Sunday, December 4, 2011

ภาคสี่ ตอนที่ 54

“วันศุกร์แล้ว ค่ำนี้ไปต่อกันไหมน้องๆ” พี่อี๊ดเดินเข้ามาในห้องพักแผนกในช่วงเที่ยง พอเข้ามาก็หาเพื่อนเที่ยวทันที และแน่นอน ขาเที่ยวของพี่อี๊ดก็ไม่ใช่อื่นไกล เป็นพวกปีสองหรือพวกเรานั่นเอง

“ไป ไป พี่อี๊ดจะพาไปไหน” เสียงพิมพ์พูดอย่างดีใจ

“สงสัยยายพิมพ์จะชอบพี่อี๊ดว่ะ ติดพี่อี๊ดแจเลย ชวนไปไหนก็ไปหมด” สาย เพื่อนร่วมรุ่นและเป็นหนึ่งในขาเที่ยวกลุ่มพี่อี๊ดกระซิบกับผมเบาๆ

“พูดยังกับเธอไม่ได้ไปยังงั้นแหละ เห็นไปหมดเหมือนกันนี่นา” ผมเหน็บ

“วุ้ย ตาบ้า” สายตีแขนผมอย่างสนิทสนม “มันเหมือนกันที่ไหน เธอดูสายตายายพิมพ์สิ ปิ๊งๆๆเลย ชั้นว่ายายนี่มันคงชอบพี่อี๊ดแน่ๆ”

ที่จริงผมเองก็สังเกตพบท่าทีที่ผิดปกติของพิมพ์ต่อพี่อี๊ดมาก่อนหน้านี้แล้ว จึงไม่แปลกใจที่เพื่อนคนอื่นๆจะสังเกตเห็นเช่นกัน หัวข้อเรื่องพิมพ์ชอบพี่อี๊ดจึงเป็นหัวข้อที่เม้ากันสนุกโดยที่เหยื่อเม้าทั้งสองคนยังไม่ได้ระแคะระคาย

“ชอบกันก็ไม่แปลกนี่” ผมพูด “ตำรวจไม่จับ”

“นี่แน่ะ กวนโอ๊ยนักนะ” สายพูดพลางตีแขนผมอีก พลางพูดต่อ “ดูๆไป พี่อี๊ดก็เทกแคร์ยายพิมพ์เป็นพิเศษเหมือนกันนะ”

“ไม่รู้ ไม่ได้ไปนั่งเฝ้าสองคนนี้นี่หว่า” ผมกวนอีก

“โอ๊ย ไม่อยากพูดกับเธอแล้ว” สายพูดพลางหันหน้าไปทางอื่น “กวนชิบเป๋งเลย”

แผนเที่ยวในคืนวันนั้นผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเนื่องจากต้องเตรียมตัวสอนป้อมในวันรุ่งขึ้น อีกอย่าง ตั้งแต่กลับจากออกค่ายมาผมก็เริ่มมีทัศนคติที่เปลี่ยนไปบ้าง ดังนั้นจึงไม่ค่อยเสียดายโอกาสเฮฮายามราตรีกับเพื่อนๆสักเท่าใดนัก แต่ผมกลับสนใจเรื่องอื่นมากกว่า...

หลังจากเลิกเรียน ผมก็รอจนสี่โมงครึ่ง จากนั้นก็เดินมุ่งหน้าไปยังคณะศิลปกรรม

“พี่อู เข้ามาเลยค่ะ” เสียงจุ๋มพูดขณะที่ผมชะโงกหน้าเข้าไปในห้องซ้อมดนตรี

ครั้งนี้ผมไม่ได้ชะโงกหน้าเข้าไปในห้องแล้วออกมารอที่ระเบียงเหมือนครั้งก่อนๆ แต่กลับเดินเข้าไปในห้องเลย ภายในห้องซ้อมมีเพียงแต่จุ๋มคนเดียว จุ๋มกำลังซ้อมไวโอลินอยู่

“วันนี้โชคดี ไม่มีใครใช้ห้องซ้อมตอนเย็นเลย เพิ่งเปิดเทอมไม่นาน คนยังใช้น้อยอยู่” จุ๋มพูด พลางวางไวโอลินและคันชักในมือลง

“ทางสะดวก” ผมพูดพลางหัวเราะ แต่แล้วก็อดถามไม่ได้ “แล้วถ้าใครมาเห็นเข้าจะเป็นไรไหม”

“ไม่เป็นไรมั้ง” จุ๋มตอบ “พี่อูก็เคยทำมาแล้วนี่”

“ก็ใช่หรอก” ผมเห็นด้วย “ว่าแต่วันนี้มีอะไรให้พี่เล่นล่ะ”

“ลองนี่ดูละกัน เอาอย่างง่ายๆไปก่อน” จุ๋มพูด พลางหยิบแฟ้มใส่โน้ตเปียโนขึ้นมาเล่มหนึ่ง “ไปนั่งที่เปียโนเลยพี่อู”

ผมเดินไปนั่งที่เปียโน วันนี้ผมแอบเข้ามาเล่นเปียโนในห้องซ้อมอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ไม่ได้มาใช้นานแล้ว โดยครั้งก่อนนั้นผมมากับพี่เหล่ง แต่ในครั้งนี้จุ๋มเป็นคนหาเวลาว่างให้

“อะ พี่อูลองซ้อมเล่นเพลงนี้ดูก่อน” จุ๋มพูด พลางกางแฟ้มใส่โน้ตเพลงเล่มนั้นออก เลือกกางหน้าที่ต้องการออกมาจากนั้นวางลงบนหน้าเปียโนเพื่อให้ผมหัดเล่น

“เฮ้ย” ผมอุทานเบาๆ

เมื่อผมเห็นเพลงหน้าที่จุ๋มเลือกให้ ผมก็ต้องอุทานออกมา เพราะมันคือเพลง Canon in D ของพาเชลเบลนั่นเอง

“ทำไมคะ พี่อูรู้จักเหรอ” จุ๋มถาม

“รู้จักสิ เพลงโปรดเลยล่ะ” ผมตอบ พลางนึกไปถึงเพลง Kanon จากชุดดีเซ็มเบอร์ (December) ของจอร์จ วินสตัน ที่ไอ้บอยมอบให้ผมเมื่อนานมาแล้ว “อยากเล่นเพลงนี้ได้มานานแล้ว”

เพลง Canon in D นั้นมีเป็นนับร้อยเวอร์ชันเพราะเป็นเพลงที่โด่งดังมาก โน้ตเปียโนเวอร์ชันนั้นไม่ยากนัก อีกทั้งไม่ใช่เวอร์ชันสำหรับเดี่ยวเปียโน แต่เป็นเวอร์ชันแบบเล่นคู่หรือที่เรียกว่าดูเอต (duet) คือเล่นด้วยเครื่องดนตรีสองชิ้น สำหรับไวโอลินกับเปียโน แนวไวโอลินเป็นแนวทำนองหลัก ส่วนแนวเปียโนเป็นแนวคลอหรือที่เรียกว่า accompaniment และตัดทอนบทเพลงให้สั้นลงกว่าฉบับดั้งเดิม ผมหัดก๊อกๆแก๊กๆสักสิบนาทีก็พอจะเล่นได้แล้ว

“พอไหวไหม” ผมถาม

“จังหวะยังไม่แม่นค่ะ แต่ลองดู” จุ๋มตอบ พลางยกไวโอลินขึ้นหนีบกับซอกคอ “พี่อูเริ่มเล่นก่อนเลย”

ผมเริ่มเล่นเพลงนั้นอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นจุ๋มก็สีไวโอลินตาม ผมเล่นแนวสำหรับเปียโนไปเรื่อยๆ ที่จริงแนวเปียโนเป็นแนวคลอ ส่วนแนวไวโอลินอันเป็นแนวทำนองหลัก แต่ปรากฏว่าจุ๋มต้องพยายามสีไวโอลินคลอตามจังหวะการเล่นของผมซึ่งช้าๆเร็วๆไม่แน่นอน

“ไม่หวาย” ผมพูดหลังจากถูไถเล่นไปจนจบเพลง “พี่เล่นไม่เอาอ่าวเลย”

ไม่เอาอ่าวก็คือไม่เอาไหนนั่นเอง สำนวนนี้ใช้กันในยุคนั้น แต่ปัจจุบันคงไม่มีใครพูดกันแล้ว

“ลองอีกทีพี่อู คราวนี้เคาะเท้าคุมจังหวะไปด้วย” จุ๋มบอก

เราลองเล่นกันอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ผมตบเท้ากับพื้นห้องเบาๆเพื่อนับจังหวะไปด้วย ทำให้จังหวะการเล่นแม่นยำขึ้น หลังจากที่ซ้อมกันสักสองสามครั้ง เพลงนี้ก็เข้ารูปเข้ารอย จากที่ไวโอลินต้องคอยตามเปียโนมาเป็นเปียโนคลอตามไวโอลิน ฟังไปก็เพราะดีเหมือนกัน

“เอาละพี่อู เมื่อกี้ซ้อมใหญ่ คราวนี้ออกโรงแล้วนะ” จุ๋มพูดแล้วก็หัวเราะ “เล่นเป็นรอบสุดท้าย คราวนี้เอาจริงแล้ว”

ผมพรมนิ้วลงบนคีย์เปียโนก่อนด้วยท่อนอินโทร จากนั้นจุ๋มจึงสีไวโอลินตาม ผมเล่นบทเพลงเที่ยวนี้อย่างตั้งใจที่สุด เสียงไวโอลินหวานและอ้อยอิ่ง ในจินตนาการ ผมเห็นหิมะขาวโพลนปกคลุมต้นสน ในค่ำคืนอันหนาวยะเยือกและเดียวดาย คล้ายกับผมเข้าไปอยู่ในภาพหน้าปกเทปชุด December ผมมองเงาของจุ๋มที่สะท้อนอยู่บนผิวไม้เคลือบแชลแล็คของเปียโน รู้สึกราวกับอยู่ในภวังค์

ผมรู้สึกว่าการเล่นดนตรีคู่คล้ายกับการเล่นกีฬาเป็นทีมตรงที่เป็นการกิจกรรมที่ต้องอาศัยการสอดประสานกันเป็นอย่างดีระหว่างผู้เล่นแต่ละคน แต่ก็แตกต่างจากการเล่นกีฬาตรงที่การเล่นดนตรีใช้จินตนาการและการสื่อสารกันทางอารมณ์มากกว่า ในชั่ววูบหนึ่งของอารมณ์ ผมรู้สึกถึงความเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันในขณะที่เล่นดนตรี และในจินตนาการของผม เงาร่างที่สะท้อนอยู่บนตัวเปียโนนั้นคลับคล้ายจุ๋มแต่ก็คลับคล้ายไม่ใช่...

เวลาครึ่งชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับเพียงห้านาที เสียงไวโอลินแผ่วเบาลงทีละน้อยขณะที่จุ๋มลากคันชักอย่างช้าๆไปจนสุดคัน และแล้ว ในที่สุดบทเพลงก็จบลง

จุ๋มดึงไวโอลินออกจากซอกคอ และตบมือให้ผมเบาๆ ผมจึงละมือจากคีย์เปียโนและลุกขึ้นยืนโค้งคำนับลมๆแล้งๆโดยเลียนแบบนักดนตรีที่เคยดูจากทีวี จุ๋มหัวเราะขำ

“สนุกจัง” ผมพูด พลางเก็บแฟ้มใส่โน้ตเพลงและปิดฝาเปียโนลง “จุ๋มคงต้องกลับแล้วใช่ไหม”

“ค่ะ” จุ๋มรับคำ “เกือบห้าโมงแล้ว ต้องกลับบ้านแล้วล่ะ”

ผมรู้ดีว่าจุ๋มต้องกลับบ้านตามเวลา การเล่นดนตรีสองคนนั้นสนุกมาก ผมยังประทับใจกับความรู้สึกในขณะที่เล่นดนตรีคู่กับจุ๋มได้

“พี่เล่นแย่ไปหน่อย” ผมพูด “สนิมเกาะนิ้ว ไม่ได้เล่นเสียตั้งนาน”

“ใช้ได้แล้วล่ะพี่อู” จุ๋มพูดให้กำลังใจผม

“ถ้าจุ๋มไม่ช่วยหัดให้พี่ก็คงไม่ได้แบบนี้หรอก” ผมตอบ และพูดด้วยความรู้สึกจากใจ “ขอบคุณนะ...”

จุ๋มยิ้มให้โดยไม่พูดอะไร จุ๋มเก็บของอยู่สักครู่ จากนั้นเราก็เดินออกจากห้องซ้อม เราเดินไปด้วยกันเรื่อยๆเพื่อไปยังป้ายรถเมล์สามย่าน อากาศยามเย็นในเดือนพฤศจิกายนสดใส สนามหญ้าผืนใหญ่เขียวขจีจากฝนอันชุ่มฉ่ำในฤดูฝนที่เพิ่งผ่านมา ผมยังใจลอยนึกถึงบทเพลงที่เพิ่งเล่นจบไปเมื่อครู่

“เริ่มเรียนหนักหรือยังพี่อู” จุ๋มชวนคุยขณะที่เราสองคนเดินอยู่บนสนามหญ้า หญ้าที่ขึ้นงามให้ความรู้สึกนุ่มเท้าในขณะที่เดิน

โดยทั่วไปแล้วช่วงเปิดเทอมถือเป็นช่วงที่เรียนกันสบายๆ การบ้านก็ยังไม่ค่อยมี แต่พอผ่านไปได้สักระยะหนึ่งก็จะเริ่มเรียนหนักขึ้นและหนักขึ้น

“การบ้านชักเริ่มเยอะแล้วล่ะ แต่พี่ก็ไปเรื่อยๆ เรียน สอนพิเศษ งานชมรม ชีวิตก็มีเท่านี้” ผมตอบ “อ้อ แล้วก็มีไปเที่ยวกับเพื่อนๆบ้าง”

“นั่นมันก็หลายอย่างแล้วนะ ยังบอกมีเท่านี้อีก” จุ๋มหัวเราะ

“นั่นสิ ที่จริงก็หลายอย่างอยู่เหมือนกัน” ผมเออออเห็นด้วย “ยังดีที่ไม่ได้มีเยอะกว่านี้ เมื่อวันก่อนป้อมงอแง จะให้พี่ติววิชาภาษาอังกฤษให้ด้วย ไม่รู้คิดยังไงของเค้า พี่บอกให้หานักศึกษาที่รับติวภาษาอังกฤษจะตรงกว่า ป้อมก็ไม่เอา”

“แล้วพี่อูตอบไปว่ายังไงล่ะ” จุ๋มถาม

“พี่ก็ไม่คิดจะสอนหรอก แต่ป้อมงอแงมาก พี่เลยบอกให้ไปถามพ่อก่อน ต้องให้พ่ออนุญาตก่อนแล้วค่อยมาคุยกัน” ผมตอบ “ถ้าพ่อป้อมเห็นด้วย และถ้าพี่รับสอน งานพี่ก็เยอะขึ้นอีก”

“แล้วก็ได้เงินเยอะขึ้นด้วย” จุ๋มพูดต่อให้

“แต่พี่เดาว่าพ่อป้อมไม่เอาพี่มากกว่า” ผมส่ายหน้า “ที่จริงหากคิดเรื่องเงินก็ไม่น่ารับหรอก มันไม่คุ้มเหนื่อย ไม่มีนักศึกษาคนไหนรับติวแบบนี้กัน”

“อ้าว ทำไมละคะ” จุ๋มสงสัย

“ปกตินักศึกษาจะสอนวิชาที่ตนเองถนัด แล้วหานักเรียนมาเรียนให้ได้หลายๆคน เตรียมสอนครั้งหนึ่งก็หากินได้หลายครั้ง นี่พี่เตรียมการสอนหลายหลายวิชาแต่หากินกับนักเรียนคนเดียว แค่เตรียมการสอนก็อ้วกแล้ว คิดยังไงก็ไม่คุ้ม” ผมอธิบาย

“แปลว่าถึงพ่อป้อมอนุญาต พี่อูก็จะไม่สอน” จุ๋มถามอีก

“เอ้อ...” ผมอึ้ง ผมเองก็ไม่ได้เตรียมหาคำตอบในเรื่องนี้เอาไว้เหมือนกัน เพราะผมเชื่อว่าถึงอย่างไรพ่อของป้อมก็คงไม่เห็นด้วยแน่ เพราะหากต้องการนักศึกษาติววิชาภาษาอังกฤษ พ่อแม่คนไหนก็คงหานักศึกษาที่เรียนเอกภาษาอังกฤษมาสอนมากกว่าให้นักศึกษาคณะเทคโนสอน

เมื่อจุ๋มถามประเด็นนี้ขึ้นมา ผมก็อดคิดไม่ได้ว่าหากพ่อป้อมไม่ขัดข้องขึ้นมา แล้วผมจะติวภาษาอังกฤษให้แก่ป้อมหรือไม่ หากสอนก็คงเหนื่อยขึ้นอีกมาก แต่หากไม่สอนก็นึกถึงสีหน้าที่แสดงความผิดหวังของป้อม...

“แล้วจุ๋มคิดว่ายังไงล่ะ” ผมถาม

“จุ๋มคิดยังไงน่ะเหรอ...” จุ๋มพูดช้าๆแบบใช้ความคิด “จุ๋มคิดยังไงไม่สำคัญหรอก สำคัญอยู่ที่พี่อูคิดยังไงต่างหาก พี่อูคิดว่าตัวเองเป็นครูของป้อม ไม่ใช่นักศึกษารับจ้างสอนพิเศษ... ถูกไหมคะ”

คำพูดของจุ๋มทำให้ผมถึงกับชะงักเท้า ผมไม่เคยแยกแยะความรู้สึกของตนเองต่อการสอนพิเศษให้แก่ป้อมมาก่อน ผมหันไปมองหน้าจุ๋ม

“เอ้อ ไม่รู้สิ...” ผมตอบอย่างลังเล “แล้วมันต่างกันตรงไหนล่ะ...”

“เมื่อไรที่พี่อูรู้ เมื่อนั้นพี่อูก็มีคำตอบ” จุ๋มพูดพลางหัวเราะ

“พูดแบบนี้เหมือนไม่ได้ตอบอะไร โธ่เอ๊ย หลงฟังอยู่ตั้งนาน” ผมบ่นอุบ “รู้ยังงี้ไม่ถามดีกว่า”

- - -

“โอ๊ย เซ็งเลยพี่อู” ป้อมเปิดประตูหน้าบ้านเพื่อต้อนรับผมในตอนเช้าวันเสาร์ พอเห็นหน้าผมเท่านั้นก็เริ่มบ่นด้วยเสียงงุ้งงิ้งน่ารัก

“คุณชายเป็นอะไรไปล่ะ” ผมถาม “ใครกล้าบังอาจทำให้คุณชายเซ็ง บอกมาเลย เดี๋ยวพี่อูจะจัดการให้”

“ก็พ่อน่ะสิ” ป้อมตอบ “พี่อูไปจัดการให้หน่อยเร็ว”

“เฮ้ย ไม่ได้ ต้องยกเว้นเอาไว้คนนึง จะหาเรื่องให้พี่ตกงานแล้วไหมล่ะ” ผมรีบปฏิเสธ “ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นล่ะ”

“ก็พ่อไม่ให้ป้อมเรียนภาอังกฤษกับพี่อูน่ะสิ” ป้อมตอบ สีหน้าบ่งบอกอาการเซ็งอย่างชัดเจน

ผมไม่รู้สึกผิดคาด นึกอยู่แล้วว่าคงออกมาในรูปนี้

“พ่อบอกว่าถ้าอยากเรียนจริงๆจะหาครูอีกคนมาสอนให้” ป้อมพูดต่อ

“ก็ดีแล้วนี่ น่าจะตรงกว่านะ” ผมสนับสนุน แต่ในส่วนลึกก็อดผิดหวังนิดๆไม่ได้ที่รู้สึกว่าพ่อของป้อมไม่ให้ความไว้วางใจผม

“ไม่เอา ป้อมอยากให้พี่อูสอน” คุณชายป้อมเริ่มโยเยอีก

“อ้าว ก็คุณพ่อไม่ให้สอน แล้วจะให้พี่สอนได้ยังไง” ผมหัวเราะ

“ไม่รู้ล่ะ พี่อูต้องหาทาง” ป้อมไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ระเบิดอารมณ์คุณหนูออกมา

“เวรกรรม แล้วจะหาทางอะไรได้ล่ะ” ผมตอบ

“ถ้าพ่อไม่อนุญาตแล้วพี่อูสอนไม่ได้เพราะอะไรล่ะ” ป้อมถาม “พ่อก็ส่วนพ่อ ป้อมก็ส่วนป้อม”

“อ้าว พูดซะยังงั้น” ผมหัวเราะขำกับอารมณ์คุณหนู แต่แล้วก็รีบเปลี่ยนเป็นสีหน้าจริงจัง “มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องค่าจ้างสอนนะ ป้อมอย่าเข้าใจผิด แต่ว่ามันเป็นเรื่องของความเชื่อถือ พี่ไม่ได้เรียนเอกภาษาอังกฤษ ดังนั้นพ่อของป้อมอาจไม่สบายใจที่จะให้พี่ติวภาษาอังกฤษให้ป้อม เพราะกลัวว่าพี่อาจสอนอะไรผิดๆให้แก่ป้อม พี่เข้าใจคุณพ่อนะ ป้อมเองก็ต้องเข้าใจด้วยเหมือนกัน”

คราวนี้ป้อมไม่เถียงอีก แต่ทำเสียงฮึฮึด้วยความไม่พอใจ ดังที่เคยบอกว่าป้อมน่ารักตรงที่ไม่งอแงมาก แค่งอแงเพียงนิดหน่อยแล้วก็ยอม แต่สีหน้าของป้อมบ่งบอกอารมณ์ผิดหวังอย่างแรง

วันนั้นป้อมมีอาการจ๋อยตลอดการสอนในช่วงเช้า ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเรื่องการเรียนภาษาอังกฤษจึงกลายเป็นประเด็นขึ้นมาได้ ที่จริงป้อมน่าจะดีใจที่เรียนแค่นี้ด้วยซ้ำไป เพราะว่าเรียนมากก็เคร่งเครียดมาก

“เอาล่ะ วันนี้พอเท่านี้” ผมพูด ตอนนั้นนาฬิกาบนผนังบอกเวลาเที่ยงแล้ว “การบ้านที่ให้ไปป้อมไปทำต่อเองนะ แล้วมาเฉลยกันครั้งหน้า”

“พี่อูไม่อยู่ช่วยป้อมทำการบ้านตอนบ่ายเหรอ” ป้อมถาม น้ำเสียงแสดงความผิดหวัง ฟังแล้วก็อดสงสารไม่ได้

“บ่ายนี้พี่มีงานอื่นต้องทำ คงไม่ได้อยู่ช่วยป้อมทำการบ้านหรอก” ผมปฏิเสธ

“เออ... จะไปไหนก็ไปเลย” ป้อมไล่ส่ง ผมได้ยินแล้วก็อดขำไม่ได้

- - -

ผมไม่ได้หลอกป้อมเลย บ่ายวันนั้นผมมีงานที่ต้องทำจริงๆ หลังจากที่ผมออกจากบ้านป้อม ผมก็ไปที่มหาวิทยาลัย

“โอ้โฮ ลมอะไรหอบไอ้เหี้ยอูมาถึงนี่วะ” เสียงเอะอะเฮฮาทักทายผมกันขรมเมื่อผมโผล่ไปที่ชมรมวิชาการในตอนบ่ายวันเสาร์ โดยเฉพาะเสียงของไอ้กี้ดังเป็นพิเศษ

ในเทอมสองนี้ผมขึ้นมาทำงานที่ชมรมน้อยลงเพราะต้องแบ่งเวลาไปให้กับเรื่องอื่นๆ โดยเฉพาะ
ในวันหยุดเสาร์อาทิตย์นี่ตั้งแต่เปิดเทอมมาผมไม่ได้มาชมรมในวันหยุดเลย เพิ่งจะมาในวันนี้เอง ต่างจากเทอมที่แล้วที่ผมแทบยึดเอาชมรมเป็นบ้านหลังที่สอง

“แวะมาถามหาหนังสือเรียนหน่อย” ผมตอบ “มึงมีหนังสืออีเอ็นปีหนึ่งไหมวะ”

หนังสืออีเอ็น (EN) หมายถึงแบบเรียนภาษาอังกฤษนั่นเอง สำหรับที่คณะเทคโนในยุคนั้นเรียนภาษาอังกฤษทั้งหมด ๓ เทอมหรือเรียกว่าสามเล่ม ปีหนึ่งเรียนสองเล่ม ปีสองเทอมหนึ่งเรียนอีกหนึ่งเล่ม

“ไม่มีโว้ย ให้น้องไปหมดแล้ว” ไอ้กี้ปฏิเสธ “มึงจะหาไปทำไม”

“จะเอามาดูอะไรหน่อย” ผมตอบเลี่ยงๆ

“จะหาก็ต้องไปขอจากพวกปีหนึ่งโน่น” ไอ้กี้ตอบ

ผมเที่ยวไล่ขอยืมหนังสือจากพวกปีหนึ่ง แต่ก็ได้ภาษาอังกฤษเล่มหนึ่งมาเพียงเล่มเดียว ส่วนเล่มสองไม่มีใครให้ยืมเนื่องจากกำลังใช้เรียนอยู่ในภาคเรียนปัจจุบัน แต่ได้มาเพียงเล่มเดียวก็ยังดี...


ฟังเพลง Canon in D ฉบับบรรเลงด้วยไวโอลินกับเปียโน




<เพลง Canon in D นั้นมีเป็นนับร้อยเวอร์ชันเพราะเป็นเพลงที่โด่งดังมาก แต่งโดยโยฮันน์ พาเคลเบล (Johann Pachelbel) นักดนตรีและนักแต่งเพลงชาวเยอรมนีในยุคบารอค สันนิษฐานกันว่าเพลงนี้น่าจะแต่งในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗ หรือเมื่อราวสามร้อยกว่าปีมาแล้ว ในภาพเป็นโน้ตเพลงในเวอร์ชันไวโอลินกับเปียโน>

Monday, November 21, 2011

ภาคสี่ ตอนที่ 53

บ่ายวันเสาร์ ที่วัดสระเกษ

หลังจากที่ผมสอนพิเศษป้อมเสร็จก็รีบเดินทางมาที่ห้างมาบุญครองตามที่ได้นัดกับจุ๋มเอาไว้ เมื่อพบจุ๋มแล้วเราก็นั่งรถเมล์สาย ๔๗ โดยขึ้นที่ฝั่งมาบุญครอง เพื่อไปยังงานภูเขาทองที่วัดสระเกษ

เมื่อเราไปถึงที่บริเวณงานเป็นเวลาบ่ายแก่ๆ บรรยากาศร้อนอบอ้าว ครึ้มฟ้าครึ้มฝน แม้จะยังไม่ถึงช่วงกลางคืนแต่คนที่มาเที่ยวงานก็คึกคักพอสมควร คงเป็นเพราะว่าวันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์อีกทั้งเป็นวันลอยกระทงด้วย

“โห คนเยอะแยะ ยังกับงานวัดเลย” จุ๋มอุทานเมื่อต้องเบียดฝ่าผู้คนตั้งแต่ที่ป้ายรถเมล์ไปจนถึงหน้าทางเข้างาน

“ก็งานวัดน่ะสิ” ผมหัวเราะ จุ๋มก็พลอยหัวเราะขำไปด้วย

เราสองคนเดินเข้าไปในงานภูเขาทอง บรรยากาศภายในงานภูเขาทองในวันลอยกระทงแปลกตาออกไปจากที่เคยมาครั้งก่อน เมื่อสามปีก่อนผมมาตอนค่ำ ผู้คนคึกคัก อากาศไม่ถึงกับร้อนอบอ้าว แต่ครั้งนี้มาตอนกลางวัน ผู้คนแม้คึกคักแต่ก็ยังไม่มากเท่ากับตอนกลางคืน อีกทั้งบรรยากาศค่อนข้างอบอ้าว

“ของขายเยอะแยะไปหมดเลย” จุ๋มอุทานด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเมื่อได้เห็นร้านรวงที่มีของขายมากมายหลายร้อยร้านเรียงรายตลอดทางเดิน

จุ๋มเดินเบียดผู้คน ดูร้านนั้นร้านนี้ด้วยความสนใจ ผมเหม่อมองดูจุ๋มที่กำลังสาละวนกับการดูของ เมื่อครั้งก่อนที่ผมมาเที่ยวงานภูเขาทอง บอยตื่นเต้นกับบรรยากาศแบบงานวัดเช่นกัน ส่วนใหญ่บอยดูร้านขายของกินในขณะที่จุ๋มมักเลือกดูร้านที่ขายของจุกจิกน่ารัก ตัวงานออกร้านแทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแต่ความรู้สึกของผมกลับแตกต่างออกไปจากการมาในครั้งก่อน

ป่านนี้ไอ้บอยกำลังทำอะไรอยู่นะ ผมรำพึงอยู่ในใจ ภาพเหตุการณ์ในอดีตผุดขึ้นมาทำให้ผมรู้สึกหม่นหมองไปวูบหนึ่ง ที่จริงไม่ควรชวนจุ๋มมาที่งานภูเขาทองนี่เลย มาแล้วรู้สึกแปลกๆอย่างไรก็ไม่รู้ แต่ที่ตัดสินใจชวนมาเพราะรู้สึกเห็นใจจุ๋ม ภาระในครอบครัวคงทำให้จุ๋มมีช่วงเวลาที่สนุกสนานรื่นเริงอยู่น้อย เหตุผลอีกประการหนึ่งก็คือผมรู้จักที่เที่ยวไม่มากนัก ไม่มาที่นี่ก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าควรจะไปที่ไหนดี

“จุ๋มไม่ซื้ออะไรเลยเหรอ เห็นแวะดูโน่นดูนี่ตั้งนาน สุดท้ายก็เดินออกมา” ผมถามจุ๋มหลังจากที่เราเดินในงานไปได้สักพักหนึ่ง อดแปลกใจไม่ได้ที่จุ๋มไม่ได้ซื้ออะไรเลย

“ไม่ซื้อหรอกพี่อู รกบ้าน แค่นี้ก็เก็บกวาดไม่ไหวอยู่แล้ว” จุ๋มส่ายหน้า “แค่ดูก็พอแล้ว”

เราเดินดูของไปอีกสักพักก็ผ่านแผงที่ขายไหมสวรรค์ ของโปรดในวัยเด็กของผม ครั้งก่อนที่มางานนี้ผมแวะซื้อไหมสวรรค์มากินกับบอย บอยชอบกินขนม มันเดินซื้อขนมไปเรื่อยๆขณะที่ผมคอยเดินจ่ายเงินตามหลังมัน แต่ไหมสวรรค์นี้เป็นของหวานที่ผมเลือกซื้อเอง ซื้อแล้วก็มาแบ่งกันกินกับบอย

“พี่อูคอยเดี๋ยวนะ” ได้ยินจุ๋มเรียก จากนั้นจุ๋มก็เดินไปที่แผงที่ขายไหมสวรรค์

ผมเห็นจุ๋มซื้อไหมสวรรค์ อดคิดไม่ได้ว่าเห็นจุ๋มเดินดูแต่ของสวยๆงามๆแต่ไม่ซื้ออะไร สุดท้ายกลายเป็นซื้อขนมหวาน พร้อมกับรู้สึกแปลกใจที่จุ๋มก็ชอบของกินขนมเด็กๆเช่นเดียวกับผม

จุ๋มเดินกลับมาพร้อมกับส่งไหมสวรรค์ในมือให้แก่ผม

“อะ จุ๋มเลี้ยงพี่อู” จุ๋มพูด

“จุ๋มอยากกินก็กินสิ จะมาให้พี่ทำไม” ผมตอบ

“นี่จุ๋มซื้อให้พี่อู รู้ว่าพี่อูชอบกิน” จุ๋มพูด

“จุ๋มรู้ได้ยังไงว่าพี่ชอบกิน” ผมรู้สึกแปลกใจมากยิ่งขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดของจุ๋ม ที่แท้จุ๋มไม่ได้ชอบกินแต่รู้ว่าผมชอบ ผมจำได้ว่าไม่เคยเล่าให้จุ๋มฟังเลยว่าผมชอบกินไหมสวรรค์

“ก็พี่อูมองไหมสวรรค์ตั้งนาน ไม่รู้ก็แย่แล้ว” จุ๋มตอบพลางหัวเราะ “ไหมสวรรค์นี่จุ๋มเลี้ยงพี่อู ถือเป็นคำขอบคุณที่พาจุ๋มมาเที่ยวงานนี้”

ผมรับไหมสวรรค์มาจากจุ๋มด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก แม้แต่บอยก็ยังไม่รู้ใจผมเช่นนี้ คนที่รู้ใจผมเช่นนี้เคยมีอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น...

ผมพยายามขับไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปจากหัว ไม่อยากคิดถึงเรื่องเก่าๆอีก ผมไม่อยากให้เรื่องในอดีตมาเหนี่ยวรั้งชีวิตของผมไว้

“ขอบคุณมาก แต่กินคนเดียวไม่อร่อย เอามาแบ่งกันกินดีกว่า” ผมพูด พลางกินไหมสวรรค์ไปก้อนหนึ่ง จากนั้นส่งก้านไม้ที่ยังมีไหมสวรรค์เสียบอยู่อีกสองก้อนส่งให้จุ๋ม จุ๋มรับไปและกินอีกก้อนหนึ่ง จากนั้นก็ส่งไม้คืนให้ผม

“ก้อนนี้ให้พี่อู พี่อูชอบก็ให้พี่อูกินเยอะกว่า” จุ๋มพูด “ชิ้นสุดท้ายได้แฟนสวยด้วย”

ผมหัวเราะ ผมรับไหมสวรรค์ก้อนสุดท้ายมากินโดยไม่เกรงใจ

“แล้วถ้าจุ๋มกินก้อนสุดท้ายล่ะ” ผมแกล้งถาม

“ก็ได้แฟนหล่อน่ะสิ” จุ๋มตอบ

“ในเมื่อจุ๋มไม่ได้กินชิ้นสุดท้าย แสดงว่า... ฮ่าฮ่า” ผมหัวเราะขำ แกล้งทำเสียงล้อเลียน

จุ๋มทำหน้าแบบคิดได้

“อุ๊ย ไม่หล่อก็ไม่เป็นไรหรอกพี่อู จุ๋มทนได้” จุ๋มหัวเราะขำบ้าง

“เคยนั่งชิงช้าสวรรค์ไหม” ผมเปลี่ยนเรื่องสนทนา ผมถามจุ๋มในขณะที่เราเดินผ่านบริเวณที่เป็นเครื่องเล่น ชิงช้าสวรรค์ที่นี่มีขนาดไม่ใหญ่นักแต่ก็น่าจะเป็นเครื่องเล่นที่มีความสูงมากที่สุดในงาน

“ทำไมจะไม่เคย ตอนเด็กๆเคยไปเล่นชิงช้าสวรรค์ที่เขาดินกับพ่อ” จุ๋มพูด หางเสียงของจุ๋มหม่นไปนิดหนึ่งเมื่อพูดถึงพ่อ

“งั้นไปนั่งเล่นอีกสักครั้งเป็นไง” ผมชวน พลางเดินนำหน้าจุ๋มไปทางชิงช้าสวรรค์ “จะได้ชมวิวจากที่สูงด้วย”

งานภูเขาทองครั้งที่แล้วผมไม่มีโอกาสเล่นชิงช้าสวรรค์เพราะไม่อยากเสียเวลารอคิวเล่น แต่ในครั้งนี้มีคนเล่นไม่มาก สามารถขึ้นไปได้เลย ผมกับจุ๋มจึงจ่ายค่าเล่นและขึ้นไปนั่งในกระเช้า

เพียงครู่เดียวชิงช้าสวรรค์ก็เริ่มเดินเครื่อง กงล้อยักษ์เริ่มหมุน เราเริ่มลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดเราลอยขึ้นมาถึงจุดสูงสุดของกงล้อ จากจุดนั้นเราสามารถมองเห็นทิวทัศน์ยามเย็นในที่ไกลตาออกไป

“เป็นไงบ้าง คล้ายที่เขาดินบ้างไหม” ผมถาม

จุ๋มพยักหน้า

“ชิงช้าสวรรค์ที่เขาดินสูงกว่านี้ แต่นี่ก็เห็นได้ไกลเหมือนกัน” จุ๋มพูด

“เดี๋ยวขึ้นไปบนภูเขาทองจะเห็นได้ไกลกว่านี้อีก เห็นได้ถึงฝั่งธนฯเลยแหละ” ผมบอก

ที่นั่งของชิงช้าสวรรค์แม้ว่านั่งได้สองคนแต่ก็แคบเล็ก เราจึงต้องนั่งชิดกัน ผมเรียนในโรงเรียนชายล้วนมาโดยตลอด ตอนเรียนในมหาวิทยาลัยแม้จะมีเพื่อนหญิงและเคยนั่งเรียนเบียดกัน แต่ก็ไม่ได้อยู่กันสองต่อสอง นี่เป็นครั้งแรกที่ผมนั่งใกล้ชิดกับหญิงสาวแบบสองต่อสองเช่นนี้ กลิ่นแป้งอ่อนๆทำให้ผมรู้สึกใจเต้น ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าผมตื่นเต้นอะไร

กงล้อหมุนรอบแล้วรอบเล่า ผมเห็นจุ๋มนั่งเงียบไป สายตาเหม่อเหมือนกับใจลอย ตัวผมเองก็คิดอะไรต่ออะไรเตลิดเปิดเปิง

“ดูวิวเพลินหรือว่าคิดอะไรอยู่” ผมถาม ทำลายความเงียบที่ปกคลุมเราสองคนมาชั่วขณะหนึ่ง

“ชิงช้าสวรรค์นี่ก็เหมือนกับชีวิตคนเรานะ” จุ๋มพูดช้าๆ “มีขึ้น มีลง มีจุดสูงสุด มีจุดต่ำสุด และก็มีวนเวียนมาซ้ำที่เดิม ไม่ไปถึงไหน”

ผมนั่งนิ่ง ชิงช้าสวรรค์ที่หมุนวนทำให้ผมกำลังคิดเช่นนี้อยู่พอดีเหมือนกัน จุ๋มพูดราวกับมีเวทมนตร์ที่สามารถถ่ายทอดความในใจของผมออกมา

“แต่มันก็ไม่เหมือนเสียทีเดียวนะ” ผมแย้ง “เพราะว่าเรากำหนดชีวิตของเราเองได้... อย่างน้อยก็ได้ส่วนหนึ่งละ... เราต้องพยายามให้ชีวิตเดินหน้าต่อไป ไม่ใช่ปล่อยให้วนอยู่ที่เดิมอย่างนี้”

ผมจินตนาการถึงภาพห้องนอนทึมๆ คนป่วยแรมปี และหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังนั่งเฝ้าอยู่ นอกห้องมีหญิงวัยกลางคนจู้จี้ขี้บ่นกับวัยรุ่นชายเกเรกำลังทะเลาะกันอยู่ ชีวิตเช่นนี้คงซ้ำซากอยู่ในสีอันหม่นทึม ที่ผมสามารถทำได้ก็คงเพียงแต่ให้กำลังใจและแต้มสีสันเล็กๆน้อยๆลงในชีวิตของเธอ...

“ฮื่อ มันก็ใช่แหละพี่อู” สาวน้อยพยักหน้าเห็นด้วย แต่น้ำเสียงที่พูดเหมือนกับยังไม่ค่อยแน่ใจนัก “ต้องพยายาม...”

- - -

หลังจากที่ลงจากชิงช้าสวรรค์ เราก็รีบเดินขึ้นบนภูเขาทอง ทิวทัศน์ข้างบนภูเขาทองเห็นได้กว้างไกลกว่าบนชิงช้าสวรรค์มาก แต่เราไม่มีโอกาสชื่นชมได้นานนักเนื่องจากต้องรีบกลับ ผมกับจุ๋มเดินอยู่ในงานภูเขาทองจนถึงประมาณห้าโมงเย็น ตอนขากลับเราก็ยืนรอรถเมล์สาย ๘ อยู่ที่หน้าวัดสระเกษนั่นเอง การจราจรหน้าวัดติดขัด เมื่อรถสาย ๘ มาถึงคนก็ลงจากรถกันเป็นส่วนใหญ่ ทำให้รถมีที่นั่งว่างมากมาย

“เป็นไง สนุกไหม” ผมถามจุ๋มขณะที่เราขึ้นรถและนั่งเรียบร้อยแล้ว

“สนุกมากพี่อู” จุ๋มตอบ หากไม่นับช่วงเวลาสองสามช่วงที่จุ๋มเหม่อลอย เวลาส่วนใหญ่จุ๋มก็ดูสนุกสนานจริงๆ “แล้วพี่อูล่ะ”

“สนุกสิ นานๆได้มาเที่ยวงานวัดสักที” ผมตอบ “แต่เสียดายที่มีเวลาน้อยไปหน่อย จุ๋มเลยเดินไม่ทั่วงาน”

“ไม่เป็นไรหรอกพี่อู แค่นี้ก็ดีถมไปแล้ว” จุ๋มปลอบใจผม “เดินนานๆก็เมื่อย ยังดีที่ขึ้นรถแล้วได้นั่ง ไม่งั้นหากต้องยืนอีกคงเมื่อยตายเลย” จุ๋มหัวเราะ

“เมื่อก่อนพี่นั่งรถเมล์สายนี้ไปกลับทุกวัน ขึ้นรถสายนี้อยู่หลายปีเลย ขากลับมักได้นั่งเพราะขึ้นต้นสาย” ผมอดเล่าเรื่องตอนที่เรียนชั้นมัธยมไม่ได้

“แล้วพี่แกล้งนั่งหลับบ้างหรือเปล่า” จุ๋มถามหน้าตาย

“อะไรนะ” ผมได้ยินไม่ถนัด

“ก็ผู้ชายบางคนชอบแกล้งนั่งหลับ จะได้ไม่ต้องลุกให้คนอื่นนั่งไง” จุ๋มหัวเราะ

“แหะๆ จุ๋มถามอะไรยังงั้น” ผมพูด รู้สึกว่าตัวเองเสียงอ่อยไปหน่อย

“อะอะ ไม่ถามก็ได้ รักษาหน้าพี่อูหน่อย” จุ๋มหัวเราะอีก

“ร้ายนักนะ รู้ยังงี้ไม่พามาเที่ยวหรอก” ผมบ่น

- - -

“โอ๊ย พี่อูสั่งการบ้านเยอะจัง ชั่วโมงเดียวทำไม่หมดหรอก” ป้อมร้องโวยวายด้วยน้ำเสียงงุ้งงิ้ง ฟังยังไงก็ไม่เหมือนกำลังโวยวาย เพราะเสียงน่ารักดี

วันนั้นผมสอนบทเรียนป้อมเสร็จในตอน ๑๑ โมง จากนั้นให้โจทย์ป้อมไปหลายข้อโดยกำหนดให้เสร็จในตอนเที่ยง ที่ต้องให้เสร็จทันเที่ยงเพราะว่าหากไม่เสร็จผมก็ต้องอยู่คุมป้อมต่อในช่วงบ่ายด้วย

“โอ๊ย” ผมแกล้งโวยกลับบ้าง “น้องป้อมจะอู้ไปถึงไหน ไม่กี่ข้อแค่นี้เอง”

“ฮึ ให้เยอะแยะยังบอกว่าให้ไม่กี่ข้อ สงสัยพี่อูอ่อนคำนวณ” ป้อมย้อนผม

“ไม่รู้ล่ะ ยังไงก็ต้องทำให้เสร็จภายในเที่ยง” ผมเผด็จการเอาดื้อๆ

“ไม่เอาๆ” ป้อมส่ายหัวดิก “เก็บไว้ทำต่อตอนบ่าย พี่อูก็อยู่เป็นเพื่อนป้อมด้วย”

“ไม่เอา” ผมส่ายหัวบ้าง “ตอนบ่ายพี่จะไปเที่ยว”

“พี่อูจะไปเที่ยวไหน” ป้อมถาม พร้อมกับทำตาโต

“ไม่บอก” ผมตอบ ที่จริงผมพูดไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้คิดจะไปเที่ยวที่ไหนเลย หากเสร็จจากการสอนป้อมก็คงกลับหอพักไปซักผ้า

“น่า บอกหน่อยน่า” ป้อมอ้อน

“ไม่ได้ไปที่ไหนหรอก” ผมตอบใหม่

“ไม่เชื่อ” ป้อมทำเสียงฮึดฮัด “หลอกอีกแล้ว”

“ไม่ได้ไปไหนจริงๆ เมื่อกี้พี่แกล้งตอบไปยังงั้นเอง” ผมพูด

“จริงนะ” ป้อมคาดคั้น

“จริงดิ” ผมยืนยัน

“ถ้างั้น เพื่อพิสูจน์ความจริง พี่อูอยู่ทำการบ้านเป็นเพื่อนป้อมต่อในตอนบ่ายนะ ถ้าไม่ยอมอยู่แสดงว่าพี่อูโกหกป้อม” ป้อมพูด พลางหัวเราะแบบผู้มีชัย

ผมอึ้ง นึกไม่ถึงว่าจะเสียท่าเด็กมัธยมเช่นป้อม ป้อมพูดหลอกล่อผมจนตกหลุมโดยไม่รู้ตัว

“เอ่อ...” ผมนึกหาวิธีดิ้นขึ้นจากหลุม

“น่า นะ นะ” ป้อมใช้ไม้นวมตามมา “อยู่เป็นเพื่อนป้อมหน่อยนะ ทำคนเดียวแล้วเซ็ง”

“นี่ถ้าเราเข้าห้องสอบพี่มิต้องไปสอบด้วยหรือไง” ผมถาม

“ได้ก็ดีเหมือนกัน” ป้อมพูดพลางทำสีหน้ากวน จากนั้นก็อ้อนต่อ “นะ พี่อู นะ”

“ก็ได้ๆ” ผมยอมแพ้ ในที่สุดก็ต้องอยู่เป็นเพื่อนป้อมในตอนบ่ายอีกจนได้

เรากินอาหารเที่ยงด้วยกัน ขณะที่กินอยู่ป้อมก็ถามผมว่า

“พี่อู ตกลงพี่อูป่วยเป็นอะไร”

ถามเรื่องนี้อีกแล้ว ผมไม่รู้ว่าจะตอบคำถามนี้อย่างไรจริงๆ

“เอ่อ...” ผมพูดต่อไม่ออก “ป้อมอย่าเพิ่งซักพี่เลย เอาไว้ถึงเวลาพี่จะบอกป้อมเองนั่นแหละ”

“แล้วทำไมบอกป้อมตอนนี้ไม่ได้ล่ะ” ป้อมพยายามคาดคั้น

“เฮ้อ...” ผมถอนใจ “พี่ไม่รู้จะพูดยังไงจริงๆ เอาไว้เมื่อถึงเวลาพี่จะบอกป้อมน่า อย่าเพิ่งเร่งพี่นักสิ”

“แล้วเมื่อไรจะถึงเวลาล่ะ” ป้อมคาดคั้นต่ออีก

“พี่ก็ยังไม่รู้” ผมส่ายหน้า พลางพูดกับป้อมด้วยท่าทีจริงจัง “คนเราต่างก็มีความลับคับใจ มีความลำบากใจที่ไม่เหมือนกัน... ตอนนี้พี่ลำบากใจที่จะบอกป้อม ป้อมอย่าเพิ่งคาดคั้นได้ไหม”

ป้อมไม่พูดอะไรต่อ แสดงว่ายอมฟังผม แต่ยังมีท่าทีฮึดฮัดนิดหน่อย ป้อมน่ารักตรงที่เป็นเด็กว่าง่ายนี่เอง

หลังจากกินอาหารเสร็จผมก็นั่งเป็นเพื่อนป้อมทำโจทย์คณิตศาสตร์ต่อ ทำไปได้ไม่นาน ป้อมก็หมุนปากกาอีก

“เฮ้อ เบื่อคณิตศาสตร์แล้วพี่อู เรียนอย่างอื่นกันบ้างดีกว่า” ป้อมบ่นพลางวางปากกาในมือลง

“พูดตลกไปได้ พี่มาสอนคณิตศาสตร์ก็ต้องสอนคณิตศาสตร์สิ” ผมตอบ แต่แล้วก็อดถามไม่ได้ “ป้อมอยากเรียนอะไรล่ะ”

“ภาษาอังกฤษก็ได้” ป้อมรีบตอบ “ป้อมได้เกรดไม่ค่อยดี ติวภาษาอังกฤษให้ป้อมบ้างดีกว่า ตอนเช้าเรียนคณิตศาสตร์ก็ได้ แล้วตอนบ่ายก็เรียนภาษาอังกฤษกัน”

ไอเดียบรรเจิดขึ้นมาเชียว ผมคิดในใจ ใครจะไปสอนไหว เหนื่อยตายพอดี

“ไม่ไหว แค่นี้พี่ก็เหนื่อยแล้ว” ผมปฏิเสธ “คุณพ่อป้อมไม่ได้สั่งให้พี่สอนด้วย พี่จะสอนได้ยังไง”

“ทำได้แต่คณิตศาสตร์แล้วภาษาอังกฤษทำไม่ได้ แล้วจะเอ็นทรานซ์เข้าวิศวะได้เหรอ” ป้อมพยายามยกเหตุผลมาโน้มน้าว

“มันก็ใช่” ผมตอบ “ถ้าป้อมอยากเรียนภาษาอังกฤษก็ให้คุณพ่อหาคนมาสอนสิ”

“ไม่เอา ป้อมอยากให้พี่อูสอน” ป้อมเริ่มงอแงอีก

“ม่ายหวาย” ผมลากเสียงยาว พร้อมกับส่ายหน้า

เกรดวิชาภาษาอังกฤษของผมใช้ได้มาตลอด ตอนสอบเอนทรานซ์ก็ทำได้ หากจะติวป้อมก็คิดว่าผมพอทำได้ แต่หากมองในแง่ธุรกิจแล้วเป็นเรื่องที่ไม่คุ้มที่จะทำ ปกติในการสอนพิเศษ ผู้ที่สอนควรมีนักเรียนหลายๆคนจะได้คุ้มกับการเตรียมสอน เพราะว่าสอนกี่คนก็ใช้เวลาเตรียมการสอนเท่ากัน ผมสอนป้อมเพียงคนเดียว แค่เรื่องเตรียมการสอนคณิตศาสตร์ก็ถือว่าไม่ค่อยคุ้มแล้ว หากยังต้องสอนภาษาอังกฤษด้วยก็จะกลายเป็นสองวิชาแต่มีผู้เรียนคนเดียว ตลอดทั้งสัปดาห์ผมคงไม่เป็นอันทำอะไรเพราะมัวแต่เตรียมการสอน

“พี่อูใจร้าย” ป้อมต่อว่าผมด้วยเสียงแผ่วเบา

ป้อมทำหน้าจ๋อยสนิท ดูป้อมผิดหวังมาก จนผมอดสงสารไม่ได้ เรื่องที่ไม่เป็นเรื่องจู่ๆก็กลายเป็นเรื่องขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ

“เอายังงี้” ผมพยายามผ่อนหนักเป็นเบา “ป้อมไปถามคุณพ่อดูก่อนก็แล้วกัน พี่จะสอนอะไรต้องให้คุณพ่ออนุญาตก่อน”

“จริงนะ” ป้อมเปลี่ยนจากจ๋อยเป็นยิ้มออก “ได้ ป้อมจะขอพ่อดู”




<“ชิงช้าสวรรค์นี่ก็เหมือนกับชีวิตคนเรานะ” จุ๋มพูดช้าๆ “มีขึ้น มีลง มีจุดสูงสุด มีจุดต่ำสุด และก็มีวนเวียนมาซ้ำที่เดิม ไม่ไปถึงไหน”>

Monday, November 14, 2011

ภาคสี่ ตอนที่ 52

ในช่วงปลายเดือนตุลาคมนั้นผมไปติวให้ป้อมเกือบทุกวัน จนในตอนเย็นวันหนึ่ง พ่อของป้อมกลับจากทำงานมาถึงบ้านก็เรียกผมไปพบในห้อง

“อาต้องขอบใจอูมากที่ช่วยติวให้ป้อมเต็มที่” พ่อของป้อมอารัมภบท

“เป็นเพราะป้อมยอมคุยหรอกครับ ไม่อย่างนั้นผมก็ไม่ทราบว่าจะทำยังไงเหมือนกัน” ผมตอบ

“อาก็แปลกใจเหมือนกันที่ป้อมเข้ากับอูได้ดี กับครูสอนพิเศษคนอื่นๆป้อมไม่ค่อยยอมพูด” พ่อของป้อมตั้งข้อสังเกต พร้อมกับหยิบซองจดหมายสีขาวฉบับหนึ่งยื่นให้ผม “นี่เป็นค่าสอนในช่วงปิดเทอมของอูนะ”

ผมเห็นซองมีความหนา แสดงว่าในนั้นคงใส่ธนบัตรอยู่หลายใบ ผมลังเล อยากได้ก็อยากได้ แต่ในที่สุดก็ตัดใจไม่ยื่นมือออกไปรับซองฉบับนั้น

ผมมองเงินซองนั้น ในใจคิดเตลิดไปไกล เมื่อตอนที่ผมยังเด็ก เวลาไปเที่ยวเล่นที่บ้านเพื่อนคนไหนก็ได้กินอาหารกินขนม แม้แต่ไปซื้อของที่ร้านค้าเจ้าของร้านยังหยิบขนมให้ฟรีๆ ในตอนนั้นชีวิตในชนบทยังมีน้ำใจและเอื้ออาทรแก่กันอยู่มาก แต่ในปัจจุบัน วิถีชีวิตแบบคนเมืองขยายตัวเข้าไปในชนบท ระบบเศรษฐกิจแบบใช้เงินตราทำให้ทุกอย่างกลายเป็นของที่มีราคาไปหมดเพื่อความสะดวกในการซื้อขายแลกเปลี่ยน แม้แต่น้ำใจและความเชื่อถือก็ยังสามารถตีเป็นราคาได้

ผมนึกถึงการไปออกค่ายที่เพิ่งผ่านมา สังคมในช่วงที่ไปออกค่ายนั้นผมไม่ได้ใช้เงินเลย ชีวิตเหมือนอยู่ในระบบเศรษฐกิจอีกแบบหนึ่ง ทุกสิ่งมีค่าแต่ทว่าไม่มีราคา... คิดแล้วสะท้อนใจว่าในโลกอันกว้างใหญ่ยังเหลือพื้นที่สำหรับเศรษฐกิจที่ไม่ใช้เงินตราอยู่อีกเท่าใด

“ไม่ต้องหรอกครับคุณอา ช่วงนี้ผมแค่ติวของเก่า ไม่ได้สอนอะไรใหม่” ผมพูด กับซองซองนี้ทำให้ผมรู้สึกว่าตนเองเหมือนกับมีราคาอย่างไรก็ไม่รู้... มีราคาแต่ราคานี้ก็ได้ทำลายคุณค่าและความภูมิใจในตนเองลงไป...
พ่อของป้อมไม่ได้หดมือกลับ แต่กลับถือซองนั้นค้างเอาไว้

“รับไว้เถอะ อูตั้งใจสอนน้อง มาสอนเกือบทุกวัน ต้องเหนื่อย ต้องกินต้องใช้ ต้องเดินทาง มันเป็นสิ่งที่อูสมควรได้” พ่อของป้อมพูด

“เกรดวิชาคณิตศาสตร์ของป้อมในเทอมที่แล้วไม่ค่อยดี... เอ้อ... ไม่ใช่ครับ คือหมายถึงว่าแสดงว่าผมยังสอนได้ไม่ค่อยดี ผมคิดว่าผมควรต้องรับผิดชอบครับ การมาทบทวนให้ในช่วงปิดเทอมนี้ถือว่าเป็นความรับผิดชอบของผม ถ้ารับค่าสอนซ้ำอีกผมคงไม่สบายใจ เอาไว้เปิดเทอมแล้วสอนเรื่องใหม่คุณอาค่อยคิดค่าสอนให้ดีกว่าครับ ช่วงนี้ผมปิดเทอม ว่างๆอยู่แล้ว คุณอาจัดอาหารเที่ยงให้ทุกวัน ผมก็มีค่าใช้จ่ายแค่ค่ารถซึ่งก็นิดหน่อยเท่านั้นเอง” ผมปฏิเสธอีก

เมื่อของป้อมเห็นว่าผมไม่ยอมรับก็ไม่ยืนกรานอีก ตอนนั้นวิธีคิดของผมอาจจะยังเด็กเกินไป คิดเพียงแต่ว่าคุณค่าบางอย่างไม่ควรถูกตีเป็นราคา แต่หากมองย้อนกลับไป หากพ่อของป้อมไม่เสนอค่าสอนให้ ผมอาจมองว่าพ่อของป้อมเอาเปรียบก็เป็นได้

- - -

เดือนพฤศจิกายน

ดินฟ้าอากาศวันเปิดเทอมในภาคเรียนที่สองไม่สดใสนัก ท้องฟ้าครึ้ม อากาศเริ่มเย็นลง อันเป็นลักษณะของปลายฝนต้นหนาว

สภาพภายในคณะตอนปิดเทอมกับตอนเปิดเทอมแตกต่างกันลิบ ช่วงปิดเทอมที่ผมมาทำงานที่ชมรม บรรยากาศในคณะเงียบเหงา ถนนในคณะโล่งแทบไม่มีนักศึกษาเดิน จะมีก็เพียงอาจารย์กับ รปภ. ส่วนตามม้านั่งใต้ตึกก็มีนักศึกษาอยู่น้อยมาก พวกที่มาคือมานั่งทำรายงานกลุ่มที่ยังคั่งค้างอยู่ หรือนัดนักเรียนมัธยมมาสอนพิเศษ ส่วนตอนเปิดเทอมนั้นบนถนนและตามใต้ตึกคลาคล่ำไปด้วยนักศึกษา

หลังจากที่ไม่ได้เจอกับเพื่อนๆในแผนกมาพักหนึ่ง เมื่อเปิดเทอมพวกเราก็มีเรื่องคุยกันมากเป็นธรรมดา ส่วนใหญ่ก็คุยกันเรื่องเกรด ผลการเรียนในเทอมหนึ่งที่ผ่านมาเกรดเฉลี่ยของผมแม้ได้ไม่ถึง ๓ แต่ก็เกือบๆ แม้ว่าเกรดเฉลี่ยก็ดูเหมือนจะดีขึ้นกว่าเดิม แต่หากเทียบกับเพื่อนๆในแผนกเกรดของผมจัดว่าอยู่ปลายแถว ตอนปลายเทอมที่แล้วมัวแต่ไปวุ่นวายกับเรื่องขอหนังสือมาจัดห้องสมุดจนเสียการเรียนไปบ้าง แต่ได้ขนาดนี้ผมก็พอใจแล้ว

เปิดเทอมใหม่ในครั้งนี้ ผมรู้สึกว่าตนเองเปลี่ยนไปบ้าง ผมรู้ว่าตนเองมักจับตามองคู่หนุ่มสาวที่เดินด้วยกันหรือมีความใกล้ชิดกัน เห็นแล้วก็จินตนาการไปเรื่อยเปื่อย ตั้งคำถามกับตนเองว่าคู่นี้เป็นแฟนกันหรือเปล่า ซึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าพฤติกรรมนี้ของผมเกิดจากอะไร แต่ผลจากการที่จับตาสังเกตคู่หนุ่มสาวเป็นพิเศษนี่เองทำให้ผมสังเกตพบว่าพี่อี๊ดรุ่นพี่หนุ่มเมโทรกับพิมพ์เพื่อนร่วมรุ่นขาเที่ยวของผมนั้นมีความสนิทสนมกันเป็นพิเศษ โดยสังเกตจากกิริยาของทั้งสองขณะที่เราอยู่ด้วยกันในห้องพักแผนก

เอ... คู่นี้จะชอบกันหรือเปล่าหว่า ผมอดจินตนาการไปไกลไม่ได้

“พี่อี๊ด คืนนี้พาไปเที่ยวฉลองเปิดเทอมกันหน่อย” พิมพ์พูด พลางหันมามองพวกเราสามสี่คนที่เป็นขาเที่ยวในกลุ่ม “พวกเรา ไปด้วยกันนะ”

“จะไปไหนล่ะ” พี่อี๊ดไม่ปฎิเสธ ถามกลับแบบนี้แสดงว่าคงอยากไปเหมือนกัน

“ไปคาราโอเกะ ดีมั้ย” พิมพ์เสนอ

“เฮ้ย ไม่เอา ชั้นร้องเพลงไม่เป็น” เพื่อนในกลุ่มค้าน

“เออ ไปก็ดีเหมือนกัน พูดแล้วชักอยากร้องเพลง” พี่อี๊ดสนับสนุน พลางพูดต่อพร้อมกับหัวเราะเสียงกวน “พวกที่บอกร้องไม่เป็นนี่ไปแล้วเห็นติดไมค์ยังกับมือทากาวทุกราย เฮอะๆๆ”

“ไปด้วยกันนะไอ้อู” พิมพ์หันมาชวนผม พิมพ์นั้นเวลาไปไหนมักไม่ลืมผม ชอบชวนผมไปด้วยเสมอ

“เอ้อ... เอ้อ... คืนนี้ไม่ว่าง” ผมตอบ ที่จริงก็คือแม้ว่าผมจะชอบฟังเพลงแต่ผมร้องเพลงไม่เป็นและไม่ได้สนใจร้องเพลงมาก่อนเนื่องจากเสียงเลวร้ายมาก แต่จะบอกว่าร้องเพลงไม่เป็นก็โดนพี่อี๊ดดักคอเอาไว้ก่อนแล้ว จึงเลี่ยงไปบอกว่าไม่ว่างแทน

“ไอ้บ้า ไม่ต้องมาแก้ตัว กลางคืนเป็นเวลาพักผ่อน จะไม่ว่างได้ยังไง แล้ววันนี้วันศุกร์ด้วย พรุ่งนี้ไม่มีเรียน จะตื่นสายยังไงก็ได้” พิมพ์หัวเราะ แล้วพูดแบบรวดรัด “เป็นอันว่าเธอตอบตกลงนะ”

ส่วนเพื่อนคนอื่นๆนั้นไม่มีปัญหา ต่างเล่นตัวกันพอเป็นพิธี สุดท้ายก็ตกลงไปกันหมด

- - -

บ่ายวันนั้นเอง หลังจากที่จบการเรียนในคาบสุดท้าย ผมก็เดินข้ามคณะไปยังคณะศิลปกรรม เพิ่งจะย่างก้าวเข้าไปในพื้นที่ของคณะศิลปกรรม ผมก็พบกับพี่เหล่งทันที

“สวัสดีครับพี่” ผมทักทาย นึกด่าตัวเองในใจว่าเดินไม่ดูตาม้าตาเรือ ถ้าเห็นพี่เหล่งก่อนหน้านี้จะได้หลบเสีย

“หวัดดีอู” พี่เหล่งทักทายด้วยความดีใจ “เปิดเทอมวันแรกก็มาหาพี่เลยนะ”

“แหะ... ครับ พี่” ผมอึกอัก

“เอ๊ะ นี่เรามาหาพี่หรือเปล่านี่” พี่เหล่งถาม

ทำไมพี่เหล่งสงสัยหว่า เพิ่งคุยกันประโยคเดียวเองก็รู้ทันผมเสียแล้ว

“ก็... ก็... มาหาพี่นั่นแหละครับ” ผมยังปากแข็ง

พี่เหล่งมองหน้าผมแล้วอมยิ้ม

“ยังงั้นดีเลย พี่กำลังหิว เราไปหาอะไรกินที่เวิลด์เทรดกันดีกว่า” พี่เหล่งพูด

“เฮ้ย ไม่ได้พี่” ผมอุทาน

“ทำไมจะไม่ได้” พี่เหล่งทำหน้าแบบว่าคราวนี้แกเสร็จฉันแน่

“เอ่อ... ผม... ผมจะแวะมาหาจุ๋มด้วยน่ะครับ” ผมกลายเป็นคนติดอ่างขึ้นมาในทันใด

“พูดมาแค่นี้ก็หมดเรื่อง” พี่เหล่งหัวเราะ “เดี๋ยวนี้ไม่สนใจพี่เหล่งแล้วนะ ชวนไปกินก็ไม่ไป”

“แหะ... สนใจสิครับ พี่รหัสทั้งคนจะไม่สนใจได้ยังไง แต่ว่า... แต่ว่า...” ผมคิดคำแก้ตัวไม่ออก

“เออๆๆ พี่เข้าใจแล้ว” พี่เหล่งหยุดแกล้งผม “พี่ล้อเล่นน่ะ อูไปเถอะ วันนี้พี่ยังไม่ชวนหรอก”

“ครับ ขอบคุณ” ผมโล่งอก แต่ยังถามย้ำเพื่อความแน่ใจ “ไม่โกรธนะพี่”

“เออน่า... บอกแล้วว่าพี่ล้อเล่น จะไปหาจุ๋มก็รีบไปเถอะ” พี่เหล่งหัวเราะขำอีก เมื่อเห็นพี่เหล่งหัวเราะผมก็แน่ใจได้ว่าพี่เหล่งไม่ได้โกรธจริงๆ

ผมเดินเข้าไปในคณะ ขึ้นบนตึกเรียนไปยังห้องที่จุ๋มใช้ซ้อมดนตรีหลังเลิกเรียน เมื่อเดินถึงหน้าห้องก็ได้ยินเสียงไวโอลินกับเปียโนเล่นคลอกันลอยออกมา เพียงฟังแนวเปียโนก็จำได้ทันทีว่าเป็นเพลง Imagine ของจอห์น เลนนอน

ผมหยุดยืนอยู่หน้าห้อง ฟังเพลงด้วยความรู้สึกที่เลื่อนลอย เพลงนี้ผมก็เคยหัดเล่นเหมือนกัน ไม่ได้เล่นเสียนานจนแทบจะลืมไปแล้ว... แต่ยังจำท่วงทำนองอันไพเราะและเนื้อเพลงอันกินใจได้

You may say that I'm a dreamer
But I'm not the only one
I hope some day you'll join us
And the world will be as one

ใช่สินะ ผมเองก็เป็นนักฝันเหมือนกัน... ผมตามหาความฝันที่ยิ่งนานก็ยิ่งเลือนลางและยิ่งจับต้นชนปลายไม่ถูก...

เสียงเพลงหยุดลงแล้ว เพลงจบลง แต่การตามหาความฝันของผมยังไม่จบ ผมยังต้องเดินทางต่อไป...

ผมเปิดประตูและชะโงกหน้าเข้าไปในห้อง เมื่อจุ๋มเห็นผมผมก็ผละออกมายืนรออยู่ที่ระเบียงหน้าห้องเหมือนเช่นเคย

“หวัดดีพี่อู” จุ๋มเดินออกมาและทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“เทอมใหม่เป็นไงบ้าง” ผมถาม

“ก็ยังงั้นๆแหละพี่ เหมือนเดิม” จุ๋มตอบ “แล้วพี่อูล่ะ เป็นไง”

“เปิดเทอมมาเพื่อนก็ชวนเที่ยวเลย คืนนี้จะไปร้องคาราโอเกะกัน” ผมตอบ

“โห... คงสนุกนะ” จุ๋มทำเสียงตื่นเต้น “จุ๋มไม่เคยไปเลย”

“พี่ก็ไม่เคยไปเหมือนกัน” ผมตอบ รู้สึกผิดในใจนิดๆที่ผมได้เที่ยวสนุกส่วนจุ๋มไม่ค่อยมีโอกาสได้ไปเที่ยวที่ไหนเลย ผมจินตนาการเห็นภาพบ้านที่กว้างใหญ่แต่รกรุงรัง ห้องนอนมืดๆ รกๆ มีชายคนหนึ่งนอนป่วยอยู่บนเตียงและจุ๋มกำลังฉีดยาให้ที่หน้าท้อง...

“พี่อู พี่อู... เอ๊า เรียกไม่ขานเสียอีก” ได้ยินเสียงจุ๋มเรียก

“คือยังงี้...” ผมตัดสินใจอย่างรวดเร็ว “จุ๋มเคยไปเที่ยวงานลอยกระทงไหม”

“เคยไปลอยกระทงตอนเด็กๆ ไปกับพ่อน่ะ” จุ๋มตอบ

“พี่หมายถึงงานเทศกาลลอยกระทง... แบบงานวัดน่ะ เคยไปไหม” ผมถามใหม่

“ไม่เคยหรอก” จุ๋มสายหน้า “เคยแต่ไปลอยกระทงในแม่น้ำเฉยๆ”

“พรุ่งนี้วันลอยกระทงพอดี คืนพรุ่งนี้ไปเที่ยวงานภูเขาทองกันไหม ก็เป็นงานวัดน่ะ จัดทุกปีในช่วงลอยกระทง” ผมชวน พรุ่งนี้เป็นวันเสาร์และเป็นวันลอยกระทง ยามกะทันหันนึกที่เที่ยวเหมาะๆไม่ออก นึกได้แต่สถานที่ที่เคยไปมา งานภูเขาทองที่วัดสระเกษก็สนุกพอใช้ได้ จุ๋มน่าจะชอบ แม้จุ๋มจะดูหน้าตายิ้มแย้ม อีกทั้งยังมองโลกในแง่ดี แต่เมื่อได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับตัวจุ๋มทำให้ผมคิดว่าจุ๋มคงไม่ค่อยมีความสุขในชีวิตเท่าไรนัก ถ้าผมจะทำอะไรที่ช่วยให้จุ๋มมีความสุขขึ้นมาได้บ้างแม้จะเพียงชั่วครู่ชั่วยาม ผมก็อยากทำ

“ไปได้ยังไง แม่ไม่ให้ไปเที่ยวไหนตอนกลางคืน แล้วก็ต้องกลับไปฉีดยาให้พ่อด้วยแหละ” จุ๋มพูด “ว่าแต่งานมีที่ไหนล่ะพี่อู”

“วัดสระเกษ แถวๆหัวถนนราชดำเนินไง” ผมตอบ แล้วพยายามโน้มน้าว “กลางคืนออกไม่ได้ ไปตอนกลางวันก็ได้ งานออกร้านตอนบ่ายๆเย็นๆก็เริ่มแล้ว ตอนบ่ายแก่ๆเราก็ไปเดินสักชั่วโมงสองชั่วโมงพอให้ได้บรรยากาศงานเทศกาล แล้วก็กลับบ้าน ใช้เวลาไม่มาก จุ๋มไปได้น่า”

จุ๋มนิ่งคิดอยู่นาน

“ไม่ต้องลังเลแล้ว ความลังเลเป็นบ่อเกิดของความไม่แน่นอน” ผมยกสำนวนของนักขายยาเร่มาใช้ “ไปเถอะ กลับถึงบ้านไม่เกินหกโมงเย็นแน่นอน”

“สำนวนอะไรของพี่อูน่ะ” จุ๋มหัวเราะ “ลองดูก็ได้ค่ะ ไปก็ไป”

ผมคำนวณเวลาดู พรุ่งนี้ต้องสอนป้อม กว่าจะเสร็จก็เที่ยง หากมีสอนติดพันก็อาจจะเลยไปถึงบ่ายโมง จึงนัดกับจุ๋มว่าเจอกันที่มาบุญครองเวลาบ่ายสามโมง จากนั้นจึงค่อยนั่งรถสาย ๔๗ จากหน้ามาบุญครองไปลงที่หน้าวัดสระเกษ

- - -

“นี่ ป้อม ตั้งใจทำหน่อยสิ ยุกยิกอยู่นั่นแหละ” ผมดุป้อมเมื่อเห็นป้อมนั่งหมุนปากกาบนปลายนิ้วอยู่เป็นนานสองนาน เมื่อป้อมนั่งหมุนปากกาก็เป็นอันรู้กันว่าป้อมคิดไม่ออก

การสอนในวันนี้เป็นเนื้อหาของ ม.๔ เทอมสอง ผมพยายามติวของเก่าให้ป้อมจนเสร็จทันภายในปลายเดือนที่ผ่านมา เมื่อขึ้นเรื่องใหม่ป้อมก็ติดคิดไม่ออกอีก วันนั้นผมสอนป้อมไปก็รู้สึกง่วงนิดหน่อยเหมือนกันเพราะว่าเมื่อคืนไปร้องคาราโอเกะอยู่จนดึก อีกทั้งวันนี้อยากจะสอนให้เสร็จโดยเร็ว จะได้ไม่ผิดนัดกับจุ๋ม

“เมื่อยแล้วพี่อู” ป้อมบ่น “วันนี้หัวไม่แล่นเลย”

ผมเอาปากกาเคาะหัวป้อมเบาๆ

“เอ้า เคาะขี้เลื่อยออกมาให้แล้ว หัวแล่นแล้ว ทำต่อได้” ผมพูด

“ในหัวป้อมเต็มไปด้วยรอยหยัก มีขี้เลื่อยที่ไหน” ป้อมเถียง พลางวางปากกาในมือลงและยื่นมือขวามาให้ผม “ป้อมเขียนจนเมื่อยแล้ว นวดมือให้ป้อมหน่อยดิ”

“พี่มาสอนพิเศษให้เรานะ ไม่ใช่หมอนวดประจำตัว” ผมหัวเราะ ในระยะหลังป้อมงอแงกับผมบ่อยๆ แต่ว่างอแงไม่มาก พอขำๆ ไม่ถึงกับดื้อรั้น สุดท้ายก็เชื่อฟังผม ดังนั้นการงอแงของป้อมจึงไม่ได้น่ารำคาญแต่อย่างใด ตรงกันข้าม กลับทำให้ป้อมดูเป็นเด็กๆ น่ารักดี

“นั่นแหละ อะไรก็ช่าง ถ้าไม่นวดป้อมทำต่อไม่ไหว เมื่อยมากเลย” ป้อมพยายามที่จะถือไพ่เหนือกว่าผม

“เฮ้อ ยุ่งจริง เด็กคนนี้” ผมแกล้งบ่น แต่ก็นวดมือให้ตามที่ป้อมต้องการ

การที่ได้สัมผัสมือของป้อมทำให้ความคิดของผมเตลิดเปิดเปิง... ป้อมเรียน ม.๔ ป่านนี้บอยก็เรียนอยู่ ม.๕ แล้ว มือของป้อมนุ่ม เนียน และเรียบลื่น อันเป็นลักษณะของเด็กที่เรียนอย่างเดียว ไม่ได้ทำงานบ้าน ส่วนมือของบอยไม่นุ่มเนียนเท่าไรนัก ฝ่ามือของบอยมีรอยด้านเพราะบอยทำงานบ้านและโหนรถเมล์ ป่านนี้ไอ้น้องบอยเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้... ผมพยายามสลัดความคิดฟุ้งซ่านให้ออกไปจากสมอง

“เวลาไปโรงเรียน ที่บ้านไปรับไปส่งล่ะสิ” ผมพูดในขณะที่นวดมือให้ป้อม “คุณชายจริงๆเลย”

“ทำไมพี่อูรู้ล่ะ” ป้อมถาม

“ไม่ยาก ก็มือนิ่มซะขนาดนี้ ไม่มีรอยด้านเลย แสดงว่าไม่ได้ทำงานบ้าน ไม่ได้โหนรถเมล์ด้วย ก็แสดงว่ามีรถรับส่ง” ผมเฉลย

“โห พี่อูฉลาดจัง” ป้อมชม “มีลูกขอ... โอ๊ย”

ก่อนที่ป้อมจะพูดจบ ผมก็หยิกมือของป้อมเสียก่อน

“นี่แน่ะ พูดมากนัก” ผมหัวเราะ แล้วปล่อยมือป้อม “พอแล้ว เรียนกันต่อ”

ป้อมหัวเราะขำไปด้วยที่ผมรู้ทัน จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาทำโจทย์ต่อไป ป้อมคงไม่รู้ว่าผมนวดมือให้ป้อมเพียงครู่เดียวก็ต้องรีบหยุดเพราะเกรงว่าจะฟุ้งซ่านมากไปกว่านี้



<คาราโอเกะ ธุรกิจคาราโอเกะนั้นกำเนิดในประเทศญี่ปุ่นและเริ่มบูมในราวยุค พ.ศ. ๒๕๒๐ หลังจากนั้นก็แพร่ลายไปในประเทศต่างๆ รวมทั้งในประเทศไทย โดยยุคแรกของร้านคาราโอเกะในประเทศไทยนั้นจะอยู่แถวซอยธนิยะ สีลม และถนนสุขุมวิท เพื่อบริการชาวญี่ปุ่นในไทยเป็นหลัก ต่อมาร้านคาราโอเกะก็แพร่หลายมากยิ่งขึ้น มีทั้งชาวญี่ปุ่น ชาวไทย และชาติอื่นๆมาเที่ยว ชาติที่นิยมร้องคาราโอเกะรองจากญี่ปุ่นได้แก่ชาวไต้หวัน ในยุคแรกๆชาวไทยส่วนใหญ่ยังเป็นผู้ฟังมากกว่า การร้องคาราโอเกะในยุคแรกยังเป็นระบบม้วนเทป โดยเป็นม้วนเทปที่บันทึกเสียงดนตรีเอาไว้โดยไม่มีเสียงร้อง ไม่มีภาพ การร้องก็ไม่มีห้องส่วนตัว แขกที่มาเที่ยวจะนั่งตามโต๊ะคล้ายร้านอาหาร แต่ละโต๊ะจะมีสมุดรวมเนื้อเพลงให้ โต๊ะใดที่ต้องการร้องเพลงอะไรก็ให้เขียนบอกผู้ควบคุม ผู้ควบคุมจะเป็นคนจัดคิวร้องเพลงให้ เมื่อถึงคิวของโต๊ะใดก็จะขึ้นป้ายบอก แล้วคนในโต๊ะนั้นก็รับไมโครโฟนไปร้อง ต่อมาในราวปี พ.ศ. ๒๕๓๐ จึงเข้าสู่ยุคของคาราโอเกะที่เป็นเลเซอร์ดิสก์ สามารถฉายภาพและเนื้อเพลงขึ้นจอได้ด้วย และก็เป็นช่วงเดียวกับที่ร้านคาราโอเกะเริ่มแพร่หลายในหมู่ชาวไทยและชาวไทยเริ่มนิยมร้องคาราโอเกะมากขึ้น คนหนุ่มสาวก็นิยมร้อง มีร้านคาราโอเกะเปิดกระจายไปในจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญ เช่น เชียงใหม่ ฯลฯ ร้านคาราโอเกะและเทคโนโลยีด้านเครื่องคาราโอเกะพัฒนาไปเรื่อยๆ จนต่อมามีเครื่องเล่นวีซีดีคาราโอเกะ และร้านคาราโอเกะที่จัดห้องร้องเพลงเป็นส่วนตัวสำหรับหมู่คณะ รวมทั้งหลังปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ก็เข้าสู่ยุคตู้คาราโอเกะที่เป็นตู้เล็กๆ ตั้งอยู่ตามศูนย์การค้า ที่เด็กวัยรุ่นชอบไปนั่งเบียดกันอยู่ในตู้พร้อมทั้งหยอดเหรียญเพื่อร้องเพลง ในภาพ ภาพบนเป็นตู้คาราโอเกะในญี่ปุ่นในยุคแรก เป็นตู้ที่ให้ความบันเทิงแบบส่วนตัว ส่วนภาพล่างเรียกตู้คาราโอเกะเหมือนกันแต่เป็นตู้คาราโอเกะในยุคหลัง สภาพคล้ายตู้เสื้อผ้า หากเบียดเสียดกันจริงๆก็เข้าไปได้หลายคน นิยมติดตั้งตามศูนย์การค้า ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยรุ่น>

Friday, November 4, 2011

ภาคสี่ ตอนที่ 51

เราสองคนเงียบกันไปครู่หนึ่ง จากนั้นจุ๋มก็เริ่มเล่าเรื่องของตนเอง

“ครอบครัวของจุ๋มมีกันอยู่ สี่คน จุ๋มยังมีน้องชายอีกคนหนึ่ง อ่อนกว่าจุ๋มสองปี” จุ๋มพูดช้าๆเหมือนกับกำลังใช้ความคิด “นี่จุ๋มไม่ได้นินทาแม่นะ แต่ว่า... แม่เป็นคนที่... เอ้อ... เจ้าระเบียบ เข้มงวด ค่อนข้างมองโลกในแง่ร้าย เอาแต่ทำงาน ชีวิตมีแต่ที่ทำงานกับที่บ้าน ไม่ชอบไปเที่ยวที่ไหน ส่วนพ่อนั้นเป็นตรงกันข้าม พ่อเป็นคนง่ายๆ มองโลกในแง่ดี อารมณ์ดี ชอบคบเพื่อนฝูง มักไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูงที่นอกบ้านเสมอ...”

ผมฟังด้วยความแปลกใจ พ่อกับแม่ของจุ๋มมีนิสัยแตกต่างกันมาก ราวกับสีขาวกับสีดำ ไม่รู้ว่าคนสองคนที่นิสัยตรงกันข้ามเช่นนี้แต่งงานกันได้ยังไงเหมือนกัน

“จุ๋มเรียนในโรงเรียนเอกชนตั้งแต่เด็ก ตอนเรียนชั้น ม.ต้น ก็ย้ายไปอยู่โรงเรียนประจำ จุ๋มคิดว่าอยู่โรงเรียนประจำก็ดีเหมือนกันเพราะว่าตอนนั้นเบื่อที่บ้านมาก ถ้าอยู่บ้านจุ๋มกับน้องก็ต้องโดนแม่ดุโน่น ตินี่ เสมอ อย่าว่าแต่จุ๋มกับน้องเลย พ่อเองก็โดนแม่บ่นเป็นประจำ

“อยู่ที่โรงเรียนประจำสนุก มีเพื่อนเยอะ จะเซ็งก็ตอนกลับมาอยู่ที่บ้านวันเสาร์อาทิตย์นี่แหละ แต่จุ๋มก็พยายามหาเรื่องออกนอกบ้านในวันหยุดเสมอ ส่วนน้องชายของจุ๋มนั้นเรียนโรงเรียนไปกลับ ต้องเจอแม่บ่นทุกวัน วันหยุดน้องก็อยู่ไม่ติดบ้านเหมือนกัน ส่วนพ่อนั้นไม่ต้องพูดถึง ออกไปเฮฮาสังสรรค์กับเพื่อนเป็นประจำอยู่แล้ว”

ผมคิดในใจว่าบ้านนี้แปลกๆ สามพ่อลูกอยู่ไม่ติดบ้านกันสักคน นึกภาพแม่ของจุ๋มไม่ออกว่าจู้จี้เจ้าระเบียบเพียงใด

“ตอนที่จุ๋มอยู่ชั้น ม.๔ พ่อเริ่มมีอาการหลงๆลืมๆ ลืมนั่นลืมนี่บ่อยๆ ทีแรกก็ยังไม่มีใครสงสัยอะไร แต่ต่อมาตอนที่จุ๋มเรียนอยู่ชั้น ม.๕ พ่อเริ่มมีอาการหลงลืมมากขึ้น ขนาดที่ว่าเมื่อพ่อถามอะไรใครก็จะถามคำถามนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีกเพราะลืมว่าเมื่อกี้ถามไปแล้วและได้คำตอบไปแล้ว จากคนที่อารมณ์ดีกลายเป็นคนที่อารมณ์เสียง่าย หากใครขัดใจหรือทำอะไรไม่ได้ดังใจจะโกรธ ฉุนเฉียว ในที่สุดแม่ก็พาพ่อไปหาหมอ จึงได้รู้ว่าพ่อเป็นโรคสมองเสื่อม”

โรคสมองเสื่อมก็คืออัลไซเมอร์นั่นเอง แต่ในตอนนั้นโรคนี้ยังไม่ดัง ศัพท์คำว่าอัลไซเมอร์ก็ยังไม่รู้จักกันกว้างขวางเช่นทุกวันนี้ คนทั่วไปมักรู้จักกันในชื่อโรคสมองเสื่อม

“หมอบอกว่าพ่อเริ่มเป็นโรคนี้เร็วมาก โรคนี้มักเกิดในคนสูงอายุ แต่ตอนนั้นพ่ออายุราวๆ ๕๕-๕๖ ปีเท่านั้นเอง การไปหาหมอในครั้งนั้นทำให้พ่อต้องตรวจร่างกายและก็ทำให้รู้ว่าพ่อเป็นเบาหวานและความดันโลหิตสูงอีกด้วย”

“แย่จัง ตรวจทีนึงก็พบหลายโรคเลย” ผมพูด ตอนนั้นก็ยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับโรคสมองเสื่อมเหมือนกันเพราะไม่เคยได้ยินใครพูดถึง รู้แต่ว่าคนที่สูงอายุมากๆคุณตาคุณยายก็มักหลงๆลืมๆ อันถือเป็นเรื่องปกติตามวัย

“หมอบอกว่าหากอาการของพ่อพัฒนาไปเร็วแบบนี้ อีกไม่นาน... เพียงไม่กี่ปี พ่อจะจำใครไม่ได้เลย... จำไม่ได้แม้กระทั่งตัวเอง” จุ๋มพูด น้ำเสียงของจุ๋มยิ่งช้าลงและฟังดูเศร้าสร้อย

ผมนั่งนิ่ง อาการของโรคสมองเสื่อมฟังแล้วน่ากลัว นี่ไม่ใช่เพียงแค่คนสูงอายุหลงๆลืมๆ แต่ถึงขนาดจำตัวเองไม่ได้เลยทีเดียว

“แล้วรักษาได้ไหม” ผมถาม

“โรคนี้มีสาเหตุจากอะไรยังไม่รู้เลย อย่าว่าแต่จะรักษา” จุ๋มส่ายหน้า “เมื่อรู้ถึงความรุนแรงของโรค ทุกคนในบ้านตกใจกันหมด พ่อเองก็ทำใจไม่ได้ หมอแนะนำว่าให้พยายามฝึกคิด ฝึกทบทวนความจำ เพื่อชะลออาการของโรคให้ช้าลง แต่ก็แค่ช้าลงเท่านั้น... ถึงยังไงก็ไม่มีทางยับยั้งมันได้

“อาการของพ่อไปเร็วมากจริงๆ ตอนที่จุ๋มอยู่ ม.๖ พ่อก็แทบจำอะไรไม่ได้แล้ว ไม่ตอบสนองกับคนรอบข้าง ไม่พูดจา ไม่ยิ้ม จากคนที่เคยอารมณ์ดีกลายเป็นคนที่ไม่พูดกับใคร บางทีก็ออกจากบ้านไปโดยไม่มีใครรู้ เดินเรื่อยเปื่อยไม่ดูทาง ไม่ดูรถ ดีที่ตามเจอได้ทุกครั้งและยังไม่เคยเกิดอุบัติเหตุ จนในที่สุดก็ต้องเฝ้ากันตลอดเวลา ไม่ให้พ่อออกไปไหน

“จุ๋มต้องย้ายจากโรงเรียนประจำมาเรียนในโรงเรียนไปกลับเพื่อช่วยแม่กับน้องดูแลพ่อ ตอนนั้นที่บ้านต้องจ้างแม่บ้านมาช่วยดูแลทำความสะอาดบ้านด้วยเพราะการดูแลพ่อเพิ่มภาระขึ้นอีกมาก แต่แม่บ้านที่จ้างมาแต่ละคนทำได้ไม่นานก็ลาออกเพราะไม่มีใครทนความจู้จี้ของแม่ได้... เปลี่ยนหลายคนแล้วก็ไม่มีใครอยู่ได้ ในที่สุดก็เลยต้องช่วยดูแลพ่อและทำงานบ้านกันเอง”

ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง ผมคิด

“แล้วตอนนี้คุณพ่อเป็นยังไงบ้าง” ผมถาม

“พ่อจำใครไม่ได้แล้ว กินข้าวก็ไม่กินเอง ต้องมีคนป้อนให้จึงจะกิน การขับถ่ายก็... เอ้อ... ก็ไม่ควบคุม พ่อไม่ค่อยเคลื่อนไหวแล้ว ดูไปคล้ายกับพ่อติดอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่ง” จุ๋มอธิบาย “ทุกวันนี้พ่อต้องฉีดอินซูลินเพื่อคุมเบาหวานด้วย ยาฉีดนี่ต้องตรงเวลาตามตารางเลย พวกเราก็ต้องจัดเวลาผลัดเวรกันฉีด ยาคุมความดันก็ต้องกิน

“ตอนนี้บ้านแทบไม่เป็นบ้านแล้ว เดิมแม่เป็นคนเครียดอยู่แล้วก็ยิ่งเครียดหนัก สงสารน้องจุ๋ม ทะเลาะกับแม่บ่อยมาก ช่วงหลังนี่นิสัยน้องเปลี่ยนไปเลย จากเด็กที่เคยเรียบร้อยกลายเป็นเด็กก้าวร้าว ที่เคยเรียนดีก็แย่ลง บางทีมันก็เผลอเล่าออกมาว่ามันหนีโรงเรียนไปมั่วสุมตามลานสเก็ตกับเพื่อนๆ แต่เรื่องนี้แม่ยังไม่รู้... และบางทีน้องก็เบี้ยว ไม่ยอมกลับมาฉีดยาให้พ่อ จุ๋มเลยต้องรีบกลับบ้านอยู่เสมอ”

ผมถอนใจ รู้สึกเห็นใจจุ๋มพร้อมๆกับเป็นห่วงน้องชายจุ๋มขึ้นมา ผมเข้าใจดีว่าสภาพเช่นนั้นเป็นอย่างไร

“แล้วที่จุ๋มบอกว่ามีอดีตที่อยากแก้ไขคือเรื่องอะไรล่ะ” ผมถาม

“การเห็นคนที่เรารัก... และคนที่รักเรา... ค่อยๆเปลี่ยนเป็นไม่รู้จักเรา และในที่สุดก็ลืมเราไปโดยสิ้นเชิง มันเจ็บปวดมากนะพี่อู... ทุกๆวันที่จุ๋มเห็นพ่อค่อยๆลืมเราไป... มันเป็นความรู้สึกที่ไม่รู้จะเทียบกับอะไร... จุ๋มเสียใจที่ไปอยู่ในโรงเรียนประจำอยู่หลายปี กลับมาก็ไม่ค่อยอยู่บ้าน จุ๋มรู้สึกว่าเวลาช่วงนั้นมีค่ามาก แต่จุ๋มก็ปล่อยให้มันเสียไป” จุ๋มพูดแล้วหยุดไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงเครือ

“จุ๋มอยากมีเวลาอยู่กับพ่อมากกว่านี้... ถ้าตอนนั้นจุ๋มมีเวลาให้พ่อมากกว่านี้ มีความทรงจำกับพ่อมากกว่านี้...” น้ำตาของจุ๋มก็ไหลออกมาคลอเบ้า น้ำเสียงก็กลายเป็นปนสะอื้น จุ๋มรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตา

นี่มันโทษตัวเองชัดๆ ผมคิด น้ำตาของจุ๋มทำให้ผมมือไม้ปั่นป่วนทำอะไรไม่ถูก จะพูดปลอบใจก็พูดไม่ถูก จึงได้แต่นิ่ง

เราสองนั่งเงียบกันไปพักหนึ่ง ในที่สุดจุ๋มก็หยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำตาอีกครั้ง และดูเหมือนความทุกข์และเหนื่อยล้าของจุ๋มจะถูกปาดทิ้งไปด้วย เพราะจุ๋มกลับมามีท่าทีกระฉับกระเฉงอีกครั้งหนึ่ง

“จุ๋มต้องกลับแล้วล่ะพี่อู” จุ๋มพูดพลางหยิบกระเป๋าและลุกขึ้นจากโต๊ะ “คราวนี้พี่อูก็รู้เรื่องหมดแล้วนะ... จุ๋มไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง เพื่อนๆก็ไม่รู้ เพราะเล่าไปก็เหมือนนินทาแม่ตัวเอง...”

“ขอบใจมากที่จุ๋มไว้ใจพี่...” ผมพูดจากใจจริง

ผมเดินไปกับจุ๋มเดินลงจากศูนย์อาหาร เมื่อถึงป้ายรถเมล์ จุ๋มขึ้นรถไปก่อน ส่วนผมรอขึ้น ปอ.๒ ตามปกติ ขณะที่ผมอยู่ในรถ ความคิดของผมล่องลอยไปไกล รู้สึกเศร้าไปกับชะตาชีวิตของจุ๋ม ประสบการณ์ชีวิตของจุ๋มน่าเห็นใจมาก ผมพยายามจินตนาการภาพครอบครัวของจุ๋มว่าดำเนินชีวิตกันอย่างไร พ่อของจุ๋มอยู่อย่างไร พยายามทำความเข้าใจกับความรู้สึกของจุ๋ม ที่ต้องเห็นผู้ที่ตนเองรักค่อยๆสูญเสียความทรงจำทั้งมวลไปทีละน้อย แม้ผมจะไม่เข้าใจความรู้สึกนั้นอย่างถ่องแท้แต่ก็รู้ว่ามันต้องเป็นความทุกข์ใจอันยิ่งใหญ่ น่าแปลกที่จุ๋มยังมีสุขภาพจิตที่ดีและยังมองโลกในแง่ดีอยู่ได้ เธอมีหัวใจที่แกร่งอย่างที่ผมคาดไม่ถึง...

- - -

“พี่อู พักกินข้าวก่อน ป้อมหิวแล้ว” ป้อมวางปากกาในมือลงพร้อมกับบิดขี้เกียจ “เมื่อยด้วย”

“เดี๋ยวก่อน ทำข้อนี้ให้เสร็จเสียก่อน” ผมพูด “ยังไม่ทันจะเที่ยงเลย อย่าเพิ่งหิว”

“ไม่เอา จะกินข้าวแล้ว” ป้อมสะบัดหัวพร้อมกับพูดด้วยเสียงงุ้งงิ้ง

“แน่ะ ตีรวนอีกนะเรา” ผมหัวเราะ “นะนะนะ น้องป้อมคนดี ทำข้อนี้ให้จบก่อน”

ป้อมไม่ตอบ แต่บิดขี้เกียจอีกครั้งพร้อมกับหยิบปากกาขึ้นมาเขียนยุกยิกลงในกระดาษ สักพักหนึ่งก็วางปากกาลงอีก

“อะ เสร็จแล้ว” ป้อมพูด

“ไป คราวนี้เชิญคุณชายไปกินข้าวได้” ผมพูดพลางหัวเราะ

เราสองคนลุกขึ้นและเดินไปที่โต๊ะกินข้าวที่อยู่ในอีกห้องหนึ่ง บนโต๊ะมีข้าวผัดสองจานมีฝาชีครอบเอาไว้วางรออยู่แล้ว

หลังจากที่กลับมาจากออกค่ายและกลับมาสอนพิเศษป้อมอีกครั้งหนึ่ง ผมวางแผนการติวป้อมโดยพยายามทบทวนคณิตศาสตร์ ม. ๔ เทอมหนึ่งทั้งหมดให้เสร็จภายในช่วงปิดเทอมเพื่อว่าเมื่อเปิดเทอมแล้วจะได้พร้อมที่จะเรียนเนื้อหาของเทอมปลายได้ แต่เนื่องจากป้อมยังทำโจทย์ไม่ค่อยได้ ผมจึงพยายามให้ป้อมทำโจทย์ให้มาก การทบทวนและทำโจทย์จึงใช้เวลาไม่น้อย

ป้อมตั้งใจเรียนขึ้นมาก อีกทั้งพยายามพูดคุยกับผมมากขึ้นตามที่ได้สัญญากันเอาไว้ ตอนแรกผมก็รู้สึกไม่ค่อยคุ้นเคยกับน้ำเสียงงุ้งงิ้งของป้อมเท่าไรนัก แต่ไม่นานผมก็เริ่มคุ้นและกลับรู้สึกว่าน้ำเสียงของป้อมเหมือนเด็ก ฟังแล้วน่ารักดี

เมื่อผมให้การบ้านป้อม ป้อมมักไม่ค่อยอยากทำและอ้างว่าติดปัญหาแล้วไม่รู้จะถามใคร ป้อมชอบให้ผมอยู่เป็นเพื่อนขณะทำการบ้านเสมอ ในที่สุด ในช่วงปลายเดือนตุลาคมนั้นเอง ผมก็ต้องเดินทางมาบ้านป้อมแทบทุกวัน ทั้งสอนและคุมให้ป้อมทำการบ้านตั้งแต่เช้ายันบ่าย หลายวันผ่านไป ความสนิทสนมคุ้นเคยของเราก็เพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งๆที่เมื่อเทอมที่แล้วเราเรียนกันมาทั้งเทอมแต่กลับไม่รู้สึกว่าคุ้นเคยกันเลยแม้แต่น้อย

และในที่สุดผมก็ได้รู้ความจริงที่ผมคาดไม่ถึงว่าป้อมนั้นช่างพูดเหลือเกิน!

“พี่อูไปออกค่ายทำอะไรบ้างฮะ” ป้อมชวนคุยระหว่างที่เรากินอาหารเที่ยงด้วยกัน

“ก็ช่วยสร้างโรงเรียนน่ะ ทำทุกอย่าง เลื่อยไม้ ตอกตะปู ผสมปูน ทาสี แบกของ...” ผมตอบ

“ทำไม่เป็นสักอย่าง” ป้อมพูดดัก

“ใครบอกล่ะ ทำได้ทุกอย่างต่างหาก” ผมหัวเราะกับมุขของป้อม

“ป้อมก็เคยไปออกค่ายลูกเสือ ตอน ม.๓ ไปอยู่ที่ค่ายศรีราชาตั้งหลายวัน โห ที่นั่นนะ กว้างมากกกกกกก...” ป้อมเล่าอย่างออกรส “ตอนทำอาหารต้องก่อกองไฟเอง ต้องเอาไม้มาสีกันให้เกิดความร้อนแล้วกลายเป็นเปลวไฟ”

“แบบมนุษย์หินฟลินต์สโตนเลยนะ” ผมพูด

“ช่าย นั่นแหละ แต่จุดกันไม่ติดสักคน ในที่สุดก็ใช้ไฟแช็ก ฮ่าๆๆ” ป้อมหัวเราะสนุก

“แล้วพกไฟแช็กไปทำไม” ผมถาม

“ป้อมไม่ได้พก คนอื่นพกไป บางคนมันก็สูบบุหรี่” ป้อมตอบ

“ไป ได้เวลาเรียนต่อแล้ว” ผมพูดกับป้อมหลังจากที่เหลือบดูนาฬิกาที่ผนังห้อง

“เดี๋ยว ป้อมยังเล่าไม่จบเลย” ป้อมทักท้วง “ฟังป้อมเล่าก่อนสิ”

“ไม่อยากเชื่อเลยว่าป้อมจะช่างพูดขนาดนี้” ผมแกล้งดุ “ได้เวลาแล้ว เดี๋ยวก็ทวนไม่ทันก่อนเปิดเทอมหรอก”

ป้อมทำหน้าเขินผสมจ๋อยเมื่อโดนผมดุว่าช่างพูด ผมฉุกคิดว่ามันอาจเป็นคำพูดที่ทำให้ป้อมรู้สึกอายในปมของตนเอง

“อะ อะ เล่าให้จบก็ได้ ที่จริงพี่ก็อยากฟังแหละ แค่กลัวทวนไม่ทันเท่านั้นเอง” ผมรีบเปลี่ยนท่าที

ป้อมจึงเล่าเรื่องการไปค่ายลูกเสืออย่างออกรสโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เพราะเมื่อจบเรื่องหนึ่งก็ต่อไปถึงอีกเรื่องหนึ่ง จนผมต้องเร่งรัดป้อมอีกครั้ง

“พี่อู ป้อมถามอะไรหน่อย” ป้อมพูด

“จะถามอะไรล่ะ ว่ามาสิ” ผมตอบ

“พี่อูเป็นอะไรเหรอ” ป้อมถาม

“เป็นอะไร” ผมทวนคำอย่างงุนงง “ หมายความว่ายังไง”

“พี่อูป่วยเป็นอะไรฮะ” ป้อมถามอีก “ที่เคยบอกป้อมว่าพี่อูก็ผิดปกติเหมือนกัน”

ผมจึงค่อยเข้าใจ ที่แท้ป้อมให้ความรู้สึกสนิทสนมคุ้นเคยกับผมคงเป็นเพราะรู้สึกว่าเราสองคนเป็นพวกเดียวกันนั่นเอง แต่ความผิดปกติของผมนั้นคงสุดที่ป้อมจะคาดเดาได้

“เอ้อ อย่าให้เล่าเลย” ผมพยายามบ่ายเบี่ยง “พี่ไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลย”

“ทีป้อมมีอะไรยังเล่าให้พี่อูฟังจนหมด” ป้อมทำหน้าเสียใจ “บอกป้อมไม่ได้เหรอ”

“เอ้อ...” ผมรู้สึกอึดอัด ใจหนึ่งก็ไม่อยากทำร้ายความรู้สึกของป้อม แต่ผมคงบอกป้อมไม่ได้หรอกว่าผมไม่ใช่ ‘พวกเดียวกัน’ กับป้อมในความหมายของป้อม “เอาไว้พี่เล่าให้ฟังทีหลังได้ไหม พี่ไม่เคยบอกใครมาก่อนเลย ขอเวลาพี่สักนิดหนึ่ง”

ป้อมพยักหน้าอย่างว่าง่าย ไม่เร่งเร้าผมอีก

“เราไปเรียนต่อกันเถอะ เลยบ่ายโมงมาโขแล้ว” ผมรีบเปลี่ยนประเด็น




<ในปี พ.ศ. ๒๕๒๖ เกิดน้ำท่วมใหญ่ขึ้นในกรุงเทพฯ เริ่มต้นในราวปลายเดือนตุลาคมและท่วมขังอยู่เป็นเวลานาน ในภาพนี้ ภาพบนเป็นห้างเซ็นทรัลลาดพร้าวที่ถูกน้ำท่วมในปี พ.ศ. ๒๕๒๖ ส่วนภาพล่าง เป็นภาพถนนพหลโยธินหน้าห้างเซ็นทรัลลาดพร้าวในอีก ๒๘ ปีต่อมา ที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ในกรุงเทพฯขึ้นอีกครั้งหนึ่ง หลายคนถึงกับเรียกเหตุการณ์ในครั้งหลังนี้ว่าเป็นมหาอุทกภัย>

Monday, October 31, 2011

ภาคสี่ ตอนที่ 50

“ผลสอบเทอมที่แล้วของป้อมเป็นไงบ้าง” ผมชวนคุย

ป้อมก้มหน้าหลบสายตาผม เพียงแค่นี้ผมก็พอเดาได้แล้วว่าผลสอบของป้อมเป็นอย่างไร เราเดินไปจนถึงโต๊ะที่เราใช้เรียนพิเศษกันเป็นประจำ จากนั้นป้อมไปเอาน้ำเย็นมาให้ผม เมื่อป้อมกลับมาผมจึงรุกถามต่อ

“ขอพี่ดูใบเกรดของป้อมหน่อยสิ” ผมพูด

“อย่าดูเลยพี่อู” ป้อมอึกอัก

“ไม่ต้องอายน่า ให้พี่ดูเผื่อว่าพี่จะช่วยอะไรป้อมได้บ้าง” ผมโน้มน้าว

ป้อมอิดออดแต่ในที่สุดก็หยิบใบเกรดมาให้ผมดู เห็นผลสอบของป้อมแม้สอบผ่านทุกวิชาแต่ก็ไม่ค่อยดีนัก วิชาคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี กับภาษาอังกฤษ ที่ต้องใช้สอบเข้าคณะวิศวะนั้นไม่มีอะไรเด่นเลย โดยเฉพาะคณิตศาสตร์กับภาษาอังกฤษนี่ค่อนข้างแย่ จากผลสอบที่เห็นแสดงว่าการเรียนพิเศษกับผมนั้นไม่ได้ช่วยอะไรป้อมเลย

ผมคืนใบเกรดให้ป้อมโดยไม่พูดอะไร คิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี ความรู้สึกในตอนนั้นก็ท้ออยู่เหมือนกัน เพราะผลการสอบวิชาคณิตศาสตร์ของป้อมเท่ากับบอกว่าผมสอนไม่ได้เรื่อง ความรู้สึกไม่อยากสอนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง

ป้อมรับใบเกรดกลับไป แล้วก้มหน้าเงียบ เราสองจมอยู่ในความเงียบชั่วขณะ ผมมองป้อมที่นั่งคอตกอยู่เบื้องหน้า นึกถึงคำพูดของจุ๋ม ขณะที่ผมกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ร่างที่นั่งอยู่ตรงหน้าผมกลับคลับคล้ายเป็นอีกคนหนึ่ง... เป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของผม แต่ในวันที่มันมีปัญหาถาโถมเข้ามาในชีวิต ผมกลับเอาแต่ใจตนเอง ไม่เข้าใจมัน ทอดทิ้งมัน ไม่เคยแม้แต่จะให้โอกาสมันปรับความเข้าใจ...

“เอายังงี้นะป้อม” ผมพูด “ช่วงปิดเทอมนี้เรามาทบทวนเนื้อหาของเทอมที่แล้วกันอีกครั้ง เราจะพยายามทวนกันให้เสร็จก่อนเปิดเทอม เมื่อเปิดเทอมแล้วป้อมจะได้พร้อมที่จะเรียนเนื้อหาของเทอมปลาย เนื้อหาของ ม.๔ เทอมหนึ่งถือเป็นรากฐานของคณิตศาสตร์ ม.ปลาย หากไม่เข้าใจเทอมหนึ่งก็เหมือนกับวางรากฐานได้ไม่ดี เทอมสองก็ลำบาก ยิ่งไป มอห้า มอหก จะยิ่งแย่... พี่จะพยายามช่วยป้อมเต็มที่ แต่ป้อมก็ต้องพยายามเต็มที่ด้วยเหมือนกัน แบบนี้ตกลงมั้ย”

ป้อมพยักหน้า สีหน้าดูแช่มชื่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่แล้วก็รีบพูดขึ้นว่า “ครับ พี่อู”

- - -

หลังจากที่กลับมาจากบ้านต่างจังหวัด วันธรรมดาผมมักใช้เวลาส่วนใหญ่ขลุกอยู่ที่ชมรม ผมมักออกจากชมรมเพื่อกลับหอพักในเวลาบ่ายสี่โมงครึ่งเป็นประจำ

“เฮ้ย ไอ้อู ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ” ได้ยินเสียงทักทายพร้อมกับร่างร่างหนึ่งมายืนอยู่ตรงหน้าผมขณะที่ผมยืนอยู่หน้าห้องภาพเมืองงามตรงป้ายรถเมล์สามย่าน

“อ้อ พี่ตั้ว มาทำอะไรแถวนี้” ผมถาม ยังงงๆ นึกคำตอบไม่ถูก

“จะไปซื้อของที่ร้านจีฉ่อย นายลงมาจากชมรมตั้งเกือบชั่วโมงแล้วนี่หว่า นึกว่าถึงบ้านไปแล้วเสียอีก” พี่ตั้วตั้งข้อสังเกต

“เอ้อ... เมื่อกี้แวะหาอะไรกินในตลาดสามย่านก่อนน่ะ” ผมนึกหาข้อแก้ตัว

“ทำไมกินนานยังงี้วะ” พี่ตั้วตั้งข้อสังเกตอีก ดูเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อคำอธิบายของผมนัก

“ไหนจะสั่ง ไหนจะรอ ไหนจะกินอีก มันใช้เวลานะพี่ กินนะครับไม่ใช่ยัด หาเรื่องจับผิดผมจัง” ผมโวย

“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ เห็นนายตอบแล้วอึกอัก ก็เลยแกล้งซักดู” พี่ตั้วพูดหน้าตาเฉยแล้วหัวเราะ “นายรอใครอยู่เหรอ ท่าทางชะเง้อเหมือนรอคน”

“เฮ้ย เปล่า” ผมรีบปฏิเสธ “พี่จะซื้อของก็รีบไปถอะ ขืนช้าเดี๋ยวของหมด”

“แน่ะ มีไล่อีก” พี่ตั้วหัวเราะอีก “ไปล่ะ เชิญนายรอตามสบาย”

ที่จริงก็เป็นดังที่พี่ตั้วสังเกต นั่นคือ ผมมารออยู่ที่ป้ายรถเมล์เป็นเวลานานแล้ว ปกติจุ๋มจะมาขึ้นรถเวลาประมาณสี่โมงครึ่ง แต่หลายวันมานี้ยังไม่เห็นจุ๋มเลย แม้จะรอจนถึงห้าโมงกว่าก็ยังไม่พบ

เมื่อรอแล้วไม่พบอยู่เป็นเวลาหลายวัน ในที่สุดผมจึงตัดสินใจไปหาจุ๋มที่คณะในวันหนึ่ง ผมรู้ดีว่าห้องซ้อมของจุ๋มอยู่ที่ไหน โชคดีที่วันนั้นไม่เจอพี่เหล่ง ไม่อย่างนั้นคงต้องหาเรื่องแก้ตัวกันอีก

ผมชะโงกหน้าเข้าไปในห้องซ้อม เห็นจุ๋มกำลังซ้อมไวโอลินอยู่ เพียงครู่เดียวจุ๋มก็หันมาเห็นผม ผมถอยจากประตูมายืนรอที่ระเบียงหน้าห้อง เพียงครู่เดียวจุ๋มก็เดินออกมาจากห้องซ้อม

“หวัดดีค่ะพี่อู” จุ๋มทักทาย

“หวัดดีจุ๋ม” ผมทักทายตอบ

“มาหาพี่เหล่งเหรอ” จุ๋มถาม

“ช่าย” ผมเออออ “เลยแวะมาดูจุ๋มซ้อมเสียหน่อย”

“พี่คล้ำไปเยอะเลยนะ” จุ๋มทัก “ยังกะไปชายทะเลมา”

“ไม่ได้ไปชายทะเลที่ไหนหรอก ก็ค่ายอาสานี่แหละ แดดแรงมาก” ผมตอบ จากนั้นตั้งคำถามต่อ “ตั้งแต่พี่กลับจากค่ายมายังไม่เห็นจุ๋มที่ป้ายรถเมล์เลย”

“ช่วงนี้จุ๋มกลับเร็วค่ะพี่อู บ่ายสามโมงก็กลับแล้ว” จุ๋มตอบ

“มิน่าล่ะ” ผมถึงบางอ้อ

“วันนี้เลิกซ้อมแล้วไปกินอะไรกันหน่อยไหม” ผมชวน

“พี่อูเลี้ยงนะ” จุ๋มทำตาโต

“เลี้ยงอยู่แล้ว” ผมตอบ “ไปกินด้วยกันนะ พี่อยากจะขอบใจจุ๋ม”

“ขอบใจจุ๋มเรื่องอะไรเหรอคะ” จุ๋มถาม

“ไปไหมล่ะ” ผมแกล้งขยักคำตอบเอาไว้ “หากไม่ไปก็ไม่บอก”

“อือม์...” จุ๋มทำท่าคิด ผมรู้ดีว่าจุ๋มไม่ใช่คนที่เห็นแก่กิน ลำพังแค่ชวนไปเลี้ยงอาจไม่เร้าความสนใจจุ๋มมากเท่ากับการแสร้งเป็นมีอะไรลึกลับแฝงอยู่

“กินเดี๋ยวเดียวเอง พี่รู้ว่าจุ๋มต้องรีบกลับ” ผมพูดเสริม

“งั้นก็ได้ค่ะ ตลาดสามย่านก็พอนะพี่อู อย่าไปไกลเลย” จุ๋มมีเงื่อนไข

“ได้ๆๆ” ผมรีบรับคำ “ถ้ายังงั้นพี่ลงไปรอที่ม้าหินข้างล่างก็แล้วกัน จุ๋มซ้อมเสร็จก็ลงไปหาพี่”

ผมลงไปรอที่ม้าหินใต้ตึก รออยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงจุ๋มก็เดินลงมา

“เป็นไง รอนานไหมพี่อู” จุ๋มถาม

“แล้วจุ๋มคิดว่าปล่อยให้พี่รอนานไหมล่ะ” ผมกวน

“ยังงั้นเดี๋ยวจุ๋มค่อยลงมาอีกทีก็แล้วกัน... ยังไม่นานเท่าไหร่เลย” จุ๋มหัวเราะ พลางหันตัวเตรียมจะกลับขึ้นไปบนตึก

“ไม่ต้องขึ้นไปหรอกจ้า ขืนรอต่อไปพอดีพี่ต้องหาที่นอนรอ” ผมตอบ

จุ๋มหัวเราะ เราสองคนจึงเดินออกจากคณะไปท่ามกลางสายตาแอบมองของเพื่อนฝูงในคณะของจุ๋ม แต่เราสองคนทำเป็นไม่สนใจ

“มีคนแอบมองเรานะ” ผมกระซิบบอก

“ช่างเขาสิ ไม่เห็นจะเป็นไรเลย” จุ๋มตอบ

“แล้วถ้าพรุ่งนี้เพื่อนๆถามว่านักศึกษาหนุ่มรูปหล่อที่มารอจุ๋มคนนั้นเป็นใครล่ะ จุ่มจะตอบยังไง” ผมถาม

จุ๋มทำท่าอ้วก

“จุ๋มก็จะตอบว่าไม่มีน่ะสิ คนถามคงเข้าใจอะไรผิดสักอย่างแน่เลย เช่น จำคนผิด” จุ๋มพูดหน้าตาย

“เฮอะ ไม่รักษาน้ำใจกันบ้างเลยนะ” ผมบ่น

“โอ๋ๆๆ ตอบใหม่ก็ได้ นักศึกษารูปหล่อคนนั้นเป็นน้องรหัสของพี่เหล่ง มาหาพี่เหล่ง แล้วก็รู้จักกับจุ๋มด้วย” จุ๋มหัวเราะ

“ฟังคำตอบแล้วจั๊กกระจี้เหมือนกันแฮะ ช่างมันเถอะ ลืมมันไปดีกว่า” ผมรีบปิดประเด็น

เมื่อเราเดินมาจนถึงตลาดสามย่าน ขึ้นไปบนชั้นสอง จากนั้นก็สั่งน้ำหวานและขนมมากิน จุ๋มก็ถามขึ้นว่า

“พี่อูจะขอบใจจุ๋มเรื่องอะไรคะ” จุ๋มถาม

“ตอนนี้พี่กลับไปสอนป้อมแล้วล่ะ” ผมตอบ

“เหรอ ดีจัง” จุ๋มมีสีหน้าดีใจ

“พี่ไปสอนป้อมครั้งหลังดูป้อมเปลี่ยนไปมากทีเดียว พูดมากขึ้น เป็นกันเองมากขึ้น ยอมโอนอ่อนผ่อนตามพี่มากขึ้น” ผมเล่าเกี่ยวกับป้อมให้ฟัง “ที่ต้องขอบใจจุ๋มก็เพราะถ้าไม่ใช่เพราะจุ๋มเตือนสติพี่ พี่ก็คงไม่คิดสอนป้อมต่อ”

“เรื่องแค่เนี้ย” จุ๋มหัวเราะ “ไม่เห็นจะต้องขอบใจอะไรเลย เรื่องเล็กน้อยจะตาย”

“เมื่อตอนเด็ก พี่มีเพื่อนสนิทอยู่คนหนึ่ง เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ชั้นประถมจนถึงมัธยม” ผมพูดช้าๆ ตาเหม่อมองจุ๋ม ส่วนใจนั้นล่องลอยไปไกล “เรามีเรื่องเข้าใจผิดกัน ทั้งๆที่เราสนิทกันมาก แทนที่พี่จะให้โอกาสมันอธิบาย ตรงกันข้าม พี่ทำแต่เรื่องงี่เง่าจนเสียเพื่อนสนิทคนนี้ไป ถ้าพี่มีโอกาสแก้ไขความผิดในอดีตได้สักครั้ง พี่จะขอโอกาสแก้ไขเรื่องนี้แหละ แต่มันก็คงเป็นไปไม่ได้...”

ผมหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วถอนหายใจ

“จุ๋มเข้าใจแล้ว เพราะยังงี้พี่อูจึงให้โอกาสป้อมอีกครั้งหนึ่ง” จุ๋มพูด “ที่พี่อูทำ ถึงแม้จะแก้ไขอดีตไม่ได้ แต่ก็ทำให้พี่อูรู้สึกดีขึ้นบ้างได้...”

“นั่นล่ะ ใช่เลย” ผมพูด “ทำไมจุ๋มรู้ล่ะว่าพี่คิดจะพูดอะไร”

“ดูหน้าพี่อูก็รู้หมดแล้ว หน้าพี่อูอ่านง่ายจะตาย” จุ๋มหัวเราะเบาๆ

ผมนิ่งงัน ตะลึงกับคำพูดของจุ๋ม เมื่อก่อนก็มีใครคนหนึ่งที่รู้ใจ เข้าใจ และพูดกับผมแบบนี้เหมือนกัน...

“เอ้อ... พี่ถามอะไรจุ๋มสักเรื่องได้ไหม” ผมเกริ่น

“อะไรหรือคะ” จุ๋มถาม

“บางครั้งความคิดของจุ๋มเหมือนกับผู้ใหญ่ที่ผ่านโลกมามาก... ไม่เหมือนกับความคิดของนักศึกษาปีหนึ่งทั่วไปเลย” ผมพูด

“จะบอกว่าจุ๋มแก่แดดยังงั้นเหรอ” จุ๋มยิ้ม

“เปล่า... แต่คนที่จะมีความคิดเป็นผู้ใหญ่อย่างจุ๋มได้คงต้องผ่านประสบการณ์อะไรหลายๆอย่างในชีวิตมา” ผมพูดจากประสบการณ์ที่ได้ประสบมา

จุ๋มนิ่งไป รอยยิ้มหายไปจากใบหน้า

“จุ๋มก็อยากมีโอกาสกลับไปแก้ไขบางเรื่องในอดีตเหมือนกันค่ะพี่อู... แต่มันก็เป็นไม่ได้” จุ๋มพูดช้าๆ “จุ๋มจึงเข้าใจดีว่าคนเราล้วนแต่อยากได้โอกาสแก้ไขหรือแก้ตัวกันสักครั้งทั้งนั้น... หมายถึงถ้าเป็นไปได้นะ... ดังนั้นถ้าจุ๋มให้โอกาสแก่ใครได้จุ๋มก็จะพยายามให้เหมือนกัน”

“จุ๋มต้องการโอกาสแก้ไขเรื่องอะไรในอดีต พอจะบอกพี่ได้ไหม” ผมถาม แต่แล้วก็คิดว่าอาจเป็นการละลาบละล้วงเกินไป “แต่ถ้าไม่อยากเล่าก็ไม่ต้องหรอก”

จุ๋มนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง

“เล่าให้พี่อูฟังก็ได้” จุ๋มพูด “มันเกี่ยวกับเรื่องที่จุ๋มต้องรีบกลับบ้านทุกวันนี้ด้วย”




<ชั้นสองของตลาดสามย่านเป็นศูนย์อาหาร มีตั้งแต่แผงขายอาหารไปจนถึงห้องอาหาร หากเป็นช่วงเปิดเทอม ยามบ่ายหลังเลิกเรียนจะคึกคักไปด้วยนักเรียนและนักศึกษา ส่วนตอนค่ำก็คึกคักไปด้วยคนทำงานที่แวะเสียนมาหลังเลิกงาน ศูนย์อาหารด้านที่เห็นนี้เป็นด้านจุฬาซอย ๕๒ หรือด้านที่ใกล้ร้านจีฉ่อย ร้านหัวมุมที่เห็นเป็นร้านอาหารตามสั่ง อาหารขึ้นชื่อก็เป็นพวกต้มยำนมสด ไข่ระเบิด อาหารทะเล ฯลฯ เมนูคล้ายๆร้านหมงที่อยู่ตรงสามย่านข้างคณะบัญชี ใกล้ๆร้านนี้ (แต่ไม่ได้อยู่ในภาพ) มีโรงเรียนกวดวิชาขนาดเล็ก ควันโขมงและกลิ่นอาหารจากร้านนี้มักโชยเข้าไปในห้องติวอยู่เสมอ แถวๆนี้เป็นร้านที่ผมชอบมานั่งกิน>

Monday, October 24, 2011

ภาคสี่ ตอนที่ 49

อาหารมื้อเย็นในวันนั้นเป็นมื้ออาหารแบบง่ายๆ พวกนักศึกษาทำกินกันเองกับพวกครู ส่วนพวกชาวบ้านแยกย้ายกันกลับบ้านไปแล้ว หลังจากกินอาหารและล้างจากเสร็จ พวกนักศึกษาก็ล้อมวงกันที่ลานกว้างหน้าโรงเรียน

อากาศในตอนกลางคืนเย็นลงอย่างรวดเร็ว ต่างจากตอนกลางวันมาก พวกเราก่อกองไฟเล็กๆขึ้น จากนั้นเล่นกีตาร์และร้องเพลงกันเบาๆ ท้องฟ้ายามค่ำคืนในเดือนตุลาคมแม้จะยังไม่หมดหน้าฝน แต่สำหรับคืนวันนั้นฟ้ากระจ่างเห็นดาวพราวเต็มฟ้า หนุ่มสาวบางคู่นั่งแอบอิงพิงกันร้องเพลงอย่างมีความสุข

ผมนั่งพิงไอ้กี้มองลอดผ่านเปลวไฟไปยังวงด้านตรงข้าม เห็นหนุ่มสาวชาวค่ายนั่งผิงไฟร้องเพลงโดยมีเครื่องดนตรีเพียงกีตาร์โปร่ง มีราวป่ามืดทมึนอยู่ไกลตาเป็นฉากหลัง เสื้อผ้าที่แต่ละคนสวมใส่เป็นสื้อผ้าปอนๆ กินอาหารง่ายๆ ภาพที่ผมเห็นอยู่เบื้องหน้าเป็นภาพชีวิตในชนบทที่สุขสงบและสันโดษ ผมนึกถึงฟลามิงโก้เปรียบเทียบกับที่นี่ ที่ฟลามิงโก้เต็มไปด้วยดาวพราวอันเกิดจากไฟดิสโก้ ดนตรีอันเร่าร้อนจากซินติไซเซอร์ และหนุ่มสาวที่แต่งกายหรูหรากำลังวาดลวดลายท่าเต้นอยู่บนฟลอร์ ทำไมวิถีชีวิตของคนเราช่างแตกต่างกันได้ขนาดนี้

เรานั่งผิงไฟร้องเพลงกันอยู่จนถึงประมาณสามทุ่ม ชาวค่ายอาสาก็เริ่มทยอยกันกลับไปเข้านอน ราวสี่ทุ่มก็แยกย้ายกันไปจนหมด สี่ทุ่มสำหรับชาวบ้านที่นี่ถือว่าดึกมากแล้วเพราะว่าส่วนใหญ่เข้านอนกันเร็ว แม้ว่าผมจะรู้สึกแปลกที่อยู่บ้างแต่เนื่องจากเป็นคนนอนง่ายอยู่แล้ว ประกอบกับเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ดังนั้นเมื่อหัวถึงเป้ (ไม่ใช่หัวถึงหมอนเพราะเอาเป้มาหนุนต่างหมอน) ผมก็ผลอยหลับไปในทันที

“เฮ้ย อู ตื่น... ตื่น...” ผมได้ยินเสียงคนข้างๆเรียกพร้อมกับแขนถูกเขย่า เมื่อโงหัวขึ้นมาก็เห็นว่ารอบข้างยังมืดสนิท ยังไม่ถึงรุ่งเช้าเลย

“มีอะไรเหรอ” ผมถาม ตอนนั้นหายง่วงแล้วเพราะว่าตอนที่ถูกปลุกนั้นผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาพอดี

“นาย ละเมอเอะอะใหญ่เลย” เพื่อนที่ปลุกผมพูด “ฝันร้ายหรือไง”

“เราละเมอว่าอะไรบ้างล่ะ” ผมเลียบเคียงถาม ผมจำได้แล้วว่าเมื่อสักครู่นี้ผมฝันอะไรอยู่

“นายพูดอะไรก็ไม่รู้ ซ้ำแล้วซ้ำอีก เหมือนกับเรียกชื่อใคร แล้วยังพูดอะไรอีกแต่ฟังไม่รู้เรื่อง” เพื่อนตอบ

“ชื่ออะไรนายฟังไม่ออกเลยเหรอ” ผมถามอีก

“ก็ในฝันนายเรียกใครล่ะ” เพื่อนคนนั้นถามกลับ

“ก็จำความฝันไม่ได้น่ะสิถึงได้ถาม” ผมตอบเลี่ยงๆ

ผมรู้สึกแปลกใจ หลายปีมานี้ฝันร้ายเรื่องเดิมจะมารบกวนผมในยามที่ผมตึงเครียด ส่วนใหญ่มักเป็นในช่วงสอบ แต่ในครั้งนี้ผมเองก็นึกไม่ออกว่าผมตึงเครียดด้วยเรื่องอะไร เหตุใดจึงฝันร้ายขึ้นมาได้ แต่ก็ยังโชคดีที่ถ้อยคำที่ผมละเมอออกมาไม่มีใครฟังรู้เรื่อง

- - -

ในวันที่สามของการออกค่าย พวกเราทำงานกันต่อตั้งแต่เช้า ความขันแข็งของคนอื่นๆทำให้ผมอู้ไม่ได้แม้ว่าจะรู้สึกปวดเมื่อยกล้ามเนื้อจากการทำงานเมื่อวานก็ตาม วันนี้ผมช่วยงานมุงหลังคา ทำผนังอาคาร และทาสี ส่วนมากช่วยแต่งานที่หัดได้ง่าย พวกงานที่ต้องอาศัยความชำนาญอย่างเช่นการตั้งวงกบประตูหน้าต่างนั้นให้พวกช่างตัวจริงเป็นผู้ทำ ผมนั้นก็ช่างเหมือนกันแต่ว่าเป็นพวกช่างมันเถอะ

พวกที่ทำหน้าที่จัดห้องสมุดทีแรกนึกว่าเป็นงานง่าย ไม่ต้องใช้แรง แต่ที่ไหนได้ เมื่อไปจัดห้องสมุดจริงๆก็ต้องไปเลื่อยไม้ตอกตะปูเช่นเดียวกับพวกที่ทำงานสร้างตัวอาคารเช่นกัน เพราะว่าห้องสมุดนี้ยังไม่มีวัสดุอุปกรณ์เลย พวกชั้นหนังสือกับโต๊ะอ่านหนังสือต้องทำขึ้นเองทั้งหมด โดยทำแบบง่ายๆ โต๊ะอ่านหนังสือก็เป็นโต๊ะเตี้ยแบบญี่ปุ่น คือนั่งกับพื้น จะได้ประหยัด ไม่ต้องทำเก้าอี้

เราทำงานกันจนเย็นงานก็เสร็จเกือบเรียบร้อยตามแผน นั่นคือ อาคารเรียนกับอาคารอเนกประสงค์รวมสองหลัง กับห้องสมุดเล็กๆพร้อมชั้นวางหนังสือและโต๊ะอ่านหนังสือ ที่ว่าเสร็จเกือบเรียบร้อยก็เนื่องจากเหลือส่วนปลีกย่อยที่ต้องเก็บงานอยู่อีกบ้าง แต่คงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของครูกับพี่ๆชาวบ้านสานกันต่อไป

อาหารมื้อเย็นในค่ำคืนวันสุดท้ายของการออกค่ายเป็นการกินร่วมกันระหว่างครู นักเรียน ชาวบ้าน และนักศึกษาโดยถือเป็นงานเลี้ยงอำลา หลังจากกินอาหารเสร็จก็มีการสังสรรค์กันต่อ มีการกล่าวขอบคุณซึ่งกันและกัน โดยครูและชาวบ้านต่างก็ขอบคุณพวกนักศึกษาที่หาทุนและมาช่วยสร้างอาคารพร้อมกับห้องสมุด ส่วนนักศึกษาก็ขอบคุณครูและชาวบ้านที่เอื้อเฟื้อดูแล พร้อมกับมอบประสบการณ์ชีวิตอันหาค่าไม่ได้แก่พวกเรา งานเลี้ยงอำลาในวันนั้นเป็นบรรยากาศที่เป็นกันเองมากเพราะจากการทำงานร่วมกันแม้จะเป็นเวลาสั้นๆเพียงสองวันแต่ก็ทำให้เราสนิทสนมคุ้นเคยกับครู นักเรียน และชาวบ้านอย่างรวดเร็ว เหมือนกับรู้จักกันมานานนับปี ซึ่งคงเป็นเพราะเราได้ทำงานด้วยกัน เหน็ดเหนื่อยด้วยกัน และช่วยเหลือกันและกันนั่นเอง

วันรุ่งขึ้น...

ในวันสุดท้ายของการออกค่ายพวกเราไม่ต้องตื่นเช้ามากนักเพราะวันนี้ไม่ต้องทำงานแล้ว ส่วนผมนั้นยังตื่นแต่เช้ามืดเช่นเคยเพราะตื่นเช้าจนเป็นนิสัย

หลังจากตื่นขึ้นมาพวกเราก็อาบน้ำ แต่งตัว จากนั้นก็ไปเดินเล่นรอบๆบริเวณโรงเรียนและเข้าไปสำรวจในหมู่บ้าน เลยไปจนถึงหัวไร่ปลายนาของชาวบ้านในหมู่บ้าน บางบ้านยังเห็นควันที่เกิดจากการก่อไฟหุงหาอาหารลอยกรุ่นขึ้นมา บรรยากาศยามเช้าในชนบทเกษตรกรรมเขียวขจี สงบ และร่มเย็น ในความร่มเย็นนั้นมีความสว่างไสว สดชื่น กระตือรือร้น กอปรเป็นพลังที่ขับเคลื่อนชีวิตไปข้างหน้า

ผมเข้าไปนั่งเล่นในเพิงปลายนา ชื่นชมกับยามเช้าในชนบทอย่างเงียบๆ นานมากแล้วที่ผมไม่ได้นั่งเล่นในเพิงปลายนาเช่นนี้ จำได้ว่าตอนยังอยู่ชั้นประถม ปีที่ไอ้นัยมาเที่ยวที่บ้านต่างจังหวัดของผม เราขี่จักรยานเล่นไปตามท้องไร่ท้องนาและได้ไปนั่งพักในเพิงปลายนา หลังจากนั้นมา แม้ว่าผมจะกลับบ้านต่างจังหวัดแต่ก็ไม่ได้ทำเช่นนี้อีกเลย

ความสดชื่นในยามเช้าตรู่หมดไปอย่างรวดเร็ว เพียงเวลาใกล้แปดโมง แดดก็เริ่มแรงกล้าขึ้นจนผมเริ่มรู้สึกร้อน จนต้องเดินออกจากเพิงปลายนาเพื่อกลับไปยังโรงเรียน ผมอดคิดไม่ได้ว่าหรือชีวิตของคนเราก็เป็นเช่นนี้เอง วันเวลาที่สุขสดชื่นมีให้เชยชมแต่เพียงสั้นๆเท่านั้น หลังจากนั้นก็ล้วนแต่เป็นช่วงเวลาที่ต้องอดทนและต่อสู้กับความยากลำบาก กว่าจะได้หยุดพักคลายเหนื่อยล้าก็ต้องรอจนกว่าจะถึงยามค่ำคืน ซึ่งในความรู้สึกของผมนั้น ยามค่ำคืนแม้เป็นความสุขสงบที่ได้พักผ่อนหลังจากเหนื่อยล้า แต่แฝงไว้ด้วยความรู้สึกหยุดนิ่ง และขาดพลังที่ขับเคลื่อนชีวิต สิ่งที่ขับเคลื่อนชีวิตให้ผ่านยามค่ำคืนไปได้มีแต่เพียงความหวัง... ที่หวังว่าเช้าวันใหม่จะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง... เท่านั้นเอง

แล้วชีวิตของผมตอนนี้ล่ะ เป็นยามเช้าอันสดชื่น ยามกลางวันอันยากลำบาก หรือว่ายามค่ำคืนที่มีเพียงความหวัง?

ผมเดินกลับไปยังโรงเรียนอย่างช้าๆ ปล่อยความคิดให้ล่องลอยไป เมื่อมาถึงโรงเรียนก็กินอาหารเช้า จากนั้นก็ไปถ่ายรูปกับผลงานที่พวกเราร่วมสร้างกันขึ้นมากับมือ แม้จะเป็นอาคารเล็กๆกับห้องสมุดเล็กๆแต่ผมก็รู้สึกว่าเป็นความภูมิใจที่ยิ่งใหญ่ จากนั้นก็ร่ำลาครู นักเรียน และชาวบ้าน และแล้วกลุ่มค่ายอาสาก็อำลาจากโรงเรียนชนบทหลังเล็กเพื่อเดินทางกลับสู่กรุงเทพฯ

“เย้ ได้กลับแล้วโว้ย” ไอ้กี้พูดอย่างดีใจ พลางยกท่อนแขนของมันเองขึ้นดู “ได้แผลเต็มแขนเลย”

ผมดูลำแขนและมือของตนเองบ้าง เห็นรอยแผลใหม่หลายเส้นเต็มไปหมดเช่นกัน ส่วนใหญ่เป็นรอยขีดข่วน เสี้ยนตำ และมีดบาด แถมนิ้วหัวแม่มือข้างหนึ่งก็ช้ำเพราะเอาค้อนไปทุบนิ้วตนเองขณะตอกตะปู

“แค่นี้สำออย” ผมเหน็บมัน “กูยังไม่บ่นเลย”

“มึงไม่บ่นก็ช่างมึง กูจะบ่น มีอะไรมั้ย” ไอ้กี้ตีรวนตามนิสัย จากนั้นก็ถามผมว่า “ถ้ามีออกค่ายอีกมึงจะมาหรือเปล่า”

“มาสิ เจ็บตัวนิดหน่อย กูยังไม่เข็ดหรอก” ผมพูด “แล้วมึงล่ะ”

“กูว่ากูได้ประสบการณ์พอแล้ว ครั้งหน้านอนอยู่บ้านดีกว่า” ไอ้กี้หัวเราะ

“ไอ้ขี้เกียจ” ผมด่ามัน

- - -


“แม่ แม่ แม่ กลับมาแล้ว” ผมเอะอะลั่นขณะเดินเข้าไปในบ้าน เห็นแต่บ้านว่างๆ พ่อกับแม่และเอ๊ดไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน หลังจากถามพี่ที่เป็นลูกจ้างเก่าแก่ของพ่อจึงรู้ว่าแม่ไปจ่ายตลาด พ่อไปหาลูกค้า ส่วนเอ๊ดไม่ได้กลับบ้าน

ผมเข้าครัวไปรื้อค้นของกินในตู้เย็นออกมา จากนั้นเอาขนมมานั่งกินพร้อมกับอ่านหนังสือพิมพ์ฆ่าเวลาอยู่ภายในบ้าน คิดว่าจะพักสักครู่แล้วค่อยไปอาบน้ำ ขณะที่นั่งกินขนมและอ่านหนังสือพิมพ์ ผมอดรู้สึกไม่ได้ว่าบ้านนี้มันเงียบๆ เหงาๆ เหมือนกับว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไป แต่ก็เป็นเพียงแค่ความรู้สึกเท่านั้น เพราะพยายามสำรวจดูในบ้านแล้วก็ไม่พบว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไป ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม

“อ้าว อู กลับมาแล้วเหรอ” ได้ยินเสียงแม่ร้องทัก

ผมเงยหน้าจากหนังสือพิมพ์ เห็นแม่หอบถุงพะรุงพะรัง ภายในถุงเต็มไปด้วยผักและกับข้าวอื่นๆ

“ก็มาแล้วน่ะสิ ไม่งั้นแม่จะเห็นอูเหรอ” ผมตอบกวนโอ๊ย

“ลูกคนนี้มันยวนจริง” แม่พูด

“แม่ถามคำถามฟุ่มเฟือยต่างหาก” ผมย้อน “เห็นๆอยู่ก็ยังถาม”

“แม่ก็ถามแบบนี้ทุกทีนั่นแหละ” แม่หัวเราะ “ทำไมเพิ่งจะมาบ่นเอาป่านนี้”

“นั่นสินะ” ผมเห็นด้วย “งั้นแม่ก็ถามต่อไปเถอะ อูไม่บ่นก็ได้”

“ทำไมปิดเทอมตั้งนานเพิ่งจะกลับบ้าน” แม่เปลี่ยนเรื่อง ไม่ต่อล้อต่อเถียงกับผมอีก

“อูไปออกค่ายมา หลังจากกลับมาจากออกค่ายก็ไปสมัครเรียนรามมาอีก เสร็จแล้วก็รีบมานี่แหละแม่”

“สมัครเรียนราม” แม่ทวนคำด้วยน้ำเสียงสงสัย “เรียนที่เดียวไม่พอหรือไง ถึงต้องไปเรียนที่รามคำแหงด้วย”

“ก็เพื่อนๆมันสมัครกันน่ะแม่ อูก็เลยอยากลองดูบ้าง” ผมตอบ ที่จริงหากจะพูดให้เจาะจงก็คงต้องบอกว่าเป็นเพราะไอ้กี้สมัครเรียน ผมจึงสมัครเรียนบ้าง

“หาเรื่องใส่ตัวจริงๆ” แม่บ่น “หาเรื่องเสียเงินด้วย”

“ค่าหน่วยกิตไม่แพงมากหรอกแม่ ถ้าเรียนจบก็ได้ปริญญาสองใบเชียว” ผมคุย

“ปริญญาสองใบไม่เอาตรีกับโทจะไม่ดีกว่าหรือ เรียนปริญญาตรีสองใบเพื่ออะไรกัน” แม่ยังไม่เห็นด้วย “แล้วเรียนสาขาอะไรล่ะ”

“สาขาภาษาไทยน่ะแม่” ผมตอบ

“โอ๊ย” แม่หัวเราะ

หลังจากที่ผมกลับมาจากการออกค่าย ผมก็ไปสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงโดยไม่บอกพวกเพื่อนๆในชมรม ผมไปสมัครเรียนโดยสมัครเข้าเป็นนักศึกษาใหม่พร้อมกับลงทะเบียนเรียนที่รามหนึ่งซึ่งอยู่ที่หัวหมาก

ผมเคยผ่านมหาวิทยาลัยแห่งนี้หลายครั้งแต่ยังไม่เคยเข้าไปข้างในสักที เมื่อเข้าไปครั้งแรกก็พบว่ามหาวิทยาลัยมีเนื้อที่ใหญ่มาก ด้านหนึ่งจรดสนามกีฬาหัวหมาก สมัยนั้นยังเรียกว่าสนามกีฬาหัวหมากอยู่ ยังไม่ได้เรียกว่ารัชมังคลากีฬาสถานเช่นในปัจจุบัน ส่วนอีกด้านหนึ่งจรดโครงการหมู่บ้านจัดสรรเก่าแก่คือหมู่บ้านเสรี รวมแล้วเป็นระยะทางถึงสามป้ายรถเมล์ หากจะไปคณะใดแล้วลงรถผิดป้ายละก็เดินกันเมื่อยเหมือนกัน

มหาวิทยาลัยรามคำแหงนั้นสมกับเป็นโอกาสทางการศึกษาของชนทุกระดับ เพราะมีค่าหน่วยกิตที่ไม่แพง มีคณะให้เลือกมากมาย ตำราครบครัน ทำให้สามารถศึกษาด้วยตนเองได้ ดังนั้นเมื่อผมเดินเข้าไปในมหาวิทยาลัยจึงพบว่ามีคนมาสมัครเรียนกันเป็นจำนวนมาก ผู้คนและรถราแน่นมหาวิทยาลัย ตึกลงทะเบียนเต็มไปด้วยแถวคอยยาวเหยียด และที่น่าสังเกตคือตามตึกบางหลังจะมีการพ่นสีทำเครื่องหมายไว้ที่เสาใต้ตึกว่าเมื่อครั้งน้ำท่วมใหญ่ในปี พ.ศ. ๒๕๒๖ น้ำท่วมมหาวิทยาลัยอยู่ที่ระดับใด เห็นความสูงของระดับน้ำแล้วน่าตกใจเนื่องจากบางจุดสูงถึงอก ถึงคอ เลยทีเดียว

หลังจากที่ผมได้รับใบสมัครพร้อมกับคู่มือสมัครเรียนจากพี่ชัยแล้ว ผมก็ศึกษาดูรายละเอียด พร้อมกับดูหลักสูตรบริหารธุรกิจที่ไอ้กี้สมัคร เห็นรายวิชาแล้วผมคิดว่ายากเอาการ เพราะว่าเป็นสาขาที่ผมไม่มีพื้นฐานมาก่อน ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าหากเรียนด้วยตนเองแล้วจะจบหรือไม่ แต่หากมาเข้าฟังบรรยายด้วยคงเป็นไปได้ยาก ในที่สุดจึงตัดสินใจในสาขาภาษาไทยดีกว่าเพราะประเมินแล้วคิดว่าน่าจะมีโอกาสเรียนด้วยตนเองจนจบได้ การแข่งขันกับไอ้กี้อาจไม่จำเป็นต้องเรียนในสาขาเดียวกัน เพราะหากเรียนแล้วไม่จบด้วยกันทั้งคู่ก็คงพิสูจน์อะไรไม่ได้

ท่ามกลางผู้คนจำนวนมากที่ส่วนใหญ่ไม่รู้จักกัน แต่ละคนก็มุ่งแต่ทำธุระของตนเองให้เสร็จ ผมยังลงทะเบียนไม่ถูก เดินถามคนโน้นคนนี้ บางคนก็ตอบ บางคนก็ไม่ตอบเพราะมัวยุ่งกับเรื่องของตนเองอยู่ ทำให้ผมอดรู้สึกโดดเดี่ยวไม่ได้

ระบบการรับสมัครของที่นี่รวดเร็ว แม้จะมีผู้สมัครจำนวนมากแต่ภายในครึ่งวันกว่าๆผมก็สามารถสมัครเรียนพร้อมกับซื้อตำราได้เสร็จเรียบร้อย ในที่สุดผมก็เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงเต็มตัว เมื่อเสร็จเรื่องการสมัครเรียนแล้วจึงได้เดินทางกลับบ้าน...

ปิดเทอมในครั้งนั้นดูพ่อร่วงโรยและเฉื่อยๆไปนิดหน่อย สังเกตได้จากการที่ไม่ค่อยหาเรื่องบ่นหรือเหน็บแนมผมมากเท่ากับเมื่อก่อน เมื่อถามแม่ดูแม่ก็บอกว่าพ่อขี้เกียจขึ้นบ้างจริงๆ ไม่วุ่นวายกับการงานเหมือนเดิม ผมคิดว่าก็คงจะดีเหมือนกัน พ่อจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมากเหมือนเมื่อก่อน รวมทั้งจะได้บ่นผมน้อยลงด้วย ส่วนเอ๊ดนั้นไม่ได้กลับบ้านในช่วงปิดเทอมเดือนตุลาคม ปีนั้นเอ๊ดเรียนปีสี่ เป็นปีสุดท้ายแล้ว มีทั้งเรื่องฝึกงานและเก็บรายวิชาต่างๆให้ครบ อีกทั้งยังต้องเที่ยวให้หนำใจก่อนจบอีกด้วย ปีนั้นเอ๊ดจึงกลับมาที่บ้านน้อยมาก ส่วนผมเองในช่วงปิดเทอมนั้นก็มีเรื่องหลายอย่างที่ต้องสะสาง ดังนั้นจึงมีโอกาสกลับบ้านไปเพียงไม่กี่วันเท่านั้น หลังจากนั้นก็ต้องรีบกลับมาที่กรุงเทพฯอีก

- - -

ออด...

เสียงออดหน้าประตูบ้านดังลั่น คนที่กดออดก็คือผมนั่นเอง

เพียงครู่เดียว ประตูรั้วหน้าบ้านที่ผมยืนกดออดก็แง้มออก ใบหน้าของวัยรุ่นชายหน้าตาน่ารักคนหนึ่งโผล่ออกมา จากนั้นวัยรุ่นชายคนนั้นเปิดประตูให้อ้ากว้างเพื่อให้ผมเดินเข้าไปได้

ผมเดินเข้าไปในบ้าน วัยรุ่นคนนั้นยิ้มให้ผม พลางเดินเข้าบ้านไปพร้อมๆกับผมโดยไม่พูดอะไร

“อ้าว ยังไม่ทันไรลืมสัญญาเสียแล้ว” ผมพูดกับวัยรุ่นคนนั้น “ถ้ายังเป็นแบบนี้พี่ว่าพี่กลับดีกว่า”

ผมพูดพลางหันหลังเตรียมเดินกลับ วัยรุ่นคนนั้นจึงพูดอ้อมแอ้มขึ้นด้วยน้ำเสียงงุ้งงิ้งคล้ายเสียงแมว

“หวัดดีฮะพี่อู เชิญเข้าในบ้าน”

“อือม์ ค่อยดีขึ้น” ผมพูดอย่างผู้มีชัย เมื่อได้ทีผมจึงข่มขู่ต่อไป “แต่ควรจะพูดมากกว่านี้อีก ป้อมทำได้ไหม ถ้าไม่ได้...”

“จะพยายามฮะ พี่อู...” ป้อมตอบ

ผมหัวเราะ

“ดีแล้วละป้อม ตอนเรียนพยายามพูดกับพี่ พี่จะได้รู้ว่าป้อมไม่เข้าใจอะไร มีอะไรก็ถาม พี่ไม่กัดป้อมหรอก รับรองได้”

ป้อมพยักหน้า

“อย่าพยักหน้าเฉยๆ” ผมตีหน้าดุใส่อีก

“ฮะ พี่อู” ป้อมตอบ

การกลับมาสอนของผมในครั้งนี้ดูป้อมโอนอ่อนผ่อนตามผมมากจนผมรู้สึกแปลกใจ หรือว่าป้อมอาจกินยาผิดไปจึงได้กลายเป็นเช่นนี้...



<ภาพมหาวิทยาลัยรามคำแหง หัวหมาก หรือที่เรียกว่ารามหนึ่ง ภาพบนเป็นภาพที่ถ่ายในยุค ๒๕๑๐-๒๕๒๐ ไม่ทราบปีที่ถ่ายแน่ชัด ส่วนภาพล่างเป็นภาพถ่ายในปัจจุบัน>



<ภาพถ่ายน้ำท่วมใหญ่ในมหาวิทยาลัยรามคำแหงเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๖ ในปีนั้นเกิดน้ำท่วมใหญ่ในกรุงเทพฯอันเนื่องมาจากมีพายุเข้ามาในประเทศไทยลูกแล้วลูกเล่า จนถึงเดือนตุลาคมก็เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ แม้แต่ถนนสุขุมวิทก็จมน้ำ ส่วนมหาวิทยาลัยรามคำแหง หัวหมาก อยู่ในพื้นที่ต่ำ ระดับน้ำที่ท่วมในมหาวิทยาลัยจึงสูงมาก จนต้องปิดเรียนนานนับเดือน>

Saturday, October 15, 2011

ภาคสี่ ตอนที่ 48

“สวัสดีอู อารออูโทรมาอยู่ตั้งหลายวัน” พ่อของป้อมทักทายแกมต่อว่านิดๆ

“ครับ” ผมได้แต่รับคำเพราะไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไร “ป้อมเป็นอย่างไรบ้างครับคุณอา”

“ที่อาอยากคุยกับอูก็เรื่องป้อมนี่แหละ” พ่อป้อมพูด

ก็แหงล่ะ หากไม่ใช่เรื่องของป้อมก็คงไม่มีเหตุอะไรที่ต้องตามหาตัวผม ผมพยายามทำใจ เตรียมพร้อมรับการต่อว่า

“ช่วงนี้อูว่างไหม” พ่อป้อมถาม “สอนพิเศษใครอยู่หรือปล่า”

“ไม่มีครับ” ผมรู้สึกผิดคาด แต่ก็ตอบอย่างระมัดระวัง

“ถ้ายังงั้นอูมาสอนป้อมต่อได้ไหม” พ่อป้อมเริ่มเข้าประเด็น

อ้าว นึกว่าจะโทรมาต่อว่า หลงไม่สบายใจอยู่ตั้งนาน ที่แท้ก็จะตามให้กลับไปสอนพิเศษต่อ ดูท่าพ่อของป้อมคงยังหาใครมาสอนต่อจากผมไม่ได้ จึงพยายามให้ผมกลับไปสอนต่อไปก่อน

“เอ้อ...” ผมอึกอัก นึกถึงภาพตอนที่ผมพูดคนเดียวเหมือนคนเพ้อ นึกถึงความลำบากในการเดินทาง และนึกถึงความโล่งใจหลังจากที่เลิกสอนป้อม... ผมไม่อยากกลับไปสอนอีกเลย แต่จะให้ปฏิเสธก็พูดไม่ออกเพราะเกรงใจ

“ว่าไง กลับมาช่วยน้องหน่อยเถอะนะ” พ่อป้อมพยายามโน้มน้าว

“ผมว่าคุณอาหาคนอื่นอาจจะช่วยป้อมได้ดีกว่าครับ” ผมพูดตามตรง “ผมไม่ถนัดสอนป้อมจริงๆครับ”

“แต่ป้อมอยากให้อูสอน เค้าไม่อยากได้คนอื่น” พ่อป้อมพูด

ให้ยาหอมกันขนาดนี้เชียว แต่ผมรู้ตัวดี ผมไม่คิดว่าป้อมจะประทับใจผมขนาดนั้น นี่คงเป็นเพียงคำพูดเพื่อโน้มน้าวผมเท่านั้น

“ผมไม่รู้จะสอนยังไงจริงๆครับ ป้อมแทบไม่พูดอะไรเลย ผมก็ไม่รู้ว่าป้อมเรียนรู้เรื่องหรือเปล่า จะปรับปรุงการสอนก็ปรับปรุงไม่ถูก” ผมพูดอย่างถนอมน้ำใจที่สุด ที่จริงอยากจะบอกว่าสอนแล้วเบื่อมาก

“อูคอยเดี๋ยวนะ” เสียงพ่อป้อมพูด จากนั้นก็ได้ยินเสียงพ่อป้อมพูดในที่ไกลออกไป “เอ้า เค้าไม่อยากสอนเราแล้ว มาคุยเองก็แล้วกัน”

มีเสียงกอกๆแกกๆ สักครู่ผมก็ได้ยินเสียงเล็กๆ เบาๆ เหมือนแมวร้อง

“หวัดดีฮะพี่อู” เสียงนั้นพูด เป็นเสียงของป้อมนั่นเอง

“หวัดดีป้อม” ผมทักทาย

“พี่อูมาสอนป้อมต่อนะ” ป้อมพูด

ป้อมถึงขนาดลงทุนอ้อนวอน โดนไม้นี้เข้าผมถึงกับใจอ่อน แต่เมื่อผมตั้งใจแล้วผมก็ไม่อยากเปลี่ยนใจง่ายๆ

“เอ้อ... ไม่รู้สิ... ป้อมแทบไม่พูดอะไรเลย พี่ก็ไม่รู้จะสอนยังไง พี่คงสอนป้อมได้ไม่ค่อยดีเท่าไร...” ผมพูดอ้อมๆ ไม่อยากปฏิเสธตรงๆ

“ป้อมจะพูดให้มากขึ้น อยากให้พี่อูมาสอน” ป้อมพูดด้วยเสียงงุ้งงิ้ง

วันนี้ป้อมพูดกับผมถึงสามประโยคทีเดียว มากกว่าที่ป้อมเคยพูดกับผมตลอดทั้งเทอมที่ผ่านมาเสียอีก ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ป้อมอาจกินยาผิดก็ได้ ได้ยินเสียงหูโทรศัพท์ดังกอกแกกอีก จากนั้นก็กลายเป็นเสียงพ่อของป้อม

“ว่าไงอู กลับมาสอนน้องอีกได้ไหม” พ่อป้อมถาม “ปิดเทอมอูคงมีเวลาว่างมากขึ้น มาช่วยติวให้ป้อมหน่อยนะ”

“เอ้อ...” ผมอึดอัดใจ แต่ก็พยายามบ่ายเบี่ยง “คือผมทำกิจกรรมด้วยครับ อีกไม่กี่วันผมต้องไปออกค่ายแล้ว กลับม็ไม่รู้ว่ามีกิจกรรมอะไรที่ต้องทำอีก”

“งั้นอีกสองสามวันค่อยโทรมาบอกอาก็ได้ อูไปดูเวลาว่างของอูมาก่อน แต่อาหวังว่าอูจะมีข่าวดีให้น้อง” พ่อป้อมพยายามรวบหัวรวบหาง เรื่องวาทศิลป์ผูกมัดคนนี่พ่อของป้อมกินขาด

ผมคิดจะถามป้อมว่าทำไมจึงอยากให้ผมสอน แต่ในที่สุดก็ไม่มีโอกาสถาม แต่ถึงจะรู้ไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะถึงอย่างไรผมคงไม่เปลี่ยนใจ...

- - -

ที่ห้างมาบุญครอง

ผมพาจุ๋มมาเลี้ยงตามที่สัญญากันไว้ เดิมทีคิดว่าจะพาจุ๋มไปเลี้ยงที่ร้านไอศกรีมซิกซ์ทีนที่สยามเซ็นเตอร์ แต่เนื่องจากจุ๋มต้องรีบกลับบ้าน ดังนั้นจึงเอาสะดวกเข้าว่า เลือกมากินที่มาบุญครอง

ร้านที่เราเข้าเป็นร้านพิซซ่าฮัท ร้านอาหารหรูมีระดับของวัยรุ่นในยุคนั้นก็คือร้านอาหารพิซซ่าหรือไม่ก็ร้านแฮมเบอร์เกอร์ หากต้องการจะเลี้ยงอาหารใครเป็นพิเศษสักมื้อคงไม่มีใครเลือกไปกินข้าวแกงที่โรงอาหาร ที่จริงร้านพิซซ่าในยุคนั้นไม่ได้มีเพียงพิซซ่าฮัท มีร้านพิซซ่าอีกร้านหนึ่งที่มีชื่อเสียงด้านพิซซ่ากรอบบาง นั่นคือร้านพิซซาเรีย ผมเคยไปกินกับเพื่อนๆและพี่ปริญญาโทที่แผนกครั้งหนึ่ง พวกพี่ปริญญาโทที่แผนกผมนี้บางคนเป็นพวกเชลล์ชวนชิม นั่นคือ ชอบหาร้านอร่อย ตระเวนกินไปเรื่อย ในยุคนั้นก็แค่ไปนั่งกินเฉยๆ ยังไม่มีการถ่ายรูปอาหารมาเขียนรีวิวลงในเว็บบอร์ดเหมือนในสมัยนี้

“จุ๋มจะสั่งอะไรดี” ผมถามหลังจากที่เรานั่งลงที่โต๊ะอาหารและรับเมนูจากพนักงานมา ตอนนั้นผมเริ่มคล่องแล้ว เข้าร้านพวกนี้ได้โดยไม่มีอาการเงอะงะ “สั่งถาดขนาดกลางแล้วมาแบ่งกันดีไหม”

“พี่สั่งเถอะ ตามใจพี่อู” จุ๋มพูด

“พี่เลือกขนาดไปแล้ว จุ๋มเลือกหน้าก็แล้วกัน” ผมเปิดโอกาสให้จุ๋มได้เลือกบ้าง ผลัดกันเลือกคนละหน่อยแต่ละคนจะได้มีส่วนร่วม หลังจากที่จุ๋มเลือกหน้าพิซซ่าแล้วเราก็ต้องนั่งคอยประมาณ ๑๕ ถึง ๒๐ นาที ระหว่างนั้นเราก็นั่งคุยกันไปเพื่อฆ่าเวลา คุยกันเรื่องนั้นเรื่องนี้ สุดท้ายก็วกมาที่เรื่องของป้อม

“พี่โทรไปหาพ่อป้อมแล้ว” ผมเกริ่น อาหารถูกยกมาพอดี เราจึงกินกันไปคุยกันไป “เค้าไม่ได้โทรมาต่อว่าหรอก แต่โทรมาให้ไปสอนต่อ งงเหมือนกัน”

“อ้าว เหรอ” จุ๋มทำน้ำเสียงแปลกใจ ผมจึงเล่ารายละเอียดให้จุ๋มฟัง

“ทีแรกก็คิดว่าพ่อป้อมยังหาคนมาสอนไม่ได้ เลยพยายามให้พี่สอนแก้ขัดไปก่อน แต่ป้อมถึงกับพูดอ้อนพี่เอง ก็คงไม่ใช่เรื่องหาคนสอนไม่ได้ แต่ทำไมถึงอยากให้พี่ไปสอนอีกก็ไม่รู้ ก่อนจากมาก็ไปด่าเสียขนาดนั้น เอ... หรือคนมันชอบโดนด่าหว่า” ผมอดหัวเราะไม่ได้

“แล้วพี่อูคิดยังไงล่ะ” จุ๋มถาม “จะไปสอนอีกไหม”

“ไกลก็ไกล เหนื่อยก็เหนื่อย แถมต้องพูดคนเดียวอีก ไม่ไหวแล้ว” ผมพูด “ถ้าพูดเรื่องเงินก็อยากได้อยู่หรอก แต่สอนแล้วอึดอัดใจพี่ก็... คืออยากสอนแล้วสบายใจด้วยน่ะ”

จุ๋มพยักหน้าเหมือนกับจะเข้าใจความคิดของผม

วันนั้นเราใช้เวลาได้ค่อนข้างสบาย เพราะนัดกันไว้ตั้งแต่บ่ายสามโมง ทำให้มีเวลาเหลือเฟือ ไม่ต้องเร่งรัดเวลา กินกันไปคุยกันไป นั่งแช่อยู่จนได้เวลาที่จุ๋มต้องกลับบ้าน

“กลับกันเถอะพี่อู” จุ๋มพูด พลางยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา

“ได้ๆ กลับก็กลับ” ผมตอบ พลางขยับตัวจะลุกจากที่นั่ง

“ตกลงพี่อูจะกลับไปสอนที่บ้านนั้นอีกไหม” จู่ๆจุ๋มก็ถามขึ้นมา

“จุ๋มคิดว่ายังไงล่ะ” ผมถามกลับ ที่จริงผมพอจะมีคำตอบในใจอยู่แล้ว แต่อยากลองฟังความคิดของจุ๋มดูบ้าง

จุ๋มนิ่งไปนิดหนึ่ง

“พี่อูเคยทำอะไรผิดบ้างมั้ย” จุ๋มถาม

“ทำผิด”ผมทวนคำ ยังงุนงงกับคำถาม ตั้งตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าจุ๋มจะมาไม้ไหน “ทำผิดแบบไหนล่ะ”

“ทำผิดก็คือทำอะไรที่ไม่ถูกไง” จุ๋มตอบแบบกำปั้นทุบดิน “อะไรก็ได้ เรื่องเล็กๆน้อยๆหรือเรื่องใหญ่ๆ เรื่องอะไรก็ได้”

เมื่อพูดถึงทำผิดเรื่องใหญ่ ผมรู้สึกเจ็บแปลบอยู่ในใจ เรื่องในอดีตผุดขึ้นมา ผมพยายามสลัดมันทิ้งไป

“เคยสิ ใครไม่เคยทำผิดบ้างล่ะ” ผมตอบ “ในชีวิตพี่ พี่ทำผิดมากกว่าทำถูกเสียอีก”

“ตอนที่พี่อูทำอะไรผิด แล้วพี่อูอยากได้โอกาสแก้ตัวอีกสักครั้งไหมคะ” จุ๋มถาม พลางมองหน้าผม

ผมนั่งนิ่ง มองจุ๋มอย่างตะลึง วิธีการพูดแบบนี้ช่างเป็นวิธีที่ผมคุ้นเคยเสียนี่กระไร...

- - -

กลางเดือนตุลาคม ในที่สุดก็ถึงวันเดินทางไปออกค่าย

รถบัสคันใหญ่ ไม่ติดแอร์ จอดรออยู่ที่คณะตั้งแต่เช้า พวกเราทั้งสมาชิกชมรมค่ายอาสาและชมรมวิชาการจำนวนหลายสิบคนมากันตั้งแต่เช้าเพื่อจัดของขึ้นรถ พวกชมรมวิชาการที่ไปออกค่ายครั้งนี้มีเกือบสิบคน หนังสือสำหรับทำห้องสมุดของเรามีอยู่ประมาณ ๕๐๐ กว่าเล่ม ใส่กล่องกระดาษลูกฟูกไว้อย่างเรียบร้อยเกือบสิบกล่อง

การจัดของใช้เวลาไม่นานนัก เนื่องจากส่วนใหญ่เตรียมไว้พร้อมอยู่แล้ว เพียงแต่นำมาขึ้นรถเท่านั้น ดังนั้นภายในเวลาแปดโมงเช้า ล้อรถบัสก็เริ่มหมุน และการเดินทางของเราก็เริ่มต้นขึ้น

ผมตื่นเต้นกับการเดินทางครั้งนี้ไม่น้อยทีเดียว เพราะเป็นการออกค่ายครั้งแรกในชีวิต เคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับการออกค่ายมาไม่น้อย แม้ว่าผมจะเป็นเด็กต่างจังหวัด คุ้นเคยกับชนบท แต่ก็ไม่เคยไปลงมือทำอะไรเพื่อชนบทสักครั้ง ครั้งนี้จะเป็นประสบการณ์ครั้งแรกของผม

สถานที่ออกค่ายอาสาของพวกเราครั้งนี้เป็นโรงเรียนประถมเล็กๆในชนบทภาคอีสาน รถบัสพาเราเดินทางออกจากกรุงเทพฯไปตามถนนวิภาวดีรังสิต มุ่งไปทางสระบุรี จากนั้นก็แยกไปทางเส้นทางสายอีสานหรือที่เรียกว่าสระบุรีเลี้ยวขวา เพียงแค่ออกจากรุงเทพฯ คณะค่ายอาสาก็กลายสภาพเป็นฉิ่งฉับทัวร์ ตีกลองร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน แต่สุดท้ายเมื่อหลายชั่วโมงผ่านไปก็กลายเป็นนั่งหลับกัน

ทิวทัศน์ชนบทสองข้างทางในช่วงปลายฤดูฝนมีนาข้าวเขียวชอุ่มไปตลอดรายทาง รถบัสเดินทางนานกว่า ๖ ชั่วโมง ในที่สุดก็ถึงที่หมาย

โรงเรียนประถมในต่างจังหวัดนั้นหากลองสังเกตดูดีๆจะพบว่าแต่ละแห่งมีรูปแบบอาคารเรียนเหมือนกันหมด ทั้งนี้เพราะใช้แบบมาตรฐานอันเป็นการประหยัดค่าออกแบบและสะดวกในการตีราคาและควบคุมค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างซึ่งเป็นงบประมาณแผ่นดิน โดยแต่ละโรงเรียนไม่ต้องไปออกแบบอาคารเอง แต่หากเป็นการก่อสร้างขนาดเล็กที่ไม่ได้ใช้งบประมาณทางราชการก็สามารถสร้างอย่างง่ายๆได้ตามอัธยาศัย

สำหรับการออกค่ายของเราในครั้งนี้ เป็นการสร้างอาคารเรียนขนาดเล็กกับอาคารอเนกประสงค์ อาคารเรียนเป็นอาคารไม้ ส่วนอาคารอเนกประสงค์เป็นอาคารอิฐบล็อกผสมไม้ ขนาดใหญ่กว่าอาคารเรียนนิดหน่อย ทั้งสองอาคารมีโครงสร้างชั้นเดียว ง่ายๆ คิดว่าคงไม่ได้มีแบบมาตรฐานเพราะว่าช่างทั่วไปก็สามารถสร้างได้โดยอาศัยความชำนาญ ไม่ใช่อาคาร คสล. ส่วนห้องสมุดที่เราไปทำนั้นไม่ได้อยู่ในอาคารเรียนที่จะสร้างขึ้นใหม่ แต่เป็นการปรับปรุงดัดแปลงห้องเรียนในอาคารเดิมเพื่อทำเป็นห้องสมุดขึ้นมา

เรื่องงานออกค่าย พวกเราที่มาจากชมรมวิชาการรู้เรื่องไม่มากนัก เพราะส่วนใหญ่ทางชมรมค่ายเป็นคนจัดการ แต่ก็พอรู้คร่าวๆมาว่าโรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนที่ค่อนข้างขาดแคลน อาคารที่จะสร้างขึ้นใหม่หลังนี้ไม่ได้ใช้งบประมาณของทางราชการ แรงงานที่ใช้ก็เป็นแรงงานของชาวบ้านร่วมกับนักศึกษา

เมื่อพวกเราไปถึงก็เป็นเวลาบ่ายแก่แล้ว โรงเรียนชนบทที่เราจะมาออกค่ายกันนั้นไม่ใช่โรงเรียนในฝันที่มีต้นไม้เขียวขจี ทุ่งหญ้าเขียวชอุ่ม แต่เป็นโรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่ค่อนข้างแห้งแล้ง รอบข้างมีแต่ดินลูกรังกับต้นไม้ที่ถูกฝุ่นลูกรังเกาะจนกลายเป็นต้นไม้สีน้ำตาล

“โห นี่มันยิ่งกว่าเขาชนไก่เลยนะเนี่ย” ผมอดกระซิบกับไอ้กี้ไม่ได้ สมัยนี้ต้องเรียกว่าแล้งได้โล่ห์

“นี่มาทำงานนะโว้ย ไม่ได้มาปิกนิก มึงจะเอาสบายไปถึงไหนกัน” ไอ้กี้ดุผม

“กูไม่ได้บอกว่ากูเอาสบายเสียหน่อย เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าจะแล้งขนาดนี้ ดุมากนักนะมึง อย่าให้กูได้ยินมึงบ่นเชียว” ผมดุมันกลับบ้าง

“กูระดับไหน ไม่มีบ่นอยู่แล้ว” ไอ้กี้คุยโว

ครูในโรงเรียนและผู้ใหญ่บ้านกับชาวบ้านในหมู่บ้านต่างก็พากันออกมาต้อนรับ จากนั้นครู ชาวบ้าน และพวกเราก็ช่วยกันขนของลงจากรถ และพาเราเข้าที่พัก ซึ่งก็คือห้องเรียนที่เอาโต๊ะและเก้าอี้ออกไป ดัดแปลงเป็นที่พักชั่วคราวนั่นเอง

ตอนค่ำ ทางโรงเรียนจัดงานเลี้ยงเล็กๆขึ้นเพื่อต้อนรับพวกเรา โดยมีครูและชาวบ้านมาร่วมงานด้วย มีการกินอาหาร แนะนำตัว และร้องรำทำเพลงกัน จากนั้นตอนดึกก็มีการประชุมเพื่อซักซ้อมเรื่องการทำงานกันนิดหน่อย จากนั้นก็เข้านอน

การออกค่ายในวันแรกผ่านไปอย่างสบายๆเพราะเป็นเพียงแค่วันเดินทาง แต่ในวันที่สองกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะในวันที่สอง พวกเราต้องเริ่มทำงานกันแล้ว พวกเราต้องตื่นกันแต่เช้า จากนั้นผลัดกันไปเข้าห้องน้ำ อาบน้ำ แต่งตัว กินอาหาร โดยเรื่องอาหารนั้นพวกเราทำกินกันเองเพราะไม่ต้องการรบกวนทางโรงเรียนหรือชาวบ้าน เมื่อกินอาหารเสร็จก็มาที่หน้างานก่อสร้าง พวกชมรมวิชาการส่วนหนึ่งไปที่อาคารเรียนเดิมเพื่อจัดการทำห้องสมุด ส่วนที่เหลือก็ไปช่วยสร้างอาคารเรียน บางส่วนก็เป็นฝ่ายเสบียง คอยหุงหาอาหารมื้อต่อไป พวกผมที่มาจากชมรมวิชาการก็เงอะๆงะๆเพราะไม่เคยออกค่ายมาก่อน ได้แต่คอยทำตามและคอยเป็นลูกมือช่วยนั่นช่วยนี่ไปตามเรื่อง โดยบางคนก็ไปช่วยงานครัว

ช่วงนั้นเป็นช่วงปิดเทอม ชาวบ้านและนักเรียนที่ว่างจากไร่นาของตนก็จะมาช่วยกันกับพวกเราในการก่อสร้างอาคาร เริ่มกันตั้งแต่ แบกอิฐ หิน ปูน ทราย ผสมปูน ขุดดิน ก่ออิฐ โบกปูน เลื่อยไม้ ตอกตะปู ทำกันจนเหงื่อไหลไคลย้อยทั้งวัน พวกชมรมค่ายดูจะมีความคล่องตัว ส่วนพวกชมรมวิชาการค่อนข้างบอบบางและดูเงอะงะ คงจะไม่ค่อยคุ้นเคยกับงานหนัก ผมเองก็ไม่เคยทำงานหนักขนาดนี้มาก่อน แต่ถึงหนักก็ต้องทนเพราะไม่ต้องการแสดงความอ่อนแอ

“แม่ง... รู้งี้กูไม่มา หนักกว่าฝึก รด. ที่เขาชนไก่ตั้งไม่รู้เท่าไหร่ เขาชนไก่นี่กลายเป็นเรื่องสบายไปเลย” เพียงตอนบ่ายคล้อยไอ้กี้ก็ถึงกับบ่นอุบ

“ไม่ต้องบ่นเลยมึง มาทำงานนะ ไม่ได้มาปิกนิก” ผมเอาคืนมันบ้าง

“เฮ้ย กูจะบอกอะไรให้มึงอย่างนึง มาใกล้ๆ ฟังคนเดียวก็พอ” ไอ้กี้เรียกผมให้เข้าไปใกล้ ไม่ยอมให้คนอื่นได้ยิน

“อะไรวะ” ผมถามมัน

“ไอ้เหี้ย...” ไอ้กี้เอียงหน้ามากระซิบกับผม

- - -

ผมมาช่วยงานสร้างอาคารเรียน การก่อสร้างดำเนินไปเรื่อยๆตั้งแต่เช้า นักศึกษาและชาวบ้านช่วยกันทำงานขันแข็งจนผมรู้สึกประทับใจ นักศึกษาชมรมค่ายบางคู่ก็เป็นแฟนกันแล้วมาออกค่ายด้วยกัน ระหว่างทำงานก็หาน้ำมาป้อนให้กัน เอาผ้าขาวม้าช่วยซับเหงื่อให้กัน ดูแลกันเป็นอย่างดี

จนในยามบ่าย อาคารเรียนหลังเล็กเป็นรูปเป็นร่างอย่างรวดเร็ว จากการตีพื้น ขึ้นเสา ทำจั่ว จนตอนเย็นโครงหลังคาก็เรียบร้อยพร้อมที่จะมุงได้

“เอ้า วันนี้พอเท่านี้ ลงมาได้แล้ว” เสียงคนที่อยู่ข้างล่างตะโกนเรียกผม ขณะนั้นผมกำลังนั่งอยู่บนโครงหลังคา แดดยามกลางวันแรงมาก คนที่ทำงานต้องใส่เสื้อแขนยาวและเอาผ้าขาวม้าโพกหัวโพกหน้าจนมิดชิด ผมเองก็เช่นกัน แต่ตอนนี้เป็นเวลาเย็นแล้ว แดดจึงไม่แรงนัก

“ลงไม่ได้ กลัวตก” ผมตะโกนตอบ

“เออ งั้นก็อยู่บนนั้นไปละกัน” ข้างล่างตะโกนอีก

ที่จริงโครงหลังคาของอาคารชั้นเดียวก็สูงแค่ไม่กี่เมตรจากพื้น แต่เมื่อแรกที่ปีนขึ้นไปก็รู้สึกเสียวอยู่เหมือนกัน เพราะกลัวหล่นลงมา แต่ทำงานไปสักพักก็จะเริ่มคุ้นเคยและไม่เสียวอีกแล้ว

เพื่อนๆที่อยู่บนโครงหลังคาต่างพากันปีนลงข้างล่าง ส่วนผมรีๆรอๆอยู่เพราะอยากนั่งพักชมวิวอยู่บนนั้นอีกสักครู่

ผมมองลงมาข้างล่าง เห็นนักศึกษากับชาวบ้านกำลังละมือจากงานและเดินเข้าร่ม พวกชาวบ้านร่ำลาเพื่อกลับบ้านของตน ส่วนพวกนักศึกษาก็ไปรวมตัวกันที่อาคารเรียนหลังเดิม เมื่อถึงเวลาสิ้นวัน ท้องฟ้าตะวันตกเริ่มป็นสีแดง แสงสีแดงทอทาบพื้นลูกรังสีส้ม ภาพการแยกย้ายจากกันยิ่งขับเน้นบรรยากาศยามเย็นให้ชวนเหงา น่าแปลกที่มากันเป็นคณะใหญ่แต่ผมกลับรู้สึกเหงาขึ้นมาได้

ผมปีนป่ายลงมาจากโครงหลังคา จากนั้นไปรวมตัวกับเพื่อนๆเพื่ออาบน้ำ ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า และกินอาหารเย็น

วันนั้นเป็นวันที่เหน็ดเหนื่อยมาก และก็เป็นอย่างที่ไอ้กี้พูดว่าตอนอยู่ที่เขาชนไก่ยังสบายกว่านี้ ความเหน็ดเหนื่อยทำให้อาหารเย็นมื้อนั้นอร่อยเป็นพิเศษ คู่ที่เป็นแฟนกันก็กินอาหารแบบนั่งพิงหัวซบกันอย่างเหนื่อยอ่อน

หิวด้วยกัน อิ่มด้วยกัน เหนื่อยด้วยกัน พักด้วยกัน ดูแลกัน ไม่ทอดทิ้งกัน อย่างนี้กระมังที่เขาเรียกว่าร่วมทุกข์ร่วมสุข มันเป็นสายใยแห่งความอบอุ่นที่ผมสามารถสัมผัสได้ด้วยความรู้สึก ผมรู้สึกอิจฉาคู่เหล่านี้ ผมอยากมีความรู้สึกที่ผูกพันกับใครสักคนหนึ่งอย่างนี้บ้างเหลือเกิน...





<ช่วงนั้นเป็นช่วงปิดเทอม ชาวบ้านและนักเรียนที่ว่างจากไร่นาของตนก็จะมาช่วยกันกับพวกเราในการก่อสร้างอาคาร เริ่มกันตั้งแต่ แบกอิฐ หิน ปูน ทราย ผสมปูน ขุดดิน ก่ออิฐ โบกปูน เลื่อยไม้ ตอกตะปู ทำกันจนเหงื่อไหลไคลย้อยทั้งวัน พวกชมรมค่ายดูจะมีความคล่องตัว ส่วนพวกชมรมวิชาการค่อนข้างบอบบางและดูเงอะงะ คงจะไม่ค่อยคุ้นเคยกับงานหนัก ผมเองก็ไม่เคยทำงานหนักขนาดนี้มาก่อน แต่ถึงหนักก็ต้องทนเพราะไม่ต้องการแสดงความอ่อนแอ>

Sunday, October 9, 2011

ภาคสี่ ตอนที่ 47

ภาพที่เห็นในจอทีวีเป็นถนนเพชรบุรีที่มีไฟลุกเป็นกลุ่มเพลิงขนาดใหญ่จนท่วมถนนและลามไปยังอาคารสองฝั่งถนน เปลวไฟแดงฉานสูงหลายสิบเมตรตัดกับท้องฟ้าในยามราตรี กลายเป็นภาพอันน่าสะพรึงกลัว

ข่าวในขณะนั้นทราบแต่เพียงว่ามีรถบรรทุกก๊าซแอลพีจีระเบิดใกล้จุดลงทางด่วนและเกิดไฟลุกไหม้ลามไปทั่วบริเวณ ข่าวช่องสามทันเหตุการณ์กว่าเพื่อนเนื่องจากสถานีโทรทัศน์ช่องสามตั้งอยู่ที่อาคารวานิช อยู่ใกล้ๆกับจุดเกิดเหตุนั่นเอง

จากข่าว รัศมีของเพลิงกินอาณาบริเวณกว้าง และมีรถยนต์ในถนนถูกพลิงไหม้เป็นจำนวนมาก อีกทั้งเปลวไฟยังลามไปยังอาคารที่ตั้งอยู่ริมถนน ผู้ที่อยู่ในรถยนต์ตอนเกิดเหตุการณ์ส่วนใหญ่หนีไม่ทันเนื่องจากอยู่ในรถยนต์ติดแอร์ จึงไม่ได้กลิ่นก๊าซที่กระจายออกมาจากรถก๊าซ ส่วนผู้ใช้รถยนต์ที่เปิดกระจกจะได้กลิ่นก๊าซนำมาก่อน บางรายไหวทันก็สามารถหนีออกมาได้ แต่ในยุคนั้นรถยนต์ที่ไม่ติดแอร์เหลือเป็นส่วนน้อยแล้ว มักเป็นรถเมล์ รถแท็กซี่ รถกระบะ และรถตู้ ส่วนรถเก๋งบ้านติดแอร์กันเกือบทั้งหมด

ผมมุงดูข่าวทีวีอยู่พักใหญ่ นานไปคนดูก็เริ่มแยกย้ายเนื่องจากยืนดูแล้วเมื่อย ผมเองก็กลับขึ้นห้องไปเช่นกัน

ข่าวรถก๊าซระเบิดกลายเป็นข่าวใหญ่ที่พาดหัวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับในวันต่อมา รวมทั้งการสอบของมหาวิทยาลัยในวันถัดมากลายเป็นเรื่องวุ่นวาย เนื่องจากเหตุการณ์รถก๊าซระเบิดทำให้รถติดหนักในตอนเช้า และยิ่งไปกว่านั้น ที่มหาวิทยาลัยยังมีข่าวลือกันว่ามีอาจารย์ในมหาวิทยาลัยซึ่งสอนอยู่ในคณะอื่นถูกไฟคลอกในเหตุการณ์ด้วย เหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นอุบัติภัยครั้งสำคัญครั้งหนึ่งของไทย ร่วมกับเหตุการณ์ไฟไหมโรงงานเคเดอร์ที่ตั้งอยู่ในเขตอำเภอสามพราน จ.นครปฐม และโรงแรมถล่มทั้งหลังในเขตอำเภอเมือง จ.นครราชสีมา...

- - -

ต้นเดือนตุลาคม

ในที่สุด การสอบปลายภาคแรกของผมก็ผ่านพ้นไป เทอมนั้นผมเตรียมตัวสอบไม่ค่อยดีนักเนื่องจากยังต้องเจียดเวลามาดูแลเรื่องงานหนังสือด้วย สำนักพิมพ์ที่พวกเราขอหนังสือไปเมื่อบริจาคหนังสือมาเราก็ต้องไปรับเอง แม้ในช่วงสอบบางวันยังต้องไปรับหนังสือจากสำนักพิมพ์มาเก็บไว้ที่ชมรม

หลังจากที่สอบปลายภาคเสร็จ เราก็มีเวลาทำงานมากขึ้น หลังจากที่ไปรับหนังสือมาทั้งหมดแล้วก็มาดำเนินการคัดแยกหนังสือ เนื่องจากหนังสือที่ได้มาบางชื่อเรื่องได้มาเป็นจำนวนมากนับสิบเล่ม เราจึงแบ่งมาเก็บเอาไว้เผื่อสำหรับโครงการต่อไป เมื่อคัดแยกเสร็จก็จัดใส่กล่องเพื่อเตรียมส่งไปกับรถขนของต่อไป

“เสร็จแล้วพี่ตั้ว” ผมพูดกับพี่ตั้วหลังจากที่น้องปีหนึ่งมัดหนังสือกล่องสุดท้ายเสร็จเรียบร้อย ช่วงนั้นเรามีรุ่นน้องมาช่วยทำงานด้วย บางเรื่องก็ไม่ต้องทำเอง เพียงสั่งรุ่นน้องทำแล้วคอยดูแลความเรียบร้อย เพิ่งจะรู้สึกว่าเป็นรุ่นพี่แล้วมันดีอย่างนี้นี่เองเนื่องจากสั่งรุ่นน้องได้ แต่ที่จริงปีหนึ่งมันก็เป็นรุ่นเพื่อนนั่นแหละ แต่ผมก็แกล้งทำเป็นลืมข้อนี้ไปเสีย

“เออ เสร็จเสียที งานแรกนี่ลำบากชิบบบบบหายยยยยยยย” พี่ตั้วลากเสียงยาว แม้งานจะเสร็จแต่ก็ยังอดบ่นไม่ได้

“ทีหลังเรื่องเดินขอสปอนเซอร์นี่ไม่เอาอีกแล้วนะพี่” ผมพูดบ้าง

“นั่นดิ พี่ก็ว่ายังงั้น” พี่ตั้วเห็นด้วย “ขอสำนักพิมพ์เอาสบายกว่ากันเยอะ ฮ่าฮ่า”

ขณะที่คุยกัน ไอ้กี้ก็เดินเข้ามาใสนชมรมพอดี เมื่อมันเห็นผมมันก็ทักทาย

“เฮ้ย ไอ้เหี้ยอู มึงไปก่อเรื่องอะไรที่บ้านไอ้ป้อมวะ”

“มีอะไรเหรอ” ผมงง

“ก็เมื่อคืนพ่อไอ้ป้อมโทรมาหากู บอกว่าต้องการคุยกับมึง ให้มึงโทรไปหาด้วย” ไอ้กี้เล่า “ยังบอกอีกว่าให้รีบโทรไป”

“เหรอ” ผมรับคำอย่างงงๆ

“มึงไม่ได้ให้เบอร์เค้าไปหรือไงวะ” ไอ้กี้ถามอีก

“ไม่ได้ให้ว่ะ” ผมตอบ ผมอยู่หอพัก รับโทรศัพท์ไม่ค่อยสะดวก ปกติจึงไม่ค่อยได้ให้เบอร์โทรศัพท์แก่ใครอยู่แล้ว และยิ่งมาเกิดเรื่องเมื่อปีที่แล้วทำให้ผมยิ่งเข็ดขยาดเข้าไปอีก กลายเป็นนิสัยที่ไม่ชอบให้เบอร์โทรศัพท์แก่ใคร แม้แต่ไอ้กี้ก็ไม่รู้เบอร์โทรศัพท์ของผม ที่จริงมันเองก็ไม่ได้สนใจที่จะขอด้วยเช่นกัน รู้จักกันมาหลายปีผมไม่เคยคิดโทรหามัน เพราะไม่ได้มีธุระจำเป็นอะไรให้ต้องโทร ส่วนมันเองก็คงไม่เคยคิดโทรหาผมด้วยเหตุผลเช่นเดียวกัน ส่วนเพื่อนๆที่แผนกนั้นในกลุ่มที่สนิทกันก็มีการแลกเบอร์โทรศัพท์กันไว้เนื่องจากบางครั้งต้องคุยเรื่องการบ้านหรือรายงานบ้างในตอนกลางคืน การติดต่อสื่อสารกันในหมู่วัยรุ่นยุคนั้นแตกต่างจากในยุคนี้มากที่สามารถออนไลน์ในเครือข่ายสังคม สามารถเห็นและคุยกันได้ตลอดเวลาทางแป้นพิมพ์ หรือไม่เช่นนั้นก็คุยกันทางโทรศัพท์มือถือ

“เออ รู้แล้วก็รีบๆโทรไปซะ” ไอ้กี้กำชับ

ที่จริงหน้าที่ของผมก็หมดไปแล้ว ดังนั้นพ่อของป้อมจึงไม่น่าติดต่อมาอีก ยกเว้นจะมีเรื่องอะไรเป็นพิเศษ อดคิดเป็นเรื่องในทางลบไม่ได้ จะว่าคิดเงินให้ผมผิดแล้วโทรมาทวงเงินก็ไม่น่าใช่เพราะเงินค่าสอนก็เป็นไปตามที่ตกลงกัน หากจะมีก็คงมีอยู่เพียงเรื่องเดียว นั่นคือ เรื่องที่ผมพูดทิ้งท้ายกับป้อมในวันสุดท้าย หากป้อมไม่พอใจแล้วเอาไปบอกพ่อ พ่ออาจคิดว่าผมไปด่าลูกชายเขาก็ได้ คิดไปคิดมาก็รู้สึกกังวลนิดหน่อย

โทรไปก็คงโดนด่า ไม่โทรดีกว่า ผมตัดสินใจที่จะไม่โทรกลับไป

- - -

ตั้งแต่ภาคต้นปีนี้ผมยังไม่ได้กลับบ้านเลย ในระหว่างเปิดเรียนก็มีสอนพิเศษทุกวันเสาร์ จนถึงปิดเทอมก็ยังไม่ได้กลับบ้านอีกเนื่องจากต้องเตรียมงานเพื่อไปออกค่ายร่วมกับชมรมค่ายอาสา นอกจากนี้ก็ยังออกไปเที่ยวกับเพื่อนในแผนกบ้าง ส่วนใหญ่เป็นการเที่ยวกลางคืน เรียกได้ว่าปีนี้ห่างบ้านไปหลายเดือนทีเดียว

ตั้งแต่ปิดเทอมมาผมไปทำงานที่ชมรมเกือบทุกวัน เริ่มติดชมรมมากขึ้น พอมีโครงการแล้วทำให้มีงานโน่นงานนี่ที่ต้องทำ หากไม่มีอะไรทำก็ไปนั่งเล่น คุย และร้องเพลงเฮฮาไปตามเรื่อง

ตอนสายวันหนึ่ง เมื่อผมเดินเข้าไปในชมรม ผมก็เห็นไอ้กี้กับเพื่อนและรุ่นน้องปีหนึ่งหลายคนกำลังนั่งก้มหน้าก้มตาฝนเอกสารที่ดูคล้ายกระดาษคำตอบด้วยดินสอดำอยู่อย่างขะมักเขม้น ตรงหน้าของแต่ละคนกางหนังสือเล่มหนึ่งอยู่

“ทำอะไรกันอยู่น่ะ” ผมถามไอ้กี้

“สมัครเรียนรามโว้ย” ไอ้กี้ตอบ

“โห” ผมหัวเราะ “เรียนที่เดียวก็เอาให้รอดก่อนเถอะมึง”

“เสือก” ไอ้กี้วางดินสอดำในมือลง พร้อมกับด่าผม “กูจะเรียนสองปริญญา มีอะไรมั้ย ค่าหน่วยกิตหน่วยละ ๑๘ บาทเอง ถูกจะตาย เผื่อฟลุ้กได้ปริญญาตรีอีกใบนี่โคตรเท่เลยนะมึง”

ยุคนั้นมีค่านิยมอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือการเรียนระดับปริญญาตรีพร้อมกันสองแห่ง อีกแห่งหนึ่งมักเป็นรามคำแหง แต่ก็มีบ้างที่เลือกเรียนที่ มสธ. ไม่แน่ใจว่าค่านิยมเรียนสองแห่งนี้แพร่หลายไปขนาดไหน แต่แถวๆสะพานเหลืองสามย่านนี่นิยมกัน ยุคนั้นค่าหน่วยกิตของมหาวิทยาลัยรามคำแหงหน่วยละ ๑๘ บาท ไอ้กี้และคนอื่นๆในชมรมจึงอยากลองดูบ้าง

“อ้อ นี่มึงหวังจบแบบฟลุ้ก ไม่ได้คิดจะใช้ความสามารถเลยนะ” ผมกัดมันอีก

“มึงไม่ต้องเสือกเลย เรื่องของกู ไอ้ห่านี่” ไอ้กี้ด่าอีก

“ไหนขอดูคู่มือลงทะเบียนหน่อยสิ” ผมชะโงกหน้าดูหนังสือคู่มือที่กางอยู่ตรงหน้ามัน

“เฮอะ สนใจขึ้นมาแล้วล่ะสิ” ไอ้กี้พูดพลางส่งหนังสือคู่มือการลงทะเบียนเรียนให้ผมดู เห็นมีคณะและสาขาให้เลือกเรียนมากมายไปหมด

“มึงเรียนสองที่ เท่ากับหนึ่งภาคเรียนต้องลงทะเบียนเรียนราวๆ ๔๐ หน่วยกิต แล้วมึงจะเอาเวลาที่ไหนไปเรียนวะ” ผมพูด “แล้วมึงเลือกเรียนสาขาอะไร”

“บริหารธุรกิจ” ไอ้กี้ตอบ “ก็เรียนด้วยตนเองสิ ไอ้โง่ ซื้อหนังสือมาอ่านเอง ถึงเวลาก็ไปสอบ ไม่ต้องเข้าห้องเรียนก็ได้”

“เก่งตายแล้วมึง” ผมหัวเราะอีก

“มึงไม่ต้องมาประชดกู อย่าให้กูรู้ว่ามึงไปสมัครเรียนนะไอ้อู กูจะหัวเราะให้ฟังร่วง” ไอ้กี้พูด “เรื่องของมึงเองน่ะจัดการให้เรียบร้อยเสียก่อนเถอะ พ่อไอ้ป้อมโทรมาหากูอีกแล้ว มึงไปก่อเรื่องอะไรเอาไว้ก็ไปจัดการเสีย อย่าให้กูต้องเข้าปิ้งไปด้วย”

“ทำไมคิดว่ากูไปก่อเรื่องวะ เค้าอาจจะอยากให้เงินกูเพิ่มก็ได้” ผมฝืนหัวเราะ แต่ที่จริงก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนักเหมือนกัน

“ตีนมั้ยล่ะ ที่ให้เพิ่มเนี่ย” ไอ้กี้หัวเราะ

- - -

เย็นวันนั้น ท้องฟ้าครึ้มไปด้วยเมฆฝน ผมออกจากชมรมราวๆห้าโมงเย็นเพื่อกลับหอพัก ขณะที่ยืนรอรถอยู่ที่ป้ายรถเมล์สามย่านผมอดชะแง้มองหาจุ๋มไม่ได้ ตั้งแต่ช่วงสอบจนถึงตอนนี้ผมไม่ได้เจอจุ๋มเลย ตอนสอบก็กลับไม่เป็นเวลา ส่วนตอนปิดเทอมนั้นยิ่งกลับไม่เป็นเวลาเข้าไปใหญ่ ส่วนใหญ่มักกลับตอนมืดๆค่ำๆ แม้ว่าผมชะแง้มองหาจุ๋มอยู่เสมอ แต่ก็ยังไม่มีโอกาสเจอกันเสียที

“จ๊ะเอ๋” ได้ยินเสียงแจ๋วๆดังอยู่ข้างหลัง ผมอดรู้สึกดีใจนิดๆไม่ได้

“จุ๋มหายไปไหนมาเนี่ย ไม่เจอเสียตั้งนาน” ผมถาม

“จุ๋มก็กลับเวลาประมาณนี้ทุกวันนั่นแหละ” จุ๋มตอบเสียงใส “พี่อูต่างหากล่ะที่หายไป”

“ปิดเทอมแล้วมาทำไมล่ะ” ผมถาม

“แล้วพี่อูล่ะ มาทำไม” จุ๋มย้อน

“แน่ะ เดี๋ยวนี้หัดย้อนรุ่นพี่ เดี๋ยวตีตายเลย” ผมขู่

“กลัวแล้วจ้า” จุ๋มทำหน้าล้อเลียน จนผมอดขำไม่ได้ “จุ๋มมาซ้อมไวโอลิน”

“พี่มาทำงานที่ชมรมน่ะ เร่งเตรียมหนังสือไปออกค่ายทำห้องสมุด” ผมตอบ “ความคิดที่จุ๋มแนะนำได้ผลมาก ได้หนังสือมาเยอะแยะเลย”

“เห็นไหมล่ะ” จุ๋มทำหน้าเหมือนกับจะพูดว่าให้มันรู้เสียบ้างว่าความคิดใคร “ยังงี้ถือว่าทำงานสำเร็จ ก็ต้องพาจุ๋มไปเลี้ยงสิ”

“ได้ๆๆ” ผมตอบ “คราวนี้พี่กัดฟันตั้งงบให้ ๕๐ บาทเลย”

“งั้นไม่ต้องหรอกค่ะ” จุ๋มทำหน้าเซ็ง “พี่อูเก็บเงินเอาไว้ซื้อยาระบายเถอะ”

“ซื้อยาระบายมาทำไม” ผมงง

“ก็พี่อูคงท้องผูก” จุ๋มตอบ

“ไม่ได้ท้องผูกเสียหน่อย” ผมถามต่อ “ทำไมคิดยังงั้นล่ะ”

“ก็พี่อู...” จุ๋มพูดเสียงกระซิบ “ขี้เหนียว... ต้องท้องผูกแน่ๆเลย”

พูดจบเธอก็ทำหน้ากลั้นหัวเราะอย่างเต็มที่ จนผมอดขำไปด้วยกับเธอไม่ได้

“หลอกด่านี่ ไปๆๆ เท่าไรก็เลี้ยง วันนี้ทุ่มหมดกระเป๋าเลย” ผมพูด พลางควักกระเป๋าตังค์ออกมากางดู ในนั้นมีเงินอยู่หลายร้อยบาท

“แจ๋วเลย” จุ๋มหัวเราะ “ขอบคุณมากพี่อู แต่ไม่ไปหรอก จุ๋มล้อเล่น”

“อ้าว ทำไมล่ะ” ผมใจหายที่ถูกปฏิเสธ “รีบกลับบ้านอีกแล้วเหรอ”

“ฮื่อ ก็ยังงั้นแหละ” จุ๋มตอบ พลางแหงนหน้าดูท้องฟ้า “ฝนใกล้ตกแล้วด้วย”

“ยังงั้นพรุ่งนี้จุ๋มเลิกซ้อมเร็วขึ้นสักหน่อยสิ เลิกสักบ่ายสามโมง แล้วเราไปหาอะไรกินกัน เสร็จแล้วจะได้ทันเวลากลับบ้านพอดี ดีไหม” ผมพูดโน้มน้าว “ไปหาอะไรกินแถวมาบุญครอง ใกล้ๆนี่เอง กินเสร็จก็ขึ้นรถกลับได้เลย ไปนะ นะ นะ”

จุ๋มคิดนิดหนึ่ง “ยังงั้นก็ได้ค่ะ”

ฝนตกลงมาพอดี ฝนยามเย็นโปรยปรายลงมาเป็นละอองบาง เนื่องจากฝนตกไม่หนักจึงไม่มีใครวิ่งหลบฝน แต่ละคนจึงยังยืนอยู่ที่เดิม เพียงครู่เดียวรถเมล์สาย ๓๔ ก็มา

“จุ๋มไปแล้วล่ะพี่อู” จุ๋มพูด “อ้อ พรุ่งนี้เจอกันที่ไหนล่ะ”

“เจอที่ป้ายรถเมล์นี่ดีไหม” ผมเสนอ ที่จริงคิดว่าจะไปหาจุ๋มที่คณะอยู่เหมือนกัน แต่คิดอีกทีหากเจอพี่เหล่ง พี่เหล่งอาจจะไปด้วยและเป็นเจ้ามือ ทำให้ผมเสียความตั้งใจ เจอกันที่ป้ายรถเมล์นี้เลยดีกว่า “บ่ายสามโมง”

“ก็ดีค่ะ” จุ๋มพูด พลางก้าวเดินเพื่อไปขึ้นรถ “จุ๋มไปก่อนล่ะ”

ทันใดนั้นผมก็เกิดความคิดขึ้นมาวูบหนึ่ง ผมรีบเดินตามจุ๋มขึ้นรถไปทันที

“อ้าว พี่อู” จุ๋มอุทานอย่างแปลกใจเมื่อเห็นผมอยู่บนรถคันเดียวกับเธอ “ขึ้นสายนี้ทำไมล่ะ มันไม่ได้เข้าลาดพร้าวนี่”

“ก็... เดี๋ยวพี่ไปเป็นเพื่อนจุ๋มก่อน แล้วไปต่อรถอีกทีก็ได้” ผมพูด

“เลยต้องเสียเงินค่ารถเพิ่มอีก” จุ๋มพูด

“ไม่เป็นไรหรอก นานๆที” ผมพูด

วันนั้นการจราจรไม่ติดขัดแม้ว่าจะมีฝนปรอย เพราะเป็นช่วงปิดภาคเรียน รถสามารถเคลื่อนตัวไปได้เรื่อยๆ ลมหอบเอาไอฝนเข้ามาในรถด้วย บรรยากาศภายในรถจึงไม่ร้อนนักและมีกลิ่นไอฝน เมื่อรถผ่านหน้าประตูใหญ่รั้วจามจุรี ภาพตึกหอประชุมในฝนปรอยที่เห็นภายนอกหน้าต่างรถทำให้ผมนึกถึงวันที่ผมและจุ๋มต้องเดินจากสามย่านไปจนถึงสี่แยกพญาไท ผมอดไม่ได้ต้องเหลือบไปมองดูจุ๋มวูบหนึ่ง

เราคุยกันไปเรื่อยตลอดทาง ผมได้เล่าเรื่องพ่อของป้อมที่ต้องการให้ผมติดต่อกลับอย่างไม่ได้ตั้งใจ

“แล้วพี่อูไม่คิดโทรกลับหรือไง” จุ๋มถาม

“ไม่รู้สิ” ผมตอบอย่างลังเล “กลัวโทรไปแล้วปัญหาจะตามมาอีก”

“ถ้าจะมีปัญหานะมันก็คงเกิดขึ้นไปแล้ว พี่อูจะโทรหรือไม่โทรก็เพียงแค่ว่าพี่อูอยากรับรู้หรือไม่อยากรับรู้เท่านั้นเอง” จุ๋มพูด “มันก็แค่... พี่อูอยากสู้ปัญหาหรืออยากหนีปัญหา”

“...”

- - -

ค่ำวันนั้นเอง

เมื่อผมกลับถึงหอพัก หลังจากกินอาหารเสร็จแล้ว ผมก็แวะไปหาพี่คนหนึ่งที่พักอยู่ในหอเดียวกัน แกชื่อชัย พักอยู่ชั้นสอง กำลังเรียนอยู่รามคำแหง

“หวัดดีครับพี่” ผมทักทายพี่คนนั้นหลังจากที่พี่ชัยเปิดประตูออกมา

“อ้อ หวัดดีน้อง” พี่ชัยทักทายตอบ พี่ชัยอยู่ที่นี่มาก่อนผมอีก เรียนรามคำแหงตั้งแต่ก่อนผมมาอยู่จนขณะนี้ก็ยังไม่จบ ปีอะไรแล้วก็ไม่รู้เหมือนกัน แม้เราสองคนจะไม่คุ้นเคยกันนักเพราะพี่ชัยไม่ค่อยขึ้นไปสังสรรค์บนชั้นดาดฟ้า แต่ก็พอรู้จักชื่อของกันและกัน

“พี่ครับ ถ้าผมฝากพี่ซื้อใบสมัครเรียนรามสักชุด พี่ช่วยหน่อยได้ไหม” ผมถาม

“ทำไม โดนรีไทร์แล้วเหรอ” พี่ชัยทำหน้าตกใจ

“ยังครับพี่” ผมตอบ แต่ในใจคิดว่าไม่น่าแช่งกันเลย “แต่อยากรู้ว่าที่รามมีสาขาอะไรให้เรียนบ้าง ผมสนใจพวกกฎหมาย เผื่อจะหาความรู้เอาไว้บ้าง”

“นี่เลย นิติราม” พี่ชัยรีบพูดทันที “เรียนง่ายแต่จบยากนะน้อง”

“ครับๆ ได้ยินว่ายังงั้น ว่าแต่ฝากพี่ซื้อใบสมัครหน่อยได้ไหมครับ” ผมถามเข้าประเด็นอีก

“ได้ๆ พรุ่งนี้พี่เอามาให้” พี่ชัยรับปากอย่างง่ายดาย

หลังจากที่คุยกับพี่ชัยเสร็จ ผมก็ออกไปที่ตู้โทรศัพท์ที่อยู่ในซอย จากนั้นหยอดเหรียญลงไปแล้วกดเลขหมาย

“ฮัลโหล” เสียงใหญ่ๆรับสาย ฟังน้ำเสียงแล้วน่าจะเป็นพ่อของป้อมนั่นเอง

“สวัสดีครับคุณอา ผมอูครับ” ผมพูด ในใจก็ตุ๋มๆต่อมๆ





<จามจุรีสามยุค ภาพหอประชุมหลังรั้วจามจุรีที่ผมผ่านไปมาทุกวันและเห็นจนชินตา ภาพนี้ถ่ายในสามยุคท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย ภาพบนสุดเป็นภาพในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ส่วนภาพกลางถ่ายประมาณปี พ.ศ. ๒๕๒๕ และภาพล่างสุดถ่ายในปี พ.ศ. ๒๕๔๙ แต่ละภาพมีอายุห่างกันราว ๒๕ ปี>