Saturday, March 31, 2007

ตอนที่ 16

ผมจับมันปลิ้นเข้าปลิ้นออก แต่แล้วรถก็เซเพราะขี่ไม่ถนัด เลยต้องเลิกช่วยมัน หันมาตั้งใจขี่อย่างเดียว

“เฮ้ย ตามมาเร็วๆดิ” เสียงไอ้ชัชตะโกนมาจากทางข้างหน้า ตัวอยู่ไกลลิบๆ

จนเราขี่ไปทันกัน ผมกับไอ้นัยช่วยกันทวงกางเกงคืน ไอ้ชัชก็ไม่คืน ขี่หนีไปอีก ตกลงไอ้นัยเลยต้องแก้ผ้าควยแข็งไปเรื่อยๆ แต่ท่าทางมันก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรนักหนา ยังหัวเราะได้ แต่ก็ยังดี เพราะอีกครู่เดียวก็เข้าสู่เขตสวนของที่บ้านผมแล้ว

สวนของที่บ้านมีพื้นที่กว้างใหญ่มากครับ ตอนนั้นเด็กๆ ไม่รู้หรอกว่ากี่ไร่ รู้แต่เพียงว่าใหญ่มาก พ่อทำสวนส่วนหนึ่งเป็นแบบยกร่อง (ที่จริงคือจ้างให้คนทำให้) ขออธิบายนิดหนึ่งเผื่อคนกรุงจะนึกภาพไม่ออก คือเหมือนกับว่าปลูกต้นไม้บนคันดิน แล้วสองข้างของคันดินเป็นร่องน้ำหรือว่าคูน้ำเล็กๆ ในสวนของที่บ้านจะมีสวนยกร่องแบบนี้หลายร่องเลย ดังนั้นก็เหมือนกับว่ามีคูคลองเล็กๆเดินอยู่ในที่ดินของเรา ด้านหลังเป็นบึงน้ำใหญ่ที่ชักน้ำมาเข้าร่องสวน บึงของใครก็ไม่รู้ คือจำไม่ได้แล้วว่าบึงนั้นเป็นพ่อขุดไว้ในที่ดินของเรา หรือเป็นบึงในที่ดินของคนอื่น

ลองนึกภาพสวนที่ติดบึงน้ำสิครับ บรรยากาศจะดีขนาดไหน น้ำในบึงใสแจ๋ว เห็นปลาว่ายได้อย่างชัดเจน มองไปฝั่งตรงข้ามของบึงน้ำก็เป็นท้องนาอยู่ลิบๆ สงบร่มเย็น ไม่มีผู้คน ไม่มีเสียงอึกทึก มีแต่เสียงลมพัด เสียงนกร้อง เสียงเหยียบใบไม้แห้งกรอบแกรบ โลกทั้งโลกเหมือนมีแต่เพียงพวกเราสามคน

บึงน้ำท้ายสวนนี้แหละครับที่เป็นจุดหมายของพวกเราในวันนี้

ถ้าเรานั่งอยู่ที่คันดินคันสุดท้ายของสวน แล้วหันหน้าไปทางบึง เราก็จะเห็นธรรมชาติของบึงที่กว้างใหญ่ แต่ถ้าเรานั่นอยู่บนคันดินสวนคันเดียวกันนี้แล้วหันหน้าเข้าไปในสวน (คือหันไปด้านตรงข้ามกับบึง) สิ่งที่เราเห็นก็คือร่องสวนที่มีน้ำอยู่เต็ม เหมือนเป็นคลองสายสั้นๆ ร่องสวนนั้นน้ำก็ใสสะอาด เพราะเป็นน้ำที่ชักเข้ามาจากบึง แต่เป็นทำเลที่มิดชิดมาก ถ้าเล่นน้ำกันในบึง คนที่อยู่ไกลๆอาจมองเห็น แต่ถ้าเล่นน้ำในร่องสวนแล้วละก็ ต่อให้มาใกล้ๆก็จะมองไม่เห็น เว้นแต่จะได้ยินเสียง ต้องชะโงกเข้ามามองในร่องสวนที่เราอยู่จึงจะมองเห็น

พอไปถึงท้ายสวน ไอ้สองตัวนี่ก็ร้องอื้อฮือ โอ้โฮ ชมไม่ชาดปากถึงความสวยงามของธรรมชาติ เรานั่งชมบึงน้ำกัน ตอนนี้ไอ้นัยก็ยังไม่ได้ใส่กางเกง เพราะไอ้ชัชไม่ยอมคืนให้ แต่ดูมันจะไม่ค่อยสนใจเท่าไรแล้วเพราะไม่มีใครเห็น นั่งแก้ผ้าชมบึงเสียยังงั้นแหละ โดยมีไอ้ชัชนั่งอยู่ห่างๆ ไม่ยอมเข้าใกล้ผมกับไอ้นัยเพราะกลัวโดนแย่งกางเกงคืน

สักครู่ ก็ตกลงกันว่าจะลงเล่นน้ำกัน โดยจะเล่นน้ำในร่องสวน เพราะมิดชิดดีกว่า จะได้แก้ผ้าเล่นน้ำได้สะดวก

ไอ้นัยไม่ต้องทำอะไรมาก แค่ถอดเสื้อแล้วก็โดดตูมลงไป ส่วนผมกับไอ้ชัชต้องถอดเสื้อ กางเกง และกางเกงในออกเสียก่อน เลยช้ากว่ามัน

“โห ไอ้ชัช ทำไมมึงใส่กางเกงในสีแสบตายังงั้นวะ จะโชว์ใครเหรอ” เสียงไอ้นัยแซวมาจากร่องสวน ตอนนี้มันกำลังแช่น้ำอยู่

“เออ กูชอบของกู มึงไม่ต้องเสือก” ไอ้ชัชตอบ ว่าแล้วก็ถอดแอ๊ปเปิ้ลสีแสบตาออกจากร่าง

ขอเล่าเรื่องกางเกงในเสียหน่อย รำลึกถึงความหลัง หุหุ กางเกงในในยุคที่ผมเป็นเด็กนั้นไม่เหมือนกับตอนนี้ คือในยุคนั้นนิยมกางเกงในแบบผ้ายืดทอทั้งตัว ลักษณะจะเป็นผ้ายืดๆเหมือนถุงเท้าน่ะครับ ลักษณะของกางเกงในจะเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ค่อนไปทางทรงที่เรียกว่า trunk แต่สั้นกว่า ไม่ใช่กางเกงในทรงสามเหลี่ยมแบบบิกินีที่นิยมกันในปัจจุบัน ลักษณะเด่นของกางเกงในยุคนั้นก็คือทอทั้งตัวด้วยผ้ายืด ไม่มีตะเข็บ สีสันลายพร้อยแบบเจ็ดสีประกายรุ้งกันเลยทีเดียว แต่ที่สลับลายด้วยสีเข้มๆไม่ฉูดฉาดนักก็มี

กางเกงในยุคนั้นยี่ห้อที่ดังๆก็มีแอ๊ปเปิ้ล เป็นเจ้าตลาดออกมาก่อน หลังจากนั้นก็เป็นที่นิยมและก็มีเจ้าอื่นๆตามมา เป็นยี่ห้อ มิ้ง และอื่นๆ จำได้แต่แอ๊ปเปิ้ลและมิ้ง สโลแกนของหนังโฆษณากางเกงในยุคนั้นที่จำได้ติดหูก็มี “แอ๊ปเปิ้ล ปราการด่านสุดท้ายของผู้ชาย” (ถ้าจำไม่ผิดนะครับ) อีกนี่ห้อก็คือ “ของเก่าถอดทิ้ง ใส่มิ้งดีกว่า”

ที่จริงตอนที่ผมเป็นเด็ก ป. 5 นั้นเป็นปลายยุคที่นิยมกางเกงในทอทั้งตัวแบบแอ๊ปเปิ้ลกันแล้ว อีกไม่กี่ปีหลังจากนั้นก็เปลี่ยนไปเป็นแบบทรงสามเหลี่ยม กางเกงในแบบแอ๊ปเปิ้ลปัจจุบันก็ยังมีวางขายนะครับ แต่สมัยนี้เขาเรียกกันว่า “กางเกงในยุคแฟนฉัน” อันหมายถึงว่านิยมกันในยุคของหนังแฟนฉันนั่นเอง เคยเห็นวางขายริมถนนที่ไหนสักแห่ง จำไม่ได้แล้ว ยังนึกอยากหามาใส่เหมือนกันครับ

ว่าจะเล่าเรื่องเล่นน้ำในร่องสวน ไหงวกมาที่เรื่องกางเกงในเสียได้ เล่าแล้วชักติดลมเสียแล้ว...

พอแก้ผ้าเล่นน้ำก็คงพอเดาออกนะครับว่าต่อไปอะไรจะเกิดขึ้น

“ไอ้อู จับไอ้นัยชักว่าวแก้เซ็งดีกว่า” ไอ้ชัชว่า ดูยังไงก็ไม่เห็นมันจะเซ็งตรงไหน มันคึกจะตาย

“ได้เลย” ผมตอบ ไอ้นัยพยายามว่ายน้ำหนี ผมรีบโผเข้าไปล็อคตัวมันไว้ ล็อคเบาๆน่ะครับ ไม่เจ็บหรอก ไอ้นี่มันดิ้นเป็นกับเขาเสียที่ไหน

พอได้กอดตัวมัน ไฟฟ้าก็ลัดวงจรสิครับ เพราะตัวมันเปลือยเปล่า แช่อยู่ในน้ำ ช่างเหมือนวันที่ผมได้เล่นสนุกกับมันที่บ้านวันนั้นไม่มีผิด น้องชายของผมแข็งอย่างรวดเร็ว ผมรั้งไอ้นัยเข้ามากอดอย่างลืมตัว วินาทีนั้นลืมไปเลยว่าไอ้ชัชอยู่ด้วย แนบไอ้อูน้อยเข้ากับร่องก้นของไอ้นัย ร่างของเราประกบแบบท้องชนหลังกันอย่างแนบแน่น

ไอ้ชัชโผเข้ามาด้านหน้าไอ้นัย มือคว้าหมับเข้าที่ไอ้นัยน้อย หัวเราะ แล้วรูดเข้าออกอย่างช้าๆ

“ไหน ขอดูหน่อยซิ เวลาน้ำว่าวแตกในน้ำแล้วจะเป็นไง จะเหมือนอย่างที่ไอ้อูบอกไหม” ไอ้ชัชว่า พูดไม่พูดเปล่า จี้เองไอ้นัยอีก ไอ้นัยดิ้นกระแด่ว

“เฮ้ย มึงชักเฉยๆดิ อย่าจี้เอว” ไอ้นัยว่า พูดไปหัวเราะไป

แล้วไอ้นัยก็ปล่อยให้ไอ้ชัชชักว่าวให้ โดยมีผมประกบข้างหลังไถก้นมันอย่างเมามัน

- - -

เมื่อคืนผมพยายามเล่าเรื่องจนเก็บเอาไปฝันเลยอ่ะครับ ในความฝันนั้นมันย้อนอดีตไปเหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งจริงๆ แน่นนอนครับ ไอ้ชัช ไอ้นัย และเพื่อนอีกหลายๆคนในวัยเด็กก็อยู่ในฝันของผมด้วย แต่ไม่เซ็กซ์นะครับ เป็นฝันอันอบอุ่นกลางฤดูหนาว ไม่ได้ฝันเรื่องสมัยเด็กมานานนนนนนนมากแล้ว จนเมื่อมาเล่าเรื่องนี่แหละครับ เลยอดไม่ได้ต้องมาขอบคุณเพื่อนๆที่มีส่วนทำให้ผมได้มีโอกาสย้อนกลับไปสู่วัยเด็กอันแสนสุขอีกครั้ง ความทรงจำของคนเรามีพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่จริงๆ มันสามารถให้พลังที่จะขับดันเราให้สู้ชีวิตต่อไปข้างหน้า ในทางตรงข้าม มันก็สามารถผลักเราให้จมอยู่กับห้วงอดีตอันเจ็บปวดได้เหมือนกัน

No comments: