าแพทย์ดีกว่า” ผมตอบ

“ไม่ชอบวิศวฯก็ไปเข้าอย่างอื่นก็ได้นี่ ไม่เห็นต้องเรียนหมอเลย” แม่ตอบ

“ทำไมยังงั้นล่ะแม่ พ่อแม่ใครๆเค้าก็อยากให้ลูกเป็นหมอ เป็นวิศวกรกันทั้งนั้น” ผมงงกับความต้องการของแม่ เราไม่เคยคุยกันเรื่องเข้ามหาวิทยาลัยมาก่อน สำหรับเอ๊ดนั้นเอ๊ดไม่ชอบสายแพทย์ อยากเรียนวิศวฯ ซึ่งที่บ้านก็เห็นดีด้วย แต่ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าพ่อกับแม่ไม่อยากให้ลูกเรียนหมอ

“เป็นหมอน่ะทำงานหนัก อยู่กับคนเจ็บคนป่วยทั้งวัน มันน่าหดหู่ อีกอย่าง ถ้ามีเหตุฉุกเฉินกี่โมงกี่ยามก็ถูกตามตัว ถ้าอยากเรียนหมอไปเป็นหมอฟันดีกว่า ทำงานเป็นเวลา ดึกดื่นก็ไม่มีใครมาตามตัว” แม่พูด เหตุผลของแม่ฟังดูก็มีน้ำหนักเหมือนกัน แต่ผมก็ว่าเป็นเหตุผลที่แปลกๆอยู่ ถ้าเป็นสมัยนี้ เหตุผลของแม่อาจกลายเป็นว่าเป็นหมอแล้วมีโอกาสถูกคนไข้ฟ้องร้องสูงก็เป็นได้

“ป๊าเค้าก็คิดแบบนี้เหมือนกันนะ” แม่สำทับ เหมือนกับอ่านใจผมออกว่าผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับความคิดนี้เท่าไรนัก “ตอนที่เอ๊ดจะสอบเอนทรานซ์ ป๊าก็พูดกับเอ๊ดอย่างที่แม่พูดนี่แหละ เป็นหมอนี่ต้องอาศัยฝีมือและแรงงานของตัวเอง”

“เป็นหมอเนี่ยนะใช้แรงงาน” ผมอดขัดขึ้นมาไม่ได้

“ไม่ได้หมายถึงแบกหาม” แม่พูด “แต่ว่า คนเป็นหมอต้องตรวจรักษาคนไข้ด้วยตนเอง เต็มที่ได้กี่คน เท่าไรก็เท่านั้น หมอฟันก็เหมือนกัน วันไหนป่วย วันไหนติดธุระ ก็ตรวจรักษาไม่ได้ รายได้ก็จะจำกัดเท่ากับกำลังที่คนคนเดียวจะทำได้ แต่ถ้าคนทำธุรกิจ คนเดียวเปิดร้านเดียวก็ได้ จะขยายสาขาสักสิบร้านร้อยร้านก็ได้ ก็ใช้การบริหารเอา ถึงป่วยงานก็เดินได้”

ตอนนั้นผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับที่แม่พูดนัก จึงไม่ค่อยได้สนใจฟัง แต่มาจับประเด็นได้ตรงที่เปิดสิบร้านร้อยร้าน

“แล้วทำไมป๊าถึงได้มีอยู่ร้านเดียวล่ะ” ผมย้อน “อย่าว่าแต่สิบสาขาเลย สาขาสองยังไม่เคยเห็น”

“ไอ้ลูกคนนี้มันชอบจับผิด” แม่หัวเราะอีก “ก็ป๊าเค้าไม่ใช่คนทะเยอทะยาน เพื่อนๆป๊าหลายคนทำธุรกิจไปถึงไหนแล้ว แต่มันก็มีข้อดีนะ ชีวิตก็มีเวลาทำอย่างอื่นๆบ้าง”

ไม่ทะเยอทะยานแล้วทำไมไปเสียท่าสูญเงินไปกับราชาเงินทุนได้ ผมอดแย้งในใจไม่ได้แต่กลัวโดนด่าจึงไม่ได้พูดออกไป

“อีกตั้งนานกว่าจะถึงเวลาเลือกคณะ เอาไว้ค่อยคิดทีหลังก็ได้แม่” ผมเฉไฉซื้อเวลาไปก่อน ไม่ค่อยอยากคุยเรื่องนี้ต่อไปอีก

แม่เงียบไป ห้องคนไข้ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งหนึ่ง ผมพยายามรวบรวมสมาธิอ่านหนังสือภายใต้แสงไฟสลัวอีกครั้ง

“อู” แม่ทำลายความเงียบขึ้นมาอีก “เขียนจดหมายคุยกับนัยบ่อยไหม นัยเป็นไงบ้าง”

เรื่องไอ้นัยนี่ยิ่งไม่น่าคุยเสียยิ่งกว่าเรื่องสอบเข้ามหาวิทยาลัยเป็นไหนๆ วันนี้แม่เป็นอะไรไปนะ คุยแต่เรื่องที่ผมไม่อยากคิดทั้งนั้นเลย

“ไม่ค่อยอะแม่” ผมตอบอ้อมแอ้ม เอานิ้วลูบปลายจมูกตนเองราวกับกลัวว่ามันจะงอกยาวออกมา

“แล้วนัยสบายดีหรือเปล่า เรียนเป็นยังไงบ้าง” แม่ถามอีก

“ทำไมจู่ๆแม่ถึงได้ถามถึงไอ้นัยขึ้นมาล่ะ มันไปเมืองนอกตั้งหลายปีแล้ว นึกว่าแม่ลืมมันไปแล้วเสียอีก” ผมถามกลับ พยายามอย่างที่สุดที่จะหลีกเลี่ยงการตอบคำถามเรื่องไอ้นัย รู้สึกหวิวๆขึ้นมาในหัวใจยังไงก็ไม่รู้ จริงสินะ ไอ้นัยเป็นยังไงบ้าง สบายดีหรือเปล่า ผมไม่เคยรู้ข่าวจากมันอีกเลยหลังจากได้รับจดหมายทั้งสามฉบับนั้น

“แม่จะลืมนัยได้ยังไง ตอนเด็กๆนัยเป็นเพื่อนที่อูรักมากที่สุด ตอนที่นัยมาพักที่บ้าน เวลามีขนมอะไรอูต้องแบ่งเก็บไว้ให้นัยเสมอ อูไม่เคยเก็บไว้กินเองจนหมดเลย นัยเค้าเป็นเด็กดี จำได้ว่าแม่เคยฝากให้นัยคอยดูแลอูเวลาที่อยู่กรุงเทพฯ เพราะนัยใจเย็น เป็นผู้ใหญ่ พูดแล้วแม่ก็ยังคิดถึงนัยอยู่เลย” แม่พูดถึงนัยด้วยน้ำเสียงเนิบๆราวกับกำลังทบทวนความหลัง “อูเสียอีก ตั้งแต่นัยไปแม่ไม่ได้ยินอูพูดถึงนัยอีกเลย นี่อูลืมนัยไปแล้วหรือไง”

คำพูดของแม่ราวกับคมมีดที่กรีดลงบนกลางใจ จู่ๆผมก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมา จริงสินะ ช่วงที่ผ่านมาผมไม่ค่อยคิดถึงไอ้นัยเท่าไรแล้ว

“ทำไมวันนี้แม่คุยแต่เรื่องเก่าๆ” ผมไม่ยอมตอบคำถาม รู้สึกไม่ค่อยดีอย่างไรก็ไม่รู้

“ไม่รู้สิ อยู่ดีๆก็คิดถึงเรื่องเก่าๆตอนที่อูเป็นเด็กน่ะ” แม่ตอบ

“แม่พยายามนอนหน่อยนะ อย่าคิดมากเลย เดี๋ยวจะพักผ่อนไม่พอ” ผมพยายามตัดบทการสนทนา “ยิ่งคิดมากแม่จะยิ่งนอนไม่หลับ”

ได้ยินเสียงแม่ถอนใจ หลังจากนั้นแม่ก็เงียบไป คงพยายามจะนอน ผมเองก็พยายามอ่านหนังสือ แต่พยายามอยู่พักใหญ่ก็ไม่สำเร็จ คำพูดของแม่ทำให้ผมคิดมากเรื่องไอ้นัย

ผมปิดหนังสือ ปิดไฟที่โต๊ะเล็ก ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความมืด ผมลุกขึ้นมาอย่างช้าๆและเงียบกริบ เดินไปที่หน้าต่าง ชั้นที่แม่พักอยู่นี้สูงพอสมควร สามารถมองเห็นดวงไฟเป็นจุดๆทอดไกลไปจนสุดสายตา โลกยามค่ำคืนเมื่อดูจากที่นี่ไพศาลและอ้างว้างยิ่งกว่าโลกที่ผมเห็นที่ดาดฟ้าของหอพักมากมายนัก หรือว่าคนเราเมื่อเติบใหญ่ขึ้น เห็นโลกมากขึ้น ชีวิตก็ต้องอ้างว้างมากยิ่งขึ้น

บรรยากาศยามดึกสงัดสงบเงียบ มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศทำงาน ผมเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ความคิดของผมราวกับหมอกควันอันเบาบางที่เมื่อลอยออกไปนอกหน้าต่างแล้วก็ฟุ้งกระจายออกไปโดยไร้ทิศทาง ผมปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปไกลแสนไกล...

นี่อูลืมนัยแล้วหรือไง ในความรู้สึกของผมเสมือนยังได้ยินคำพูดของแม่ก้องอยู่ แม่คงไม่ได้ตั้งใจ แต่คำพูดของแม่ทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวด เมื่อก่อนผมเคยพยายามลืมมันไปจริงๆ... ผมพยายามลบความทรงจำทั้งหมดเกี่ยวกับไอ้นัยออกไปเพราะมันมีแต่ความเจ็บปวดและความรู้สึกผิด แต่ผมก็ทำไม่สำเร็จ ผมไม่ได้อยากลืมไอ้นัยไปจริงๆ เพียงแต่ผมอยากลืมอดีต... อดีตที่เจ็บปวดและเต็มไปด้วยความผิดพลาด... จนในที่สุด ผมก็สามารถก้าวข้ามผ่านชีวิตอันเลวร้ายช่วงนั้นมาได้ ผมเรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่ท่ามกลางการติเตียนจากมโนธรรมของตนเองโดยการก้าวไปข้างหน้าและพยายามไม่มองย้อนกลับไปข้างหลัง

หลายครั้งที่ผมพยายามมองย้อนกลับไปข้างหลังอย่างอดไม่ได้ ผมเกือบย้อนกลับไปหาอดีตอีก แต่ในที่สุดชีวิตของผมก็มีเป้าหมายใหม่ขึ้นมา... แสงไฟที่ทำให้ผมมองเห็นทางข้างหน้าและก้าวเดินไปได้อย่างมั่นคงขึ้น... นั่นคือบอย

การไม่หวนกลับไปมองข้างหลังก็เหมือนกับว่าผมลืมนัยไปโดยปริยาย ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมทำนี้ถูกหรือผิด แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมไม่จมอยู่กับอดีตอันปวดร้าวและมีชีวิตเติบโตต่อไปได้ ผมอดคิดไม่ได้ว่าผมควรเรียกพัฒนาการของผมนี้ว่าอย่างไรดี... เรียกว่าไม่จมอยู่กับอดีต หรือเรียกว่าความอำมหิต... แต่ไม่ว่าจะเรียกมันว่าอะไรก็ตาม ชีวิตของผมในตอนนี้เหมือนกลับมาติดบ่วงอีกครั้งหนึ่ง... บอยผู้ซึ่งเคยเป็นเสมือนแสงไฟที่ส่องนำให้ผมก้าวเดินไปข้างหน้า ตอนนี้กลับกลายสภาพมาเป็นบ่วงที่คล้องผมเอาไว้ มันเป็นบ่วงเดียวกับที่เคยคล้องผมเอาไว้จนแทบเอาตัวไม่รอดมาแล้ว... นั่นคือบ่วงของความรัก

เมื่อคิดถึงนัย ผมเคยทำผิดกับไอ้นัยเอาไว้มาก... เมื่อคิดถึงบอย ก็อดรู้สึกผิดต่อบอยไม่ได้ ไม่รู้ว่าการที่เราสนิทกันทำให้บอยถูกล้อเลียนมามากเท่าไรแล้ว ความคิดของผมกระเจิดกระเจิงมาจนถึงพฤติการณ์งี่เง่าครั้งล่าสุดของผม เรื่องดอกแคของผมอาจทำให้บอยถูกล้อเลียนอย่างหนักก็ได้ ผมไม่น่าทำเลย...

เมื่อคิดถึงตนเอง... มีความวิปริตปกติทางเพศ มีความรักที่ต้องซ่อนอยู่ในเงามืด เมื่อคิดถึงอนาคตข้างหน้า ผมจะต้องมีชีวิตกับรักที่ต้องซ่อนเร้นและไม่สมหวังไปเช่นนี้ไปจนตลอดชีวิตเลยหรือ...

- - -

วันนี้เป็นวันที่แม่ต้องเข้ารับการผ่าตัดก้อนเนื้องอกแล้ว แม่ตื่นตั้งแต่เช้าแต่ไม่ได้กินอะไรเพราะว่าถูกสั่งงดน้ำและอาหารก่อนการผ่าตัด อาหารคนไข้ที่ทางโรงพยาบาลจัดมาจึงตกเป็นของผมไปโดยปริยาย

“เป็นไง อร่อยไหม” แม่ถามขณะที่ผมกำลังง่วนกับอาหารของแม่อยู่ แม่ดูซึมๆไป เห็นได้ชัดว่ากำลังกังวล

อาหารมื้อนั้นไม่ค่อยคล้ายมื้ออาหารปกติเท่าใดนัก อาหารทุกอย่างถูกบรรจุมาในภาชนะสแตนเลส มีข้าวต้มชามเล็กๆ กับข้าวอีกสองอย่าง แล้วก็ขนมนิด ผลไม้หน่อย ทั้งรสชาติและบรรยากาศในการกินไม่ได้เรื่องเลยแม้แต่น้อย

“ดีกว่าเอาปากกระแทกพื้นหน่อย” ผมทำหน้าเบ้

แม่หัวเราะกิ๊ก “เอาภาษาอะไรมาพูดก็ไม่รู้ ไม่น่าฟังเลย”

“ภาษาวัยรุ่นน่ะแม่” ผมตอบ รู้สึกดีใจที่ได้เห็นรอยยิ้มของแม่ “ไม่ไหว ทั้งน้อย ทั้งจืดชืด ไม่น่ากินเลย”

“ก็เค้าทำไว้ให้คนไข้กิน ก็ต้องจืดๆเอาไว้ก่อนน่ะสิ” แม่พยายามเข้าข้างโรงพยาบาล

หลังจากนั้นไม่นาน พ่อก็มาถึง ดูพ่อท่าทางอิดโรย ช่วงนี้คงพักผ่อนน้อย และหลังจากที่พ่อมา เอ๊ดก็ตามมาติดๆ เอ๊ดมารถทัวร์ ลงรถที่สถานีขนส่งหมอชิตแล้วก็นั่งรถเมล์มาที่โรงพยาบาล

เมื่อครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า แม่ดูมีกำลังใจขึ้นมาก สังเกตได้จากจากสีหน้าที่แช่มชื่นขึ้น พ่อและเอ๊ดพยายามคุยเรื่องสนุกๆให้แม่ยิ้มแต่ผมว่าเรื่องของพ่อไม่สนุกเท่าไร ฟังอย่างไรก็ยังอดเครียดไปกับน้ำเสียงของพ่อไม่ได้ คงเป็นเพราะว่าพ่อเหนื่อยและเครียดนั่นเอง แต่ก็ถือได้ว่าวันนี้เป็นวันที่ครอบครัวของเรารวมตัวและคุยกันอย่างอบอุ่นที่สุดวันหนึ่งเท่าที่ผมเคยประสบมา แม้แต่บรรยากาศตอนกินข้าวพร้อมหน้ากันที่บ้านก็ยังไม่รู้สึกอบอุ่นและเป็นกำลังใจให้กันมากเท่านี้

จู่ๆผมก็คิดถึงไอ้นัยขึ้นมา อดคิดถึงคำพูดของไอ้นัยที่เขียนเอาไว้ในจดหมายไม่ได้ มันอิจฉาผมที่ผมมีครอบครัวที่อบอุ่นซึ่งมันไม่มี... ไม่เอานะ ไม่คิด ไม่คิด ผมพยายามเตือนสติตนเอง

ตกบ่าย พยาบาลก็เข้ามาหาพร้อมบุรุษพยาบาลและรถเข็น ใกล้ถึงเวลาผ่าตัดแล้ว แม่กำลังจะถูกพาไปเข้าห้องผ่าตัด

“เดี๋ยวคุณแม่นั่งรถเข็นนะคะ” พยาบาลสาวพูดกับแม่ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวาน

“เดินเองก็ได้จ้ะ ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” แม่ไม่อยากนั่งรถเข็น

“นั่งเสียหน่อยดีกว่าค่ะ คุณแม่ไม่ได้รับประทานอะไรมาตั้งแต่เช้า อาจจะเพลียบ้าง” พยาบาลสาวพยายามอธิบาย แม่จึงยอมนั่งรถเข็นแต่โดยดี

“แม่ไปละนะ เอ๊ด อู” แม่พูด ผมฟังน้ำเสียงของแม่แล้วอดใจหายไม่ได้ ผมไม่อยากได้ยินแม่พูดประโยคนี้เลย

“ญาติจะไปทำธุระที่อื่นก่อนก็ได้นะคะ กว่าจะผ่าตัดเสร็จ กว่าคนไข้จะฟื้นจากยาสลบ รวมแล้วก็อีกหลายชั่วโมง กลับมาค่ำๆก็ได้ค่ะ” พยาบาลสาวพูดกับพวกเรา

หลังจากที่แม่ออกจาห้องไปแล้ว พ่อก็กลับ พ่อบอกว่าช่วงนี้เหนื่อยจึงไม่ค่อยอยากขับรถในเวลากลางคืนเพราะเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ พร้อมทั้งกำชับเอาไว้ว่าให้โทรไปบอกทันทีเมื่อแม่ออกมาจากห้องผ่าตัด ส่วนผมก็กลับไปเพื่อซักผ้าและเตรียมเสื้อผ้ามาเพิ่มเติมเนื่องจากคืนนี้ต้องนอนที่โรงพยาบาลอีก

กว่าที่ผมจะกลับมาที่โรงพยาบาลอีกทีก็เป็นเวลาสองทุ่ม แม่ออกจากห้องผ่าตัดและกลับมาที่ห้องแล้วแต่ยังหลับอยู่ ที่คอของแม่มีผ้าปิดแผลแผ่นโตปิดอยู่ เอ๊ดเองก็นอนหลับอยู่บนโซฟาเนื่องจากอ่อนเพลียมาจากการเดินทาง พยาบาลบอกว่าการผ่าตัดเรียบร้อยดี คืนนั้นทั้งผมและเอ๊ดพักที่โรงพยาบาลเป็นเพื่อนแม่ทั้งสองคน แต่ก็ไม่ได้ช่วยดูแลอะไรเลยเนื่องจากแม่หลับเกือบตลอดทั้งคืนอีกทั้งมีพยาบาลมาคอยดูแลตลอดจนผมและเอ๊ดไม่ต้องทำอะไร

- - -

วันถัดมาหลังจากที่แม่ผ่าตัดเป็นวันอาทิตย์ ผมตื่นขึ้นมาก็รีบอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปเรียน กศน. แต่เช้า วันนี้เป็นวันที่ผมจะไปดูผลสอบด้วยจึงอดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ พร้อมทั้งอดคิดแปลกๆไม่ได้ ใจหนึ่งก็อยากให้สอบผ่านเพราะพยายามมาตั้งมากแล้ว อีกใจหนึ่งก็คิดเผื่อเอาไว้ว่าอาจไม่ผ่านบางวิชาเนื่องจากตอนก่อนสอบมีเรื่องบอยเข้ามารบกวนจิตใจทำให้ผมหมดกำลังใจดูหนังสือไปมาก พร้อมทั้งคิดปลอบใจตนเองว่าไม่ผ่านก็ดี จะได้เรียน ม.๖ ที่เดิมต่อไป

ผลสอบปรากฏว่าผมสอบผ่านหมดทั้ง ๔ วิชา นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าจะสอบผ่านทั้งหมดเพราะตอนทำข้อสอบก็ไม่มั่นใจเท่าไรนัก ที่จริงถึงสอบไม่ผ่านบ้างก็ไม่ถึงกับสอบเอนทรานซ์ไม่ได้เพราะว่ายังสามารถลงทะเบียนเรียนได้อีกในภาคปลายนี้ หากสอบผ่านก็ยังจบได้อยู่ดี แต่ในเมื่อสอบผ่านแล้วในเทอมนี้ผมก็เรียนอีกเพียงสี่วิชาที่เหลือเท่านั้น

น่าแปลกที่ผมไม่ค่อยดีใจกับการสอบผ่านในครั้งนี้เท่าใดนัก ผมไม่ค่อยกระตือรือร้นกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเท่าไรแล้ว

“ผลสอบเป็นไงบ้างอู” แม่ถามขึ้นมาเป็นประโยคแรกเมื่อผมเดินเข้าไปให้ห้องพักของแม่ที่โรงพยาบาล ตอนนั้นแม่อยู่คนเดียว กำลังนอนดูทีวีอยู่บนเตียง ผ้าปิดแผลสีขาวชิ้นใหญ่ที่ลำคอของแม่ดูแต่ไกลเหมือนแม่ติดโบว์หูกระต่ายอยู่

“ผ่านทั้งสี่วิชาเลยแม่” ผมตอบเรื่อยๆ

“เก่งจัง” แม่ชม ปกติพ่อกับแม่ไม่ค่อยสนใจเรื่องการเรียนของผมนัก จะเรียนอะไรก็เรียนไป ผลการเรียนจะเป็นเท่าไรก็ไม่ว่า เพียงแค่อย่าสอบตกก็พอแล้ว แต่วันนี้แม่กลับสนใจผลการสอบ กศน. ของผม

“ทำไมแม่อยู่คนเดียวล่ะ แล้วตอนนี้รู้สึกยังไงบ้าง” ผมถามด้วยความเป็นห่วง

“ป๊ากับเอ๊ดก็อยู่แถวนี้แหละ เห็นเดินไปเดินมาเข้าๆออกๆ” แม่ตอบ “แม่ก็ปวดแผลน่ะสิ แต่หมอบอกว่าผ่าตัดเรียบร้อยดี”

“ดูแม่สดชื่นขึ้นนะ” ผมทัก แม้ว่าแม่เพิ่งจะฟื้นจากการผ่าตัด สีหน้ายังดูอ่อนเพลีย แต่อะไรบางอย่างในตัวแม่ที่บอกผมว่าแม่อารมณ์ดีขึ้นกว่าเมื่อวานตอนก่อนผ่าตัดเสียอีก

“พอผ่าตัดไปแล้วก็ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด” แม่พูด “ไอ้เจ็บแผลนี่ก็เจ็บอยู่หรอก แต่ตอนที่แม่คลอดอูออกมายังเจ็บกว่านี้อีก”

“อีกไม่นานแผลก็หายแล้วแม่ เจ็บไม่นานหรอก” ผมให้กำลังใจ

หลังจากนั้นไม่นาน พ่อกับเอ๊ดก็เข้ามาในห้อง ดูท่าทางพ่ออ่อนล้ามาก แม่จึงบอกให้พ่อรีบกลับ พ่อนั่งอยู่กับเราอีกสักครู่ก็กลับไป เมื่อพ่อกลับไปแล้วผมจึงบอกเรื่องผลสอบ กศน. ให้เอ๊ดรู้

“อู นายแน่มาก” เอ๊ดชมผม นานๆทีพี่ชายคนนี้จะออกปากชมน้องชาย แม้เอ๊ดจะรักและคอยช่วยเหลือผมในยามคับขันเสมอ แต่นั่นมักเป็นการแสดงออกในยามเดือดร้อน ส่วนยามปกตินั้นเอ๊ดแทบไม่เคยชมหรือให้กำลังใจผมเลย

เอ๊ดกลับไปในตอนเย็นเพื่อให้ทันรถทัวร์รอบค่ำที่ขนส่งหมอชิต ดังนั้นเมื่อตกค่ำภายในห้องจึงเหลือเพียงผมกับแม่ พ่อกับแม่เป็นคนที่ไม่ชอบทำอะไรให้เอิกเกริก ดังนั้นการเข้าโรงพยาบาลครั้งนี้จึงไม่ได้บอกใครเลย ไม่ว่าญาติหรือเพื่อนๆ ทั้งนี้ เพราะว่าพ่อกับแม่เกรงใจไม่อยากให้ใครลำบากต้องมาเยี่ยมนั่นเอง

คืนนั้นแม่หลับเร็วเนื่องจากยังอ่อนเพลียจากการผ่าตัดประกอบกับได้รับยานอนหลับด้วย ดังนั้นในยามดึกจึงเหลือแต่ผมที่นั่งอยู่ที่ริมหน้าต่างในความมืด สายตาทอดออกไปยังขอบฟ้า ปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปอยู่แต่เพียงผู้เดียว

- - -

เช้าวันรุ่งขึ้น เป็นวันที่ผิดแปลกจากวันเรียนวันอื่นๆ ผมตื่นนอนและออกไปโรงเรียนจากโรงพยาบาล ส่วนแม่นั้นช่วงเช้าให้อยู่คนเดียวไปก่อน กลางวันแม่สามารถอยู่คนเดียวในห้องได้เนื่องจากแม่เดินเหินได้ตามปกติ อีกทั้งมีพยาบาลเดินเข้าออกห้องเป็นระยะ มีอะไรก็ยังสามารถกดปุ่มเรียกได้ สายๆพ่อก็มาแล้ว

อากาศในเดือนพฤศจิกายนเริ่มเย็นสบาย ท้องฟ้าแจ่มใส ผมลงรถที่ใต้สะพานพุทธ จากนั้นเดินทอดน่องตามสบาย สองสามวันมานี้นอนอยู่ในโรงพยาบาลแม้ว่าอากาศจะเย็นสบายจากเครื่องปรับอากาศ แต่ผมก็ยังอดรู้สึกอุดอู้ไม่ได้ การได้กลับมาที่โรงเรียนอีกทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น

ผมอดคิดไม่ได้ว่าบอยจะเป็นยังไงบ้าง ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกผิดเรื่องดอกแค พร้อมกันนั้นก็รู้สึกว่าไม่กล้าสู้หน้าบอย แต่ขณะเดียวกันก็คิดดึงมัน อยากเห็นหน้ามัน ขอแค่ได้เห็นหน้ามันบ้างผมก็พอใจแล้ว

ทั้งอยากเห็นหน้า ทั้งไม่กล้าสู้หน้า ถ้าอย่างนั้นก็แอบดูเอาก็แล้วกัน...

ผมไม่ได้ขึ้นไปเก็บเป้ที่ห้องเรียน แต่ไปนั่งเล่นที่อัฒจรรย์เชียร์กีฬาที่ตั้งอยู่หน้าตึก ม.๔ ที่บอยเรียนอยู่ เลือกเอามุมสงบที่ไม่เป็นจุดสังเกตนักแต่ยังสามารถมองเห็นบันไดตึกได้ และนั่งแอบดูบอยอยู่ตรงนั้น

รออยู่นานก็ยังไม่เห็นบอย ที่จริงจุดแอบมองนี้อยู่ค่อนข้างไกล ดังนั้นหากไม่ตั้งใจเฝ้าจริงๆก็อาจหลุดรอดสายตาไปได้ และถึงแม้จะตั้งใจเฝ้าก็เห็นอะไรได้ไม่ถนัด แค่จำแนกได้ว่าใครเป็นใครเท่านั้นเอง แม้มันจะดูไม่ค่อยมีประโยชน์นัก แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังอดรู้สึกดีที่ได้มาเฝ้ามองบอยไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ตลอดทั้งช่วงเช้าผมไม่เห็นบอยเลย ผมจึงคิดว่าวิธีนี้คงไม่ได้ผล เมื่อใกล้เวลาเคารพธงชาติแล้วผมจึงกลับขึ้นห้องเรียนไป

- - -

“ผ่านแล้วๆๆ ผ่านแล้วๆๆ สี่วิชาแล้วโว้ย ฮ่าๆๆ” เสียงไอ้เฉาตะโกนเอะอะดังลอดออกมานอกห้อง เมื่อเข้าไปในห้องก็พบเพื่อนๆกำลังคุยกันถึงผลสอบ กศน. อย่างครึกครื้น บางคนก็ผ่านทั้งสี่วิชา บางคนก็ผ่านสามวิชา เสียงเชาวน์ดูจะดังกว่าเพื่อน

“เฮ้ย เดี๋ยวเสาร์หน้าไปสมัครสอบพรีเอนทรานซ์กันโว้ย ใครจะไปมั่งวะ” เชาวน์ถามเพื่อนๆในกลุ่มติวอย่างคึกคะนอง เพื่อนๆขานรับกันจนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร

หลังจากการเรียนในภาคเช้า พอถึงพักเที่ยง เมื่อออดพักเที่ยงของ ม.ปลายดังขึ้นผมก็รีบออกจากห้องเรียนมุ่งไปยังโรงอาหารทันที ชั้น ม.ต้นกับชั้น ม.ปลาย เหลื่อมเวลาพักเที่ยงกันครึ่งชั่วโมง ม.ต้นพักก่อน ม.ปลายพักทีหลัง ทั้งนี้เพราะว่าโรงอาหารรองรับนักเรียนได้จำกัด

เมื่อไปถึงโรงอาหาร ผมพยายามสอดส่ายสายตามองหาบอย บางทีบอยอาจจะมากินแล้วนั่งแช่คุยกับเพื่อนก็ได้ อยากเห็นบอยให้ชื่นใจสักหน่อย... แม้แต่เพียงแอบมองก็ยังดี แต่มองหาจนทั่วก็ไม่พบบอย ที่จริงแม้บอยยังนั่งอยู่ผมก็อาจมองหาไม่พบก็ได้เนื่องจากโรงอาหารพลุกพล่านมาก แม้โอกาสจะน้อยแต่ผมก็ยังอดมีความหวังไม่ได้...


<ผมลุกขึ้นมาอย่างช้าๆและเงียบกริบ เดินไปที่หน้าต่าง ชั้นที่แม่พักอยู่นี้สูงพอสมควร สามารถมองเห็นดวงไฟเป็นจุดๆทอดไกลไปจนสุดสายตา โลกยามค่ำคืนเมื่อดูจากที่นี่ไพศาลและอ้างว้างยิ่งกว่าโลกที่ผมเห็นที่ดาดฟ้าของหอพักมากมายนัก หรือว่าคนเราเมื่อเติบใหญ่ขึ้น เห็นโลกมากขึ้น ชีวิตก็ต้องอ้างว้างมากยิ่งขึ้น>

Wednesday, June 2, 2010

ภาคสาม ตอนที่ 66

อูต้องรับผิดชอบดูแลแม่เป็นหลักนะ เสียงของพ่อยังก้องอยู่ในโสตประสาทหลังจากที่ผมวางสายไปแล้ว การเป็นลูกคนเล็กทำให้ผมไม่เคยต้องรับผิดชอบเรื่องที่มีความสำคัญในครอบครัวมาก่อนเลย แต่ในครั้งนี้จู่ๆพ่อก็มอบหมายหน้าที่อันสำคัญให้ ประกอบกับความกังวลเกี่ยวกับอาการของแม่ ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นและตึงเครียดไม่น้อย

เมื่อกลับถึงห้อง ผมพยายามรวบรวมสมาธิเพื่ออ่านหนังสือเตรียมสอบ ช่วงหลังนี้ธรรมดาแม้จะพยายามอ่านก็อ่านไม่ค่อยเข้าหัวอยู่แล้ว ยิ่งมีเรื่องของแม่เข้ามาอีกก็ยิ่งไปกันใหญ่ ท่ามกลางแสงไฟจากโคมไฟอ่านหนังสือ สายตาของผมจับจ้องอยู่ที่หน้าหนังสือแต่ความคิดของผมกลับเตลิดเปิดเปิง คิดถึงแม่บ้าง คิดถึงบอยบ้าง วุ่นวายไปหมด

- - -

เช้าวันจันทร์

“เฮ้ย ไอ้อู ไปไหนวะ” ผมสะดุ้งได้ยินเสียงคนเรียกชื่อผมขณะที่ผมกำลังเดินลงจากตึกที่เคยเรียนเมื่อตอนอยู่ชั้น ม.๓ และ ม.๔ เมื่อหันไปมองก็เห็นไอ้กี้ เพื่อนรักเพื่อนแค้น ไอ้กี้เพิ่งเดินเข้าโรงเรียนมาและผ่านมาพบผมเข้าพอดี

“เอ้อ เปล่า” ผมตอบ ซวยจริงๆดันมาเจอไอ้กี้แถวนี้เสียได้ อุตส่าห์รีบมาแต่เช้าแล้วเชียว

“เปล่า?” กี้ทวนคำแล้วหัวเราะจนตาเหลือเส้นเดียว “แล้วมึงขึ้นตึก ม.๔ แต่เช้าไปทำห่าอะไร เรียนก็ไม่ได้เรียนที่ตึกนี้ ขึ้นไปขโมยของเหรอ”

“โห ไอ้เวร” ผมอดเคืองไม่ได้ “มึงจะมองกูในแง่ดีบ้างไม่ได้หรือไงวะ ตึกนี้กูเคยเรียนมาก่อน ทำไมกูจะมาไม่ได้”

“มาน่ะมาได้ แต่กูสงสัย” ไอ้กี้หัวเราะแล้วพูดเสียงดังตามแบบฉบับของมัน “เห็นมึงเดินลับๆล่อๆแถวนี้ ตึกนี้มันมีแต่รุ่นน้อง มึงมาหาใครเหรอ”

“กูเนี่ยนะ ลับๆล่อๆ” ผมยังปากแข็ง “กูมาหา... มาหา... เอ้อ แล้วทำไมกูต้องบอกมึงด้วยวะ”

ในยามกะทันหันนึกหาข้อแก้ตัวดีๆไม่ออก ต้องใช้วิธีเฉไฉไปก่อน หลังจากนั้นผมก็รีบเดินปลีกตัวจากไอ้กี้ไป

- - -

วันพฤหัสบดี

วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่ผมไปถึงโรงเรียนตั้งแต่เช้าตรู่ ช่วงนี้ผมมักรู้สึกเหงาบ่อยๆ บางทีดึกๆยามที่โลกอยู่ในความเงียบสงบ ผู้คนพากันหลับใหลอย่างเป็นสุข แต่ผมกลับรู้สึกเหงาขึ้นมาจับหัวใจ

วันเสาร์นี้แม่จะต้องผ่าตัดแล้ว สัปดาห์ที่ผ่านมาที่บ้านค่อนข้างวุ่นวาย แม่ต้องเข้ากรุงเทพฯมาตรวจเลือดและตรวจร่างกายอื่นๆก่อนการผ่าตัด เมื่อผลการตรวจร่างกายผ่านไปเรียบร้อยแม่ก็จะต้องเข้ากรุงเทพฯมานอนที่โรงพยาบาลก่อนวันผ่าตัดหนึ่งวัน คือมารอตั้งแต่วันศุกร์ แม่ค่อนข้างกลัวกับการผ่าตัดในครั้งนี้เพราะปกติแม่เป็นคนกลัวหมอ กลัวโรงพยาบาลอยู่แล้ว ความไม่สบายใจของแม่พลอยทำให้คนในบ้านรวมทั้งผมพลอยกังวลและไม่สบายใจไปด้วย

ความเหงาและความไม่สบายใจทำให้ผมไม่อยากอยู่คนเดียวในห้อง ดังนั้นบางวันที่ผมเหงาผมจะคิดถึงบอย คิดถึงวันเวลาที่ผ่านมาขณะที่ยังมีบอยอยู่เคียงข้าง ยิ่งคิดถึงบอยก็ยิ่งเหงา

วันนี้ผมไปโรงเรียนเช้าเป็นพิเศษ หลังจากที่ไปถึงโรงเรียนและทำธุระเสร็จผมก็มานั่งทำรายงานที่ยังค้างอยู่ที่ห้องเรียน เมื่อเพื่อนๆทยอยกันมาก็คุยกับเพื่อนไปเรื่อยๆ ตอนแรกก็ไปจับกลุ่มนั่งคุยกับพวกหมู สิทธิ์ และกรณ์เรื่องเที่ยว ดูหนัง ฟังเพลง จากนั้นเปลี่ยนไปคุยกับพวกนน กี้ เชาวน์ ฯลฯ ซึ่งอยู่โต๊ะใกล้ๆกัน หัวข้อที่คุยก็เป็นเรื่องกวดวิชา สอบเอนทรานซ์ รวมทั้งเรื่องบ้าบอหลุดโลก การที่ผมมาโรงเรียนแต่เช้าทำให้ผมมีโอกาสพูดคุยกับเพื่อนๆมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้คลายเหงาไปได้บ้างเหมือนกัน

“เฮ้ย ไอ้นน ทำไมผัวมึงยังไม่มาเสียทีวะ กูรอรายงานส่วนของแม่งอยู่” ไอ้เฉาตะโกนข้ามโต๊ะพูดกับนนด้วยเสียงอันดัง

“ผัวมันคนไหนวะ” ไอ้กี้หัวเราะ

ไอ้เฉาทำท่าบุ้ยใบ้ไปยังที่นั่งของไอ้แมนซึ่งตอนนี้ยังเป็นเก้าอี้ว่างเปล่าอยู่เนื่องจากแมนยังไม่มา

“อ้าว” ไอ้กี้อุทาน “ไอ้เหี้ยนี่เป็นผัวเหรอ กูนึกว่ามันเป็นเมียเสียอีก”

“ตกลงใครเป็นผัวใครเป็นเมียกันแน่วะไอ้นน” ไอ้เฉาหันมาตะโกนถามนนอีก

“แหม เรื่องในมุ้งใครเค้าเอามาเปิดเผยกันนอกมุ้งล่ะ” นนทำเสียงจีบปากจีบคอ

“สงสัยไอ้สองตัวนี่มันจะเป็นไส้เดือน เป็นได้ทั้งผัวและเมียในตัวเดียวกัน” ไอ้ทิด คู่หูไอ้เฉา ช่วยต่อปากต่อคำ เพื่อนๆฮากันสนุก ส่วนนนก็พลอยหัวเราะสนุกไปด้วย ส่วนผมหัวเราะไม่ออก ผมเคยผ่านเรื่องแบบนี้มาแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดของเชาวน์และพวกประกอบกับเสียงหัวเราะของเพื่อนๆผมอดรู้สึกเจ็บปวดแทนนนไม่ได้ ใครจะรู้ว่าข้างหลังใบหน้าที่เปื้อนยิ้มของนนนั้นมันจะรู้สึกอย่างไร

“เฮ้ย พวกมึงระวังตูดเอาไว้นะโว้ย ในห้องนี้อาจมีไส้เดือนอีกตัวนึง” ไอ้กี้เปิดประเด็นใหม่ขึ้นมา เชาวน์และเพื่อนๆหูผึ่ง

“หา ใครวะ” เพื่อนๆรุมถาม

ไอ้กี้บุ้ยปากมาทางผม ผมใจหายวาบ ไม่นึกเลยว่ามันจะเล่นงานผมเข้าให้

“หา ไอ้อูเนี่ยนะ” เพื่อนๆอุทานกันเซ็งแซ่

“เออ มันเลี้ยงต้อยเด็กรุ่นน้องอยู่ วันก่อนกูเห็นมันไปที่ตึก ม.๔ ท่าทางลับๆล่อๆ” ไอ้กี้พูดพลางหัวเราะขำ แล้วหันมาพูดกับผม “ทำไมมึงไม่สนใจไอ้นนมันบ้างวะ นั่งติดกับมึงแท้ๆ ไปหาต้อยไกลๆทำไม”

เพื่อนๆหัวเราะกันสนุก ต่างพลอยผสมโรงแซวผมคนละนิดคนละหน่อย ผมรู้สึกว่าใบหน้าชาไปหมด พยายามฝืนยิ้มทำเนียนให้เป็นเรื่องตลกแต่ในใจรู้สึกขมขื่น ความขมขื่นที่เกิดขึ้นคงไม่ต่างจากที่นนประสบเท่าใดนัก

“เฮ้ย ไอ้อูเงียบไปเลยโว้ย” เชาวน์ทัก

“พอแล้วๆ ไอ้อูมันยัวะแล้วโว้ย” ไอ้นนปรามเพื่อนๆ “ไอ้ห่ากี้เสือกไปแกล้งมัน”

ผมนั่งนิ่งเฉย มือจับปากกาจนแน่นและสั่นระริกเล็กน้อย ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าตอนนั้นโกรธมากมายขนาดไหน เพียงแค่รู้สึกหน้าชา มือเย็น เท้าเย็นเท่านั้น ผมพยายามควบคุมมือไม่ให้สั่น แต่คงมีอะไรที่ทำให้นนจับสังเกตออก

“ไอ้อู กูแซวมึงเล่น” ไอ้กี้พูดเสียงอ่อย มันคงไม่ได้ตั้งใจจะแฉผม เพียงพูดคะนองปากเกินไปเท่านั้น เมื่อรู้ว่าผมโกรธก็รีบขอโทษ “ขอโทษโว้ยเพื่อน ล้อเล่นนิดๆหน่อยๆมึงไม่น่าโกรธเลย”

“นิดหน่อย” นนทวนคำ “เนี่ยนะ นิดหน่อยของมึง”

เสียงออดเข้าแถวเคารพธงชาติดังกังวาน หลังจากนั้นวงสนทนาก็สลายตัวไป ผมรู้สึกอับอายจนไม่กล้าสู้หน้าเพื่อนๆ อยากจะหนีไปให้ไกลๆ แต่ผมรู้ดีว่าผมทำเช่นนั้นไม่ได้... ผมต้องฝืนใจทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น อยากส่องกระจกดูใบหน้าของตนเองเหมือนกันว่าตอนที่ฝืนยิ้มนั้นมีสภาพเป็นเช่นไร

นนเดินมาตบไหล่ผมเป็นเชิงปลอบใจขณะที่พวกเราเดินอยู่ที่หน้าห้องเรียน จากนั้นนนก็เดินนำหน้าไปเพื่อลงไปเข้าแถวที่สนามหน้าตึกโดยไม่ได้พูดอะไร

- - -

ตอนหัวค่ำ

“น้องอู ชั้นสี่ รับโทรศัพท์” เสียงพี่พรดังออกมาจากอินเตอร์คอมประจำชั้นสี่

“คร้าบ” ผมตอบพลางรีบวิ่งลงบันไดไปรับสาย วันผ่าตัดของแม่เกือบจะถึงอยู่แล้ว พ่อหรือแม่คงโทรมาเพื่อสั่งงานผม

“ฮัลโหล” ผมรับสาย

“พี่อู บอยเอง” ผู้ที่โทรมากลับกลายเป็นคนที่ผมคิดถึงและรอโทรศัพท์อยู่ทุกวัน ตอนที่ผมหวังให้บอยโทรมาและรอโทรศัพท์อยู่ทุกคืน บอยก็ไม่โทรมา พอผมเลิกหวังบอยกลับโทรมา ชีวิตมักเล่นตลกกับผมเช่นนี้เสมอ

“ดีใจจังที่นายโทรมา” ผมพยายามพูดให้เบาที่สุดเพราะที่ชั้นล่างของหอพักไม่ค่อยเป็นส่วนตัวนัก เกรงว่าจะมีคนได้ยิน “เป็นไงบ้าง สบายดีหรือเปล่า”

“พี่อู ต่อไปอย่าทำแบบนี้อีกเลยฮะ” บอยเริ่มการสนทนา

ผมรู้สึกจ๋อย พูดอะไรไม่ออก อึ้งไปชั่วขณะ

“ก็... พี่อยากให้นายรู้ว่าพี่ยังเป็นห่วงนายอยู่น่ะ” ผมพูดอ้อมแอ้ม

“แต่ที่พี่อูทำน่ะมีคนเห็นนะฮะ” บอยพูดต่อ “เพื่อนบอยมันเห็นว่าพี่อูเข้าไปในห้องเรียนแล้วเอาของไปใส่ไว้ในโต๊ะบอย”

“พี่ก็พยายามระวังไม่ให้ใครเห็น เพิ่งไปที่ห้องนายสองครั้งเอง ไม่ได้ไปทุกวันสักหน่อย” ผมอธิบายอย่างตะกุกตะกักแบบจับต้นชนปลายไม่ถูก อยากจะหาเหตุผลแก้ตัวที่มันดีกว่านี้แต่ก็นึกไม่ออก “อีกอย่าง ถึงใครเห็นก็คงไม่มีใครรู้ความหมายหรอก... ก็เลยคิดว่าไม่น่าจะเป็นอะไร”

“พี่อูอย่าทำแบบนี้อีกเลย” บอยพูด ผมฟังน้ำเสียงของบอยไม่ออกว่าเจือความรู้สึกอะไรอยู่บ้าง แต่สำหรับผมนั้น... ผมฟังแล้วรู้สึกหนาวที่หัวใจ “บอยรู้สึกไม่ค่อยดีเลย”

“พี่อยากเจอหน้านายบ้าง... เรา เอ้อ ถ้านานๆจะเจอหรือไปเที่ยวกันบ้างจะได้ไหม ไม่ต้องบ่อยหรอก ขอแค่นานๆครั้งก็พอ” ผมเปลี่ยนเรื่องพร้อมกับระบายความรู้สึกในใจออกไป “นายให้พี่เป็นพี่ชายของนาย แล้วพี่ชายเจอน้องชายบ้างจะได้ไหม”

“พี่อูอย่าทำอย่างนี้อีกเลยนะ บอยต้องวางสายแล้วละ หวัดดีนะฮะพี่อู...” บอยรีบพูด จากนั้นสักครู่ก็เป็นเสียงสัญญาณสายว่าง

ผมวางหูโทรศัพท์ด้วยหัวใจที่เลื่อนลอย ความรู้สึกเหงาที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ทำให้ผมอยากทำอะไรบางอย่างเพื่อแสดงความรู้สึกของผมให้บอยได้รับรู้บ้าง ผมจึงตัดสินใจทำเรื่องที่งี่เง่ามากเรื่องหนึ่ง นั่นคือ ผมแอบเอาดอกแคไปใส่ไว้ที่โต๊ะของบอยในตอนเช้าตรู่ วันแรกที่ผมไปที่ห้องเรียนของบอยคือวันที่ผมผมโชคร้ายไปพบไอ้กี้เข้านั่นเอง ส่วนวันนี้ผมก็ไปมาอีก และเมื่อกลับมาที่ห้องก็มีเรื่องกับไอ้กี้เสียอีก

ผมยืนลังเล ใจหนึ่งอยากโทรศัพท์ไปหาบอยอีกเพื่อคุยปรับความเข้าใจกันต่อ เมื่อถูกบอยตำหนิทำให้ผมรู้สึกเสียใจในสิ่งที่ได้กระทำลงไป ไม่รู้ว่ามันจะถูกเพื่อนๆล้อเลียนอีกหรือเปล่า แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่กล้าโทรเนื่องจากไม่อยากทำให้บอยรู้สึกรำคาญใจ

“น้องๆ จะใช้โทรศัพท์ต่อหรือเปล่าครับ” ได้ยินเสียงคนเรียกทำให้ผมตื่นจากภวังค์ “พี่รอใช้ต่ออยู่”

ผมเดินออกมาจากเครื่องโทรศัพท์เพื่อเปิดทางให้พี่คนหนึ่งที่มายืนรอต่อคิวใช้โทรศัพท์ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ จากนั้นก็เดินขึ้นห้องไปโดยไม่ได้โทรไปหาบอยอีก...

- - -

วันศุกร์

วันนี้เป็นวันที่แม่จะเข้ามากรุงเทพฯและพักที่โรงพยาบาล พ่อพาแม่มาส่งที่โรงพยาบาลในตอนบ่าย หลังจากที่ผมเลิกเรียน ผมก็รีบกลับไปที่หอพัก จัดเสื้อผ้าและของใช้ใส่กระเป๋า จากนั้นก็ไปที่โรงพยาบาลเพื่อไปนอนเป็นเพื่อนแม่

ผมไปถึงโรงพยาบาลในช่วงค่ำ หลังจากสอบถามตึกและห้องที่แม่พักจากประชาสัมพันธ์ด้านล่างแล้วผมก็ขึ้นไปหาแม่ที่หอผู้ป่วยในซึ่งอยู่ชั้นบนของตึก ใช้เวลาไม่นานก็หาห้องของแม่พบ ที่หน้าห้องมีป้ายบอกชื่อแม่พร้อมกับชื่อหมอเจ้าของไข้ติดเอาไว้ ผมเคาะประตูและเปิดเข้าไป ภาพแรกที่ผมเห็นคือแม่ซึ่งอยู่ในเครื่องแต่งตัวชุดคนไข้กำลังนอนดูทีวีอยู่บนเตียง

“แม่” ผมเรียก “ป๊าไปไหนแล้วล่ะ”

“อู” แม่ทัก “ป๊ากลับไปแล้ว บอกว่าไม่อยากขับรถกลางคืนเลยรีบกลับไป”

“เหงาไหมแม่” ผมถาม พลางกวาดสายตาสำรวจไปรอบๆห้อง นี่เป็นครั้งแรกที่ผมต้องเข้ามาพักในโรงพยาบาล ทุกอย่างจึงดูแปลกใหม่และไม่คุ้นเคย ก่อนหน้านี้อย่างมากก็เพียงเห็นแต่แผนกคนไข้นอกของโรงพยาบาลเท่านั้น

ห้องที่แม่พักเป็นห้องเดี่ยว ติดเครื่องปรับอากาศ มีการตกแต่งที่เรียบง่าย ผนังห้องทาสีอ่อนดูสะอาดและสบายตา ภายในห้องแวววาวไปด้วยประกายของสแตนเลส ไม่ว่าจะเป็นราวที่ขอบเตียง ชุดอาหาร และภาชนะอื่นๆ เฟอร์นิเจอร์ภายในห้องมีเพียงเตียงคนไข้ เก้าอี้ กับโซฟาอเนกประสงค์ที่ใช้เป็นที่นั่งรับแขกในยามกลางวันและใช้เป็นที่นอนของคนเฝ้าไข้ในยามกลางคืน นอกจากนั้นก็มีตู้เย็น ทีวี ตู้เสื้อผ้าและโต๊ะวางของ

ผมวางเป้ลงและนั่งลงที่เก้าอี้ข้างเตียง ท่าทางของแม่ดูเงื่องหงอยราวกับคนที่เพิ่งฟื้นไข้ทั้งๆที่แม่ยังไม่ได้ทำการผ่าตัดเลย

“ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหมแม่” ผมถาม

“ก็เรียบร้อยดี” แม่พยักหน้า “พรุ่งนี้ผ่าบ่ายสาม”

ผมนั่งคุยกับแม่ได้ไม่นาน ประตูห้องก็ถูกเปิดออก มีคนสามสี่คนยกโขยงกันเข้ามาในห้อง คนที่เดินนำหน้าเป็นชายในวัยกลางคนท่าทางน่าจะเป็นหมอ ส่วนผู้ที่เดินตามหลังอยู่ในชุดพยาบาล

หมอคุยทักทายกับแม่ชั่วครู่ จากการคุยกันทำให้ผมรู้ว่าหมอคือเจ้าของไข้ของแม่และเป็นจะผู้ที่ลงมือผ่าตัดแม่ในวันรุ่งขึ้นนั่นเอง

“ไม่ต้องกังวลนะ” หมอพูดปลอบแม่ราวกับจะรู้ว่าแม่กังวลอยู่ “การผ่าตัดเดี๋ยวนี้ทันสมัย ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง ปลอดภัยยิ่งกว่าเดินข้ามถนนในทางม้าลายเสียอีก”

หมอคุยกับแม่อีกชั่วครู่ก็จากไปพร้อมกับเหล่าพยาบาล เมื่อผมอยู่กับแม่สองคน ผมพยายามชวนแม่คุยนั่นคุยนี่เพื่อให้แม่รู้สึกสบายใจ แต่แม่คงไม่รู้หรอกว่าลูกชายของแม่คนนี้ก็มีเรื่องวุ่นวายและกังวลอยู่ในใจมากมายไม่แพ้กัน...

คุยกันจนดึก ผมก็ไปอาบน้ำและเปลี่ยนชุดนอน ปล่อยให้แม่เข้านอนไป หลังจากที่อาบน้ำเสร็จผมยังไม่ง่วงจึงหยิบหนังสือเตรียมสอบออกมาอ่านใต้แสงโคมไฟที่โต๊ะเล็ก แสงสลัวไปสักนิดแต่ก็พออ่านได้ ผมไม่เปิดไฟดวงใหญ่ที่เพดานเพราะไม่อยากให้แสงไฟรบกวนการนอนของแม่ ขณะที่กำลังอ่านหนังสืออยู่นั้นก็ได้ยินเสียงแม่พลิกตัวไปมาเป็นระยะๆ

“อูยังไม่นอนหรือลูก” ได้ยินเสียงแม่พูดขึ้นทำลายความเงียบสงัดของยามดึก

“อูยังไม่ง่วงเลยแม่ ว่าจะอ่านหนังสือสักพัก ง่วงแล้วค่อยนอน” ผมตอบ “ว่าแต่ทำไมตั้งนานแล้วแม่ยังไม่หลับล่ะ”

“ก็แม่นอนไม่หลับน่ะ” แม่ตอบแบบกำปั้นทุบดิน

ห้องพักคนไข้ตกอยู่ในความเงียบได้สักพัก แม่ก็พูดขึ้นมาอีก

“อู” แม่เรียก “คิดว่าปีนี้จะเข้ามหาวิทยาลัยได้ไหม”

“ไม่รู้สิแม่” ผมอึ้งไปนิดหนึ่ง แล้วตอบด้วยน้ำเสียงที่เลื่อนลอย “อูก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“อูไม่มั่นใจเหรอ” แม่ถามอีก

“ใครจะมั่นใจได้ละแม่ มันขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกคณะอะไรด้วย คณะดีๆคนสอบแข่งกันเยอะจะตาย ทั้งยังต้องแข่งกับพวกที่จบ ม.๖ อีก” ผมตอบ “แล้วยังต้องสอบ กศน. ให้ผ่านก่อนด้วยนะแม่ ถ้าผ่านไม่หมดก็จบเห่ สอบเอนทรานซ์ไม่ได้ เดี๋ยววันอาทิตย์นี้อูก็จะรู้ผลสอบ กศน. ของเทอมแรกแล้ว”

“อยากถ่ายรูปกับอูตอนที่รับปริญญาจัง อยากเห็นอูได้งานดีๆ มีครอบครัว อยากอุ้มหลานด้วย” แม่พูดราวกับกำลังรำพึงกับตนเอง

“แม่ ทำไมแม่พูดแบบนั้น” ผมตกใจกับคำพูดของแม่ รู้สึกหนาววูบขึ้นมา ขนลุกเกรียว “ก็หมอบอกแล้วว่าผ่าตัดปลอดภัยกว่าข้ามถนนอีก อีกไม่นานแม่ก็หายดีแล้ว”

“แม่ก็แค่อยากบอกให้อูรู้เท่านั้นเอง” แม่พูด “แม่คิดเรื่องพวกนี้มาตั้งนานแล้ว แต่ก็ไม่เคยบอกอูเท่านั้นเอง คนเป็นแม่ก็หวังจะเห็นความสำเร็จของลูกแบบนี้แหละ... เรียนจบสูงๆ มีงานดีๆ มีครอบครัวดีๆ มีหลานให้อุ้ม...”