Monday, January 31, 2011

ภาคสี่ ตอนที่ 20

เพียงประมาณหนึ่งสัปดาห์ ในที่สุดผมก็ได้ตู้ไปรษณีย์เช่ามาตู้หนึ่ง เมื่อมีตู้เช่าแล้วผมก็เริ่มส่งจดหมายไปถึงผู้ที่ลงประกาศโดยส่งแบบเหวี่ยงแหไปประมาณสิบกว่าฉบับโดยเลือกคนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ผมเขียนแนะนำตนเองไปสั้นๆเพราะไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรดี ผู้ที่ลงประกาศบางคนต้องการรูปถ่ายกับเบอร์โทรศัพท์ด้วยแต่ผมก็ไม่ได้ให้ไปเนื่องจากยังไม่รู้จักกัน ใครจะกล้าให้ แม้แต่ชื่อเล่นที่ใช้ในชีวิตจริงผมยังไม่กล้าบอกเลยเพราะเกรงว่าหากเพื่อนทางจดหมายนี้เกิดเป็นคนที่ผมรู้จักในชีวิตจริงขึ้นมาผมคงเดือดร้อน

เอ... ใช้ชื่อเล่นปลอมๆว่าอะไรดีหว่า... ผู้ที่ลงประกาศหาส่วนใหญ่น่าจะใช้ชื่อเล่นปลอมช่นเดียวกัน เพราะผมสังเกตว่าชื่อเล่นที่ตั้งกันนั้นโหลมากๆ ชื่อเอกนี่สุดยอดแห่งความโหล นิยมตั้งกันมากที่สุด รองลงมาน่าจะเป็นชื่อหนุ่ม และเอ

“สวัสดีครับ ผมชื่อปู อายุ... สูง... หนัก... ผิวขาว หน้าตาตี๋ๆ งั้นๆ นิสัยง่ายๆ ไม่มีความสามารถพิเศษหรือจุดเด่นอะไร เรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง บางทีก็เหงาๆ อยากหาเพื่อนคุยทางจดหมายครับ ถ้าคุณมีเวลาก็เขียนมาคุยกันบ้างที่ ตู้ ปณ...”

ผมเขียนจดหมายนะนำตัวไปเพียงสั้นๆ เมื่อส่งจดหมายไปแล้วหลังจากนั้นผมก็มีภารกิจประจำเพิ่มเติม นั่นก็คือต้องแวะลงที่สะพานควายเพื่อไขตู้ไปรษณีย์ดูทุกวัน ส่วนใหญ่จะแวะลงตอนเย็น หากบางวันกลับค่ำจนห้องไปรษณีย์ปิดก็ต้องเว้นไป

- - -

“เฮ้อ ตัวเปียกหมดเลย แย่จริง” ผมบ่นกับตัวเองเมื่อวิ่งฝ่าสายฝนมาถึงห้องไปรษณีย์ในตอนค่ำวันหนึ่ง วันนั้นเป็นเวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่ผมส่งจดหมายหาเพื่อนออกไป ฝนเดือนกันยายนตกลงมาไม่หนักมากนักแต่ก็พอที่จะทำให้ตัวผมเปียกปอนไปหมด

แม้ว่าตลอดหลายวันที่ผ่านมาผมจะไขตู้และพบกับความว่างเปล่าภายในตู้ไปรษณีย์เช่าแต่ผมก็ยังมีความหวังอยู่เสมอ คงมีใครสักคนที่อยากเป็นเพื่อนกับผมบ้างละน่า ดังนั้นแม้ในวันที่ฝนตกผมก็ยังอดแวะไปไขตู้ที่ไปรษณีย์ไม่ได้

ทุกครั้งที่ผมสอดลูกกุญแจเข้าไปในรูกุญแจตู้ผมจะอดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ วันนี้ก็เช่นกัน ผมภาวนาขอให้มีจดหมายวางรออยู่ในนั้น... สักฉบับหนึ่งก็ยังดี

และแล้ว เมื่อประตูตู้เปิดออก ผมก็ได้เห็นจดหมายวางอยู่ถึง ๒ ฉบับ

ผมหยิบจดหมายออกมาดูด้วยความตื่นเต้น เห็นซองจดหมายเป็นซองสีสันแสบตา ซองจดหมายแบบวัยรุ่นในสมัยนั้นมักมีสีสันฉูดฉาด เช่น เขียว ฟ้า ชมพู ส้ม ฯลฯ และขนาดของซองจะเล็กกว่าซองมาตรฐานเล็กน้อย ส่วนซองแบบมาตรฐานจะใช้สีอ่อนๆ เช่น เหลืองอ่อน เขียวอ่อน หรือสีขาว

ผมรีบเก็บจดหมายใส่ใสเป้อย่างทะนุถนอมราวกับเป็นของมีค่ายิ่ง แม้มันจะเป็นจดหมายเพียงสองฉบับแต่มันก็มีความหมายสำหรับผมมาก เพราะนั่นหมายถึงว่าผมกำลังจะมีเพื่อนอีกประเภทหนึ่ง... เพื่อนที่อยู่ในโลกใบเดียวกับผมอย่างแท้จริง...

- - -

“เฮ้ย อู สบายดีหรือเปล่าวะ” แป๋งซึ่งวันนี้นั่งเฝ้าร้านอยู่ที่ชั้นล่างของหอพักเอาหลังมือมาแตะที่หน้าผากของผมเมื่อผมเดินเข้ามาในหอพักและเดินผ่านแป๋ง “สงสัยตากฝนมา เป็นไข้เสียแล้ว”

“อะไรกันวะ” ผมงงๆ รับมุขมันไม่ทัน “ไม่ได้ป่วยสักหน่อย”

“เห็นเดินยิ้มคนเดียวมาแต่ไกล เลยนึกว่าไม่สบายน่ะ” แป๋งทำหน้าทะเล้น พลางเอียงหน้าให้เข้ามาใกล้ผมยิ่งขึ้นพลางพูดด้วยเสียงแผ่วเบาเหมือนกำลังคุยความลับอยู่ “อารมณ์ดีเชียว อย่าบอกนะว่ากำลังมีฟามรัก”

“ไอ้เปรต” ผมหัวเราะ “พูดจนเรางง ไม่มีอะไรสักหน่อย”

ว่าแล้วผมก็รีบเดินหนีเพราะหากขืนอยู่นานไปแป๋งคงพยายามซักไซร้อีก ระยะหลังผมไม่ค่อยได้เห็นแป๋งบ่อยนักเนื่องจากแป๋งมีเรียนกวดวิชาทั้งหลังเลิกเรียนและในวันหยุดเพื่อเตรียมตัวสอบเอนทรานซ์ เราจึงได้คุยกันค่อนข้างน้อย

หลังจากที่เข้าห้องแล้วผมก็เปิดจดหมายออกอ่านด้วยความตื่นเต้น เพื่อนใหม่ทั้งสองคนเขียนมาคุยเพียงสั้นๆ เนื้อหาส่วนใหญ่ก็เป็นการแนะนำตัวเพิ่มเติมจากที่เคยลงเอาไว้ในประกาศ แต่เพียงแค่นั้นมันก็ทำให้ผมดีใจมากแล้ว ผมรีบเขียนจดหมายตอบทั้งสองคนไปในทันทีในคืนนั้น ขณะที่เขียนก็อดรู้สึกแปลกๆไม่ได้ เพื่อนใหม่ทั้งสองคนนี้อยู่ในกรุงเทพฯทั้งคู่ เราต่างอยู่กรุงเทพฯด้วยกันแต่กลับไม่ใช้โทรศัพท์ ต้องมานั่งเขียนจดหมายคุยกัน

หลังจากนั้นต่อมาผมก็ได้รับจดหมายตอบกลับมาอีกหลายฉบับ ที่ไม่ตอบกลับมาก็มี รวมแล้วผมมีเพื่อนจากการเหวี่ยงแหเขียนจดหมายไปเป็นครั้งแรกถึงห้าหกรายด้วยกัน ทั้งหมดนี้อยู่ในวัยใกล้เคียงกับผมทั้งสิ้น มีทั้งนักเรียน ม.๖ ปวส. ปีหนึ่ง ที่เรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง ปีสองก็มี มีอยู่คนเดียวที่เป็นคนต่างจังหวัดโดยเรียนอยู่ที่วิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดราชบุรี

“หวัดดีปู

เราคุยกันมาหลายฉบับแล้ว แต่ยังไม่เคยเห็นหน้านายเลย นายมีรูปไหม ส่งมาให้ดูหน่อยสิ แล้วบอกเบอร์โทรศัพท์มาด้วยจะได้โทรคุยกัน เขียนจดหมายไม่ทันใจเลย”

หลังจากที่โต้ตอบจดหมายกับเพื่อนที่ไม่รู้จักได้สามสี่ฉบับผมก็เริ่มแยกแยะออกว่าในบรรดาเพื่อนๆนั้นใครคุยถูกคอบ้าง ที่จริงก็คุยกันได้ทุกคนแต่ว่ากับบางคนผมรู้สึกว่าคุยกันได้มากหน่อย นิสัยเหมือนจะเข้ากันได้ดี คนที่รู้สึกว่าคุยกันถูกคอผมก็จะเขียนคุยด้วยยาวหน่อย ส่วนบางคนที่เขียนมาคุยสั้นๆผมก็เขียนไปสั้นๆเช่นกันเนื่องจากไม่รู้ว่าจะคุยอะไร แต่เกือบทุกคนจะคล้ายกันอย่างหนึ่งก็คือเมื่อติดต่อกันทางจดหมายได้สักระยะหนึ่งก็ต้องการพูดคุยกันในแบบที่สะดวกขึ้นและทันใจมากขึ้น ทำให้ผมเริ่มเข้าใจได้ว่าการหามิตรตามนิตยสารเกย์นั้นส่วนใหญ่ใช้จดหมายเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น หลังจากนั้นก็ต้องการพัฒนาความสัมพันธ์กันต่อไป ต่างจากผมที่ต้องการความสัมพันธ์เพียงแค่เพื่อนทางจดหมายเท่านั้นเนื่องจากผมยังไม่ไม่ค่อยไว้วางใจที่จะเปิดเผยตนเอง ผมพยายามปกปิดตนเองมาโดยตลอดจนเพาะเป็นนิสัยระวังตัว ใครจะไปรู้ว่าคนเหล่านี้อาจเป็นเพื่อนที่คณะหรืออาจเป็นคนที่รู้จักผมก็เป็นได้ ถ้าไม่ระวังตัวเอาไว้อีกหน่อยคงได้มีเรื่องหึ่งกันทั้งคณะ

“ต้องขอโทษด้วยที่ผมไม่สะดวกจะให้เบอร์โทรศัพท์ ผมอยู่หอพัก โทรศัพท์ที่หอพักต่อเข้ายาก แถมคุยนานก็ไม่ได้ เราคุยกันทางจดหมายไปเรื่อยๆก่อนดีกว่า” ผมเขียนตอบไป

- - -

ปลายเดือนกันยายน

ในที่สุดการสอบปลายภาคก็มาถึง หลังจากที่ผมตัดสินใจที่จะไม่ถอนรายวิชาใดๆเลย ผมก็ทุ่มเทเวลาไปกับการเรียน ประกอบกับกิจกรรมทำชีตที่ชมรมวิชาการมีส่วนช่วยให้ผมเรียนรู้เรื่องกว่าเมื่อตอนต้นเทอมมาก

เมื่อกาลเวลาผ่านไป เหตุการณ์ก็ผันแปรไป หลังจากที่เพ็ญช่วยงานชมรมและทำงานร่วมกับผมอยู่ระยะหนึ่งจนสนิทสนมกันพอสมควร เมื่อใกล้เวลาสอบปลายภาค กิจกรรมทั้งหมดก็หยุดลง เพ็ญไม่ได้ขึ้นมาที่ชมรมอีกโดยให้เหตุผลว่าต้องการดูหนังสือเพื่อเตรียมตัวสอบ ส่วนผมนั้นยังขึ้นมาที่ชมรมเป็นประจำ แม้ไม่มีงานทำก็ขึ้นมานั่งเล่น นั่งคุย ทำการบ้าน และท่องหนังสือที่ชมรม เรียกได้ว่าที่นี่เป็นบ้านอีกแห่งหนึ่งของผมเลยทีเดียว

เมื่อถึงวันสอบปลายภาค ห้องสอบวิชาฟิสิกส์กับแคลคูลัสว่างโล่ง นั่งสบาย เนื่องจากมีเพื่อนๆถอนสองวิชานี้กันไปค่อนคณะ ข้อสอบปลายภาคนี้ดูเหมือนจะไม่ยากมากนัก ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะว่าอาจารย์ออกข้อสอบให้ยากน้อยลงหรือว่าผมเรียนรู้เรื่องมากขึ้น แต่สรุปแล้วก็น่าจะพอทำได้ แต่แม้ว่าผมจะพยายามเต็มที่แล้วก็ตาม คะแนนที่ทำได้ในตอนสอบปลายภาคจะช่วยฉุดผมให้รอดจากเกรดเอฟได้หรือไม่นั้นผมเองก็ยังไม่มั่นใจนัก

หลังจากสอบปลายภาคเสร็จผมก็เดินทางกลับบ้าน ช่วงปีหนึ่งเทอมหนึ่งนั้นผมแทบไม่ได้กลับบ้านในช่วงสุดสัปดาห์เลย ช่วงต้นเทอมก็มัวแต่เล่นเพลิน ส่วนช่วงปลายเทอมก็มัวแต่ดูหนังสือและทำงานชมรม

สองข้างทางของถนนชนบทจากตัวเมืองสู่บ้านของผมเขียวขจี บรรยากาศชนบทในปลายหน้าฝนนั้นสงบและสดชื่น ปีแล้วปีเล่าที่ถนนเส้นนี้นำผมกลับสู่บ้านเกิดด้วยสภาพชีวิตและสภาพอารมณ์ที่แตกต่างกันไป สำหรับในครั้งนี้ เมื่อเข้าสู่ถนนสายบ้านเกิด จิตใจที่ว้าวุ่นและสับสนจากวิถีชีวิตในเมืองใหญ่ของผมก็ค่อยๆสงบและร่มเย็นลง

“แม่ ป๊า อูกลับมาแล้ว” ผมส่งเสียงเอะอะตั้งแต่ยังอยู่หน้าบ้าน แม่ได้ยินเข้าก็เดินออกมารับผม

“หายตัวไปเกือบตลอดทั้งเทอมเลยนะอู” แม่ทักทายผมในเชิงตัดพ้อต่อว่า

“ก็มันยุ่งน่ะแม่ เลยไม่ค่อยมีเวลากลับบ้าน” ผมพยายามแก้ตัว เมื่อถูกต่อว่าก็รู้สึกผิดอยู่เหมือนกัน หลังจากที่แม่ผ่าตัด ผมเคยตั้งใจเอาไว้ว่าจะให้เวลากับแม่ให้มากขึ้นเพราะไม่รู้ว่าแม่จะอยู่กับพวกเราไปได้อีกนานเพียงใด แต่แล้วผมก็เหลวไหล ไม่ได้ทำตามที่ได้ตั้งใจเอาไว้

“เรียนปีหนึ่งยังยุ่งขนาดนี้ แล้วปีสาม ปีสี่ หรือตอนทำงาน ไม่ยุ่งจนเสียสติไปเลยหรือไง” แม่ประชด

“แหะๆ คงไม่ถึงกับเสียสติหรอกแม่” ผมฝืนหัวเราะ แล้วก็สารภาพความจริง “อูเล่นเยอะไปหน่อยน่ะ”

“ก็แค่นั้นแหละ” แม่พูด “แก้ตัวน้ำขุ่นๆอยู่ได้”

“ป๊าอยู่ไหมแม่ ทำไมเงียบๆ” ผมพยายามเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“อยู่ อยู่ข้างในโน่น รายนั้นแหละยุ่งของจริง” แม่ตอบ “กำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่”

“เกิดอะไรขึ้นละแม่” ผมถาม

“ก็ตัวเองทำเองนั่นแหละ” แม่บ่น “ลูกค้ารายใหม่ไม่เคยค้าขายกันมาก่อนดันไปปล่อยเครดิตให้ตั้งหลายหมื่น ตอนนี้ยังเก็บเงินไม่ได้เลย ผัดแล้วผัดอีก สงสัยจะเบี้ยวเสียแล้ว”

ผมฟังแล้วก็ได้แต่นิ่งเงียบเนื่องจากไม่รู้เรื่องการค้าของพ่อเลย รู้แต่ว่าตอนนี้ตอนนี้พ่ออารมณ์เสีย ต้องระวังตัวเอาไว้บ้าง

“ป๊า” ผมทักพ่อเมื่อเดินเข้าไปในห้องทำงานของพ่อ

“ฮื่อ” พ่อพยักหน้ารับ “ไม่ค่อยกลับบ้านเลยนะหมู่นี้”

“ปีหนึ่งน้องใหม่น่ะป๊า กิจกรรมก็เลยเยอะหน่อย” ผมตอบ ไม่กล้าใช้คำว่ายุ่งอีก “แต่ตอนนี้ปิดเทอมแล้วล่ะ อยู่บ้านได้หลายวันเลย”

หลังจากทักทายพ่อเล็กน้อยผมก็รีบหลบออกมาเนื่องจากหากอยู่นานไปคงไม่แคล้วโดนดุเรื่องใดเรื่องหนึ่งจนได้ พ่อยิ่งกำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่ด้วย

หลังจากที่ออกมาจากห้องทำงานของพ่อ ผมก็มานั่งคุยกับแม่ต่อ แม่บอกว่าเอ๊ดก็คงกลับถึงบ้านในวันสองวันนี้เช่นกัน ดูแม่มีสีหน้าแจ่มใสและผิวกายก็ดูมีน้ำมีนวลเหมือนเมื่อก่อนผ่าตัด แต่ก็ยังบ่นว่าเจ็บที่รอยแผลผ่าตัดอยู่บ้าง

- - -

เย็นวันนั้น เราสามคนพ่อ แม่ ลูก มีโอกาสได้กินอาหารเย็นพร้อมกัน พ่อนั่งกินเงียบๆ ส่วนแม่พยายามชวนคุยเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศ

“เสียดายที่เอ๊ดยังไม่มา ไม่อย่างนั้นก็ได้กินอาหารกันพร้อมหน้าพร้อมตา” แม่เปรย คำพูดของแม่ทำให้ผมรู้สึกใจหวิว เมื่อก่อนผ่าตัดแม่ไม่ค่อยพูดอะไรแบบนี้ เพิ่งจะมาได้ยินเอาหลังจากผ่าตัดนี่แหละ

“แม่บอกว่าอีกวันสองวันเอ๊ดก็มาแล้วนี่ เดี๋ยวก็ได้กินพร้อมหน้ากันทั้งสี่คนแล้ว” ผมปลอบใจแม่

“เอ๊ดมันเรียนวิศวะ จบออกไปอาชีพก็มั่นคง เงินเดือนก็ดี” พ่อพูดขึ้น สายตามองมาทางผม ผมสังเกตว่าเย็นนี้พ่อมีใบหน้าค่อนข้างแดงราวกับไปตากแดดมา “แล้วคณะอะไรนี่มันจบแล้วไปทำอะไรได้บ้าง”

“ทำได้หลายอย่างนะป๊า” ผมตอบ พลางเริ่มรู้สึกเหนื่อยหน่ายใจขึ้นมา พ่อขุดเอาเรื่องนี้มาพูดไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว “ทำโรงงานก็ได้ ทำงานขายเครื่องมืออุปกรณ์โรงงานหรือทางแพทย์ทางวิทยาศาสตร์ก็ได้ เป็นนักวิจัยก็ได้ เป็นอาจารย์ก็ได้”

“แล้วที่ตกงานนี่มีเท่าไร มีใครบอกให้ฟังหรือเปล่า” พ่อพูด “พูดแต่ว่าดียังงั้นดียังงี้ แล้วบัณฑิตตกงานน่ะมีบอกบ้างไหม”

บรรยากาศดีๆในมื้ออาหารเย็นได้ถูกคำพูดของพ่อทำลายไปจนสิ้น

“แล้ววิศวะ บัญชีที่ป๊าว่าดีนักดีหนาเนี่ย ปีนึงตกงานกี่คนมีใครเคยบอกป๊าบ้างหรือเปล่าล่ะ” ผมอดเถียงไม่ได้

“อู...” แม่พูดเป็นเชิงปราม แต่สายไปเสียแล้ว เพราะพ่อเอ็ดตะโรสวนขึ้นมาทันที

“ไอ้นี่เถียงอีก”

“ป๊าก็ใจเย็นๆ เรื่องแบบนี้มันแล้วแต่ใครชอบอะไร คณะอะไรก็มีคนเลือกทั้งนั้น” แม่พยายามไกล่เกลี่ย “อีกอย่าง ไม่ใช่ว่าใครอยากเรียนอะไรแล้วก็เรียนได้ดั่งใจ มันต้องสอบเข้านะ”

“ก็นี่ไง ถึงได้ว่ามันอยู่นี่ไง” พ่อพูด “ก็คนมันห่วย ไม่มีความพยายามยาม ก็เลยไปเลือกคณะที่เข้าง่ายๆเข้าไว้ ถ้ามันมีความพยายามเหมือนกับเอ๊ดทำไมมันจะเลือกให้ดีกว่านี้ไม่ได้”

วันนี้พ่อพูดอะไรไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย เหมือนกับพยายามหาเรื่องว่าผมให้ได้เสียมากกว่า ยิ่งเมื่อได้ฟังประโยคสุดท้ายของพ่อผมถึงกับรู้สึกจุกในลำคอ อย่างน้อยผมก็รู้ความจริงอย่างหนึ่งว่าผมไม่เคยมีอะไรดีเลยในสายตาของพ่อ ความรู้สึกของผมในตอนนั้นคืออยากร้องไห้...

ผมรวบช้อนส้อมจากนั้นก็ลุกจากโต๊ะอาหารอย่างช้าๆและกลับขึ้นไปที่ห้องนอนทั้งๆที่เพิ่งกินอาหารไปได้เพียงหน่อยเดียว โดนว่าเสียขนาดนี้จะมาหน้าด้านนั่งกินอยู่ได้อย่างไร น่าแปลกที่ความรู้สึกในตอนนั้นผมกลับไม่ได้รู้สึกโกรธ ที่ไม่โกรธคงเป็นเพราะว่าความรู้สึกน้อยใจมันท่วมท้นหัวใจไปจนหมดแล้วนั่นเอง

“เฮ้อ จะบ้าตาย” แม่ได้แต่บ่นเพียงสั้นๆจากนั้นก็ไม่พูดอะไรต่อ คงรู้ดีว่าน้ำเชี่ยวไม่ควรขวางเรือ

- - -

“อู” แม่แง้มประตูห้องนอนของผมพร้อมทั้งส่งเสียงเรียก “หลับอยู่หรือเปล่า”

“เปล่าแม่” ผมพลิกตัวลุกขึ้นจากเตียง ขณะเดียวกันแม่ก็เดินเข้ามาในห้องและปิดประตู

“อย่าเอาคำพูดของป๊าไปคิดมากเลยนะ ป๊าเค้าไม่ได้ตั้งใจพูดแบบนั้นหรอก” แม่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรให้ดีไปกว่านี้ “แม่เองก็ผิดด้วย พูดพลาดนิดเดียวกลายเป็นเรื่องเลย เฮ้อ”

“ไม่คิดมากหรอกแม่” ผมตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เพราะอูก็รู้ตัวดีว่าอูไม่เอาไหน ป๊าก็เลยไม่ชอบขี้หน้าอู”

คิดๆดูแล้วมันก็น่าจะจริง เรียนก็งั้นๆ ดีบ้างแย่บ้าง เอาแน่นอนไม่ได้ แถมยังมีจิตใจที่ผิดปกติเสียอีก มองไปแล้วก็หาข้อดีของตนเองไม่ได้เลยจริงๆ ก็ในเมื่อแม้แต่ตัวผมเองก็ยังหาข้อดีของตนเองไม่ได้แล้วพ่อจะหาเจอได้อย่างไร มิน่าเล่าพ่อถึงได้ไม่รักผม

“คิดอะไรบ้าๆแบบนั้น” แม่ดุผม

“ช่างเถอะแม่” ยังไม่ทันที่แม่จะได้พูดอะไรต่อไป ผมก็ชิงตัดบทและปิดการสนทนาด้วยการล้มตัวลงนอน “อูง่วงแล้วล่ะ อูนอนก่อนนะแม่”

- - -

หลังจากนั้นเพียงวันสองวันเอ๊ดก็กลับมาถึงบ้าน เมื่อเอ๊ดกลับมาผมก็เตรียมตัวเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ที่จริงผมอยากจะเข้ากรุงเทพฯในวันต่อมาหลังจากที่โดนพ่อว่าแต่เนื่องจากยังอยากอยู่เป็นเพื่อนแม่อีกสักหน่อยและอยากเจอเอ๊ดด้วยจึงรีรอต่อมาอีกสองสามวัน โดยตลอดช่วงเวลาที่อยู่ที่บ้านผมพยายามหลบหน้าพ่อมาตลอด เมื่อได้พบกันเอ๊ดสมความตั้งใจแล้วผมก็เดินทางเข้ากรุงเทพฯ

ผมมองทิวทัศน์สองข้างทางของถนนชนบท แม้มันจะยังเขียวขจีและร่มรื่นเหมือนเช่นตอนที่ผมเดินทางกลับบ้านเมื่อสามวันก่อนแต่ผมกลับไม่ได้รู้สึกสงบและร่มเย็นเหมือนเมื่อตอนขามาเลย เมื่ออารมณ์เปลี่ยนแปลงไป โลกภายนอกในการรับรู้ของเราก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย ในตอนนี้ผมรู้สึกอ้างว้างและว่างเปล่า

ตลอดเวลากว่าสามชั่วโมงของการเดินทาง ผมคิดวนเวียนถึงแต่เรื่องเมื่อวันก่อน... สาขาวิชาที่พ่ออยากให้ผมเรียนนั้นผมไม่ได้ชอบเลยแม้แต่น้อย ถ้าผมต้องเรียนในสาขาที่ไม่ได้ชอบแล้วอนาคตต่อไปจะเป็นอย่างไร

แต่ว่า... ถ้าผมไม่ได้เรียนในสาขาพวกนั้น แต่เรียนในสาขาที่คะแนนสูงยิ่งกว่านั้นอีกล่ะ พ่อจะยังคิดว่าผมไม่เอาไหนอยู่อีกไหม และพ่อจะรักผมขึ้นมาบ้างไหมนะ