Thursday, February 21, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 2

ผมนอนพักอยู่บนลำตัวของไอ้นัยสักครู่ ตัวไอ้นัยนี่ดีจังเลยครับ ทั้งอุ่น ทั้งนุ่ม ดีกว่าเตียงอีก เสียแต่ว่านอนได้ไม่นาน ไอ้นัยก็เรียกผม

“อู” ไอ้นัยเรียก

“ตามึงแล้ว” ผมบอก รู้ว่าไอ้นัยหมายถึงอะไร เพื่อนกันไม่เอาเปรียบกันอยู่แล้ว

“ติดเอาไว้ก่อนละกัน มึงเป็นหนี้กูหนหนึ่ง” ไอ้นัยพูดยิ้มๆ

“ทำไมไม่ทำตอนนี้ล่ะ” ผมงง

“ไม่ล่ะ อยากนั่งดูวิว” ไอ้นัยตอบ

จู่ๆไอ้นัยเกิดอารมณ์สุนทรีย์อะไรขึ้นมา ถึงได้อยากนั่งดูวิวมากขนาดนั้น แต่เมื่อเป็นความต้องการของไอ้นัย ผมก็ไม่ขัดอยู่แล้ว

ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณห้าโมงเย็น กว่านิดหน่อย ท้องฟ้าที่อยู่เหนือหัวของเรามืดครึ้ม แต่สุดปลายฟ้าด้านตะวันตกยังสว่างอยู่ สามารถมองเห็นดวงอาทิตย์คล้อยต่ำได้ ลมพัดแรง ช่วงนั้นเป็นปลายฤดูหนาว ท้องฟ้าพลบค่ำเร็วหน่อย

เรานั่งพิงกัน ไม่ใส่เสื้อผ้า เนื้อตัวก็เลอะอยู่อย่างนั้นยังไม่ได้ล้าง นั่งดูทิวทัศน์ที่ริมบึง ค่อยๆดูตะวันคล้อยต่ำ วันนี้ไอ้นัยค่อนข้างแปลก

ผมรู้สึกหนาวเล็กน้อย เพราะไม่ได้ใส่เสื้อผ้า เลยเอื้อมมือไปโอบไอ้นัยไว้เพื่อเพิ่มความอบอุ่น

“นัย คิดอะไรอยู่” ผมถาม

ไอ้นัยส่ายหน้า

“ไม่เชื่อ บอกหน่อยดิ นะ” ผมคะยั้นคะยอ

“ไม่มีจริงๆ” ไอ้นัยยืนยัน

ผมนั่งโอบไอ้นัยไว้อย่างนั้นสักพัก ก็รู้สึกว่าน้ำหนักของลำตัวไอ้นัยเพิ่มขึ้น คล้ายกับว่ามันกำลังเอนตัวให้อิงกับลำตัวของผม สักพักมันก็เอียงหน้ามาซบกับบ่าของผม ดวงตาหลับพริ้ม

“สบายจัง” ไอ้นัยพึมพำ

ผมโอบไอ้นัยเอาไว้แน่นยิ่งขึ้น อยากจะโอบเอาไว้นานๆ ไออุ่นจากลำตัวของมันก่อให้เกิดความอบอุ่นขึ้นในส่วนลึกของใจผม ผมอยากจะบอกอะไรบางอย่างแก่ไอ้นัย พยายามจะพูด แต่แล้วก็พูดไม่ออก ทำอะไรก็ไม่ถูก ในใจมีแต่ความสับสนและไม่แน่ใจในตัวเอง

“ฟ้าที่นี่สวยจัง ไม่เหมือนที่กรุงเทพฯเลย” ไอ้นัยพูดเบาๆ สีหน้าบ่งบอกว่ากำลังตกอยู่ในห้วงความคิดคำนึง

“มันก็ฟ้าเดียวกันนั่นแหละ” ผมพูด

“จำได้ว่าฟ้าที่บ้านของกูก็สวยเหมือนกัน” ไอ้นัยพูดอีก

“มึงหมายถึงบ้านที่ต่างจังหวัดน่ะเหรอ” ผมถาม

“ฮื่อ แต่ก็จำได้ไม่ชัดหรอก ตอนนั้นยังเด็กมาก” ไอ้นัยตอบ

“ไหน เล่าเรื่องที่บ้านพ่อแม่ให้ฟังบ้างสิ” ปกติไอ้นัยไม่ค่อยพูดถึงบ้านของตัวเองที่ต่างจังหวัดเลย ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าที่บ้านจริงๆของมันเป็นอย่างไร

ไอ้นัยอึ้งไปนิดหนึ่ง แล้วตอบอ้อมแอ้ม “ก็ไม่ค่อยมีอะไรหรอก จำไม่ค่อยได้แล้วล่ะ”

“มึงไม่เคยเล่าเรื่องที่บ้านมึงให้ฟังเลย เล่าให้ฟังบ้างสิ” ผมคะยั้นคะยอ คิดว่าคบกันมาจนขนาดนี้แล้ว ไอ้นัยไม่น่ามีอะไรที่ต้องปิดบังผม

“จำไม่ค่อยได้แล้วล่ะ ตั้งแต่เด็กก็ย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ”

“แล้วมึงไม่เคยกลับบ้านบ้างเลยหรือไง ทำไมจำอะไรไม่เห็นได้สักอย่าง” ผมถามด้วยรู้สึกแปลกใจ

“…” คำตอบของไอ้นัยคือความเงียบ

“เฮ้อ” ผมถอนหายใจ รู้สึกน้อยใจอยู่บ้าง “จนป่านนี้มึงก็ยังไม่ไว้ใจกู”

ไอ้นัยเงยหน้าขึ้นจากบ่าของผม แล้วมองหน้าผม สีหน้าของมันเศร้าสร้อย

“เอาเถอะ กูยอมแพ้มึง ไม่ถามแล้ว” ผมพูด เห็นสีหน้ามันแล้วก็สงสาร น้อยใจมันไม่ลง รวมทั้งคาดคั้นมันไม่ลงด้วย เมื่อมันไม่อยากให้ถามผมก็ไม่ถาม แต่ถึงอย่างไรในใจก็อดสงสัยไม่ได้ ตอนนั้นยังเด็กครับ ไม่ได้นึกไปถึงว่าที่บ้านของมันอาจมีปัญหาอะไรสักอย่าง

จากนั้นเรานั่งอยู่ที่ริมบึง และดูพระอาทิตย์ค่อยๆลับขอบฟ้าอย่างเงียบๆ

“ฟ้ามืดแล้ว เรากลับกันเถอะ” ผมพูดขึ้นหลังจากที่เรานั่งดูจนพระอาทิตย์ตกลับขอบฟ้าไปแล้ว “ไม่งั้นเดี๋ยวยุงหามแน่”

“ฮึ” ไอ้นัยยังหลับตาพริ้ม ทำเสียงครางแบบขี้เกียจอยู่ในลำคอ “ขี้เกียจจัง”

“พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ก็ได้” ผมบอก “ถ้าค่ำแล้วยุงเยอะมาก”

“อ่ะ ไปก็ไป” ไอ้นัยพูด พลางลุกขึ้นอย่างขี้เกียจ ปกติผมไม่ค่อยได้เห็นไอ้นัยในกิริยาที่ขี้เกียจแบบนี้ แต่ก็ดีแล้วละครับ ปล่อยให้มันขี้เกียจบ้าง เพราะปีที่ผ่านมามันขยันทั้งปี

เราทั้งคู่โดดลงไปล้างตัวในบึงน้ำอีกครั้ง จากนั้นก็สวมเสื้อผ้าแล้วก็ขี่จักรยานกลับบ้าน

ตอนขากลับ ผมขี่จักรยานด้วยใจที่เหม่อลอย คิดถึงแต่ตอนที่ไอ้นัยซบหน้ากับบ่าของผม ท่าทีของไอ้นัยเหมือนจงใจ และก็เหมือนไม่ได้ตั้งใจ แต่ไม่ว่ามันจะคิดอย่างไรก็ตาม การแสดงออกของมันทำให้ผมถลำลึกมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

- - -

อาหารเย็นในค่ำวันนั้นเป็นมื้ออาหารที่เอร็ดอร่อยมาก แม่ทำอาหารมากมายจนเรากินกันไม่หมด แม่มักจะเป็นอย่างนี้แหละครับ เพราะว่านานๆผมจะได้กลับบ้านสักที เมื่อกลับมาแต่ละครั้ง แม่ก็มักจะทำอาหารที่ผมชอบเอาไว้เสมอ พ่อก็อารมณ์ดี ชวนไอ้นัยคุยโน่นคุยนี่เพื่อไม่ให้เหงา ส่วนเอ๊ดนั้นยังอยู่ที่กรุงเทพฯเพราะว่ายังไม่ปิดเทอม คนที่มีส่วนสำคัญที่ทำให้อาหารมื้อนั้นอร่อยมากก็คือไอ้นัยนั่นเอง เห็นมันนั่งกินอาหารอยู่ข้างๆ เคี้ยวตุ้ยๆแล้วรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจอย่างบอกไม่ถูก

เวลาที่ไอ้นัยอยู่ด้วย พ่อจะคุยสนุก แต่พอตอนที่ไม่มีไอ้นัยอยู่ด้วย พ่อก็หลุดปากบ่นๆผมอยู่เหมือนกัน ว่าผมชอบหาเรื่องให้พ่อวุ่นวาย แต่ผมก็รู้ว่าพ่อบ่นไปยังงั้นเอง เพราะถึงอย่างไรผมก็ได้ย้ายโรงเรียนแล้ว

คืนนั้น หลังจากที่กินอาหารเรียบร้อยแล้ว ผมขอพ่อเพื่อใช้โทรศัพท์ทางไกลโทรไปหาไอ้ชัช ผมและไอ้นัยเห็นตรงกันว่าควรจะโทรไปคุยกับไอ้ชัชเสียหน่อย ไม่อยากให้มันรู้สึกน้อยใจว่าพวกเรามาเที่ยวแล้วลืมมัน เบอร์โทรศัพท์ของไอ้ชัชก็อยู่ในสมุดเฟรนด์ชิปนั่นเอง ผมขอให้มันเขียนเอาไว้ด้วย เผื่อได้ติดต่อกัน

“ฮัลโหล” เสียงที่รับสายเป็นเสียงเด็ก เสียงของไอ้ชัชนั่นเอง

“ฮัลโหล ไอ้ชัช เป็นไงบ้าง นี่กูเอง” ผมทักทายมัน

“ไอ้อู ไอ้อู ฮ่ะๆ ดีใจจังที่มึงโทรมา” เสียงไอ้ชัชแสดงความยินดีออกมาอย่างไม่ปิดบัง ไอ้ชัชมันก็เป็นคนอย่างนี้แหละครับ มันเป็นคนที่เก็บความรู้สึกไม่ค่อยเก่ง คิดอะไรอยู่ดูจากสีหน้าก็พอรู้ ต่างจากไอ้นัยที่เดาใจมันไม่ค่อยถูก “แล้วไอ้นัยล่ะ”

ผมยื่นหูโทรศัพท์ไปให้ไอ้นัย

“โหล ไอ้ชัช ไอ้ลิง ฮุฮุ” ไอ้นัยทักทายแถมหลอกด่าไปคำหนึ่ง แล้วก็หัวเราะชอบใจ ยกหูโทรศัพท์คืนให้ผม

“ไอ้ห่า” เสียงไอ้ชัชด่า ผมรับเข้าไปเต็มๆ

“อะไรวะ กูยังไม่ได้ทำอะไรมึงเลย มึงด่ากูแล้ว” ผมโวย

“อ้าว โทษทีโว้ย นึกว่าไอ้นัยมันกำลังฟังอยู่ กูตั้งใจจะด่ามันน่ะ” ไอ้ชัชขอโทษขอโพย “แต่ถ้ามึงอยากรับไปก็ได้นะ”

หลังจากนั้นผมกับไอ้นัยก็ผลัดกันคุยกับไอ้ชัช หยอกเย้ากันได้เดี๋ยวๆก็ต้องวางสาย เพราะค่าโทรศัพท์ทางไกลสมัยนั้นแพงเอาการ เกรงใจพ่อ แต่ในขณะเดียวกันก็สงสารไอ้ชัช เพราะมันกลับบ้านไปก็คงเหงา รวมทั้งต่อไปเราคงมีโอกาสเจอกันได้ค่อนข้างยาก แต่ผมก็ตั้งใจเอาไว้ว่าจะพยายามโทรศัพท์คุยกับมันให้บ่อยตราบเท่าที่พ่อยังไม่บ่นอะไรเรื่องค่าโทรศัพท์

คืนนั้น ไอ้นัยเข้านอนเร็วมาก นั่งดูทีวีได้เพียงเดี๋ยวเดียวก็ขอตัวไปนอน พอหัวถึงหมอนก็หลับปุ๋ยทันที คงจะเพลียมาจากการนั่งรถทางไกล ส่วนผมนั้นยังอยากนั่งคุยกับมันอยู่ พยายามชวนมันนั่งคุยเป็นเพื่อน แต่ไอ้นัยก็จะนอนท่าเดียว สุดท้ายก็เลยต้องปล่อยให้มันหลับไป

ผมยังไม่ง่วง ในสมองคิดวนไปเวียนมา คิดถึงเรื่องไอ้ชัช คิดถึงเรื่องไอ้นัย คิดอยากจะถามมันถึงความรู้สึกที่มันมีต่อผม และก็อยากจะบอกความรู้สึกที่ผมมีต่อมัน สิ่งที่ทำให้ผมสับสนก็คือ ผมไม่แน่ใจว่าความรู้สึกนั้นมันเรียกว่าอะไร แต่มันไม่น่าจะเป็นความรู้สึกแบบเพื่อน เพราะผมไม่เคยรู้สึกกับคนอื่นแบบนี้มาก่อน แม้แต่กับไอ้ชัช

ถ้าไม่ใช่ความรู้สึกแบบเพื่อน แล้วมันคือความรู้สึกแบบใด?



<ชนบทแถวบ้านของผม ตอนปลายเดือนกุมภาพันธ์ ผืนนาบางส่วนยังเขียวขจีประดุจพรม แต่บางแห่งก็ออกรวงแล้ว และบางแห่งก็พร้อมเก็บเกี่ยวหรือที่เรียกว่าระยะพลับพลึง>

Monday, February 4, 2008

ภาคสอง ตอนที่ 1

ไอ้นัยดิ้นเล็กน้อยและทำเสียงอู้อี้ จากนั้นก็สอดลิ้นเข้ามาในปากของผม ที่จริงตอนนั้นผมทำไปเพราะเป็นการเลียนแบบผู้ใหญ่ ที่จริงไม่ได้มีความรู้สึกด้านพิสวาสจากรสจูบเลย แต่ผมรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นและมิตรภาพอันงดงามจากการโอบกอดมากกว่า แต่ส่วนความรู้สึกของไอ้นัยนั้นผมไม่ค่อยแน่ใจว่ามันรู้สึกอย่างไร

ตอนนั้นรู้สึกเหมือนกับว่าโลกทั้งโลกมีแต่เพียงเราสองคน แต่ทว่าความรู้สึกนั้นคงอยู่ได้ไม่นาน ภาพของไอ้ชัชก็ลอยเข้ามาอยู่ในห้วงคำนึงของผม มันเป็นความรู้สึกที่แปลกและอธิบายไม่ถูกครับ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำในในเวลานี้ผมจึงนึกถึงไอ้ชัช

ผมกอดไอ้นัยแน่น จากนั้นก็พยายามปลดกระดุมเสื้อของไอ้นัยออก แต่ขณะนั้นเอง ผมเห็นหน้าของไอ้ชัชวูบเข้ามาในความรู้สึกเป็นระยะๆอีก แต่ความรู้สึกคิดถึงเพื่อนที่เกิดขึ้นทำให้ผมไม่สามารถก้าวข้ามด่านอารมณ์ไปสู่อีกขั้นหนึ่งได้

ผมคลายปล่อยมือจากกระดุมเสื้อของไอ้นัย แล้วกอดมันเอาไว้เฉยๆ ผมกอดไอ้นัยเอาไว้นานจนมันประหลาดใจ

“อู เป็นไรหรือเปล่า” ไอ้นัยถาม

“ไม่รู้สิ บอกไม่ถูก คิดถึงไอ้ชัชอ่ะ” ผมตอบ “อยากให้มันมาอยู่ที่นี่ด้วยจัง”

“เหมือนกันเลย” ไอ้นัยว่า “กำลังคิดถึงไอ้ชัชอยู่เหมือนกัน”

ปกติผมไม่เคยมีความรู้สึกอะไรกับไอ้ชัชมากนัก คือในแง่ความสนิทสนมนั้นก็สนิทกันมาก แต่ว่าถ้าพูดถึงอารมณ์ลึกๆแล้วผมไม่ค่อยรู้สึกอะไรกับมันเท่าไร แต่จะรู้สึกกับไอ้นัยมากกว่า ยิ่งในช่วงหลังที่มันออกอาการงอน บางทีผมก็รำคาญมันด้วยซ้ำไป เพิ่งจะมาเข้าใจตัวเองก็วันนี้แหละครับ ว่าผมรู้สึกผูกพันกับมันมากเพียงใด มันมากกว่าที่ตัวผมเองจะเข้าใจได้เสียด้วยซ้ำ

“รู้สึกเหมือนกับว่ากูทำผิดว่ะที่ทิ้งมันมา” ผมพูด

ไอ้นัยถอนหายใจ “ถ้ามึงผิด แล้วเค้าจะมีสอบคัดเลือกเอาไว้ทำไม ถ้ามันเป็นเรื่องผิดทุกคนก็เรียนต่อที่เก่ากันให้หมดดิ”

เหตุผลไอ้นัยก็เรียบง่ายดีครับ มันเหมือนจะถูก แต่ก็เหมือนกับจะไม่ถูก ผมยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน

“ไม่เอา ไม่คิดดีกว่า เดี๋ยวประสาทกิน” ผมพูด พยายามสลัดภาพของไอ้ชัชให้ออกไปจากสมอง ที่จริงไม่ได้ต้องการสลัดไอ้ชัชทิ้งไปหรอกครับ แต่ว่าผมต้องการสลัดความรู้สึกผิดออกไปจากใจตนเองมากกว่า

ผมกับไอ้นัยนั่งอิงกัน ดูพระอาทิตย์ที่คล้อยต่ำลงไปทางริมบึงด้านตรงข้าม ลมแรง บรรยากาศค่อนข้างเย็น พอบ่ายคล้อยแล้วไม่มีแดดเลย มีแต่เมฆดำทะมึนแผ่กระจาย

ผมโอบไหล่ไอ้นัยเอาไว้ แล้วรั้งมันเข้ามาแนบกับตัว กลิ่นอ่อนๆจากตัวของมัน การเสียดสีสัมผัส ทำให้อารมณ์ของผมกระเจิงไปอีกรอบ

ผมผลักไอ้นัยให้ล้มลงนอนอีกครั้งอย่างเบามือ จากนั้นปลดกระดุมเสื้อของมันต่อจากที่ปลดค้างไว้เมื่อครู่ จากนั้นก็รูดซิปกางเกงลง เพียงครู่เดียว ไอ้นัยก็อยู่ในสภาพเปลือยเปล่า ดอของมันแข็งชูชัน เทอมปลายที่ผ่านมา ผมแทบไม่ได้มีอะไรกับไอ้นัยเลย ดอของมันสำหรับผมแล้วกลับดูแปลกและไม่คุ้นเคย มันดูใหญ่ขึ้น ดูเหมือนจะใหญ่กว่าของผมอีก พงหญ้าก็ดูรกยิ่งขึ้น คงเป็นเพราะไอ้นัยกำลังเข้าสู่วัยรุ่นและร่างกายกำลังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนั่นเอง

ผมเริ่มจัดการกับเสื้อผ้าของตนเอง จากนั้นก็โถมลงไปทับอยู่บนตัวไอ้นัย ท่อนลำของเราทั้งสองเสียดสีกันไปมา น้ำหล่อลื่นเปรอะเต็มหน้าท้องของเราทั้งสองคน ไม่รู้ว่าของใครเป็นของใคร

“คิดถึงมึงจัง” ผมพูดเบาๆ

ไอ้นัยหัวเราะกิ๊ก แล้วรีบทำหน้าตาย “เพี้ยนแล้วมึง ก็เจอกันอยู่ทุกวัน”

“ไม่ได้หมายความยังงั้น” ผมรู้ว่ามันแกล้งโง่

ผมกอดไอ้นัยเอาไว้แน่น ร่างเปลือยเปล่าเสียดสีกันทำให้อารมณ์ของเราคุโชน ตะโพกของเราเริ่มบดขยี้เข้าใส่กัน ด้วยความที่ผมเก็บกดอารมณ์เอาไว้นาน หลังจากที่เรากอดก่ายและเสียดสีกันเพียงไม่นาน ผมก็รู้สึกเสียวจนทนไม่ไหว และในที่สุดน้ำของผมก็แตกออกมา

น้ำของผมแตกเลอะเทอะเต็มหน้าท้องของเราทั้งสองคน แม้มันจะเลอะแต่มันก็ช่วยหล่อลื่นได้เป็นอย่างดี หน้าท้องของเรายังเสียดสีกันไม่หยุด เพียงครู่เดียว ไอ้นัยก็ถอนใจเฮือก ผมรู้สึกว่าท่อนเอ็นของไอ้นัยกระตุกอย่างแรงหลายครั้ง จากนั้นก็รู้สึกอุ่นที่หน้าท้อง น้ำของไอ้นัยออกมาเยอะมากจนย้อยตกลงไปข้างลำตัว

แม้น้ำของผมจะแตกไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าอารมณ์ยังคุโชนอยู่

“ขอนะนัย” ผมกระซิบเบาๆที่ข้างหูมัน

ไอ้นัยเข้าใจดีว่าผมขออะไร “ไม่มีออยล์ ทำได้ไง” ไอ้นัยพูดเบาๆ

ผมไม่ตอบ แต่ลุกขึ้น แล้วป้ายเอาน้ำว่าวที่หน้าท้องของไอ้นัย ซึ่งตอนนั้นมันปนกันไปหมดทั้งของผมและของมัน จากนั้นก็เอามาป้ายที่ก้นของมัน น้ำว่าวของเราน่าจะสามารถใช้เป็นสารหล่อลื่นได้เป็นอย่างดี

ผมจับไอ้นัยยกขา เห็นถ้ำของไอ้นัยเป็นสีชมพูและปากถ้ำปิดสนิท ผมพยายามเอาท่อนเอ็นของผมที่ชโลมด้วยน้ำว่าวดันเข้าไปในถ้ำสีชมพูของไอ้นัยทีละน้อย โดยสังเกตสีหน้าของไอ้นัย เมื่อมันทำหน้าเหย แสดงว่ามันเจ็บ ผมก็จะถอนท่อนของผมออกมาแล้วป้ายน้ำว่าวที่เปรอะหน้าท้องอยู่ชโลมเข้าไป จากนั้นก็ดันเข้าไปใหม่ ค่อยๆทำแบบนี้จนในที่สุดก็สอดเข้าไปได้จนมิดลำ

ไอ้นัยนอนยกขาหลับตาปี๋ ผมขยับดอของผมเข้าออกช้าๆ ตาดูท่อนของผมที่ผลุบเข้าออกในรูก้นของไอ้นัย มันเป็นภาพที่เร้าอารมณ์มาก ผมซอยก้นเข้าออก ตาก็จับจ้องอยู่ที่รูก้นสีชมพูนั้น

ผมซอยเข้าออกไปได้เพียงครู่เดียวก็รู้สึกว่าทนไม่ไหวอีกต่อไป

“จะแตกแล้วนะ” ผมบอกมัน แล้วเปลี่ยนท่าจากการซอยช้าๆเป็นซอยอย่างรวดเร็ว จากนั้นผมก็ระเบิดน้ำรักเข้าไปในก้นไอ้นัยทั้งหมด

ผมรู้สึกหมดแรง ตัวเบาหวิว จากนั้นก็ฟุบลงบนตัวไอ้นัย

ภาคสอง (วัยฝัน)

เกริ่นนำ

เรื่อง “รักวัยใส หัวใจให้นายคนเดียว” นี้เป็นภาคต่อจากเรื่อง “เรื่องของไอ้อู” โดยเรื่องของไอ้อูนั้นเป็นภาควัยเด็ก ขณะเรียนอยู่ชั้นประถม เป็นเรื่องของเพื่อนรัก ๓ คน คือ นัย ชัช และอู ในวัยเด็ก ส่วนเรื่องนี้เป็นการเล่าเรื่องราวในลำดับต่อมา เมื่อทั้งหมดต่างเติบโตขึ้นเป็นวัยรุ่น และเข้าสู่ชั้นมัธยมต้น อันเป็นวัยแห่งความฝันอันสดใส ผู้อ่านซึ่งติดตามเรื่องราวของเด็กทั้งสามมาตลอด จะค่อยๆเห็นการเติบโตและการเปลี่ยนแปลงของเด็กเหล่านี้ ที่ค่อยๆก้าวเข้าสู่เส้นทางที่พวกเขาจำต้องเดิน ไม่ว่าจะอยากเลือกหรือไม่ก็ตาม จากเด็กๆที่สดใส กลายเป็นวัยรุ่นที่เติบโตไปพร้อมกับความสับสนทางอารมณ์

บุคคล และสถานที่ ที่ปรากฏในเรื่องนี้ ล้วนแต่เป็นการเขียนขึ้นจากจินตนาการทั้งสิ้น มิได้มีตัวตนอยู่จริง ดังนั้น หากมีบุคคลหรือสถานที่ในเรื่องที่เหมือนหรือคล้ายกับบุคคลหรือสถานที่ที่มีอยู่จริง ขอให้ทราบว่านั่นเป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด